วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

30/04/2556




‘สมการราคา’

“อนันต์” หรือ “เฮียตึ๋ง” ไปเยี่ยมไซต์งานก่อสร้างคอนโดมิเนียมของบริษัท
เมื่อลูกน้องเห็นหน้า “บอสใหญ่” ก็ตื่นเต้น
คอนโดแห่งนี้ เพิ่งเปิดขายเมื่อ 2-3 วันก่อน
และโชคดีที่ขายหมดเพียงวันเดียว ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้าง
ดังนั้น เมื่อ“อนันต์”ถามถึงยอดขาย
ลูกน้องก็รายงานด้วยความภาคภูมิใจว่า
“ขายหมดภายในวันเดียวครับ”
“อนันต์” อึ้งไปนิดหนึ่ง
ใครๆ ก็คิดว่าเขาคงดีใจ
แต่ไม่ใช่

“อนันต์”บอกว่า ถ้าโครงการไหนเปิดให้จองและขายหมดภายในวันเดียว
ให้เรียกผู้บริหารโครงการนั้นมาคุย และบอกเขาเลยว่าสิ้นปีนี้ เขาจะไม่ได้โบนัส และไม่ได้ขึ้นเงินเดือน
“เพราะการขายหมดภายในวันเดียว แสดงว่าคุณตั้งราคาผิด
เมื่อตั้งราคาถูกแบบคนซื้อตัดสินใจง่าย คอนโดจึงขายหมดภายในวันเดียว”

การตั้งราคาขายที่ถูกเกินไปสำหรับธุรกิจคอนโดมีเนียมที่ยังสร้างไม่เสร็จ อันตรายมาก
เพราะเท่ากับว่าเราปิด “ประตู” ของ “รายได้” ลงเรียบร้อยแล้ว
ไม่มีทางจะขอเพิ่มราคาจากลูกค้าได้เลย
แต่ “ประตู” ของ “รายจ่าย” ยังเปิดอยู่เพราะยังสร้างไม่เสร็จ
เพราะ "ค่าแรง วัสดุก่อสร้าง น้ำมัน" ยังพร้อมขยับขึ้นได้ตลอดเวล

มีลูกน้องบางคนเถียงว่า เขาเตรียมป้องกันปัญหานี้ไว้แล้ว ด้วยการเซ็นสัญญาล่วงหน้ากับผู้รับเหมา
"ต้นทุน" ของโครงการจึงไม่มีทางเพิ่มจากนี้
เพราะ "ความเสี่ยง" ทั้งหมด "ผู้รับเหมา" รับไป
แต่จากประสบการณ์คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน
"อนันต์" บอกว่า ถ้าต้นทุนสูงขึ้น ไม่ว่าวัสดุก่อสร้าง ราคาน้ำมัน หรือค่าแรง
ถ้าสูงมากจนผู้รับเหมาทำแล้วขาดทุน
รับรองว่า "ผู้รับเหมา" จะทิ้งงานทันที ยิ่งรายเล็กยิ่งทิ้งงานเร็ว
และถ้าจะเดินหน้าก่อสร้างต่อไปก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มให้ผู้รับเหมา ซึ่งหมายความว่าโครงการนี้ต้นทุนจะสูงขึ้น

"อนันต์" ยังบอกอีกว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่คิดว่า "การจอง" ทำให้ได้เงินสดก้อนใหญ่เข้ามาก่อน
แต่เขาถามกลับว่าเงินที่ได้มาเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของงบลงทุน
น้อยมาก
นอกจากนั้น เขายังเตือนด้วยว่า "การจอง" ไม่ใช่หลักประกันว่าจะขายได
ถ้ามีปัญหาขึ้นมา ลูกค้าก็พร้อมจะทิ้ง "ใบจอง" ทันที

สมการทางความคิดของ “อนันต์” บอกว่า
การขายคอนโดที่ดีที่สุดในฝัน คือการเปิดขายครั้งแรก ต้องขายได้พอสมควร
ระหว่างก่อสร้าง ก็ขยับราคาเพิ่มขึ้น
ค่อยๆ ทยอยขาย
ขยับราคาขึ้นเรื่อยๆ และขายห้องสุดท้ายแพงที่สุดในวันที่ก่อสร้างเสร็จพอดี
กราฟ 3 เส้นตัดกันพอดี ณ จุดนี้
คือ การขาย ราคา และการก่อสร้าง

อนันต์ อัศวโภคิน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือ ‘ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ 20’ โดย หนุ่มเมืองจันท์

.............................................................................................


เจ้าชายสิทธัตถะ มิได้หนีออกบวชกลางคืนกับนายฉันนะ หากออกบวชกลางวัน ต่อหน้าพระราชบิดาและพระราชมารดา


บทความพิเศษเสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผมเคยพูดกับเพื่อนๆ หลายคนว่า คนที่ศึกษาพุทธศาสนา ถ้ามีภูมิหลังเป็นนักประวัติศาสตร์แล้วจะศึกษาได้ลึกซึ้งและกว้างขวางกว่าคนที่บวชเรียนนักธรรมบาลีโดยตรงอย่างผมแน่นอน

เหตุผลหรือครับ ศาสดาใดก็ตาม จะบัญญัติหลักคำสอนหรือคิดค้นเทคนิคการสอนไปแนวไหน อย่างไร แบ๊กกราวนด์ของศาสดานั้นมีส่วนในการกำหนดไม่น้อย

ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อ เมื่อพระองค์ตั้งคณะสงฆ์ขึ้นแล้ว พระองค์มอบอำนาจทางการปกครองให้พระสงฆ์จัดการกันเอง การตัดสินปัญหาต่างๆ พระพุทธองค์มิได้เป็นผู้บงการหรือชี้นำ พระสงฆ์ตัดสินกันเอง โดยระบบ "ถือเสียงข้างมาก"

หรือที่ภาษาเทคนิคเขาเรียกว่า เยภุยยสิกา

สังฆกรรมของสงฆ์จึงดำเนินไปโดยระบบประชาธิปไตย ไม่มีอภิสิทธิ์ ไม่มีเผด็จการ

เช่น ใครจะเข้ามาบวช อุปัชฌาย์ จะใช้สิทธิ์รับเข้ามาเอง โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระสงฆ์ทั้งหมดไม่ได้

ผู้ที่ไม่สนใจประวัติศาสตร์อินเดียโบราณ ก็จะสรุปเอาง่ายๆ ว่า พระพุทธเจ้าทรงคิดค้นวิธีปกครองแบบประชาธิปไตยพระพุทธศาสนาเท่านั้นมีการปกครองแบบประชาธิปไตยก่อนใครทั้งหมด

แต่ถ้ามองจากสายตาของนักประวัติศาสตร์ เราก็จะทราบว่า ระบบเยภุยยสิกาของพระพุทธเจ้า พระองค์มิได้คิดค้นมาจากไหน พระองค์ก็เอามาจากภูมิหลังที่พระองค์เคยประสบพบเห็นอยู่ก่อนเสด็จออกบรรพชานั่นเอง



อินเดียสมัยนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ภูมิภาคแถบเชิงเขาหิมาลัยมีกลุ่มหรือเผ่าชนที่มีระบบการปกครองไม่เหมือนเผ่าอื่นจำนวนหนึ่ง เท่าที่นักประวัติศาสตร์ยืนยันก็มี พวกลิจฉวีแห่งไพศาลี มัลละ แห่งปาวาและกุสินารา ศากยะแห่งกบิลพัสดุ์ โกลิยะแห่งเทวทหะ พวกนี้จะเลือกตั้งผู้ปกครองขึ้นมาโดยการลงคะแนนเสียงรัฐสภา ซึ่งเรียกกันสมัยนันว่า "สัณฐาคาร"

คนที่ได้รับเลือกตั้งโดยผ่านเสียงข้างมาก เรียกตามศัพท์เทคนิคว่า "กษัตริย์" กษัตริย์จะบริหารประเทศโดยทางรัฐสภา มีปัญหาอะไรจะต้องหารือวินิจฉัยในสภา เสียงข้างมากออกมาอย่างไร ก็เป็นไปตามนั้นและกษัตริย์มีเทอม (มากน้อยแล้วแต่กำหนด) หมดเทอมแล้วก็เลือกตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ทำหน้าที่สืบต่อไป

ไม่ใช่ว่า กษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาด ในความหมายที่เราเข้าใจกัน

กษัตริย์ปกครองศากยะสมัยนั้นชื่อ สุทโธทนะ

สุทโธทนะได้รับเลือกให้เป็นประมุขชาวศากยะ มีเทอมหรือกำหนดเวลาหมดเทอมคนอื่นก็ขึ้นมาแทน คนที่ขึ้นมาแทนอาจมิใช่เจ้าชายสิทธัตถะ พระโอรสของท่านก็ได้

เพราะเขามิได้ใช้ระบบสืบรัชทายาทอย่างที่เราเข้าใจกัน ที่เราเรียนพุทธประวัติตอนหนึ่งว่า พอเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ โหรทำนายว่า ถ้าพระกุมารเสด็จออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกในโลก แต่ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระจักรพรรดิมีแสนยานุภาพมากมายไพศาลนั้น ไม่แน่เสมอไป หรอกครับ เจ้าชายสิทธัตถะท่านอาจไม่ได้รับเลือกเป็นกษัตริย์ต่อจากสุทโธทนะเลยก็ได้

เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมรัฐสภา



เมื่อมองในแง่ประวัติศาสตร์แล้ว ก็ขอมองต่อไปอีกสาเหตุให้พระองค์ออกบวช ข้อมูลทางประวัติศาสตร์จะชี้ข้อเท็จจริงออกมาดังนี้ครับ

1. เจ้าชายสิทธัตถะ มิได้เสด็จหนีออกบวชเวลากลางคืนโดยที่ใครๆ ไม่รู้เห็นเหมือนดังที่พุทธประวัติเขียนกัน

2. เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกบวชเพราะแรงผลักดันทางการเมือง

ทั้งสองข้อนี้ออกจะกลับ "ตาลปัตร" กับที่เคยรู้เคยเรียนมา บางท่านคงจะรับไม่ได้ ไม่เป็นไรครับ รับไม่ได้ก็อย่ารับ

แต่ขอเรียนว่า ข้อสรุปข้างต้นนี้ผมมิได้นั่งเทียนเขียนเอาเองนะครับ มีหลักฐานอ้างอิงอย่างหนักแน่นเชียวแหละ (อ่านจบ จะรู้เอง ผมได้หลักฐานมาจากไหน)

พุทธประวัติเขียนไว้ เจ้าชายเสด็จหนีกลางคืนพร้อมนายฉันนะมหาดเล็กคนสนิท แต่พุทธประวัติก็ดี ปฐมสมโพธิก็ดี อาจารย์รุ่นหลังเขียนกันทั้งนั้น พระไตรปิฎก ซึ่งเป็นตำราชั้นต้นจริงๆ ไม่มีที่ไหนพูดว่าเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จหนีบวชตอนกลางคืน

ในพระสูตรสูตรหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสถึงการออกบวชของพระองค์ว่า พระองค์ทรงคำนึงถึงความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วคิดหาทางหลุดพ้น จึงถือเพศบรรพชิตออกบวช ในขณะที่พระบิดามารดา มีน้ำตานองหน้า ร้องไห้คร่ำครวญอยู่

สังเกตคำที่เขียนนั้นไหมครับ ตัวท่านเองตรัสว่าท่านมิได้หนีพ่อแม่ไปบวช บวชทั้งๆ ที่พ่อแม่เห็นๆ อยู่ ร้องห่มร้องไห้อาลัยอาวรณ์

และสังเกตท่านพูดถึง "แม่" ท่านด้วย อาจหมายถึงว่าพระนางสิริมายา ยังไม่ทิวงคตหลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้เจ็ดวันดั่งที่เราเรียนมาก็ได้

หรือ "แม่" ในที่นี้อาจหมายถึงแม่เลี้ยงก็ได้

แต่ช่างเถิด เราละประเด็นนี้ไปก่อน ขอพูดถึงการหนีบวชไม่หนีบวชกันดีกว่า

ถ้าตามพระดำรัสนี้ แสดงว่าเจ้าชายสิทธัตถะมิได้เสด็จหนีบวชในเวลากลางคืนแน่ แต่บวชขณะที่พระราชบิดา (และ พระราชมารดา) รู้เห็นอยู่ แต่ไม่อยู่ในฐานะทัดทานได้

เรื่องนี้มีพระสูตรจากพระไตรปิฎก 8 แห่งข้อความตรงกันกับที่ขีดเส้นใต้ข้างบนคือ

1. ปราสิสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ 12)

2. มหาสัจจกสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ 12)

3. โพธิราชกุมารสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ 13)

4. จังกีสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ 13)

5. สังคารวสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ 13)

6. โลณทัณฑสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ 9)

7. กูฏทันตสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ 9)

8. สารีปุตตนิทเทส (พระไตรปิฎกเล่มที่ 19)

("ในกาลต่อมา เราตถาคตยังหนุ่มแน่น แข็งแรง เกศาดำสนิท อยู่ในปฐมวัย เมื่อพระราชมารดา (พระมารดาเลี้ยง) และพระราชบิดาไม่ทรงปรารถนาให้ผนวช มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกรรแสงอยู่ จึงโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากวังบวชเป็นบรรพชิต")



ถ้าถามต่อไปว่า ทำไมจึงทัดทานไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่อยากให้โอรสบวชก็ต้องตอบตามสมมุติฐานข้อสอง นั้นคือเจ้าชายสิทธัตถะถูกผลักดันให้ออกไปจากประเทศ พระเจ้าสุทโธทนะจึงจะเป็นกษัตริย์ประมุขชาวศากยะในขณะนั้น ก็ไม่อยู่ในฐานะช่วยโอรสตนเองได้ ในเมื่อเป็นมติของนภาตัดสินออกมา

ถามต่อไปว่า เรื่องอะไรล่ะ ที่ทำให้ชาวศากยะถึงต้องลงมติผลักดันให้เจ้าชายสิทธัตถะออกจากเมือง ก็ต้องโยงถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของศากยวงศ์เรื่องหนึ่ง คือ "ศึกชิงน้ำ"

เชื้อสายของพระพุทธเจ้าแบ่งเป็นสองกลุ่มตั้งเมืองอยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่งชื่อ "โรหิณี" ศากยะแห่งกบิลพัสดุ์อยู่ฟากหนึ่ง โกลิยะแห่งเทวทหะอยู่อีกฟากหนึ่ง ทั้งสองตระกูลเป็นพวกที่หยิ่งในสายเลือดของตัวเองมากจึงแต่งงานในระหว่างญาติพี่น้องกันเอง (ซึ่งผิดกฎเมนเดลเป็นอย่างมากอาจเพราะเหตุนี้ก็ได้ที่ทำให้ชาติพันธุ์ของพระพุทธเจ้าสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์เร็วกว่ากำหนด นอกเหนือไปจากทำสงครามล้างผลาญกันเอง ซึ่งจะกล่าวข้างหน้า)

ทั้งสองตระกูลนี้มีอาชีพหลักคือกสิกรรมอาศัยน้ำในแม่น้ำโรหิณีทำนามีการกระทบกระทั่งกันเกี่ยวกับการแย่งทดน้ำไปทำนาบ่อยครั้ง เป็นปัญหาเรื้อรังมานมนาน จนกระทั่งถึงสมัยที่เจ้าชายสิทธัตถะอยู่ในวัยฉกรรจ์ ความวิวาทบาดหมางได้ทวีความรุนแรงขึ้น ถึงขั้นศากยะแห่งกบิลพัสดุ์เรียกประชุมตัดสินชี้ขาดในสภา

เสียงส่วนมากในที่ประชุมเสนอว่า สมควรใช้มาตรการสุดท้ายคือยกทัพไปรบกับ โกลิยะแห่งเทวหะให้รู้แล้วรู้รอดกันเสียที

แต่เจ้าชายสิทธัตถะ (อาจมีสมาชิกอื่นด้วย) ไม่เห็นด้วยกับที่พี่น้องกันเองจะล้างผลาญกัน เมื่อโหวตเสียงปรากฏว่าแพ้มติที่ประชุม ทั้งๆ ที่แพ้มติที่ประชุมเจ้าชายไม่ยอมเลิกลา ยืนขึ้นคัดค้านกระต่ายขาเดียวอยู่นั่นแล้ว

นับว่าปฏิบัติผิดระเบียบข้อบังคับของสภาอย่างร้ายแรง จึงถูกขับออกไปในที่สุด

แต่การให้เจ้าชายสิทธัตถะออกจากเมืองมิใช่เรื่องเล็กน้อย พวกศากยะเป็นประเทศราชขึ้นอยู่กับพระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งรัฐโกศลอีกต่อหนึ่ง (มิได้เป็นประเทศอิสระใหญ่โต อย่างที่ชาวพุทธไทยเราเชื่อกัน) พวกเขากลัวว่า ถ้าปเสนทิโกศลเจ้านายเหนือหัวทราบเรื่องเข้า อาจยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องได้ จึงตกลงกันให้ระงับศึกชิงน้ำไว้สักพักหนึ่งก่อน และขอคำมั่นจากเจ้าชายสิทธัตถะว่าจะต้องไม่ให้ปเสนทิโกศลรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด

สิทธัตถะรับปาก และเพื่อให้พวกศากยะวางใจยิ่งขึ้น จึงถือเพศบรรพชิตออกไปให้เห็นประจักษ์กับตาเลยทีเดียว

(ไม่ว่าสมัยนั้น หรือสมัยไหน เพศบรรพชิตถือว่าไม่มีพิษภัยกับใครในประวัติศาสตร์ไทย ผู้ที่หนีราชภัยออกบวช ย่อมไม่ได้รับการรบกวนจากกษัตริย์ผู้มีอำนาจ นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่โบราณกาล)



ดูตามแผนที่เมืองกบิลพัสดุ์อยู่ไม่ไกลจากเมืองสาวัตถีเมืองหลวงของแคว้นโกศลเท่าไหร่ แต่เจ้าชายสิทธัตถะไม่เสด็จไปทางนั้น กลับมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกผ่านแคว้นมัลละของมัลลกษัตริย์ ข้ามแม่น้ำอโนมาเข้าไปยังเขตมคธรัฐซึ่งมีมหาราชชื่อพิมพิสารปกครองอยู่ ทรงบำเพ็ญเพียรที่นั่นตรัสรู้ที่นั่นและวางรากฐานพระพุทธศาสนาที่นั่นเช่นกัน

หลังจากนั้นหลายปี พระองค์จึงเหยียบย่างไปยังแคว้นโกศล ทั้งหมดนี้ อาจเพราะว่าพระองค์ทรงรักษาคำมั่นที่ให้ไว้กับพวกศากยะอย่างเคร่งครัดก็ได้

เมื่อพระพุทธองค์ทรงวางรากฐานพุทธศาสนาที่แคว้นมคธมั่นคงแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากพระองค์แล้วเกิดเลื่อมใส มอบตนเป็นสาวกคนหนึ่ง

พอถึงตอนนี้พวกศากยะซึ่งแต่เดิมดูถูกเหยียดหยามพระองค์ พลอยเห็นความสำคัญของพระพุทธเจ้าขึ้นมาบ้าง

ศึกแย่งน้ำปะทุขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พระญาติทั้งสองฝ่ายยกพลมาหมายขยี้ให้แหลกไปข้างหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องเสด็จมาห้ามทัพไว้ทัน เทศนาสอนให้พวกเขาเห็นโทษในการล้างผลาญสายเลือดเดียวกันจนยุติเลิกรากันได้ในที่สุด

การห้ามสงครามเลือดครั้งนี้เป็นเหตุสำคัญในประวัติศาสนา จึงมีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นปางหนึ่งเป็นอนุสรณ์ เป็นรูปยืนยกพระหัตถ์ขวาขึ้นในท่าห้ามปราม เรียกว่า พระพุทธรูปปางห้ามญาติ

เข้าใจว่า เผ่าศากยะสมัยนั้น คงมีจำนวนไม่มากมายเท่าไรนัก ศึกล้างโคตรกันเอง โดยวิฑูฑภะครั้งนั้น คงไม่สามารถฆ่าได้หมดทุกคน ที่หลบหนีภัยครั้งนั้นก็คงมีไม่น้อย ได้แตกลูกแตกหลานสืบกันมาเป็นจำนวนมาก

แม้ปัจจุบันนี้ที่ประเทศเนปาล ถิ่นมาตุภูมิของพระพุทธเจ้า ก็ยังมีตระกูล "ซาเกีย" ซึ่งเป็นตระกูลที่ใหญ่มากตระกูลหนึ่ง เขาอ้างว่าสืบมาจาก ศากยะสมัยพุทธกาลนั่นเอง

ดูหน้าตาคนเนปาลแล้วอดแปลกใจไม่ได้ ไม่มีเค้า "อารยัน" หรือ "ฝรั่ง" เอาเสียเลย พวกนี้ผิวเหลือง (คล้ายคนไทย) เป็นเชื้อสายมองโกเลีย

ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นบรรพบุรุษของคนเนปาลปัจจุบันนี้ พระองค์ก็ต้องเป็นมองโกเลีย



หมายเหตุ : ทัศนะที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นชาวมองโกล อ่าน เดช ตุลวรรธนะ เรียนพระพุทธศาสนาอย่างปัญญาชน เล่ม 3 พุทธประวัติฉบับมองโกล, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมยุทธศึกษาทหารบก, 2525 และที่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชด้วยเหตุผลทางการเมือง โปรดอ่าน B.R. Ambedkar. The Buddha and His Dhamma. Bombay: Siddharth College Publication I. 1957 และ เสฐียร พันธรังสี, พุทธประวัติมหายาน (พุทธประวัติฉบับค้นพบใหม่) กรุงเทพฯ : แพร่พิทยา, 2525 น่าสังเกตว่า ในพระสูตรกล่าวถึงมหาปุรสลักษณะ 32 ประการข้อหนึ่งว่า "สุวณฺณวณฺโณ" พระพุทธเจ้าทรงมีสีผิวดั่งทอง (ผิวเหลือง)

.................................................................................................................




เพจนี้เค้าหลงตัวเองจังนะครับ เอะอะก็เหมาว่าเป็นเพราะกระแสของพวกตัวเองหมด 5555 http://tinyurl.com/cdv7kq2

เรื่องของเรื่องก็คือการปรับเงินสมทบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง-ไม่ว่าเพิ่มหรือลดนั้นเค้าจะปรับกันอยู่ตลอดเพื่อให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันอยู่แล้วครับ ถ้าราคาในตลาดโลกปรับลด ก็อาจเพิ่มเงินสมทบเพื่อรักษาสถานะทางการเงินของกองทุนแต่ถ้าราคาในตลาดโลกสูงขึ้นมาก ก็อาจลดการสมทบเพื่อไม่ให้กระทบกับราคาขายปลีกในประเทศ นี่เป็นวัตถุประสงค์ของการมีกองทุนน้ำมันอยู่แล้วครับ

ย้อนกลับไปไม่กี่วันก็จะเห็นว่ากบง.เพิ่งมีมติปรับเพิ่มเงินสมทบกองทุนฯที่เก็บจากดีเซลเพิ่มไป เพราะช่วงนั้นราคาดีเซลในตลาดโลกปรับลดลงhttp://www.naewna.com/business/49355
(พวกทวงคืนน่าจะเจียดเวลาทำภาพเลอะเทอะทั้งหลาย มานั่งอ่านข้อมูลให้รอบด้านและครบถ้วนหน่อยนะครับ)

สรุปก็คือการเพิ่มหรือลดเป็นไปตามกลไกอยู่แล้วครับ ไม่ได้เกี่ยวกับกระแสทวงคืนจอมปลอมอะไรทั้งสิ้น เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว

...............................................................................................................


ทีตอนรัฐประหารไม่รู้จักอาย แถมมีหน้าเอาดอกไม้ไปให้ทหารอีก ตอนสมัครถูกตัดสินให้พ้นตำแหน่งนายกฯเพราะทำกับข้าวออกทีวี ต่างชาติเขาหัวเราะกันกลิ้ง ก็ไม่เห็นพวกมึงจะอาย ปิดสนามบินจนลงข่าวดังไปทั่วโลก นักท่องเที่ยวต่างชาติด่าพ่อพวกมึงทุกวัน กูก็ไม่เห็นพวกมึงอาย...

ทีตอนนี้นายกฯแค่ไปพูดเรื่องจริงหน่อยเดียว เสือกบอกน่าอับอาย....ควยแน่ะ

.............................................................................................................




หลัก The Supremacy of Parliament ในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕
%%%%%%%%%%%%%%%%%

บทสนทนาแลกเปลี่ยนระหว่าง อ.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย กับ อ.ณัฐพล ใจจริง ทำให้ผมลองเอาข้อสังเกตน่าสนใจของอ.ณัฐพลว่าหลัก The Supremacy of Parliament มีปรากฎในพรบ.ธรรมนูญฯ ๒๔๗๕ ไปเปิดอ่านทบทวน พรบ. ดังกล่าวคร่าว ๆ (ดูได้ที่ http://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_w3c/ewt_dl_link.php?nid=7233) พบข้อน่าสนใจดังนี้ครับ

พรบ.ธรรมนูญฉบับนี้ อ.ปรีดี พนมยงค์ยกร่างขึ้นในนามคณะราษฎร (และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยอมรับโดยเติมแค่คำว่า “ชั่วคราว” แม้ไม่มีมาตราหนึ่งมาตราใดระบุออกมาโต้ง ๆ (เท่าที่ผมเห็น) ถึงหลัก The Supremacy of Parliament ในพรบ.ธรรมนูญฯ ๒๔๗๕ แต่ผมคิดว่าข้อตีความของอ.ณัฐพล สามารถประมวลขึ้นได้จากมาตราต่าง ๆ ต่อไปนี้ในพรบ. ได้แก่ มาตรา ๑, ๒, ๖, ๘, ๙, ๓๓, ๓๔ และ ๓๙
-มาตรา ๑ ยืนยันว่าอำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของราษฎร
-มาตรา ๒ ให้มี ๔ บุคคลและคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรได้แก่ กษัตริย์, สภาผู้แทนราษฎร, คณะกรรมการราษฎร (รัฐบาล/ครม.), ศาล
-คำถามน่าสนใจคือสัมพันธภาพทางอำนาจระหว่างบุคคลและคณะบุคคลทั้ง ๔ นี้ เป็นอย่างไร? ใครมีอำนาจใหญ่กว่าหรือเป็นต้นเค้าที่มาของอำนาจฝ่ายอื่นที่อำนาจฝ่ายอื่นนั้นต้องพร้อมรับผิดต่อ?
-ในกรณีความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่าง สภาผู้แทนราษฎร กับ กษัตริย์ ปรากฏในมาตรา ๖ และ ๘
-ในกรณีความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่าง สภาผู้แทนราษฎร กับ คณะกรรมการราษฎร ปรากฏในมาตรา ๙, ๓๓ และ ๓๔
-ในกรณีความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่าง สภาผู้แทนราษฎร กับ ศาล ปรากฏในมาตรา ๘, ๙ และ ๓๙
-โดยเฉพาะมาตรา ๓๙ น่ารักมาก เพราะเป็นมาตราเดียวในหมวด ๕ เรื่องศาล มีข้อความแค่นี้เท่านั้นว่า "มาตรา ๓๙ การระงับข้อพิพาทให้เป็นไปตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลานี้"

(ภาพประกอบ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกของสยาม)

..........................................................................................................




โปรด Click: http://thaisocialwork.files.wordpress.com/2013/04/fax-022951154_2013-04-218.pdf เพื่อ download ฉบับจริงแล้วลงนามส่งกลับมาทาง Fax 02.295.1154 หรือ Email: thaiappraisal@gmail.com ภายในวันศุกร์ที่ 26 เมษายน 2556 นี้นะครับ

จดหมายเปิดผนึกร่วมคัดค้านร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2556

22 เมษายน 2556

เรื่อง คัดค้านร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2556

เรียน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาค
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นายประเสริฐ บุญชัยสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
นายประชา ประสพดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
พลเอก พฤณท์ สุวรรณทัต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
นายฐานิสร์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย
นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

เนื่องด้วยขณะนี้กรุงเทพมหานครพยายามเสนอต่อกระทรวงมหาดไทยเพื่อผลักดันร่างผังเมืองฉบับใหม่ออกมาประกาศใช้ แต่ร่างดังกล่าวมีข้อบกพร่องมากมาย หากนำมาใช้จะสร้างปัญหามากกว่าจะช่วยสนับสนุนการวางแผนพัฒนาเมืองให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย พวกข้าพเจ้าจึงขอคัดค้านร่างดังกล่าวดังนี้:

1. ในพื้นที่ธุรกิจใจกลางเมืองถูกจำกัดการก่อสร้างทั้งที่ควรให้พัฒนาในแนวสูง เพื่อใช้ที่ดินอย่างคุ้มค่าและเก็บภาษีได้มาก เช่นพื้นที่ ย.9 ย.10 แถวสุขุมวิทสามารถสร้างได้เพียง 7-8 เท่าของขนาดที่ดิน และต้องมีอัตราส่วนของที่ว่างต่อพื้นที่อาคารรวมถึง 4.5-4% ตามลำดับ หากเจ้าของที่ดินมีที่ดินแปลงหนึ่งขนาด 1 ไร่ ก็ต้องเว้นพื้นที่โดยรอบถึงราว 32% หรือหนึ่งในสาม กรุงเทพมหานครมักอ้างว่ามีไฟไหม้อาคารขนาดใหญ่บ่อยครั้ง ซึ่งไม่จริง ในช่วง พ.ศ.2550-5 อาคารเหล่านี้ เกิดเพลิงไหม้ลดลงจาก 9% เหลือ 1% อาคารเหล่านี้มีระบบป้องกันไฟไหม้ที่ดี กรุงเทพมหานครควรปรับปรุงประสิทธิภาพในการดับเพลิง แทนที่จะนำมาอ้างเพื่อกีดขวางการพัฒนา

2. ร่างผังเมืองนี้ทำให้เมืองขยายออกไปในแนวราบ รุกทำลายสิ่งแวดล้อมและพื้นที่เกษตรกรรม สิ้นเปลืองงบประมาณขยายสาธารณูปโภคไม่สิ้นสุด ยังทำให้ประชาชนเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมาก ซึ่งเป็นการผลักภาระและปัญหาไปสู่จังหวัดอื่น เช่น
2.1 ในพื้นที่ ย.3 ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัยหลายร้อยตารางกิโลเมตรและมีอะพาร์ตเมนต์ให้บริการผู้มีรายได้น้อยมากมาย กรุงเทพมหานครกลับห้ามสร้างอะพาร์ตเมนต์ขนาดเกิน 1,000 ตารางเมตรหากถนนผ่านหน้าที่ดินมีความกว้างไม่ถึง 30 เมตร ทั้งที่รู้ว่าในความเป็นจริงไม่มีซอยใดที่จะมีความกว้างเช่นนี้
2.2 ในพื้นที่ ย.2 ห้ามสร้างทาวน์เฮาส์ ทั้งที่บริเวณเหล่านี้มีทาวน์เฮาส์สำหรับผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อยอยู่มากมาย ดังนั้นต่อไปประชาชนโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางต้องระเห็จออกไปอยู่นอกเมือง โดยตามรอยตะเข็บเขตสมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี กลับมีโครงการใหญ่ๆ ประเภทอาคารชุดและทาวน์เฮาส์มากมาย เพราะไม่สามารถสร้างในเขตกรุงเทพมหานครได้

3. ตามร่างผังเมืองใหม่ก็ไม่ได้กำหนดให้มีแผนการป้องกันน้ำท่วมอย่างเป็นรูปธรรมเพราะไม่ได้ทำถนนและเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา ระบบเปิดปิดน้ำกันน้ำทะเลหนุน และระบบคลองระบายน้ำใหม่ๆ เป็นต้น ยิ่งกว่านั้นกรุงเทพมหานครควรดำเนินการอย่างมีบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น

4. ผังเมืองที่ออกมาไม่สอดคล้องกับความจริงในหลายประการ เช่น
4.1 ถนนบางเส้นไม่จำเป็นต้องสร้าง เช่น ถนน ง.2 หนองจอก เพราะสภาพเป็นทุ่งนา แต่บางเส้นเล็กและคดเคี้ยวกลับไม่ตัดถนน เช่นทางเข้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตบางขุนเทียน
4.2 กำหนดการใช้พื้นที่ไม่เป็นจริง เช่น พื้นที่พาณิชยกรรม พ.1-12 ถนนนวมินทร์กลับมีสภาพจริงเป็นหมู่บ้านจัดสรร หรือพื้นที่ อ.1-4 ถนนเทียนทะเลที่กำหนดให้เป็นเขตอุตสาหกรรมเฉพาะ 200 เมตรแรกที่ติดถนน (ฝั่งซ้าย) และ ตลอดแนวคลองที่ขนานกับถนน (ฝั่งขวา) แต่ในความเป็นจริง พื้นที่โดยรอบก็มีโรงงานมากมาย ผังเมืองจึงวางอย่างละเอียดรอบคอบกว่านี้
4.3 ในข้อ 36 ของร่างผังเมืองฉบับนี้กำหนดว่าที่ดินที่ติดถนนน้อยกว่า 12 เมตร หรือที่ดินลึกจากถนนเกิน 200 เมตรไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ทำให้ที่ดินเหล่านี้ต้องปล่อยรกร้างหรือทำประโยชน์ได้จำกัด และสำหรับที่ดินที่อยู่ติดถนนที่มีความกว้าง 12, 16 หรือ 30 เมตร ต้องกว้างตามนั้นโดยตลอดเส้น หากส่วนใดของถนนเส้นนี้มีผู้บุกรุกหรือสร้างล้ำเกิน แม้ทะเบียนถนนจะระบุชัดว่ากว้างตามกำหนด ก็ถือว่าไม่ได้ กรณีทำให้เจ้าของที่ดินที่สุจริตหมดโอกาสพัฒนาที่ดิน

5. แผนก่อสร้างและปรับปรุงถนน 140 สายตามร่างผังเมืองรวมนั้น หลายสายก็วาดไว้ตั้งแต่ผังเมืองฉบับปัจจุบันที่ประกาศใช้ในปี พ.ศ.2549 แต่ยังไม่ได้ก่อสร้าง บางสายก็วาดต่างไปจากเดิม ที่สำคัญก็คือ งบประมาณก่อสร้างถนนตามที่วาดไว้ยังไม่มีการจัดหาไว้ ซึ่งแสดงถึงความไม่แน่นอน

6. ผังเมืองกรุงเทพมหานครขาดการพัฒนาสวนสาธารณะ ซึ่งขณะนี้มีพื้นที่เพียง 4.65 ตารางเมตรต่อคน ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับมหานครทั่วโลก ที่สำคัญพื้นที่สวนสวนสาธารณะ 26 ตารางกิโลเมตรยังรวมสวนในหมู่บ้านเอกชน เกาะกลางถนน บึงน้ำ พื้นที่ว่างของกองทัพ ฯลฯ เข้าไปด้วย นอกจากนี้สวนสาธารณะส่วนมากจะสร้างในเขตรอบนอกซึ่งมีความจำเป็นน้อย ไม่มีการวางแผนสร้างสวนสาธารณะใจกลางเมือง ดังนั้นการกล่าวอ้างว่าผังเมืองจะทำให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองสีเขียว (Green City) จึงไม่จริง

7. ร่างผังเมืองนี้พยายามเสนอข้อดีบางประการ ซึ่งไม่เป็นจริง เช่น
7.1 จะเพิ่มการควบคุมกิจกรรมที่ขัดต่อสุขลักษณะ 5 กิจกรรม เช่น สนามแข่งม้า สนามแข่งรถ และสนามยิงปืนนั้น ในความเป็นจริงไม่ได้มีผลในทางปฏิบัติอยู่แล้ว เพราะแทบไม่มีการขออนุญาต
7.2 การแจก "แจกโบนัส 5-20%" คือให้สร้างเพิ่มเติมกว่ากฎหมายปกติกำหนด ในรัศมี 500 เมตรรอบสถานีรถไฟฟ้านั้น ก็ใช้ได้เฉพาะสถานีที่สร้างเสร็จแล้ว ไม่ใช่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีผลอะไร
7.3 การพัฒนาศูนย์เมืองย่อย เช่น ในย่านมีนบุรีที่แนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู-สีส้มมาบรรจบกัน ย่านพระรามที่ 2 ใกล้กับถนนกาญจนาภิเษก และย่านรามอินทราใกล้จุดตัดถนนรัชดา-รามอินทรา เป็นต้น หากร่างผังเมืองนี้ได้ประกาศใช้ในปีนี้และหมดอายุในปี 2560 ก็ยังไม่แน่ว่ารถไฟฟ้าทั้งสองสายจะได้สร้างเสร็จ

โดยสรุปแล้ว อาจกล่าวได้ว่าร่างผังเมืองนี้ เป็นการแก้ปัญหาเมืองแบบซุกปัญหาไว้ใต้พรม เพราะแทนที่จะจัดระเบียบการใช้ที่ดินที่ดี กลับปัดปัญหาออกไปนอกเมือง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชากรของกรุงเทพมหานครลดลงในระยะหลายปีที่ผ่านมา เพราะประชาชนไม่สามารถอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครได้ เพราะความพยายามทำเมืองให้หลวม กรุงเทพมหานครควรคิดใหม่ ทำเมืองให้หนาแน่น (High Density) แต่ไม่แออัด (Overcrowded) แต่ปัจจุบันกลับทำในทางตรงกันข้าม

ประเด็นหนึ่งที่กรุงเทพมหานครเองไม่สามารถจะแก้ปัญหาของเมืองและวางแผนการพัฒนาเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ เพราะขณะนี้ความเป็นเมืองของกรุงเทพมหานครได้ขยายออกนอกเขตบริหารของกรุงเทพมหานครแล้ว ยิ่งกว่านั้นกรุงเทพมหานครยังขาดการประสานแผนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้ผังเมืองกับการขยายตัวของสถานศึกษา พื้นที่ปกครอง กิจการไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ถนน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่ราคาประเมินของทางราชการ ก็ไม่ได้ยึดโยงกับผังเมือง

ดังนั้นกระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการวางผังเมืองจึงควรดำเนินการวางแผนภาคมหานคร ซึ่งรวมพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมกันวางผังนี้ให้เป็นแผนแม่บทในด้านการปกครอง สาธารณูปโภคและอื่นๆ ในระหว่างนี้ให้ประกาศใช้ผังเมืองฉบับเดิมไปก่อน และให้มีกรอบเวลาการทำผังภาคมหานครให้แล้วเสร็จใน 2 ปี สำหรับสาระสำคัญดังนี้:
1. ในพื้นที่เขตธุรกิจชั้นในของกรุงเทพมหานคร ควรอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่และสูงพิเศษ แต่ให้เว้นพื้นที่ว่างให้มากเพื่อให้เกิดพื้นที่สีเขียวใจกลางเมือง แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ให้สิทธิพิเศษ เพราะกรุงเทพมหานครควรจัดเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการก่อสร้างอาคารได้สูงหรือใหญ่พิเศษ เพื่อนำเงินไปเข้ากองทุนพัฒนาระบบคมนาคม เช่น รถไฟฟ้ามวลเบา ผ่านเข้าสู่ถนนสายต่างๆ เพื่อการระบายการจราจร

2. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ประสาน
2.1 กับกิจการไฟฟ้า ประปา ทางหลวง รถไฟฟ้า ช่วยกันร่างผังเมืองนี้เป็นแผนแม่บทของหน่วยงานของตน ส่วนในพื้นที่อนุรักษ์ชนบทจะห้ามก่อสร้างถนนหรือขยายไฟฟ้า ประปาไปบริเวณดังกล่าว
2.2 กับการเคหะแห่งชาติและหน่วยงานอื่นโดยควรใช้วิธีจัดรูปหรือเวนคืนที่ดินชานเมือง เช่น เขตหนองจอก ราว 10,000 – 20,000 ไร่ สร้างเมืองใหม่แบบปิดล้อมแต่มีระบบขนส่งมวลชนเข้าสู่ใจกลางเมืองโดยตรง แล้วจัดสรรที่ดินที่มีสาธารณูปโภคครบ (serviced land) เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ศูนย์ธุรกิจ เป็นต้น
2.3 กับกรมธนารักษ์เพื่อนำที่ดินใจกลางเมืองมาพัฒนาเป็นศูนย์ธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจมีการรวมศูนย์ สาธารณูปโภคไม่ต้องขยายตัวอย่างไร้ขอบเขต เป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจด้วยกันเองในพื้นที่
2.4 กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อจัดสร้างนิคมให้โรงงานได้ใช้ในราคาถูกเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม และเพื่อห้ามการก่อสร้างโรงงานตามท้องนาหรือย่านชานเมืองเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบั

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาและขอขอบพระคุณท่านมา ณ โอกาสนี้

ขอแสดงความนับถือ
ชื่อ-สกุล _____________________ เลขที่บัตรประชาชน ____________________ ลายมือชื่อ________________
ชื่อ-สกุล _____________________ เลขที่บัตรประชาชน ____________________ ลายมือชื่อ________________
ชื่อ-สกุล _____________________ เลขที่บัตรประชาชน ____________________ ลายมือชื่อ________________
ชื่อ-สกุล _____________________ เลขที่บัตรประชาชน ____________________ ลายมือชื่อ________________
ชื่อ-สกุล _____________________ เลขที่บัตรประชาชน ____________________ ลายมือชื่อ________________
ชื่อ-สกุล _____________________ เลขที่บัตรประชาชน ____________________ ลายมือชื่อ________________

................................................................................................




เหงา MV Harmonica Sunrise เร็วๆ นี้ นะจ๊ะ
 
..................................................................................................................




ก่อนที่คุณจะยอมแพ้ ลองถามตัวเองดูก่อน ว่าคุณได้ลองและพยายามทำให้ดีที่สุดแล้วหรือยัง
 
............................................................................................................




นิพพานสำหรับทุกคน

ท่านจะต้องสนใจให้ดี ให้เข้าใจเรื่องของนิพพาน จึงจะไม่เสียทีที่เป็นพุทธบริษัท และพระพุทธศาสนาก็จะมีประโยชน์แก่ทุกคนหรือทุกท่าน

มันเป็นสิ่งที่มีสำหรับทุกคน ไม่ใช่มีสำหรับสองสามคนหรือไม่กี่คน; ถ้ามีได้เฉพาะแก่พระอรหันต์แล้ว พระอรหันต์ก็มีไม่กี่คน พุทธศาสนาก็ไม่มีประโยชน์แก่คนทั่วไป มีแก่คนไม่กี่คนอย่างนี้ มันไม่คุ้มค่า;

พุทธศาสนาจะต้องเป็นประโยชน์แก่ทุกคนไม่มากก็น้อย เหมือนกับว่าสระน้ำใหญ่ สระน้ำใหญ่ที่ใครขุดไว้ มันก็มีประโยชน์แก่สัตว์ทุกชนิดและทุกขนาด สัตว์ตัวโตๆ เช่นช้าง มันก็ลงไปกินไปอาบได้ สัตว์ตัวเล็กๆ เช่น กบเขียดหรือเล็กกว่าเขียด มันก็ลงไปกินไปอาบได้; มีประโยชน์แก่สัตว์ทุกชนิดหรือทุกขนาดดังนี้ มันก็คุ้มค่า.

พระนิพพานก็เหมือนกัน เหมือนกับเป็นสระที่พระพุทธเจ้าท่านขุดไว้ ก็เป็นประโยชน์ได้แก่ทุกคนตามมากตามน้อย โดยสมบูรณ์เต็มที่หรือโดยบางส่วน ก็ตาม มันก็เรียกว่ามีประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้นแหละ.

ฉะนั้นขอให้นึกให้ถูกต้องว่า ถ้าเป็นพุทธบริษัทต้องได้รับประโยชน์จากพระนิพพาน ตามมากตามน้อย และเพราะว่าพระนิพพานนั้นสามารถให้สำเร็จประโยชน์เช่นนั้นได้จริง, ขอให้พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมันยังจะไปไกลถึงกับว่า

แม้คนโง่ไม่รู้จักพระนิพพานเอาเสียเลย เขาก็ยังลงไปกินไปอาบในสระแห่งนิพพานนั้นได้โดยไม่รู้สึกตัว ข้อนี้ก็เพราะว่า พระนิพพานเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในที่ทั่วไป เมื่อบุคคลไม่มีความร้อนใดๆ ก็หมายความว่า กำลังดื่มกินพระนิพพาน.

ทีนี้ก็จะพูดกันถึงความร้อน ความร้อนทั่วๆไป อย่างไฟอย่างนี้ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เดี๋ยวนี้หมายถึง ความร้อนในจิตใจ ที่มันเกิดมาจากกิเลส เช่น โลภะ โทสะ โมหะ เป็นความร้อนแห่งไฟคือกิเลส, ถ้าเมื่อใดความร้อนจากไฟคือกิเลสมันไม่มี เมื่อนั้นก็มีภาวะแห่งนิพพาน.

นี่เป็นหลักที่สำคัญที่สุดที่จะต้องกระทำไว้ในใจว่า เมื่อใด ไม่มีไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ไม่มี, ก็มีความเย็นอย่างนิพพาน, ถ้ามันไม่มีชั่วคราว มันก็เป็นความเย็นชั่วคราว. ถ้ามันมีนิดหนึ่ง มันก็เป็นความเย็นนิดหนึ่ง และมันคงเป็นความเย็นนั่นเอง; ถ้ามันเป็นความเย็นแล้ว ก็มีความหมายแห่งนิพพาน เป็นเรื่องความเย็นในทางจิตใจ ขอให้สนใจดูให้ดีว่า เรามีความร้อนเมื่อไร มีความร้อนใจเมื่อไร มันก็หมายความว่า มีความร้อนที่เกิดมาจากกิเลสเมื่อนั้น;

เมื่อใดความร้อนชนิดนั้นไม่มี มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า นิพพานไม่มากก็น้อยอยู่ในจิตใจ.

คัดจาก หนังสือ นิพพานสำหรับทุกคน
โดย พุทธทาสภิกขุ
พิมพ์ ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๔๕
โดย ธรรมทานมูลนิธิ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ

http://www.buddhadasa.com/shortbook/nippanforall.html

........................................................................................................

ทหารยิงกันเอง ศาลสั่งคดี 'พลฯณรงค์ฤทธิ์' เหยื่อกระสุนสลายชุมนุมแดง

ภาพประกอบจาก Maha-arai
วันนี้ (30 เม.ย.) เวลา 9.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 811 ศาลอาญารัชดามีสั่งในคดี อช.4/2555 ไต่สวนชันสูตรพลิกศพ พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ (ได้รับเลื่อนยศเป็น ร้อยตรี หลังเสียชีวิต) อดีตทหารสังกัด ร.พัน. 2 พล.ร. 9 จ.กาญจนบุรี ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่เร็ว เพื่อระงับเหตุการณ์การปะทะกันของตำรวจ ทหาร กับผู้ชุมนุม แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เขตบางเขน ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2553
โดยศาลมีคำสั่งว่าผู้ตายคือ พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ตายที่บริเวณถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาออก แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 28 เม.ย.53 เวลาประมาณ 15.00 น. เหตุและพฤติการณ์การตายคือ ถูกระสุนปืนความเร็วสูง ซึ่งยิงจากอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังปฎิบัติหน้าที่ โดยกระสุนถูกที่ศรีษะด้านซ้ายหางคิ้วผ่านทะลุกระโหลกศรีษะทำลายเนื้อสมองเป็นเหตุให้เสียชีวิต
อ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้ที่ :

......................................................................................................



สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญในมาตรา ๖๓ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ --> มาตรา ๖๘ ของรัฐธรรมนูญ๒๕๕๐
%%%%%%%%%%%%%%%%%

ม. ๖๘ ในรธน.๒๕๕๐ สืบสาวย้อนไปได้ถึงมาตราเนื้อหาทำนองเดียวกันในรธน. ๒๕๔๐ (ม.๖๓) พวกสสร.๒๕๔๐ ที่สร้างมาตราทำนองนี้ขึ้นแล้วให้มีการกลั่นกรองข้อกล่าวหาโดยทางอัยการก่อน ก็เพราะต้องการป้องกันการกลั่นแกล้งกล่าวหากันเลื่อนลอยแบบ ๖ ตุลาฯ ๒๕๑๙ (ที่เพื่อนพ้องน้องพี่คนรุ่นผมโดนเข้ากับตัวเองจนถูกฆ่าหมู่กลางสนามหลวงข้างคณะเก่าของอ.บรรเจิด สิงคะเนติและอดีตอธิการบดีสุรพล นิติไกรพจน์ อย่างนอกกฎหมายป่าเถื่อนไร้มนุษยธรรม) และในที่สุดเมื่อใช้มาตรา ๖๘ แบบตีความกินอำนาจสภาโดยศาลรธน. ไปรับคำร้องของเหล่าสว.และสส.และบุคคลที่คัดค้านการแก้ไขรธน.ว่าจะล้มระบอบฯ ก็ปรากฏในที่สุดว่าเป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอยและศาลรธน.เองลงมติให้ตกไป

นอกจากนี้ มาตรา ๖๘ เช่นเดียวกับมาตรา ๖๓ แต่ก่อน มุ่งห้ามปรามบุคคล/พรรคการเมือง แต่การประยุกต์ใช้ของศาลรธน.ชุดนี้ กลับสั่งการต่อรัฐสภา ซึ่งไม่ใช่บุคคล และก็ไม่ใช่พรรคการเมือง แต่เป็นอำนาจอีกฝ่ายอีกสาขาในโครงสร้างรัฐธรรมนูญ มันจึงเป็นการขยายอำนาจเกินขอบเขตของฝ่ายตุลาการไปกินล่วงเกินอำนาจสาขาอื่น หากยอมให้ทำแบบนี้ ระบบก็พังหมดต่อไปข้างหน้า

ในนามอะไรหรือครับ? สิทธิเสรีภาพของบุคคลพลเมือง? แต่บรรดาพวกที่ยื่นฟ้องต่อศาลรธน.ครั้งก่อนและครั้งนี้ก็คือกลุ่มอำนาจชนชั้นนำฝ่ายหนึ่งซึ่งผมไม่ว่าอะไรนะครับจะเป็นกลุ่มอำนาจหรือชนชั้นนำ แต่การใช้วิธีรัฐประหารยึดอำนาจ สถาปนาตัวเองขึ้นมา มันรับไม่ได้ และสร้างเกมกติกาที่บิดเบี้ยว กรรมการสำคัญมีที่มาอันเอนเอียงแต่ต้น อย่างนี้จะเดินหน้าไปอย่างไร?

พรรครัฐบาลที่เข้มแข็งอย่างเพื่อไทยต้องมีฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง จำเป็นต้องมี ไม่งั้นเหลิงอำนาจ อาจฉวยใช้ในทางมิชอบ..... ใช่และจริง แต่ฝ่ายค้านที่เข้มแข็งต้องมีฐานที่มาของอำนาจโดยชอบถึงจะเข้มแข็งได้ ไม่ใช่เล่นนอกระบบ หรือเอามรดกรัฐประหารที่ไข่เพาะทิ้งไว้ในระบบเป็นฐานอำนาจสืบต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้ มีแต่แพ้กับแพ้ มีแต่ค้านไม่อยู่กับค้านไม่อยู่ เพราะยิ่งค้าน ยิ่งไม่ชอบธรรม ยิ่งโดดเดี่ยวขึ้นเรื่อย ๆ นี่มันหลักรัฐศาสตร์เบื้องต้นนะครับ ไม่รู้กันบ้างหรือ?

ผมคิดว่าที่เมืองไทยต้องการไม่ใช่การปลุกผีฮิตเล่อร์มาใช้ปกป้องมรดกที่ไร้น้ำยา ขาดความชอบธรรมของคปค. แต่คือการสร้างฝ่ายค้านที่เข้มแข็งขึ้นในระบบการเมือง มีแต่ไอ้นี่เท่านั้นจะชอบธรรมพอสู้เขาได้ ถ้าไม่ตั้งหน้าตั้งใจทำวิธีนี้ วิ่งอยู่แต่ในวังวนรัฐประหารและอ้างศาลอ้างเจ้า ด้วยความเคารพ ไม่มีอนาคตในการค้านรัฐบาลเสียงข้างมากที่เข้มแข็งครับ

......................................................................................................




รถไฟเหาะเอื้ออาทร

...........................................................................................................




ศาลรัฐธรรมนูญสำคัญแค่ไหนคุณควรอ่าน..!!!

เช้าวันนี้ วันอาทิตย์ที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๖ ผมได้เห็นอาจารย์ผู้ที่ผมศรัทธาจากการติดตามเรื่อง การเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ท่านได้เขียนสั้นๆเกี่ยวกับเรื่องการประท้วงศาลรัฐธรรมนูญอย่างระมัดระวังว่า

“ขอแสดงความวิตก และไม่เห็นด้วยกับการเล่นการเมืองแบบนี้”

เมื่อประมาณกลางเดือนมกราคม ผมได้มีโอกาสฟัง ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ผมขอเล่าจากความจำผสมกับข้อมูลและความคิดเห็นของตัวเองดังต่อไปนี้

ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเลอร์ได้อ้างความเป็นเสียงข้างมากในสภา นำพาประเทศเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมันประสบกับความหายนะจากสงครามครั้งนี้อย่างไรคงไม่ต้องเอ่ยถึง (ขนาดเกือบสูญความเป็นชาติไปเลยก็ว่าได้-ผู้บันทึก) ประชาชนเยอรมันเองไม่อยากจะเอ่ยถึงประวัติศาสตร์ส่วนนี้ของตัวเองมากนัก แต่เขาได้ใช้บทเรียนจากสงครามโลกได้อย่างคุ้มค่า เขาสรุปว่าจะปล่อยให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจตามลำพังเช่นที่ฮิตเลอร์นำพาประเทศเข้าสู่สงครามไม่ได้อีกแล้ว จึงพยายามร่างรัฐธรรมนูญให้มีการ ‘ถ่วงดุลแห่งอำนาจอธิปไตย’ (ลำพังการจำแนกใช้อำนาจอธิปไตยสามทางที่เราท่องมาตลอดชีวิต - นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ - ไม่เพียงพอเสียแล้ว) จึงจำเป็นต้องมีอะไรเข้ามาถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหาร นั่นก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญ นั่นเอง

ศาลรัฐธรรมนูญปัจจุบันน่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุด ที่ทำให้กลุ่มทุนทั้งในและนอกประเทศที่รุมตักตวงผลประโยชน์อย่างเห็นแก่ตัวจากประเทศชาติและประชาชนไทยขณะนี้ไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะฉะนั้นจึงมีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นไปในทางที่ตัวเองต้องการอย่างเต็มที่ ไม่ต้องคำนึงว่า การกระทำหรือนโยบายที่ใช้อยู่นั้นจะทำความเสียหาย หรือบั่นทอนศักยภาพของประเทศและคนในประเทศที่จะต้องอยู่ภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์อย่างไร ขอแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการคือ อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ที่จะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ โดยอ้างเพียงแต่ตัวเองได้รับเสียงข้างมาก เท่านั้น

นี่มิพักต้องพูดถึงว่า เสียงข้างมากนั้นได้มาอย่างไร

ถึงแม้เสียงข้างมากได้มาแบบชอบธรรม ก็มิได้หมายความว่า จะใช้อำนาจบริหารได้ตามอำเภอใจ ทุกอย่างต้องมีการถ่วงดุลแห่งอำนาจถ้าจะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ในภาพยนต์เรื่อง The Lord of The Ring ก็อุปมาอุปไมยให้เราเห็นแล้วว่า ถ้าอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ที่ใครแล้ว หายนะของมนุษยชาติก็มาเยือนได้ทุกเมื่อ

ทุกวันนี้เศรษฐกิจในกลุ่มสหภาพยุโรปง่อนแง่นเพียงใดเราดูได้จากค่าเงินยูโร แต่มองให้ลึกอีกนิดจะพบว่า เยอรมันน้ียังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง นั่นเป็นเพราะ สมดุลแห่งอำนาจอธิปไตย

จึงฝากข้อคิด ทั้งความวิตกกังวลในแบบของอาจารย์หมอ และทั้งเป็นการสนับสนุนผู้ที่จะไปคัดค้านผู้ประท้วงในวันพรุ่งนี้มา ณ ที่นี้

(กรุณา Like and Share ให้กว้างขวางที่สุดครับ)
cr พีรวัศ กี่ศิริ
 


จาก Status : อ.เกษียร เตชะพีระ

ย้ายที่ตั้งก็อาจเปลี่ยนการหน้าที่: functional transformation กับ actually existing Constitutional Court
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

เหมือนของดีงามทุกอย่าง เมื่อนำไปประยุกต์ใช้ต่างบริบทต่างสังคมการเมือง มันก็สามารถถูกปรับเปลี่ยนการหน้าที่ (functional transformation) ไปได้

คำถามที่ควรถามคือศาลรัฐธรรมนูญกำลังทำหน้าที่เป็นตัวแทนพลังฝ่ายใดในทางการเมือง ไปถ่วงดุลอำนาจพลังฝ่ายใด? การถ่วงดุลอำนาจนั้นรักษาส่งเสริมหรือบ่อนทำลายสิทธิเสรีภาพของผู้คนพลเมืองและระเบียบการเมืองประชาธิปไตย? เราควรเชิดชูปกป้อง actually existing Constitutional Court ศาลรัฐธรรมนูญดังที่เป็นอยู่ อันรวมถึงเหล่าบรรดาการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา (ยับยั้งอำนาจรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ, มติเกี่ยวกับกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒, ฯลฯ) หรือเราควรวิพากษ์วิจารณ์การฉวยใช้อำนาจโดยมิชอบอันอาจมี เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญนี้ไว้ให้ได้ทำหน้าที่อย่างที่มันพึงทำและควรทำต่อไปเบื้องหน้า?

คำถามเหล่านี้อยากเชิญชวนให้ไตร่ตรองนะครับ เพราะยากกว่าการอ้างฮิตเล่อร์มาปกป้องมรดก คปค.เยอะ

..................................................................................................


หุ้นที่(จะ)ใหญ่ที่สุดในตลาด

งานอดิเรกอย่างหนึ่งของผมก็คือ ดูว่าบริษัทไหนในตลาดหุ้นของแต่ละประเทศมี Market Cap. หรือมีมูลค่าตลาดของหุ้นใหญ่ที่สุด และหลาย ๆ ครั้งก็ดูบริษัทที่ใหญ่รอง ๆ ลงมา นอกจากนั้น ผมก็ชอบที่จะดูว่าในอดีตนั้น บริษัทไหนเคยเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดหรือใหญ่มาก ๆ และเดี๋ยวนี้พวกเขายังใหญ่อยู่ไหม เพราะข้อมูลนี้จะช่วยบอกถึง “วิวัฒนาการ” ทางเศรษฐกิจและบริษัทจดทะเบียนหรือหุ้นว่าจะไปทางไหน ถ้าจะพูดให้ตรงประเด็นก็คือ ในอนาคตบริษัทไหนจะมีโอกาสเติบโตจนกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดหรือใหญ่มากในตลาดหลักทรัพย์ และถ้าเรารู้ เราก็สามารถลงทุนซื้อและถือหุ้นตัวนั้นในระยะยาวได้ ลองเริ่มต้นจากตลาดสหรัฐซึ่งมีข้อมูลยาวนานและหาได้ง่ายดู

ในปัจจุบันหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดสหรัฐนั้นก็คือ หุ้นของแอปเปิลคอมพิวเตอร์และหุ้นของบริษัทเอ็กซอนที่ผลิตน้ำมันที่สลับกันเป็นหมายเลขหนึ่ง เอ็กซอนนั้นจริง ๆ แล้วก็เคยเป็นหมายเลขหนึ่งมานานแล้ว น่าจะหลายสิบปีมาแล้วและก็คงจะเป็นบริษัทหมายเลขหนึ่งในหลาย ๆ ครั้งที่ราคาน้ำมันวิ่งขึ้นไปสูงหรือมีวิกฤติน้ำมันที่ทำให้บริษัทมีกำไรสูงมากและทำให้มูลค่าหุ้นสูงลิ่ว ประเด็นก็คือ พลังงานนั้นเป็นสิ่งที่คนทุกคนต้องบริโภคและมีการใช้จ่ายค่อนข้างมากมาตลอดน่าจะตั้งแต่เกือบร้อยปีก่อนที่เริ่มมีการใช้รถยนต์ ดังนั้น ยอดขายของบริษัทน้ำมันจึงมีมูลค่าสูงมากตลอดมา นอกจากนั้น บริษัทที่จะผลิตน้ำมันเองก็ต้องมีขนาดใหญ่มากส่งผลให้มูลค่าหุ้นของบริษัทน้ำมันมีขนาดสูงลิ่วมาตลอด ผลก็คือ บริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอย่างเอ็กซอนจึงติดอันดับหนึ่งมาบ่อยครั้งและผมเชื่อว่ามากกว่าทุกบริษัท

เมื่อโลกเปลี่ยนไป คนอเมริกันร่ำรวยขึ้นมาก พวกเขาเริ่มใช้จ่ายกับสินค้าไฮเท็คมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะที่เป็นผลิตภัณฑ์เคลื่อนที่ได้อย่างไอโฟนและไอแพด หุ้นของแอปเปิลที่เป็นหมายเลขหนึ่งของอุตสาหกรรมจึงกลายเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกันและโลกได้ในช่วงเร็ว ๆ นี้แม้ว่าเมื่อประมาณซักสิบกว่าปีที่ผ่านมามันยังเป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ บริษัทหนึ่งในตลาดหุ้น

ถ้าเรามองประวัติศาสตร์ของหุ้นหมายเลขหนึ่งย้อนหลังไปไกล ๆ เราก็จะพบว่าหุ้นที่เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของตลาดหุ้นอเมริกานั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตามยุคสมัยของเศรษฐกิจ เมื่อสมัยที่คนอเมริกันเริ่ม “ขับรถยนต์” กันทั้งประเทศ หุ้นของเจนเนอรัลมอเตอร์หรือ GM ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์หมายเลขหนึ่งของอเมริกาน่าจะเคยเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุด แต่หลังจาก “ยุคทอง” ของรถยนต์ผ่านไปเนื่องจากการแข่งขันจากรถยนต์ต่างประเทศ หุ้น GM ก็ไม่เคยกลับมายิ่งใหญ่อีกเลย

ยุคที่คนอเมริกันหันมาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่ออำนวยความสะดวกในบ้านกันทุกบ้าน หุ้นเจนเนอรัลอีเล็กทริกหรือ GE ก็น่าที่จะเคยเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในตลาด การใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นอิ่มตัวไปนานแล้ว GE เองก็ตกอันดับไปนานแล้วแต่ปัจจุบันก็ยังคงใหญ่มาก แต่นี่เป็นเพราะ GE ได้หันไปทำกิจการอย่างอื่นที่ยังทำรายได้มากและยังมีคนจ่ายเงินซื้อบริการมากพอสมควรเช่น การทำเครื่องยนต์ของเครื่องบินและการทำธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่ทีเดียว อย่างไรก็ตาม โอกาสกลับมาเป็นที่หนึ่งนั้นน่าจะหมดไปแล้ว

เมื่อเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์ แน่นอน IBM ซึ่งเป็นหมายเลขหนึ่งนั้นก็น่าจะเคยเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุด เพราะแทบทุกธุรกิจก็ต้องใช้คอมพิวเตอร์ แต่ต่อมาเมื่อคอมพิวเตอร์กลายเป็นสิ่งที่คนธรรมดาทุกคนต้องใช้ และการใช้นั้นต้องอาศัยซอฟท์แวร์ หุ้นของไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นหมายเลขหนึ่งที่โดดเด่นครอบงำธุรกิจนี้จึงกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าที่มากที่สุดในตลาดและในโลกทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่ปีบริษัทยังทำงานกันใน “โรงรถ”

ย้อนหลังไปซัก 15-20 ปีที่ผ่านมา วอลมาร์ทซึ่งสามารถเอาชนะคู่แข่งที่เหนือกว่าในด้านของการค้าปลีกสมัยใหม่และเติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยอาศัยกลยุทธการ “ขายถูกทุกวัน” จนสามารถสร้างเครือข่ายที่มียอดขายมโหฬารสูงที่สุดในโลกและมากกว่าบริษัทน้ำมันที่มียอดขายสูงมากตลอดมา ก็กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุด แม้ว่าปัจจุบันมันตกอันดับไปแล้ว แต่มูลค่าตลาดของวอลมาร์ทก็น่าจะยังสูงต่อไปเนื่องจากมูลค่าธุรกิจของโมเดิร์นเทรดเองนั้นก็จะยังสูงต่อไปตราบที่เศรษฐกิจยังขยายตัวเพราะทุกคนยังต้องกินต้องใช้ทุกวันและรูปแบบธุรกิจอื่นก็ยังไม่สามารถมาทดแทนได้

สถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์นั้น ถ้ามองย้อนหลังไปในประวัติศาสตร์ก็จะพบว่ามันเป็นกิจการที่มีขนาดใหญ่มากและมีมูลค่าตลาดสูงมากและเป็นอันดับหนึ่งมาเป็นครั้งเป็นคราวแม้ว่าในระยะหลังโอกาสที่จะเป็นอันดับหนึ่งอีกคงจะน้อยลงไปมากแล้ว เหตุผลก็ชัดเจนว่าคนมีเงินและต้องฝากธนาคารรวมถึงต้องมาใช้บริการของธนาคารพาณิชย์นั้นมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามความเจริญทางเศรษฐกิจที่ยังเพิ่มขึ้นอยู่ อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินนั้นเป็นกิจการที่อันดับหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งไม่ได้หมายความว่ามันจะรักษาอันดับของตนเองไว้ได้โดยเฉพาะเวลาที่เกิดวิกฤติขึ้น ดังนั้น เราก็จะเห็นว่าช่วงเวลาหนึ่งซิตี้แบงค์อาจจะเป็น “ราชันย์” ต่อมาเราอาจจะเห็นแบงค์ออฟอเมริกาที่ยิ่งใหญ่

กลับมาที่ตลาดหุ้นไทย ผมลองนึกดูอย่างคร่าว ๆ แล้วก็คิดว่าในช่วงแรก ๆ ของการเปิดตลาดหลักทรัพย์ กิจการที่น่าจะมีมูลค่าตลาดสูงสุดน่าจะเป็นแบงค์อันดับหนึ่งของประเทศซึ่งก็คือธนาคารกรุงเทพในยุคนั้น หุ้นแบงค์ยังน่าจะเคยใหญ่ที่สุดในตลาดมาเป็นครั้งเป็นคราวจนมาถึงยุคหลังที่ประเทศเจริญขึ้นและคนหันมาบริโภคสิ่งอื่น ๆ โดยเฉพาะพลังงานมากขึ้นทำให้หุ้นของแบงค์ตกอันดับไปและอาจจะไม่มีโอกาสกลับมาใหญ่ที่สุดอีก อย่างไรก็ตาม กลุ่มแบงค์ก็น่าจะเป็นกิจการที่ใหญ่มากไปอีกนานเหมือนอย่างในตลาดหุ้นสหรัฐ

เมื่อประเทศเข้าสูโหมดการพัฒนาเศรษฐกิจ มีการสร้างสาธารณูปโภคและการสร้างที่อยู่อาศัยมากมาย หุ้นที่เกี่ยวกับการก่อสร้างก็ย่อมมีโอกาสที่จะกลายเป็นหุ้นอันดับหนึ่ง ดังนั้น หุ้นของปูนใหญ่ซึ่งมีขนาดใหญ่ครอบงำอุตสาหกรรม จึงน่าจะเคยเป็นหุ้นที่มีมูลค่าอันดับหนึ่งของประเทศในช่วงหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจไทยก้าวมาสู่ระดับที่ใกล้จะเป็นเศรษฐกิจที่ “พัฒนาแล้ว” การใช้จ่ายทางด้านของการก่อสร้างก็น่าจะลดลงเมื่อเทียบกับการใช้จ่ายอย่างอื่น ดังนั้น โอกาสที่ธุรกิจในกลุ่มก่อสร้างจะกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดอีกก็น่าจะยาก

ธุรกิจพลังงานของไทยนั้น เริ่มกลายเป็นบริษัทอันดับหนึ่งมาหลายปีแล้วโดยบริษัทปตท. ซึ่งครอบงำธุรกิจนี้สามารถรักษามูลค่าหุ้นเป็นอันดับหนึ่งอย่างที่ไม่มีใครแซงได้มานานหลายปี อย่างไรก็ตาม พลังของ “เศรษฐกิจใหม่” กำลังเข้ามาแทนที่ หุ้นที่อาจจะมีโอกาสกลายเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศในเวลาไม่นานก็คือธุรกิจสื่อสารที่เป็นโมไบล์หรือมือถือและแน่นอนหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมก็คือหุ้นของ ADVANC ที่มีมูลค่าหุ้นใกล้เข้ามาทุกที

มองไกลออกไปในอนาคต การหาหุ้นที่จะมีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศหรือหุ้นที่จะมีขนาดใหญ่มาก ๆ นั้นคือ “รางวัลอันสูงสุด” สำหรับนักลงทุนระยะยาว เพราะถ้าเรารู้หรือคาดการณ์ถูก การลงทุนถือหุ้นตัวนั้นไว้จะให้ผลตอบแทนที่ดีมากโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแต่ซื้อแล้วถือเก็บไว้ รอเวลาให้มันเติบโตไปเรื่อย ๆ

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

.............................................................................................................


สิ่งที่ยิ่งลักษณ์ฯ พูดน่ะ

ถึงไม่พูดทั่วโลก "เขาก็รู้" กันหมดแล้ว

เหมือนคลิปริมสระ และสาระพัดคลิป ที่ใครใครเขาก็รู้ แต่ไม่พูด

ก็เท่านั้นเอง

แหม่.....ที่รับไม่ได้เพราะไปออกตัวแรงอีตอนเอาดอกไม้ไปให้คณะรัฐประหารเมื่อครั้งกระโน้นไง

พอเขาจับได้ก็ "ม้วน" เลยซิท่า - #NO112 #WTT #สกน

.............................................................................................................




กทม.ดีเดย์ เปิดสถานีจักรยานปันปั่น ให้บริการยืมเช่า-คืน12สถานี-เริ่ม1พ.ค.นี้...
รายงานข่าวจากกรุงเทพมหานคร แจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.เป็นต้นไป โครงการจักรยานสาธารณะปันปั่นของกรุงเทพมหานคร จะเปิดให้บริการสถานีจักรยานปันปั่น จำนวน 12 สถานี ได้แก่ สถานีจามจุรีสแควร์ สถานีสยามสแควร์ สถานีสยามเซ็นเตอร์ สถานีจุฬาฯ (หน้าคณะวิทยาศาสตร์) สถานีจุฬาฯ 2 (ตรงข้ามเตรียมอุดม) สถานีมาบุญครอง สถานีสยามพารากอน สถานีเซ็นทรัลเวิลด์ 1 (ถ.พระราม 1) สถานีเซ็นทรัลเวิลด์ 2 (ถ.ราชดำริ) สถานีกรุงศรีฯ (เพลินจิต) สถานีคอนแวนต์ (สาทรเหนือ) และสถานีอาคารรัจนาการ (สาทรใต้) โดยเริ่มให้บริการยืม เช่า และคืนรถจักรยานให้กับประชาชนตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสมัครสมาชิกและติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่ประจำสถานีได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-20.00 น. หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่www.punpunbikeshare.com และ www.facebook.com/Punpunbikeshareหรือสายด่วน 08-7029-8888.



แบบนี้ค่อยดูทำงานเพื่อประชาชนบ้างละ ^_^

...............................................................................................................


นาย ก : ยิ่งลักษณ์นี่แม่งเลวจริงๆนะครั
นาย ข : ทำไมครับ ?
นาย ก : มันเนรคุณแม้แต่แผ่นดินเกิด ไปด่าประเทศตัวเองให้ต่างชาติฟั
นาย ข : ผมว่าเขาไม่ได้ด่าประเทศนะครับ
นาย ก : มันพูดชัดซะขนาดนั้น ยังจะแถอีก
นาย ข : คือเขาด่าพวกมึงนั่นแหละครับ ไม่ได้ด่าประเทศหรอก

............................................................................................................




"เขาไม่ได้ด่าประเทศไทย เขาด่าพวกมึง" - มิตรสหายท่านหนึ่ง

............................................................................................................




"..สถาบันนิติวิทย์ฯจะใช้เครื่องจีที 200 ต่อไป.."

พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ 16 กุมภาพันธ์ 2553 ASTVผู้จัดการออนไลน์ http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000022483


"ผ่านมาหลายปี ก็ยังคงไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆจากหมอพรทิพย์ที่เอา gt200 ไปจับประชาชนในสามจังหวัดภาคใต้เข้าค่ายกักกันเพราะสงสัยเป็นผู้ก่อการร้ายเนื่องจากติ้วกำมะลออย่าง gt200 หมุนติ้วไปมา"
- จ่าพิชิต ขจัดพาลชน, 30 เม.ย.56
https://www.facebook.com/jarpichit/posts/10151413158748379


................................................................................................................




ตำรวจคนนี้ ร้องเพลงหาเงินช่วยเหลือเด็กยากจน คนพิการ..หลังเลิกงาน อยู่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่

# ขอชมเชยคนดี ที่ทำประโยชน์ให้แก่สังคม..ทำดีเริ่มได้ที่ตัวเรา

CR เพจสถานีคลายเครียด

................................................................................................................


โอ้ยยยย กรูฮา มีสลิ่มสมองนิ่ม พยายามโยงว่า ศาลรัฐธรรมนูญไทยก็ลอกแบบมาจากเยอรมันเยอรมันนั่นแหละ โถแม่คุณ หนังสือหาอ่านบ้างนะก่อนจะแถ ไอ้ Bundesverfassungsgericht หรือ ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน มันมีจริง แต่มันได้รับการเลือกมาจากสมาชิก Bundesrat (สภาสูง ที่ได้รับเลือกจากประชาชนแต่ละรัฐ) กับสมาชิก Bundestag (สภาล่าง ที่ได้รับเลือกจากประชาชนทั้งประเทศ) แต่ศาลรัฐธรรมนูญไทยได้รับการแต่งตั้งจากคนไม่กี่คนที่ไม่มีอะไรยึดโยงกับประชาชนเลย เมิงช่วยดูให้หายโง่ด้วย

.................................................................................................................




• เพื่อนฝากคุณซื้อของ คุณซื้อมาแล้วเก็บในตู้โดยไม่บอกเขา เพราะคุณรู้ว่าตัวเองเก็บมันไว้ในตู้ ไม่ได้นึกว่าเพื่อนจะไม่รู้เท่าคุณ
• เพื่อนกำลังขับรถ คุณอ่านแผนที่ หันหน้าไปทางที่จะต้องเลี้ยวแล้วบอกเพื่อนว่า “ไปทางนี้” ไม่ได้นึกว่าเพื่อนกำลังมองถนนอยู่

อาการ egocentric ทำให้คุณไม่กลัวการเข้าใจผิด คุณจึงเข้าใจผิดและถูกเข้าใจผิดเสมอ เพราะคุณคิดว่าทุกคนเข้าใจแบบเดียวกับคุณ เมื่อพูดจึงไม่ได้ใส่ใจที่จะสื่อสารให้ชัดเจน เมื่อฟังจึงไม่ใส่ใจที่จะถามคอนเฟิร์มจนเข้าใจตรงกัน

เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับคนที่ติดอยู่ในนั้น egocentric ทำให้คุณอยู่ในโลกที่กว้างใหญ่นี้คนเดียว เพราะคุณรู้จักความคิดของคนอื่นน้อยมาก โลกของคุณสร้างขึ้นจากความคิดของคุณเกือบทั้งหมด ถ้าอยากจะออกมา ก็แค่เริ่มสนใจมุมมองคนอื่น ตระหนักว่ามุมมองคนอื่นนั้นต่างจากเรา เพราะถ้าคุณไม่ได้เป็นออทิสติคและอายุเกิน 4 ขวบ คุณจะมีทักษะนั้นอยู่แล้ว คุณแค่ปิดกั้นมันไว้เท่านั้


http://en.wikipedia.org/wiki/Sally-Anne_test
รูปจาก http://www.hausarbeiten.de/faecher/vorschau/184964.html

.....................................................................................................


หลักการสื่อสารที่มีความรับผิดชอบ
1. เรื่องไม่จริง ไม่พูด
2. เรื่องจริงที่พูดไปไม่เป็นประโยชน์และก่อให้เกิดความเสียหายไม่พูด
3. เรื่องจริงที่พูดไปแล้วเป็นประโยชน์ต้องรู้กาละและเทศะที่จะพูด นั่นคือจะพูดที่ไหน ที่เวลาใด

C's ของการสื่อสารที่ดี
1. Content เนื้อหาสาระดี
2. Context อยู่ในบริบทที่ถูกต้อง
3. Comprehension พูดแล้วคนเข้าใจถูกต้อง
4. Competence คนพูดมีความสามารถด้านการสื่อสา
5. Compassion คนพูดมีความรักมีไมตรีกับคนที่เขาพูดด้วย
6. Correct พูดสิ่งที่ถูกต้อง เป็นความจริง ไม่โกหกบิดเบือน
7. Consideration คนพูดไตร่ตรองเป็นอย่างดี คิดก่อนพูด
8. Channel เลือกช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อยากถูกต้อง
9. Creativity มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักเลือกใช้ถ้อยคำให้เกิดสุนทรีย์ทางภาษา
10. Courtesy มีความสุภาพอ่อนนเอมถ่อมตน ไม่ยโยอวดดี ยกตนข่มท่าน

หลักธรรมาภิบาล
1. Participation ทำอะไรต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม รับ inputs จากประชาชน ไม่ใช้เผด็จการกำหนดการกระทำของผู้มีอำนาจ
2. Transparency โปร่งใส ตรวจสอบได้
3. Accountability พร้อมแอ่นอกรับผลการกระทำของตนเอง ถูกผิดอย่างไรไม่บิดพริ้ว ไม่แถ ไม่แก้ตัวด้วยเหตุผลที่ไร้ตรรกะ ไม่ปัดความรับผิดชอบ
4. Value for money ใช้งบประมาณและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ไม่ใช้อย่างสะเกะสะปะหรือตามใจผู้มีอำนาจโดยไม่คำนึงถึงความคุ้มค่า
5. Result-orientation มุ่งสัมฤทธิ์ ใช้ทรพยากรให้เกิดผลผลิตผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์
6. Ethics. มีจริยธรรมในการทำงาน ทำสิ่งที่เหมาะท่ควร

Ethics. จริยธรรม มีคำร่วมตระกูลดังนี้

1. นิติธรรม legality ไม่ทำผิดกฎหมาย
2. ชอบธรรม legitimacy ทำสิ่งที่มีสิทธ์ ไม่ทำลายสิทธิ์ผู้อื่น
3. ยุติธรรม fairness ไม่เอาเปรียบผู้อื่น
4. คุณธรรม merit ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ มีคุณค่า
5. ศีลธรรม morality ทำสิ่งที่ถูกต้องตามหลักธรรมะ ไม่ทำผิดหลักศาสนา

วันนี้ไม่ขอออกความคิดเห็นใดๆ ไม่ว่าใคร ไม่อยากพูดว่าใครชั่วใครดี ไม่อยากถูกกล่าวหาว่าสร้างความแตกแยก วิญญูชนผู้มีปัญญาตรองเอาเองเถิด พ่อแม่ท่าน นายท่าน ลูกน้องท่าน เพื่อนท่าน ญาติพี่น้องท่าน สส. ของท่าน สว. ทั้งหลาย สื่อมวลชน นักวิชาการ ข้าราชการ คนในรัฐบาล

ใครพูดอย่างคนที่มีความรับผิดชอ
ใครบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล
ใครเป็นคนมีจริยธรรม

จริงอยู่ไม่มีใครสมบูรณ์ แต่ใครบกพร่องแบบพอทนได้ ความเสียหายไม่ร้ายแรง
ใครบกพร่องแบบเหลือทน เพราะสร้างความเสียหานร้ายแรง

คิดกันเอาเองนะ จะรักใคร ชอบใคร ชังใคร ขอให้มาจากการคิดใคร่ครวญและไตร่ตรองของท่านเอง
ใครไมีอยากใช้หลักที่ให้มานี้พิจารณาใครบางคนเพราะอยากจะรักอยากจะชังด้วยศรัทธาหรือด้วยอคติใดๆก็สุดแต่ใจ สุดแต่เวรแต่กรรม สุดแต่ปัญญาและอวิชชาของแต่ละปัจเจกก็แล้วกันนะ

..........................................................................................................

.........................................................................................................




จักประสบการณ์ชีวิตที่อยู่เมืองไทยตอนเด็กๆ พอย้ายไปเมืองนอกเจอหลักสูตรการสอนที่แตกต่างออกไปถึงกับงงค่ะ 55 แต่ละประเทศเค้ามีวิธีปลูกฝังนักเรียนในแต่ละเรื่องที่แตกต่างกันจริงๆ


Hennessy Iima จิงค่ะ!!555
.................................................................................................................




พรุ่งนี้รวย พรุ่งนี้รวย

มุกวิทย์ เหี้ย เหี้ย จาก Sirinat ThePirate
https://www.facebook.com/mingninja

..................................................................................................................


จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ 'ทนายความ' รวมพลัง ฟ้อง 'ประธานศาลฎีกา' (และพวก) ณ ศาลปกครองทั่วประเทศ !! ??

เรื่องนี้น่าสนใจมากครับ ปมมันเกิดมาจากการที่ศาลไปวางระเบียบที่กระทบต่อการประกอบอาชีพของทนายให้ต้องไปเข้าหลักสูตรอบรมกับศาล ก็น่าคิดว่าระเบียบนี้ชอบธรรมหรือไม่ ที่เหมือนให้ศาลมากำกับทนายโดยปริยาย...น่าสนใจ น่าสนใจ แล้วศาลจะส่งใครมาเป็นทนายละเนี่ย

---
มติชน: สภาทนายความมีมติให้ฟ้องผู้บริหารศาลยุติธรรม ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา เลขาธิการศาลยุติธรรม อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนฯ สำนักงานศาลยุติธรรม และกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เป็นผู้ถูกฟ้องคดี รวม 5 คน ขอให้เพิกถอนระเบียบประธานที่ออกคำสั่งให้อบรมทนายเป็นที่ปรึกษากฎหมาย โดยจะมีทนายความ 100 คนไปฟ้องที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ เวลา 13.00 น. และให้ทนายความ 108 ศาลทั่วประเทศ ไปฟ้องที่ศาลปกครองภาคทั่วประเทศ นอกจากนี้สภาทนายความขอให้ทนายความเลิกการร่วมอบรมที่ปรึกษากฎหมายกับศาลเยาวชนอีกด้วย

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1367325173&grpid=03&catid=01&subcatid=0100

............................................................................................................