วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

10/06/2556



คิดบวก.." ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม "..นะครับ

^_____^
.................................................................................................................................

อรชุนถือเป็นหนึ่งในวีรบุรุษผู้กล้าในมหาภารตะ เขาเป็นพ่อของอภิมันยุ เขาเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่และเป็นมือธนูที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้ เจ้าชายอย่างอรชุนจะถูกส่งไปให้พระอาจารย์ในป่าลึกขัดเกลาและสอนสั่งตั้งแต่วัยเด็ก ตอนเข้าป่า พวกเขายังเป็นเด็กน้อย แต่ตอนที่กลับออกมา พวกเขากลายเป็นผู้นำที่เก่งกล้าและมีความสามารถรอบตัว โดยทั่วไป พระอาจารย์จะเป็นทั้งนักปราชญ์ที่รอบรู้ ผู้คงแ่ก่เรียน และนักรบอันกล้าแกร่งในตัวคนเดียวกัน พระอาจารย์ของอรชุนคือโทรณาจารย์ ซึ่งถือเป็นทีุ่สุดของที่สุด

โทรณาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญการรบและเป็นผู้ฝึกสอนการยิงธนูใ้ห้แก่เจ้าชาย วันหนึ่ง เขาตัดสินใจทดสอบทักษะการยิงธนูของพวกเจ้าชาย เขานำปลาที่ทำด้วยไม้และทาสีมาวางไว้บนเสาสูงๆ จากนั้น เขาก็นำเสาดังกล่าวไปปักที่กลางบ่อน้ำตื้นๆ เขาบอกให้นักเรียนมองภาพสะท้อนของปลาในน้ำ และยิงธนูไปที่ตาปลาที่อยู่บนเสา

นักแรียนคนแรกยืนขึ้นตั้งท่า โทรณาจารย์ถามนักเรียนคนนั้นว่ามองเห็นอะไร นักเรียนตอบว่า มองเห็นพื้น น้ำ เสา และก็ปลา โทรณาจารย์ให้นักเรียนนั่งลงและบอกว่า นักเรียนคนนี้ยังไม่พร้อม โทรณาจารย์เรียกนักเรียนอีกคนยืนขึ้น พอนักเรียนตั้งท่าเตรียมพร้อม โทรณาจารย์ก็ถามนักเรียนว่ามองเห็นอะไรบ้าง นักเรียนตอบว่า เห็นน้ำ เสา และภาพสะท้อนของปลา โทรณาจารย์ให้นักเรียนนั่งลง และบอกว่า นักเรียนคนนี้ยังไม่พร้อม เขาถามเจ้าชายทีละคนว่ามองเห็นอะไรบ้าง แล้วก็บอกให้นักเรียนเหล่านี้นั่งลง ท้ายที่สุด โทรณาจารย์เรียกอรชุนให้ยืนขึ้น อรชุนตั้งท่า โทรณาจารย์ถามอรชุนว่าเห็นอะไรบ้าง อรชุนตอบกลับมาว่า เขาเห็นแต่จุดศูนย์กลางของลูกตาปลา โทรณาจารย์สั่งให้อรชุนยิงธนู อรชุนยิงธนูและลูกธนูก็ปักตรงจุดศูนย์กลางของลูกตาปลาพอดี

หลังจากแสดงความชื่นชมอรชุนแล้ว โทรณาจารย์บอกนักเรียนคนอื่นๆว่า พวกเขาไม่ผ่านการทดสอบเบื้องต้นและยังไม่พร้อมสำหรับการยิงเป้าหมาย 
"หัวใจของการยิงธนูคือการมุ่งไปที่เป้าหมาย" 
หากมือธนูไม่สามารถจดจ้องที่เป้าหมายได้ ความสำเร็จก็ไม่อาจเกิดขึ้น

นั่นคือบทเรียนที่โทรณาจารย์สอนนักเรียนในวันนั้น!
.........................................................................................................................


ตั้งแต่ผมกลับมาจากญี่ปุ่น ผมรู้ได้ทันทีว่าเมืองบางกอกไม่มีอะไรดีกว่าเลย

เคยคิดว่าเมืองที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้ามักจะสูญเสียความเอื้ออาทรต่อกัน ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีน้ำใจอะไรเทือกนั้น
เอาจริงๆแล้ว พอกลับจากญี่ปุ่นผมตาสว่างทันที เมืองบางกอกที่เราคุยโวหนักหนาเรื่อง รอยยิ้ม น้ำจิตน้ำใจ ความซื่อ ความเป็นกันเอง...บอกเลย แพ้ทุกอย่าง

คนญี่ปุ่น ผมเดินผ่านป้าๆ ชาวญี่ปุ่นซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ยิ้มให้ โค้งหลังแทบหัก หลายต่อหลายคน คนกรุงเทพยิ้มเหมือนกัน ยิ้มเรียกเงิน..
คนญี่ปุ่นแค่เดินไปถามทาง ถึงจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่โอ้โห แทบจะพาเราไปส่งถึงที่ ยังกับว่าถ้าเราไปไม่ถึงจุดหมายเป็นเรื่องผิด ถามคนกรุงเทพนะ ไม่เดินหนีก็ตอบส่งๆ
พนักงานเซเว่น แฟมิลี่มาร์ททั้งหลาย บริการเราอย่างกะราชา ไม่ปล่อยลูกค้ายืนรอพี่ๆยืนเกาตูด หรือยืนเมาท์กัน
ร้านค้าทุกร้านเห็นเราสำคัญเสมอ โดยเฉพาะเวลาทอนตังค์ เงินทอนทุกบาททุกสตางค์ให้เราเห็น กุมมือยื่นให้เลยทีเดียว คนกรุงเทพหรอ...มีเหรียญป่าวเพ่
ที่ญี่ปุ่นถังขยะหายาก แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันเก็บขยะไว้กับตัวไปทิ้งตามที่ที่มี แถมแยกขยะชัดเจน คนกรุงเทพให้แยกแม่มก็รวม
ทางม้าลายคือทางม้าลายจริงๆ ถ้ามีคนรอข้ามเค้าจะหยุดรถเสมอ เมืองบางกอกแม่มทางหมาลายมากกว่
ร้านข้าว เด็กเสริฟทุกกันยิ้มแย้ม ใส่ใจเราว่าอยากกินอะไร ตั้งใจทำให้เรา เมืองบางกอกเจอป้าตักแกงเจอไก่ แหม่ มีเขย่าจนไก่ร่วง เหลือแต่มะเขือ
ในรถโดยสาร บัส หรือว่า รถไฟ ทุกคนรักษาสิทธิของผู้อื่น ไม่มีคุยกันโหวกเหวด หรือเอาตูดหนีบเสาเหมือนคนกรุงเทพ
กล้องถ่ายรูปเผลอวางไว้ ลุกไปเข้าห้องน้ำ ในห้าง นานพอสมควรนึกได้กลับมา กล้องยังอยู่ ถ้าเป็นที่ประเทศกรุงเทพ คงเหลือแต่วิญญาณ
พนักงานขับรถโดยสาร คอยบอกตลอดว่าที่นี่สถานีไหน ขับรถปลอดภัย สุภาพทุกคน แต่งตัวดี สะอาด ในไทยนี่อยากจะถรุ๊ยย
รถเมล์ รถไฟ ตรงเวลาเสมอ ไม่มีเบี้ยว ไม่ต้องเสียความรู้สึกว่าต้องจอดเลยป้าย ก่อนป้าย หรือโบกไม่จอด
ที่ญี่ปุ่น ไฟ แดง คือ ไฟแดงจริงๆ คนกรุงเทพไฟแดงแม่มยังพุ่ง สงสัยตาบอดสี

......นี่แค่ส่วนหนึ่ง ขี้เกียจพิมพ์ละ เลิกหลอกตัวเองเถอะครับ ว่าจิตใจของคนกรุงเทพดีเลิศประเสริฐศรี เหอๆ

ประชาชนใน ประเทศกรุงเทพ ร่ายยาว
................................................................................................................


Comment เรื่อง "จำนำข้าว" การแบ่งคลัสเตอร์การผลิต

มีคนส่งบทความเรื่องจำนำข้าวมาให้ผม ก็ขอลงไว้เป็นความรู้ให้คนอื่นได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันก็แล้วกันนะครับ

--------------
นักข่าวรุมซัก "บุญทรง-ณัฐวุฒิ"จำนำข้าว ขาดทุนเท่าใดแน่ ?
วันที่ 07 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 18:57:16 น.



นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ พร้อมด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงชี้แจงเรื่องโครงการรับจำนำข้าวโดยยืนยันว่าข้อมูลที่ระบุว่าการขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวถึง 2.6 แสนล้านบาทนั้น ไม่เป็นความจริง แต่เมื่อนักข่าวซักถามว่า ขาดทุนจำนวนเท่าใดแน่ ทั้งสองรัฐมนตรีไม่สามารถให้คำตอบได้
---------------------------------------------------------------
Comment : ( innovation ) จากหัวข้อข่าว

1. การรับจำนำข้าวคือการจัด คลัสเตอร์ของการผลิต เพียงแต่ภาครัฐ ยังไม่ออกมาตรการการส่งเสริมเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนและทำให้คนทั่วไปเข้าใจมากนัก
2. การรับจำนำข้าวคือการเชื่อมโยง ต้นน้ำ ( เกษตรกร ) เข้ากับกลงน้ำ ( ซื้อ/รับจำนำและ แปรรูป ) และหาที่ระบาย ( ตลาด )
3. ถ้าจะให้มีความชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ ภาครัฐควรจะรีบเปิดเผยการจัดรูป คลัสเตอร์ผลิต ไปใช้กับทุกธัญพืชรวมทั้งการผลิตพลังงานทดแทนด้วย
4. ในโอกาสนี้ภาครัฐสมควรที่จะรณรงค์ให้คนไทยได้รู้จัก คลัสเตอร์การผลิต อย่างจริงจัง และนำมากระจายเผยแพร่ไปทั้งประเทศ เพราะ คลัสเตอร์จะเป็นการตอบโจทย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง (กระบวนการผลิที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด ) และทันกับ AEC ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558
5. คลัสเตอร์ผลิต
- เป็นกระบวนการที่ทำให้มีความสามารถลดต้นทุนการผลิต ( production cost ) เพราะจะมีการใช้วิธีการและการใช้เครื่องมือส่วนกลางร่วมกัน เพื่อการลดต้นทุน
- ทำให้เป็นการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ได้ โดยผลิตปุ๋ยเอง ลดการใช้ปุ๋ยเคมี
- ตัดพ่อค้าคนกลางออก ลดค่าใช้จ่ายส่วนที่ไม่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต เกษตรกรได้รับประโยชน์โยตรง ในปัจุบันโครงการรับจำนำข้าวจึงถูกต่อต้านจากกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์ ( กลุ่มคนที่ทำนาบนหลังคนมาอย่างยาวนาน ) อย่างรุนแรง เพราะคนกลุ่มนี้สูญเสียผลประโยชน์ที่เคยได้
6. สรุป การรับจำนำพืชผลการเกษตร คือการทำคลัสเตอร์ผลิตในขนาดใหญ
- เกษตรกรผลิต ( ต้นน้ำ )
- รัฐซื้อ / รับจำนำ เข้าระบบแล้วแปรรูป ( กลางน้ำ )
- รัฐขายผลิตัณฑ์ (ปลายน้ำ )
7. แล้วจะขาดทุนตรงไหน ในเมื่อ เกษตรกรได้ รัฐได้ ประเทศได้ ที่ออกมาปันป่วนกันอยู่เวลานี้ เพราะความลับของประเทศกำลังถูกคลี่คลายทีละเปลาะ โครงการจะขาดทุน ได้ก็ต่อเมื่อการทำงานของภาครัฐ ไม่รอบคอบเท่านั้น

8. ผลได้ของการทำคลัสเตอร์ผลิต
โครงการจะไม่ขาดทุน ถ้ามีการบริหารจัดการระบบอย่างดี (ปิดจุดอ่อน) โดยหลักการแล้วจะมีผลกำไรด้วยซ้ำเพราะ
- ราคารับจำนำ /รับซื้อพืชผล คิดราคาบนการประเมินแบบมูลค่าจริง ( Net Back Basis ) ที่สะท้อนมูลค่าของพืชผล ตามสายโซ่มูลค่าอย่างแท้จริง ณ เวลานั้น ๆ
- มีการประกัน การรับซื้อ / การรับจำนำ พืชผลทั้งหมดที่เกษตรกรผลิตได้
- สามารถควบคุม คุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้อย่างดี

หมายเหตุ :
โครงการประชานิยม คือโครงการปลดแอกให้กับคนด้อยโอกาสของไทยทั้งระบบ แท้จริงแล้วไม่ใช่ โครงการประชานิยม แต่เป็น โครงการประชาปลดแอก
กลุ่มคนที่ไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง จะออกมาต้านอย่างรุนแรง เพราะสูญเสียผลประโยชน์ส่วนตัว ด้วยการใช้วิธีการอ้างสารพัดเรื่องเพื่อล้มโครงการให้ได้ ( วิธีการแบบเดิม ๆ ) ใช้การสร้างความชอบธรรมในการล้มล้างฝ่ายตรงข้าม ด้วยการตั้งข้อหา ล้มล้างสถาบัน โกงทุจริต ฯลฯ ( อาจมีบ้าง เพราะคนก็คือคน ) และที่สำคัญคือคนกลุ่มนี้ จะใช้การจ้างวานทหารที่ละโมบ และปัญญาน้อย ๆ ไม่เข้าใจว่าผลประโยชน์ของส่วนรวมอยู่ตรงไหน ให้ออกมาทำรัฐประหารตลอด 80 ปีมานี้
รวมทั้งคนกลุ่มนี้ได้ทำการตั้งพรรคแมลงสาบเมื่อปี 2489 มาทำงานการเมือง โดยพรรคนี้มีชื่อเป็น ปชต. แต่พฤติกรรมเป็นฝ่ายล้ม ปชต. เสียเอง

9. ที่ผ่านมาสังคมไทยถูกมอมเมาได้ง่าย ๆ เพราะขาดการไตร่ตรอง คิดวิเคราะห์ ร่ำเรียนกันมาแบบท่องจำเป็นส่วนใหญ่ ไทยมีนักวิชาการในสาขาต่าง ๆ มากมาย และออกมาให้สัมภาณ์และเขียนบทความในโอกาสต่าง ๆ และถ้าพิจารณากันให้ถึงแก่นของคำให้สัมภาษณ์เหล่านั้นแล้ว ( ใช้หลักของธรรมชาติมาพิจารณา ) จะเห็นได้ว่าคนเหล่านี้ยังอ่อนหัดมาก เพราะนักวิชาการเหล่านี้ ยังไม่รู้ลึกถึงความเป็นมาของสังคมไทยด้วยซ้ำ ได้แต่เขียนออกมาตามพื้นฐานความคิดของตนเองเท่านั้น ( เมื่อเราอ่านบทสัมภาษณ์หรือบทความต่าง ๆ แล้ว เราจะรู้ได้ทันทีว่านักวิชาการเหล่านี้มีความคิดระดับไหน เป็นเหยื่อหรือเป็น นอมินีของใครหรือไม่ )
10. ยกตัวอย่างของการปลดแอกสังคมไทย ด้วยโครงการที่เรียกว่าประชานิยม ( โจมตีกัน ) เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค SME SML ฯลฯ แท้จริงแล้วโครงการเหล่านี้คือการนำเอาภาษีของทุกคนในประเทศ มาใช้ชดเชยให้กับการเอารัดเอาเปรียบของสังคมไทยที่เป็นมาอย่างยาวนานนั่นเอง โดยที่โครงการเหล่านี้จะทำให้คนไทยที่ด้อยโอกาสทั้งหลาย พอที่จะลืมตาอ้าปากได้บ้าง ซึ่งกลุ่มคนที่ไม่ต้องการให้สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างรุนแรงเพราะถ้าโครงการเหล่านี้สำเร็จแล้วละก็ จะทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีอย่างชัดเจน จนทำให้ฝ่ายที่ต้องการครอบงำเสียผลประโยชน์ที่เคยได้ไปทันที แต่ที่ผ่านมาโดยเฉพาะคนชั้นกลางของไทย ไม่ค่อยจะเข้าใจว่าโครงการแบบนี้ดีหรือไม่ดีต่อสังคม เมื่อได้รับข้อมูลของกลุ่มที่ไม่ต้องการให้สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางเหล่านี้ก็ตกเป็นเหยื่อทางความคิดได้ง่าย ๆ และด้วยเหตุดังกล่าว ณ เวลานี้ประเทศไทยจึงกลายเป็นการต่อสู้ทางความคิดของคนสองกลุ่มเท่านั้น ( สงครามทางความคิด )
- ฝ่ายหนึ่งต้องการให้คงสภาพสังคมให้เป็นเหยื่อของตนต่อไป
- ฝ่ายหนึ่งต้องการฉุดให้สังคมหลุดพ้นจากหล่ม ที่จมปลักมานาน
ณ ปัจจุบัน การต่อสู้ดังกล่าวมีความแหลมคมมาก มีการใช้กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดมากมายและเข้มข้น ( ดูว่าใครจะฉลาดกว่ากัน ) แต่มีเพียงไม่กี่คนในประเทศนี้ที่รู้เรื่องราวและอ่านได้ตลอด

Innovation thinking , 2013

Supapong Wanitpongpan จากคอมเมนต์: คุณThai Farmer's Son 

เรื่อง คลัสเตอร์การผลิต ผมก็เห็นด้วยนะครับ โดยให้มีการบริหารจัดการคลัสเตอร์ที่ดี ก็เป็นแนวคิดที่ดี
ที่จริงนักวิชาการเกษตร ที่ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์จะมีความคิดแค่ "ลดต้นทุนการผลิต" หรือ "เพิ่มผลผลิต" ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่
ดี ควรสนับสนุนให้ทำ

แต่การลดต้นทุน การเพิ่มผลผลิตนั้น ไม่สามารถทำให้เกษตรกรอยู่ดีกินดีได้ทั้งหมด เพราะสิ่งที่สำคัญในโลกทุนนิยมคือ

"อำนาจของตลาด"

ไม่ว่าเราจะลดต้นทุน หรือ เพิ่มผลผลิตอย่างไร หากราคาผลผลิตมันตกลงอย่างรวดเร็ว ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต สุดท้ายเกษตรกรก็เจ๊งอยู่ดี ในโลกทุนนิยม เราจึงไม่อาจประมาทอำนาจของตลาดไปได้

ก็เหมือนเรื่องข้าว ทั้งๆ ที่ตลาดข้าวเป็นตลาด "ผู้ขายน้อยราย หรือที่เรียกว่า Oligopoly" ไม่ต่างจากตลาดน้ำมัน แต่ว่า อำนาจของตลาดกลับกลายเป็นอำนาจของผู้ซื้อ ไม่ใช่อำนาจของผู้ผลิต ประเทศไทยที่ส่งออกรายใหญ่ของโลก กลับไม่สามารถกำหนดราคาอะไรได้เลย ทั้งๆ ที่ประเทศผู้ซื้อข้าว ก็ไม่ใช่มหาอำนาจแต่อย่างใด ไม่ได้มีอำนาจครอบงำเหนือตลาดอะไรมากนัก

ปัญหาของตลาดข้าว มันจึงอยู่ที่ "พ่อค้าส่งออก" ที่แย่งกันตัดราคา แล้วไป "กดราคารับซื้อผลผลิต" จากเกษตรกรรายย่อย ก็คือชาวนาไทยต่างๆ ที่ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ในตลาดเลย "พ่อค้าส่งออก" ก็ไปตัดราคากันเองในตลาดโลก ได้ออเดอร์ข้าวมา ก็เอาไปกดราคาเกษตรกรอีกต่อหนึ่ง

ความผิดปกติของตลาดข้าว จึงอยู่ที่ "ระบบการส่งออก" ที่มีพ่อค้าส่งออกที่ทำลายผู้ผลิตของตัวเองนั่นเอง

สมมุติว่า "ผู้ผลิตข้าวไทย" เป็น ฟาร์มขนาดใหญ่ทั้งหมด อำนาจของผู้ผลิตมีมากในการครอบงำตลาด ราคาข้าวก็ไม่ตกต่ำขนาดนี้ อำนาจต่อรองของผู้ผลิตย่อมมีสูง

แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดกับประเทศไทยแน่นอน เพราะเรายังมีคนอยู่ในภาคเกษตรกรรม 50% คือ มีคนเป็นชาวนา 12-15 ล้านคน ที่มีมูลค่าของผลผลิตเพียง (GDP ข้าว) 300,000 ล้านบาท ที่ต้องแบ่งกันเท่านั้น รายได้เขาจึงต่ำ คุณภาพชีวิตจึงแย่ การรวมเป็นนาขนาดใหญ่จึงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ยกเว้นว่าเราจะเปลี่ยนชาวนาเหล่านี้เป็น "ผู้ใช้แรงงานในโรงงานหรือเป็นคนงานปกขาวได้เกินครึ่งก่อน"

การเข้ามารับซื้อข้าว ทั้งหมดจากรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว แบบที่นายกฯปู ทำ และให้ราคาที่สูง เงินถึงมือเกษตรกรโดยตรง จึงเป็น "การเพิ่มรายได้ให้ชาวนาโดยตรง" หากพูดตรงๆ คือ เพิ่ม GDP การผลิตข้าว ที่แบ่งกัน 12-15 ล้านคนอย่างเป็นจริงเป็นจัง อย่างน้อยก็เพิ่มทันที 1-2 แสนล้านบาท

มันจึงเป็นคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ในการจัดระบบตลาดให้ "ผลประโยชน์ถึงชาวนาโดยตรง"

แม้ว่ารัฐอาจขาดทุน 200,000 ล้านบาท (ซึ่งจริงๆ ไม่ถึง) แต่เงินตรงนี้เหมือนการ "แบ่งเค็ก" ให้คน 12-15 ล้านคน ได้กินเค็กมากขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ความสุขมวลรวมของสังคมย่อมดีขึ้น

การเข้ามาจัดการตลาดของ นายกฯปู ในโครงการจำนำข้าว ถึงว่าเป็น "การปฎิวัติตลาดข้าว" ยึดอำนาจจากพ่อค้าส่งออก มาจัดการผลประโยชน์ให้ชาวนาเอง

นี่คือ "ความยิ่งใหญ่ที่นายกฯปู" ได้ทำให้กับชาวนา 12-15 ล้านคน
....................................................................................................


» "สนิมชีวิต" โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์

"ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อธิการบดีกล่าวในการประชุมคณาจารย์ว่า ต้องใส่ใจดูแลลูกศิษย์ให้ดี เพราะ...

• ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 100% จะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับประเทศ
• ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 80% ก็จะได้เป็นครูบาอาจารย์
• ผู้ที่สอบตกได้คะแนนต่ำกว่า 50% ก็จะกลายเป็นคนร่ำรวยกลับมาช่วยเหลือสนับสนุนมหาวิทยาลัย
• ลูกศิษย์ที่โกงข้อสอบก็อย่าไปเอาเรื่องเขา เพราะต่อไปพวกเขาจะเติบโตไปเป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่
• ลูกศิษย์ที่เรียนไม่จบแล้วลาออกไปก่อนก็ต้องให้เกียรติอย่างเต็มที่ เพราะพวกเขาจะกลายเป็นบิล เกตต์ และสตีฟ จ๊อบส์ในอนาคต!"

(เรื่องขำขันเสียดสี...จากอินเตอร์เน็ตจีน)

::::::::::::::::::


เรื่องเล่าข้างต้นนี้ เมื่ออ่านจบแล้วคงต้องใช้สำนวนกำลังภายในบรรยายความรู้สึกว่า "หัวร่อมิออก ร่ำไห้มิได้"

เพราะเป็นเรื่องขบขันที่ชวนขมขื่นยิ่งนัก ที่ระบบการศึกษาไม่สามารถสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพสมกับการลงทุนและเวลาที่เสียไป

คนที่เรียนจนจบปริญญาตรีต่อปริญญาโท ตามด้วยปริญญาเอก จนมีคำว่าดอกเตอร์นำหน้าชื่อ แต่ปรากฏว่ายิ่งเรียนสูงเท่าใดยิ่งห่างไกลจากการเป็น "ผู้สร้างธุรกิจ"

ไม่เชื่อก็ลองสืบค้นดูประวัติของนักธุรกิจใหญ่ระดับแนวหน้าในประเทศไทย ก็จะพบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้มีใบปริญญาหรือร่ำเรียนสูงสักเท่าไร

ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่า คนที่ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งหลงตัวเองว่ามีความรู้ความสามารถเกินกว่าปรกติ ถ้าจบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงก็ยิ่งจะอาการหนักมากขึ้น

เห็นแต่ความสำคัญของตนเองมากกว่าคุณค่าของผู้อื่น ภาษาชาวบ้านเรียกอาการนี้ว่า "อีโก้จัด" แต่ผมอยากเรียกว่าเป็นอาการ "สนิมจับ" น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า

สนิมนี้คือ "สนิมชีวิต" ที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างการเติบโตในชีวิตของแต่ละคน เมื่อมีสถานะที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฐานะการเงิน วุฒิการศึกษา ตำแหน่งทางวิชาการหรือ
ตำแหน่งบริหารในองค์กร

ก็จะมีลูกน้องหรือผู้หวังจะได้ประโยชน์มาห้อมล้อมและแซ่ซ้องสรรเสริญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งเรื่องที่ถูกยกยอปอปั้นนั้นก็มีทั้งจริงบ้างเท็จบ้าง แต่ผู้ถูกสรรเสริญก็จะชอบฟังทั้งจริงทั้งเท็จ เพราะฟังแล้วไพเราะเพราะพริ้งยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบ

กระบวนการเหล่านี้ เสมือนน้ำบวกอากาศที่ก่อให้เกิดสนิมกัดกร่อนเนื้อเหล็กเพิ่มขึ้นตลอดเวลา นานวันเข้าสนิมก็พอกพูนจนบดบังเนื้อแท้จนหมดสิ้น

เหล็กเองก็เริ่มมองไม่เห็นตัวเองและโลกที่แท้จริง จึงปล่อยตัวเองถลำลึกสู่ความเสื่อมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

::::::::::::::::::


ถ้าบุคคลที่สนิมชีวิตจับเขรอะเช่นนี้ยังมีบุญอยู่ เขาก็จะยังเสวยสุขต่อไปได้อีกระยะ ยังสามารถขยายอาณาจักรเพิ่มเติมไปได้ด้วยพลังที่เหลืออยู่

จนถึงวันที่เขารู้สึกว่าถูกใครขัดใจไม่ได้อีกต่อไป ถ้าใครขวางทางของเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือเจตนาอย่างไร เขาก็จะบันดาลโทสะและถือผู้นั้นเป็นศัตรูที่ต้องตอบแทนให้สาสม

เขาจึงบ่มเพาะศัตรูเพิ่มขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งหายนะมาเยือน

ดังนั้น ผู้ที่มีธรรมะเป็นหลักในชีวิต จึงต้องหมั่นฝึกจิตให้รู้เท่าทันอยู่เสมอ อาจต้องพกกระดาษทรายติดตัวไว้เตือนสติตนเองว่า พร้อมจะขัดถูสนิมที่เกิดขึ้นตลอดเวลาด้วยความไม่ประมาท

เมื่อใด ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักไม่ธรรมดา ก็จงมองไปยังบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะได้เห็นว่าเรายังห่างไกลจากท่านเหล่านั้นเหลือเกิน

มองตัวเองให้เห็นเป็นเหมือนมดเล็ก ๆ ตัวหนึ่งท่ามกลางมดเป็นล้าน ๆ ตัว ไม่ได้มีความสำคัญยิ่งใหญ่อะไรเลย

เพราะถ้าเทียบกับโลกและจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ตัวเราก็เล็กกว่าฝุ่นละออง เป็นเพียงเศษธุลีบนดาวเคราะห์ดวงนี้เท่านั้น

และหากจะเปรียบกับความยืนยาวของประวัติศาสตร์หรืออายุของกาแล็คซี่ ชีวิตหนึ่งของเรานี้ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยววินาทีเท่านั้

::::::::::::::::::


เมื่อตระหนักในสัจธรรมดังกล่าว... เราจึงพึงให้เกียรติเพื่อนมนุษย์เสมอหน้ากันไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือตำแหน่งสูงต่ำอย่างไรก็ตาม ล้วนสมควรได้รับการปฏิบัติจากเราด้วยความสุภาพอ่อนโยนเฉกเช่นเดียวกัน โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ

เพราะโดยแก่นแท้แล้ว... เราทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมที่กำลังกระเสือกกระสนอยู่ในกระแสแห่งวัฏสงสารด้วยกันทั้งสิ้น

ชีวิตที่ปราศจากสนิม จะเป็นชีวิตที่สวยงามและแข็งแกร่งไม่ผุกร่อนโดยง่าย สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงจนกว่าจะก้าวลงจากเวทีอย่างสง่างาม

ไม่ต้องสะดุดหกล้มหัวคะมำกลางเวทีให้ผู้คนสมน้ำหน้า ก่อนที่ละครชีวิตจะปิดฉากลง...

::::::::::::::::::


Credit : ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ - CEO ซีพี ออลล์
 
........................................................................................................................



Friday is a love story.
..........................................................................................................................



And you, human find me bigger.
........................................................................................................................

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ: "อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์"

http://prachatai.com/journal/2008/08/17877
........................................................................................................................

Education System in Thailand: A Terrible Failure in S.E. Asia
http://ireport.cnn.com/docs/DOC-985267
...........................................................................................................................


.................................................................................................................................

Painting on trees!


An art student Wang yue 23 years old, in China started painting the hole on tree trunks since Febraury,2013 till now she painted on eleven tree trunks. Posted by Catalina Ochoa U
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.547406458627798.1073741898.224132780955169&type=1
.................................................................................................................................

...............................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น