คิดบวก.." ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม "..นะครับ
^_____^
อรชุนถือเป็นหนึ่งในวีรบุรุษผู้กล้าในมหาภารตะ เขาเป็นพ่อของอภิมันยุ เขาเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่และเป็นมือธนูที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้ เจ้าชายอย่างอรชุนจะถูกส่งไปให้พระอาจารย์ในป่าลึกขัดเกลาและสอนสั่งตั้งแต่วัยเด็ก ตอนเข้าป่า พวกเขายังเป็นเด็กน้อย แต่ตอนที่กลับออกมา พวกเขากลายเป็นผู้นำที่เก่งกล้าและมีความสามารถรอบตัว โดยทั่วไป พระอาจารย์จะเป็นทั้งนักปราชญ์ที่รอบรู้ ผู้คงแ่ก่เรียน และนักรบอันกล้าแกร่งในตัวคนเดียวกัน พระอาจารย์ของอรชุนคือโทรณาจารย์ ซึ่งถือเป็นทีุ่สุดของที่สุด
โทรณาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญการรบและเป็นผู้ฝึกสอนการยิงธนูใ้ห้แก่เจ้าชาย วันหนึ่ง เขาตัดสินใจทดสอบทักษะการยิงธนูของพวกเจ้าชาย เขานำปลาที่ทำด้วยไม้และทาสีมาวางไว้บนเสาสูงๆ จากนั้น เขาก็นำเสาดังกล่าวไปปักที่กลางบ่อน้ำตื้นๆ เขาบอกให้นักเรียนมองภาพสะท้อนของปลาในน้ำ และยิงธนูไปที่ตาปลาที่อยู่บนเสา
นักแรียนคนแรกยืนขึ้นตั้งท่า โทรณาจารย์ถามนักเรียนคนนั้นว่ามองเห็นอะไร นักเรียนตอบว่า มองเห็นพื้น น้ำ เสา และก็ปลา โทรณาจารย์ให้นักเรียนนั่งลงและบอกว่า นักเรียนคนนี้ยังไม่พร้อม โทรณาจารย์เรียกนักเรียนอีกคนยืนขึ้น พอนักเรียนตั้งท่าเตรียมพร้อม โทรณาจารย์ก็ถามนักเรียนว่ามองเห็นอะไรบ้าง นักเรียนตอบว่า เห็นน้ำ เสา และภาพสะท้อนของปลา โทรณาจารย์ให้นักเรียนนั่งลง และบอกว่า นักเรียนคนนี้ยังไม่พร้อม เขาถามเจ้าชายทีละคนว่ามองเห็นอะไรบ้าง แล้วก็บอกให้นักเรียนเหล่านี้นั่งลง ท้ายที่สุด โทรณาจารย์เรียกอรชุนให้ยืนขึ้น อรชุนตั้งท่า โทรณาจารย์ถามอรชุนว่าเห็นอะไรบ้าง อรชุนตอบกลับมาว่า เขาเห็นแต่จุดศูนย์กลางของลูกตาปลา โทรณาจารย์สั่งให้อรชุนยิงธนู อรชุนยิงธนูและลูกธนูก็ปักตรงจุดศูนย์กลางของลูกตาปลาพอดี
หลังจากแสดงความชื่นชมอรชุนแล้ว โทรณาจารย์บอกนักเรียนคนอื่นๆว่า พวกเขาไม่ผ่านการทดสอบเบื้องต้นและยังไม่พร้อมสำหรับการยิงเป้าหมาย
"หัวใจของการยิงธนูคือการมุ่งไปที่เป้าหมาย"
หากมือธนูไม่สามารถจดจ้องที่เป้าหมายได้ ความสำเร็จก็ไม่อาจเกิดขึ้น
นั่นคือบทเรียนที่โทรณาจารย์สอนนักเรียนในวันนั้น!
.........................................................................................................................
................................................................................................................
Supapong Wanitpongpan จากคอมเมนต์: คุณThai Farmer's Son
เรื่อง คลัสเตอร์การผลิต ผมก็เห็นด้วยนะครับ โดยให้มีการบริหารจัดการคลัสเตอร์ที่ดี ก็เป็นแนวคิดที่ดี
ที่จริงนักวิชาการเกษตร ที่ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์จะมีความคิดแค่ "ลดต้นทุนการผลิต" หรือ "เพิ่มผลผลิต" ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่ดี ควรสนับสนุนให้ทำ
แต่การลดต้นทุน การเพิ่มผลผลิตนั้น ไม่สามารถทำให้เกษตรกรอยู่ดีกินดีได้ทั้งหมด เพราะสิ่งที่สำคัญในโลกทุนนิยมคือ
"อำนาจของตลาด"
ไม่ว่าเราจะลดต้นทุน หรือ เพิ่มผลผลิตอย่างไร หากราคาผลผลิตมันตกลงอย่างรวดเร็ว ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต สุดท้ายเกษตรกรก็เจ๊งอยู่ดี ในโลกทุนนิยม เราจึงไม่อาจประมาทอำนาจของตลาดไปได้
ก็เหมือนเรื่องข้าว ทั้งๆ ที่ตลาดข้าวเป็นตลาด "ผู้ขายน้อยราย หรือที่เรียกว่า Oligopoly" ไม่ต่างจากตลาดน้ำมัน แต่ว่า อำนาจของตลาดกลับกลายเป็นอำนาจของผู้ซื้อ ไม่ใช่อำนาจของผู้ผลิต ประเทศไทยที่ส่งออกรายใหญ่ของโลก กลับไม่สามารถกำหนดราคาอะไรได้เลย ทั้งๆ ที่ประเทศผู้ซื้อข้าว ก็ไม่ใช่มหาอำนาจแต่อย่างใด ไม่ได้มีอำนาจครอบงำเหนือตลาดอะไรมากนัก
ปัญหาของตลาดข้าว มันจึงอยู่ที่ "พ่อค้าส่งออก" ที่แย่งกันตัดราคา แล้วไป "กดราคารับซื้อผลผลิต" จากเกษตรกรรายย่อย ก็คือชาวนาไทยต่างๆ ที่ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ในตลาดเลย "พ่อค้าส่งออก" ก็ไปตัดราคากันเองในตลาดโลก ได้ออเดอร์ข้าวมา ก็เอาไปกดราคาเกษตรกรอีกต่อหนึ่ง
ความผิดปกติของตลาดข้าว จึงอยู่ที่ "ระบบการส่งออก" ที่มีพ่อค้าส่งออกที่ทำลายผู้ผลิตของตัวเองนั่นเอง
สมมุติว่า "ผู้ผลิตข้าวไทย" เป็น ฟาร์มขนาดใหญ่ทั้งหมด อำนาจของผู้ผลิตมีมากในการครอบงำตลาด ราคาข้าวก็ไม่ตกต่ำขนาดนี้ อำนาจต่อรองของผู้ผลิตย่อมมีสูง
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดกับประเทศไทยแน่นอน เพราะเรายังมีคนอยู่ในภาคเกษตรกรรม 50% คือ มีคนเป็นชาวนา 12-15 ล้านคน ที่มีมูลค่าของผลผลิตเพียง (GDP ข้าว) 300,000 ล้านบาท ที่ต้องแบ่งกันเท่านั้น รายได้เขาจึงต่ำ คุณภาพชีวิตจึงแย่ การรวมเป็นนาขนาดใหญ่จึงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ยกเว้นว่าเราจะเปลี่ยนชาวนาเหล่านี้เป็น "ผู้ใช้แรงงานในโรงงานหรือเป็นคนงานปกขาวได้เกินครึ่งก่อน"
การเข้ามารับซื้อข้าว ทั้งหมดจากรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว แบบที่นายกฯปู ทำ และให้ราคาที่สูง เงินถึงมือเกษตรกรโดยตรง จึงเป็น "การเพิ่มรายได้ให้ชาวนาโดยตรง" หากพูดตรงๆ คือ เพิ่ม GDP การผลิตข้าว ที่แบ่งกัน 12-15 ล้านคนอย่างเป็นจริงเป็นจัง อย่างน้อยก็เพิ่มทันที 1-2 แสนล้านบาท
มันจึงเป็นคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ในการจัดระบบตลาดให้ "ผลประโยชน์ถึงชาวนาโดยตรง"
แม้ว่ารัฐอาจขาดทุน 200,000 ล้านบาท (ซึ่งจริงๆ ไม่ถึง) แต่เงินตรงนี้เหมือนการ "แบ่งเค็ก" ให้คน 12-15 ล้านคน ได้กินเค็กมากขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ความสุขมวลรวมของสังคมย่อมดีขึ้น
การเข้ามาจัดการตลาดของ นายกฯปู ในโครงการจำนำข้าว ถึงว่าเป็น "การปฎิวัติตลาดข้าว" ยึดอำนาจจากพ่อค้าส่งออก มาจัดการผลประโยชน์ให้ชาวนาเอง
นี่คือ "ความยิ่งใหญ่ที่นายกฯปู" ได้ทำให้กับชาวนา 12-15 ล้านคน
เรื่อง คลัสเตอร์การผลิต ผมก็เห็นด้วยนะครับ โดยให้มีการบริหารจัดการคลัสเตอร์ที่ดี ก็เป็นแนวคิดที่ดี
ที่จริงนักวิชาการเกษตร ที่ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์จะมีความคิดแค่ "ลดต้นทุนการผลิต" หรือ "เพิ่มผลผลิต" ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่ดี ควรสนับสนุนให้ทำ
แต่การลดต้นทุน การเพิ่มผลผลิตนั้น ไม่สามารถทำให้เกษตรกรอยู่ดีกินดีได้ทั้งหมด เพราะสิ่งที่สำคัญในโลกทุนนิยมคือ
"อำนาจของตลาด"
ไม่ว่าเราจะลดต้นทุน หรือ เพิ่มผลผลิตอย่างไร หากราคาผลผลิตมันตกลงอย่างรวดเร็ว ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต สุดท้ายเกษตรกรก็เจ๊งอยู่ดี ในโลกทุนนิยม เราจึงไม่อาจประมาทอำนาจของตลาดไปได้
ก็เหมือนเรื่องข้าว ทั้งๆ ที่ตลาดข้าวเป็นตลาด "ผู้ขายน้อยราย หรือที่เรียกว่า Oligopoly" ไม่ต่างจากตลาดน้ำมัน แต่ว่า อำนาจของตลาดกลับกลายเป็นอำนาจของผู้ซื้อ ไม่ใช่อำนาจของผู้ผลิต ประเทศไทยที่ส่งออกรายใหญ่ของโลก กลับไม่สามารถกำหนดราคาอะไรได้เลย ทั้งๆ ที่ประเทศผู้ซื้อข้าว ก็ไม่ใช่มหาอำนาจแต่อย่างใด ไม่ได้มีอำนาจครอบงำเหนือตลาดอะไรมากนัก
ปัญหาของตลาดข้าว มันจึงอยู่ที่ "พ่อค้าส่งออก" ที่แย่งกันตัดราคา แล้วไป "กดราคารับซื้อผลผลิต" จากเกษตรกรรายย่อย ก็คือชาวนาไทยต่างๆ ที่ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ในตลาดเลย "พ่อค้าส่งออก" ก็ไปตัดราคากันเองในตลาดโลก ได้ออเดอร์ข้าวมา ก็เอาไปกดราคาเกษตรกรอีกต่อหนึ่ง
ความผิดปกติของตลาดข้าว จึงอยู่ที่ "ระบบการส่งออก" ที่มีพ่อค้าส่งออกที่ทำลายผู้ผลิตของตัวเองนั่นเอง
สมมุติว่า "ผู้ผลิตข้าวไทย" เป็น ฟาร์มขนาดใหญ่ทั้งหมด อำนาจของผู้ผลิตมีมากในการครอบงำตลาด ราคาข้าวก็ไม่ตกต่ำขนาดนี้ อำนาจต่อรองของผู้ผลิตย่อมมีสูง
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดกับประเทศไทยแน่นอน เพราะเรายังมีคนอยู่ในภาคเกษตรกรรม 50% คือ มีคนเป็นชาวนา 12-15 ล้านคน ที่มีมูลค่าของผลผลิตเพียง (GDP ข้าว) 300,000 ล้านบาท ที่ต้องแบ่งกันเท่านั้น รายได้เขาจึงต่ำ คุณภาพชีวิตจึงแย่ การรวมเป็นนาขนาดใหญ่จึงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ยกเว้นว่าเราจะเปลี่ยนชาวนาเหล่านี้เป็น "ผู้ใช้แรงงานในโรงงานหรือเป็นคนงานปกขาวได้เกินครึ่งก่อน"
การเข้ามารับซื้อข้าว ทั้งหมดจากรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว แบบที่นายกฯปู ทำ และให้ราคาที่สูง เงินถึงมือเกษตรกรโดยตรง จึงเป็น "การเพิ่มรายได้ให้ชาวนาโดยตรง" หากพูดตรงๆ คือ เพิ่ม GDP การผลิตข้าว ที่แบ่งกัน 12-15 ล้านคนอย่างเป็นจริงเป็นจัง อย่างน้อยก็เพิ่มทันที 1-2 แสนล้านบาท
มันจึงเป็นคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ในการจัดระบบตลาดให้ "ผลประโยชน์ถึงชาวนาโดยตรง"
แม้ว่ารัฐอาจขาดทุน 200,000 ล้านบาท (ซึ่งจริงๆ ไม่ถึง) แต่เงินตรงนี้เหมือนการ "แบ่งเค็ก" ให้คน 12-15 ล้านคน ได้กินเค็กมากขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ความสุขมวลรวมของสังคมย่อมดีขึ้น
การเข้ามาจัดการตลาดของ นายกฯปู ในโครงการจำนำข้าว ถึงว่าเป็น "การปฎิวัติตลาดข้าว" ยึดอำนาจจากพ่อค้าส่งออก มาจัดการผลประโยชน์ให้ชาวนาเอง
นี่คือ "ความยิ่งใหญ่ที่นายกฯปู" ได้ทำให้กับชาวนา 12-15 ล้านคน
» "สนิมชีวิต" โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
"ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อธิการบดีกล่าวในการประชุมค ณาจารย์ว่า ต้องใส่ใจดูแลลูกศิษย์ให้ดี เพราะ...
• ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 100% จะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ระ ดับประเทศ
• ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 80% ก็จะได้เป็นครูบาอาจารย์
• ผู้ที่สอบตกได้คะแนนต่ำกว่า 50% ก็จะกลายเป็นคนร่ำรวยกลับมา ช่วยเหลือสนับสนุนมหาวิทยาล ัย
• ลูกศิษย์ที่โกงข้อสอบก็อย่า ไปเอาเรื่องเขา เพราะต่อไปพวกเขาจะเติบโตไป เป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่
• ลูกศิษย์ที่เรียนไม่จบแล้วล าออกไปก่อนก็ต้องให้เกียรติ อย่างเต็มที่ เพราะพวกเขาจะกลายเป็นบิล เกตต์ และสตีฟ จ๊อบส์ในอนาคต!"
(เรื่องขำขันเสียดสี...จากอ ินเตอร์เน็ตจีน)
::::::::::::::::::
เรื่องเล่าข้างต้นนี้ เมื่ออ่านจบแล้วคงต้องใช้สำ นวนกำลังภายในบรรยายความรู้ สึกว่า "หัวร่อมิออก ร่ำไห้มิได้"
เพราะเป็นเรื่องขบขันที่ชวน ขมขื่นยิ่งนัก ที่ระบบการศึกษาไม่สามารถสร ้างบุคลากรที่มีคุณภาพสมกับ การลงทุนและเวลาที่เสียไป
คนที่เรียนจนจบปริญญาตรีต่อ ปริญญาโท ตามด้วยปริญญาเอก จนมีคำว่าดอกเตอร์นำหน้าชื่ อ แต่ปรากฏว่ายิ่งเรียนสูงเท่ าใดยิ่งห่างไกลจากการเป็น "ผู้สร้างธุรกิจ"
ไม่เชื่อก็ลองสืบค้นดูประวั ติของนักธุรกิจใหญ่ระดับแนว หน้าในประเทศไทย ก็จะพบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้มีใ บปริญญาหรือร่ำเรียนสูงสักเ ท่าไร
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่า คนที่ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งหลง ตัวเองว่ามีความรู้ความสามา รถเกินกว่าปรกติ ถ้าจบจากสถาบันที่มีชื่อเสี ยงก็ยิ่งจะอาการหนักมากขึ้น
เห็นแต่ความสำคัญของตนเองมา กกว่าคุณค่าของผู้อื่น ภาษาชาวบ้านเรียกอาการนี้ว่ า "อีโก้จัด" แต่ผมอยากเรียกว่าเป็นอาการ "สนิมจับ" น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า
สนิมนี้คือ "สนิมชีวิต" ที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างการเติบโต ในชีวิตของแต่ละคน เมื่อมีสถานะที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฐานะการเงิน วุฒิการศึกษา ตำแหน่งทางวิชาการหรือ
ตำแหน่งบริหารในองค์กร
ก็จะมีลูกน้องหรือผู้หวังจะ ได้ประโยชน์มาห้อมล้อมและแซ ่ซ้องสรรเสริญอยู่ทุกเมื่อเ ชื่อวัน ซึ่งเรื่องที่ถูกยกยอปอปั้น นั้นก็มีทั้งจริงบ้างเท็จบ้ าง แต่ผู้ถูกสรรเสริญก็จะชอบฟั งทั้งจริงทั้งเท็จ เพราะฟังแล้วไพเราะเพราะพริ ้งยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบ
กระบวนการเหล่านี้ เสมือนน้ำบวกอากาศที่ก่อให้ เกิดสนิมกัดกร่อนเนื้อเหล็ก เพิ่มขึ้นตลอดเวลา นานวันเข้าสนิมก็พอกพูนจนบด บังเนื้อแท้จนหมดสิ้น
เหล็กเองก็เริ่มมองไม่เห็นต ัวเองและโลกที่แท้จริง จึงปล่อยตัวเองถลำลึกสู่ควา มเสื่อมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
::::::::::::::::::
ถ้าบุคคลที่สนิมชีวิตจับเขร อะเช่นนี้ยังมีบุญอยู่ เขาก็จะยังเสวยสุขต่อไปได้อ ีกระยะ ยังสามารถขยายอาณาจักรเพิ่ม เติมไปได้ด้วยพลังที่เหลืออ ยู่
จนถึงวันที่เขารู้สึกว่าถูก ใครขัดใจไม่ได้อีกต่อไป ถ้าใครขวางทางของเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือเจตน าอย่างไร เขาก็จะบันดาลโทสะและถือผู้ นั้นเป็นศัตรูที่ต้องตอบแทน ให้สาสม
เขาจึงบ่มเพาะศัตรูเพิ่มขึ้ นทุกขณะ จนกระทั่งหายนะมาเยือน
ดังนั้น ผู้ที่มีธรรมะเป็นหลักในชีว ิต จึงต้องหมั่นฝึกจิตให้รู้เท ่าทันอยู่เสมอ อาจต้องพกกระดาษทรายติดตัวไ ว้เตือนสติตนเองว่า พร้อมจะขัดถูสนิมที่เกิดขึ้ นตลอดเวลาด้วยความไม่ประมาท
เมื่อใด ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชัก ไม่ธรรมดา ก็จงมองไปยังบุคคลผู้ยิ่งให ญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะได้เห็นว่าเรายังห่างไกลจ ากท่านเหล่านั้นเหลือเกิน
มองตัวเองให้เห็นเป็นเหมือน มดเล็ก ๆ ตัวหนึ่งท่ามกลางมดเป็นล้าน ๆ ตัว ไม่ได้มีความสำคัญยิ่งใหญ่อ ะไรเลย
เพราะถ้าเทียบกับโลกและจักร วาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ตัวเราก็เล็กกว่าฝุ่นละออง เป็นเพียงเศษธุลีบนดาวเคราะ ห์ดวงนี้เท่านั้น
และหากจะเปรียบกับความยืนยา วของประวัติศาสตร์หรืออายุข องกาแล็คซี่ ชีวิตหนึ่งของเรานี้ก็เป็นเ พียงเศษเสี้ยววินาทีเท่านั้ น
::::::::::::::::::
เมื่อตระหนักในสัจธรรมดังกล ่าว... เราจึงพึงให้เกียรติเพื่อนม นุษย์เสมอหน้ากันไม่ว่าจะอย ู่ในฐานะหรือตำแหน่งสูงต่ำอ ย่างไรก็ตาม ล้วนสมควรได้รับการปฏิบัติจ ากเราด้วยความสุภาพอ่อนโยนเ ฉกเช่นเดียวกัน โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ
เพราะโดยแก่นแท้แล้ว... เราทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วม ชะตากรรมที่กำลังกระเสือกกร ะสนอยู่ในกระแสแห่งวัฏสงสาร ด้วยกันทั้งสิ้น
ชีวิตที่ปราศจากสนิม จะเป็นชีวิตที่สวยงามและแข็ งแกร่งไม่ผุกร่อนโดยง่าย สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างม ั่นคงจนกว่าจะก้าวลงจากเวที อย่างสง่างาม
ไม่ต้องสะดุดหกล้มหัวคะมำกล างเวทีให้ผู้คนสมน้ำหน้า ก่อนที่ละครชีวิตจะปิดฉากลง ...
::::::::::::::::::
Credit : ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ - CEO ซีพี ออลล์
"ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อธิการบดีกล่าวในการประชุมค
• ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 100% จะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ระ
• ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 80% ก็จะได้เป็นครูบาอาจารย์
• ผู้ที่สอบตกได้คะแนนต่ำกว่า
• ลูกศิษย์ที่โกงข้อสอบก็อย่า
• ลูกศิษย์ที่เรียนไม่จบแล้วล
(เรื่องขำขันเสียดสี...จากอ
::::::::::::::::::
เรื่องเล่าข้างต้นนี้ เมื่ออ่านจบแล้วคงต้องใช้สำ
เพราะเป็นเรื่องขบขันที่ชวน
คนที่เรียนจนจบปริญญาตรีต่อ
ไม่เชื่อก็ลองสืบค้นดูประวั
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่า คนที่ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งหลง
เห็นแต่ความสำคัญของตนเองมา
สนิมนี้คือ "สนิมชีวิต" ที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างการเติบโต
ตำแหน่งบริหารในองค์กร
ก็จะมีลูกน้องหรือผู้หวังจะ
กระบวนการเหล่านี้ เสมือนน้ำบวกอากาศที่ก่อให้
เหล็กเองก็เริ่มมองไม่เห็นต
::::::::::::::::::
ถ้าบุคคลที่สนิมชีวิตจับเขร
จนถึงวันที่เขารู้สึกว่าถูก
เขาจึงบ่มเพาะศัตรูเพิ่มขึ้
ดังนั้น ผู้ที่มีธรรมะเป็นหลักในชีว
เมื่อใด ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชัก
มองตัวเองให้เห็นเป็นเหมือน
เพราะถ้าเทียบกับโลกและจักร
และหากจะเปรียบกับความยืนยา
::::::::::::::::::
เมื่อตระหนักในสัจธรรมดังกล
เพราะโดยแก่นแท้แล้ว... เราทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วม
ชีวิตที่ปราศจากสนิม จะเป็นชีวิตที่สวยงามและแข็
ไม่ต้องสะดุดหกล้มหัวคะมำกล
::::::::::::::::::
Credit : ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ - CEO ซีพี ออลล์
Friday is a love story.
And you, human find me bigger.
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ: "อนาธิปไตย กับประชาธิปไตย โดยปรีดี พนมยงค์"
http://prachatai.com/journal/2008/08/17877........................................................................................................................
Education System in Thailand: A Terrible Failure in S.E. Asia
http://ireport.cnn.com/docs/DOC-985267
...........................................................................................................................
.................................................................................................................................
Painting on trees!
An art student Wang yue 23 years old, in China started painting the hole on tree trunks since Febraury,2013 till now she painted on eleven tree trunks. Posted by Catalina Ochoa U
.................................................................................................................................
...............................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น