วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

27/03/2556




บัฟเฟตต์ ได้เขียนเอาไว้ว่า "ตลาดหุ้นนั้นไม่มี ที่มีอยู่ตรงนั้น ก็เพียงเพื่อให้เราเห็นว่า ใครกำลังทำอะไรที่โง่ๆ อยู่"
- ปีเตอร์ ลินซ์ -
เหนือกว่าวอลล์สตรีท

Buffett has written, "the stock market doesn't exist. It is there only as a reference to see if anybody is offering to do anything foolish."
- Peter Lynch -
One Up On Wall Street


......................................................................................................................






..................................................................................................................


นาย ก : ไม่เห็นหลายวันไปไหนมาครับ ?
นาย ข : ไปเที่ยวญี่ปุ่นมาครับ
นาย ก : เป็นยังไงบ้างครับ บ้านเมืองเขาไฮเทคไหมครับ ?
นาย ข : สุดยอดเลยครับ ผมนั่งรถไฟชินคันเซ็น เร็วมากแป๊บเดียวถึงครับ
นาย ก : โอ้ โห ยอดเยี่ยมจริงๆ
นาย ข : มันสุดยอดมากครับ แล้วดูเมืองไทยสิครับ ไม่พัฒนา ร้อยปีก่อนเป็นยังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น
นาย ก : อื่มมมม ทำไมเป็นงั้นละครับ ?
นาย ข : ก็เรายังมีผู้นำโง่ๆ นักการเมืองเหี้ยๆ เต็มไปหมดแบบนี้ มันจะไปพัฒนาอะไรได้ครับ !!
นาย ก : ได้ข่าวว่า รัฐบาลนี้เขาเริ่มโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงแล้วนะครับ
นาย ข : พี่น้องคู่นี้มันเก่งจริงๆนะครับ ถนัดแต่โครงการใหญ่ๆ เล็กๆมันกินไม่อิ่ม
นาย ก : อืม.....
นาย ข : นี่ไม่รู้จะไปก่อหนี้ทิ้งไว้ให้ประเทศชาติอีกเท่าไหร่ แล้วเดี๋ยวแม่งก็มาเก็บภาษีกับเราเพิ่มครับ
นาย ก : ปีนี้เขาปรับอัตราจัดเก็บภาษีลดลงมาด้วยนะครับ
นาย ข : เอาอีกแล้วซื้อเสียงเชิงนโยบาย หลอกได้แต่ไอ้พวกควายโง่ๆเท่านั้นแหละครับ ลองดูดีๆ พวกที่ได้ประโยชน์คือพวกคนรวยครับ
นาย ก : ..... ได้ข่าวพบโครงการสนามกีฬาทั่วประเทศ สมัยรัฐบาลปชป. ไหมครับ ?
นาย ข : โครงการนี้มีประโยชน์นะครับ เสริมสร้างสุขภาพให้กับเยาวชน สนับสนุนการกีฬา
นาย ก : คือมันสร้างไม่เสร็จอีกแล้วนะครับ ซ้ำรอยกทม.เลย
นาย ข : รัฐบาลชุดที่แล้วเขาริเริ่มมาดีแล้ว มันเป็นเรื่องการบริหารสัญญา ทำไมรัฐบาลที่เข้ามาไม่สานต่อโครงการดีๆแบบนี้ละครับ
นาย ก : .......


.........................................................................................................................


จริงๆก็เขียนไปแล้ว แต่พูดอีกสักครั้งก็แล้วกัน

ผมไม่ได้ไม่ห่วงเรื่องคอรัปชั่น ไม่เคยบอกว่ามันไม่เป็นปัญหา แต่ผมมองว่ามันเป็นสองปัญหาที่แยกจากเลยโดยสิ้นเชิง จะคุยเรื่อง A ก็ไม่ต้องเอาเรื่อง B มาพ่วง แต่ถ้าจะคุยเรื่อง B ก็คุยไปเลยโดยไม่ต้องดูเรื่อง A ครับ

คือประเทศไทย ไม่ต้องกู้มาลงทุนหรอก เอาแค่จัดซื้อสมุดปากกา มันยังกินกันเลย แล้วทำไมเราจะต้องสนใจแต่กรณีเงินเยอะๆกันด้วย เงินไม่เยอะไม่สนใจหรือ ตำรวจเรียกเราเปิดกระจกยัดเงินได้ แต่ถ้ากู้เงินมาสร้างรถไฟทำไม่ได้หรือ?

ถ้าใช้ตรรกะว่าเพราะคอรัปชั่นจึงไม่ควรทำ เราคงต้องงดแทบทุกกิจกรรมในประเทศกันละครับ

ดังนั้นถ้าจะคุยเรื่องคอรัปชั่นก็ต้องคุยไปเลยทุกระดับ ถกกันไป แก้กันไป แต่ถ้าจะคุยเรื่องลงทุนพัฒนาประเทศ ก็คุยในประเด็นนั้นๆไป

ทั้งสองอย่างมันเป็นสองปัญหาแยกจากกัน ที่สามารถแก้ไขพัฒนาควบคู่กันไปได้ ถ้าจะทำอย่างจริงจัง

ว่าแต่ .... สรุปว่าเรื่อง CTX กับ กล้ายาง นี่ตกลงว่าใครผิด?


....................................................................................................................




» คำถามสำคัญของชีวิต : "Who am I?" / อะไรเล่าคือ "ฉัน" ที่แท้?

'มูลลา นัสรูดิน' เดินทางไกลผ่านเมืองในชนบท หลังจากเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวัน และถึงเวลาพลบค่ำแล้ว จึงจำเป็นต้องหาที่พักค้างคืน ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง...

วันนั้นมีผู้คนเดินทางเป็นจำนวนมากจนห้องพักไม่พอ ทางโรงแรมจึงได้จัดให้ผู้มาพักนอนชิดติดเป็นแถวเรียงกันไป

ก่อนนอนคืนนั้น นัสรูดินนึกกังวลไปว่า หากปิดไฟในโรงนอนจนมืดแล้วจะมองไม่รู้ว่าคนไหนเป็นตัวเอง เพราะนอนเรียงติดกันเป็นพืด

เขาจึงใช้ลูกโป่งสีแดงผูกเชือกไว้กับปลายเท้าของตัวเอง เพื่อให้บอกได้ว่าคนที่นอนตรงนี้นั้นคือตัวเขา คือนัสรูดินนั่นเอง

แต่ในช่วงดึกของคืนนั้นมีชายคนหนึ่งเดินมาเห็นเข้าและคิดอยากแกล้งนัสรูดิน จึงได้ย้ายเชือกลูกโป่งไปผูกไว้กับปลายเท้าของอีกคนที่นอนข้างๆ

พอถึงเวลาเช้ามืด เมื่อนัสรูดินตื่นขึ้นและมองไปรอบๆ เห็นลูกโป่งผูกอยู่ปลายเท้าของชายที่นอนข้างๆ เขาจึงรีบลุกขึ้นไปจับมือชายคนนั้น พร้อมกับทักทายด้วยความดีใจอยางกระตือรือร้นว่า...

"สวัสดีๆ ฉันรู้จักเธอ เธอคือนัสรูดิน แต่ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่า ฉันคือใคร..."


◌◌◌◌◌◌◌◌


หากใคร่ครวญดีๆ แล้วจะพบว่า คำถามนี้เป็นเรื่องสำคัญมากต่อชีวิตของคนเรา เพราะความไม่รู้ว่า "ฉันคือใคร" ฉันจึงไปหลงและอิงอาศัยอยู่กับสิ่งที่ตนเองหยิบยื่นให้ด้วย

นับตั้งแต่ชื่อ (บางคนเปลี่ยนแล้วหลายครั้ง) ชื่อเล่น คุณวุฒิ ตำแหน่งงาน ฐานะ บทบาททางสังคม อารมณ์ ความรู้สึก ลึกลงไปอีก

ฉันคือความคิดความเห็น จุดยืน นิสัยใจคอ บุคลิก และความเชื่อของฉันในเรื่องต่างๆ แล้วอะไรเล่าคือ "ฉัน" ที่แท้


มีครูอาจารย์หลายท่านได้ให้ความรู้และคำสอนถึงธรรมชาติแท้จริงของชีวิต ...เพื่อชี้ทางให้พวกเราสามารถหาคำตอบของคำถามนี้ได้


หนึ่งในนั้นที่ให้คำอธิบายได้อย่างแจ่มแจ้งละเอียดลออที่สุดคือ หลวงพ่อพิชัย สุธัมมสุชาโต ...แห่งสำนักปฏิบัติธรรม วนานุรักษาราม จังหวัดบุรีรัมย์

ท่านให้การอบรมธรรมะเพื่อรู้ทางสู่ความสุขอันแท้จริงอย่างอิสระ และจากหนังสือทางสู่ความพ้นทุกข์ ซึ่งได้ให้คำตอบต่อคำถามว่า "ฉันคือใคร" อย่างชัดเจน


◌◌◌◌◌◌◌◌


หลวงพ่อพิชัยท่านสอนว่า...


"ตัวตนแท้จริงของเราคือใจ เดิมนั้นเป็นใจบริสุทธิ์ผุดผ่องใส เป็นธรรมชาติ ในใจบริสุทธิ์ผุดผ่องใสซึ่งเป็นธรรมชาติเดิมนั้นมีคุณสมบัติคือ รู้ คิด และจำอยู่ในใจ"


"ใจเป็นคำไทย จิตเป็นคำบาลี มีความหมายอย่างเดียวกัน จิตที่เป็นธรรมชาติเดิม อยู่ในภาวะภวังคจิต คือสงบนิ่ง จิตนี้เป็นอวิชชา คือความไม่รู้จริง ไม่รู้รอบ ก็ชื่อว่า จิตนี้โง่"


"ความจริงจิตเดิมนั้นไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน ไม่เป็นสัตว์ ไม่เป็นชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นภาวะที่รู้ - คิด - จำ เหมือนกับเป็นพลังงานที่เล็กและละเอียดที่สุดยิ่งกว่าพลังงานใดๆ

เมื่อจิตนี้ยังโง่ จึงหลงเข้าใจผิดคิดว่าถ้ามีร่างกายเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้คงจะดีมีความสุข จึงได้เพ่งพลังจิตด้วยความอยากมีร่างกาย สร้างให้เกิดร่างกาย แล้วจิตก็เข้าไปสถิตในนั้นเรียกว่าวิญญาณ"

(ใครที่มีความรู้ทางธรรมคงทราบดีว่าหลวงพ่อกำลังอธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง)

นี่จึงเป็นที่มาของ...ความยึดมั่นถือมั่นว่ารูปที่จิตสร้างขึ้นนั้นจะมีความยั่งยืน ทั้งที่ในความจริงคือสิ่งใดที่ถูกสร้างขึ้น สิ่งนั้นก็ย่อมสลายหายไปตามกฎของอนิจจังคือความไม่เที่ยง


รูปที่สร้างขึ้นตอนแรกนั้นยังบอบบางอ่อนแอ แต่จิตก็ยังมีความรักหลงใหลต่อรูปนั้นอย่างลึกซึ้ง เมื่อไม่สามารถคงทนต้องสลายไป จิตก็จะเกิดความโศกเศร้าเสียใจและพยายามเพ่งพลังให้ได้รูปที่ซับซ้อนมากขึ้น

จนเกิดเป็นอนุภาค อะตอม ธาตุ โมเลกุล สารประกอบ และเซลล์ต่างๆ จนกลายเป็นชีวิตขึ้นในเวลาต่อมา

ยิ่งรูปนั้นมีความซับซ้อนมากขึ้นเพียงใด จิตก็ยิ่งต้องทุกข์ในการสร้าง คอยรักษาไว้ทั้งยังต้องกังวลหวงแหน...กลัวว่าจะสูญเสียไป


◌◌◌◌◌◌◌◌


หากเรากลับมาเพ่งพินิจที่ใจตัวเอง ก็จะพบว่า...จริงดังที่หลวงพ่อสอน คือ เรายังมีความกลัวลึกๆ อยู่ในใจตลอดเวลา ได้แก่...

กลัวหิว กลัวเมื่อย กลัวเหนื่อย กลัวเจ็บป่วยไม่สบาย กลัวไม่มีคนรัก กลัวไร้ค่า กลัวจน กลัวแก่ และกลัวที่สุด คือ กลัวตาย แต่ไม่ว่าจะกลัวตายแค่ไหนก็ต้องตายอยู่ดี แล้วจะกลัวตายไปทำไม ใช่ไหมครับ

ในความจริงนั้น ใจเป็นอมตะคือไม่เกิดไม่ตาย ความกลัวที่ติดไปกับใจก็จะนำให้ไปสู่การเกิดภพชาติต่างๆ ไปอย่างไม่มีสิ้นสุด

คนเราจึงพยายามนำเอาโลกธรรมคือ ฐานะ ยศ ชื่อเสียง ความสุขสบาย เข้ามาเป็นเครื่องมือปกป้องชีวิต แต่ก็ต้องทุกข์และผิดหวังอยู่ดี

เพราะทุกสิ่งที่แสวงหามาเพื่อให้กับจิตนั้นที่ล้วนตกอยู่ในสภาพเดียวกัน คือความต้องเสื่อมสลายหายไปหมด

หลวงพ่อพิชัยจึงสอนให้เราหยั่งใจ (fathom) นำความเข้าใจความจริงนี้เองสู่ใจให้ลึกที่สุด ...ลึกจนสามารถทำลายความหลงผิดของจิตที่ต้องการอะไรที่มากไปกว่าจิต แล้วกลับมาสู่จิตเดิมที่ผ่องใสบริสุทธิ์อีกครั้ง

แต่คราวนี้จะกลับสู่จิตเดิมพร้อมกับวิชชา...หรือความรู้ว่า "ฉันคือจิต" จะไม่หลงสร้าง หลงยึด หลงรักษา จนต้องหลงกลัวและหลงทุกข์จอมปลอมเช่นเดิมอีก

เรียกว่าพ้นทุกข์กันในชีวิตนี้เลยทีเดียว...ดีไหมครับ?


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : รศ.นพ.ธวัชชัย กฤษณะประกรกิจ | คอลัมน์ Mind Management นิตยสาร ซีเคร็ต ฉบับเดือนเมษายน 2554


....................................................................................................................


เผาบ้าน เผาเมือง

ต่อไปนี้ถ้าผมเห็นใครพูดว่า เสื้อแดงเป็นพวกเผาบ้านเผาเมืองอยู่อีก ผมจะเข้าใจว่าบุคคลนั้นเป็นคนประเภทนี้ครับ

1. บ้านจน เพราะไม่มีปัญหาเสพข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ
2. ไม่ใฝ่รู้ เพราะแค่เนื้อข่าวยาวไปหน่อยกูก็ขี้เกียจอ่าน
3. ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงบ้าน เพราะถ้าเข้าถึงเปิดทีวีก็ต้องรู้ว่าศาลตัดสินไปแล้ว
4. โง่ ปัญญาอ่อน อ่อนต่อโลก ชักจูงง่าย เชื่อคนง่าย ไร้สมอง ไม่มีความคิด พิจารณาไม่เป็น วิเคราะห์ไม่ได้ เสพสื่อด้านเดียว ฯลฯ สุดจะบรรยาย และผมเชื่อว่าส่วนใหญ่เป็นข้อนี้แหละครับ 555+

อัพเดทข้อมูลบ้างนะครับ ให้สมกับสมาร์ทโฟนในมือที่มีราคาหลายหมื่นบาทหน่อย ใช้ให้คุ้มค่า ไม่ใช่เอาไว้โชว์ว่ากูรวย (แต่โง่ฉิบหาย)

001

.....................................................................................................................


เมื่อเช้าให้สัมภาษณ์ นสพ. ผู้จัดการ เรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ทุกวันนี้เราคัดเด็กจากการสอบไม่กี่ชั่วโมง
ด้วยข้อสอบในตำรา
แต่ในความจริงเรา อยากได้ ผู้พิพากษา ที่มีความซื่อสัตย์
มากกว่าผู้พิพากษาเก่งไวยากรณ์หรือคิดเลขเก่ง
เราอยากได้หมอ ที่มีนำ้ใจ มีเมตตา
มากกว่าหมอที่เก่งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ หรือเหรียญทองโอลิมปิค
แต่เราบอกว่า มันวัดยาก
เราจึงเอาที่วัดง่าย มาใช้ แล้วก็ มาบ่นกัน
ว่าทำไมเดี๋ยวนี้บ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้
เด็กกวดวิชากันอย่างนี้
คนใจร้าย คนโกงเยอะอย่างนี้
คนทำดีไม่เห็นได้ดี

ลองนึกดูนะครับ
อะไรจะเกิดขึ้นถ้า ............
เรา คัดเด็กจากสององค์ประกอบ
ส่วนหนึ่งจากวิชาการ สองจากคุณลักษณะ
แต่ละมหาวิทยาลัยมีเกณฑ์เลยครับ
เช่นบางคณะอาจกำหนด ไปเลย ว่า เก่งแค่ไหน แต่ไม่ซื่อสัตย์
ก็ไม่รับเข้าเรียน คณะแพทย์อาจกำหนดว่า ผู้จะเข้าเรียนแพทย์ ต้องมีคุณลักษณะอย่างไร ถ้าทำได้อย่างนี้
เด็กจะหันมาสนใจใฝ่ดีกันมากขึ้นไหม
เด็กจะหันมามีจิตอาสากันมากขึ้นไหม
เราจะได้คนดีๆเข้าไปเรียนต่อกันมากขึ้นไหม
และที่สำคัญ
สิ่งที่บอกว่าวัดยาก คือความซื่อสัตย์
เมตตา จิตสาธารณะ
ก็เชื่อกันว่า วัดไม่ได้
ผมมีวิธีครับ
เราต้องหันมาดูปัญหาบ้านเราแล้วครับ
จะเอาวิธีวัดแบบฝรั่งมาใช้ มันก็เป็นอย่างที่เห็น
แล้วจะอัดคลิป พูดเรื่องนี้เต็มๆสัก 30นาที
จะมาบอกเล่าว่าทำอย่างไร ....... ว่าแต่ คิดว่าน่าสนใจไหมครับ


.....................................................................................................................





ที่มาของ มาร์ค ม.7 - #NO112 #WTT #สกน



ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสถานการณ์ปัจจุบัน
แต่ชอบเลยแชร์เก็บไว้เป็นข้อมูล

...................................................................................................................




หรือต้องขยายเพิ่มเป็น ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก?


.........................................................................................................


.................................................................................................................


"มีมิตรสหายที่รู้จักท่านหนึ่งไปฝึกงานวิศวกรรมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ช่วยดูแลหัวรถจักรดีเซลที่ใช้สำหรับรถเร็ว รถธรรมดา ได้ให้ความรู้ที่น่าสนใจมาก นั่นคือ

1. การรถไฟแห่งประเทศไทยมีศูนย์ซ่อมหลักอยู่ 3 แห่ง หัวลำโพง บางซื่อ และมักกะสัน เป็นศูนย์ซ่อมเบา ศูนย์ซ่อมหนัก และศูนย์ซ่อมหนักมากตามลำดับ รถที่มีการเช็คสภาพก็คือรถที่วิ่งผ่านศูนย์ซ่อมบางซื่อ นั่นทำให้รถชานเมืองไม่ได้เช็คสภาพ

2. สภาพห้องคนขับรถไฟเปรียบเสมือนรถเมล์เก่าๆ ที่ไม่มีการบำรุงรักษา เบาะนั่งไม่มีเบาะเหลือแต่สปริง คนขับก็ต้องนั่งทั้งอย่างนั้น ที่เหยียบสำหรับเตือนว่ายังไม่ได้หลับในใช้การไม่ได้(ถ้าไม่เหยียบตามระยะเวลาที่กำหนดมันจะมีเสียงเตือน) ไม่รู้ทำให้เสียเอง หรือมันเสียตามสภาพ

3. เนื่องจากห้องคนขับไม่มีห้องน้ำ และไม่มีทางเชื่อมไปยังตู้ผู้โดยสารเวลาถ่ายเบาหรือถ่ายหนักก็มักจะถ่ายใส่ถุงแล้วโยนลงข้างทางหรือเก็บซุกไว้ในรถ มิตรสหายท่านนั้นเคยเจอถุงขี้ซุกไว้ในห้องเครื่องหลายถุงด้วย เพราะทุกๆ สัปดาห์จะต้องมีการล้างห้องเครื่อง

4. คนขับรถไฟต้องจบวิศวกรรถไฟ ซึ่งเป็นโรงเรียนเฉพาะทางของการรถไฟ จะเปิดเมื่อมีมติคณะรัฐมนตรีเท่านั้น แถมวันที่ประกาศเปิดรับคนเข้าเรียน ก็คือวันที่ใส่ชื่อลูกหลานตัวเองจนเต็มแล้ว

5. ระหว่างการกลับไปเยี่ยมรุ่นพี่ที่ดูแลตอนฝึกงาน มิตรสหายท่านนั้นเล่าให้ฟังว่ามีรถไฟวิ่งเข้าโรงซ่อมมาพอดี คนขับตะโกนว่าไฟไหม้ห้องเครื่อง ช่างก็พากันกรูขึ้นไป แล้วหยิบที่ดับเพลิงบนรถออกมาฉีด ฉีดกี่อันก็ใช้ไม่ได้ โยนทิ้ง แล้วใช้น้ำดับแทน"

--- มิตรสหายท่านหนึ่งว่าไว้


......................................................................................................................




นายชวนได้ออกมาตอบโต้แล้ว
โดยกล่าวว่า เป็นโครงการที่นายชวนคิดมาก่อนจริง แต่ไม่ได้คิดว่าจะทำจริงแต่อย่างไรจึงขอให้เข้าใจให้ถูกต้องด้วย และนายชวนมิได้ประสงค์จะเป็นเป้าแทนหัวหน้าพรรคด้วย พรรคนี้ นโยบายมีไว้หาเสียงเท่านั้น ไม่เคยคิดทำจริง พอเลือกตั้งจบ ก็จบ
นี่คือ ประชาธิปัตย์ ผิดจากนี้ ..ไม่ใช่


...................................................................................................................




"ชูวิทย์"จัดทำหนังสือ"ท่องเที่ยวบ่อนทั่วประเทศไทย ..อะเมสซิ่งไทยแลนด์"

คลิกอ่านรายละเอียด http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1364370052&grpid=02&catid=01&subcatid=0100



555++
เยี่ยมครับคุณชูิวิทย์
ถ้าบ่อนมันยังอยู่ได้นี่ ก็ต้องล้างบางตำรวจ ไม่ไหวละ
หวังว่าคุณชูวิทย์จะเอาตัวรอดจากตะกั่วด้วยนะครับ ^_^


................................................................................................................


................................................................................................................




ผบ.ทอ.เชื่อรัฐบาลกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อการพัฒนาให้เกิดประโยชน์
ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ (บก.ทอ.) พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะเกิดเหตุรุนแรงช่วงสภาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ว่า เราก็ต้องดูเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ เพราะการกำหนดนโยบายเป็นเรื่องของรัฐบาลเพื่อมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์ และการพัฒนาที่ยั่งยืน ส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นก็ต้องมีวิธีแก้


...................................................................................................................



เคยคุยกับน้องที่สนิทกันเรื่องนี้
แชร์เก็บไว้หน่อยละกัน ^_^


.....................................................................................................................


....................................................................................................................




"วิทยาศาสตร์นั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบและถูกใช้ไปในทางผิดๆ อยู่บ่อยครั้ง มันอาจเป็นเพียงแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่งแต่มันก็เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่เรามีเพราะมันแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองได้ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและปรับใช้ได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยเครื่องมือนี้ เราจะเอาชนะแม้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้"

คาร์ล เซแกน


...................................................................................................................


......................................................................................................................


สาระ+ภาพ 3 มุม 3 ปากคำ ใครเผาเซ็นทรัลเวิลด์


http://prachatai.com/journal/2013/03/45942

.........................................................................................................................


Supapong Wanitpongpan ส่วนตัวผมเบื่อการโยงแบบนี้ฉิบหายเลยว่ะ ... คือมึงโยงกันได้ยังไงว่ะ ... โหนทหารชัด ๆ ทุกวันนี้มันจะมีประโยคแบบ "ทำรถไฟความเร็วสูงทำไมเพิ่มเงินให้ทหารดีกว่าไหม", "สร้างถนนทำไมเพิ่มเงินให้ทหารดีกว่่าไหม" ... แทบจะเรียกว่า ทำเหี้ยอะไรก็ต่อท้ายด้วยเพิ่มเงินให้ทหารดีกว่าไหม ??? คือแม่งงั้นก็ไม่ต้องทำเหี้ยอะไรแล้วครับ ... แล้วผมสงสัยว่ะ ... งี้อีกหน่อย มีคนเรียกร้องให้เพิ่มเงินให้ ...ตำรวจ, คนกวาดถนน ฯลฯ ด้วยทำไงว่ะ ประเทศนี้เลยหยุดพัฒนาจนกว่าจะเพิ่มเงินให้คนบางกลุ่มเหรอไงว่ะ
ที่จริงคุณต้องโต้แย้งว่า ทำไมควรเพิ่มเงินให้ทหาร ... และทำไมเค้าควรได้ฐานเงินเดือนเกินอาชีพอื่น (อย่าลืมว่าประเทศเราใช้ระบบฐานเงินเดือนที่เท่ากันทุกอาชีพ) นี่เป็นประเด็น ไม่ใช่ห้ามทำโน่นทำนี่ ควรเอาเงินมาเพิ่มให้กลุ่มนี้ดีกว่า มันฟังไร้เหตุผลสัส ๆ 
ส่วนตัวผมแม่งเห็นด้วยว่ะกับการมีกำไลนักโทษ แต่ก่อนด่าควรเข้าใจก่อนว่าในต่างประเทศเค้าทำแบบนี้ เพราะ ประหยัดเงิน (คือนักโทษอยู่บ้านก็หาแดกเอง จ่ายค่่าน้ำค่าไฟเอง ไม่ได้ใช้ของรัฐ ไม่ต้องเสียเงินจ้างผู้คุมเยอะ ๆ เพื่อมาคุมนักโทษจำนวนมาก ๆ ) ลดความหนาแน่นในคุก ลดปัญหาการเข้าคุกแล้วมาเรียนวิชาโจรมากขึ้น ... แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเค้าไม่ได้ใช้ทุกคน เค้าใช้เฉพาะโทษเบา ๆ เช่น เช็คเด้ง โทษจำคุกจากคดีแพ่ง เมาแล้วขับ ... หรือไม่งั้นก็ใช้กับพวกที่ใกล้จะพ้นโทษแล้ว เค้าไม่ใช่เอาพวกโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตมาใช้ว่ะ

จาก Status : ตรรกะ


Korn Supa ถ้าจะเอาเหตุผลจริงๆ
ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเอาตราชั่งอะไรมาวัดได้หรอกนะว่าอะไรมันเหมาะกว่ากัน

แต่ผมแปลกใจว่า ถ้าทหารไม่พอใจนี่ เขาลาออกไม่ได้เหรอครับ?


................................................................................................................




คน100คนมองเห็น"สิ่งเดียวกัน"แต่"ไม่เหมือนกัน"
เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดมาก ถ้ามีคนตัดสินคุณ...ด้วยความที่เขาไม่รู้จักคุณดีพอ
100PIPERS


..................................................................................................................




"ยาที่ดีที่สุด คือ การมองโลกในแง่ดี"
"The best medicine is look at things optimistically."


.................................................................................................................


...............................................................................................................




เอามาให้พวกโง่ ๆ ดู ซะ ว่า ธนบัตรในช่วงก่อนหน้านี้ไม่นานเขามีอะไรใน ธนบัตรกันบ้าง อย่า บ้าแบบโง่ ๆ ให้มากนัก



อันนี้ตามกระแสกับเขาบ้าง ^^

.................................................................................................................




"เอาใจเขามาใส่ใจเราคือศาสนาของผม"
ศาสนาด้วยความรักและความรู้
กับ วินทร์ เลียววาริณ
เรื่อง : ศศิ วัน
ภาพ : รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์
สานแสงอรุณ ฉบับ ๙๓


...........................................................................................................................................

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

26/03/2556


....................................................................................................................




เจ็บมากกกก..คาดว่าจะโดนหลายคนT^T


....................................................................................................................




ผมสนับสนุนโครงการ 2.2 ล้านล้านของรัฐบาล ด้วยเหตุผลแบบทึ่มๆบ้านๆไร้มาตรฐานทางวิชาการใดๆดังนี้

ประการแรก

ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่จะทำ เห็นด้วยให้พัฒนารถไฟ ถนน ท่าเรือ ระบบโลจิสติกส์์ ผมว่ามันจำเป็นมากๆและคิดว่าเราทำช้าไปมากเสียด้วยซ้ำ

ไม่ต้องยกเหตุผลทางเศรษฐกิจ ความเจริญ GDP การจ้างงาน บลาๆๆ มาประกอบ อันนั้นหาอ่านเอาได้ตามคำโฆษณาของรัฐบาล ผมคิดง่ายๆแค่ลองนึกภาพว่าต่อไปช่วงปีใหม่-สงกรานต์ เราไม่ต้องมาคุยกันเรื่องการอัดคนขึ้นรถบัส จำนวนรถบนถนนจะลดลง อุบัติเหตุลดลง ยอดคนตายลดลง แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวผมว่าก็คุ้มแสนคุ้มแล้ว อันที่จริงถ้าใครเดินทางต่างประเทศบ่อยๆจะรู้ดีว่ามาตรวัดอย่างง่ายๆเวลาดูว่าประเทศไหน “เจริญ” แค่ไหน เขาก็ดูกันที่โครงสร้างพื้นฐานทางการคมนาคมนี่แหละ

ประการต่อมา

ด้วยความที่ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่จะทำ ผมจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นหนี้ และต่อให้เป็นหนี้มากกว่านี้ ผมก็ยินดีจะแบกและจะให้ลูกหลานต้องแบกต่อไป ตราบใดที่มันการันตีว่าลูกหลานผมจะได้ใช้รถไฟ ถนน การขนส่งสินค้า ที่พัฒนากว่านี้

มันก็เหมือนการกู้เงินส่งลูกเรียน หรือกู้เงินซื้อรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยวนั่นแหละ มันไม่ใช่สิ่งที่จะมาคิดว่า “ทำดีไหม” เพราะยังไงมันต้องทำ ต้องพัฒนาประเทศไปข้างหน้า ประเด็นควรอยู่แค่ว่า “ทำไมเพิ่งจะเร่ิมทำ” และ “เมื่อไหร่จะเสร็จ” มากกว่า

คิดง่ายๆว่าถ้าเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่ที่บ้านไม่มีคอมพิวเตอร์ไว้ทำมาหากินสักเครื่อง ผมคงไม่มานั่งคิดว่ากูจะเป็นหนี้ 0% 10 เดือนดีไหมเพื่อผ่อนคอมพิวเตอร์สักเครื่องเพื่อเอามาทำมาหากิน ผมคงดีใจว่าโลกนี้มีเงินให้ผมกู้มาซื้อคอมฯ และเมื่อไหร่จะได้ไปซื้อมาใช้เขียนโปรแกรมหากินเสียที

ประเด็นถัดไป

ถามว่าผมห่วงคอรัปชั่นไหม? ก็ตอบตรงๆว่าไม่ห่วง ผมเชื่อว่ากินกันกระจายแน่นอน

ใครจะด่าว่าผมไร้จริยธรรมยังไงไม่รู้ แต่ด้วยสภาพเงื่อนไขการเมืองไทยวันนี้ ด้วยระบบอุปถัมภ์แบบนี้ ด้วย rule of law แบบไทยๆ ถ้าผมต้องเลือกระหว่างตั้งโครงการมากินกันเฉยๆ ไม่ได้ผลลัพธ์อะไรกับตัวผมหรือลูกหลานผมเลย กับได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจับต้องได้ ผมตอบอย่างหน้าไม่อายว่าขอเลือกอย่างหลัง

คือมึงจะกินกันก็กินไป แต่ขอกูและลูกกูได้กินบ้าง
ไอติมมันละลายแน่ แต่ขอให้เหลือถึงปากกูหน่อย อย่าให้เหลือแต่ไม้ไอติม

การบอกว่าเชื่อว่ามีคอรัปชั่นแน่ๆ ไม่ได้แปลว่าผมสนับสนุนให้โกงกิน ถ้าผมเลือกได้ ผมก็ไม่อยากให้โกงกิน ถ้าผมเลือกให้มีฝ่ายค้านที่เก่งๆได้ ผมก็อยากเลือก ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งให้ตรวจสอบการทำงาน การใช้เงิน การจัดซื้อ บลาๆๆ ถ้างบมันจะใช้ไม่ถึง 2.2 ล้านล้าน อาจใช้แค่ 2.0 หรือ 1.7 หรือ 1.2 ล้านล้าน ก็ยิ่งดี ยิ่งซื้อของถูกก็ยิ่งดี

ถ้าโครงการผ่านออกมาแล้ว ฝ่ายค้าน (ทั้งในและนอกสภา) พบว่าเรื่องไหนกรณีใดทุจริต ขอให้ลากไส้ รมต. และเจ้าหน้าที่พวกนั้นออกมาให้หมดและจับไปลงโทษอย่าได้ละเว้น ถอดถอนหรือทำอะไรก็ซัดไปอย่าได้ยั้ง อย่าให้เหมือนกรณี CTX ที่สุวรรณภูมิที่สุดท้ายก็เป็นแค่ลมปากด่ากันเอามันส์ แล้ว ปปช. ยกคำร้องเองซะงั้น หรืออย่าให้เหมือนกรณีกล้ายาง และอีกสารพัด “ข้อกล่าวหา” ที่สุดท้ายก็จับมือจูบปากซูเอี๋ยเป็นมิตรกันไปไม่มีใครผิด

แล้วก็ต้องแยกแยะด้วยว่าการตรวจสอบ ไม่เหมือนกับการจ้องล้มโครงการ หรือจ้องล้มรัฐบาล นั่นมันบานปลายเลอะเทอะ พวกผมไม่อยากได้เสาโฮปเวลล์ หรือเสาโรงพักตำรวจอีกแล้ว ขอให้พวกผมได้ใช้รถไฟ ใช้ถนนดีๆบ้างเถิด แพงหน่อยผมก็ยอมจ่าย ได้โปรดอย่าเล่นเกมกันแล้วพาลไปล้มโครงการเลย

ประการต่อไป ทำไมต้องกู้พิเศษ?

ผมเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่มีความรู้ ก็คิดง่ายๆแค่ว่าในเมื่อโครงการอื่นๆอย่างไทยเข้มแข็ง (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเอาเงินมาสร้างอะไร) ยังทำได้ โครงการอื่นๆก็ต้องทำได้บ้างสิ แล้วยิ่งถ้าเป็นการเขียนโครงการชัดเจน ประกาศชัดเจนว่าจะทำอะไร เสร็จเมื่อไหร่ ที่ไหน อย่างไร ผมว่ามันก็ชัดเจนดีกว่าปล่อยให้ขึ้นๆลงๆตามปีงบประมาณ ตามทิศทางรัฐบาล ไอ้แบบนั้นเผลอๆยิ่งกินกันง่ายเข้าไปอีก ปีหน้าก็อ้างเรื่องโน่นนี่มาของบเพิ่ม

แต่ถ้าตั้งโครงการกันให้ชัดแต่แรกอย่างนี้ ไม่ต้องถึงขั้นของบเพิ่มหรอก เอาแค่ล่าช้าจากแผน ผมว่ามีคนรุมด่า รุมกระทืบกันทั้งแผ่นดินแน่นอน

ประเด็นเรื่องแหล่งที่มาของเงิน

อันนี้ผมไม่รู้หรอกว่าในทางเทคนิค capitalization ของโครงการแบบนี้ การกู้มาเต็มๆแล้วสร้างเอง กับการร่วมทุนกับเอกชนทั้งต่างประเทศและในประเทศอันไหนจะคุ้มค่าดีกว่ากัน คงต้องปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญว่ากันไป แต่เรื่องพวกนี้มันควรคิดกันได้สัก 30 ปีก่อนแล้วมั้ง (ก็เห็นมีให้เรียนกันในตำรา MBA ทุกโรงเรียนแล้ว) อย่ามาเถียงกันตอนนี้แล้วไม่เป็นอันทำอะไรกันต่อ

ถ้ามองจากแง่มุมการเมือง สมมติว่า ปชป. เชื่อในแนวทางร่วมทุนกับต่างชาติ ปชป. เองก็มีโอกาส (หรือจะอ้างอย่างไม่อายฟ้าดินว่ามีอำนาจจากประชาชนก็ได้เอ๊า) เป็นรัฐบาลแล้วนี่ ก็ไม่เข็น ไม่ทำให้เกิดเอง จะโทษใครได้

แล้วในเมื่อรัฐบาลชุดนี้ได้อำนาจจากประชาชนเจ้าของประเทศมาทำงาน เขาก็ทำงานในแนวทางที่เขาเชื่อ คุณไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ หน้าที่คุณก็คือไปคอยตรวจสอบ ถ่วงดุล อย่างที่พูดไปแล้ว แต่ไม่ใช่ไปล้มโครงการหรือล้มรัฐบาล

ส่วนเรื่องแหล่งเงินกู้ ผมค่อนข้างชอบไอเดียที่จะกู้ในประเทศ มันไม่ต้องมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน แถมยังช่วยดูดซับสภาพคล่องที่ล้นเกินในทุกวันนี้ด้วย ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายต่อ

เรื่องฉลาดๆแบบนี้อยากให้พรรคการเมืองแข่งกันคิด แข่งกันทำมากๆ อย่ามัวแต่ทำเรื่องโง่ๆกันเลย


..................................................................................................................


นาย ก : คนกลุ่มหนึ่งครับ
นาย ข : ทำไมครับ ??
นาย ก : โดนฟ้องว่าเผาห้าง ปี 53 เพิ่งปิดคดี ยกฟ้อง ติดคุกฟรีเกือบ 3 ปีครับ
นาย ข : อืมมม........
นาย ก : แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งครับ
นาย ข : ทำไมครับ ?????
นาย ก : ปิดสนามบินตั้งปี 51 ป่านนี้ยังไม่ฟ้องเลยครับ

Cr : มิตรสหายม.ปลาย


...................................................................................................................



รถไฟสายความสุข…เศรษฐกิจใหม่จากรางสู่เมือง
Designing a Happy Journey: Reviving Kyushu through creativity

ในขณะที่ไทยกำลังเริ่มต้นลงทุนครั้งสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงระบบการขนส่งของประเทศให้ “ความเร็ว” จากการเคลื่อนย้ายคนและสินค้าด้วยระบบรางที่มีต้นทุนค่าขนส่งต่ำสามารถรับมือกับราคาน้ำมันที่นับวันแต่จะถีบตัวสูงขึ้น เพื่อสร้างศักยภาพของธุรกิจและเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน ญี่ปุ่นได้พัฒนาระบบการขนส่ทางรางให้นำพาความเจริญไปสู่พื้นที่ส่วนต่างๆ ได้สำเร็จแล้ว ตั้งแต่ระดับภูมิภาคไปจนถึงระดับชุมชน

เกาะคิวชูเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่คิวชู เรลเวย์ คอมปานี (เจอาร์ คิวชู) ได้นำเสนอประสบการณ์การเดินทางใหม่ที่ก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งให้กับคนในท้องถิ่น โดยเลือกนักออกแบบ เอย์จิ มิโตโอกะ มาเติมเต็มช่องว่างของพาหนะอื่นๆ นั่นคือ การบริการที่ไม่ไช่แค่การคมนาคม แต่สร้างประสบการณ์การนั่งรถไฟให้เป็นส่วนหนึ่งของความสุขและความสนุกของการเดินทาง ดังจะเห็นได้จากผลงานการออกแบบทั้งหมดที่มิโตโอกะทำให้กับเจอาร์ คิวชู มากว่า 25 ปี ที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการนี้ อาทิ ขบวนรถไฟแบบต่างๆ ทั้งภายนอกและภายใน 29 ขบวน การปรับปรุงอาคารสถานีรถไฟ โครงการอสังหาริมทรัพย์ สื่อประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ภายใต้ปรัชญาการออกแบบที่มุ่งเน้นให้ผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง และคำนึงถึงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นด้วยการเลือกใช้วัสดุพื้นบ้านจากธรรมชาติ

บทเรียนสำคัญของการสร้าง “รถไฟสายความสุข” จึงมิใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการจัดการ แต่รวมถึงความแตกฉานในการนำ “สินทรัพย์ท้องถิ่น” ผนวกกับ “วิสัยทัศน์ทางธุรกิจ” และ “กระบวนการออกแบบ” มาใช้ในทุกมิติของการให้บริการรถไฟและการบริหารกิจการ จนเจอาร์ คิวชู กลายเป็นผู้ให้บริการเส้นทางท่องเที่ยวทางรถไฟมากที่สุดในญี่ปุ่น ทั้งยังเชื่อมโยงชุมชนท้องถิ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมกับการพัฒนารถไฟ ส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่ทั้งกลุ่มการเกษตรและการท่องเที่ยวให้มีรายได้ และนำไปสู่การพัฒนาท้องถิ่นเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้มาเยือน

นิทรรศการ “รถไฟสายความสุข…เศรษฐกิจใหม่จากรางสู่เมือง” ปรับเปลี่ยนชื่อและลำดับเนื้อหาจากนิทรรศการจากประเทศญี่ปุ่น “Eiji Mitooka Happy Railway Design Exhibition” จัดขึ้นในประเทศไทยโดยความร่วมมือระหว่างคิวชู เรลเวย์ คอมปานี และ TCDC ร่วมกับสตูดิโอออกแบบดง ดีไซน์ แอซโซซิเอทส์ (DDA) และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น

เข้าชมฟรี
ตั้งแต่ 16 มีนาคม 2556 - 26 พฤษภาคม 2556

Read More : http://www.tcdc.or.th/eventse.php?lang=en&act=view&id=477


...............................................................................................................


......................................................................................................................




แบบว่าลืมตัว


......................................................................................................................




ฝ่ายค้าน เตือน รัฐบาล อย่าแฉ ไทยเข้มแข็ง เพราะถือว่า ไม่สร้างสรร และเสียเวลา



ถูกครับ ไม่สร้างสรรค์ ไม่ควรมาแฉตอนพิจารณาร่างนี้ครับ
ถึงมันจะโกง การกระทำจะน่ารังเกียจยังไง
มันก็คนละประเด็นกับ 2 ล้านล้าน
จะกลายเป็นคุยนอกประเด็นไป เอาเวลามาพัฒนาประเทศดีกว่าครับ

ส่วนเรื่องไทยเข้มแข็ง เอาไว้แฉช่วงเวลาอื่นครับ


........................................................................................................................




โลกทุกวันนี่..แมร่งอยู่ยากขึ้นทุกวันวะ..


..................................................................................................................


สรุปความคิดเห็นอีกครั้งว่า ผมเชื่อว่าไม่ว่าจะให้ใครทำก็กินกันอิ่มแน่ๆ

ดังนั้นถ้าต้องเป็นหนี้ 2.2 ล้านล้าน ผมขอ "ไว้วางใจ" พรรคที่ผลักดันสุวรรณภูมิจนสำเร็จ ผลักดันสารพัดนโยบายมาแล้ว ทั้ง 30 บาท กองทุนหมู่บ้าน หรือกระทั่งนโยบายที่ผมไม่ชอบอย่างรถคันแรก หรือจำนำข้าว

ผมไม่ไว้วางใจพรรคที่สร้างเสาโฮปเวลล์ หรือสร้างแค่โรงพัก สนามฟุตซอล ยังไม่สำเร็จเลย

ไหนๆจะเป็นหนี้ ผมขอเลือก "ผู้รับเหมา" ที่ผมไว้วางใจก็แล้วกัน

แน่นอน ในแง่ฝีมือการตรวจสอบ ผมไว้ใจ ปชป. มากกว่า ยินดีให้พวกท่านทำหน้าที่ตรวจสอบต่อไป

สำหรับท่านที่ไม่เชื่อเหมือนผม ไม่ไว้ใจ หรือไม่เห็นด้วยกับโครงการ อยากได้รถไฟสายอื่น อยากให้ทำแบบร่วมทุน อยากให้กู้นอกประเทศ ฯลฯ ผมเคารพความคิดของทุกคนในประเทศนี้ครับ เพราะทุกคนเป็นเจ้าของประเทศเท่าๆกัน ไม่บังอาจบังคับให้ใครต้องคิดเหมือนผม

ดังนั้น ถ้ามันมีปัญหามาก ผมเรียกร้องให้ทุกพรรคประกาศจุดยืนเรื่องนี้ไปเลยครับ เอาให้ช้ดเลยว่าใครอยากทำอะไร เสนอให้ทำแบบไหน ประกาศให้ชัดกันไปเลยในสภา ปชป. เอาแนวไหน ภูมิใจไทยเอายังไง ประกาศกันเลยให้ชัดๆ แถลงออกทีวีให้ครบทุกช่อง

แล้วถ้า พรบ. ไม่ผ่านสภา ผมเสนอให้นายก "ยุบสภา" ให้ประชาชนตัดสินใจกันเลยครับ

ใครชอบแบบไหน ไว้ใจใคร ไม่ไว้ใจใคร ขอให้เลือกกันตามใจชอบ

เป็นวิถีทางที่เรียบง่าย สวยงาม เป็น "ประชาธิปไตย" ที่สุด


........................................................................................................................




ผมคิดถึงคำแม่สอนตลอดครับ ตอนที่ต้องไปใช้ชีวิตเด็กมหาลัย


...................................................................................................................




เพื่อน ๆ ทราบข่าวดีนี้กันหรือยังว่า ประเทศไทยของเราถูกปลดออกจาก Black List ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงด้านการฟอกเงินแล้วครับ และกุญแจสำคัญที่ทำให้ FATF ปลดไทยพ้นจาก Black List คืออะไร และมีผลอย่างไรกับตลาดทุนของเราบ้าง ไปดูกันครับ


.....................................................................................................................


.........................................................................................................................




อ่านบ้าง...............................................
http://www.thairath.co.th/page/trainPage


..........................................................................................................................




ภาพรวมเงินลงทุน 2.2 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลไทย กำหนดโครงสร้างการพัฒนาในด้านต่างๆ

ปล.การไม่โกงมันไม่มีหรอกครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำได้คือ "ตรวจสอบ" เรามีทั้ง ปปช. ปปท. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้นมากมาย ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกว่าไอ้การโกง "ใหญ่ๆ" มันจะทำได้เหมือน "อดีต"

ขนาดพวกเรายังโกงเงินเมีย เงินแม่มาทั้งนั้นเลย

ภาพจากเพจ Infographic Thailand ขอบคุณมากครับ

#NO112 #สกน #WTT


..........................................................................................................




ท่ามกลางความหวาดกลัวเรื่องเงินกู้ 2.2 ล้านล้าน
ที่เตรียมเอามาผลักดัน Logistics เมืองไทยครบวงจร
ฟังคณะทำงานศึกษาเรื่องรถไฟความเร็วสูง

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1364210310&grpid=01&catid&subcatid


...................................................................................................................




ส่งท้ายมุกภาษาอังกฤษกันด้วยมุกนี้จ้ะ อย่าลืมเพิ่มโอกาสใช้ภาษาอังกฤษให้เยอะๆ นะครับ เพิ่มโอกาสดีๆ ให้ชีวิต XD
 

........................................................................................................................




เมื่อสหรัฐฯพลิกตัว...

ปัจจุบันยานยนต์ในสหรัฐฯ มากกว่าร้อยละ 96 ใช้พลังงานจากน้ำมัน จึงมีความสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงด้านพลังงานของสหรัฐฯในอนาคตอย่างมาก และถือเป็นวาระสำคัญที่ต้องเร่งผลักดันนโยบายพลังงานใหม่ให้เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ในสมัยที่สองของ “บารัก โอบามา” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ซึ่งต้องบอกว่า ในช่วง 4 ปีแรกของการดำรงตำแหน่ง ผู้นำสหรัฐฯ ให้ความสนใจเรื่องพลังงานน้อยไป เพิ่งจะมารุกอย่างจริงๆ จังมากขึ้นในสมัยที่สองนี้เอง แต่จะสำเร็จผลมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องติดตามดูกันต่อไป

นโยบายพลังงานใหม่ของสหรัฐฯ ครั้งนี้ต้องบอกว่า พลิกตัวครั้งใหญ่ และมุ่งสู่พลังงานทดแทนไม่ว่าจะเป็นพลังงานไฟฟ้า ลม แสงอาทิตย์ ฯลฯ โดยมีเป้าหมายที่จะลดการใช้น้ำมันลง ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ วันนี้ยิ่งต้องแสวงหาพลังงานทดแทนมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ขณะนี้สหรัฐฯ เป็นยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจาก “โตโยต้า” ก็ได้ขีดเส้นที่จะพัฒนารถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าร่วมกับน้ามัน หรือที่เรียกกันว่า ไฮบริด ให้สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลกว่า 150 ไมล์ พร้อมลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรีที่ล้ำสมัย

ซึ่งก่อนหน้านี้โอบามาออกมาเรียกร้องให้สภาคองเกรสอนุมัติแผนการวิจัยมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อพัฒนา “รถยนต์แห่งอนาคต” แบบใหม่ที่ใช้ไฟฟ้าแทนน้ำมัน และพัฒนาคิดค้นพลังงานชีวภาพ เพื่อลดการใช้น้ำมันลงอีกด้วย

“เขาประกาศว่า รถยนต์ในอนาคตของสหรัฐฯ จะต้องสามารถขับเคลื่อนจากฝั่งแอตแลนติกไปถึงฝั่งแปซิฟิกได้ โดยไม่ต้องใช้น้ำมันแม้แต่หยดเดียว โดยสหรัฐฯ จะต้องเปลี่ยนระบบพลังงานของรถยนต์ และรถบรรทุกทั้งหมดจากการใช้น้ำมันเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น

ทางเลือกของโอบามาในเรื่องนี้ต้องบอกว่า เป็นวิธีเดียวที่สหรัฐฯจะ “ยุติ” วงจรราคาน้ำมันที่นับวันจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ และเป็นเรื่องชี้ถึงอนาคตของสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน

แล้วก่อนหน้านี้โอบามาได้ประกาศใช้นโยบายพลังงานแผนใหม่ โดยยอมผ่อนปรนให้มีการสำรวจและขุดเจาะน้ำมัน รวมทั้งก๊าซธรรมชาติตามแนวชายฝั่งของสหรัฐฯ หลังจากสั่งระงับมานานหลายทศวรรษ เพราะเกรงว่าจะสร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศวิทยา

แหล่งที่สหรัฐฯ จะตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมัน คือ บริเวณขายฝั่งด้านใต้ของแอตแลนติก ฝั่งตะวันออกของเม็กซิโก และพื้นที่บางส่วนของอะแลสกา โดยให้สัมปทานขุดเจาะกับบริษัทน้ำมัน

ถามว่า เหตุใดผู้นำสหรัฐฯ ต้องยอมในเรื่องนี้ ก็เพราะว่านี่คือ ทางออกที่สุดในเรื่องพลังงาน ที่สหรัฐฯต้องใช้อีกมากในอนาคต ขณะเดียวกัน ก็ต้องการสร้างงานและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับธุรกิจของสหรัฐฯนั่นเอง

ซึ่งนายโอบามาให้เหตุผลในการตัดสินใจครั้งนี้ว่า “นโยบายพลังงานแผนใหม่ไม่ได้ถูกชี้นำโดยอุดมการณ์ทางการเมือง แต่เป็นการริเริ่มโดยอาศัยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์”

การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ในครั้งนี้เป็นที่จับตาไปทั่วโลก แม้กระทั่ง ทบวงการพลังงานสากล หรือไออีเอ ถึงกับออกมาทำนายเลยว่า

“ในอนาคตสหรัฐฯ จะเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกพลังงานรายใหญ่สุดของโลกทั้งก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน โดยในปี 2558 สหรัฐฯ จะเข้ามาแทนที่รัสเซีย ในฐานะผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่สุด และเมื่อถึงปี 2560 สหรัฐฯ จะเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก และปี 2563 สหรัฐฯ จะเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก”

อันนี้ก็เป็นคำทำนายนะครับ แต่มาจากหน่วยงานไอเออี จะถูกต้อง 100% หรือเปล่าก็ต้องบอกว่า ไม่ใช่ เพราะคำทำนายก็คือ คำทำนาย อาจจะผิดทั้งหมด หรือถูกต้องมากกว่าครึ่ง ก็แล้วแต่สถานการณ์ และการบริหารจัดการของผู้นำสหรัฐฯในแต่ละช่วงเวลา แต่แผนใหญ่ของสหรัฐฯ ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า จะต้องมุ่งสู่พลังงานทดแทน

ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการพลังงานทดแทนของสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า พลังงานทดแทนสามารถที่จะผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากถึง 635 กิกะวัตต์ (พันล้านวัตต์) ภายในปี 2025 (ปี 2568 หรืออีก 12 ปีนับนี้) และตามข้อมูลของ U.S. Energy Information Administration ระบุว่า พลังงานไฟฟ้าเหล่านี้จะมาจากเทคโนโลยีพลังงานทดแทนอย่างเช่น

1.พลังงานลม 248 กิกะวัตต์ (39%)
2.พลังงานแสงอาทิตย์ 164 กิกะวัตต์ (26%)
3.พลังงานชีวมวล 100 กิกะวัตต์ (16%)
4.พลังงานความร้อนใต้พิภพ 100 กิกะวัตต์ (16%)
5.พลังงานน้ำ 23 กิกะวัตต์ (3%)

อันนี้คือ ภาพโครงสร้างพลังงานแห่งอนาคตของสหรัฐฯ ที่กำลังจะมุ่งไป และแน่นอนว่า จะต้องใช้ความสามารถในการผลักดันอย่างหนัก เพื่อก่อให้เกิดการพลิกตัวครั้งใหญ่

และแน่นอนว่า “โอบามา” จะต้องเดินหน้าผลักดันร่วมกับสภาคองเกรส ทั้งในเรื่องแผนรถยนต์ประสิทธิภาพสูง และพลังงานสะอาด ซึ่งก็ไม่ไดปูทางด้วยกลีบกุหลาบ เพราะต้องเผชิญหน้ากับเสียงคัดค้านจากพรรครีพับลิกันที่ครองเสียงข้างมากในสภา และอ้างว่า ต้นทุนในเรื่องนี้สูงเกินไป

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามต้องบอกว่า การตัดสินใจเรื่อง “พลังงานทดแทน” ในยุคใหม่ เป็นตัวชี้วัดอนาคตใหม่ของสหรัฐฯ ด้วยเช่นเดียวกัน ก็ต้องติดตามกันดูว่า การพลิกตัวครั้งนี้ของสหรัฐฯ จะทำได้สำเร็จหรือไม่?

คอลัมน์ วิถีโลก วิถีธุรกิจ, โฮเมอร์
สยามรัฐออนไลน์, 25 มีนาคม 2556


......................................................................................................................



....................................................................................................................