........................................................................................................................
..........................................................................................................................
ศิลปะการใช้ชีวิต...
ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
ชีวิตก็ใกล้ฝั่งเข้าไปอีกนิ ด ผมใช้ช่วงเวลานี้ใคร่ครวญทบ ทวนตนเอง เพราะเชื่อว่าถ้าอยากจะเข้า ใจชีวิต ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการทำควา มเข้าใจตัวเอง ศึกษาพิเคราะห์ตัวเองในแง่ม ุมต่างๆ ให้มากขึ้น พร้อมทั้งเรียนรู้คำสอนจากผ ู้รู้ทั้งหลาย แล้วหลอมรวมประกอบกันเป็น "ศิลปะการใช้ชีวิต" ของเราเอง
• ธรรมะฉบับฆราวาส
ครั้งหนึ่ง ผมได้รับฟังข้อคิดจากพระธรร มกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ซึ่งแนะนำแนวทางปฏิบัติให้แ ก่ฆราวาสทั้งปวงโดยให้ “ตัดตัณหา” อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
ผมฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ เพราะเคยได้รับคำสอนมาก่อนห น้านี้อยู่เสมอว่าให้ “ตัดกิเลส” ผมก็คิดต่อไปว่า กิเลสนั้นมาคู่กับธรรมชาติข องมนุษย์ ที่ทำให้เราชอบของหอม สิ่งสวยงาม อาหารรสชาติดี และไม่ชอบสิ่งที่ตรงข้าม (อันที่จริง นี่คือพื้นฐานจากสัญชาตญาณก ารเอาชีวิตรอดของมนุษย์ เพราะสิ่งที่บูดเน่า สกปรก หรือเหม็นเปรี้ยวก็มักจะเป็ นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภ าพของเรา)
ในความเห็นของผม การตัดกิเลสเหล่านี้ควรเป็น เรื่องของพระหรือผู้ออกบวช เช่น พระป่านำอาหารที่ยอดเยี่ยมห ลายๆ อย่างมาผสมคลุกเคล้าปนเปกัน เพื่อลดการยึดติดในรูปลักษณ ์และรสชาติของอาหาร
พระธรรมกิตติวงศ์เมตตาขยายค วามให้ฟังอีกว่า กิเลสนั้นมีอยู่ 2 ชุด คือ โลภ โกรธ หลง และ ราคะ โทสะ โมหะ สำหรับผู้ตัดสินใจออกบวชนั้ น โดยพื้นฐานความโลภจะเบาบางแ ล้ว จึงเน้นสอนเรื่อง ราคะ โทสะ โมหะ การชอบในสิ่งสวยงามทั้งหลาย ก็คือส่วนหนึ่งของราคะนั่นเ อง ส่วนปุถุชนผู้ยังครองเรือนอ ยู่นั้น จะเน้นสอนในเรื่องโลภ โกรธ หลง เพราะยังอยู่ในวังวนของการส ร้างและสะสมทรัพย์สิน จึงต้องระวังความโลภเข้าครอ บงำ
ผมจึงค่อนข้างจะคล้อยตามพระ ธรรมกิตติวงศ์ ที่สอนให้ฆราวาสตระหนักว่าป ัญหาไม่ได้อยู่ที่กิเลส แต่อยู่ที่ตัณหาคือความอยาก มี อยากได้ อยากเป็นในสิ่งที่ตนต้องการ และวิภวตัณหาคือ ความไม่อยากมี ไม่อยากได้ และไม่อยากเป็นในสิ่งที่ไม่ พึงประสงค์ ซึ่งเมื่อไม่เป็นไปตามที่ตั วเองปรารถนาก็จะเกิดทุกขเวท นาในจิตใจ และพลอยลามไปทำให้สุขภาพร่า งกายเสื่อมโทรมลงด้วย
ดังนั้น เราจึงต้องมีสติรู้เท่าทันแ ละ “ตัดใจ” ให้ทันเวลา เท่ากับเป็นการตัด “ตัณหา” ไม่ให้ขยายตัวใหญ่โตจนกลายเ ป็นความทุกข์ที่ท่วมทับชีวิ ตของเราไปตลอด
• คำสอนของนักปราชญ์แนวขงจื๊อ (儒家)
ในยุคราชวงศ์ซ่งเหนือ (北宋) ประมาณ ค.ศ. 1000 มีนักปราชญ์คนหนึ่งซึ่งได้ร ับการยกย่องมาจนปัจจุบันชื่ อว่า ฟ่านจ้งเยียน (范仲淹 ค.ศ.989 - ค.ศ.1052) ได้เขียนถ้อยคำอันลึกซึ้งไว ้ที่หอเย่ว์หยางโหลว โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า “不以物喜,不以已悲” (ไม่ยินดีด้วยเรื่องของวัตถ ุ, ไม่ทุกข์โศกด้วยเรื่องของตน เอง) ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนในพุทธ ศาสนา ที่ไม่ปล่อยให้วัตถุภายนอกม ามีอิทธิพลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และไม่หมกมุ่นวนเวียนอยู่แต ่เรื่องของตัวเองว่าจะได้หร ือเสียอะไร ก็เท่ากับเป็นการละวางการติ ดยึดในอัตตาลงไปทีละน้อย เช่น ผมมักจะเปรยเล่นๆ กับเพื่อนๆ ว่า ตอนนี้บาทหนึ่งเหลือสลึงเดี ยว เพราะปัจจุบันอายุ 60 ปีแล้ว หากสามารถมีอายุต่อไปจนถึง 80 ปี ก็เท่ากับว่าชีวิตนี้ใช้ไปแ ล้วเศษสามส่วนสี่ เท่ากับใช้ไปแล้ว 3 สลึง เหลืออีกเพียง 1 สลึงก็หมดแล้ว
คิดดูก็น่าหดหู่ห่อเหี่ยว แต่เมื่อได้ศึกษาคำสอนนี้แล ้วก็ต้องฉุกคิด ไม่ควรมาทุกข์ใจอาลัยอาวรณ์ กับชีวิตที่เหลืออยู่อีกไม่ มากนัก แต่ควรจะเข้าใจถึงสถานภาพขอ งผู้คนในแต่ละวัย และดำรงตนให้เหมาะสม เช่น เมื่อเกษียณหรือเกือบจะเกษี ยณ ก็น่าจะมีความสุขอยู่กับลูก หลาน ดื่มด่ำกับความอบอุ่นในครอบ ครัว และถ้าพอมีโอกาสก็ควรช่วยกั นถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต ความคิดและความรู้ต่างๆ ให้แก่คนรุ่นหลัง ก็จะเป็นชีวิตบั้นปลายที่เต ็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่า
ปรมาจารย์ขงจื๊อบ่นพึมพำถึง ตัวเองในวัยชราว่า
“อายุสิบห้า มุ่งมั่นในการศึกษาเล่าเรีย น
อายุสามสิบ ยืนหยัดได้อย่างมั่นคง
อายุสี่สิบ หมดสิ้นความสงสัย
อายุห้าสิบ เข้าใจลิขิตแห่งสวรรค์
อายุหกสิบ รับฟังเรื่องสารพันอย่างรื่ นหู
อายุเจ็ดสิบ ทำอะไรก็ได้ดังใจปรารถนา หากไม่ผิดทำนองคลองธรรม”
ผมตีความในฐานะที่ตัวเองก็อ ายุหกสิบเช่นกัน ว่าคนวัยนี้คงจะมีอารมณ์เยื อกเย็นลง ปล่อยปละละวางเรื่องต่างได้ มากขึ้น จึงสามารถรับฟังความเห็นและ คิดที่ขัดใจได้อย่าง “รื่นหู” ส่วนอายุเจ็ดสิบ ทำอะไรก็ได้ตามใจนั้น ผมคิดว่าคงไม่มีเรี่ยวแรงไป ทำชั่วอะไรได้อีกแล้ว (แซวขงจื๊อเล่น) ผมยังไม่ถึงวัยนี้ จึงยังไม่อาจเข้าใจได้อย่าง ถ่องแท้ แต่หวังว่าคงจะเข้าใจได้ดีเ มื่ออายุเจ็ดสิบแล้ว
เกณฑ์อายุแต่ละช่วง จากถ้อยคำของมหาปราชญ์อย่าง ขงจื๊อนั้น ควรค่าแก่การตีความและพิเคร าะห์ให้ลุ่มลึก อาจจะจำลองมาเป็นเป้าหมายใน แต่ละวัยของเรา หรืออาจช่วยให้เข้าถึงสัจธร รมอย่างถ่องแท้มากขึ้น
คนที่เริ่มสูงอายุแล้วสมควร ใคร่ครวญดู คนหนุ่มสาวยิ่งสมควรใคร่ครว ญไว้ล่วงหน้า เพราะอนาคตที่แน่นอนที่สุด ก็คือทุกคนต้องกลายเป็นผู้ส ูงอายุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได ้ ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตา ม...
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 4 กุมภาพันธ์ 2556
ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
ชีวิตก็ใกล้ฝั่งเข้าไปอีกนิ
• ธรรมะฉบับฆราวาส
ครั้งหนึ่ง ผมได้รับฟังข้อคิดจากพระธรร
ผมฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ เพราะเคยได้รับคำสอนมาก่อนห
ในความเห็นของผม การตัดกิเลสเหล่านี้ควรเป็น
พระธรรมกิตติวงศ์เมตตาขยายค
ผมจึงค่อนข้างจะคล้อยตามพระ
ดังนั้น เราจึงต้องมีสติรู้เท่าทันแ
• คำสอนของนักปราชญ์แนวขงจื๊อ
ในยุคราชวงศ์ซ่งเหนือ (北宋) ประมาณ ค.ศ. 1000 มีนักปราชญ์คนหนึ่งซึ่งได้ร
คิดดูก็น่าหดหู่ห่อเหี่ยว แต่เมื่อได้ศึกษาคำสอนนี้แล
ปรมาจารย์ขงจื๊อบ่นพึมพำถึง
“อายุสิบห้า มุ่งมั่นในการศึกษาเล่าเรีย
อายุสามสิบ ยืนหยัดได้อย่างมั่นคง
อายุสี่สิบ หมดสิ้นความสงสัย
อายุห้าสิบ เข้าใจลิขิตแห่งสวรรค์
อายุหกสิบ รับฟังเรื่องสารพันอย่างรื่
อายุเจ็ดสิบ ทำอะไรก็ได้ดังใจปรารถนา หากไม่ผิดทำนองคลองธรรม”
ผมตีความในฐานะที่ตัวเองก็อ
เกณฑ์อายุแต่ละช่วง จากถ้อยคำของมหาปราชญ์อย่าง
คนที่เริ่มสูงอายุแล้วสมควร
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 4 กุมภาพันธ์ 2556
ปุจฉา
K-khem Khem มีเด็กโครงการฝั่งรังสิต
ชอบว่าเด็กโครงการซีเป็นโคร งการ ที่โง่สุดในคณะศิลปศาสตร์
ครั้งแรกที่ผมได้ยินผมรู้สึ กน้อยใจ
แต่พอผมเรียนไปจนจบ ผมรู้เลยว่า โครงการซี ไม่ได้กระจอกเหมือนใครเขาว่ าเลยสักนิดครับ
วิสัชนา
Do not worry, it is just jealousy, lah, human ignorance
รฤยา ริษยา ครับ
นศ โครงการซีส์ เป็น นศ ธรรมดาๆ
ที่ไม่ธรรมดา ครับ
ประสบการณ์ การสอนหนังสือ ใน มธ ทั้ง ท่าพระจันทร์ และ รังสิต
ของผม ๔๐ ปี พอดี (เริ่มสอนก่อน ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ ไม่กี่เดือน)
พบว่า นศ ซีส์ (แน่นอน ไม่ทุกคน)
มีชีวิตชีวา ตื่นเต้น กับการเรียนรู้
สนใจโลกกว้าง กล้าออกเดินทาง แสวงหา
yes, climb every mountain
flow every stream
follow every rainbow
K-khem Khem มีเด็กโครงการฝั่งรังสิต
ชอบว่าเด็กโครงการซีเป็นโคร
ครั้งแรกที่ผมได้ยินผมรู้สึ
แต่พอผมเรียนไปจนจบ ผมรู้เลยว่า โครงการซี ไม่ได้กระจอกเหมือนใครเขาว่
วิสัชนา
Do not worry, it is just jealousy, lah, human ignorance
รฤยา ริษยา ครับ
นศ โครงการซีส์ เป็น นศ ธรรมดาๆ
ที่ไม่ธรรมดา ครับ
ประสบการณ์ การสอนหนังสือ ใน มธ ทั้ง ท่าพระจันทร์ และ รังสิต
ของผม ๔๐ ปี พอดี (เริ่มสอนก่อน ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ ไม่กี่เดือน)
พบว่า นศ ซีส์ (แน่นอน ไม่ทุกคน)
มีชีวิตชีวา ตื่นเต้น กับการเรียนรู้
สนใจโลกกว้าง กล้าออกเดินทาง แสวงหา
yes, climb every mountain
flow every stream
follow every rainbow
» The Amazing Story of... Brandon Maxfield
» ตำนานของเด็กอัมพาต ผู้หาญกล้าต่อสู้กับ โรงงานผลิตปืนรายใหญ่
ถ้าได้รับเช็คมูลค่า 720 ล้านบาท เราจะเอาเงินจำนวนนี้ไปทำอะ ไร
รับรองว่า คงลิสต์รายการที่อยากจ่ายได ้ยาวเป็นหางว่าว
แต่ของฟรีไม่มีในโลก ยิ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลขนา ดนี้ เราคงหาอะไรไปแลก แล้วถ้าสิ่งที่ต้องนำไปแลกค ือ การเป็นอัมพาตทั้งตัวตั้งแต ่อายุ 7 ขวบล่ะ ....เราจะยังอยากได้เงินจำน วนนี้ไหม?
เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นการชิงไหวชิงพริบเพื่อช ิงเงินจำนวน 720 ล้านบาท
ระหว่างนักธุรกิจเขี้ยวลากด ินกับเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่ง
เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในบ้า นหลังเล็กๆ แห่งหนึ่งเมื่อปี 1994
ภายในบ้านหลังนั้นมีเด็กชาย วัย 7 ขวบคนหนึ่ง กับพี่เลี้ยงของเขา
พี่เลี้ยงมองออกไปนอกบ้านแล ้วเห็นคนท่าทางมีพิรุธมาเดิ นอยู่หน้าบ้าน
เพื่อความไม่ประมาท จึงหยิบปืนมาโหลดกระสุนเตรี ยมพร้อมไว้
ทันทีที่เขาเปิดปืนเพื่อเตร ียมใส่กระสุน กระสุนที่ค้างอยู่ในปืนก็ลั ่นออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ลูกกระสุนวิ่งออกจากปากกระบ อกปืน ผ่านเตียงเด็ก เข้าปลายคาง แล้วทะลุไปโดนกระดูกสันหลัง ของเด็กชายที่ชื่อ...
"แบรนดอน แม็กซ์ฟิลด์"
ผลก็คือ เด็กชายวัย 7 ขวบคนนี้กลายเป็นอัมพาตทั้ง ร่างกายตั้งแต่ช่วงคอลงมา
กรณีนี้ หลายคนคงโทษความประเลินเล่อ ของพี่เลี้ยง
ก็นับว่าใช่ แต่ความผิดที่ใหญ่หลวงกว่า มาจากบริษัทผลิตปืน
ปืนกระบอกนี้ผลิตโดยบริษัท Bryco Arms ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการผลิ ตปืนกึ่งอัตโนมัติ ราคาถูก
Bryco Arms ออกแบบปืนรุ่นนี้ผิดพลาดอย่ างไม่น่าให้อภัย เพราะหลักในการออกแบบปืนระบ ุว่า...
ต้องออกแบบให้สามารถโหลดกระ สุนใส่ได้ เมื่อปืนอยู่ในสภาพที่ปิดสน ิทหรือไม่พร้อมใช้งานเท่านั ้น ...เมื่อผลิตปืนที่ไม่ได้มา ตรฐาน ความผิดจึงมาตกอยู่กับพวกเข า
แบรนดอนและทนายของเขาจึงยื่ นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจา กบริษัท Bryco Arms ซึ่งครอบคลุม ค่ารักษาพยาบาล การสูญเสียรายได้ การทำให้เขาต้องเจ็บป่วยจาก การเป็นอัมพาตทั้งชีวิต
ศาลใช้เวลาพิจารณาคดีนี้ 3 เดือน ก็มีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์
ให้บริษัท Bryco Arms จ่ายค่าชดเชยให้แม็กซ์ฟิลด์ เป็นเงินจำนวน 24 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 720 ล้านบาท
นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของ ผู้บริโภคที่มีต่อผู้ผลิตที ่ไร้ความรับผิดชอบ
แต่จะเรียกว่าชัยชนะคงไม่ได ้ เพราะในวันรุ่งขึ้น เจ้าของโรงงานก็ประกาศล้มละ ลาย
::::::::::::::::::
นับเป็นการเดินเกมที่แยบคาย มาก เพราะเขาเล่นแร่แปรธาตุกับส ินทรัพย์ทั้งหมดที่มี ...รวมทั้งการขายโรงงานในรา คาถูกแสนถูก
เขาปักป้ายขายโรงงานพร้อมกั บปืนที่ยังไม่ได้ประกอบจำนว น 75,000 กระบอก ในราคาเพียง 150,000 เหรียญสหรัฐเท่านั้น
และผู้ที่ยื่นข้อเสนอเข้ามา เป็นรายแรกและรายเดียวก็คือ ผู้จัดการโรงงานนั่นเอง
ที่ตั้งตัวเลขต่ำต้อยเพียงแ ค่นี้ ก็เพราะเมื่อบริษัทล้มละลาย
ย่อมต้องจ่ายหนี้ให้กับเจ้า หนี้ต่างๆ ซึ่งก็คือคู่ค้าของพวกเขา และแบรนดอนผู้เป็นเจ้าหนี้ร ายใหญ่สุด
แต่เนื่องจากเด็กคนนี้มีสถา นะเป็นบุคคลไม่ใช่องค์กรเหม ือนคู่ค้าของบริษัท ศาลจึงกำหนดว่า... เมื่อขายสินทรัพย์ทั้งหมดแล ้ว
ต้องนำเงินไปจ่ายเจ้าหนี้ที ่เป็นองค์กรก่อน แล้วค่อยจ่ายหนี้บุคคล
เจ้าของโรงงานเลยตั้งใจจะขา ยแค่พอมีเงินจ่ายคู่ค้า แต่ไม่มีเหลือให้แบรนดอน
ที่ลึกลับซับซ้อนกว่านั้นก็ คือ ผู้จัดการโรงงานที่ยื่นข้อเ สนอเข้ามาซื้อกิจการไปทำต่อ นั้น...แท้จริงแล้วก็คือนอม ินี่ของเจ้าของเดิม และเงินที่เอามาเสนอ ก็เป็นเงินของเจ้าของเดิมนั ่นเอง
จึงเท่ากับว่า...เจ้าของเดิ มจะได้โรงงานกลับมาในราคาถู กแสนถูก แล้วก็กลับมาทำธุรกิจเหมือน เดิม โดยไม่ต้องจ่ายเงินให้แบรนด อน เพราะไม่มีเงินเหลือ
::::::::::::::::::
โชคยังดีอยู่ที่ศาลบอกว่า ข้อเสนอ 150,000 เหรียญนั้นน้อยไป
ให้รออีก 20 วันว่าจะมีผู้ยื่นข้อเสนอรา ยอื่นอีกไหม
แบรนดอนซึ่งขณะนั้นมีอายุ 17 ปี จึงตั้งองค์กร Brandon’s Arms ขึ้นมาเพื่อยื่นข้อเสนอขอซื ้อโรงงานด้วย
เขาระดมเงินจากผู้ที่สนใจผ่ านเว็บไซต์มาได้ทั้งหมด 505,00 เหรียญ
ด้วยตัวเลขขนาดนี้ โรงงานปืนแห่งนี้สมควรจะตกเ ป็นของเขา
แต่สุดท้ายเกมก็มาพลิกตรงที ่ผู้จัดการโรงงานหรือตัวแทน ของเจ้าของเดิม ขยับข้อเสนอเพิ่มขึ้นเป็น 510,000 เหรียญ จึงได้โรงงานกลับไปครองดังเ ดิม ในวันที่ 12 สิงหาคม 2005
แล้วก็เดินเครื่องผลิตปืน 75,000 กระบอกที่ยังผลิตค้างไว้ต่อ ในชื่อบริษัทใหม่ คือ Jimenez Arms
ถึงจะประมูลแพ้ แต่ทนายความของเขาก็ยังยื่น เรื่องฟ้องต่อว่า
นี่เป็นการประมูลที่ไม่โปร่ งใส เพราะผู้ที่ได้ไปเป็นนอมินี ่ของเจ้าของเดิม
แล้วก็ยังไล่จี้เรื่องค่าชด เชยจากเจ้าของโรงงานต่อไป
ถึงเงินค่าชดเชยจะยังไม่ได้ เป็นของแบรนดอน โรงงานก็ไม่ได้เป็นของเขา แต่เขาและทนายความของเขาก็ไ ด้รับรางวัล Sharp Award ประจำปี 2005
ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับ การทำคดีที่แสดงให้เห็นถึงพ ลังของต่อสู้คดีแพ่งเพื่อคว ามถูกต้อง
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นรางวัลที่มอบให้กับคดีข องคนเล็กๆ ที่ต่อสู้กับองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อความถูกต้อง
เหตุผลที่คดีนี้ได้รับรางวั ลก็เพราะ...
การสู้แบบกัดไม่ปล่อยทำให้ค ดีนี้กลายเป็นที่สนใจของสื่ อมวลชน คนในสังคม และผู้แทนในสภา
ถึงขนาดที่นำไปใช้เป็นเคส เมื่อมีการพิจารณาเรื่องการ ผลิตอาวุธ และความปลอดภัยในการใช้อาวุ ธ
::::::::::::::::::
จากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปอีก 5 ปี
ไม่รู้เหมือนกันว่า คดีของเขาคืบหน้าไปถึงไหน ได้รับค่าชดเชยหรือยัง
หรือต้องไล่ตามเล่ห์เหลี่ยม ของเจ้าของโรงงานปืนอีกขนาด ไหน
แต่ที่เรื่องนี้ยังเป็นที่จ ดจำของผู้คนก็เพราะที่มาที่ ไปของมัน ไม่ได้มีแค่เด็กคนหนึ่งลุกข ึ้นมาประมูลโรงงานปืน
แบรนดอนไม่ได้อยากได้โรงงาน แทนเงินชดเชย เขาไม่ได้อยากบริหารโรงงานป ืน และไม่ได้ต้องการดอกผลของธุ รกิจผลิตอาวุธ
เพราะเขารู้ว่า อาวุธปืนเป็นอันตรายกับคนทั ่วไป ไม่ควรมีใครเจอแบบเดียวกับเ ขาซ้ำสอง
เขาจึงประกาศชัดเจนกับทุกคน ในเว็บไซต์ ก่อนจะเอ่ยปากชวนร่วมระดมทุ นว่า
การเข้าไปซื้อโรงงานปืนครั้ งนี้ สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คื อ
การทำลายชิ้นส่วนปืนที่ยังไ ม่ได้ประกอบทั้ง 75,000 กระบอก ด้วยการหลอม
ซื้อโรงงานปืน เพื่อทำลายปืนในโรงงานทิ้ง
เป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ และเป็นหัวใจที่กล้าหาญมาก
บางคนเห็นอาวุธสงครามเป็นแห ล่งรายได้
แต่บางคนก็เห็นมันวัตถุอันต รายที่ส่งผลต่อชีวิตคนให้มี ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่ อไป หรือไม่ก็อาจจะไม่มีชีวิตอี กเลย
มันคงดีที่โรงงานอาวุธสงครา มถูกครอบครองโดยผู้ที่อยากท ำลายมัน
เสียดายก็แต่ความไม่โปร่งใส ที่สกัดสิ่งนี้ไว้ไม่ให้เกิ ดขึ้นจริง...
::::::::::::::::::
Credit : บทความ "ปิดปืน" โดย ทรงกลด บางยี่ขัน lonelytrees.net
» ตำนานของเด็กอัมพาต ผู้หาญกล้าต่อสู้กับ โรงงานผลิตปืนรายใหญ่
ถ้าได้รับเช็คมูลค่า 720 ล้านบาท เราจะเอาเงินจำนวนนี้ไปทำอะ
รับรองว่า คงลิสต์รายการที่อยากจ่ายได
แต่ของฟรีไม่มีในโลก ยิ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลขนา
เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นการชิงไหวชิงพริบเพื่อช
ระหว่างนักธุรกิจเขี้ยวลากด
เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในบ้า
ภายในบ้านหลังนั้นมีเด็กชาย
พี่เลี้ยงมองออกไปนอกบ้านแล
เพื่อความไม่ประมาท จึงหยิบปืนมาโหลดกระสุนเตรี
ทันทีที่เขาเปิดปืนเพื่อเตร
"แบรนดอน แม็กซ์ฟิลด์"
ผลก็คือ เด็กชายวัย 7 ขวบคนนี้กลายเป็นอัมพาตทั้ง
กรณีนี้ หลายคนคงโทษความประเลินเล่อ
ก็นับว่าใช่ แต่ความผิดที่ใหญ่หลวงกว่า มาจากบริษัทผลิตปืน
ปืนกระบอกนี้ผลิตโดยบริษัท Bryco Arms ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการผลิ
Bryco Arms ออกแบบปืนรุ่นนี้ผิดพลาดอย่
ต้องออกแบบให้สามารถโหลดกระ
แบรนดอนและทนายของเขาจึงยื่
ศาลใช้เวลาพิจารณาคดีนี้ 3 เดือน ก็มีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์
ให้บริษัท Bryco Arms จ่ายค่าชดเชยให้แม็กซ์ฟิลด์
นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของ
แต่จะเรียกว่าชัยชนะคงไม่ได
::::::::::::::::::
นับเป็นการเดินเกมที่แยบคาย
เขาปักป้ายขายโรงงานพร้อมกั
และผู้ที่ยื่นข้อเสนอเข้ามา
ที่ตั้งตัวเลขต่ำต้อยเพียงแ
ย่อมต้องจ่ายหนี้ให้กับเจ้า
แต่เนื่องจากเด็กคนนี้มีสถา
ต้องนำเงินไปจ่ายเจ้าหนี้ที
เจ้าของโรงงานเลยตั้งใจจะขา
ที่ลึกลับซับซ้อนกว่านั้นก็
จึงเท่ากับว่า...เจ้าของเดิ
::::::::::::::::::
โชคยังดีอยู่ที่ศาลบอกว่า ข้อเสนอ 150,000 เหรียญนั้นน้อยไป
ให้รออีก 20 วันว่าจะมีผู้ยื่นข้อเสนอรา
แบรนดอนซึ่งขณะนั้นมีอายุ 17 ปี จึงตั้งองค์กร Brandon’s Arms ขึ้นมาเพื่อยื่นข้อเสนอขอซื
เขาระดมเงินจากผู้ที่สนใจผ่
ด้วยตัวเลขขนาดนี้ โรงงานปืนแห่งนี้สมควรจะตกเ
แต่สุดท้ายเกมก็มาพลิกตรงที
แล้วก็เดินเครื่องผลิตปืน 75,000 กระบอกที่ยังผลิตค้างไว้ต่อ
ถึงจะประมูลแพ้ แต่ทนายความของเขาก็ยังยื่น
นี่เป็นการประมูลที่ไม่โปร่
แล้วก็ยังไล่จี้เรื่องค่าชด
ถึงเงินค่าชดเชยจะยังไม่ได้
ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับ
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นรางวัลที่มอบให้กับคดีข
เหตุผลที่คดีนี้ได้รับรางวั
การสู้แบบกัดไม่ปล่อยทำให้ค
ถึงขนาดที่นำไปใช้เป็นเคส เมื่อมีการพิจารณาเรื่องการ
::::::::::::::::::
จากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปอีก 5 ปี
ไม่รู้เหมือนกันว่า คดีของเขาคืบหน้าไปถึงไหน ได้รับค่าชดเชยหรือยัง
หรือต้องไล่ตามเล่ห์เหลี่ยม
แต่ที่เรื่องนี้ยังเป็นที่จ
แบรนดอนไม่ได้อยากได้โรงงาน
เพราะเขารู้ว่า อาวุธปืนเป็นอันตรายกับคนทั
เขาจึงประกาศชัดเจนกับทุกคน
การเข้าไปซื้อโรงงานปืนครั้
การทำลายชิ้นส่วนปืนที่ยังไ
ซื้อโรงงานปืน เพื่อทำลายปืนในโรงงานทิ้ง
เป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ และเป็นหัวใจที่กล้าหาญมาก
บางคนเห็นอาวุธสงครามเป็นแห
แต่บางคนก็เห็นมันวัตถุอันต
มันคงดีที่โรงงานอาวุธสงครา
เสียดายก็แต่ความไม่โปร่งใส
::::::::::::::::::
Credit : บทความ "ปิดปืน" โดย ทรงกลด บางยี่ขัน lonelytrees.net
กรุณาใช้คำพูดที่ดีและเป็นบ วกกับเด็กๆ!!
วันก่อนโค้ชไปลุกยักษ์ให้ที ่องค์กรขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง พวกเราสนุกกันมาก พอจบสัมมนามีคุณผู้หญิงท่าน หนึ่งมาปรึกษาเรื่องลูกสาวท ี่เรียนอยู่ระดับมัธยม ซึ่งถูกครูตำหนิมาค่อนข้างแ รง โดยบอกว่าน้องเป็นเด็กหัวช้ ามีปัญหาเข้าใจอะไรยาก ทำให้เด็กสูญเสียความมั่นใจ ในตัวเอง จากเด็กที่สดใสร่าเริง กลายเป็นเด็กที่ซึมเศร้า ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่มีกำลังใจในการอ่านหนังส ือ
โค้ชฟังแล้วตกใจมาก ทำแบบนี้กับเด็กได้อย่างไร! !
ฟังดีๆนะคะ...
มนุษย์ทุกคนต้องการ "คำพูดที่ดีและเป็นบวก" เพื่อเสริมสร้างพลังและศักย ภาพของเขาให้เติบโต เหมือนต้นไม้ต้องการน้ำไปหล ่อเลี้ยงให้สดชื่น การใช้คำพูดลบๆเหมือนการเอา น้ำร้อนไปราดต้นไม้ ต้นไม้มีแต่จะเหี่ยวเฉาลงเร ื่อยๆ!!
กรุณาหยุดใช้คำพูดลบๆกับผู้ อื่นและตัวเอง โดยเฉพาะคนที่เป็นเด็ก!!
เด็กๆมีความอ่อนไหวทางจิตใจ และอารมณ์มากกว่าผู้ใหญ่ ถ้ารู้จักเชียร์อัพให้พลังเ ขา เขาก็จะเกิดความสดใส มีความเชื่อมั่นในตัวเองมาก ขึ้น แต่ถ้าไปพูดลบๆใส่เขา พลังในตัวเขาจะลดลง ความเชื่อมั่นก็จะหดตัวลงเร ื่อยๆ
พ่อแม่และครูบางคนไม่รู้วิธ ีการสร้างพลังบวกให้เด็กๆ บางคนถึงกับคิดว่าถ้าชมมากเ กินไปเดี๋ยวจะเหลิง ต้องตำหนิเยอะๆหน่อยจะได้ขย ันมากกว่าเดิม โค้ชอยากบอกว่าเป็นการเข้าใ จผิดอย่างแรง!!
สังเกตไหมคะว่า มีผู้ใหญ่หลายคนที่ซึมกะทือ ไม่มีชีวิตชีวา ดูแล้วเหมือนท่อนไม้ นั่นอาจะเป็นเพราะในวัยเด็ก เขาไม่เคยได้รับการดูแลเอาใ จใส้ ไม่เคยได้รับความรักจากคนใก ล้ชิด ไม่เคยมีใครส่งพลังบวกให้กั บเขา เขาเลยเติบโตมาเหมือนต้นไม้ แห้งๆแกนๆ
หากเรารักลูกเรา หากเรารักหลานเรา หากเรารักนักเรียนเรา กรุณาเห็นคุณค่าในตัวเด็ก เชื่อมั่นในตัวเด็กว่าเขามี ดีอยู่ในตัวเอง เพียงแต่สิ่งที่เขามีดีนั้น อาจจะไม่ได้ตรงจุดตรงใจกับท ี่พ่อแม่หรือครูอยากให้เป็น เช่น พ่อแม่บางคนหัวไปทางวิทยาศา ตร์ พอลูกชอบศิลปะก็จะไม่พอใจแล ้ว
พ่อแม่และครูมีส่วนอย่างมาก ในการสร้างพัฒนาการที่ดีให้ กับเด็กๆ
โค้ชอยากเชิญชวนให้คุณพ่อคุ ณแม่และคุณครูพาทั้งตัวเองแ ละเด็กๆมาเข้าสัมมนา "ปลุกยักษ์" ดูนะคะ โค้ชจะสอนวิธีการคิดบวก พูดบวก ทำบวก สอนวิธีการสร้างพลังให้ตัวเ องและเติมพลังให้ผู้อื่น สอนเคล็ดลับการใช้กฎแห่งแรง ดึงดูดเพื่อได้ทุกสิ่งที่ปร ารถนา สอนวิธีการโปรแกรมสมองและจิ ตใต้สำนึกใหม่ที่ทรงพลังสุด ๆๆๆ!!
คุณพ่อคุณแม่และคุณครูจะได้ รู้วิธีการสร้างพลังให้ตัวเ องและส่งพลังบวกให้กับเด็กๆ ด้วย ส่วนเด็กๆเองก็จะได้รู้วิธี การเติมพลังให้ตัวเองทุกๆวั นด้วยค่ะ
นี่คือประสบการณ์ของคุณแม่ท ่านหนึ่งพาลูกชายวัยรุ่นมา "ปลุกยักษ์" น้องเขากลับไปเป็นคนใหม่ สดใสร่าเริง มีชีวิตชีวา และขยันอ่านหนังสือมากขึ้นด ้วย!!
http://www.facebook.com/ photo.php?fbid=466614090083 531&set=a.132314420180168. 31291.126493324095611&type =1&theater
ถ้าอย่างไรก็เรียนเชิญนะคะ
ด้วยรักและปรารถนาดีสุดหัวใ จ
โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ
หมายเหตุ :
กรุงเทพ จัด "ปลุกยักษ์" วันอา.ที่ 16 มิ.ย.
9-17น. โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค
โทรติดต่อคุณปัทมาที่ 081-668-1561
เชียงใหม่ จัด "ปลุกยักษ์" วันอา.ที่ 7 ก.ค.
9-17น. โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์
โทรติดต่อคุณไก่ที่ 0909-212-353
อย่าพลาดนะคะ!
"ปลุกยักษ์" ช่วยได้เยอะมากๆๆๆจริงๆค่ะ
และมีราคาพิเศษสำหรับเด็กๆด ้วยค่ะ
ลองติดต่อสอบถามดูนะคะ
แล้วพบกันค่ะ...
วันก่อนโค้ชไปลุกยักษ์ให้ที
โค้ชฟังแล้วตกใจมาก ทำแบบนี้กับเด็กได้อย่างไร!
ฟังดีๆนะคะ...
มนุษย์ทุกคนต้องการ "คำพูดที่ดีและเป็นบวก" เพื่อเสริมสร้างพลังและศักย
กรุณาหยุดใช้คำพูดลบๆกับผู้
เด็กๆมีความอ่อนไหวทางจิตใจ
พ่อแม่และครูบางคนไม่รู้วิธ
สังเกตไหมคะว่า มีผู้ใหญ่หลายคนที่ซึมกะทือ
หากเรารักลูกเรา หากเรารักหลานเรา หากเรารักนักเรียนเรา กรุณาเห็นคุณค่าในตัวเด็ก เชื่อมั่นในตัวเด็กว่าเขามี
พ่อแม่และครูมีส่วนอย่างมาก
โค้ชอยากเชิญชวนให้คุณพ่อคุ
คุณพ่อคุณแม่และคุณครูจะได้
นี่คือประสบการณ์ของคุณแม่ท
http://www.facebook.com/
ถ้าอย่างไรก็เรียนเชิญนะคะ
ด้วยรักและปรารถนาดีสุดหัวใ
โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ
หมายเหตุ :
กรุงเทพ จัด "ปลุกยักษ์" วันอา.ที่ 16 มิ.ย.
9-17น. โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค
โทรติดต่อคุณปัทมาที่ 081-668-1561
เชียงใหม่ จัด "ปลุกยักษ์" วันอา.ที่ 7 ก.ค.
9-17น. โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์
โทรติดต่อคุณไก่ที่ 0909-212-353
อย่าพลาดนะคะ!
"ปลุกยักษ์" ช่วยได้เยอะมากๆๆๆจริงๆค่ะ
และมีราคาพิเศษสำหรับเด็กๆด
ลองติดต่อสอบถามดูนะคะ
แล้วพบกันค่ะ...
หลายคนมีความฝัน อยากเป็นเจ้าของกิจการ อยากมีอิสระ อยากเป็นนายของตัวเอง อยากรวย แล้วลาออกจากงานประจำไปทำธุ รกิจตามที่ตัวเองฝันไว้
บ้างก็ขอเงินพ่อแม่ไปลงทุน บ้างก็กู้สถาบันการเงิน บ้างก็กู้เงินนอกระบบ
แต่เชื่อไหมว่า มีหลายคนที่ล้มเหลว เจ๊งไม่เป็นท่า!!
เพราะอะไร?
เขามี "ความฝัน" เขามี "ความอยาก" แต่เขา ขาด "ความรู้ความเข้าใจ" ในการทำธุรกิจ และเขาไม่ให้ "ความสำคัญ" กับการบริหารเงิน จึงทำให้ธุรกิจไปไม่รอด!!!
ดังนั้นใครที่มีความฝัน อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ กรุณาหาความรู้ และสร้างความเข้าใจในการบริ หารธุรกิจให้ดีก่อนที่จะกระ โดดไปเปิดกิจการของตัวเอง
และขอให้เน้นการมีความรู้เร ื่อง การตลาด การขาย และการบริหารเงิน ให้มากๆๆๆๆ เพราะนี่คือหัวใจสำคัญที่จะ ทำให้ธุรกิจร่วงหรือรุ่งต่อ ไปในอนาคต!!
ด้วยรักและปรารถนาดีจากใจ
โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ
** โค้ชมีโอกาสให้คำแนะนำนักธุ รกิจหญิงท่านหนึ่ง ลองอ่านดูนะคะ
http://www.facebook.com/ photo.php?fbid=460319447379 662&set=a.132314420180168. 31291.126493324095611&type =1&theater
บ้างก็ขอเงินพ่อแม่ไปลงทุน บ้างก็กู้สถาบันการเงิน บ้างก็กู้เงินนอกระบบ
แต่เชื่อไหมว่า มีหลายคนที่ล้มเหลว เจ๊งไม่เป็นท่า!!
เพราะอะไร?
เขามี "ความฝัน" เขามี "ความอยาก" แต่เขา ขาด "ความรู้ความเข้าใจ" ในการทำธุรกิจ และเขาไม่ให้ "ความสำคัญ" กับการบริหารเงิน จึงทำให้ธุรกิจไปไม่รอด!!!
ดังนั้นใครที่มีความฝัน อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ กรุณาหาความรู้ และสร้างความเข้าใจในการบริ
และขอให้เน้นการมีความรู้เร
ด้วยรักและปรารถนาดีจากใจ
โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ
** โค้ชมีโอกาสให้คำแนะนำนักธุ
http://www.facebook.com/
ตามที่ผมได้โพสท์ไปก่อนหน้า นี้ว่าภาพนี้คือการชุมนุมคั ดค้านการรับน้องระบบโซตัสนั ้น
"เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื ่อนด้านข้อมูลของผมเอง เนื่องจากผมไม่ได้อยู่ที่มห าวิทยาลัยในขณะนี้
หากทำให้เกิดความเข้าใจผิดต ้องขออภัย มา ณ โอากาส นี้"
และผมขอประกาศจุดยืนว่าตนเอ งไม่ได้ต่อต้านการรับน้อง แต่อยากเห็นวีธีการรับน้องท ี่เปิดโอกาสให้น้อง ซึ่งจริงๆแล้วเขาคือเพื่อนใ หม่ ได้มีสิทธิและเสรีภาพ ตามระบบประชาธิปไตย ไม่ถูกปฏิบัติอย่างรุนแรงทั ้งทางร่างกายและจิตใจ
"เราเห็นด้วยว่าควรมีการจัด กิจกรรมต้อนรับเพื่อนใหม่ แต่ต้องไม่มีการบังคับขู่เข ็ญแบบ โซตัส"
ตามข้อเสนอของแถลงการณ์ "เราเห็นด้วยกับการรับน้อง"
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องถูกจัดขึ้นด้ว ยความสมัครใจระหว่างคนรับแล ะคนที่ถูกรับ
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง ส่งเสริมให้เราเข้าใจความหม ายของประชาธิปไตยและเสรีภาพ
เปิดโอกาสให้เราแสดงความคิด เห็น ให้เราวิพากษ์วิจารณ์รุ่นพี ่ได้
และให้เราเสนอแนะกิจกรรมในแ บบที่เราต้องการได้
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง มีการพูดถึงคนด้อยโอกาสในสั งคม
คนที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึ กษา
คนยากจนที่ไม่มีเงินจ่ายค่า เทอม
และไม่ตัดขาด เราออกจากความเป็นไปของโลก
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องมีการจัดกิจกร รมจิตอาสา
พาเราออกไปเก็บขยะที่ชายหาด พาเราไปเห็นความทุกข์ยากของ ชาวนาและกรรมกร
เพื่อเราจะได้รับรู้ว่างบปร ะมาณในการจัดการศึกษาในมหาว ิทยาลัยนั้น
มาจากเงินภาษีของประชาชนเหล ่านี้
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง ไม่มัวสอนว่าเรามีเลือดสีเด ียวกัน
เพราะเราคิดว่า คำสอนเหล่านี้ไม่เป็นความจร ิง
เรามีสีประจำมหาวิทยาลัยสอง สี เรามีสีประจำคณะสองสี และเรามีสีประจำภาคิชาอีกสอ งสี
ตอนนี้เรามีเลือดรวมทั้งสิ้ น 6 สีแล้ว เราจะสร้าง UNITY ได้อย่างไร
ในเมื่อเรามีเลือด 6 สี และถ้าหากเราจะมีเลือดสีเดี ยวกันจริง
ก็คงเป็นเลือด”สีแดง” ซึ่งมนุษย์ชาติทุกคนมีเลือด ”สีแดง”ร่วมกันตั้งแต่เกิด
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง สอนให้เรายอมรับความหลากหลา ยทางความคิด
สอนให้เรายอมรับความแตกต่าง ซึ่งกันและกัน
เราไม่จำเป็นต้องทำให้คนเหม ือนกันทุกอย่าง
เราควรยอมรับว่าการไม่เหมือ นกัน คือความงาม
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง มีการแนะนำให้เราขับขี่ยานพ าหนะตามกฏจราจร
ใส่หมวกกันน็อค
ให้รถในวนเวียนไปก่อน
เปิดไฟเลี้ยวก่อนเลี้ยวรถ ไม่ผ่าไฟแดง
และไม่ใช้ความเร็วเกินกำหนด
เพื่อความปลอดภัยของทั้งรุ่ นน้องและรุ่นพี่
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องอยู่บนพื้นฐาน ของความประหยัด
ถ้ารุ่นพี่ไม่เรียกเก็บเงิน จากเรามากเกินไป
เพื่อเป็นค่าเสื้อคณะบ้าง ค่าเสื้อมหาลัยบ้าง
ค่าเสื้อเอกบ้าง
(ซึ่งแต่ละตัวรุ่นกำหนดราคา แพงกว่าความเป็นจริง)
ค่าชั้นปีบ้าง และค่าอื่นๆ
ก็ในเมื่อมหาวิทยาลัยก็มีงบ ประมาณให้อยู่แล้ว
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องไม่มีการสั่งท ำโทษเราด้วยการให้ลุกนั่ง วิดพื้น
เราเชื่อมั่นว่าคนอายุ 18 ปี ที่สามารถสอบเข้าเรียนในมหา วิทยาลัยได้นั้น
มีวุฒิภาวะ และมีวิจารณญาณมากพอ
ที่จะพูดจากันด้วยเหตุผลได้ เข้าใจ
โดยที่รุ่นพี่(ระเบียบ/ พี่ว๊าก)ไม่จำเป็นต้องขึ้นเส ียง หรือ ตะคอกใส่
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องไม่มีการประนา มคนที่ไม่เข้าร่วม
ถ้าการรับน้องไม่มีการกดดัน น้องที่ไม่มาด้วยการทำโทษคน ที่มา
แล้วคนที่มาเขาจะไปมีกำลังใ จมาได้อย่างไร
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้ารุ่นพี่ปี 2 สามารถทำให้รุ่นพี่ปี 4 แต่งตัวถูกระเบียบ
เหมือนที่สั่งให้(เรา)รุ่นน ้องปี 1 แต่งตัวถูกระเบียบได้
เพราะเรารู้สึก ว่าเราถูกเลือกปฏิบัติ
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องหมายถึงการรับ เพื่อนใหม่
เราเป็นเพียงแค่คนที่โชคร้า ยเกิดหลังเราเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นระเบียบของมหาว ิทยาลัยหรือรัฐธรรมนูญ
ก็ไม่ได้อนุญาตให้คนที่โชคด ีเกิดก่อน
มีอภิสิทธิ์ที่จะแสดงพฤติกร รมหรือสั่งการต่อคนที่โชคร้ ายเกิดหลัง
ดังนั้นการรับน้องจึงควรเป็ นลักษณะการรับเพื่อนใหม่
ที่มีเป้าหมายเพื่อการแนะนำ การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย
การร่ำเรียนเพื่อแสวงหาความ ฝันของตนเอง
การตอบแทนสังคมและส่วนรวม
และเป็นการร่ำเรียนเพื่อรับ ใช้ประชาชน
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง สามารถทำให้เราตั้งคำถามกับ สิ่งที่ไม่ถูกต้อง
และกล้าที่จะคัดค้านความไม่ เป็นธรรมทั้งหลายในสังคม
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้ารุ่นพี่บอกว่า มหาลัยของเรา เป็นมหาลัยนอกระบบ หรือกำลังจะออกนอกระบบ
และบอกข้อดี ข้อเสียให้เรารู้ และให้เราตัดสินใจเอง
ว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป.... .
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง อนุญาตรุ่นเราคิดนอกกรอบ
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง ทำให้เรามีความรักมอบให้แก่ เพื่อนมนุษย์เสมอ
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง สอนให้เรายกมือไหว้พี่รปภ.ท ี่คณะ
เคารพคุณป้าแม่บ้าน และคนสวนในมหาลัย
เหมือนที่รุ่นพี่บอกให้เรา เคารพรุ่นพี่ ครูอาจารณ์ และอธิการบดี
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง ไม่พยายามสร้างค่านิยมชิงดี ชิงเด่นระหว่างคณะของเรากับ คณะอื่นๆ
ไม่พยายามสร้างความภาคภูมิใ จในมหาลัยของเรา
และดูถูกมหาลัยอื่นๆ จนหลงลืมความหมายที่แท้จริง ของการศึกษา
และแน่นอน เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องคือการเห็นคุณ ค่าของคนทุกคนเท่าเทียมกัน
“เราเอง”
คนที่เคยถูกรับน้อง และเคยเป็นคนรับน้อง
เราจึงคิดว่า "เราเห็นด้วยกับการรับน้อง ถ้า....................... ...."
Written by ปกรณ์ อารีกุล สนับสนุนการศึกษาที่เป็นธรร ม
ภาพจาก # Chutiphong Pipoppinyo
รายงานข่าวโดย Young Activist Channel (YAC)
"เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื
หากทำให้เกิดความเข้าใจผิดต
และผมขอประกาศจุดยืนว่าตนเอ
"เราเห็นด้วยว่าควรมีการจัด
ตามข้อเสนอของแถลงการณ์ "เราเห็นด้วยกับการรับน้อง"
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องถูกจัดขึ้นด้ว
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง ส่งเสริมให้เราเข้าใจความหม
เปิดโอกาสให้เราแสดงความคิด
และให้เราเสนอแนะกิจกรรมในแ
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง มีการพูดถึงคนด้อยโอกาสในสั
คนที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึ
คนยากจนที่ไม่มีเงินจ่ายค่า
และไม่ตัดขาด เราออกจากความเป็นไปของโลก
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องมีการจัดกิจกร
พาเราออกไปเก็บขยะที่ชายหาด
เพื่อเราจะได้รับรู้ว่างบปร
มาจากเงินภาษีของประชาชนเหล
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง ไม่มัวสอนว่าเรามีเลือดสีเด
เพราะเราคิดว่า คำสอนเหล่านี้ไม่เป็นความจร
เรามีสีประจำมหาวิทยาลัยสอง
ตอนนี้เรามีเลือดรวมทั้งสิ้
ในเมื่อเรามีเลือด 6 สี และถ้าหากเราจะมีเลือดสีเดี
ก็คงเป็นเลือด”สีแดง” ซึ่งมนุษย์ชาติทุกคนมีเลือด
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง สอนให้เรายอมรับความหลากหลา
สอนให้เรายอมรับความแตกต่าง
เราไม่จำเป็นต้องทำให้คนเหม
เราควรยอมรับว่าการไม่เหมือ
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง มีการแนะนำให้เราขับขี่ยานพ
ใส่หมวกกันน็อค
ให้รถในวนเวียนไปก่อน
เปิดไฟเลี้ยวก่อนเลี้ยวรถ ไม่ผ่าไฟแดง
และไม่ใช้ความเร็วเกินกำหนด
เพื่อความปลอดภัยของทั้งรุ่
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องอยู่บนพื้นฐาน
ถ้ารุ่นพี่ไม่เรียกเก็บเงิน
เพื่อเป็นค่าเสื้อคณะบ้าง ค่าเสื้อมหาลัยบ้าง
ค่าเสื้อเอกบ้าง
(ซึ่งแต่ละตัวรุ่นกำหนดราคา
ค่าชั้นปีบ้าง และค่าอื่นๆ
ก็ในเมื่อมหาวิทยาลัยก็มีงบ
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องไม่มีการสั่งท
เราเชื่อมั่นว่าคนอายุ 18 ปี ที่สามารถสอบเข้าเรียนในมหา
มีวุฒิภาวะ และมีวิจารณญาณมากพอ
ที่จะพูดจากันด้วยเหตุผลได้
โดยที่รุ่นพี่(ระเบียบ/
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องไม่มีการประนา
ถ้าการรับน้องไม่มีการกดดัน
แล้วคนที่มาเขาจะไปมีกำลังใ
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้ารุ่นพี่ปี 2 สามารถทำให้รุ่นพี่ปี 4 แต่งตัวถูกระเบียบ
เหมือนที่สั่งให้(เรา)รุ่นน
เพราะเรารู้สึก ว่าเราถูกเลือกปฏิบัติ
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องหมายถึงการรับ
เราเป็นเพียงแค่คนที่โชคร้า
ไม่ว่าจะเป็นระเบียบของมหาว
ก็ไม่ได้อนุญาตให้คนที่โชคด
มีอภิสิทธิ์ที่จะแสดงพฤติกร
ดังนั้นการรับน้องจึงควรเป็
ที่มีเป้าหมายเพื่อการแนะนำ
การร่ำเรียนเพื่อแสวงหาความ
การตอบแทนสังคมและส่วนรวม
และเป็นการร่ำเรียนเพื่อรับ
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง สามารถทำให้เราตั้งคำถามกับ
และกล้าที่จะคัดค้านความไม่
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้ารุ่นพี่บอกว่า มหาลัยของเรา เป็นมหาลัยนอกระบบ หรือกำลังจะออกนอกระบบ
และบอกข้อดี ข้อเสียให้เรารู้ และให้เราตัดสินใจเอง
ว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป....
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง อนุญาตรุ่นเราคิดนอกกรอบ
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง ทำให้เรามีความรักมอบให้แก่
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง สอนให้เรายกมือไหว้พี่รปภ.ท
เคารพคุณป้าแม่บ้าน และคนสวนในมหาลัย
เหมือนที่รุ่นพี่บอกให้เรา เคารพรุ่นพี่ ครูอาจารณ์ และอธิการบดี
เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้อง ไม่พยายามสร้างค่านิยมชิงดี
ไม่พยายามสร้างความภาคภูมิใ
และดูถูกมหาลัยอื่นๆ จนหลงลืมความหมายที่แท้จริง
และแน่นอน เราเห็นด้วยกับการรับน้อง
ถ้าการรับน้องคือการเห็นคุณ
“เราเอง”
คนที่เคยถูกรับน้อง และเคยเป็นคนรับน้อง
เราจึงคิดว่า "เราเห็นด้วยกับการรับน้อง ถ้า.......................
Written by ปกรณ์ อารีกุล สนับสนุนการศึกษาที่เป็นธรร
ภาพจาก # Chutiphong Pipoppinyo
รายงานข่าวโดย Young Activist Channel (YAC)
............................................................................................................................
............................................................................................................................
.........................................................................................................................
ขอเวลา...ซักหน่อย...
(พิมพ์ร้องไห้ผิด ใว้ค่อยมาแก้เน้อ ขออภัย)
-----------
ติดตามเรื่องราวเกร๋ๆ ของมนุษย์เงินเดือนได้ที่
https://www.facebook.com/
วันนี้มีเรื่องดีๆมาฝากเพื่ อนๆชาว Level25 ซึ่งรับรองว่าสามารถเอาไปเล ียนแบบ และใช้ได้กับทุกที่เลยจ้า
เพราะในการแข่งวิ่งระยะไกลท ี่เมืองเบอร์ยาด้า ระหว่างที่นักวิ่งผู้นำชาวเ คนย่า Mutai (อ่านว่ามูทาอิ) หลงคิดว่าตัวเองเข้าเส้นชัย ไปแล้วจึงหยุดวิ่ง
คนที่ตามมาเป็นที่สองคือ Ivan Fernandez เห็นก็เลยวิ่งเข้าไปสะกิด แล้วบอกว่านี่เข้าผิด ที่จริงยังไม่ถึงเส้นชัย ให้วิ่งต่อไปอีกหน่อย….
แล้วนาย Fernandez ก็วิ่งเหยาะตามไป ให้ Mutai เข้าเส้นชัยไปก่อน… โดยไม่ฉวยโอกาสใช้ความผิดพล าด วิ่งแซงหน้าเพื่อคว้าแชมป์
เรื่องนี้ก็เลยดังไปทั่วโลก เพราะสอนให้รู้จักน้ำใจนักก ีฬาในการแข่งขันได้เป็นอย่า งดี สื่อต่างๆก็ออกมายกย่อง Fernandez กันใหญ่เลย (ผมก็ขอยกย่องด้วยคน)
ชัยชนะไม่ใช่ทุกสิ่ง , Ivan Fernandez ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ผู้แพ้ที่ชนะใจคนทั้งโลกมัน เป็นยังไง
ปิดท้ายด้วยคำพูดเท่ห์ๆของ Fernandez ที่ให้สัมภาษณ์ทางหนังสือพิ มพ์ El Pais ไว้ว่า
“ผมไม่คู่ควรกับชัยชนะครั้ง นี้ เขาเป็นผู้ชนะแบบถูกต้อง เขาเป็นคนวิ่งทิ้งห่างผู้แข ่งคนอื่นๆ และผมคงไม่สามารถขยับแซงได้ หากเขาไม่ทำผิดพลาด ทันทีที่ผมเห็นเขาหยุด ผมรู้ทันทีว่าผมไม่ควรวิ่งแ ซง”
คลิป : http://www.youtube.com/ watch?v=vFzyz3prWgw
Dear-
เพราะในการแข่งวิ่งระยะไกลท
คนที่ตามมาเป็นที่สองคือ Ivan Fernandez เห็นก็เลยวิ่งเข้าไปสะกิด แล้วบอกว่านี่เข้าผิด ที่จริงยังไม่ถึงเส้นชัย ให้วิ่งต่อไปอีกหน่อย….
แล้วนาย Fernandez ก็วิ่งเหยาะตามไป ให้ Mutai เข้าเส้นชัยไปก่อน… โดยไม่ฉวยโอกาสใช้ความผิดพล
เรื่องนี้ก็เลยดังไปทั่วโลก
ชัยชนะไม่ใช่ทุกสิ่ง , Ivan Fernandez ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ผู้แพ้ที่ชนะใจคนทั้งโลกมัน
ปิดท้ายด้วยคำพูดเท่ห์ๆของ Fernandez ที่ให้สัมภาษณ์ทางหนังสือพิ
“ผมไม่คู่ควรกับชัยชนะครั้ง
คลิป : http://www.youtube.com/
Dear-
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น