วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

17/06/2556



รู้หรือไม่...เด็กในประเทศกำลังพัฒนา เสียชีวิตด้วยโรคท้องร่วงจำนวนมหาศาลถึง 1.1 ล้านคน เหตุไม่ล้างมือก่อนทานอาหาร

โดยเฉพาะในอินเดีย หรือประเทศที่มีวัฒนธรรมการทานอาหารด้วยมือ ทำให้เชื้อโรคแพร่ระบาดไปอย่างง่ายดาย กลายเป็นเป็นเรื่องใหญ่ ที่เรามองข้ามทางแก้ไขแบบง่ายๆ นั่นคือเพียงแค่ใส่ใจเรื่องความสะอาด โดยการล้างมือก่อนทานอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการแก้ไขหลักๆ ที่จะลดอัตราเสี่ยงได้อย่างมาก

อ่านต่อ : http://bit.ly/19HZQDH
ขอบคุณ : Creative MOVE
.................................................................................................................................



ยิ่งเราทำตัวเองให้ "สดชื่นนนน" ได้มากเท่าไร
"พลังงาน" ในตัวเองก็จะเป็น "บวก" มากเท่านั้น
แล้ว "สิ่งดีๆ" จะ "หลั่งไหล" มาสู่ชีวิตได้อย่าง "ง่ายดาย" !!!
- โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ -
FB : Coach Siriluck Tansiri
...............................................................................................................................

เรื่องของข้าว

http://www.facebook.com/Daydreams00/posts/4726649095780
..............................................................................................................................



.............................................................................................................................

Coca-Cola Security Cameras

http://www.youtube.com/watch?v=ceTBF1Hik5I
.............................................................................................................................

...........................................................................................................................


"คาถา"
นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์

ตำแหน่งของเขานั้นเป็นจมื่น แต่ใครๆในสามโคกต่างก็เรียกเขาว่า “ผู้คงแก่เรียน”

เขาอ่านตำรามหาชาติจบในหนึ่งวัน อีกทั้งยังแตกฉานภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมรอย่างหาตัวจับยาก
ส่วนภาษาจำปาและภาษาละว้านั้น แม้จะไม่เป็นที่หนึ่งในกรุงศรีฯ แต่ผู้คงแก่เรียนก็สามารถท่องคาถาในภาษาที่ว่านี้ได้มากกว่าพันคาถา ไม่ว่าจะการออกเสียงและการสะกดคำ เขาได้รับการกล่าวขานจากปุโรหิตทุกสำนักว่าหากเป็นเรื่องคาถาโบราณแล้วเขาเป็นเอก

ถึงตอนนี้ใครๆก็รู้ว่าผู้คงแก่เรียนกำลังศึกษาคาถาโบราณที่มีส่วนผสมของภาษาเขมรและภาษาละว้าอยู่อย่างขะมักเขม้น

เขากินนอนอาศัยอยู่ในวัดเก่าบริเวณสามโคกมาครบสามปีตามที่ตั้งใจแล้ว
ตำราทุกเล่มที่เขาศึกษาอยู่ เขาอ่านมันมากกว่าสามร้อยรอบ

เมื่อผู้คงแก่เรียนเห็นแล้วว่าความแตกฉานในคาถาโบราณของเขามีมากพอที่จะเผยแพร่ความรู้นี้แก่ผู้คนในทุกสำนัก เขาก็ตัดสินใจเดินทางกลับกรุงศรีฯ

ระหว่างที่อยู่บนเรือพาย ผู้คงแก่เรียนได้ยินคนพายเรือพูดถึง “พ่อเฒ่า”ชายชราผู้จำศีลอยู่บนเกาะเกร็ดกลางแม่น้ำ

“พายไปส่งข้าพเจ้าหน่อยเถิด บางทีข้าพเจ้าอาจจะได้สนทนาเรื่องคาถาโบราณกับผู้ทรงศีลท่านนั้น” ผู้คงแก่เรียนสั่งให้คนพายเรือเปลี่ยนทิศทาง

บนเกาะเกร็ด พ่อเฒ่าต้อนรับขับสู้ผู้คงแก่เรียนด้วยอัธยาศัยอันดี ผู้คงแก่เรียนได้ถามถึงคาถาโบราณที่พ่อเฒ่าท่องได้ และเมื่อพ่อเฒ่าท่องคาถาโบราณบทหนึ่งในผู้คงแก่เรียนฟัง ผู้คงแก่เรียนก็มีสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“คาถานี้คือคาถาเหยียบวารีใช่หรือไม่”ผู้คงแก่เรียนถาม
พ่อเฒ่าพยักหน้า
“เป็นคาถาเดียวกับที่ข้าพเจ้าศึกษามา” ผู้คงแก่เรียนกล่าวต่อ “แต่มีบางอย่างที่ข้าพเจ้าคิดว่าคาถาที่ท่านท่องนี้ไม่ถูกต้องนัก”
“ข้าฯเป็นคนไม่ได้เรียนหนังสือ คาถาที่ท่องเมื่อกี้ ข้าฯเองก็จำมาจากอาจารย์ของอาจารย์อีกที อาศัยว่าถือศีลเคร่งครัดและพากเพียรบริกรรมมาตั้งแต่ยังหนุ่มก็เลยมีสติจำได้ มันมีอะไรไม่ถูกต้องหรือท่านผู้คงแก่เรียน”
“คำว่าเนี๊ยะโบกา ในตอนต้น น่าจะเป็นโปรกา มากกว่า ส่วนคำสุดท้าย ท่านต้องออกเสียงว่า ชะอองจุ๊มะตั้วฮือ จะถูกต้องกว่าเพราะว่าเป็นภาษาขมุ” ผู้คงแก่เรียนกล่าวอย่างเกรงใจ
“ดีจริงที่ได้พบท่าน ไม่อย่างนั้นข้าฯก็คงท่องคาถาแบบผิดๆไปตลอด” พ่อเฒ่าดีใจ

ระหว่างที่อยู่บนเรือที่กำลังพายออกมาจากเกาะเกร็ด ผู้คงแก่เรียนกล่าวกับคนพายเรือ
“รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ความรู้ของข้าพเจ้ามีประโยชน์กับผู้อื่น มิเสียแรงที่ศึกษามาหลายปี ท่านคิดว่าข้าพเจ้าควรจะตั้งสำนักใหม่ในกรุงศรีฯไหม”
เมื่อจบคำพูดของผู้คงแก่เรียน คนพายเรือมีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าพเจ้าถามอะไรผิดหูไปหรือ” ผู้คงแก่เรียนแปลกใจ
คนพายเรือไม่ตอบ ได้แต่ชี้มือไปด้านหลังผู้คงแก่เรียน
ผู้คงแก่เรียนหันกลับไป แล้วก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้คนพายเรือตกตะลึง

พ่อเฒ่าผู้ทรงศีลยืนเท้าเปล่าอยู่บนผิวน้ำห่างจากกราบเรือไปไม่กี่ศอก
“ขออภัยท่านด้วยเถิดท่านผู้คงแก่เรียน คาถาเหยียบวารีที่ท่านแก้ให้ข้าฯเมื่อกี้ ข้าจำไม่ได้แล้วว่าต้องออกเสียงว่า คะตั้วฮือหรือมะตั้วฮือ ความชราทำให้ความจำข้าฯไม่ดีเลย ขออภัยจริงๆที่ต้องรบกวนท่านอีกครั้ง” พ่อเฒ่ากล่าวอย่างนอบน้อม
....................................................
............................................................................................................................

ถาม-ตอบยอดฮิต
จากการสํารวจและผลิตปิโตรเลียม
ในประเทศไทย
http://www.dmf.go.th/file/QA_EPThai.pdf
..............................................................................................................................



ทุกอย่างต้องลงแรงในตอนแรกครับ เพื่อให้มันออกดอกออกผล
..............................................................................................................................

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

16/06/2556



Hello Sunday
..............................................................................................................................


นักเรียน/นักศึกษาที่สอบได้คะแนนสูง เป็นคนเก่ง จริงหรือ?

ทุกวันนี้เรามักได้ยินคำพูดในทำนอง ฉันจบจาก...แล้วไปต่อที่... (สถาบันที่มีชื่อเสียงของประเทศ, หรือของโลก) ลูกของฉันเก่งอย่างนั้น ลูกของฉันสอบเข้าได้คณะ...โรงเรียน/มหาวิทยาลัย...

อืม...เก่งกันจัง (หว่ะ) ก็ในเมื่อประเทศไทยเรามีคนเก่งกันตั้งมากมายขนาดนั้น จึงไม่สามารถสร้างนวัตกรรมขึ้นมาได้เอง ทำไมไม่แซงหน้าประเทศอื่นๆไปซะที? เห็นมีแต่ข่าวออกมาว่า ระบบการศึกษาไทยล้มเหลวลงทุกวันๆ!

ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ นำเสนอสถิติด้านการศึกษาไทย พร้อมทั้งนำเสนอความเห็นไว้อย่างน่าฟัง [ที่มา: http://blog.eduzones.com/anisada/79703] ไว้ว่า:

"การศึกษาไทย ติดอันดับโลก อยู่ 3 อย่างด้วยกัน คือ
1.จำนวนผู้เรียน >> ติดอันดับ 5 ของโลก
2. อายุเฉลี่ยของอาจารย์ไทย สูงเป็น อันดับที่ 2ของโลก
3. เวลาที่นักเรียนใช้ในห้องเรียน >> อันดับ 1ของโลก"

ทั้ง 3 ข้อ เป็นข้อมูลทางสถิติที่เลวร้ายมากในด้านการศึกษาค่ะ เนื่องจาก
ตามข้อ 1. การที่ผู้เรียนมีจำนวนมากขนาดนั้น แถมมีจำนวนห้องเรียนหลายห้อง นอกจากนี้ บางสถาบันฯ ครู/อาจารย์ผู้สอนต้องรับผิดชอบทุกห้อง(ในวิชาของตนเอง) มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้วิธีการเรียนการสอนแบบยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และเป็นไปไม่ได้ด้วยที่ผู้สอนจะสามารถดูแลนักเรียน/นักศึกษาได้อย่างทั่วถึง

2. อายุเฉลี่ยของครู/อาจารย์ไทย สูงเป็นอันดับที่ 2ของโลก >> ครู/อาจารย์ จำนวนมากมายที่เป็นประเภทแก่แล้วแก่เลย นั่งกอดตำแหน่งเอาไว้เพื่อกินเงินเดือน & เงินตำแหน่งไปวันๆ คนพวกนี้นอกจากจะไม่พัฒนาตัวเองให้มีความรู้ความสามารถที่ทันต่อโลก ทันต่อเหตุการณ์ ทุ่มเทให้กับการทำหน้าที่ครู/อาจารย์ที่ดีแล้ว ยังมีความสามารถในการพัฒนาอัตตาของตัวเองให้สูงจนคับสถาบันฯ ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงใดๆก็ตามที่จะเกิดผลกระทบกับตนเอง ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเป็นผลประโยชน์อย่างยิ่งกับนักเรียน/นักศึกษาและครู/อาจารย์รุ่นใหม่ๆ
(ข้อนี้ดิฉันขอยกเว้น ครู/อาจารย์ที่ทำหน้าที่เป็นปูชนียาจารย์ ที่ทรงคุณค่า มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ช่วยเหลือและพยายามสร้างสรรค์สังคม ซึ่งควรแก่การยกย่องนะคะ เพราะมีเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน)

3. เวลาที่นักเรียนใช้ในห้องเรียน สูงเป็นอันดับ 1ของโลก >>ผู้ปกครองบางท่านอาจมองว่า ก็ดีแล้วไงครับ/ค่ะ ที่เด็กอยู่กับครู ใช้เวลาอย่างมีประโยชน์ในการเรียนเข้าไปมากๆ จะได้ไม่เสียเวลาไปกับการเล่นเกม เดินเล่นตามห้าง หรือคบเพื่อนที่ไม่ดี ฯลฯ
...ก็ถูกค่ะ...
แต่ท่านทราบหรือไม่คะว่า นั่นคือการร่วมมือกัน "กำจัด" นักพัฒนามืออาชีพ ผู้นำทางความคิด ผู้นำทางนวัตกรรม ผู้นำการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในอนาคต ให้เหลือแค่นักท่องจำ นักจด ผู้ตาม นักลอกเลียนแบบ จนเต็มประเทศไทย

นักเรียนไทยอยู่ในห้องเรียนมากเหลือเกินค่ะ แต่ละคนได้รับการป้อนข้อมูลเข้าไปจนข้อมูลแทบจะล้นฮาร์ดดิสก์ของสมอง ทั้งๆที่ข้อมูลเหล่านั้นไม่เคยนำออกมาใช้ประโยชน์ได้เลยในชีวิตประจำวัน จนอยากเรียกมันว่า ข้อมูลขยะในสมอง
นักเรียนต้องเรียนพิเศษกันแทบทุกวัน เรียกว่า ตั้งแต่ลืมตาตื่นนอนขึ้นมาจนถึงหัวถึงหมอน เพราะ คุณครูขยันออกข้อสอบที่ยากๆกันเข้าไว้ ถ้าไม่เรียนพิเศษกับฉัน...เธอตกแน่...ส่วนคนที่ทำได้คะแนนได้สูง คือคนที่ "จำ" ได้มาก หรือมี "เทคนิค" ในการทำข้อสอบได้ดี

ท่านผู้ปกครองทราบกันไหมคะว่า เมื่อต่อเนื่องมาถึงระดับอุดมศึกษา หากอาจารย์ผู้สอนสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อให้วิเคราะห์สถานการณ์ หรือแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้พื้นฐานที่เพิ่งเรียนผ่านมา ห้องเรียนจะเงียบกริบราวป้าช้า! ไม่ต้องพูดถึงการเรียนการสอนในรูปแบของการนำเสนอความคิด/ความเห็นเชิงวิเคราะห์,วิพากษ์ ว่าจะเป็นเช่นไร! ...

นักศึกษาชอบให้ยกตัวอย่างที่เป็นสถานการณ์จริง แล้วให้วิทยากร/ผู้สอนบอกว่า จะต้องแก้สถานการณ์เหล่านั้นได้อย่างไร เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำตาม!
ท่านคิดว่าเมื่อ บุคคล เวลา สถานที่ สถานการณ์อื่นๆแตกต่างกัน วิธีการแก้ปัญหาเดิมๆจะยังคงใช้ได้ดีอยู่หรือคะ

จะทำอย่างไรกันดี เมื่ออนาคตของประเทศฝากไว้กับลูกหลานของเราเหล่านี้

"เราทุกคน"ค่ะ ไม่ใช่เพียงแค่สถาบันการศึกษาทุกระดับเท่านั้น ทั้งผู้ปกครอง ครู/อาจารย์ ผู้บริหารทุกระดับ ต้องหันมาร่วมมือกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับวงการการศึกษาไทย เพื่อให้ลูกหลานของเราได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพเมื่อจบการศึกษา แทนที่ลูกหลานของเราจะฉลาดน้อยลง (โง่) เท่าเทียมกันทุกคนในวันรับปริญญาบัตรเช่นในปัจจุบันนี้
......................................................................................................................



โรคของผู้มีอำนาจ
ดร.พสุ เดชะรินทร์

"อำนาจ" เป็นคำที่แปลกและไม่ค่อยเข้าใครออกใครนะครับ เราจะพบว่าอำนาจนั้น อาจจะทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป สำหรับหลายคนก่อนที่จะมีอำนาจนั้น จะมีพฤติกรรมอย่างหนึ่ง แต่พอมีอำนาจแล้วพฤติกรรมหรือนิสัยเดิม ๆ ที่เคยดีอยู่ก็เปลี่ยนไป สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือคุณสมบัติที่ทำให้หลาย ๆ คนขึ้นมาเป็นผู้นำนั้น เมื่อบุคคลผู้นั้นก้าวขึ้นเป็นผู้นำแล้ว คุณสมบัติเหล่านั้นกลับหายไป เราอาจจะเคยพบเจอบุคคลหลายท่านที่มีความนอบน้อมถ่อมตน มีจิตใจเมตตาปรานี โอบอ้อมอารี แต่พอบุคคลผู้นั้นก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแล้ว คุณสมบัติดี ๆ ที่เคยมีอยู่เหล่านั้นกลับหายไป กลายเป็นคนที่ดื้อ ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่สนใจในความรู้สึกของผู้อื่น สุดท้ายเราก็มีความรู้สึกว่าการมีอำนาจ หรือการซึ่งใครก็ตามก้าวขึ้นเป็นผู้นำ คนคนนั้นอาจจะเสียคนได้

นอกจากนี้ เมื่อเราอ่านข่าวต่าง ๆ จะพบว่าความประพฤติที่ไม่เหมาะสมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในองค์กร มักจะมาจากบุคคลที่อยู่ในอำนาจ พวกที่ไม่อยู่ในอำนาจมักจะไม่ค่อยมีปัญหา หรือก่อให้เกิดปัญหา มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมที่หยาบคาย หรือไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้นในองค์กรส่วนใหญ่นั้น ไม่ว่าจะเป็นการตะโกนใส่ผู้อื่น มักจะมาจากบุคคลที่มีอำนาจในองค์กรเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าคิดย้อนกลับตามหลักจิตวิทยาก็จริงนะครับ เนื่องจากคนที่ยังไม่มีอำนาจ ก็มักจะไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม แต่พอตนเองมีอำนาจแล้ว หลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างที่เคยเก็บกดไว้ ก็ไม่ต้องเก็บกดไว้อีกต่อไป สามารถที่จะแสดงออกได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากนึกว่าตนเองมีอำนาจแล้ว ย่อมไม่มีใครกล้าที่จะว่าร้ายหรือทำอะไรตนเองได้

ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งก็น่าคิดนะครับว่า ทำไมบุคคลหลาย ๆ คน ที่มีนิสัยและพฤติกรรมที่น่ารัก เป็นนิยมและชื่นชอบของคนหมู่มาก เมื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำแล้วปัจจัยที่ทำให้เป็นที่ชื่นชอบนั้นกลับหายไป ข้อถกเถียงประการหนึ่งอาจจะดูสมเหตุผล ก็คือเนื่องจากการเป็นพนักงานธรรมดากับการเป็นผู้นำนั้น ทำให้บุคคลผู้นั้นจะต้องสวมหมวกคนละใบ ในฐานะพนักงานธรรม เขาอาจจะมีอิสรเสรีที่จะประพฤติในรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อก้าวเป็นผู้นำและผู้บริหารองค์กร ความรับผิดชอบที่บุคคลนั้นมี จะไม่ใช่มีต่อตนเองเหมือนในอดีต แต่กลายเป็นความรับผิดชอบต่อความอยู่รอด และความสำเร็จขององค์กร ดังนั้น การตัดสินใจต่าง ๆ ของบุคคลผู้นั้น ก็อาจจะต้องมองผลประโยชน์ขององค์กรเป็นหลัก และไม่สามารถทำตัวให้เป็นที่นิยมของเพื่อนร่วมงานเหมือนในอดีต

จริงๆ แล้ว นักจิตวิทยาเขามีชื่อเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวเหมือนกันนะครับ โดยเรียกว่า Paradox of Power ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพฤติกรรมที่ทำให้บุคคลผู้นั้นก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้นั้น เมื่อบุคคลผู้นั้นขึ้นมาเป็นผู้นำแล้ว พฤติกรรมเหล่านั้นจะมลายหายไปหมด แทนที่จะเป็นคนสุภาพ เรียบร้อย ซื่อสัตย์ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเหมือนในอดีต บุคคลผู้นั้นกลับกลายเป็นคนที่ไม่สนใจผู้อื่น ก้าวร้าว มั่นใจในตนเองมากเกินไป

จริงๆ แล้วมีการวิจัยหลายชิ้นที่ทำให้เห็นว่า คนที่มีพฤติกรรมที่น่าคบ สุภาพ เรียบร้อย และดีในด้านต่าง ๆ นั้น มักจะเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่น ถึงขั้นที่มีผลวิจัยว่า เรามักจะยอมมอบอำนาจหน้าที่ให้กับคนที่เราชอบมากกว่าคนที่เก่งหรือเหมาะสม และคนที่เราชอบส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่มีลักษณะสุภาพ เรียบร้อย จนกระทั่งมีคำกล่าวเลยนะครับว่า แนวทางที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาที่สุด ในการทำให้เราก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงนั้น คือการปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบเดียวกับที่เราต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา

อย่างไรก็ดี เมื่อคนเหล่านี้ที่สุภาพ เรียบร้อย เป็นมิตรกับผู้อื่น ก้าวขึ้นเป็นผู้นำและมีอำนาจแล้ว คนเหล่านี้ก็จะเริ่มปฏิบัติตนในอีกแบบ มีงานวิจัยที่น่าสนใจที่พบว่า คนที่มีอำนาจส่วนใหญ่นั้น มักจะชอบปฏิบัติตัวเหมือนผู้ป่วยที่มีส่วนหนึ่งของสมอง (orbito-frontal lobe) เสียหาย โดยส่วนนี้ของสมองนั้น จะสำคัญต่อการที่แต่ละบุคคลมีความเข้าอกเข้าใจต่อบุคคลอื่น และการตัดสินใจ

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นว่า คนที่มีอำนาจนั้นจะมีความสงสารหรือเข้าอกเข้าใจต่อปัญหาและความต้องการของผู้อื่นน้อยลง อีกทั้งคนที่มีอำนาจนั้นมักจะมีความติดยึดต่อมุมมองเดิม ๆ ของตนเอง อย่างที่เราเรียกว่า Sterotypes และ Generalization เมื่อต้องตัดสินผู้อื่น ผู้มีอำนาจเหล่านี้จะสบตาคนอื่นน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อตนเองไม่มีอำนาจ

ได้เห็นตัวอย่างมาเยอะแล้วเหมือนกันนะครับ ที่ผู้มีอำนาจทั้งหลายจะยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ เมื่อต้องตัดสินผู้อื่น สมมติเช่น ถ้าลูกน้องคนหนึ่งทำงานไม่เสร็จทันตามเวลาที่กำหนด แทนที่เจ้านายจะรับฟังถึงปัญหาที่เขาเผชิญ เจ้านายกลับตัดสินทันทีว่าลูกน้องคนนี้ไม่มีความสามารถ ทั้ง ๆ จริง ๆ แล้วอาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาทำงานไม่สำเร็จ และเกิดจากเหตุสุดวิสัยจริง ๆ คนที่มีอำนาจนั้นเขาจะมีความเชื่อมั่นและยึดมั่นในตนเองสูงพอสมควรครับ จนไม่ยอมแม้กระทั่งรับฟังความเห็น หรือมุมมองจากผู้อื่น

ที่น่ากลัวไม่ใช่เรื่องของการเป็นผู้นำแล้วมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปหรอกนะครับ แต่เป็นเรื่องของเมื่อเป็นผู้นำแล้ว จากคนที่ซื่อสัตย์กลับกลายเป็นคนโกงขึ้นมาทันที จากงานวิจัยพบอีกครับว่า จริงๆ บุคคลเหล่านั้นยังรู้ดีอยู่นะครับว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกหรือผิด แต่เมื่อตนเองมีอำนาจแล้ว ก็สามารถที่จะทำให้สิ่งที่ดูเหมือนจะผิดกลายเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะถูกได้ง่ายขึ้น เช่น การขับรถฝ่าไฟแดง เป็นต้น เมื่อยังไม่มีอำนาจเราก็ไม่ขับรถฝ่าไฟแดง แต่เมื่อมีอำนาจแล้ว เมื่อเราขับรถฝ่าไฟแดง เราก็จะมีข้ออ้างว่า เนื่องจากกำลังรีบ และงานที่กำลังจะไปมีความสำคัญ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องขับรถฝ่าไฟแดง ผู้ที่มีอำนาจมีเหตุผลตลอดเวลาเลยครับว่า สาเหตุที่ตนเองต้องฝ่าไฟแดงนั้น เนื่องจากตนเองกำลังรีบ และเนื่องจากตนเองเป็นคนสำคัญ ดังนั้น สามารถที่จะฝ่าไฟแดงได้

โรค Paradox of Power นั้น ไม่สามารถแก้โดยง่ายครับ วิธีการในการป้องกัน คือ เน้นเรื่องของความโปร่งใส และผู้นำจะไม่พยายามทำตัวไม่ดีถ้ารู้ว่าตนเองถูกตรวจสอบโดยบุคคลอื่น ดังนั้น การมีหน่วยงานอิสระในการตรวจสอบ หรือการมีคณะกรรมการบริหารที่เข้มแข็ง ก็จะช่วยให้บรรดาผู้นำทั้งหลายไม่ต้องเป็นโรค Paradox of Power ได้ครับ
------------------------------
ที่มา : คอลัมน์ มุมมองใหม่
ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 6 กันยายน 2553
http://bit.ly/ca0tvY
..............................................................................................................................



แอดมินเคยพูดถึงการอบรมเชิงปฏิบัติการ "Learning Facilitator" ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ตอนที่ไปอบรมครั้งแรก โรงเรียนแอดมินไปกัน 3 คน และทุกคนพูดเหมือนกันว่า "อยากให้ถึงครั้งต่อไปเร็ว ๆ" (ต้องไปทั้งหมด 6 ครั้ง สัปดาห์เว้นสัปดาห์)

ตอนนี้ไปมาแล้ว 3 ครั้ง และทุกครั้งที่กลับไปสอน เราจะรู้สึกว่าเราเป็นครูคนใหม่ที่เข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กมากขึ้น เราจะมีแรงบันดาลใจที่จะจัดกิจกรรมที่สนุก ๆ และเด็กเกิดการเรียนรู้ ไม่มีการอบรมไหนแล้วล่ะครับ ที่ครูได้นั่งต่อเลโก้ วาดรูปด้วยสีชอล์ก ได้สูตรการคิดวิธีการสอนแบบต่าง ๆ โดยไม่มีการพูดถึงเรื่อง "การทำผลงาน" แต่เป็นการทำเพื่อเด็กจริง ๆ

สำหรับท่านที่สนใจ สอบถามวิทยากรแล้ว ท่านบอกว่าให้ติดต่อทาง "มูลนิธิมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเพื่อการพัฒนาครูชนบท" ผ่านศูนย์บริการวิชาการhttp://www.casmfu.com/ นะครับ

ปล.แอดมินไม่ได้ค่าโฆษณาอะไรนะครับ เพียงแต่อยากจะบอกต่อเพราะว่ามันดีจริง ๆ (เดี๋ยวจะหาว่าเอาแต่ด่าการอบรม 5555+)
อ่อ ภาพนี้มีแอดมินอยู่ด้วยนะครับ แหม่
............................................................................................................................


ปกตินโยบายรัฐ ไม่ควรคิดกำไรหรือขาดทุนอยู่แล้วน่ะครับ แต่จะดูประสิทธิผลของผลงานและโครงการมากกว่า โดยเฉพาะหากโครงการประชานิยมอย่างจำนำข้าว จะวัดกันที่กำไรขาดทุนไม่ได้ แต่ให้ดูถึงคุณภาพชีวิตที่เปลี่ยนไปของเกษตกรว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีในระยะยาวหรือไม่ หรือ มีการลดช่องว่างระหว่างรายได้ของเกษตกรผู้มีรายได้น้อย กับคนกลุ่มอาชีพอื่นๆที่มีรายได้มากกว่าหรือไม่ ต่อให้ขาดทุน 1 ล้านๆ ไม่ใช่ปัญหาของรัฐ เพราะนโยบายเป็นสาธรณะ แต่ประสิทธิผลต้องได้ครับ
...........................................................................................................................


หนทางสู่ความสำเร็จประการหนึ่งคือ การรู้จักจัดเรียงลำดับความสำคัญในชีวิตว่า ณ เวลานั้นๆ ควรทำอะไรก่อนหลัง
................................................................................................................................



» ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด

สาวชาวไต้หวันผู้หนึ่ง เป็นโรคสมองพิการ (cerebral palsy) แต่กำเนิด ไม่สามารถเคลื่อนไหวตามปรกติ และพูดจาไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธา เธอสามารถเรียนจบปริญญาเอกจากสหรัฐฯ แล้วแสดงทัศนคติของเธอในที่ต่าง ๆ เพื่อให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้อื่น

ครั้งหนึ่ง เธอรับเชิญไปบรรยายด้วยการเขียน (คนพูดไม่ได้ต้องใช้วิธีเขียน) หลังบรรยายเสร็จ มีนักเรียนคนหนึ่งตั้งคำถา
มว่า...

“คุณอยู่ในสภาพนี้โดยกำเนิด แล้วคุณไม่รู้สึกน้อยใจเลยรึ? คุณมองตัวเองอย่างไร?”

คำถามอันละเอียดอ่อนนี้ สร้างความตะลึงแก่ที่ประชุมไม่น้อย ต่างเกรงว่าคำถามนี้จะทิ่มแทงจิตใจของเธอ

ปรากฏว่า เธอหันหน้าไปยังแผ่นกระดาน เขียนตัวหนังสืออย่างไม่สะทกสะท้านว่า...

“ฉันมองดูตัวเองอย่างไร?”

เธอหันหน้ามายิ้มให้ทุกคนในห้องประชุม แล้วก็หันกลับไปเขียนข้อความต่อ...

1.ฉันน่ารักมาก
2.ขาฉันเรียวยาวสวยดี
3.คุณพ่อคุณแม่รักฉันจัง
4.พระเจ้าประทานรักแก่ฉัน
5.ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้
6.ฉันมีแมวที่น่ารัก

และ….
ขณะนั้น ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดจาใด ๆ เธอหันกลับมามองดูทุกคน แล้วเขียนคำสรุปบนแผ่นกระดานว่า

“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด”

หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงปรบมือดังสนั่นในที่ประชุมพร้อมทั้งน้ำตาที่สะเทือนใจจากหลาย ๆ คน ณ วันนั้น

ทัศนคติเชิงสุขนิยมและบทพิสูจน์ของเธอเพิ่มกำลังใจแก่ผู้คน มากมาย ผู้เป็นโรคสมองพิการผู้นี้คือ น.ส.หวางเหม่ยเหลียน ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตจาก UCLA ผู้เคยจัดนิทรรศการภาพเขียนส่วนตัวหลายครั้งในไต้หวัน

::::::::::::::::::


น.ส.หวางเหม่ยเหลียน เป็นอีกหนึ่งแบบอย่างดี ๆ ของคนที่มีความนับถือตนเอง หรือ Self esteem

คนที่มี Self esteem จะมีความเชื่อว่า...ตนเองมีความสามารถที่จะเผชิญโลกได้ในทุกสถานการณ์ และรู้ซึ้งดีว่าตนเองนั้นมีคุณค่าและเป็นคนดี มีความมั่นคงภายในจิตใจ

Self esteem จะเป็นเสมือน Software ที่ติดตั้งอยู่แล้วในแต่ละบุคคล ซึ่งจะเป็นตัวบอกว่าคน ๆ นั้นจะสามารถประสบความสำเร็จได้หรือไม่

เพราะคนที่มี Self esteem ต่ำคือคนที่คิดอยู่เสมอว่าตนเองไม่ดีพอ ไม่เก่งพอ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เพราะคิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ล้มเหลวสมความปรารถนา

แต่ในขณะเดียวกันคนที่มี Self esteem สูงจะเป็นคนรู้ดีว่าตนเองนั้นเป็นคนดี มีคุณค่า เป็นที่รักของคนอื่น เป็นคนมีความสามารถ พร้อมที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองอยู่ตลอดเวลา และสามารถฝ่าฟันปัญหาชีวิตได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตา

เหล่านี้...เป็นเสมือนตัวที่คอยเตือนสติและให้กำลังใจตนเองอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ประสบความสำเร็จ และมีความสุขได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

::::::::::::::::::


ข่าวดี คือ Self esteem เป็นสิ่งที่สามารถสร้างเองได้

• Life 101 มีวิธีการสร้าง Self esteem 6 ประการ มาฝาก ดังนี้...

1. การใช้ชีวิตอย่างมีสติ (Living Consciousness)

การจะมีสติได้นั้นต้องสังเกตความคิดและความรู้สึกของตนเองอยู่ตลอดเวลาว่า เราเป็นคนที่มีความคิดมีทัศนคติอย่างไรบ้างในทุก ๆ สถานการณ์ เมื่อรู้จักตนเองดีพอ จึงจะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองได้


2. การยอมรับตนเอง(Self Acceptance)

ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เหรียญย่อมมีสองด้านมีดีก็ย่อมมีเสีย ยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกับตนเอง หากตนเองยังยอมรับจุดอ่อนของตัวเองไม่ได้เมื่อมีคนอื่นมาแตะจุดอ่อน ก็จะรู้สึกไม่พอใจ อึดอัด พาลใส่อารมณ์กับคนรอบข้าง หาความสุขไม่ได้


3. การมีความรับผิดชอบต่อตนเอง (Self Responsibility)

ยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่เราเลือกเอง รับผิดชอบเอง และเมื่อเกิดอุปสรรคและความล้มเหลวก็ไม่โทษคนอื่น ไม่โทษโชคชะตา สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จากการมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรและสิ่งที่จะตามมานั้นคืออะไร


4. การมีความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิต (Self Assertiveness)

คือการสามารถเปลี่ยนความคิดให้เป็นการกระทำได้ (Take Action) นี่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพื้นฐานของมนุษย์คือมนุษย์รักความสบาย ไม่ชอบความยากลำบาก และชอบอยู่เฉย ๆ จึงต้องมีการปลูก 'ฉันทะ' คือจินตนาการภาพว่าหากเราประสบความสำเร็จ จะมีสิ่งดี ๆ งาม ๆ อะไรบ้างรอเราอยู่ เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้เรามีกำลังใจในการลงมือทำ


5. การใช้ชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมาย (Living Purposefully)

วางเป้าหมายให้ทัดเทียมกับศักยภาพที่มีอยู่ การจะมองเห็นซึ่งศักยภาพได้ต้องมองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองอย่างครบถ้วนเสียก่อน แล้วมาบวกกับ พรสวรรค์ ความเชี่ยวชาญ และความชอบของตนเอง จึงจะเรียกว่าศักยภาพที่แท้จริง


6. การมีศักดิ์ศรีในตนเอง (Personal Integrity)

สามารถปฏิบัติตามความเชื่อ คุณธรรม หรือหลักการที่ตนเองเชื่อมั่นได้ ซึ่งก็คือการมีปากกับใจตรงกันนั่นเอง การทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นนั้น จะเป็นตัวบ่อนทำลายความนับถือในตนเอง

การเป็นคนมีคุณธรรมนั้นสามารถอยู่ได้ทุกสถานการณ์ ถึงแม้เหตุการณ์ภายนอกจะเลวร้ายเพียงใด จะโดนว่ากล่าวเสียดสีอย่างไรก็ไม่เป็นผล จะไม่มีสิ่งใดมากระทบกระเทือนได้

เพราะรู้จักตนเองดีพอ รู้ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ และทำไปเพื่ออะไร และที่สำคัญคือรู้ว่าตนเองเป็นคนดี ก่อให้เกิดความมั่นใจจากภายในอยู่ตลอดเวลา

::::::::::::::::::


“The man who does not value himself, cannot value anything or anyone.”

ด้วยความปรารถนาดี

ทีมงาน #Life101


::::::::::::::::::


Credit : หนังสือ The Six Pillars of Self Esteem และ kwamru.com
.......................................................................................................................



ข้อเท็จจริงกรณีการรับจำนำข้าว

จึงเรียนมาเพื่อทราบ.
............................................................................................................................



Friendship
................................................................................................................................



ชีวิตทุกคน "ไม่มีทางตัน" หลายคนชอบเปลี่ยนชื่ออุปสรรคและปัญหาต่างๆให้เป็นคำว่า "จุดจบ"
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ยังมีสติปัญญา ยังมีเรี่ยวแรง ชีวิตก็มีทางออกรอให้คุณเลือกอยู่เสมอ

หากคนที่เคยล้มเหลว แล้วเค้าเชื่อว่านั่นคือโชคชะตาของเค้า ยอมรับความล้มเหลวและหยุดอยู่แค่ตรงนั้น วันนี้ก็คงไม่มีมหาเศรษฐีที่มานั่งเล่าชีวิตที่เคยพังไม่เป็นท่าให้เราฟังอยู่มากมายบนโลกในตอนนี้หรอกครับ

นักมวยเคยแพ้น็อค แล้วต้องเลิกอาชีพนี้ไปเลยหรือเปล่า
เคยสอบตก แล้วต้องลาออกจากสถาบันการศึกษาเลยใช่มั้ย
ทำธุรกิจเคยล้มละลาย นั่นคือจุดจบของชีวิต ต้องฆ่าตัวตาย จริงหรือครับ

ขอให้คิดให้ดีๆก่อนตัดสินใจยอมแพ้อะไรง่ายๆ จงเลือกทางออกที่ดีที่สุด

ชีวิตคุณ คุณกำหนดเองนะครับ ไม่มีใครมากำหนดคุณได้
เพราะฉะนั้น ก็เลือกให้ดีที่สุดไปเลย
..........................................................................................................................


ผมสงสัยจริงๆว่า ทำไมหลายๆคนเกลียดวันจันทร์กันจังครับ
ตอนเด็กๆ พอถึงวันจันทร์ทีไร ผมก็รีบไปโรงเรียนทุกที ไม่มีขี้เกียจเลย
...........................................................................................................................



รู้ไปทำไมว่า มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ หรือ NUS กลายเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 2 ของเอเชียและอันดับ 8 ของโลกได้อย่างไรในเวลาแค่ 10 ปี? (ตอนที่ 2)

"เพราะเราเปลี่ยนวิธีการสอน" โปรเฟสเซอร์ Bernard Tan รองอธิการบดีการศึกษา (Vice Provost) ของ NUS บอกกับผม

"เมื่อ 10 ปีก่อนเราก็สอนนักศึกษาด้วยการเล็คเชอร์เหมือนที่อื่นๆ"

"ความรู้จากเล็คเชอร์นั้น นักศึกษาเรียนจบแล้วเอาไปใช้ได้แค่ 3 ปีถึง 5 ปี ก็ล้าสมัยแล้ว เราจึงตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการสอนจากการสอนแบบเล็คเชอร์ให้ความรู้ มาสอนวิธีการหาความรู้ ให้รู้จักหาความรู้มาแก้ปัญหา"

(และยังใช้) "Problem-based Learning (การใช้ปัญหาเป็นฐานในการเรียนรู้) ใช่ไหม?" ผมถามเจาะเข้าประเด็น
"ใช่ เราเปลี่ยนจากการเล็คเชอร์เป็น Problem-based Learning!"

การสอนด้วยการบรรยาย จะ "บรรยาย" ก่อนแล้วจึงให้ "โจทย์" และโดยมากจะให้โจทย์กันตอนสอบ แต่การใช้ปัญหาเป็นฐานในการเรียนรู้ จะกลับกัน คือจะให้ "โจทย์" ก่อน และจะให้นักศึกษาวิเคราะห์ว่า เพื่อจะ "แก้โจทย์" ต้องใช้ "ความรู้" อะไรบ้าง แล้วให้ไปหาความรู้นั้นมาแก้โจทย์

"ผลลัพธ์" ที่ได้คือนักศึกษาจะมีความสามารถในการ "หาความรู้" มา "แก้ปัญหา" หากตรงไหนขาดไปอาจารย์ก็จะเพิ่มเติมให้

"ตอนที่เริ่มเปลี่ยนมีอุปสรรคปัญหาบ้างไหมครับ"

"มี" โปรเฟสเซอร์ Tan ตอบ "ปัญหาใหญ่สุดคืออาจารย์! อาจารย์ไม่ยอมเปลี่ยนวิธีสอน!"

แล้ว NUS เขาแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร? โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
(ท่านที่สนใจ Problem-based Learning, Project-based Learning และ Service Learning โปรดติดตามอ่านได้ที่เพจ "การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง" ครับ
www.facebook.com/thaiciviceducation)

บางส่วนจากสเตตัสในเฟสบุ๊คของ Prinya Thaewanarumitkul
.................................................................................................................

หลักแห่งความเป็นธรรมชาติ
http://www.blacksheep.co.th/article/naturual-rules/
...................................................................................................................



อิสรภาพคือ ความสุข...

ทำในสิ่งที่ชอบคืออิสรภาพ
ชอบในสิ่งที่ทำคือความสุข
...........................................................................................................................

............................................................................................................................


การพ่ายแพ้ที่ดอนเมือง ไม่ใช่ความผิดพลาดผู้สมัคร แต่ผมคิดว่าเป็น "การเมืองภาพรวม"

คะแนนตอนนี้ที่ทราบคือ แทนคุณ ได้ 32,700 คะแนน และแซม ยุรนันท์ ได้ 30,550 คะแนน

ผมว่าแทนคุณคงได้เป็น สส.ค่อนข้างแน่ ก็ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ ประชาชนเลือกอย่างไรเราก็ต้องเคารพ
หากวิเคราะห์คะแนน ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ พรรคเพื่อไทยได้คะแนนจากเขตดอนเมือง 40,000 คะแนน และพรรคประชาธิปัตย์ได้ 30,000 คะแนน ดังนั้น ผลการเลือกตั้งซ่อมนี้ ปชป.จึงได้เพิ่มประมาณ 3,000 คะแนน ส่วนพรรคเพื่อไทยหายไปประมาณ 10,000 คะแนน

ทำไม 10,000 คะแนนไม่ออกมา

ผมไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องของ ชื่อเสียงของผู้สมัครแต่อย่างใด เพราะแซม ยุรนันท์นั้นก็มีชื่อเสียงในทางการเมืองมานาน เคยสมัครผู้ว่าฯ กทม. และก็มีบ้านอยู่เขตดอนเมืองด้วย

น่าจะเป็นการเมืองในภาพรวมมากกว่า ว่าประชาชนส่งสัญญาณอะไร ทั้งๆ ที่ดอนเมืองเป็นพื้นที่มีเสื้อแดงหนาแน่น

รัฐบาลก็ต้องวิเคราะห์ละครับว่าทำงานมาสองปี ทำไมถึงแพ้เลือกตั้ง

ส่วนตัวผมคิดว่า น่าจะเกิดจากแนวทางการเมืองที่ไม่มีความชัดเจน ว่าจะสู้หรือจะถอย ทำให้คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งเกิดความไม่พอใจขัดใจ

ส่วนหนึ่งอาจเป็น คณะรัฐมนตรีสองปีมานี้ มีคนเสื้อแดงน้อยมาก มีแต่คนสายเจ้ สายเฮีย ที่ไม่ค่อยได้ร่วมต่อสู้กับประชาชรในช่วงที่ผ่านมามากนัก ทำให้สายสัมพันธ์กับมวลชนมีน้อยมาก

มีนายกฯปูคนเดียวใน ครม.เท่านั้นที่ป็อบปูล่า

แต่นายกฯปูก็ห่างเหินกับคนเสื้อแดง เหมือนพยายามรักษาระยะเอาไว้ แต่การพยายามรักษาระยะ นั้นตัวนายกฯอาจทำได้ แต่ คนใน ครม.ยิ่งไม่มีความเชื่อมโยงด้วยแล้ว ก็กลายเป็นว่ารัฐบาลห่างมวลชนมากมาย คนที่เคยร่วมสู้ทั้งหลาย เข้าไม่ถึงรัฐบาล กลายเป็นระยะห่าง

ผมว่าเรื่องความชัดเจนทั้งการแก้ไข รธน. พรบ.นิรโทษกรรม ต่างๆ นั้นมีส่วนสำคัญยิ่ง

รัฐบาลให้คนที่คุยกับมวลชนไม่รู้เรื่อง เช่น เฉลิม อยู่บำรุง หรือปลอดประสพ มีบทบาทนำในรัฐบาลมากเกินไป

รมต.สายมวลชนมีณัฐวุฒิคนเดียวก็รับไม่อยู่หรอก มันต้องมี "ผู้ใหญ่ที่มวลชนเขานับถือ" อยู่ในตำแหน่งสำคัญด้วย

ผมอาจวิเคราะห์ผิดก็ได้ แต่ผมก็นึกไม่ออกว่า ฐานเสียงในดอนเมืองนำขนาดนั้น ทำไมแพ้ได้

หากรัฐบาลยังดำเนินนโยบายทางการเมืองแบบนี้ ผมคาดว่า เลือกตั้งใหญ่อีกสองปีข้างหน้า อาจได้คะแนนไม่ถึงครึ่ง แล้วก็จะได้เป็นฝ่ายค้าน

ได้อำนาจแล้ว "รักษาอำนาจไม่ได้" ผมก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเหมือนกัน
...................................................................................................................



Happy Father's Day!

Click here to read the original comic: http://phdcomics.com/comics.php?f=1554

More at: http://phdcomics.com/
...................................................................................................................



ทางร้าน Sushi Hiro ใช้ Wasabi เป็นต้นจากญี่ปุ่น ขูดกันสดๆจากต้นให้ทานเลยคะ รับรองจี๊ดอร่อยสุดๆ ^^ ทานกับซาซิมิ จิมโชยุหน่อย ฟินนมั๊กๆ!
.........................................................................................................................

ขอแสดงความยินดีที่การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ครั้งนี้ ไม่ปรากฏเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต และการใส่ร้ายป้ายสีเข้ามายัง กกต.กทม.

สำหรับผมแล้วนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ

และขอแสดงความยินดีกับคุณแทนคุณ ที่ได้รับโอกาสเป็นผู้แทนราษฎร
แม้ว่าสำหรับผมแล้ว ความสง่างามของคุณแทนคุณ หมดไปตั้งแต่ "อย่าทำร้ายผม ผมมาคนเดียว อย่าทำร้ายผม" แล้วก็ตาม

'อี้' ชนะเลือกตั้ง 'แซม' ปชป.คว้าเก้าอี้ ส.ส.ดอนเมือง

'อี้' ชนะเลือกตั้ง 'แซม' ปชป.คว้าเก้าอี้ ส.ส.ดอนเมือง

ผลการนับคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.เขต 12 กรุงเทพมหานคร อย่างไม่เป็นทางการ "แทนคุณ" จากประชาธิปัตย์ ชนะคู่แข่ง "ยุรนันท์" จากเพื่อไทย เจ้าตัวขอบคุณคนดอนเมืองให้โอกาสทำงาน
ผลการนับคะแนนเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต 12 ดอนเมือง อย่างไปนทางการ นับคะแนนเสร็จแล้วทุกหน่วยเลือกตั้ง ผลปรากฏว่า นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. จากพรรคประชาธิปัตย์ ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนน 32,751 คะแนน ส่วน นายยุรนันท์ ภมรมนตรี ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. จากพรรคเพื่อไทย ได้คะแนน 30,357 คะแนน ตามมาเป็นอันดับสอง
ทั้งนี้ นายสุพจน์ ไพบูลย์ ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการ จะสามารถประกาศต่อสาธารณชนได้ภายในเวลา 19.00 น. หลังจากนั้นจะส่งผลคะแนนให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการต่อไป ซึ่งการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ครั้งนี้ ไม่ปรากฏเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต และการใส่ร้ายป้ายสีเข้ามายัง กกต.กทม. แต่อย่างใด

ข้อมูลโดย : www.innnews.co.th

  • Ice Nachai ขอถามเล็กๆ พี่ได้ฟังประโยคที่เป็นปัญหาแล้วหรือยังครับ 
    ที่เค้าฟ้องว่าใส่ร้าย

  • Supapong Wanitpongpan ??
    ใครฟ้องใครว่าใส่ร้าย?
    ถ้าเรื่อง "อย่าทำร้ายผม" ก็ดูคลิปทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว 
    แต่ถ้าเรื่องเลือกตั้ง ครั้งนี้มีด้วยรึ?
.............................................................................................................................

เลือดนองตลาด

ช่วงประมาณ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้นดูเหมือนว่าตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวลงมาแรงจนน่าตกใจ  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาจากประมาณ  1640 กว่าจุดเหลือ 1465 จุดในวันที่ 14 มิถุนายน 2556 ซึ่งเป็นการตกลงมาเกือบ 200 จุดหรือลดลงประมาณ 10%    ในบางช่วงนั้น  บางวันหุ้นตกลงมาถึง 5%  และยังตกติดต่อกันอีกหลายเปอร์เซ็นต์ในวันต่อมาแม้ว่าจะมีการ “รีบาวด์”  เป็นระยะ ๆ  บางทีในวันเดียวกัน  เหตุผลที่หุ้นตกลงมานั้น  นักวิเคราะห์ต่างก็บอกว่าเป็นเรื่องของการที่สหรัฐอเมริกามีภาวะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นดังนั้นมาตรการ QE ซึ่งคอยอัดฉีดเงินเข้าระบบการเงินทุกเดือนอาจจะต้องลดลงซึ่งจะทำให้สภาพคล่องทางการเงินที่เคยไหลมาลงทุนในตลาดหุ้นเอเซียต้องถูกถอนกลับ  ผลก็คือ  นักลงทุนเทขายหุ้นและทำให้หุ้นตกลงมาอย่างหนักทั่วเอเซีย  ตัวเลขการขายหุ้นสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นของไทยก็ฟ้องว่ามีการขายหุ้นจริงคิดเป็นหลายหมื่นล้านบาทตั้งแต่ต้นปี   วันที่หุ้นตกอย่างหนักบางวันก็เห็นว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากถึง 5-6 พันล้านบาท   ปรากฏการณ์หุ้นตกครั้งนี้ผมมีความคิดและข้อสังเกตหลาย ๆ  อย่างที่อยากจะพูด

   เรื่องแรกก็คือ  การตกของหุ้นในรอบนี้ที่ดูเหมือนว่าจะรุนแรงนั้น  ว่าที่จริงดัชนีหุ้นก็ยังสูงกว่าดัชนีเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 1392 จุด  ดังนั้น  สำหรับคนที่  “มองยาว”  อย่างผมซึ่งมักจะดูดัชนีเป็นปี ๆ  แล้ว  ผมไม่ได้คิดว่าหุ้นตกอะไรเลย  เพราะเมื่อผ่านมาประมาณเกือบครึ่งปีของปีนี้หุ้นก็ยังขึ้นมาประมาณ 5%  เมื่อรวมกับปันผลประมาณเกือบ 3%  ผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยรวมยังสูงถึง 8%  และถ้าเราคาดว่าหุ้นก็จะมีผลประกอบการแบบเดิมในครึ่งปีที่เหลือ   เราก็คูณด้วย 2  ก็จะได้ว่าหุ้นปีนี้อาจจะให้ผลตอบแทนถึง 16% ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่ดีเลิศ  ดังนั้น  เราจะเสียอกเสียใจไปทำไมถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาว?   คนที่จะกลุ้มใจและอาจจะเสียหายหนักน่าจะเป็นคนที่เพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงเร็ว ๆ   นี้ก่อนหุ้นจะตก   หรือไม่ก็เป็นคนที่ทุ่มเงินเข้ามาลงทุนมากในช่วงนี้   อย่างไรก็ตาม  คนที่มีหุ้นเต็มพอร์ตมาตลอดและถือหุ้นระยะยาวเองก็คงรู้สึกเศร้าอยู่เหมือนกันที่เห็นเงินในพอร์ต  “หาย”  หรือลดลงไปมากในช่วงเวลาสั้น ๆ   คำแนะนำหรือคำปลอบประโลมใจของผมก็คือ  นี่คือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นถ้าเราอยู่ในตลาดหุ้นมานาน  วอเร็น บัฟเฟตต์ เองถึงกับบอกว่า   ถ้าคุณไม่สามารถมองเห็นพอร์ตหรือราคาหุ้นลดลงไปถึง 50% ได้  คุณก็ไม่ควรอยู่ในเกมของการลงทุน

   เรื่องที่สองก็คือ  การตกของหุ้นในรอบนี้เป็นสิ่งที่ผมเคยคาดไว้หรือไม่?   คำตอบก็คือ  ผมเองคิดไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่หุ้นอาจจะไม่ดี  ว่าที่จริงผมเองคิดว่ามีโอกาสที่ผลตอบแทนของปีนี้จะ  “ติดลบ”  ด้วยซ้ำ  เหตุผลของผมก็คือ  ตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไปถึงปี 2552 หรือ 4 ปีที่ผ่านมานั้นให้ผลตอบแทนที่  “สุดยอด” นั่นคือ  ปี 2552 หุ้นขึ้นมา 63%  ปี 53 หุ้นขึ้นอีก 41%  ส่วนปี 54 นั้น หุ้นนิ่งเท่ากับปี 53 หรืออาจจะเรียกว่า  “หยุดพัก”  หลังจากนั้นในปี 55  หุ้นก็เริ่มวิ่งใหม่  ขึ้นมาอีก 36%   จากดัชนีสิ้นปี 51 ที่ประมาณ 450 จุดขึ้นมาเป็น 1392 เมื่อสิ้นปี 55 หรือขึ้นมาสูงเป็นกว่า 3 เท่าในเวลา 4 ปี  ซึ่งเป็นสถิติที่ตลาดไทยไม่เคยเจอ  และถ้าปี 56 ตลาดหุ้นขึ้นมามากอีก  มันก็เป็นอะไรที่  “สุดโต่ง”  เมื่อเทียบกับสถิติ “ระยะยาว”  ของตลาดหุ้นไทยที่ผลตอบแทนประจำปีที่เป็นบวกต่อปีที่ผลตอบแทนเป็นลบนั้น  เป็นแค่ 60:40  และผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเป็นแค่ประมาณ 10%   ดังนั้น  ความหวังของผมในตอนสิ้นปี 2555 ก็คือ  ดัชนีตลาดในปี 2556 จะไม่เป็นลบ  แต่การณ์กลับเป็นว่า  เพียง 3-4 เดือนของปี 2556 ตลาดก็ขึ้นไปแล้วเกือบ 20%  ซึ่งทำให้ผมคิดว่า  การ “ปรับตัว”  น่าจะเกิดขึ้นได้เสมอ  ก็ได้แต่หวังว่าผลตอบแทนเมื่อสิ้นปีนี้จะไม่เป็นลบ
   เรื่องต่อมาก็คือ  ผมได้ทำอะไรเมื่อหุ้นตกลงมาแรง?  คำตอบก็คือ  ผมไม่ได้ทำอะไรเลย  ว่าที่จริงในทุกครั้งที่หุ้นตกแรงไม่ว่าจะในปีไหนหรือตกจากสาเหตุอะไร  ผมไม่เคยที่จะขายหุ้น  ผมคิดว่าในยามที่คนกำลัง “ขวัญผวา”  และเทขายหุ้นเหมือนฟ้าจะถล่มนั้น  หุ้นย่อมจะต้องตกเกินความเป็นจริง  ดังนั้น  ถ้าเราขายหุ้นในวันนั้น  เราก็จะขายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง  ผมคิดว่าถ้าเราคิดว่าพื้นฐานของกิจการเปลี่ยนจริง ๆ  เราก็รอขายในอีก 2- 3 วันที่คนหายตื่นตระหนกจะดีกว่า   ถ้าจะว่าไป  ในทุกครั้งที่เกิด “แพนิค”  หลังจากนั้นก็จะต้องมีการ  “รีบาวด์” ให้เราขายได้เสมอ  แต่ในกรณีที่พื้นฐานไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  ผมก็ไม่ทำอะไร  บางทีถ้าหุ้นตัวที่เราสนใจตกลงมามากจนคุ้มค่า   ผมก็จะเข้าไปซื้อเท่าที่จะหาเงินมาได้
   เรื่องที่สี่ก็คือ  ในระดับดัชนีขณะนี้  มองไปข้างหน้าเราสามารถลงทุนระยะยาวโดยการเข้ามาซื้อหุ้นได้หรือไม่?   นี่เป็นคำถามที่ตอบยาก  ประเด็นก็คือ  ในภาวะที่หุ้นร้อนแรงมาก (แม้ว่าจะปรับตัวลงมาบ้าง)  ผมเองคิดว่าหุ้นที่มีราคาถูกมาก ๆ  นั้นหาได้ค่อนข้างยากหรือไม่ก็เป็นหุ้นที่อาจจะถูกแต่ก็มีความเสี่ยงบางอย่างที่อาจจะสูงสำหรับผม   ดังนั้น  ถ้าผมยังไม่มีหุ้นอยู่เลยหรือมีหุ้นจำนวนน้อยและมีเงินสดเหลือมาก  ผมก็คงจะ  “รอ”  หรือไม่ก็เลือกหุ้นบางตัวที่มีความปลอดภัยสูงและก็คงไม่เข้าไปลงทุนมากมายอะไรนัก   ผมคิดว่ายังน่าจะมีเวลาที่หุ้นจะตกต่ำลงมากกว่านี้  หรือไม่เราก็อาจจะพบหุ้นบางตัวที่โดดเด่นขึ้นมาจนมีคุณค่าและเป็นหุ้นที่มี Margin of Safety สูงพอที่เราจะลงทุนได้อย่างสบายใจ  จำไว้ว่าเราไม่มีแรงกดดันอะไรที่จะต้องตัดสินใจในสิ่งที่เราไม่แน่ใจ  อย่าลืมว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น  บ่อยครั้ง  นั่งทับเงินสดเป็นพัน ๆ ล้านเหรียญ เป็นปี ๆ 
   คำถามสุดท้ายก็คือ  ถ้าเรามีหุ้นอยู่เต็มพอร์ต   เราควรทยอยขายออกไปไหมเพื่อ “ลดความเสี่ยง”  เหนือสิ่งอื่นใด  เราได้กำไรมามากแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  ควรไหมที่เราจะ “ล็อก” กำไรหรือเม็ดเงินไว้  รอดูให้ทุกอย่าง “คลี่คลาย”  แล้วค่อยกลับมาลงทุนใหม่?   สำหรับคำถามนี้ผมเองยอมรับว่าตอบไม่ได้เหมือนกัน  จริงอยู่  ผมเองก็คิดว่าหุ้นในเวลานี้ไม่ถูกหรือบางทีอาจจะแพงด้วยซ้ำ  แต่ถ้าเราขายไปแล้วถือเงินสดหรือลงทุนในตราสารหนี้ก็ตาม  ผลตอบแทนที่ได้ก็จะต่ำมากอาจจะเพียง 2-3%  ในขณะที่การลงทุนในหุ้นนั้นอาจจะไม่ดี   แต่พอร์ตเราก็ยังอาจจะพอไปได้ให้ผลตอบแทนอาจจะ 4-5% แม้ว่าดัชนีตลาดอาจจะติดลบ  ในกรณีแบบนี้   การถือหุ้นไว้ก็ยังดีกว่า   และเมื่อตลาดเริ่มฟื้นตัว  พอร์ตของเราก็อาจจะเดินหน้าต่อไป  ดังนั้น  ดู ๆ  แล้ว  การที่จะขายหุ้นเพื่อถือเงินสดนั้น  อาจจะไม่ให้ประโยชน์อะไรและอาจจะทำให้พลาดอย่างแรงกรณีที่หุ้นไม่ได้ปรับลดดังคาด  และถ้าหากว่าหุ้นกลับขึ้นไปโดยที่เราไม่กล้ากลับเข้าไปในตลาดเร็วพอ  ความเสียหายก็จะเพิ่มทวีคูณ   ด้วยเหตุผลดังกล่าว  ผมจึงมักจะ “อดทน” ถือหุ้นไว้แม้ในใจจะหวั่นว่าหุ้นอาจจะปรับตัวลงหนักได้ตลอดเวลา

...............................................................................................................



To... B FuckGkost

เอาไปอีกอันนึงครับเผื่อไว้ต่อกรกับพวกงมงาย

เมื่อประมาณเดือนมีนาคมที่ผ่านมาแอดมินลงไปสวนโมกข์มา 3-4 วันครับ เลยมีโอกาสได้ถามหลวงพ่อซึ่งอยู่ตรงเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ว่า

แอดมิน : หลวงพ่อครับผมเคยอ่านหนังสือ "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" ซึ่งท่านพุทธทาสไม่เอาพระพุทธรูป แต่ทำไมในสวนโมกข์ถึงมีพระพุทธรูปตั้ง 2 แห่งละครับ ? (ที่ลานหินโค้งกับเขาพุทธทอง)

หลวงพ่อ : อ่อ พระพุทธรูปนี้ท่านพุทธทาสไม่ได้เป็นคนสร้างหรือเอาเข้ามาเองหรอก มีโยมเขาถวายให้สวนโมกข์เพราะอยากให้สวนโมกข์มีพระพุทธรูป ท่านพุทธทาสก็รับไว้

แอดมินก็ยังสงสัยอยู่ว่าท่านพุทธทาสปฏิเสธไม่รับก็ได้นี่ ก็เลยไปถามท่านว่ายทวนน้ำ

แอดมิน : อาจารย์ความจริงท่านพุทธทาสปฏิเสธไม่รับพระพุทธรูปที่คนนำมาถวายให้สวนโมกข์ก็ได้นี่ ท่านไปรับทำไม ?

ว่ายทวนน้ำ : อ่อ ท่านเอาไว้ "กันหมาเห่า" น่ะ
.......................................................................................................................


"ผมพยายามจะเตือนตัวเอง (และบ่อยครั้งก็ไม่สำเร็จ) ว่าถ้าบริษัทมันดีเยี่ยมจริง ๆ และจะเป็นการลงทุนที่ดีในปีหน้าและปีต่อไป ทำไมไม่รอก่อน รอให้บริษัทมีผลงานที่ชัดเจน? รอให้มันมีกำไรก่อน คุณก็ยังสามารถได้หุ้น 10 เด้งได้ ในบริษัทที่ได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว เมื่อยังไม่แน่ใจ ก็อย่าเพิ่งเข้าไป"
- ปีเตอร์ ลินซ์ -

"What I try to remind myself (and obviously I'm not always successful) is that if the prospects are so phenomenal, then this will be a fine investment next year and the year after that. Why not put off buying the stock until later, when the company has establish a record? Wait for the earnings. You can get tenbaggers in companies that have already proven themselves. When in doubt, tune in later."
......................................................................................................................


คำถาม
"คุณประภาสคิดว่าผู้หญิงอายุ 24 ปี หน้าตาธรรมดา รูปร่างธรรมดา ความสามารถธรรมดา ยังไม่เคยมีคนมาจีบเลย ถือเป็นเรื่องผิดปกติไหมคะ ขอความเห็นคุณประภาสด้วยค่ะ"
จากคนบ้านสวน
...................................................

คำตอบ
มีผู้ชายใจร้ายคนไหนเคยบอกคุณ "คนบ้านสวน" หรือครับว่าคุณมีหน้าตาธรรมดา รูปร่างธรรมดา และความสามารถธรรมดา

มนุษย์แต่ละคนมีสิ่งพิเศษในตัวเองที่คนอื่นไม่มี อย่างน้อยก็หนึ่งอย่างแทบทุกคน ผมเชื่ออย่างนั้น ทีนี้มันก็อยู่ที่ว่าเรามองเห็นตัวเองกันบ้างหรือเปล่า ความสวยของผู้หญิงก็เหมือนกัน ถ้าถามผมว่าผู้หญิงในโลกนี้สวยกันทุกคนหรือ ผมกล้าตอบนะครับว่า

ผู้หญิงในโลกนี้สวยทุกคน

ความสวยของผู้หญิงมันจำกัดอยู่แค่จมูกโด่ง ตาโต อกตั้งอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ ผู้หญิงหลายคนที่ผมรู้จัก เชื่อไหมครับว่าตอนยังไม่ได้คุยกัน ผมก็มองเห็นว่าเธอมีรูปทรัพย์เป็นที่ต้องตาผู้ชายดีอยู่ แต่ครั้นพอได้แลกเปลี่ยนความคิดกันบ้าง ได้มองเห็นว่าในหัวใจเธอประกอบด้วยอะไรบ้าง ความสวยของเธอก็เปลี่ยนไปแล้ว ทีนี้ให้มองอย่างไรก็เห็นแต่ลิปสติกกับยาย้อมผมมาขวางตาอยู่ร่ำไป มองอย่างไรก็ไม่เห็นดอกไม้หรือสายน้ำเสียที

แต่ผู้หญิงบางคนยิ่งคุยด้วยก็ยิ่งเห็นว่าเธอยิ่งสวยขึ้นเรื่อย ๆ

อย่ามัวแต่คิดว่าตัวเองหน้าตาธรรมดา รูปร่างธรรมดา หรือความสามารถธรรมดาอยู่เลย ถ้ามัวแต่คิดอยู่อย่างนี้ อีกกี่ปีจะมีใครเขามาชมมาชอบล่ะครับ ก็ตัวเองยังไม่ชอบตัวเองเลย
..............................................................
ที่มา:"ตัวหนังสือคุยกัน"ของ ประภาส ชลศรานนท์
.......................................................................................................................