วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

02/06/2556


กว่าที่จะรู้ว่า "ฝัน" อันนั้นมันเป็น "ฝัน" ที่ถูกหรือผิด บางทีก็อาจจะต้องรอเวลาถึง 2,000 ปี อย่างในกรณี "ฝัน" ของ "สปาตาคัส" ก็ได้

เอาเข้าจริงผมคิดว่าผู้คนในยุคสมัยของ "สปาตาคัส", หรือแม้แต่ผู้คนในยุค 100 ปี 1,000 ปี หลังสปาตาคัส, ก็คงมอง " 'ฝัน' ของ 'สปาตาคัส' " ไม่ต่างจากที่คนทั่วๆไปมอง " 'ฝัน' ของ 'ดอนกิโฆเต้' " เท่าไหร่นัก

คือมองว่ามันเป็นแค่ฝันบ้าๆบอๆ

แต่ในที่สุดประวัติศาสตร์ก็ยอมรับแล้วว่า "ฝัน" ของ "สปาตาคัส" นั้นถูกต้อง,
ถูกต้องทั้งในแง่ "ความชอบธรรม" และถูกต้องทั้งในแง่ "ความเป็นไปได้"

ดังนั้นจะเป็นฝันที่ผิดหรือฝันที่ถูก บางทีมันก็ต้องดูกันยาวๆ
ไม่ใช่ยาวแค่ 5 ปี 10 ปี,
แต่บางทีมันต้องว่ากันเป็นพันปี

- - - -

จริงอยู่ว่าถึงที่สุดแล้วฝันของเราอาจจะกลายเป็นฝันแบบ "ดอนกิโฆเต้" แทนที่จะเป็นฝันแบบ "สปาตาคัส"
แต่นั่นเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้เราจะเลิกฝันแล้วเหรอ?

เราควรเลิกฝันเพียงเพราะมัน "มีโอกาส", มัน "เป็นไปได้" ที่จะกลายเป็น "ฝันบ้าๆบอๆ" แบบ "ดอนกิโฆเต้" แค่นั้นเหรอ?

จริงอยู่ว่าถ้าคุณไม่ฝันคุณก็จะปิดประตูที่จะมีฝันบ้าๆบอๆแบบ "ดอนกิโฆเต้"
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ถ้าคุณไม่ฝันคุณก็ปิดประตูที่จะมีความฝันแบบ "สปาตาคัส" ด้วยเหมือนกัน

ดังนั้น, สำหรับผม, เพื่อเปิดโอกาสให้มีความฝันแบบ "สปาตาคัส" เราจึงเลิกฝัน/หยุดฝันไม่ได้
แม้ว่าถึงที่สุดแล้วฝันของเราจะเป็นฝันบ้าฝันบอแบบ "ดอนกอโฆเต้" จริงๆก็ตาม แต่นั่นก็คุ้มค่าแล้ว
เพราะมันเป็น "ฝันบ้าฝันบอ" ที่สร้างโอกาสให้ฝันแบบ "สปาตาคัส" ได้มีโอกาสถูกฝัน (คือไม่ถูกปิดประตู/ถูกทำหมันไปซะก่อนตั้งแต่ต้น)
........................................................................................................................

..........................................................................................................................



ศิลปะการใช้ชีวิต...
ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์

ชีวิตก็ใกล้ฝั่งเข้าไปอีกนิด ผมใช้ช่วงเวลานี้ใคร่ครวญทบทวนตนเอง เพราะเชื่อว่าถ้าอยากจะเข้าใจชีวิต ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจตัวเอง ศึกษาพิเคราะห์ตัวเองในแง่มุมต่างๆ ให้มากขึ้น พร้อมทั้งเรียนรู้คำสอนจากผู้รู้ทั้งหลาย แล้วหลอมรวมประกอบกันเป็น "ศิลปะการใช้ชีวิต" ของเราเอง

• ธรรมะฉบับฆราวาส

ครั้งหนึ่ง ผมได้รับฟังข้อคิดจากพระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ซึ่งแนะนำแนวทางปฏิบัติให้แก่ฆราวาสทั้งปวงโดยให้ “ตัดตัณหา” อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์

ผมฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ เพราะเคยได้รับคำสอนมาก่อนหน้านี้อยู่เสมอว่าให้ “ตัดกิเลส” ผมก็คิดต่อไปว่า กิเลสนั้นมาคู่กับธรรมชาติของมนุษย์ ที่ทำให้เราชอบของหอม สิ่งสวยงาม อาหารรสชาติดี และไม่ชอบสิ่งที่ตรงข้าม (อันที่จริง นี่คือพื้นฐานจากสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ เพราะสิ่งที่บูดเน่า สกปรก หรือเหม็นเปรี้ยวก็มักจะเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเรา)

ในความเห็นของผม การตัดกิเลสเหล่านี้ควรเป็นเรื่องของพระหรือผู้ออกบวช เช่น พระป่านำอาหารที่ยอดเยี่ยมหลายๆ อย่างมาผสมคลุกเคล้าปนเปกัน เพื่อลดการยึดติดในรูปลักษณ์และรสชาติของอาหาร

พระธรรมกิตติวงศ์เมตตาขยายความให้ฟังอีกว่า กิเลสนั้นมีอยู่ 2 ชุด คือ โลภ โกรธ หลง และ ราคะ โทสะ โมหะ สำหรับผู้ตัดสินใจออกบวชนั้น โดยพื้นฐานความโลภจะเบาบางแล้ว จึงเน้นสอนเรื่อง ราคะ โทสะ โมหะ การชอบในสิ่งสวยงามทั้งหลาย ก็คือส่วนหนึ่งของราคะนั่นเอง ส่วนปุถุชนผู้ยังครองเรือนอยู่นั้น จะเน้นสอนในเรื่องโลภ โกรธ หลง เพราะยังอยู่ในวังวนของการสร้างและสะสมทรัพย์สิน จึงต้องระวังความโลภเข้าครอบงำ

ผมจึงค่อนข้างจะคล้อยตามพระธรรมกิตติวงศ์ ที่สอนให้ฆราวาสตระหนักว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่กิเลส แต่อยู่ที่ตัณหาคือความอยากมี อยากได้ อยากเป็นในสิ่งที่ตนต้องการ และวิภวตัณหาคือ ความไม่อยากมี ไม่อยากได้ และไม่อยากเป็นในสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งเมื่อไม่เป็นไปตามที่ตัวเองปรารถนาก็จะเกิดทุกขเวทนาในจิตใจ และพลอยลามไปทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมลงด้วย

ดังนั้น เราจึงต้องมีสติรู้เท่าทันและ “ตัดใจ” ให้ทันเวลา เท่ากับเป็นการตัด “ตัณหา” ไม่ให้ขยายตัวใหญ่โตจนกลายเป็นความทุกข์ที่ท่วมทับชีวิตของเราไปตลอด

• คำสอนของนักปราชญ์แนวขงจื๊อ (儒家)

ในยุคราชวงศ์ซ่งเหนือ (北宋) ประมาณ ค.ศ. 1000 มีนักปราชญ์คนหนึ่งซึ่งได้รับการยกย่องมาจนปัจจุบันชื่อว่า ฟ่านจ้งเยียน (范仲淹 ค.ศ.989 - ค.ศ.1052) ได้เขียนถ้อยคำอันลึกซึ้งไว้ที่หอเย่ว์หยางโหลว โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า “不以物喜,不以已悲” (ไม่ยินดีด้วยเรื่องของวัตถุ, ไม่ทุกข์โศกด้วยเรื่องของตนเอง) ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนในพุทธศาสนา ที่ไม่ปล่อยให้วัตถุภายนอกมามีอิทธิพลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และไม่หมกมุ่นวนเวียนอยู่แต่เรื่องของตัวเองว่าจะได้หรือเสียอะไร ก็เท่ากับเป็นการละวางการติดยึดในอัตตาลงไปทีละน้อย เช่น ผมมักจะเปรยเล่นๆ กับเพื่อนๆ ว่า ตอนนี้บาทหนึ่งเหลือสลึงเดียว เพราะปัจจุบันอายุ 60 ปีแล้ว หากสามารถมีอายุต่อไปจนถึง 80 ปี ก็เท่ากับว่าชีวิตนี้ใช้ไปแล้วเศษสามส่วนสี่ เท่ากับใช้ไปแล้ว 3 สลึง เหลืออีกเพียง 1 สลึงก็หมดแล้ว

คิดดูก็น่าหดหู่ห่อเหี่ยว แต่เมื่อได้ศึกษาคำสอนนี้แล้วก็ต้องฉุกคิด ไม่ควรมาทุกข์ใจอาลัยอาวรณ์กับชีวิตที่เหลืออยู่อีกไม่มากนัก แต่ควรจะเข้าใจถึงสถานภาพของผู้คนในแต่ละวัย และดำรงตนให้เหมาะสม เช่น เมื่อเกษียณหรือเกือบจะเกษียณ ก็น่าจะมีความสุขอยู่กับลูกหลาน ดื่มด่ำกับความอบอุ่นในครอบครัว และถ้าพอมีโอกาสก็ควรช่วยกันถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต ความคิดและความรู้ต่างๆ ให้แก่คนรุ่นหลัง ก็จะเป็นชีวิตบั้นปลายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่า

ปรมาจารย์ขงจื๊อบ่นพึมพำถึงตัวเองในวัยชราว่า

“อายุสิบห้า มุ่งมั่นในการศึกษาเล่าเรีย

อายุสามสิบ ยืนหยัดได้อย่างมั่นคง

อายุสี่สิบ หมดสิ้นความสงสัย

อายุห้าสิบ เข้าใจลิขิตแห่งสวรรค์

อายุหกสิบ รับฟังเรื่องสารพันอย่างรื่นหู

อายุเจ็ดสิบ ทำอะไรก็ได้ดังใจปรารถนา หากไม่ผิดทำนองคลองธรรม”

ผมตีความในฐานะที่ตัวเองก็อายุหกสิบเช่นกัน ว่าคนวัยนี้คงจะมีอารมณ์เยือกเย็นลง ปล่อยปละละวางเรื่องต่างได้มากขึ้น จึงสามารถรับฟังความเห็นและคิดที่ขัดใจได้อย่าง “รื่นหู” ส่วนอายุเจ็ดสิบ ทำอะไรก็ได้ตามใจนั้น ผมคิดว่าคงไม่มีเรี่ยวแรงไปทำชั่วอะไรได้อีกแล้ว (แซวขงจื๊อเล่น) ผมยังไม่ถึงวัยนี้ จึงยังไม่อาจเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ แต่หวังว่าคงจะเข้าใจได้ดีเมื่ออายุเจ็ดสิบแล้ว

เกณฑ์อายุแต่ละช่วง จากถ้อยคำของมหาปราชญ์อย่างขงจื๊อนั้น ควรค่าแก่การตีความและพิเคราะห์ให้ลุ่มลึก อาจจะจำลองมาเป็นเป้าหมายในแต่ละวัยของเรา หรืออาจช่วยให้เข้าถึงสัจธรรมอย่างถ่องแท้มากขึ้น

คนที่เริ่มสูงอายุแล้วสมควรใคร่ครวญดู คนหนุ่มสาวยิ่งสมควรใคร่ครวญไว้ล่วงหน้า เพราะอนาคตที่แน่นอนที่สุด ก็คือทุกคนต้องกลายเป็นผู้สูงอายุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม...

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 4 กุมภาพันธ์ 2556
....................................................................................................................



ปุจฉา
K-khem Khem มีเด็กโครงการฝั่งรังสิต
ชอบว่าเด็กโครงการซีเป็นโครงการ ที่โง่สุดในคณะศิลปศาสตร์
ครั้งแรกที่ผมได้ยินผมรู้สึกน้อยใจ
แต่พอผมเรียนไปจนจบ ผมรู้เลยว่า โครงการซี ไม่ได้กระจอกเหมือนใครเขาว่าเลยสักนิดครับ

วิสัชนา
Do not worry, it is just jealousy, lah, human ignorance
รฤยา ริษยา ครับ
นศ โครงการซีส์ เป็น นศ ธรรมดาๆ
ที่ไม่ธรรมดา ครับ
ประสบการณ์ การสอนหนังสือ ใน มธ ทั้ง ท่าพระจันทร์ และ รังสิต
ของผม ๔๐ ปี พอดี (เริ่มสอนก่อน ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ ไม่กี่เดือน)
พบว่า นศ ซีส์ (แน่นอน ไม่ทุกคน)
มีชีวิตชีวา ตื่นเต้น กับการเรียนรู้
สนใจโลกกว้าง กล้าออกเดินทาง แสวงหา
yes, climb every mountain
flow every stream
follow every rainbow
....................................................................................................................



» The Amazing Story of... Brandon Maxfield
» ตำนานของเด็กอัมพาต ผู้หาญกล้าต่อสู้กับ โรงงานผลิตปืนรายใหญ่

ถ้าได้รับเช็คมูลค่า 720 ล้านบาท เราจะเอาเงินจำนวนนี้ไปทำอะไร
รับรองว่า คงลิสต์รายการที่อยากจ่ายได้ยาวเป็นหางว่าว

แต่ของฟรีไม่มีในโลก ยิ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ เราคงหาอะไรไปแลก แล้วถ้าสิ่งที่ต้องนำไปแลกคือ การเป็นอัมพาตทั้งตัวตั้งแต่อายุ 7 ขวบล่ะ ....เราจะยังอยากได้เงินจำนวนนี้ไหม?

เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นการชิงไหวชิงพริบเพื่อชิงเงินจำนวน 720 ล้านบาท
ระหว่างนักธุรกิจเขี้ยวลากดินกับเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่ง

เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในบ้านหลังเล็กๆ แห่งหนึ่งเมื่อปี 1994
ภายในบ้านหลังนั้นมีเด็กชายวัย 7 ขวบคนหนึ่ง กับพี่เลี้ยงของเขา

พี่เลี้ยงมองออกไปนอกบ้านแล้วเห็นคนท่าทางมีพิรุธมาเดินอยู่หน้าบ้าน
เพื่อความไม่ประมาท จึงหยิบปืนมาโหลดกระสุนเตรียมพร้อมไว้

ทันทีที่เขาเปิดปืนเพื่อเตรียมใส่กระสุน กระสุนที่ค้างอยู่ในปืนก็ลั่นออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ลูกกระสุนวิ่งออกจากปากกระบอกปืน ผ่านเตียงเด็ก เข้าปลายคาง แล้วทะลุไปโดนกระดูกสันหลังของเด็กชายที่ชื่อ...

"แบรนดอน แม็กซ์ฟิลด์"

ผลก็คือ เด็กชายวัย 7 ขวบคนนี้กลายเป็นอัมพาตทั้งร่างกายตั้งแต่ช่วงคอลงมา

กรณีนี้ หลายคนคงโทษความประเลินเล่อของพี่เลี้ยง
ก็นับว่าใช่ แต่ความผิดที่ใหญ่หลวงกว่า มาจากบริษัทผลิตปืน
ปืนกระบอกนี้ผลิตโดยบริษัท Bryco Arms ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการผลิตปืนกึ่งอัตโนมัติ ราคาถูก

Bryco Arms ออกแบบปืนรุ่นนี้ผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะหลักในการออกแบบปืนระบุว่า...

ต้องออกแบบให้สามารถโหลดกระสุนใส่ได้ เมื่อปืนอยู่ในสภาพที่ปิดสนิทหรือไม่พร้อมใช้งานเท่านั้น ...เมื่อผลิตปืนที่ไม่ได้มาตรฐาน ความผิดจึงมาตกอยู่กับพวกเข

แบรนดอนและทนายของเขาจึงยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัท Bryco Arms ซึ่งครอบคลุม ค่ารักษาพยาบาล การสูญเสียรายได้ การทำให้เขาต้องเจ็บป่วยจากการเป็นอัมพาตทั้งชีวิต

ศาลใช้เวลาพิจารณาคดีนี้ 3 เดือน ก็มีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์
ให้บริษัท Bryco Arms จ่ายค่าชดเชยให้แม็กซ์ฟิลด์เป็นเงินจำนวน 24 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 720 ล้านบาท

นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของผู้บริโภคที่มีต่อผู้ผลิตที่ไร้ความรับผิดชอบ

แต่จะเรียกว่าชัยชนะคงไม่ได้ เพราะในวันรุ่งขึ้น เจ้าของโรงงานก็ประกาศล้มละลาย

::::::::::::::::::


นับเป็นการเดินเกมที่แยบคายมาก เพราะเขาเล่นแร่แปรธาตุกับสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี ...รวมทั้งการขายโรงงานในราคาถูกแสนถูก

เขาปักป้ายขายโรงงานพร้อมกับปืนที่ยังไม่ได้ประกอบจำนวน 75,000 กระบอก ในราคาเพียง 150,000 เหรียญสหรัฐเท่านั้น

และผู้ที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาเป็นรายแรกและรายเดียวก็คือ ผู้จัดการโรงงานนั่นเอง

ที่ตั้งตัวเลขต่ำต้อยเพียงแค่นี้ ก็เพราะเมื่อบริษัทล้มละลาย
ย่อมต้องจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ต่างๆ ซึ่งก็คือคู่ค้าของพวกเขา และแบรนดอนผู้เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่สุด

แต่เนื่องจากเด็กคนนี้มีสถานะเป็นบุคคลไม่ใช่องค์กรเหมือนคู่ค้าของบริษัท ศาลจึงกำหนดว่า... เมื่อขายสินทรัพย์ทั้งหมดแล้ว
ต้องนำเงินไปจ่ายเจ้าหนี้ที่เป็นองค์กรก่อน แล้วค่อยจ่ายหนี้บุคคล

เจ้าของโรงงานเลยตั้งใจจะขายแค่พอมีเงินจ่ายคู่ค้า แต่ไม่มีเหลือให้แบรนดอน

ที่ลึกลับซับซ้อนกว่านั้นก็คือ ผู้จัดการโรงงานที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาซื้อกิจการไปทำต่อนั้น...แท้จริงแล้วก็คือนอมินี่ของเจ้าของเดิม และเงินที่เอามาเสนอ ก็เป็นเงินของเจ้าของเดิมนั่นเอง

จึงเท่ากับว่า...เจ้าของเดิมจะได้โรงงานกลับมาในราคาถูกแสนถูก แล้วก็กลับมาทำธุรกิจเหมือนเดิม โดยไม่ต้องจ่ายเงินให้แบรนดอน เพราะไม่มีเงินเหลือ

::::::::::::::::::


โชคยังดีอยู่ที่ศาลบอกว่า ข้อเสนอ 150,000 เหรียญนั้นน้อยไป
ให้รออีก 20 วันว่าจะมีผู้ยื่นข้อเสนอรายอื่นอีกไหม

แบรนดอนซึ่งขณะนั้นมีอายุ 17 ปี จึงตั้งองค์กร Brandon’s Arms ขึ้นมาเพื่อยื่นข้อเสนอขอซื้อโรงงานด้วย

เขาระดมเงินจากผู้ที่สนใจผ่านเว็บไซต์มาได้ทั้งหมด 505,00 เหรียญ
ด้วยตัวเลขขนาดนี้ โรงงานปืนแห่งนี้สมควรจะตกเป็นของเขา

แต่สุดท้ายเกมก็มาพลิกตรงที่ผู้จัดการโรงงานหรือตัวแทนของเจ้าของเดิม ขยับข้อเสนอเพิ่มขึ้นเป็น 510,000 เหรียญ จึงได้โรงงานกลับไปครองดังเดิม ในวันที่ 12 สิงหาคม 2005

แล้วก็เดินเครื่องผลิตปืน 75,000 กระบอกที่ยังผลิตค้างไว้ต่อ ในชื่อบริษัทใหม่ คือ Jimenez Arms

ถึงจะประมูลแพ้ แต่ทนายความของเขาก็ยังยื่นเรื่องฟ้องต่อว่า
นี่เป็นการประมูลที่ไม่โปร่งใส เพราะผู้ที่ได้ไปเป็นนอมินี่ของเจ้าของเดิม
แล้วก็ยังไล่จี้เรื่องค่าชดเชยจากเจ้าของโรงงานต่อไป

ถึงเงินค่าชดเชยจะยังไม่ได้เป็นของแบรนดอน โรงงานก็ไม่ได้เป็นของเขา แต่เขาและทนายความของเขาก็ได้รับรางวัล Sharp Award ประจำปี 2005

ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับการทำคดีที่แสดงให้เห็นถึงพลังของต่อสู้คดีแพ่งเพื่อความถูกต้อง

พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นรางวัลที่มอบให้กับคดีของคนเล็กๆ ที่ต่อสู้กับองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อความถูกต้อง

เหตุผลที่คดีนี้ได้รับรางวัลก็เพราะ...

การสู้แบบกัดไม่ปล่อยทำให้คดีนี้กลายเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน คนในสังคม และผู้แทนในสภา

ถึงขนาดที่นำไปใช้เป็นเคส เมื่อมีการพิจารณาเรื่องการผลิตอาวุธ และความปลอดภัยในการใช้อาวุ

::::::::::::::::::


จากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปอีก 5 ปี

ไม่รู้เหมือนกันว่า คดีของเขาคืบหน้าไปถึงไหน ได้รับค่าชดเชยหรือยัง
หรือต้องไล่ตามเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าของโรงงานปืนอีกขนาดไหน

แต่ที่เรื่องนี้ยังเป็นที่จดจำของผู้คนก็เพราะที่มาที่ไปของมัน ไม่ได้มีแค่เด็กคนหนึ่งลุกขึ้นมาประมูลโรงงานปืน

แบรนดอนไม่ได้อยากได้โรงงานแทนเงินชดเชย เขาไม่ได้อยากบริหารโรงงานปืน และไม่ได้ต้องการดอกผลของธุรกิจผลิตอาวุธ

เพราะเขารู้ว่า อาวุธปืนเป็นอันตรายกับคนทั่วไป ไม่ควรมีใครเจอแบบเดียวกับเขาซ้ำสอง

เขาจึงประกาศชัดเจนกับทุกคนในเว็บไซต์ ก่อนจะเอ่ยปากชวนร่วมระดมทุนว่า

การเข้าไปซื้อโรงงานปืนครั้งนี้ สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คื
การทำลายชิ้นส่วนปืนที่ยังไม่ได้ประกอบทั้ง 75,000 กระบอก ด้วยการหลอม

ซื้อโรงงานปืน เพื่อทำลายปืนในโรงงานทิ้ง
เป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ และเป็นหัวใจที่กล้าหาญมาก

บางคนเห็นอาวุธสงครามเป็นแหล่งรายได้

แต่บางคนก็เห็นมันวัตถุอันตรายที่ส่งผลต่อชีวิตคนให้มีชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หรือไม่ก็อาจจะไม่มีชีวิตอีกเลย

มันคงดีที่โรงงานอาวุธสงครามถูกครอบครองโดยผู้ที่อยากทำลายมัน
เสียดายก็แต่ความไม่โปร่งใสที่สกัดสิ่งนี้ไว้ไม่ให้เกิดขึ้นจริง...

::::::::::::::::::


Credit : บทความ "ปิดปืน" โดย ทรงกลด บางยี่ขัน lonelytrees.net
...................................................................................................................



กรุณาใช้คำพูดที่ดีและเป็นบวกกับเด็กๆ!!

วันก่อนโค้ชไปลุกยักษ์ให้ที่องค์กรขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง พวกเราสนุกกันมาก พอจบสัมมนามีคุณผู้หญิงท่านหนึ่งมาปรึกษาเรื่องลูกสาวที่เรียนอยู่ระดับมัธยม ซึ่งถูกครูตำหนิมาค่อนข้างแรง โดยบอกว่าน้องเป็นเด็กหัวช้ามีปัญหาเข้าใจอะไรยาก ทำให้เด็กสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง จากเด็กที่สดใสร่าเริง กลายเป็นเด็กที่ซึมเศร้า ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่มีกำลังใจในการอ่านหนังสือ

โค้ชฟังแล้วตกใจมาก ทำแบบนี้กับเด็กได้อย่างไร!!

ฟังดีๆนะคะ...
มนุษย์ทุกคนต้องการ "คำพูดที่ดีและเป็นบวก" เพื่อเสริมสร้างพลังและศักยภาพของเขาให้เติบโต เหมือนต้นไม้ต้องการน้ำไปหล่อเลี้ยงให้สดชื่น การใช้คำพูดลบๆเหมือนการเอาน้ำร้อนไปราดต้นไม้ ต้นไม้มีแต่จะเหี่ยวเฉาลงเรื่อยๆ!!

กรุณาหยุดใช้คำพูดลบๆกับผู้อื่นและตัวเอง โดยเฉพาะคนที่เป็นเด็ก!!

เด็กๆมีความอ่อนไหวทางจิตใจและอารมณ์มากกว่าผู้ใหญ่ ถ้ารู้จักเชียร์อัพให้พลังเขา เขาก็จะเกิดความสดใส มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น แต่ถ้าไปพูดลบๆใส่เขา พลังในตัวเขาจะลดลง ความเชื่อมั่นก็จะหดตัวลงเรื่อยๆ

พ่อแม่และครูบางคนไม่รู้วิธีการสร้างพลังบวกให้เด็กๆ บางคนถึงกับคิดว่าถ้าชมมากเกินไปเดี๋ยวจะเหลิง ต้องตำหนิเยอะๆหน่อยจะได้ขยันมากกว่าเดิม โค้ชอยากบอกว่าเป็นการเข้าใจผิดอย่างแรง!!

สังเกตไหมคะว่า มีผู้ใหญ่หลายคนที่ซึมกะทือ ไม่มีชีวิตชีวา ดูแล้วเหมือนท่อนไม้ นั่นอาจะเป็นเพราะในวัยเด็กเขาไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส้ ไม่เคยได้รับความรักจากคนใกล้ชิด ไม่เคยมีใครส่งพลังบวกให้กับเขา เขาเลยเติบโตมาเหมือนต้นไม้แห้งๆแกนๆ

หากเรารักลูกเรา หากเรารักหลานเรา หากเรารักนักเรียนเรา กรุณาเห็นคุณค่าในตัวเด็ก เชื่อมั่นในตัวเด็กว่าเขามีดีอยู่ในตัวเอง เพียงแต่สิ่งที่เขามีดีนั้นอาจจะไม่ได้ตรงจุดตรงใจกับที่พ่อแม่หรือครูอยากให้เป็น เช่น พ่อแม่บางคนหัวไปทางวิทยาศาตร์ พอลูกชอบศิลปะก็จะไม่พอใจแล้ว

พ่อแม่และครูมีส่วนอย่างมากในการสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับเด็กๆ

โค้ชอยากเชิญชวนให้คุณพ่อคุณแม่และคุณครูพาทั้งตัวเองและเด็กๆมาเข้าสัมมนา "ปลุกยักษ์" ดูนะคะ โค้ชจะสอนวิธีการคิดบวก พูดบวก ทำบวก สอนวิธีการสร้างพลังให้ตัวเองและเติมพลังให้ผู้อื่น สอนเคล็ดลับการใช้กฎแห่งแรงดึงดูดเพื่อได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา สอนวิธีการโปรแกรมสมองและจิตใต้สำนึกใหม่ที่ทรงพลังสุดๆๆๆ!!

คุณพ่อคุณแม่และคุณครูจะได้รู้วิธีการสร้างพลังให้ตัวเองและส่งพลังบวกให้กับเด็กๆด้วย ส่วนเด็กๆเองก็จะได้รู้วิธีการเติมพลังให้ตัวเองทุกๆวันด้วยค่ะ

นี่คือประสบการณ์ของคุณแม่ท่านหนึ่งพาลูกชายวัยรุ่นมา "ปลุกยักษ์" น้องเขากลับไปเป็นคนใหม่ สดใสร่าเริง มีชีวิตชีวา และขยันอ่านหนังสือมากขึ้นด้วย!!

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=466614090083531&set=a.132314420180168.31291.126493324095611&type=1&theater

ถ้าอย่างไรก็เรียนเชิญนะคะ

ด้วยรักและปรารถนาดีสุดหัวใ

โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ


หมายเหตุ :

กรุงเทพ จัด "ปลุกยักษ์" วันอา.ที่ 16 มิ.ย.
9-17น. โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค
โทรติดต่อคุณปัทมาที่ 081-668-1561

เชียงใหม่ จัด "ปลุกยักษ์" วันอา.ที่ 7 ก.ค.
9-17น. โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์
โทรติดต่อคุณไก่ที่ 0909-212-353

อย่าพลาดนะคะ!
"ปลุกยักษ์" ช่วยได้เยอะมากๆๆๆจริงๆค่ะ

และมีราคาพิเศษสำหรับเด็กๆด้วยค่ะ
ลองติดต่อสอบถามดูนะคะ
แล้วพบกันค่ะ...
....................................................................................................................



หลายคนมีความฝัน อยากเป็นเจ้าของกิจการ อยากมีอิสระ อยากเป็นนายของตัวเอง อยากรวย แล้วลาออกจากงานประจำไปทำธุรกิจตามที่ตัวเองฝันไว้

บ้างก็ขอเงินพ่อแม่ไปลงทุน บ้างก็กู้สถาบันการเงิน บ้างก็กู้เงินนอกระบบ

แต่เชื่อไหมว่า มีหลายคนที่ล้มเหลว เจ๊งไม่เป็นท่า!!

เพราะอะไร?

เขามี "ความฝัน" เขามี "ความอยาก" แต่เขา ขาด "ความรู้ความเข้าใจ" ในการทำธุรกิจ และเขาไม่ให้ "ความสำคัญ" กับการบริหารเงิน จึงทำให้ธุรกิจไปไม่รอด!!!

ดังนั้นใครที่มีความฝัน อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ กรุณาหาความรู้ และสร้างความเข้าใจในการบริหารธุรกิจให้ดีก่อนที่จะกระโดดไปเปิดกิจการของตัวเอง

และขอให้เน้นการมีความรู้เรื่อง การตลาด การขาย และการบริหารเงิน ให้มากๆๆๆๆ เพราะนี่คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจร่วงหรือรุ่งต่อไปในอนาคต!!

ด้วยรักและปรารถนาดีจากใจ

โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ


** โค้ชมีโอกาสให้คำแนะนำนักธุรกิจหญิงท่านหนึ่ง ลองอ่านดูนะคะ

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=460319447379662&set=a.132314420180168.31291.126493324095611&type=1&theater
........................................................................................................................



ตามที่ผมได้โพสท์ไปก่อนหน้านี้ว่าภาพนี้คือการชุมนุมคัดค้านการรับน้องระบบโซตัสนั้น

"เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนด้านข้อมูลของผมเอง เนื่องจากผมไม่ได้อยู่ที่มหาวิทยาลัยในขณะนี้
หากทำให้เกิดความเข้าใจผิดต้องขออภัย มา ณ โอากาส นี้"

และผมขอประกาศจุดยืนว่าตนเองไม่ได้ต่อต้านการรับน้อง แต่อยากเห็นวีธีการรับน้องที่เปิดโอกาสให้น้อง ซึ่งจริงๆแล้วเขาคือเพื่อนใหม่ ได้มีสิทธิและเสรีภาพ ตามระบบประชาธิปไตย ไม่ถูกปฏิบัติอย่างรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ

"เราเห็นด้วยว่าควรมีการจัดกิจกรรมต้อนรับเพื่อนใหม่ แต่ต้องไม่มีการบังคับขู่เข็ญแบบ โซตัส"

ตามข้อเสนอของแถลงการณ์ "เราเห็นด้วยกับการรับน้อง"

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องถูกจัดขึ้นด้วยความสมัครใจระหว่างคนรับและคนที่ถูกรับ

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง ส่งเสริมให้เราเข้าใจความหมายของประชาธิปไตยและเสรีภาพ
เปิดโอกาสให้เราแสดงความคิดเห็น ให้เราวิพากษ์วิจารณ์รุ่นพี่ได้
และให้เราเสนอแนะกิจกรรมในแบบที่เราต้องการได้

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง มีการพูดถึงคนด้อยโอกาสในสังคม
คนที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษา
คนยากจนที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม
และไม่ตัดขาด เราออกจากความเป็นไปของโลก

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องมีการจัดกิจกรรมจิตอาสา
พาเราออกไปเก็บขยะที่ชายหาด พาเราไปเห็นความทุกข์ยากของชาวนาและกรรมกร
เพื่อเราจะได้รับรู้ว่างบประมาณในการจัดการศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้น
มาจากเงินภาษีของประชาชนเหล่านี้


เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง ไม่มัวสอนว่าเรามีเลือดสีเดียวกัน
เพราะเราคิดว่า คำสอนเหล่านี้ไม่เป็นความจริง
เรามีสีประจำมหาวิทยาลัยสองสี เรามีสีประจำคณะสองสี และเรามีสีประจำภาคิชาอีกสองสี
ตอนนี้เรามีเลือดรวมทั้งสิ้น 6 สีแล้ว เราจะสร้าง UNITY ได้อย่างไร
ในเมื่อเรามีเลือด 6 สี และถ้าหากเราจะมีเลือดสีเดียวกันจริง
ก็คงเป็นเลือด”สีแดง” ซึ่งมนุษย์ชาติทุกคนมีเลือด”สีแดง”ร่วมกันตั้งแต่เกิด


เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง สอนให้เรายอมรับความหลากหลายทางความคิด
สอนให้เรายอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกัน
เราไม่จำเป็นต้องทำให้คนเหมือนกันทุกอย่าง
เราควรยอมรับว่าการไม่เหมือนกัน คือความงาม

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง มีการแนะนำให้เราขับขี่ยานพาหนะตามกฏจราจร
ใส่หมวกกันน็อค
ให้รถในวนเวียนไปก่อน
เปิดไฟเลี้ยวก่อนเลี้ยวรถ ไม่ผ่าไฟแดง
และไม่ใช้ความเร็วเกินกำหนด
เพื่อความปลอดภัยของทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องอยู่บนพื้นฐานของความประหยัด
ถ้ารุ่นพี่ไม่เรียกเก็บเงินจากเรามากเกินไป
เพื่อเป็นค่าเสื้อคณะบ้าง ค่าเสื้อมหาลัยบ้าง
ค่าเสื้อเอกบ้าง
(ซึ่งแต่ละตัวรุ่นกำหนดราคาแพงกว่าความเป็นจริง)
ค่าชั้นปีบ้าง และค่าอื่นๆ
ก็ในเมื่อมหาวิทยาลัยก็มีงบประมาณให้อยู่แล้ว

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องไม่มีการสั่งทำโทษเราด้วยการให้ลุกนั่ง วิดพื้น
เราเชื่อมั่นว่าคนอายุ 18 ปี ที่สามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้นั้น
มีวุฒิภาวะ และมีวิจารณญาณมากพอ
ที่จะพูดจากันด้วยเหตุผลได้เข้าใจ
โดยที่รุ่นพี่(ระเบียบ/พี่ว๊าก)ไม่จำเป็นต้องขึ้นเสียง หรือ ตะคอกใส่


เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องไม่มีการประนามคนที่ไม่เข้าร่วม
ถ้าการรับน้องไม่มีการกดดันน้องที่ไม่มาด้วยการทำโทษคนที่มา
แล้วคนที่มาเขาจะไปมีกำลังใจมาได้อย่างไร

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้ารุ่นพี่ปี 2 สามารถทำให้รุ่นพี่ปี 4 แต่งตัวถูกระเบียบ
เหมือนที่สั่งให้(เรา)รุ่นน้องปี 1 แต่งตัวถูกระเบียบได้
เพราะเรารู้สึก ว่าเราถูกเลือกปฏิบัติ

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องหมายถึงการรับเพื่อนใหม่
เราเป็นเพียงแค่คนที่โชคร้ายเกิดหลังเราเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นระเบียบของมหาวิทยาลัยหรือรัฐธรรมนูญ
ก็ไม่ได้อนุญาตให้คนที่โชคดีเกิดก่อน
มีอภิสิทธิ์ที่จะแสดงพฤติกรรมหรือสั่งการต่อคนที่โชคร้ายเกิดหลัง
ดังนั้นการรับน้องจึงควรเป็นลักษณะการรับเพื่อนใหม่
ที่มีเป้าหมายเพื่อการแนะนำการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย
การร่ำเรียนเพื่อแสวงหาความฝันของตนเอง
การตอบแทนสังคมและส่วนรวม
และเป็นการร่ำเรียนเพื่อรับใช้ประชาชน

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง สามารถทำให้เราตั้งคำถามกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
และกล้าที่จะคัดค้านความไม่เป็นธรรมทั้งหลายในสังคม

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้ารุ่นพี่บอกว่า มหาลัยของเรา เป็นมหาลัยนอกระบบ หรือกำลังจะออกนอกระบบ
และบอกข้อดี ข้อเสียให้เรารู้ และให้เราตัดสินใจเอง
ว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป.....

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง อนุญาตรุ่นเราคิดนอกกรอบ

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง ทำให้เรามีความรักมอบให้แก่เพื่อนมนุษย์เสมอ

เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง สอนให้เรายกมือไหว้พี่รปภ.ที่คณะ
เคารพคุณป้าแม่บ้าน และคนสวนในมหาลัย
เหมือนที่รุ่นพี่บอกให้เรา เคารพรุ่นพี่ ครูอาจารณ์ และอธิการบดี


เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง ไม่พยายามสร้างค่านิยมชิงดีชิงเด่นระหว่างคณะของเรากับคณะอื่นๆ
ไม่พยายามสร้างความภาคภูมิใจในมหาลัยของเรา
และดูถูกมหาลัยอื่นๆ จนหลงลืมความหมายที่แท้จริงของการศึกษา


และแน่นอน เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องคือการเห็นคุณค่าของคนทุกคนเท่าเทียมกัน


“เราเอง”
คนที่เคยถูกรับน้อง และเคยเป็นคนรับน้อง
เราจึงคิดว่า "เราเห็นด้วยกับการรับน้อง ถ้า..........................."

Written by ปกรณ์ อารีกุล สนับสนุนการศึกษาที่เป็นธรร
ภาพจาก # Chutiphong Pipoppinyo

รายงานข่าวโดย Young Activist Channel (YAC)
............................................................................................................................


คนบางคนชอบทำอะไรให้ยากๆ เพื่อให้ตัวเองดูเก่ง ดู "มีภูมิ" แต่ในโลกธุรกิจ "ผู้ชนะ" คือคนที่ทำให้ชีวิตของคนอื่น "ง่าย"

อยากประสบความสำเร็จ อยากรวย ต้องทุ่มเท ต้องพยายาม ต้องลงทุนทำอะไร "ยากๆ" เพื่อให้ชีวิตของคนอื่น "ง่ายลง"

ถ้าตัวเรายอม "ยาก" เพื่อให้ชีวิตของคนอื่น "ง่าย" รับรองว่าความสำเร็จรออยู่ไม่ไกลครับ

credit : Club VI
............................................................................................................................

............................................................................................................................


"แทนที่จะซื้อหุ้นคืน หรือเพิ่มการจ่ายปันผล บ่อยครั้งบริษัทที่มีกำไรดี มักชอบที่จะเผาเงินทิ้ง โดยการซื้อกิจการอย่างโง่เขลา นักกระจายความเสียหายที่ทุ่มเทเหล่านี้ มักมองหาสินค้าที่ (1) ราคาสูงเกินไป และ (2) อยู่นอกเหนือขอบเขตแห่งความเข้าใจของตน"
- ปีเตอร์ ลินซ์ -

"Instead of buying back shares or raising dividends, profitable companies often prefer to blow the money on foolish acquisitions. The dedicated diworseifier seeks out merchandise that is (1) overpriced, and (2) completely beyond his or her realm of understanding."
- Peter Lynch -
.........................................................................................................................



ขอเวลา...ซักหน่อย...

(พิมพ์ร้องไห้ผิด ใว้ค่อยมาแก้เน้อ ขออภัย)
-----------
ติดตามเรื่องราวเกร๋ๆ ของมนุษย์เงินเดือนได้ที่

https://www.facebook.com/SalarymansDiary
..........................................................................................................................



วันนี้มีเรื่องดีๆมาฝากเพื่อนๆชาว Level25 ซึ่งรับรองว่าสามารถเอาไปเลียนแบบ และใช้ได้กับทุกที่เลยจ้า

เพราะในการแข่งวิ่งระยะไกลที่เมืองเบอร์ยาด้า ระหว่างที่นักวิ่งผู้นำชาวเคนย่า Mutai (อ่านว่ามูทาอิ) หลงคิดว่าตัวเองเข้าเส้นชัยไปแล้วจึงหยุดวิ่ง

คนที่ตามมาเป็นที่สองคือ Ivan Fernandez เห็นก็เลยวิ่งเข้าไปสะกิด แล้วบอกว่านี่เข้าผิด ที่จริงยังไม่ถึงเส้นชัย ให้วิ่งต่อไปอีกหน่อย….

แล้วนาย Fernandez ก็วิ่งเหยาะตามไป ให้ Mutai เข้าเส้นชัยไปก่อน… โดยไม่ฉวยโอกาสใช้ความผิดพลาด วิ่งแซงหน้าเพื่อคว้าแชมป์

เรื่องนี้ก็เลยดังไปทั่วโลก เพราะสอนให้รู้จักน้ำใจนักกีฬาในการแข่งขันได้เป็นอย่างดี สื่อต่างๆก็ออกมายกย่อง Fernandez กันใหญ่เลย (ผมก็ขอยกย่องด้วยคน)

ชัยชนะไม่ใช่ทุกสิ่ง , Ivan Fernandez ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ผู้แพ้ที่ชนะใจคนทั้งโลกมันเป็นยังไง

ปิดท้ายด้วยคำพูดเท่ห์ๆของ Fernandez ที่ให้สัมภาษณ์ทางหนังสือพิมพ์ El Pais ไว้ว่า

“ผมไม่คู่ควรกับชัยชนะครั้งนี้ เขาเป็นผู้ชนะแบบถูกต้อง เขาเป็นคนวิ่งทิ้งห่างผู้แข่งคนอื่นๆ และผมคงไม่สามารถขยับแซงได้หากเขาไม่ทำผิดพลาด ทันทีที่ผมเห็นเขาหยุด ผมรู้ทันทีว่าผมไม่ควรวิ่งแซง”

คลิป : http://www.youtube.com/watch?v=vFzyz3prWgw

Dear-
....................................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น