วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

13/06/2556




» พลานุภาพแห่งความไว้วางใจ

เราหยุด “ปฎิสัมพันธ์” กับคน ๆ หนึ่งที่คบหามานาน หรือ กับแบรนด์สินค้าที่ภักดีมานาน ...เพราะอะไร???

เชื่อว่าคนทุกคนคงเคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว ไม่สถานะใดก็สถานะหนึ่ง

• อยู่ ๆ เพื่อนคนหนึ่งลุกขึ้นมายื่นหนังสือลาออกกับบริษัทที่ตนทำงานมาครึ่งชีวิต ทั้ง ๆ ที่เคยลั่นวาจากับเพื่อนฝูงว่าจะทำงานที่นี่ไปจนเกษียณ ...บ้านช่องห้องหอตัดสินใจซื้อตามทำเลที่ตั้งของที่ทำงาน ...ลูกให้เรียนโรงเรียนในละแวกที่ทำงานเพื่อสะดวกต่อการรับส่ง ด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถทนอยู่ที่นี่ต่อไปได้แล้ว นั่นคือ “ขาดความไว้วางใจในเจ้านาย ไม่สามารถทำงานร่วมกับเจ้านายคนนี้ได้อีกต่อไป”

• น้องคนหนึ่งเพิ่งแจกการ์ดแต่งงานเมื่อเดือนที่แล้ว ปรากฏ 2 สัปดาห์ก่อนถึงวันแต่งงาน เพื่อนของน้องคนนี้โทรศัพท์มาแจ้งยกเลิกการแต่งงาน สืบสาวราวเรื่องได้ความว่า “ว่าที่เจ้าบ่าวมีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ ทำให้หมดความเชื่อมั่นที่จะใช้ชีวิตกับคน ๆ นี้”

• เพื่อนหลายคู่ที่ “มิตรภาพจืดจาง จนกลายเป็นคนเคยรู้จัก” เพราะ “ความระแวงซึ่งกันและกันที่ก่อพื้นความรู้สึกจากความไม่ไว้วางใจ”

ดังนั้น คงไม่แปลกครับ เมื่อลูกค้า (customer) ในฐานะที่มีอำนาจในการตัดสินใจว่าจะซื้อหรือเลิกซื้อสินค้าหรือบริการยี่ห้อ(brand) ใด เมื่อเขารู้สึกไว้วางใจหรือหมดความไว้วางใจในสินค้าหรือบริการยี่ห้อนั้น

อดีตประธาน ยูนิลีเวอร์ "นีล ฟิตซเจอรัลด์" เคยกล่าวไว้ว่า “หาข้อเท็จจริง หาตัวเลข หาหลักฐานมาสนับสนุน หาคำรับรองมามากเท่าที่ต้องการ แต่ถ้าคุมความวางใจไว้ไม่ได้ คุณไปได้ไม่ถึงไหน”

::::::::::::::::::


ในหนังสือ “พลานุภาพแห่งความไว้วางใจ (The Speed of Trust)” ของ สตีเฟน เอ็ม.อาร์.โควีย์ (บุตรชายของ สตีเฟน อาร์.โควีย์ สุดยอดกูรู-เจ้าของหนังสือขายดี 7 อุปนิสัยสำหรับผู้ทรงประสิทธิผลยิ่ง ) ได้เขียนบทที่หนึ่ง ไว้น่าสนใจ ว่า...

หนึ่งเดียว...ที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง

หนึ่งเดียวที่หากลบทิ้งไป จะทำลายได้ แม้แต่รัฐบาลทรงอำนาจที่สุดในโลก ทำลายองค์กรธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ทำลายตลาดที่กำลังเฟื่องฟู ทำลายผู้นำทรงอิทธิพลที่สุด ทำลายความสัมพันธ์ฉันเพื่อนอันยิ่งใหญ่ ทำลายคุณลักษณะเข้มแข็ง และแม้กระทั่ง ความรักสุดหวานซึ้ง

ในทางตรงกันข้าม หากหนึ่งเดียวนั้นได้รับการพัฒนาฟูมฟักให้งอกงาม สิ่งเดียวนี้จะมีพลังอำนาจสร้างความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองในทุกมิติของชีวิต ( แต่ก็เป็นเรื่องราวที่เข้าใจได้เพียงน้อยนิด ถูกทอดทิ้งและประเมินค่าต่ำในยุคสมัยของเรา)

หนึ่งเดียวนั้นคือ...`ความวางใจ´

::::::::::::::::::


• ความวางใจต่ำก่อให้เกิดแรงเสียดทาน ไม่ว่าจะเกิดจากพฤติกรรมไร้จริยธรรม หรือจริยธรรมที่ขาดไร้ฝีมือ (เจตนาดีไม่อาจแทนที่ดุลยพินิจเลวได้)

• ความวางใจต่ำเป็นต้นทุนสูงที่สุดในชีวิตและในองค์กร รวมทั้งครอบครัว

• ความวางใจต่ำเป็นตัวการของวาระซ่อนเร้น การเล่นการเมือง ความขัดแย้งระหว่างบุคคล การตั้งตัวเป็นศัตรูกันระหว่างแผนก แนวคิด ชนะ/แพ้ การสื่อสารป้องกันตัว แก้ตัว...ทุกเรื่องลดความเร็วแห่งความวางใจ ความวางใจต่ำทำให้ทุกอย่างช้าลง ทุกการตัดสินใจ ทุกการสื่อสาร ทุกความสัมพันธ์

ในทางกลับกัน สตีเฟน เอ็ม.อาร์.โควีย์ บอกว่า ในทางตรงกันข้าม ความวางใจสูงเพิ่มความเร็ว

หัวใจสำคัญของการสร้างความวางใจคือ ผลลัพธ์

- ผลลัพธ์สร้างความภักดีต่อแบรนด์
- ผลลัพธ์จุดแรงบันดาลใจและจุดประกายให้เกิดวัฒนธรรมสู่ชัยชนะ

การผลิตผลลัพธ์ต่อเนื่องสม่ำเสมอ นอกจากลูกค้าจะแวะเวียนกลับมาหาซ้ำอีก ยังแนะนำบอกเล่าให้ผู้อื่นได้ทราบ

ดังนั้น ลูกค้าของเราจะกลายเป็นผู้ส่งเสริมการขายชั้นยอด เป็นฝ่ายขายและฝ่ายการตลาดที่ดีที่สุดของเรา

:::::::::::::::::::


ในหนังสือ The Speed of Trust ยังได้กล่าวถึง 4 แก่นแห่งความน่าเชื่อถือไว้ดังนี้ครับ

#1 มีบูรณภาพ หมายถึงพูดอย่างไรทำอย่างนั้นกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน กล้าที่จะยืนหยัดทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับค่านิยมและความเชื่อ

#2 มีเจตนาดี ไม่หลอกลวงใคร ไม่มีวาระซ่อนเร้น

#3 มีความสามารถในงานที่ทำ

#4 มีผลการทำงานในอดีตที่ผ่านมาดี


• ถ้ามีบูรณภาพเพียงอย่างเดียว ไม่มีอีกสามแก่นที่เหลือ ผู้นั้น เป็นคนดี คนน่ารัก คนซื่อสัตย์ แต่ไร้ประโยชน์

• ขณะที่คนที่มีบูรณภาพ มีความสามารถ และ สร้างงานที่ดีขึ้นมาได้ แต่เจตนาไม่ดี อาจเป็นไปได้ว่าคนผู้นี้ต้องการชนะ ถึงขั้นต้องแลกกับความเสียหายของอีกฝ่าย คนรอบข้างไม่อาจมอบความไว้วางใจได้

• ในทางตรงกันข้าม คนที่มีเจตนาดี แต่ขาดคุณสมบัติอีกสามข้อ จะเป็นคนที่ใส่ใจหวังดี แต่เป็นคนคด คนขี้ขลาด ไร้ทักษะฝีมือ ไม่มีประวัติผลงาน

:::::::::::::::::::


#บทส่งท้าย :

ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ การนำเสนอสิ่งที่เป็นนามธรรมให้กลายเป็นรูปธรรมจับต้องได้ง่าย และนำเสนอถึงพฤติกรรมสำคัญ 13 ประการของผู้ที่ได้รับความไว้วางใจในระดับโลก

อาทิ การพูดตรง สร้างความโปร่งใส เผชิญหน้าความเป็นจริง ฯลฯ รวมทั้งวิธีการฟื้นฟูความวางใจที่สูญหายไปแล้ว

สมัยก่อนที่ผู้คนยังไม่รู้จักเรื่องนี้ ...เมื่อผู้นำต้องการหรืออยากให้อะไรสำเร็จมักจะใช้อำนาจสั่งการ เพราะผู้ที่ด้อยกว่าย่อมเกรงกลัวอำนาจ

ต่างจากในระยะหลังเมื่อทุกอย่างพัฒนาขึ้น พลังแห่งความไว้วางใจจึงเป็นประเด็นที่ต้องมาก่อน

สิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้ทุกอย่างไปสู่ความสำเร็จได้นั้นต้องมีองค์ประกอบจากทั้ง 2 ส่วนควบคู่กันเสมอ นั่นคือทั้ง ความไว้ใจ และ ความวางใจ


• ฝากไฮไลต์ทิ้งท้าย...จากบทบรรณาธิการของหนังสือฯ

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ส ได้ยกคำสอนของขงจื้อ ขึ้นมาเป็นประโยคชวนให้คิด ว่า...

"รัฐบาลที่ดีจำเป็นต้องมีอาวุธ อาหาร และความไว้วางใจ แต่ถ้ามีเหตุต้องสละสิ่งใดสิ่งหนึ่งก่อน นั่นคือ อาวุธ ถัดมาก็เป็นอาหาร และจักต้องปกป้องความวางใจไว้จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต เพราะหากไม่มีความวางใจเสียแล้ว บ้านเมืองล่มจม"

::::::::::::::::::

Credit : หนังสือ พลานุภาพแห่งความไว้วางใจ: The Speed of Trust โดย สตีเฟน เอ็ม.อาร์. โควีย์
.................................................................................................................


ปัญหาของอดีตปาตานี 3: ปาตานีดารุสลาม บาดแผล และความเกลียดชัง

กรณีปืนใหญ่ปาตานีถูกลอบวางระเบิดนั้น ผมมีความรู้สึกหลากหลายมาก ในวูบแรก ใจนึกว่า "ตูว่าแล้วววว ก็แม่งของปลอม" รอยแผลทางประวัติศาสตร์มันถูกย้ำให้ช้ำอีกครั้งก็ตรงปืนปลอมนี่แหละ การส่งปืนปลอมกลับมามันย้ำท่าทีของความเป็นเจ้าอาณานิยมของสยาม/ไทยมาก (ใครจะแปลความหมายเจ้าอาณานิคมเป็นอย่างอื่นก็เป็นสิทธิของเค้า แต่ผมคิดว่าคำนี้เป็นการแปลที่ซื่อสัตย์และมีจุดยืนต่อประวัติศาสตร์บาดแผล) จากนั้น ผมก็หัวเราะในใจ คล้ายความสะใจ ระคนกับความไม่ยี่หร่ะต่อสัญลักษณ์ที่ถูกระเบิด เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า สถานะความเป็น "ปืนปลอม" ในความรู้สึกของคนในพื้นที่นั้นไม่เป็นบวก

อย่างไรก็ตามผมกลับมาซีเรียสทันทีเพราะรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ผิดปกติปรากฏอยู่สองเรื่องใหญ่...

เรื่องแรก ผมหวนนึกถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับปาตานีดารุสลาม (ปาตานีเมืองทองหรือปาตานียุครุ่งโรจน์) ซึ่งมักได้ยินบ่อยมาก ทั้งความเป็นนครรัฐ เมืองท่า รัฐศาสนาอิสลาม มีการปกครองโดยระบบรายา ฯลฯ บางคนเล่าถึงความสงบสุขและรุ่งโรจน์ทางวัฒนธรรม ความรู้ และวิถีทางเศรษฐกิจ เรื่องเล่าเช่นนี้ ผมไม่อาจยืนยันได้ว่าจริงหรือไม่ หรือข้อเท็จจริงในยุคนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ เอาเป็นว่า จุดยืนของผมคือ การมีอยู่ของปาตานีดารุสลามนั้นคือ เรื่องเล่าซึ่งเป็นเครื่องมือหนึ่งในการต่อสู้ทางการเมืองและต่อสู้กับอำนาจแบบอาณานิคม แน่นอน หากเราย้อนกลับไปดูตัวอย่างเช่น งานเขียนของ อ.บางนรา เรื่อง ปัตตานี อดีต และปัจจุบัน ซึ่งเขียนขึ้นมาจากสถานะการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน จะพบว่า ปาตานีดารุสลามเป็นเสมือนโครงเรื่องหลักที่ช่วยย้ำให้เห็นถึงความรุ่งโรจน์ของปาตานีที่ถูกทลายลงด้วยน้ำมือของเจ้าอาณานิคม อ.บางนรา เคยเอ่ยกับผมว่า สมัยที่เขียน เค้ายังหนุ่มรู้สึกอยากต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม เขาได้นำหลักฐานประเภท ฮิกายัต ปาตานี กับ เซอจาเราะห์เกอราจาอัน มาใช้ ผสมกับการตีความจากประสบการณ์ตรง...ใช่ การต่อสู้กับอาณานิคมจำเป็นต้องมีอดีตที่ยิ่งใหญ่รองรับ ควบคู่ไปกับโศกนาฏกรรมที่เล่สู่กันฟัง อาทิ การถูกปล้นปืนใหญ่ ผู้คนจำนวนมากถูกเชือกร้อยขาไปอยู่ที่สยาม โดยเฉพาะในบริเวณ ปากลัด อ. พระประแดง ซึ่งน่าจะเป็นจุดแรกที่คนมลายูซึ่งถูกกวาดต้อนมาตั้งรกรากในสยา

แต่หลังจากการต่อสู้เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนล่ะ สถานะของปาตานีดารุสลามเป็นอย่างไร ? สถานะของเรื่องเล่านี้ค่อนข้างแตกกระจายพอควร ด้านหนึ่งชนชั้นนำท้องถิ่นก็มักเอาเรื่องเล่าชุดนี้ไปเสริมความเข้มขลังและสูงชั้นของตนเอง นักการเมืองท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่รัฐก็เอาไปส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่สำหรับชาวบ้านโดยทั่วไป สถานะภาพของเรื่องเล่า เปรียบเสมือนภาพแทนตนเองยามที่พวกเค้าไร้สิทธิ หรือไม่มีพื้นที่ทางสังคม เพราะอย่างน้อย การเล่าเรื่องอดีตที่ยิ่งใหญ่ก็พอทำให้ "คนตัวเล็กตัวน้อย" (?) พอมีที่ยืนได้บ้าง ทว่า ท่ามกลางความแตกกระจายของเรื่องเล่า สิ่งหนึ่งที่ยังคงตกทอดมาอย่างต่อเนื่องคือ ความเกลียดชังและไม่ไว้วางใจ เจ้าหน้าที่รัฐหรือตัวแทนอำนาจรัฐ เมื่อผสมกับความอยุติธรรมจากรัฐในพื้นที่มากมาย ทั้งนโยบายการพัฒนา อคติทางวัฒนธรรม และการเหยียดศาสนา โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของความเป็นเจ้าอาณานิคมของสยามจึงเด่นชัดมากขึ้นและมากขึ้น ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างปาตานีและสยามจึงเป็นประวัติศาสตร์ของความรู้สึก เป็นประวัติศาสตร์ของความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากเรื่องเล่าบนข้อเท็จจริงของเหตุการณ์

น่าฉงนที่สุดคือ รัฐไทยเป็นรัฐสมัยใหม่แล้ว (?) แต่การเป็นรัฐสมัยใหม่ของไทยกลับวางอยู่บนบาดแผลและปัญหาทางรู้สึกจากรัฐจารีต ความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านจากอดีตกลายเป็นพลังอันแรงกล้าเพียงพอที่จะทำให้เกิดทัศนะเชิงลบต่อรัฐ รวมไปถึงการสะใจที่เห็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนอำนาจรัฐส่วนกลางพังทลายหรือสูญเสีย

กรณีปืนใหญ่ปาตานีปลอมก็เช่นกัน ผมเข้าใจทันทีว่าเหตุใดเพื่อนพ้องหลายท่านทั้งที่เป็นในและคนนอกจึงแสดงอาการสะใจ ทว่า เราจะมีอาการแบบนี้ไปได้นานสักเท่าไรและจำเป็นหรือไม่ที่ต้องยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐ ทั้งที่เราสามารถสร้างพื้นที่ทางเลือกอื่นๆ ที่สามารถวิพากษ์รัฐและวิพากษ์ความไม่เป็นธรรมโดยรัฐได้อีก ผมรู้สึก (ย้ำ รู้สึก) ถึงภาพตรงข้ามสุดของการไม่เอาสัญลักษณ์ของรัฐหรือของปลอมที่ไม่สามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ หากเราแปรความสะใจให้กลายเป็นการรณรงค์ทวงคืน "ของจริง" กลับคืนมาคงดีกว่านี้ หากกล่าวอย่างถึงที่สุด ผมคิดว่า หากความสะใจ วางอยู่บนพื้นฐานของความไม่ไว้วางใจจนไปถึงความเกลียดชังซึ่งรากตออาจมีเชื้อมูลจากเรื่องเล่าปาตานีดารุสลามผสานกับความไม่เป็นธรรมในชีวิตประจำวันแล้ว พลังในการเคลื่อนไหวย่อมลดทอนลงไป โดยเฉพาะการค้นหาวิธีการใหม่ๆ ที่ตอบสนองกับปัญหาในปัจจุบัน เพราะด้านหนึ่ง เรื่องเล่าปาตานีดารุสลามก็เริ่มเสื่อมถอย ไร้พลังลงทุกขณะเนื่องจากถูกฉวยใช้จนสิ้นมนตร์ขลังในการต่อสู้ให้กบความไม่เป็นธรรม ทั้งยังเป็นเรื่องเล่าขนาดใหญ่หรือมหภาคซึ่งไม่มีชีวิตของสามัญชนบรรจุไว้แต่อย่างไร

ผมจึงคิดว่าการเคลื่อนไหวในขณะนี้ พวกเรามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเปิดพื้นที่อดีตอันหลากหลายของปาตานี อดีตของสามัญชนที่ได้รับความไม่เป็นธรรม การจดจำอำนาจรัฐจากคนธรรมดา หรือแม้กระทั่งการรวบรวมประวัติศาสตร์บอกเล่าในอดีตระยะสั้นคือในรอบทศวรรษที่ผ่านมา เป็นต้น อดีตปาตานีที่หลากหลายนี่แหละจะมารองรับและช่วยผลักดันความประวัติศาสตร์ความรู้สึกระหว่างปาตานีกับสยามไปอย่างถูกทิศและใกล้ชิดกับความเป็นจริงและชีวิตของคนธรรมดามากขึ้น

และครั้งนี้ ใครจะหัวเราะ สะใจ ใคร่ครวญ ฯลฯ ต่อกรณีปืนใหญ่ปลอมหัก หรือ คิดจะทวงคืน "ของจริง" กลับคืนมา ก็ตามสบาย

เรื่องที่สอง ผมกลับทะลึ่งคิดจริงๆ จังว่า ปืนใหญ่ที่ถูกระเบิดไปนั้น คือ "ปืนใหญ่ของจริง" แน่นอน มันไม่ใช่ปืนใหญ่ปาตานี แต่มันคือปืนจริงๆ ที่ถูกหลอมขึ้นมาจากศูนย์กลางอำนาจ เพื่อเป็นเสมือนสินสอด ของขวัญ หรือเครื่องปลอบใจแก่ปาตานี แน่นอน ถ้าเป็นสินสอด คนปาตานีมีสิทธิที่จะไม่แต่งงานด้วย แต่ถ้าปืนใหญ่นี้คือของขวัญล่ะ หัวใจของการแลกเปลี่ยนครั้งนี้คือ การได้มาซึ่งความสงบ (ราบคาบ?) ที่มากขึ้นของคนในพื้นที่ การระเบิดสัญลักษณ์จากศูนย์กลางอย่างปืนใหญ่จึงถือเป็นการสะบั้นความสัมพันธ์และมีนัยของความรุนแรงที่ทวีมากขึ้น

ใช่ มันคือปืนปลอมและการส่งปืนปลอมคืนสู่เจ้าของ คือ การใช้อำนาจในลักษณะอาณานิคม แต่พวกเรามีความจำเป็นต้องเข้าใจอำนาจรัฐมากขึ้น ต้องตระหนักในความแยบยลของการใช้อำนาจเข้าควบคุม ตรวจตราของรัฐในชีวิตประจำวันมากขึ้นด้วย ผมรู้สึกสังหรณ์ใจว่า ความรุนแรงจากรัฐทั้งในด้านที่มองเห็นและมองไม่เห็นจะมีมากขึ้น ลำพังชาวบ้านหรือคนในพื้นที่ทุกวันนี้ก็อยู่ยากกันมากพอแล้ว

ที่ผ่านมาสัญลักษณ์ของรัฐหรือสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนอำนาจรัฐในพื้นที่ เช่น ตัวอักษรไทย ตราครุฑ สีเสื้อ เครื่องแบบ ฯลฯ แม้จะเป็นฝ่ายคุกคามและเหยียดหยามชีวิตของคนมลายูมาก่อน แต่ก็ถูกตอบโต้กลับด้วยวิธีการต่างๆ มาตลอด ความต่างของกรณี ปืนใหญ่นี้ อยู่ตรงที่ว่า มันคือสินน้ำใจของรัฐที่มอบให้เพื่อหวังสันติสุขเป็นการตอบแทน การระเบิดปืนใหญ่จึงเป็นการหักหน้าการใช้อำนาจรัฐแบบอาณานิคมอย่างตรงไปตรงมา ความรุนแรงต่อผู้คนธรรมดาจึงอาจมีแนวโน้มที่สูงขึ้น

อย่าลืมคิดในมุมกลับด้วยว่า ปืนที่ส่งมามันไม่ใช่ปืนใหญ่ปาตานี แต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจรัฐ

เท่าที่ผมติดตามข่าวสารมาบ้าง หลังจาก "ปืนหัก" มันไม่ได้มีแค่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าปืนมันเปราะหรือไม่แข็งแรง รวมไปถึง เจออักขระแปลกคล้ายยันต์ในตัวลำกล้องปืน แต่หลังจากปืนหัก บรรดา "คนไทยแท้" ทั้งหลายก็ได้แสดงความเกลียดชังต่อมุสลิมและผู้คนในสามจังหวัดมากขึ้นด้วยเช่นกัน

เรื่องเล่าของรัฐสยามผู้เมตตาและรักสงบได้ถือกำเนิดขึ้นในเฟชบุคและสื่อต่างๆ ประวัติศาสตร์แห่งความเกลียดชังได้ถือกำเนิดอีกครั้ง พลังของมันจะยิ่งใหญ่กว่าปาตานีดารุสลามและนำมาซึ่งความรุนแรงที่มากขึ้น

ผมรู้สึกกังกล หดหู่ ตึงเครียด และรู้สึกว่าปัญหาในภาคใต้จะทวีความซับซ้อนมากขึ้นในทันทีหลังจากปืนใหญ่กระบอกนี้ถูกลอบวางระเบิด เพราะเมื่อเราต่างถือประวัติศาสตร์บาดแผลคนละชุดและเชื่อมต่อมันด้วยความเกลียดชังอย่างสุดขั้ว หนทางในการสร้างสันติภาพคงไม่ต้องเอ่ยถึง

ความหวังของผมซึ่งไม่ใช่นักประวัติศาสตร์เลยก็คือ การเปิดพื้นที่อดีตอันหลากหลายของปาตานี เพื่อที่ว่าสามัญชนจะสามารถมีพื้นที่ทางความรู้สึกได้มากกว่าความเกลียดชัง เคียดแค้น และไม่ไว้วางใจ หรือ หากพวกเค้ามีความรู้สึกเช่นนั้น โอกาสที่จะได้ใคร่ครวญหรือทบทวนตัวเองบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริงก็จะมีมากขึ้น

แน่นอน มันไม่ใช่แค่อดีตที่หลากหลายของปาตานีหรอก อดีตที่หลากหลายของบรรดา "ไทยแท้แท้" ก็มีความจำเป็นต้องรื้อใหม่ด้วยเช่นกัน
....................................................................................................................

แค่ข้อ 1 ก็ชอบละ
^_^




'21 ข้อคิดจาก ศุ บุญเลี้ยง'

1. อย่าหาสมุดที่ห้องสมุด สมุดหาที่ศูนย์หนังสือ
2. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จไม่อยู่ที่นั่นเสมอไป
3. เรียนรู้สิ่งที่พ่อ แม่ ไม่สั่งสอนด้วย
4. อย่าไว้ใจคนที่สุภาพเกินไป
5. ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างจริงจัง
6. พกปากกา
7. อย่าบอกว่าดีหรือไม่ดี ให้ใช้คำว่า ชอบหรือไม่ชอบ
8. ใช้ไหมขัดฝัน
9. ซื้อของที่คุ้ม ของที่ดี ไม่ใช่ของถูกหรือแพง
10. หาโค้ชดีให้เจอ (ต้องโดน)
11. โจมตีความคิดตัวเอง
12. ฝึกโดนติ
13. สิ่งสำคัญต้องใช้สัมพันธภาพแลกมา
14. หัดฉวยจังหวะ คว้าโอกาส พร้อมที่จะใช้โอกาส
15. อย่าช่วยคนที่ถูกกระชากสร้อ
16. หัดใช้โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ อ่านคู่มือและศึกษาความเหมาะสม ฝึกดูแผนที่
17. อย่าทำงานเป็นฝูง ให้ทำเป็นทีม
18. กล้าในสิ่งที่ควรกล้า กลัวในสิ่งที่ควรกลัว
19. ประหยัดอารมณ์
20. อย่าตัดสินคนจากการแต่งตัว แต่แต่งตัวให้ดี
21. ทางไปสู่ความลำบากนั้นไปสบาย ทางไปสู่ความสบายนั้นไปลำบา

ขอขอบคุณข้อมูลจาก บทสัมภาษณ์ ศุ บุญเลี้ยง สุขแบบพอดี
ขวัญเรือน ฉบับ 924 ปักษ์หลังเดือนพฤษภาคม 2553

ติดตามแรงบันดาลใจดีดีในการทำธุรกิจ จากนักคิด นักธุรกิจ นักสร้างสรรค์ ได้ที่ www.abcbangkok.in.th
....................................................................................................................



"ขอต้อนรับเช้านี้ด้วย สเน่ห์ของวิทยาศาสตร์" ผู้สันทัดกรณีท่านหนึ่ง
..................................................................................................................................

...............................................................................................................................



ทุกวันนี้ศาสนาและความจริงมักจะถูกบดบังด้วยอภินิหารหรือสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ จนทำให้เรามองไม่เห็นแก่นของศาสนาและความจริงที่อยู่รอบๆตัวเรา ใช้สติและเหตุผลน้อยกว่าความเชื่อหรือตำนานและยังเป็นพวกเสพติดอภินิหารทุกรูปแบบไปแล้ว คุณลองคิดดูละกันว่ามันจริงไหม! (เพื่อนๆในเพจนี้ทำให้พวกผมดีใจที่ยังมีคนที่มองเห็นความจริงเหมือนพวกผมเช่นกัน) j Fuckghost
....................................................................................................................



"การค้นพบเมนูอาหารจานใหม่นั้นสำคัญไม่แพ้การค้นพบดาวดวงใหม่บนฟากฟ้า"
ใครก็ไม่รู้เคยพูดไว้ ความคิดเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จากแม่ครัว ดีไซน์เนอร์ ช่างผม นักจัดแจกัน ฯลฯ ทำให้โลกขับเคลื่อนไปอย่างมีชีวิตชีวา
รวมไปถึงสิ่งประดิษฐ์ขำๆแบบนี้ด้วย ถ้วยกาแฟที่มาพร้อมกับจานคุ๊กกี้ ประหยัดทั้งที่ และคุ้กกี้ได้อุ่นร้อนไปด้ว
......................................................................................................................



กรมพระนครสวรรค์ฯ กับข่าวลือว่าทรงเป็นเจ้านายที่ร่ำรวย
หาอ่านได้ ในศิลปวัฒนธรรมฉบับ มิถุนายน ๒๕๕๖

"---เพราะผู้ที่เกลียดชังได้พากันเสแสร้งส่งข่าวลือว่าฉันมีเงินมากมายเกินความจริงไปตั้งหลายร้อยเท่า จนผู้ที่ไม่รู้ความจริงหรือไม่มีวิจารณญาณหลงเชื่อกันไปได้---"

เป็นข้อความที่สมเด้จฯกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงปรารภึงข่าวลือที่ว่าทรงเป็นเจ้านายที่ร่ำรวย ซึ่งคณะราษฎรถือเป็นข้อ้อางข้อหนึ่งที่ว่าเจ้าเอาเปรียบสามัญชนจนร่ำร่วย เพื่อเป็นสาเหตุหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงกาปรกครอง พ.ศ.๒๔๗๕

พระองค์ทรงร่ำรวยจริงหรือเปล่า? หาอ่านได้ในคอลัมน์ วาทะเล่าประวัติศาสตร์ ของคุณศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย ในศิลปวัฒนธรรมฉบับ มิถุนายน ๒๕๕๖
.........................................................................................................................


โปรดทราบ... โปรดทราบ..

นักลงทุนทั้งรายย่อยและรายใหญ่

โปรดอย่าได้กังวลไป...ถ้าหุ้นลงวันละ 63 จุดแบบนี้ จะลงได้ไม่เกินอีก 22 วันน่ะครับน่ะ

^_^ ทั้งน้ำตา!!

เครดิต: Mj Boyz
............................................................................................................................


แนวรับอยู่ที่ไหน

Q : พี่ครับ ตอนนี้แนวรับอยู่ที่ไหนครับ?
A : ตอนนี้แนวรับที่สำคัญที่สุด อยู่ที่ ..... "ใจ" ครับ
Q : ........ ???!!!???
..........................................................................................................................


ใจชาหน้าฝน - ชฮม. [Official MV.]

https://www.youtube.com/watch?v=W3MVZ2iYwCU
..........................................................................................................................


วันนี้ขอยกคำพูดของ John Cage ซึ่งเขากล่าวไว้น่าสนใจมาก "I can't understand why people are frightened of new ideas. I'm frightened of the old ones."

เขาบอกว่าเขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงกลัวกับความคิดใหม่ สิ่งที่น่ากลัวสำหรับเขาคือความคิดเก่า

ลองคิดถึงความหมายของประโยคนี้มันสื่อถึงประเด็นประเด็นหนึ่งในชีวิตของคนเราที่ลึกซึ้งมาก
..........................................................................................................................

.....................................................................................................................

จาก Status: พี่ Wiriyah Eduzones

The creative thinking skill is very important today and much more important from now on.



มาเล่นกันเถอะ มาเล่นกันเถอะ!
เล่นเกมสะสมคะแนน ชิงรางวัลได้ที่นี่ค่ะ
http://www.jsfutureclassroom.com/creativeplus

Jagal Skardig 5+square root 9

............................................................................................................................



ชีวิตมีขึ้นมีลงนะครับ
...........................................................................................................................



ยืนด้วยเท้าของตนเอง
วินทร์ เลียววาริณ...

ใจกลางเมืองที่ผมอาศัยอยู่มีขอทานมากมาย ทั้งนอน ทั้งนั่งบนทางเท้า ตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนพระออกบิณฑบาตยันดึก ขอทานมีตั้งแต่คนแก่พิการไร้แขนขา ตาบอด ไปจนถึงเด็กทารกที่ยังไม่รู้ความ ทางเท้าบางช่วงที่เป็นทำเลดี ขอทานนั่งห่างอยู่ห่างกันไม่กี่ก้าว

หลายคนพิการ หลายคนบาดเจ็บ ร่างกายของบางคนมีรอยเลือดเกรอะกรังบนผ้าพันแผล ผ่านไปกี่เดือน ๆ แผลก็ไม่หายสักที

บางรายขอแค่ค่าข้าวเพียงมื้อเดียว บางรายเป็นโรคเท้าช้าง ขอเงินไปรักษาโรคของตน

ใจกลางเมืองที่ผมอาศัยอยู่มีขอทานมากมาย

ผมคงไม่ใช่คนเดียวที่ตั้งคำถามในใจว่า หนึ่ง เรารู้ได้อย่างไรว่าขอทานคนไหนที่เดือดร้อนลำบากจริง ๆ สอง เราควรสงเคราะห์ขอทานเหล่านี้หรือไม่ ไม่ว่าเขาจะลำบากจริงหรือไม

สังคมไทยเป็นการรวมกลุ่มของการเกื้อกูลกัน รากเหง้าวัฒนธรรมของเราคือ การไม่ทอดทิ้งคนยาก ไม่ละทิ้งคนแก่ แต่ทว่า เมื่อมีคนยากมากมายเหลือเกิน และเงินทองมิใช่ของหามาได้ง่าย ๆ เหมือนทำธุรกิจผูกขาด เราก็มาหยุดที่ทางสองแพร่ง

หลับตาไม่ช่วยพวกเขาก็ได้ เราเองก็ไม่ได้มีเงินเหลือมากมาย หากช่วยพวกเขา รู้ได้อย่างไรว่าช่วยคนผิด คนที่ฉวยโอกาสหากินบนความใจอ่อนของคน

ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่มีคำตอบสำหรับปัญหานี้ เคยตัดสินใจตั้งจุดยืนว่าจะไม่ให้ เพื่อพวกเขาจะได้ถูกบังคับให้ยืนหยัดสู้ชีวิต ทำนองไม่ซื้อสัตว์ป่า ก็ย่อมไม่มีคนล่าสัตว์ป่ามาขาย แต่เมื่อเห็นสีหน้าแววตาของขอทานหลายคน ก็อดเปลี่ยนใจไม่ได้ คิดในใจว่า

"สมมุติว่าเขาเดือดร้อนจริงล่ะ?"

การยืนด้วยเท้าตนเองเป็นสิ่งที่ควรกระทำ แต่หากไม่มีเท้าเล่า?

เมื่อมีลูก ผมรู้สึกเศร้าทุกครั้งที่เห็นเด็ก ๆ นั่งขอทาน พวกเขาน่าจะอยู่ในห้องเรียน ในอ้อมกอดของครอบครัว นึกต่อไปว่าหากลูกของเราต้องไปนั่งริมถนน กราบไหว้คนผ่านทางเพื่อเศษเงิน หัวใจของเราคงแหลกสลาย

เมื่อหันไปดูต่างประเทศ พบว่าแทบไม่มีที่ใดที่ให้เงินขอทานเลย

ในประเทศเพื่อนบ้านเช่นสิงคโปร์ นอกจากไม่มีใครให้เงินขอทานแล้ว ยังจับขอทานในข้อหาผิดกฎหมายด้วย ทางเท้าในเมืิองนั้นจึงโล่งไร้ชีวิต

แต่สภาพของผู้คนของแต่สังคมไม่เหมือนกัน ยิ้มสยามเป็นจุดเด่นของเรามานานแล้ว ไม่ใช่ตรงรอยยิ้ม แต่ตรงหัวใจงาม

อาศัยช่องโหว่ทางอารมณ์แบบนี้ ขอทานจึงยังยืนหยัดอยู่ได้ในบ้านเรา ตั้งแต่คนที่เดือดร้อนจริงไป นักการตลาดที่ชอบใช้สูตร Emotional blackmail ไปจนถึงชนชั้นปกครองที่เล่นบทน่าสงสาร

ความสงสารเป็นอาวุธอย่างหนึ่ง ตัวละครที่น่าสงสารขายได้เสมอทั้งในนิยายและชีวิตจริง

เช้าวันนี้ไม่มีขอทาน

ชายซอมซ่อคนหนึ่งเดินมาหาผม บอกว่าเขามาจากจังหวัดหนึ่งที่ไกลมาก ขอแค่ค่ารถกลับบ้าน...

วินทร์ เลียววาริณ, 9 ตุลาคม 2548
www.winbookclub.com
---------------------------------------
โครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน มูลนิธิกระจกเงา
โทร. 02-941-4194-5
Email : info@notforsale.in.th
Page : https://www.facebook.com/mirrorf
.........................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น