Hello Sunday |
นักเรียน/ นักศึกษาที่สอบได้คะแนนสูง เป็นคนเก่ง จริงหรือ?
ทุกวันนี้เรามักได้ยินคำพูด ในทำนอง ฉันจบจาก...แล้วไปต่อที่... (สถาบันที่มีชื่อเสียงของปร ะเทศ, หรือของโลก) ลูกของฉันเก่งอย่างนั้น ลูกของฉันสอบเข้าได้คณะ...โ รงเรียน/มหาวิทยาลัย...
อืม...เก่งกันจัง (หว่ะ) ก็ในเมื่อประเทศไทยเรามีคนเ ก่งกันตั้งมากมายขนาดนั้น จึงไม่สามารถสร้างนวัตกรรมข ึ้นมาได้เอง ทำไมไม่แซงหน้าประเทศอื่นๆไ ปซะที? เห็นมีแต่ข่าวออกมาว่า ระบบการศึกษาไทยล้มเหลวลงทุ กวันๆ!
ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ นำเสนอสถิติด้านการศึกษาไทย พร้อมทั้งนำเสนอความเห็นไว้ อย่างน่าฟัง [ที่มา: http://blog.eduzones.com/ anisada/79703] ไว้ว่า:
"การศึกษาไทย ติดอันดับโลก อยู่ 3 อย่างด้วยกัน คือ
1.จำนวนผู้เรียน >> ติดอันดับ 5 ของโลก
2. อายุเฉลี่ยของอาจารย์ไทย สูงเป็น อันดับที่ 2ของโลก
3. เวลาที่นักเรียนใช้ในห้องเร ียน >> อันดับ 1ของโลก"
ทั้ง 3 ข้อ เป็นข้อมูลทางสถิติที่เลวร้ ายมากในด้านการศึกษาค่ะ เนื่องจาก
ตามข้อ 1. การที่ผู้เรียนมีจำนวนมากขน าดนั้น แถมมีจำนวนห้องเรียนหลายห้อ ง นอกจากนี้ บางสถาบันฯ ครู/ อาจารย์ผู้สอนต้องรับผิดชอบท ุกห้อง(ในวิชาของตนเอง) มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะ ใช้วิธีการเรียนการสอนแบบยึ ดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และเป็นไปไม่ได้ด้วยที่ผู้ส อนจะสามารถดูแลนักเรียน/ นักศึกษาได้อย่างทั่วถึง
2. อายุเฉลี่ยของครู/ อาจารย์ไทย สูงเป็นอันดับที่ 2ของโลก >> ครู/ อาจารย์ จำนวนมากมายที่เป็นประเภทแก่แล้ว แก่เลย นั่งกอดตำแหน่งเอาไว้เพื่อก ินเงินเดือน & เงินตำแหน่งไปวันๆ คนพวกนี้นอกจากจะไม่พัฒนาตั วเองให้มีความรู้ความสามารถ ที่ทันต่อโลก ทันต่อเหตุการณ์ ทุ่มเทให้กับการทำหน้าที่คร ู/ อาจารย์ที่ดีแล้ว ยังมีความสามารถในการพัฒนาอัตต าของตัวเองให้สูงจนคับสถาบั นฯ ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงใดๆก็ ตามที่จะเกิดผลกระทบกับตนเอ ง ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้ นจะเป็นผลประโยชน์อย่างยิ่ง กับนักเรียน/ นักศึกษาและครู/ อาจารย์รุ่นใหม่ๆ
(ข้อนี้ดิฉันขอยกเว้น ครู/ อาจารย์ที่ทำหน้าที่เป็นปูชน ียาจารย์ ที่ทรงคุณค่า มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ช่วยเหลือและพยายามสร้างสรร ค์สังคม ซึ่งควรแก่การยกย่องนะคะ เพราะมีเป็นจำนวนมากด้วยเช่ นกัน)
3. เวลาที่นักเรียนใช้ในห้องเร ียน สูงเป็นอันดับ 1ของโลก >>ผู้ปกครองบางท่านอาจมองว่ า ก็ดีแล้วไงครับ/ ค่ะ ที่เด็กอยู่กับครู ใช้เวลาอย่างมีประโยชน์ในการเรียนเข้าไปมากๆ จะได้ไม่เสียเวลาไปกับการเล ่นเกม เดินเล่นตามห้าง หรือคบเพื่อนที่ไม่ดี ฯลฯ
...ก็ถูกค่ะ...
แต่ท่านทราบหรือไม่คะว่า นั่นคือการร่วมมือกัน "กำจัด" นักพัฒนามืออาชีพ ผู้นำทางความคิด ผู้นำทางนวัตกรรม ผู้นำการเปลี่ยนแปลงของสังค มไทยในอนาคต ให้เหลือแค่นักท่องจำ นักจด ผู้ตาม นักลอกเลียนแบบ จนเต็มประเทศไทย
นักเรียนไทยอยู่ในห้องเรียน มากเหลือเกินค่ะ แต่ละคนได้รับการป้อนข้อมูล เข้าไปจนข้อมูลแทบจะล้นฮาร์ ดดิสก์ของสมอง ทั้งๆที่ข้อมูลเหล่านั้นไม่ เคยนำออกมาใช้ประโยชน์ได้เล ยในชีวิตประจำวัน จนอยากเรียกมันว่า ข้อมูลขยะในสมอง
นักเรียนต้องเรียนพิเศษกันแ ทบทุกวัน เรียกว่า ตั้งแต่ลืมตาตื่นนอนขึ้นมาจ นถึงหัวถึงหมอน เพราะ คุณครูขยันออกข้อสอบที่ยากๆ กันเข้าไว้ ถ้าไม่เรียนพิเศษกับฉัน...เ ธอตกแน่...ส่วนคนที่ทำได้คะ แนนได้สูง คือคนที่ "จำ" ได้มาก หรือมี "เทคนิค" ในการทำข้อสอบได้ดี
ท่านผู้ปกครองทราบกันไหมคะว ่า เมื่อต่อเนื่องมาถึงระดับอุ ดมศึกษา หากอาจารย์ผู้สอนสร้างสถานก ารณ์ขึ้นมาเพื่อให้วิเคราะห ์สถานการณ์ หรือแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้พ ื้นฐานที่เพิ่งเรียนผ่านมา ห้องเรียนจะเงียบกริบราวป้า ช้า! ไม่ต้องพูดถึงการเรียนการสอ นในรูปแบของการนำเสนอความคิ ด/ ความเห็นเชิงวิเคราะห์,วิพาก ษ์ ว่าจะเป็นเช่นไร! ...
นักศึกษาชอบให้ยกตัวอย่างที ่เป็นสถานการณ์จริง แล้วให้วิทยากร/ ผู้สอนบอกว่า จะต้องแก้สถานการณ์เหล่านั้ นได้อย่างไร เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำตาม!
ท่านคิดว่าเมื่อ บุคคล เวลา สถานที่ สถานการณ์อื่นๆแตกต่างกัน วิธีการแก้ปัญหาเดิมๆจะยังค งใช้ได้ดีอยู่หรือคะ
จะทำอย่างไรกันดี เมื่ออนาคตของประเทศฝากไว้ก ับลูกหลานของเราเหล่านี้
"เราทุกคน"ค่ะ ไม่ใช่เพียงแค่สถาบันการศึก ษาทุกระดับเท่านั้น ทั้งผู้ปกครอง ครู/ อาจารย์ ผู้บริหารทุกระดับ ต้องหันมาร่วมมือกันผลักดันให้เก ิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับวงก ารการศึกษาไทย เพื่อให้ลูกหลานของเราได้รั บการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพเ มื่อจบการศึกษา แทนที่ลูกหลานของเราจะฉลาดน ้อยลง (โง่) เท่าเทียมกันทุกคนในวันรับป ริญญาบัตรเช่นในปัจจุบันนี้
......................................................................................................................ทุกวันนี้เรามักได้ยินคำพูด
อืม...เก่งกันจัง (หว่ะ) ก็ในเมื่อประเทศไทยเรามีคนเ
ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ นำเสนอสถิติด้านการศึกษาไทย
"การศึกษาไทย ติดอันดับโลก อยู่ 3 อย่างด้วยกัน คือ
1.จำนวนผู้เรียน >> ติดอันดับ 5 ของโลก
2. อายุเฉลี่ยของอาจารย์ไทย สูงเป็น อันดับที่ 2ของโลก
3. เวลาที่นักเรียนใช้ในห้องเร
ทั้ง 3 ข้อ เป็นข้อมูลทางสถิติที่เลวร้
ตามข้อ 1. การที่ผู้เรียนมีจำนวนมากขน
2. อายุเฉลี่ยของครู/
(ข้อนี้ดิฉันขอยกเว้น ครู/
3. เวลาที่นักเรียนใช้ในห้องเร
...ก็ถูกค่ะ...
แต่ท่านทราบหรือไม่คะว่า นั่นคือการร่วมมือกัน "กำจัด" นักพัฒนามืออาชีพ ผู้นำทางความคิด ผู้นำทางนวัตกรรม ผู้นำการเปลี่ยนแปลงของสังค
นักเรียนไทยอยู่ในห้องเรียน
นักเรียนต้องเรียนพิเศษกันแ
ท่านผู้ปกครองทราบกันไหมคะว
นักศึกษาชอบให้ยกตัวอย่างที
ท่านคิดว่าเมื่อ บุคคล เวลา สถานที่ สถานการณ์อื่นๆแตกต่างกัน วิธีการแก้ปัญหาเดิมๆจะยังค
จะทำอย่างไรกันดี เมื่ออนาคตของประเทศฝากไว้ก
"เราทุกคน"ค่ะ ไม่ใช่เพียงแค่สถาบันการศึก
โรคของผู้มีอำนาจ
ดร.พสุ เดชะรินทร์
"อำนาจ" เป็นคำที่แปลกและไม่ค่อยเข้ าใครออกใครนะครับ เราจะพบว่าอำนาจนั้น อาจจะทำให้พฤติกรรมของคนเปล ี่ยนไป สำหรับหลายคนก่อนที่จะมีอำน าจนั้น จะมีพฤติกรรมอย่างหนึ่ง แต่พอมีอำนาจแล้วพฤติกรรมหร ือนิสัยเดิม ๆ ที่เคยดีอยู่ก็เปลี่ยนไป สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือคุณสมบัติที่ทำให้หลาย ๆ คนขึ้นมาเป็นผู้นำนั้น เมื่อบุคคลผู้นั้นก้าวขึ้นเ ป็นผู้นำแล้ว คุณสมบัติเหล่านั้นกลับหายไ ป เราอาจจะเคยพบเจอบุคคลหลายท่านที่ม ีความนอบน้อมถ่อมตน มีจิตใจเมตตาปรานี โอบอ้อมอารี แต่พอบุคคลผู้นั้นก้าวขึ้นม าเป็นผู้นำแล้ว คุณสมบัติดี ๆ ที่เคยมีอยู่เหล่านั้นกลับห ายไป กลายเป็นคนที่ดื้อ ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้ อื่น ไม่สนใจในความรู้สึกของผู้อ ื่น สุดท้ายเราก็มีความรู้สึกว่ าการมีอำนาจ หรือการซึ่งใครก็ตามก้าวขึ้ นเป็นผู้นำ คนคนนั้นอาจจะเสียคนได้
นอกจากนี้ เมื่อเราอ่านข่าวต่าง ๆ จะพบว่าความประพฤติที่ไม่เห มาะสมทั้งหลายที่เกิดขึ้นใน องค์กร มักจะมาจากบุคคลที่อยู่ในอำ นาจ พวกที่ไม่อยู่ในอำนาจมักจะไ ม่ค่อยมีปัญหา หรือก่อให้เกิดปัญหา มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่ าพฤติกรรมที่หยาบคาย หรือไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้นใ นองค์กรส่วนใหญ่นั้น ไม่ว่าจะเป็นการตะโกนใส่ผู้ อื่น มักจะมาจากบุคคลที่มีอำนาจใ นองค์กรเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าคิดย้อนกลับตามหลักจ ิตวิทยาก็จริงนะครับ เนื่องจากคนที่ยังไม่มีอำนา จ ก็มักจะไม่กล้าที่จะทำในสิ่ งที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม แต่พอตนเองมีอำนาจแล้ว หลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างที่เคยเก็บกดไว้ ก็ไม่ต้องเก็บกดไว้อีกต่อไป สามารถที่จะแสดงออกได้อย่าง เต็มที่ เนื่องจากนึกว่าตนเองมีอำนา จแล้ว ย่อมไม่มีใครกล้าที่จะว่าร้ ายหรือทำอะไรตนเองได้
ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งก็น่าคิ ดนะครับว่า ทำไมบุคคลหลาย ๆ คน ที่มีนิสัยและพฤติกรรมที่น่ ารัก เป็นนิยมและชื่นชอบของคนหมู ่มาก เมื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำแล้ว ปัจจัยที่ทำให้เป็นที่ชื่นช อบนั้นกลับหายไป ข้อถกเถียงประการหนึ่งอาจจะ ดูสมเหตุผล ก็คือเนื่องจากการเป็นพนักง านธรรมดากับการเป็นผู้นำนั้ น ทำให้บุคคลผู้นั้นจะต้องสวม หมวกคนละใบ ในฐานะพนักงานธรรม เขาอาจจะมีอิสรเสรีที่จะประ พฤติในรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อก้าวเป็นผู้นำและผู ้บริหารองค์กร ความรับผิดชอบที่บุคคลนั้นม ี จะไม่ใช่มีต่อตนเองเหมือนใน อดีต แต่กลายเป็นความรับผิดชอบต่ อความอยู่รอด และความสำเร็จขององค์กร ดังนั้น การตัดสินใจต่าง ๆ ของบุคคลผู้นั้น ก็อาจจะต้องมองผลประโยชน์ขอ งองค์กรเป็นหลัก และไม่สามารถทำตัวให้เป็นที ่นิยมของเพื่อนร่วมงานเหมือ นในอดีต
จริงๆ แล้ว นักจิตวิทยาเขามีชื่อเรียกป รากฏการณ์ดังกล่าวเหมือนกัน นะครับ โดยเรียกว่า Paradox of Power ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ ้นเมื่อพฤติกรรมที่ทำให้บุค คลผู้นั้นก้าวขึ้นมาเป็นผู้ นำได้นั้น เมื่อบุคคลผู้นั้นขึ้นมาเป็ นผู้นำแล้ว พฤติกรรมเหล่านั้นจะมลายหาย ไปหมด แทนที่จะเป็นคนสุภาพ เรียบร้อย ซื่อสัตย์ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเหม ือนในอดีต บุคคลผู้นั้นกลับกลายเป็นคน ที่ไม่สนใจผู้อื่น ก้าวร้าว มั่นใจในตนเองมากเกินไป
จริงๆ แล้วมีการวิจัยหลายชิ้นที่ท ำให้เห็นว่า คนที่มีพฤติกรรมที่น่าคบ สุภาพ เรียบร้อย และดีในด้านต่าง ๆ นั้น มักจะเป็นคนที่ได้รับการยอม รับจากบุคคลอื่น ถึงขั้นที่มีผลวิจัยว่า เรามักจะยอมมอบอำนาจหน้าที่ ให้กับคนที่เราชอบมากกว่าคน ที่เก่งหรือเหมาะสม และคนที่เราชอบส่วนใหญ่ก็จะ เป็นคนที่มีลักษณะสุภาพ เรียบร้อย จนกระทั่งมีคำกล่าวเลยนะครั บว่า แนวทางที่ชัดเจนและตรงไปตรง มาที่สุด ในการทำให้เราก้าวขึ้นสู่ตำ แหน่งผู้บริหารระดับสูงนั้น คือการปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบ เดียวกับที่เราต้องการให้ผู ้อื่นปฏิบัติต่อเรา
อย่างไรก็ดี เมื่อคนเหล่านี้ที่สุภาพ เรียบร้อย เป็นมิตรกับผู้อื่น ก้าวขึ้นเป็นผู้นำและมีอำนา จแล้ว คนเหล่านี้ก็จะเริ่มปฏิบัติ ตนในอีกแบบ มีงานวิจัยที่น่าสนใจที่พบว ่า คนที่มีอำนาจส่วนใหญ่นั้น มักจะชอบปฏิบัติตัวเหมือนผู ้ป่วยที่มีส่วนหนึ่งของสมอง (orbito-frontal lobe) เสียหาย โดยส่วนนี้ของสมองนั้น จะสำคัญต่อการที่แต่ละบุคคล มีความเข้าอกเข้าใจต่อบุคคล อื่น และการตัดสินใจ
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นว่า คนที่มีอำนาจนั้นจะมีความสง สารหรือเข้าอกเข้าใจต่อปัญห าและความต้องการของผู้อื่นน ้อยลง อีกทั้งคนที่มีอำนาจนั้นมัก จะมีความติดยึดต่อมุมมองเดิ ม ๆ ของตนเอง อย่างที่เราเรียกว่า Sterotypes และ Generalization เมื่อต้องตัดสินผู้อื่น ผู้มีอำนาจเหล่านี้จะสบตาคน อื่นน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรี ยบเทียบกับเมื่อตนเองไม่มีอ ำนาจ
ได้เห็นตัวอย่างมาเยอะแล้วเ หมือนกันนะครับ ที่ผู้มีอำนาจทั้งหลายจะยึด ติดกับรูปแบบเดิมๆ เมื่อต้องตัดสินผู้อื่น สมมติเช่น ถ้าลูกน้องคนหนึ่งทำงานไม่เ สร็จทันตามเวลาที่กำหนด แทนที่เจ้านายจะรับฟังถึงปั ญหาที่เขาเผชิญ เจ้านายกลับตัดสินทันทีว่าล ูกน้องคนนี้ไม่มีความสามารถ ทั้ง ๆ จริง ๆ แล้วอาจจะเป็นครั้งแรกที่เข าทำงานไม่สำเร็จ และเกิดจากเหตุสุดวิสัยจริง ๆ คนที่มีอำนาจนั้นเขาจะมีควา มเชื่อมั่นและยึดมั่นในตนเอ งสูงพอสมควรครับ จนไม่ยอมแม้กระทั่งรับฟังคว ามเห็น หรือมุมมองจากผู้อื่น
ที่น่ากลัวไม่ใช่เรื่องของก ารเป็นผู้นำแล้วมีพฤติกรรมเ ปลี่ยนไปหรอกนะครับ แต่เป็นเรื่องของเมื่อเป็นผ ู้นำแล้ว จากคนที่ซื่อสัตย์กลับกลายเ ป็นคนโกงขึ้นมาทันที จากงานวิจัยพบอีกครับว่า จริงๆ บุคคลเหล่านั้นยังรู้ดีอยู่ นะครับว่าอะไรคือสิ่งที่ถูก หรือผิด แต่เมื่อตนเองมีอำนาจแล้ว ก็สามารถที่จะทำให้สิ่งที่ด ูเหมือนจะผิดกลายเป็นสิ่งที ่ดูเหมือนจะถูกได้ง่ายขึ้น เช่น การขับรถฝ่าไฟแดง เป็นต้น เมื่อยังไม่มีอำนาจเราก็ไม่ ขับรถฝ่าไฟแดง แต่เมื่อมีอำนาจแล้ว เมื่อเราขับรถฝ่าไฟแดง เราก็จะมีข้ออ้างว่า เนื่องจากกำลังรีบ และงานที่กำลังจะไปมีความสำ คัญ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องขับรถฝ่าไฟแดง ผู้ที่มีอำนาจมีเหตุผลตลอดเ วลาเลยครับว่า สาเหตุที่ตนเองต้องฝ่าไฟแดง นั้น เนื่องจากตนเองกำลังรีบ และเนื่องจากตนเองเป็นคนสำค ัญ ดังนั้น สามารถที่จะฝ่าไฟแดงได้
โรค Paradox of Power นั้น ไม่สามารถแก้โดยง่ายครับ วิธีการในการป้องกัน คือ เน้นเรื่องของความโปร่งใส และผู้นำจะไม่พยายามทำตัวไม ่ดีถ้ารู้ว่าตนเองถูกตรวจสอ บโดยบุคคลอื่น ดังนั้น การมีหน่วยงานอิสระในการตรว จสอบ หรือการมีคณะกรรมการบริหารท ี่เข้มแข็ง ก็จะช่วยให้บรรดาผู้นำทั้งห ลายไม่ต้องเป็นโรค Paradox of Power ได้ครับ
-------------------------- ----
ที่มา : คอลัมน์ มุมมองใหม่
ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 6 กันยายน 2553
http://bit.ly/ca0tvY
ดร.พสุ เดชะรินทร์
"อำนาจ" เป็นคำที่แปลกและไม่ค่อยเข้
นอกจากนี้ เมื่อเราอ่านข่าวต่าง ๆ จะพบว่าความประพฤติที่ไม่เห
ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งก็น่าคิ
จริงๆ แล้ว นักจิตวิทยาเขามีชื่อเรียกป
จริงๆ แล้วมีการวิจัยหลายชิ้นที่ท
อย่างไรก็ดี เมื่อคนเหล่านี้ที่สุภาพ เรียบร้อย เป็นมิตรกับผู้อื่น ก้าวขึ้นเป็นผู้นำและมีอำนา
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นว่า คนที่มีอำนาจนั้นจะมีความสง
ได้เห็นตัวอย่างมาเยอะแล้วเ
ที่น่ากลัวไม่ใช่เรื่องของก
โรค Paradox of Power นั้น ไม่สามารถแก้โดยง่ายครับ วิธีการในการป้องกัน คือ เน้นเรื่องของความโปร่งใส และผู้นำจะไม่พยายามทำตัวไม
--------------------------
ที่มา : คอลัมน์ มุมมองใหม่
ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 6 กันยายน 2553
http://bit.ly/ca0tvY
แอดมินเคยพูดถึงการอบรมเชิง ปฏิบัติการ "Learning Facilitator" ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ตอนที่ไปอบรมครั้งแรก โรงเรียนแอดมินไปกัน 3 คน และทุกคนพูดเหมือนกันว่า "อยากให้ถึงครั้งต่อไปเร็ว ๆ" (ต้องไปทั้งหมด 6 ครั้ง สัปดาห์เว้นสัปดาห์)
ตอนนี้ไปมาแล้ว 3 ครั้ง และทุกครั้งที่กลับไปสอน เราจะรู้สึกว่าเราเป็นครูคน ใหม่ที่เข้าใจธรรมชาติการเร ียนรู้ของเด็กมากขึ้น เราจะมีแรงบันดาลใจที่จะจัด กิจกรรมที่สนุก ๆ และเด็กเกิดการเรียนรู้ ไม่มีการอบรมไหนแล้วล่ะครับ ที่ครูได้นั่งต่อเลโก้ วาดรูปด้วยสีชอล์ก ได้สูตรการคิดวิธีการสอนแบบ ต่าง ๆ โดยไม่มีการพูดถึงเรื่อง "การทำผลงาน" แต่เป็นการทำเพื่อเด็กจริง ๆ
สำหรับท่านที่สนใจ สอบถามวิทยากรแล้ว ท่านบอกว่าให้ติดต่อทาง "มูลนิธิมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าห ลวงเพื่อการพัฒนาครูชนบท" ผ่านศูนย์บริการวิชาการhttp://www.casmfu.com/ นะครับ
ปล.แอดมินไม่ได้ค่าโฆษณาอะไ รนะครับ เพียงแต่อยากจะบอกต่อเพราะว ่ามันดีจริง ๆ (เดี๋ยวจะหาว่าเอาแต่ด่าการ อบรม 5555+)
อ่อ ภาพนี้มีแอดมินอยู่ด้วยนะคร ับ แหม่
ตอนนี้ไปมาแล้ว 3 ครั้ง และทุกครั้งที่กลับไปสอน เราจะรู้สึกว่าเราเป็นครูคน
สำหรับท่านที่สนใจ สอบถามวิทยากรแล้ว ท่านบอกว่าให้ติดต่อทาง "มูลนิธิมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าห
ปล.แอดมินไม่ได้ค่าโฆษณาอะไ
อ่อ ภาพนี้มีแอดมินอยู่ด้วยนะคร
...........................................................................................................................
................................................................................................................................
» ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด
สาวชาวไต้หวันผู้หนึ่ง เป็นโรคสมองพิการ (cerebral palsy) แต่กำเนิด ไม่สามารถเคลื่อนไหวตามปรกต ิ และพูดจาไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและศรัท ธา เธอสามารถเรียนจบปริญญาเอกจ ากสหรัฐฯ แล้วแสดงทัศนคติของเธอในที่ ต่าง ๆ เพื่อให้กำลังใจและช่วยเหลื อผู้อื่น
ครั้งหนึ่ง เธอรับเชิญไปบรรยายด้วยการเ ขียน (คนพูดไม่ได้ต้องใช้วิธีเขี ยน) หลังบรรยายเสร็จ มีนักเรียนคนหนึ่งตั้งคำถามว่า...
“คุณอยู่ในสภาพนี้โดยกำเนิด แล้วคุณไม่รู้สึกน้อยใจเลยร ึ? คุณมองตัวเองอย่างไร?”
คำถามอันละเอียดอ่อนนี้ สร้างความตะลึงแก่ที่ประชุม ไม่น้อย ต่างเกรงว่าคำถามนี้จะทิ่มแ ทงจิตใจของเธอ
ปรากฏว่า เธอหันหน้าไปยังแผ่นกระดาน เขียนตัวหนังสืออย่างไม่สะท กสะท้านว่า...
“ฉันมองดูตัวเองอย่างไร?”
เธอหันหน้ามายิ้มให้ทุกคนใน ห้องประชุม แล้วก็หันกลับไปเขียนข้อควา มต่อ...
1.ฉันน่ารักมาก
2.ขาฉันเรียวยาวสวยดี
3.คุณพ่อคุณแม่รักฉันจัง
4.พระเจ้าประทานรักแก่ฉัน
5.ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้
6.ฉันมีแมวที่น่ารัก
และ….
ขณะนั้น ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดจาใด ๆ เธอหันกลับมามองดูทุกคน แล้วเขียนคำสรุปบนแผ่นกระดา นว่า
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงปรบมือดังสนั่นในที่ปร ะชุมพร้อมทั้งน้ำตาที่สะเทื อนใจจากหลาย ๆ คน ณ วันนั้น
ทัศนคติเชิงสุขนิยมและบทพิส ูจน์ของเธอเพิ่มกำลังใจแก่ผ ู้คน มากมาย ผู้เป็นโรคสมองพิการผู้นี้ค ือ น.ส.หวางเหม่ยเหลียน ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตจาก UCLA ผู้เคยจัดนิทรรศการภาพเขียน ส่วนตัวหลายครั้งในไต้หวัน
::::::::::::::::::
น.ส.หวางเหม่ยเหลียน เป็นอีกหนึ่งแบบอย่างดี ๆ ของคนที่มีความนับถือตนเอง หรือ Self esteem
คนที่มี Self esteem จะมีความเชื่อว่า...ตนเองมี ความสามารถที่จะเผชิญโลกได้ ในทุกสถานการณ์ และรู้ซึ้งดีว่าตนเองนั้นมี คุณค่าและเป็นคนดี มีความมั่นคงภายในจิตใจ
Self esteem จะเป็นเสมือน Software ที่ติดตั้งอยู่แล้วในแต่ละบ ุคคล ซึ่งจะเป็นตัวบอกว่าคน ๆ นั้นจะสามารถประสบความสำเร็ จได้หรือไม่
เพราะคนที่มี Self esteem ต่ำคือคนที่คิดอยู่เสมอว่าต นเองไม่ดีพอ ไม่เก่งพอ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถประสบค วามสำเร็จได้เพราะคิดอย่างน ี้อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ล้มเหลวสมความปรารถ นา
แต่ในขณะเดียวกันคนที่มี Self esteem สูงจะเป็นคนรู้ดีว่าตนเองนั ้นเป็นคนดี มีคุณค่า เป็นที่รักของคนอื่น เป็นคนมีความสามารถ พร้อมที่จะแก้ไขข้อบกพร่องข องตนเองอยู่ตลอดเวลา และสามารถฝ่าฟันปัญหาชีวิตไ ด้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตา ม
เหล่านี้...เป็นเสมือนตัวที ่คอยเตือนสติและให้กำลังใจต นเองอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ประสบความสำเร็จ และมีความสุขได้อย่างไม่ยาก เย็นนัก
::::::::::::::::::
ข่าวดี คือ Self esteem เป็นสิ่งที่สามารถสร้างเองไ ด้
• Life 101 มีวิธีการสร้าง Self esteem 6 ประการ มาฝาก ดังนี้...
1. การใช้ชีวิตอย่างมีสติ (Living Consciousness)
การจะมีสติได้นั้นต้องสังเก ตความคิดและความรู้สึกของตน เองอยู่ตลอดเวลาว่า เราเป็นคนที่มีความคิดมีทัศ นคติอย่างไรบ้างในทุก ๆ สถานการณ์ เมื่อรู้จักตนเองดีพอ จึงจะสามารถแก้ไขข้อบกพร่อง ของตนเองได้
2. การยอมรับตนเอง(Self Acceptance)
ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีอะไร สมบูรณ์แบบ เหรียญย่อมมีสองด้านมีดีก็ย ่อมมีเสีย ยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกั บตนเอง หากตนเองยังยอมรับจุดอ่อนขอ งตัวเองไม่ได้เมื่อมีคนอื่น มาแตะจุดอ่อน ก็จะรู้สึกไม่พอใจ อึดอัด พาลใส่อารมณ์กับคนรอบข้าง หาความสุขไม่ได้
3. การมีความรับผิดชอบต่อตนเอง (Self Responsibility)
ยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที ่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่เรา เลือกเอง รับผิดชอบเอง และเมื่อเกิดอุปสรรคและความ ล้มเหลวก็ไม่โทษคนอื่น ไม่โทษโชคชะตา สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จ ากการมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอย ู่ตลอดเวลา รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรและส ิ่งที่จะตามมานั้นคืออะไร
4. การมีความกระตือรือร้นในการ ใช้ชีวิต (Self Assertiveness)
คือการสามารถเปลี่ยนความคิด ให้เป็นการกระทำได้ (Take Action) นี่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกั บพื้นฐานของมนุษย์คือมนุษย์ รักความสบาย ไม่ชอบความยากลำบาก และชอบอยู่เฉย ๆ จึงต้องมีการปลูก 'ฉันทะ' คือจินตนาการภาพว่าหากเราปร ะสบความสำเร็จ จะมีสิ่งดี ๆ งาม ๆ อะไรบ้างรอเราอยู่ เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้เราม ีกำลังใจในการลงมือทำ
5. การใช้ชีวิตอย่างมีจุดมุ่งห มาย (Living Purposefully)
วางเป้าหมายให้ทัดเทียมกับศ ักยภาพที่มีอยู่ การจะมองเห็นซึ่งศักยภาพได้ ต้องมองเห็นจุดแข็งและจุดอ่ อนของตนเองอย่างครบถ้วนเสีย ก่อน แล้วมาบวกกับ พรสวรรค์ ความเชี่ยวชาญ และความชอบของตนเอง จึงจะเรียกว่าศักยภาพที่แท้ จริง
6. การมีศักดิ์ศรีในตนเอง (Personal Integrity)
สามารถปฏิบัติตามความเชื่อ คุณธรรม หรือหลักการที่ตนเองเชื่อมั ่นได้ ซึ่งก็คือการมีปากกับใจตรงก ันนั่นเอง การทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นนั้น จะเป็นตัวบ่อนทำลายความนับถ ือในตนเอง
การเป็นคนมีคุณธรรมนั้นสามา รถอยู่ได้ทุกสถานการณ์ ถึงแม้เหตุการณ์ภายนอกจะเลว ร้ายเพียงใด จะโดนว่ากล่าวเสียดสีอย่างไ รก็ไม่เป็นผล จะไม่มีสิ่งใดมากระทบกระเทื อนได้
เพราะรู้จักตนเองดีพอ รู้ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ และทำไปเพื่ออะไร และที่สำคัญคือรู้ว่าตนเองเ ป็นคนดี ก่อให้เกิดความมั่นใจจากภาย ในอยู่ตลอดเวลา
::::::::::::::::::
“The man who does not value himself, cannot value anything or anyone.”
ด้วยความปรารถนาดี
ทีมงาน #Life101
::::::::::::::::::
Credit : หนังสือ The Six Pillars of Self Esteem และ kwamru.com
สาวชาวไต้หวันผู้หนึ่ง เป็นโรคสมองพิการ (cerebral palsy) แต่กำเนิด ไม่สามารถเคลื่อนไหวตามปรกต
ครั้งหนึ่ง เธอรับเชิญไปบรรยายด้วยการเ
“คุณอยู่ในสภาพนี้โดยกำเนิด
คำถามอันละเอียดอ่อนนี้ สร้างความตะลึงแก่ที่ประชุม
ปรากฏว่า เธอหันหน้าไปยังแผ่นกระดาน เขียนตัวหนังสืออย่างไม่สะท
“ฉันมองดูตัวเองอย่างไร?”
เธอหันหน้ามายิ้มให้ทุกคนใน
1.ฉันน่ารักมาก
2.ขาฉันเรียวยาวสวยดี
3.คุณพ่อคุณแม่รักฉันจัง
4.พระเจ้าประทานรักแก่ฉัน
5.ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้
6.ฉันมีแมวที่น่ารัก
และ….
ขณะนั้น ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดจาใด ๆ เธอหันกลับมามองดูทุกคน แล้วเขียนคำสรุปบนแผ่นกระดา
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงปรบมือดังสนั่นในที่ปร
ทัศนคติเชิงสุขนิยมและบทพิส
::::::::::::::::::
น.ส.หวางเหม่ยเหลียน เป็นอีกหนึ่งแบบอย่างดี ๆ ของคนที่มีความนับถือตนเอง หรือ Self esteem
คนที่มี Self esteem จะมีความเชื่อว่า...ตนเองมี
Self esteem จะเป็นเสมือน Software ที่ติดตั้งอยู่แล้วในแต่ละบ
เพราะคนที่มี Self esteem ต่ำคือคนที่คิดอยู่เสมอว่าต
แต่ในขณะเดียวกันคนที่มี Self esteem สูงจะเป็นคนรู้ดีว่าตนเองนั
เหล่านี้...เป็นเสมือนตัวที
::::::::::::::::::
ข่าวดี คือ Self esteem เป็นสิ่งที่สามารถสร้างเองไ
• Life 101 มีวิธีการสร้าง Self esteem 6 ประการ มาฝาก ดังนี้...
1. การใช้ชีวิตอย่างมีสติ (Living Consciousness)
การจะมีสติได้นั้นต้องสังเก
2. การยอมรับตนเอง(Self Acceptance)
ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีอะไร
3. การมีความรับผิดชอบต่อตนเอง
ยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที
4. การมีความกระตือรือร้นในการ
คือการสามารถเปลี่ยนความคิด
5. การใช้ชีวิตอย่างมีจุดมุ่งห
วางเป้าหมายให้ทัดเทียมกับศ
6. การมีศักดิ์ศรีในตนเอง (Personal Integrity)
สามารถปฏิบัติตามความเชื่อ คุณธรรม หรือหลักการที่ตนเองเชื่อมั
การเป็นคนมีคุณธรรมนั้นสามา
เพราะรู้จักตนเองดีพอ รู้ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ และทำไปเพื่ออะไร และที่สำคัญคือรู้ว่าตนเองเ
::::::::::::::::::
“The man who does not value himself, cannot value anything or anyone.”
ด้วยความปรารถนาดี
ทีมงาน #Life101
::::::::::::::::::
Credit : หนังสือ The Six Pillars of Self Esteem และ kwamru.com
ข้อเท็จจริงกรณีการรับจำนำข
จึงเรียนมาเพื่อทราบ.
Friendship
ชีวิตทุกคน "ไม่มีทางตัน" หลายคนชอบเปลี่ยนชื่ออุปสรร คและปัญหาต่างๆให้เป็นคำว่า "จุดจบ"
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ยังมีสติปัญญา ยังมีเรี่ยวแรง ชีวิตก็มีทางออกรอให้คุณเลื อกอยู่เสมอ
หากคนที่เคยล้มเหลว แล้วเค้าเชื่อว่านั่นคือโชค ชะตาของเค้า ยอมรับความล้มเหลวและหยุดอย ู่แค่ตรงนั้น วันนี้ก็คงไม่มีมหาเศรษฐีที ่มานั่งเล่าชีวิตที่เคยพังไ ม่เป็นท่าให้เราฟังอยู่มากม ายบนโลกในตอนนี้หรอกครับ
นักมวยเคยแพ้น็อค แล้วต้องเลิกอาชีพนี้ไปเลยห รือเปล่า
เคยสอบตก แล้วต้องลาออกจากสถาบันการศ ึกษาเลยใช่มั้ย
ทำธุรกิจเคยล้มละลาย นั่นคือจุดจบของชีวิต ต้องฆ่าตัวตาย จริงหรือครับ
ขอให้คิดให้ดีๆก่อนตัดสินใจ ยอมแพ้อะไรง่ายๆ จงเลือกทางออกที่ดีที่สุด
ชีวิตคุณ คุณกำหนดเองนะครับ ไม่มีใครมากำหนดคุณได้
เพราะฉะนั้น ก็เลือกให้ดีที่สุดไปเลย
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ยังมีสติปัญญา ยังมีเรี่ยวแรง ชีวิตก็มีทางออกรอให้คุณเลื
หากคนที่เคยล้มเหลว แล้วเค้าเชื่อว่านั่นคือโชค
นักมวยเคยแพ้น็อค แล้วต้องเลิกอาชีพนี้ไปเลยห
เคยสอบตก แล้วต้องลาออกจากสถาบันการศ
ทำธุรกิจเคยล้มละลาย นั่นคือจุดจบของชีวิต ต้องฆ่าตัวตาย จริงหรือครับ
ขอให้คิดให้ดีๆก่อนตัดสินใจ
ชีวิตคุณ คุณกำหนดเองนะครับ ไม่มีใครมากำหนดคุณได้
เพราะฉะนั้น ก็เลือกให้ดีที่สุดไปเลย
ผมสงสัยจริงๆว่า ทำไมหลายๆคนเกลียดวันจันทร์
ตอนเด็กๆ พอถึงวันจันทร์ทีไร ผมก็รีบไปโรงเรียนทุกที ไม่มีขี้เกียจเลย
รู้ไปทำไมว่า มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร ์ หรือ NUS กลายเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 2 ของเอเชียและอันดับ 8 ของโลกได้อย่างไรในเวลาแค่ 10 ปี? (ตอนที่ 2)
"เพราะเราเปลี่ยนวิธีการสอน " โปรเฟสเซอร์ Bernard Tan รองอธิการบดีการศึกษา (Vice Provost) ของ NUS บอกกับผม
"เมื่อ 10 ปีก่อนเราก็สอนนักศึกษาด้วย การเล็คเชอร์เหมือนที่อื่นๆ "
"ความรู้จากเล็คเชอร์นั้น นักศึกษาเรียนจบแล้วเอาไปใช ้ได้แค่ 3 ปีถึง 5 ปี ก็ล้าสมัยแล้ว เราจึงตัดสินใจเปลี่ยนวิธีก ารสอนจากการสอนแบบเล็คเชอร์ ให้ความรู้ มาสอนวิธีการหาความรู้ ให้รู้จักหาความรู้มาแก้ปัญ หา"
(และยังใช้) "Problem-based Learning (การใช้ปัญหาเป็นฐานในการเร ียนรู้) ใช่ไหม?" ผมถามเจาะเข้าประเด็น
"ใช่ เราเปลี่ยนจากการเล็คเชอร์เ ป็น Problem-based Learning!"
การสอนด้วยการบรรยาย จะ "บรรยาย" ก่อนแล้วจึงให้ "โจทย์" และโดยมากจะให้โจทย์กันตอนส อบ แต่การใช้ปัญหาเป็นฐานในการ เรียนรู้ จะกลับกัน คือจะให้ "โจทย์" ก่อน และจะให้นักศึกษาวิเคราะห์ว ่า เพื่อจะ "แก้โจทย์" ต้องใช้ "ความรู้" อะไรบ้าง แล้วให้ไปหาความรู้นั้นมาแก ้โจทย์
"ผลลัพธ์" ที่ได้คือนักศึกษาจะมีความส ามารถในการ "หาความรู้" มา "แก้ปัญหา" หากตรงไหนขาดไปอาจารย์ก็จะเ พิ่มเติมให้
"ตอนที่เริ่มเปลี่ยนมีอุปสร รคปัญหาบ้างไหมครับ"
"มี" โปรเฟสเซอร์ Tan ตอบ "ปัญหาใหญ่สุดคืออาจารย์! อาจารย์ไม่ยอมเปลี่ยนวิธีสอ น!"
แล้ว NUS เขาแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร? โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
(ท่านที่สนใจ Problem-based Learning, Project-based Learning และ Service Learning โปรดติดตามอ่านได้ที่เพจ "การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง " ครับ
www.facebook.com/ thaiciviceducation)
บางส่วนจากสเตตัสในเฟสบุ๊คข อง Prinya Thaewanarumitkul
"เพราะเราเปลี่ยนวิธีการสอน
"เมื่อ 10 ปีก่อนเราก็สอนนักศึกษาด้วย
"ความรู้จากเล็คเชอร์นั้น นักศึกษาเรียนจบแล้วเอาไปใช
(และยังใช้) "Problem-based Learning (การใช้ปัญหาเป็นฐานในการเร
"ใช่ เราเปลี่ยนจากการเล็คเชอร์เ
การสอนด้วยการบรรยาย จะ "บรรยาย" ก่อนแล้วจึงให้ "โจทย์" และโดยมากจะให้โจทย์กันตอนส
"ผลลัพธ์" ที่ได้คือนักศึกษาจะมีความส
"ตอนที่เริ่มเปลี่ยนมีอุปสร
"มี" โปรเฟสเซอร์ Tan ตอบ "ปัญหาใหญ่สุดคืออาจารย์! อาจารย์ไม่ยอมเปลี่ยนวิธีสอ
แล้ว NUS เขาแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร? โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
(ท่านที่สนใจ Problem-based Learning, Project-based Learning และ Service Learning โปรดติดตามอ่านได้ที่เพจ "การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง
www.facebook.com/
บางส่วนจากสเตตัสในเฟสบุ๊คข
หลักแห่งความเป็นธรรมชาติ
http://www.blacksheep.co.th/article/naturual-rules/
...................................................................................................................
อิสรภาพคือ ความสุข...
ทำในสิ่งที่ชอบคืออิสรภาพ
ชอบในสิ่งที่ทำคือความสุข
............................................................................................................................
...................................................................................................................
Happy Father's Day!
Click here to read the original comic: http://phdcomics.com/
More at: http://phdcomics.com/
ทางร้าน Sushi Hiro ใช้ Wasabi เป็นต้นจากญี่ปุ่น ขูดกันสดๆจากต้นให้ทานเลยคะ
'อี้' ชนะเลือกตั้ง 'แซม' ปชป.คว้าเก้าอี้ ส.ส.ดอนเมือง
ผลการนับคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.เขต 12 กรุงเทพมหานคร อย่างไม่เป็นทางการ "แทนคุณ" จากประชาธิปัตย์ ชนะคู่แข่ง "ยุรนันท์" จากเพื่อไทย เจ้าตัวขอบคุณคนดอนเมืองให้โอกาสทำงาน

ผลการนับคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.เขต 12 กรุงเทพมหานคร อย่างไม่เป็นทางการ "แทนคุณ" จากประชาธิปัตย์ ชนะคู่แข่ง "ยุรนันท์" จากเพื่อไทย เจ้าตัวขอบคุณคนดอนเมืองให้โอกาสทำงาน
ผลการนับคะแนนเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต 12 ดอนเมือง อย่างไปนทางการ นับคะแนนเสร็จแล้วทุกหน่วยเลือกตั้ง ผลปรากฏว่า นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. จากพรรคประชาธิปัตย์ ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนน 32,751 คะแนน ส่วน นายยุรนันท์ ภมรมนตรี ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. จากพรรคเพื่อไทย ได้คะแนน 30,357 คะแนน ตามมาเป็นอันดับสอง
ทั้งนี้ นายสุพจน์ ไพบูลย์ ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการ จะสามารถประกาศต่อสาธารณชนได้ภายในเวลา 19.00 น. หลังจากนั้นจะส่งผลคะแนนให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการต่อไป ซึ่งการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ครั้งนี้ ไม่ปรากฏเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต และการใส่ร้ายป้ายสีเข้ามายัง กกต.กทม. แต่อย่างใด
ข้อมูลโดย : www.innnews.co.th
ข้อมูลโดย : www.innnews.co.th
- Supapong Wanitpongpan ??
ใครฟ้องใครว่าใส่ร้าย?
ถ้าเรื่อง "อย่าทำร้ายผม" ก็ดูคลิปทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว
แต่ถ้าเรื่องเลือกตั้ง ครั้งนี้มีด้วยรึ?
เลือดนองตลาด
ช่วงประมาณ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้นดูเหมือนว่าตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวลงมาแรงจนน่าตกใจ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาจากประมาณ 1640 กว่าจุดเหลือ 1465 จุดในวันที่ 14 มิถุนายน 2556 ซึ่งเป็นการตกลงมาเกือบ 200 จุดหรือลดลงประมาณ 10% ในบางช่วงนั้น บางวันหุ้นตกลงมาถึง 5% และยังตกติดต่อกันอีกหลายเปอร์เซ็นต์ในวันต่อมาแม้ว่าจะมีการ “รีบาวด์” เป็นระยะ ๆ บางทีในวันเดียวกัน เหตุผลที่หุ้นตกลงมานั้น นักวิเคราะห์ต่างก็บอกว่าเป็นเรื่องของการที่สหรัฐอเมริกามีภาวะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นดังนั้นมาตรการ QE ซึ่งคอยอัดฉีดเงินเข้าระบบการเงินทุกเดือนอาจจะต้องลดลงซึ่งจะทำให้สภาพคล่องทางการเงินที่เคยไหลมาลงทุนในตลาดหุ้นเอเซียต้องถูกถอนกลับ ผลก็คือ นักลงทุนเทขายหุ้นและทำให้หุ้นตกลงมาอย่างหนักทั่วเอเซีย ตัวเลขการขายหุ้นสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นของไทยก็ฟ้องว่ามีการขายหุ้นจริงคิดเป็นหลายหมื่นล้านบาทตั้งแต่ต้นปี วันที่หุ้นตกอย่างหนักบางวันก็เห็นว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากถึง 5-6 พันล้านบาท ปรากฏการณ์หุ้นตกครั้งนี้ผมมีความคิดและข้อสังเกตหลาย ๆ อย่างที่อยากจะพูด
เรื่องแรกก็คือ การตกของหุ้นในรอบนี้ที่ดูเหมือนว่าจะรุนแรงนั้น ว่าที่จริงดัชนีหุ้นก็ยังสูงกว่าดัชนีเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 1392 จุด ดังนั้น สำหรับคนที่ “มองยาว” อย่างผมซึ่งมักจะดูดัชนีเป็นปี ๆ แล้ว ผมไม่ได้คิดว่าหุ้นตกอะไรเลย เพราะเมื่อผ่านมาประมาณเกือบครึ่งปีของปีนี้หุ้นก็ยังขึ้นมาประมาณ 5% เมื่อรวมกับปันผลประมาณเกือบ 3% ผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยรวมยังสูงถึง 8% และถ้าเราคาดว่าหุ้นก็จะมีผลประกอบการแบบเดิมในครึ่งปีที่เหลือ เราก็คูณด้วย 2 ก็จะได้ว่าหุ้นปีนี้อาจจะให้ผลตอบแทนถึง 16% ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่ดีเลิศ ดังนั้น เราจะเสียอกเสียใจไปทำไมถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาว? คนที่จะกลุ้มใจและอาจจะเสียหายหนักน่าจะเป็นคนที่เพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ก่อนหุ้นจะตก หรือไม่ก็เป็นคนที่ทุ่มเงินเข้ามาลงทุนมากในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม คนที่มีหุ้นเต็มพอร์ตมาตลอดและถือหุ้นระยะยาวเองก็คงรู้สึกเศร้าอยู่เหมือนกันที่เห็นเงินในพอร์ต “หาย” หรือลดลงไปมากในช่วงเวลาสั้น ๆ คำแนะนำหรือคำปลอบประโลมใจของผมก็คือ นี่คือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นถ้าเราอยู่ในตลาดหุ้นมานาน วอเร็น บัฟเฟตต์ เองถึงกับบอกว่า ถ้าคุณไม่สามารถมองเห็นพอร์ตหรือราคาหุ้นลดลงไปถึง 50% ได้ คุณก็ไม่ควรอยู่ในเกมของการลงทุน
เรื่องที่สองก็คือ การตกของหุ้นในรอบนี้เป็นสิ่งที่ผมเคยคาดไว้หรือไม่? คำตอบก็คือ ผมเองคิดไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่หุ้นอาจจะไม่ดี ว่าที่จริงผมเองคิดว่ามีโอกาสที่ผลตอบแทนของปีนี้จะ “ติดลบ” ด้วยซ้ำ เหตุผลของผมก็คือ ตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไปถึงปี 2552 หรือ 4 ปีที่ผ่านมานั้นให้ผลตอบแทนที่ “สุดยอด” นั่นคือ ปี 2552 หุ้นขึ้นมา 63% ปี 53 หุ้นขึ้นอีก 41% ส่วนปี 54 นั้น หุ้นนิ่งเท่ากับปี 53 หรืออาจจะเรียกว่า “หยุดพัก” หลังจากนั้นในปี 55 หุ้นก็เริ่มวิ่งใหม่ ขึ้นมาอีก 36% จากดัชนีสิ้นปี 51 ที่ประมาณ 450 จุดขึ้นมาเป็น 1392 เมื่อสิ้นปี 55 หรือขึ้นมาสูงเป็นกว่า 3 เท่าในเวลา 4 ปี ซึ่งเป็นสถิติที่ตลาดไทยไม่เคยเจอ และถ้าปี 56 ตลาดหุ้นขึ้นมามากอีก มันก็เป็นอะไรที่ “สุดโต่ง” เมื่อเทียบกับสถิติ “ระยะยาว” ของตลาดหุ้นไทยที่ผลตอบแทนประจำปีที่เป็นบวกต่อปีที่ผลตอบแทนเป็นลบนั้น เป็นแค่ 60:40 และผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเป็นแค่ประมาณ 10% ดังนั้น ความหวังของผมในตอนสิ้นปี 2555 ก็คือ ดัชนีตลาดในปี 2556 จะไม่เป็นลบ แต่การณ์กลับเป็นว่า เพียง 3-4 เดือนของปี 2556 ตลาดก็ขึ้นไปแล้วเกือบ 20% ซึ่งทำให้ผมคิดว่า การ “ปรับตัว” น่าจะเกิดขึ้นได้เสมอ ก็ได้แต่หวังว่าผลตอบแทนเมื่อสิ้นปีนี้จะไม่เป็นลบเรื่องต่อมาก็คือ ผมได้ทำอะไรเมื่อหุ้นตกลงมาแรง? คำตอบก็คือ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ว่าที่จริงในทุกครั้งที่หุ้นตกแรงไม่ว่าจะในปีไหนหรือตกจากสาเหตุอะไร ผมไม่เคยที่จะขายหุ้น ผมคิดว่าในยามที่คนกำลัง “ขวัญผวา” และเทขายหุ้นเหมือนฟ้าจะถล่มนั้น หุ้นย่อมจะต้องตกเกินความเป็นจริง ดังนั้น ถ้าเราขายหุ้นในวันนั้น เราก็จะขายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง ผมคิดว่าถ้าเราคิดว่าพื้นฐานของกิจการเปลี่ยนจริง ๆ เราก็รอขายในอีก 2- 3 วันที่คนหายตื่นตระหนกจะดีกว่า ถ้าจะว่าไป ในทุกครั้งที่เกิด “แพนิค” หลังจากนั้นก็จะต้องมีการ “รีบาวด์” ให้เราขายได้เสมอ แต่ในกรณีที่พื้นฐานไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมก็ไม่ทำอะไร บางทีถ้าหุ้นตัวที่เราสนใจตกลงมามากจนคุ้มค่า ผมก็จะเข้าไปซื้อเท่าที่จะหาเงินมาได้
เรื่องที่สี่ก็คือ ในระดับดัชนีขณะนี้ มองไปข้างหน้าเราสามารถลงทุนระยะยาวโดยการเข้ามาซื้อหุ้นได้หรือไม่? นี่เป็นคำถามที่ตอบยาก ประเด็นก็คือ ในภาวะที่หุ้นร้อนแรงมาก (แม้ว่าจะปรับตัวลงมาบ้าง) ผมเองคิดว่าหุ้นที่มีราคาถูกมาก ๆ นั้นหาได้ค่อนข้างยากหรือไม่ก็เป็นหุ้นที่อาจจะถูกแต่ก็มีความเสี่ยงบางอย่างที่อาจจะสูงสำหรับผม ดังนั้น ถ้าผมยังไม่มีหุ้นอยู่เลยหรือมีหุ้นจำนวนน้อยและมีเงินสดเหลือมาก ผมก็คงจะ “รอ” หรือไม่ก็เลือกหุ้นบางตัวที่มีความปลอดภัยสูงและก็คงไม่เข้าไปลงทุนมากมายอะไรนัก ผมคิดว่ายังน่าจะมีเวลาที่หุ้นจะตกต่ำลงมากกว่านี้ หรือไม่เราก็อาจจะพบหุ้นบางตัวที่โดดเด่นขึ้นมาจนมีคุณค่าและเป็นหุ้นที่มี Margin of Safety สูงพอที่เราจะลงทุนได้อย่างสบายใจ จำไว้ว่าเราไม่มีแรงกดดันอะไรที่จะต้องตัดสินใจในสิ่งที่เราไม่แน่ใจ อย่าลืมว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น บ่อยครั้ง นั่งทับเงินสดเป็นพัน ๆ ล้านเหรียญ เป็นปี ๆ
คำถามสุดท้ายก็คือ ถ้าเรามีหุ้นอยู่เต็มพอร์ต เราควรทยอยขายออกไปไหมเพื่อ “ลดความเสี่ยง” เหนือสิ่งอื่นใด เราได้กำไรมามากแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ควรไหมที่เราจะ “ล็อก” กำไรหรือเม็ดเงินไว้ รอดูให้ทุกอย่าง “คลี่คลาย” แล้วค่อยกลับมาลงทุนใหม่? สำหรับคำถามนี้ผมเองยอมรับว่าตอบไม่ได้เหมือนกัน จริงอยู่ ผมเองก็คิดว่าหุ้นในเวลานี้ไม่ถูกหรือบางทีอาจจะแพงด้วยซ้ำ แต่ถ้าเราขายไปแล้วถือเงินสดหรือลงทุนในตราสารหนี้ก็ตาม ผลตอบแทนที่ได้ก็จะต่ำมากอาจจะเพียง 2-3% ในขณะที่การลงทุนในหุ้นนั้นอาจจะไม่ดี แต่พอร์ตเราก็ยังอาจจะพอไปได้ให้ผลตอบแทนอาจจะ 4-5% แม้ว่าดัชนีตลาดอาจจะติดลบ ในกรณีแบบนี้ การถือหุ้นไว้ก็ยังดีกว่า และเมื่อตลาดเริ่มฟื้นตัว พอร์ตของเราก็อาจจะเดินหน้าต่อไป ดังนั้น ดู ๆ แล้ว การที่จะขายหุ้นเพื่อถือเงินสดนั้น อาจจะไม่ให้ประโยชน์อะไรและอาจจะทำให้พลาดอย่างแรงกรณีที่หุ้นไม่ได้ปรับลดดังคาด และถ้าหากว่าหุ้นกลับขึ้นไปโดยที่เราไม่กล้ากลับเข้าไปในตลาดเร็วพอ ความเสียหายก็จะเพิ่มทวีคูณ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผมจึงมักจะ “อดทน” ถือหุ้นไว้แม้ในใจจะหวั่นว่าหุ้นอาจจะปรับตัวลงหนักได้ตลอดเวลา
...............................................................................................................
To... B FuckGkost
เอาไปอีกอันนึงครับเผื่อไว้ ต่อกรกับพวกงมงาย
เมื่อประมาณเดือนมีนาคมที่ผ ่านมาแอดมินลงไปสวนโมกข์มา 3-4 วันครับ เลยมีโอกาสได้ถามหลวงพ่อซึ่ งอยู่ตรงเคาท์เตอร์ประชาสัม พันธ์ว่า
แอดมิน : หลวงพ่อครับผมเคยอ่านหนังสื อ "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" ซึ่งท่านพุทธทาสไม่เอาพระพุ ทธรูป แต่ทำไมในสวนโมกข์ถึงมีพระพ ุทธรูปตั้ง 2 แห่งละครับ ? (ที่ลานหินโค้งกับเขาพุทธทอ ง)
หลวงพ่อ : อ่อ พระพุทธรูปนี้ท่านพุทธทาสไม ่ได้เป็นคนสร้างหรือเอาเข้า มาเองหรอก มีโยมเขาถวายให้สวนโมกข์เพร าะอยากให้สวนโมกข์มีพระพุทธ รูป ท่านพุทธทาสก็รับไว้
แอดมินก็ยังสงสัยอยู่ว่าท่า นพุทธทาสปฏิเสธไม่รับก็ได้น ี่ ก็เลยไปถามท่านว่ายทวนน้ำ
แอดมิน : อาจารย์ความจริงท่านพุทธทาส ปฏิเสธไม่รับพระพุทธรูปที่ค นนำมาถวายให้สวนโมกข์ก็ได้น ี่ ท่านไปรับทำไม ?
ว่ายทวนน้ำ : อ่อ ท่านเอาไว้ "กันหมาเห่า" น่ะ
เอาไปอีกอันนึงครับเผื่อไว้
เมื่อประมาณเดือนมีนาคมที่ผ
แอดมิน : หลวงพ่อครับผมเคยอ่านหนังสื
หลวงพ่อ : อ่อ พระพุทธรูปนี้ท่านพุทธทาสไม
แอดมินก็ยังสงสัยอยู่ว่าท่า
แอดมิน : อาจารย์ความจริงท่านพุทธทาส
ว่ายทวนน้ำ : อ่อ ท่านเอาไว้ "กันหมาเห่า" น่ะ
......................................................................................................................
.......................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น