ฟังจากมุม "ภาวิช ทองโรจน์" ภารกิจพลิกโฉมการศึกษาไทย
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1370873794
......................................................................................................................
They proved that disability is not inability.
..............................................................................................................................


ผมย้ายที่นั่ง
เปลี่ยนแว่นอันใหม่เพื่อเปลี่ยนมุมมอง จะไม่เรียกว่า “โจรก่อการร้าย” หรือ”โจรแบ่งแยกดินแดน” หรือ”ผู้ก่อความไม่สงบ”ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเป็นการมองมุมเดียวแล้วตั้งชื่อตามความเข้าใจ บนข้อมูลจากสื่อที่ได้รับทางเดียว แต่จะเรียกกลางๆว่า “ผู้ก่อเหตุรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้” น่าจะเหมาะสม การตัดสินสรุปเรื่องราวใด คงต้องหาข้อมูลรอบด้านทั้งสองฝ่าย มองย้อนหลังไปหาอดีต หารากเหง้า
อาณาจักรปัตตานี
ไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าเกิดขึ้นเมื่อใด ใครเป็นผู้ก่อตั้ง แต่น่าจะเกิดในสมัยแคว้นลังกาสุกะ ราวพุทธศตวรรษที่ 11 เดิมนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน แต่ราวพุทธศตวรรษที่ 21 ได้เริ่มเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม มีความเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์ศรีวังสา อาณาจักรปัตตานีก็เริ่มเสื่อมลง ปี พ.ศ.2329 รัชกาลที่ 1 ทรงยกทัพไปตีเมืองปัตตานีได้ ปัตตานีจึงตกเป็นของสยามตั้งแต่บัดนั้น สยามยึดเอาทรัพย์สมบัติและปืนใหญ่ที่หล่อในสมัยรายาบีรูไป 3 กระบอก เหลือมาถึงกรุงเทพฯเพียง 1 กระบอก คือปืนใหญ่ พญาปัตตานี ปัจจุบันอยู่หน้ากระทรวงกลาโหม แต่ความไม่พอใจต่อการปกครองของชาวสยาม ทำให้เกิดกบฏ 2 ครั้ง ต่อมาสมัยรัชการที่ 2 จึงแยกปัตตานีเป็น 7 หัวเมือง พอถึงรัชกาลที่ 3 ทรงตัดสินพระทัยให้ราชวงศ์กลันตันปกครองปัตตานีต่อมา และกวาดเอาเชลยมาตั้งถิ่นฐานริมคลองแสนแสบ จนมาถึงปี พ.ศ.2445ในรัชกาลที่ 5 ได้จัดการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ถือเป็นปีสิ้นสุดของอาณาจักรปัตตานี กลายเป็นส่วนหนึ่งของสยามโดยสมบูรณ์
ในปี พ.ศ.2466
ชาวบ้านจำนวนมากออกมาประท้วงข้าราชการและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ในรัชกาลที่ 6 ทรงออกพระบรม ราโชบายไว้ 6 ข้อ เพื่อแก้ไขความไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่และข้าราชการ นำไปสู่การยุบมณฑลปัตตานีเป็น 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จึงถึงปัจจุบัน พอมาถึง พ.ศ.2482 จอมพล ป.พิบูลสงครามจัดตั้งสภาวัฒนธรรม บังคับให้ประชาชนสวมหมวก แต่งกายแบบไทย ห้ามพูดภาษามลายู ทำตามวัฒนธรรมไทย และยังมีการกดขี่จากเจ้าหน้าที่รัฐ จนลุกลามเป็นกบฏในปี พ.ศ.2491 มีคนเสียชีวิต 400 คนยังไม่พอ มีการประท้วงของชาวบ้านกว่า 3 หมื่นคนในพ.ศ.2528 เมื่อกระทรวงศึกษาธิการออกคำสั่งให้ประดิษฐานพระพุทธรูปข้างเสาธงโรงเรียน เพื่อจัดกิจกรรมหน้าเสาธงในตอนเช้าทุกวัน...เป็นปีที่ผมดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ ได้นำพระพุทธรูปจำนวน 3 องค์บรรทุกรถสี่ล้อรับจ้างขึ้นอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อส่งมอบให้โรงเรียนดำเนินการ...อีก 3 ปีต่อมาออกคำสั่งห้ามคลุมศีรษะ(ฮิญาบ)เข้าสถานศึกษาหรือกรณีมัสยิดกรือเซะ มีผู้เสียชีวิต 107 คน รวมทั้งเหตุการณ์ตากใบมีผู้เสียชีวิต 84 คน.
การศึกษาประวัติศาสตร์
ปัตตานีในภาษาไทย มีไม่มากนัก หลักสูตรในโรงเรียนนำเสนอตามที่ชนชั้นปกครองที่มีอำนาจขณะนั้นตั้งธงไว้ เรื่องราวบางอย่างจึงไม่ได้ถูกบันทึกไว้หรือละเลยมองข้ามไป ประวัติศาสตร์ในโรงเรียน จึงเป็นเพียงเหตุการณ์ส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด บางครั้งถูกบิดเบือนผิดเพี้ยนไป ปัตตานีในประวัติศาสตร์ไทย คือประเทศเอกราช แขก ที่มีแต่เรื่องวุ่นวาย มีการเคลื่อนไหวประท้วงและก่อการกบฏ อิสลามในประเทศไทยมี 2 กลุ่ม ซึ่งเราเรียกว่าแขกหรือบัง ขอบอกว่า แขกพวกหนึ่งใจไม่รักคนไทยเลย ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนไทย แขกพวกนั้นเรียกว่า แขกมลายู ...อย่ามึนหัวนะครับ อีกพวกหนึ่งเรียกว่า แขกไทย แขกไทยก็คือพี่น้องอิสลามที่เป็นคนไทยทั้งกายและใจ ไม่เอาเรื่องศาสนามาเป็นปัญหา ไม่ว่ากรณีใด ส่วนพวกแขกมลายูตั้งตัวเป็นโจรปัตตานี...ผมยิ่งค้นคว้าหาความจริงมากขึ้น ก็ยิ่งเข้าใจและเห็นใจพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนใต้มากขึ้นเป็นลำดับ.
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง ..............................................................................
|
......................................................................................................................


» คู่แข่งที่แท้จริง
ทุกปีในสหรัฐอเมริกาจะมีการประกวดแข่งขันสะกดคำโดยจำกัดเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า ๑๖ ปี งานนี้เป็นงานระดับชาติ มีเด็กมาร่วมแข่งขันถึง ๑๐ ล้านคน และมีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศในรอบสุดท้าย
กรณีศึกษาวันนี้ เป็นเหตุการณ์ในปี ๒๕๔๙ ซึ่งมีผู้ที่ฝ่ามาถึงรอบสุดท้ายเพียง ๑๓ คน
- ตัวเต็งอันดับ ๑ คือ ซามีร์ ปาเตล วัย ๑๒ ขวบ ซึ่งปีก่อนได้อันดับ ๒ - ตัวเต็งอันดับ ๒ คือ ราชีพ ทาริโกพูลา ซึ่งได้ที่ ๔ เมื่อปีก่อน
ชัยชนะน่าจะเป็นของซามีร์ แต่แล้วเขาก็พลาดเมื่อเจอคำว่า eramacausis (แปลว่าอะไร โปรดหาจากพจนานุกรมเล่มใหญ่ ๆ เอาเอง)
การตกรอบของซามีร์ ทำให้ราชีพเป็นตัวเต็งอันดับ ๑ ทันที
มีนักข่าวคนหนึ่งถามราชีพว่า ดีใจไหมที่คู่ปรับตกรอบไป คำตอบของราชีพก็คือ “ไม่ครับ นี่เป็นการแข่งขันกับ คำ ไม่ใช่กับ คน ครับ”
ไม่ทันขาดคำ เสียงตบมือก็ดังก้องห้องประชุม
::::::::::::::::::
คำตอบของราชีพคงทำให้ผู้ใหญ่หลายคนได้คิด ใช่หรือไม่ว่าเวลาเราแข่งขันในเรื่องอะไรก็ตาม เรามักจะมองเห็นผู้ร่วมแข่งขันเป็นปรปักษ์หรือฝ่ายตรงข้าม ในใจจึงอยากให้เขามีอันเป็นไป เพื่อเราจะได้เป็นผู้ชนะแต่ผู้เดียว
หารู้ไม่ว่าลึก ๆ ความอิจฉาและพยาบาทกำลังก่อตัวขึ้น ดังนั้นแข่งไปจึงทุกข์ไป แข่งเสร็จแล้วก็ยังทุกข์อีกที่เห็นคนอื่นเก่งกว่าตน
แต่สำหรับราชีพ แม้การแข่งขันจะดุเดือดอย่างไร เขาไม่ได้มองไปที่คน แต่มองไปที่คำ สำหรับเขาความท้าทายอยู่ที่การต่อสู้กับคำยาก ๆ คำยากทุกคำคือปริศนาที่เขาต้องถอดออกมาเป็นตัว ๆ ให้ได้
เมื่อใจไปจดจ่ออยู่ที่คำเหล่านี้ เขาจึงไม่ยินดียินร้ายที่ผู้ร่วมแข่งขันจะไปหรืออยู่
แม้ว่าในที่สุดราชีพจะได้เป็นที่ ๔ (เพราะแพ้คำว่า Heiligenschein) แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทุกข์เพราะเกลียดหรืออิจฉาคนที่เก่งกว่าเขา คงมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะศึกษาค้นคว้าให้หนักขึ้นเพื่อพิชิตคำยาก ๆ ในปีหน้า
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปีหน้าเขาต้องฉลาดกว่าปีนี้แน่ มองในแง่นี้ แม้เขาจะ “แพ้” แต่เขาไม่ขาดทุนเลย กลับมีกำไรด้วยซ้ำ
::::::::::::::::::
มุมมองของราชีพนั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะในยามแข่งขันเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าสำหรับการดำเนินชีวิตและสัมพันธ์กับผู้คนด้วย
ใช่หรือไม่ว่า ในชีวิตประจำวัน เมื่อเราถูกวิพากษ์วิจารณ์ ใจเรามักจะพุ่งตรงไปยังคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่ค่อยสนใจคำวิพากษ์วิจารณ์เท่าใดนัก
ดังนั้นแม้ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์จะถูกต้อง ให้แง่คิดที่ดี เพียงใดก็ตาม แต่เราไม่สนใจที่จะไตร่ตรองเสียแล้ว เพราะใจนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดและโกรธคนที่วิพากษ์วิจารณ์เรา
ถ้าเราหันมาใส่ใจกับคำวิพากษ์วิจารณ์กันให้มากขึ้น และสนใจให้น้อยลงกับการตอบโต้เพื่อเอาชนะคะคานคนที่วิพากษ์วิจารณ์ นอกจากเราจะทุกข์หรือโกรธเกลียดน้อยลงแล้ว เรายังมีโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากคำวิพากษ์วิจารณ์นั้นด้วย โดยเฉพาะหากเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ถูกต้อง ด้วยท่าทีเช่นนี้ เราจะได้กำไรสถานเดียว
คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณ ถึงกับบอกว่า วันไหนไม่ได้รับคำตำหนิ วันนั้นถือเป็นอัปมงคลเลยทีเดียว
เวลาทำงานก็เช่นกัน ถ้าเรามองว่านี้เป็นการต่อสู้ปลุกปล้ำกับงาน เราจะไม่เดือดร้อนที่คนอื่นทำได้ดีกว่าเรา ใครจะดีจะเก่งก็เป็นเรื่องของเขา เพราะในใจนั้นนึกอยู่เสมอว่า “ฉันกำลังแข่งขันกับงาน ไม่ใช่แข่งขันกับคนอื่น”
นอกจากจะไม่อิจฉาเขาแล้ว ยังพยายามเรียนรู้จากเขาว่ามีวิธีการอย่างไร เพื่อเอาไปใช้ในการพิชิตงานที่กำลังทำอยู่ หรือทำให้งานนั้นดีขึ้น
::::::::::::::::::
#บทสรุป :
มองให้ลึกลงไปแล้ว คนไม่ใช่คู่แข่งของเรา กิเลสตัณหา ความเห็นแก่ตัว หรือความหลงตนต่างหากที่เป็นคู่แข่งของเรา
แทนที่จะสู้กับใครต่อใคร เราควรหันมาสู้กับอกุศลธรรมในตัวเราดีกว่า ที่แล้วมาเราต่อสู้กับใครต่อใครมากแล้ว แต่ไม่ได้ต่อสู้กับอกุศลธรรมเหล่านี้ เราจึงทุกข์ไม่เว้นแต่ละวัน
ถึงที่สุดแล้ว แม้แต่คนที่คิดร้ายต่อเรา เขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูของเรา ความโกรธเกลียดหรือความเห็นแก่ตัวในใจเขาต่างหาก ที่เป็นศัตรูของเรา
สิ่งที่เราควรจัดการคือความชั่วร้ายในใจของเขา มิใช่จัดการตัวเขา ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะปลอดภัยและมีชีวิตที่สงบสุขอย่างแท้จริง เพราะการขจัดศัตรูที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนเขามาเป็นมิตร
แล้วอะไรล่ะที่จะเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรได้ หากมิใช่การใช้ความดีชนะใจเขา
ด้วยความปรารถนาดี
#ทีมงาน Life 101
::::::::::::::::::
Credit : รินใจ | นิตยสาร : Family Vol. มิถุนายน ๒๕๔๙
|
.....................................................................................................................
ไม่รู้ว่า Saussure กับ Derrida คืออะไร - -"
แต่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความสำคัญของความรู้พื้นฐานเพื่อไปต่อยอดที่ Advance มากขึ้น
ในเรื่องที่แตกต่าง ก็ต้องการความรู้และข้อมูลพื้นฐานที่แตกต่าง ทีต้องทำการค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้รู้และเข้าใจในเรื่องนั้น

เกือบทั้งหมดของการอ่านหนังสือวิชาการไม่รู้เรื่อง มาจากการขาดพื้นฐานความรู้ในเรื่องที่ตัวเองกำลังอ่าน คุณไม่เคยรู้เรื่อง Saussure มาก่อน คุณจะอ่าน Derrida รู้เรื่องได้ยังไง หรือ Derrida พูดเรื่องตัวเขียนมีความสำคัญมากกว่าคำพูด คุณจะรู้เรื่องได้ไงถ้าไม่เคยอ่านงานของเพลโตเรื่อง Phaedrus ที่โสกราตีสบอกว่าคำพูดสำคัญกว่าตัวเขียน หรือคุณไม่รู้วิชาแคลคูลัสซักกะแอะ จะอ่านงานของ Newton รู้เรื่องได้ไง??
มันเป็นแบบนี้ นี่คือต้นเหตุของปัญหา ไม่ใช่ว่ามาบอกตัวเองว่า "ฉันไม่กลัวแดริดา ฉันไม่กลัวนิตเช่" บอกเท่าไหร่มันก็ไม่ช่วยถ้าไม่มีพื้นความรู้
.......................................................................................................................
.................................................................................................................................
............................................................................................................................


สงครามต่อต้านมองโกลของชนเผ่าไท
ในช่วงพุทธศตรววษที่ 18 กองทัพมองโกลอันเกรียงไกร ได้ยึดแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ได้เกือบหมด ก็ได้ตั้งราชวงศ์ของเผ่ามองโกลตัวเองขึ้นในแผ่นดินจีน ชื่อว่า ราชวงค์หยวน ทหารมองโกล เก่งด้านการรบบนหลังม้าและใช้ธนูได้คร่องแคล่ว สามารถขี่ม้าไปด้วยและยิงไปด้วยและไวกว่าชนชาติอื่น ธนูก็เป็นธนูขนาดพอเหมาะมีเทคโนโลยีในการสร้างที่สามารถยิงทะลุชุดเกราะและสังหารศัตรูได้ภายในดอกเดียว ปัจจัยที่ทำให้อาณาจักรมองโกลต้องการที่จะยึด ดินแดนทางตอนล่าง เพื่อที่จะต้องการของสำคัญหลายๆ เช่น เส้นทางการค้าออกทะเล ซึ่งมีอยู่ที่อาณาจักรพุกาม(พม่าในปัจจุบัน) และเมืองเชียงรุ้ง เป็นเมืองเกิดของพระมารดาของพญามังรายและก็เป็นเครือญาติของท่าน ซึ่งเป็นรัฐในหุบเขาอยู่ตอนในมีป่าของป่าที่สำคัญมากมาย เช่น สัตว์ป่า งาช้าง นอแรด ไม้หอม ครั่ง ชัน เป็นต้น ก่อนการจะโจมตีทางมองโกลจะส่งทูตมา ว่าจะยอมเป็นเมืองขึ้นและส่งบรรณาการ หรือไม่ถ้าไม่ส่งก็จะทำการโจมตีและเมื่อโจมตี มองโกลจะทำการ เผาทำลายและฆ่าล้างเมืองจนหมดสิ้นไป คุณสมบัติของทหารมองโกล มีความเป็นนักรบสูงเพราะทำสงครามระหว่างเผ่าอยู่เสมอ มีความสามารถในการขี่ม้าสูง เพราะเป็นเผ่าเร่ร่อนและเลี้ยงสัตว์ มีความสามารถในการใช้อาวุธเป็นอย่างดีโดยเฉพาะธนู สามารถกินอยู่หลับนอนบนหลังม้าได้แม้ขณะที่สวมชุดเกราะ
*การบุกลงใต้ เริ้่มต้นจาก ตีเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ เช่น อาณาจักรน่านเจ้่า น่านเจ้านี้ถ้าแฟนหนังจีนคงจะได้ยินชื่อมาบ้าง ก็คือ อาณาจักรต้่าลี่ นั้นเอง อาณาจักรน่านเจ้ามีอาณาเขตกว้างขวาง ตั้งแต่มณฑลยูนาน ไปจนถึงแคว้นสิบสองปันนา ทิศเหนือจดมณฑลเสฉวน ทิศใต้จดพม่า ญวน ทิศตะวันออกจดไกวเจา กวางสี ตังเกี๊ย ทิศตะวันตกจดพม่า ธิเบต เมื่อนานเจ้าแตกก็ตีเมือง เชียงรุ้ง ซึ่งเมืองเชียงรุ้งนี้เป็นเมืองพระมารดาของพญามังรายซึ่งมีญาติพี่น้องอยู่ด้วย แตกยับเยินคนที่หนีทันก็รอดคนที่หนีไม่มันก็ตายเรียบและจุดไฟเผาเมือง ต่อมาก็ตี อาณาจักพุกาม ก่อนที่จะบุกพุกามนั้น ทางมองโกลได้ส่งทูตมาเจรจาให้ยอมแพ้และเป็นเมืองขึ้น แต่ก็ไม่ยอมด้วยความคิดว่า อาณาจักรพุกามของตนนั้นก็ยิ่งใหญ่เหมือนกันจากตำนานบอกว่าการศึกครั้งนี้ทางพุกามมีช้างศึกถึง 2พัน เชือกและทหารม้าอีกมากมาย(หลักฐานที่มีให้เห็นความยิ่งใหญ่อยู่ก็คือ ทุ่งเจดีย์หมื่นองค์ ลองหาในกูเกิ้ลดู)จึงเปิดสงครามสู้กันองทหารอาณาจักรพุกามไม่สามารถต้านทานทหารมองโกลจำนวนมหาศาลได้ แตกถอยร่น เสียเมืองหน้าด่านเกือบหมดสิ้น ทหารมองโกลปล้นสะดม และเผาทิ้งบ้านเรือนเสียสิ้นมิให้เหลือ ใครหนีไม่ทันจะถูกฆ่าอย่างทารุณ ทางราชวงศ์พุกามเมื่อถูกจับได้ก็ถูกประหารจนหมดสิ้น ชาวบ้านบางส่วนก็ยอมจำนนตกเป็นเชลย แต่ยังเหลือเมืองพุกามทางด้านใต้ไว้
ณ ที่นี้ ได้มีกองทัพหนุนมาจาก ล้านนา(ชาวมองโกลเรียกเมืองลานนาว่า ปาไป๋ซีฟู่ หรือแปลว่า เมืองแปดร้อยเมีย คือกษัตริย์มีนางสนม อยู่ แปดร้อยองค์ ) พะเยา สุโขทัย เริ่มช่วยกันเข้ามาต้านไว้ โดยมีกองทัพของ ล้านนาประมาณ 1แสนคน ของสุโขทัยประมาณ 5หมื่นคนพร้อมทั้งกองทัพม้ากองทัพช้าง และทางพะเยาอีกจำนวนหนึ่ง(ผมยังไม่มีข้อมูลนะครับว่าซักเท่าไร)การมาช่วยครั้งนี้ ผลัดกันรุกกันรับนานถึง6เดือนสุดท้ายทางมองโกลก็ไม่บุกต่อ ทหารที่มานั้นจากบ้านมานานทำให้คิดถึงบ้านเมืองของตนและไม่คุ้นเคยสภาพอากาศที่ร้อน ชื้น ป่าดงดิบ โรคระบาด และสูญเสียทหารไปมากเหมือนกัน ประกอบกับเป็นช่วงหน้าฝน เลยไม่ตีลงมาต่อ ส่วนทางล้านนากับพันธมิตรก็ไม่สามารถที่จะช่วยพุกามตีชิงเมืองคืนและขับไล่ไปได้แน่จึงได้ลาเจ้าเมืองพุกามและถอนกองทัพล้านนากับพันธมิตรกลับเมืองการยกทัพกลับมาครั้งนี้ ทางล้านนาและพันธมิตรสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมากเหลือกลับมาไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ เมื่อพญามังรายมาถึงเมืองเชียงใหม่ ก็ได้รับการต้อนรับจากชาวเมือง โดยชาวเมืองทั้งหลายนี้มีทั้ง อารมณ์ที่ดีใจเพราะได้เห้นหน้าคนในครอบครัวของตนและบางส่วนก็เศร้าโศกเสียใจกับการเสียชีวิตในสงครามของเหล่าญาติพี่น้องของตัวเอง ส่วนทางพญามังรายก็มีการตกรางวัลจากการทำศึกให้เป็นขวัญและกำลังใจแก่กองทัพของตน พวกที่รอดชีวิตก็ได้ไปส่วนผู้ที่เสียชีวิตในสงครามก็ตกเ้ป็นของลูกเมียญาติพี่น้อง แทน และด้วยสงครามครั้งใหญ่ครั้งนี้ ทำให้พญามังรายไม่ทำศึึกสงครามอีกเลยจนสิ้นราชกาลของพระองค์ เนื่องด้วยภาพที่โหดร้ายของสงครามคนตายกองทับถมสูงอย่างภูเขาตายเกลี่ยนกราดทั้วทั้งบริเวน ในป่า ในแม่น้ำ นกแร้ง นกกา หนอน สุนัข มากันแทะซากศพ จึงทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในสงครามในที่สุด
***หลังจากยุคนี้หลังจากสิ้่นพญามังรายได้ไม่นานทางล้านนา ก็ได้ส่งบรรานาการให้กับทางมองโกล เพื่อเป็นการตัดปัญหาเรื่องการถูกรุกรานจากทางจีน เมื่อไม่ถูกรุกรานจากทางจีนก็ทำให้การเมือง การทหารมีความเข็มแข็งขึ้นเป็นลำดับ และได้เริ่มทำการขยายดินแดนของตนเอง จนเป้น อาณาจักรล้านนาที่ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา
***ข้อคิดจากแอดมินคนเมืองเจียงใหม่***
ผมอยากจะฝากพี่น้องที่ชอบเรื่องสงครามทั้งหลายว่า เรื่องราวการทำสงครามในประวัติศาสตร์นี้มีมากมาย สร้างความเกลียดชังและบาดหมางให้กับคนหลายชนชาติมานักต่อนัก ส่วนเราคนในยุคปัจจุบัน เราศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อเรียนรู้เพื่อเข้าใจและไม่กระทำความผิดพลาดเหมือนอย่างที่คนในอดีตเคยกระทำมา ส่วนพวกที่เอาประวัติศาสร์มาอ้างเพื่อโจมตีหรือหาเรื่องผู้อื่นหรือเพื่อประโยชน์ของตนเองบุคคลผู้นัั้นเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายมากที่สุดครับ !!!~
ขอบคุณครับ แอดมิน คนเมืองเชียงใหม่ ^________^
บทความรีรัน 23 พฤศจิกายน 2012
ภาพประกอบWeapons and Warfare.
..........................................................................................................................
และแล้วครั้งที่ 3 ก็ตามมาติดๆ
เป็นสิ่งที่ไม่ต้องมโนเอาเองเลยว่าทำงานมีประสิทธิภาพหรือเปล่า
จริงๆก็ไม่ใช่การด้อยความสามารถของผู้ว่าหรอกครับ
เป็นความผิดของฝนน่ะ ที่ตกลงมา
เคยได้ยินสโลแกน "กรุงเทพฯก็มีทะเล" ^_^
>> รายงานโดยทวิตเตอร์ @Ultrameaw เวลา 17.16น. หน้าวัดสร้อยทอง ถ.ประชาราษฎร์สาย 1 น้ำท่วมขัง รถติดขัดเป็นบริเวณกว้าง รวมถึง ถ.สามเสน แยกบางขุนพรหม -แยกบางลำพู เสมอฟุตบาต ทำให้การเดินทาง สะพานกรุงธน ไปฝั่งพระนคร หยุดสนิืท แยกบางพลัด สะสม ถ.จรัญสนิทวงศ์ ขาออก ขวาแยกบางพลัด ไม่ได้ ท้ายเต็มแยกบรมฯ
|
..........................................................................................................................
ผมมีหลักการใช้ชีวิตข้อหนึ่งที่อยากแบ่งปันแกะดำในทุ่งหญ้านี้ เป็นหลักการง่าย ๆ แต่ทำแล้วได้ผลมาก
"สัญญาอะไรกับใครไว้ ผมจะต้องส่งมอบให้ได้ แต่ถ้าพยายามจนสุดความสามารถแล้วทำไม่ได้ ผมต้องให้เกียรติคนที่ผมสัญญาด้วยการไปบอกกับคนเหล่านั้นด้วยตัวเองว่าทำไม"
ประเด็นเรื่องนี้ นับตั้งแต่ธุรกิจไปจนถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายอาทิตย์ก่อนผมชวนบริษัทของคนหนุ่มสาวรุ่นหลานมาทำงานร่วมกันงานหนึ่ง สุดท้ายงานนี้ไม่เกิดขึ้น ผมโทรศัพท์ไปหาคนเหล่านั้นด้วยตัวเองอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ได้ทำงานด้วยกัน ไม่ใช่เห็นว่าคนเหล่านั้นอายุน้อยกว่าผมมากแล้วให้เลขาของผมโทรไปแจ้งข่าว
..............................................................................................................................
ตลาดหุ้น จะลงไปถึงไหน? ......... เราก็ไม่รู้
ก็มันเล่นไหลหลุดทุกแนวรับนี้ครับ >.< ฮืออๆๆๆๆ
คำถามนี้เป็นคำถามที่นักลงทุนถามเพื่อน ถามตัวเอง ถามกูรู
ซึ่งสุดท้ายแม้แต่ กูรู ก็ตอบว่า "กูรู้ กูก็รวยไปมากกว่านี้แว้ววววว"
จุดสังเกตแรงเทขายในรอบนี้
ต่างชาติขายเป็นแบบเป็น Lot ขายแบบไม่สนราคา และขายติดต่อกันหลายวันไม่เปิดโอกาสให้มีแรงเด้ง การขายแบบนี้ แสดงว่า รีบเอาเงิน อาจโดนคำสั่งให้เอาเงินกลับบ้านแบบไม่สนใจราคา รึเปล่า
แล้วจริงๆไม่สนใจราคาจริงๆไหม?
ต้องลองถามตัวเราเองครับ ว่า นักลงทุนที่มีสติจริงๆ จะกล้าขายแบบไม่สนใจราคา ขายแบบไม่ลืมหูลืมตาไหม ซึ่งคำตอบก็น่าจะออกมาว่า "ไม่ใช่" งั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เวลาพูดถึงว่าต่างชาติซื้อสะสมเท่าไหร่ ขายเท่าไหร่ เรามักมองกันแบบปีต่อปี ซึ่งรายย่อยอย่างเราก็มองว่ามันไกล อย่างปีที่แล้วซื้อสุทธิไป 75,000 ล้านบาท มาปีนี้ขายสุทธิไป 56,000 ล้านบาท แสดงว่า เหลือขายอีก 19,000 ล้านบาท คิดงี้ได้ไหม? คิดงี้ก็ง่ายเกินไป
ประเด็นที่ 1 ซื้อ 75,000 ล้านบาท ปีที่แล้วราคาและต้นทุนต่ำกว่าตอนนี้ แสดงว่าต้องมีมูลค่าพอร์ตสูงกว่า 75,000 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ประเด็นที่ 2 การคำนวนแบบง่ายๆแบบนี้ ไม่ได้รวมถึงปัจจัยเรื่อง FX ซึ่งต้องเอามาคิดด้วย
ประเด็นที่ 3 ต่างชาติที่ถือยาวๆไม่ได้มองแค่ปีเดียว หรือสองปี มันก็มีอยู่ และมีเยอะกว่าพวกเล่นระยะสั้นเสียด้วย
ดังนั้น การขายในรอบนี้ ผมตัดประเด็นเรื่อง Fund Flow ระยะสั้นออกไป เพราะแรงขายมันน่าเกลียด และขายแบบเร่งรีบเอาเงิน และ Convert กลับ USD อย่างรวดเร็ว สังเกตุได้จากค่าเงินบาทที่ไหลแรงพอๆกับตลาดหุ้น บวกกับแรงขายพันธบัตรอีกราวๆ 50,000 ล้านบาท
เขาขายทำไม?
โบรกฝรั่งสองเจ้าที่มี Outlook ต่อกลุ่ม TIP ที่เปลี่ยนไปอย่าง JPMorgan และ Credit Suisse นั้น มองว่า ตลาดฝั่งนี้ถูกให้ค่าที่สูงเกินไป น่าจะลงมาเทรดที่ Valuation ต่ำกว่านี้หน่อย ส่วน GS หลังปรับเป้าหุ้นไทยเป็น 1,900 จุดในปีหน้า ก็ยังไม่ออกอะไรมาให้อ่านอีก พอไปดู Net Sell ของโบรกฯฝรั่งหลักๆในไทย ก็ปรากฏว่า พบเพียง UBS ซึ่งขายหนักๆเดือนนี้ไป 11,000 ล้านบาท นอกนั้น ทั้ง JPMorgan, KSMACQ, CS, CLSA รวมกัน หุ้นลงมารอบนี้ Net Buy ด้วยซ้ำไป
อ้าว แล้วใครขาย(ว่ะ)
อย่างที่บอกครับ แรงขาย และพฤติกรรมการขายมันไม่เหมือนการขายของนักลงทุนต่างชาติปกติ แถมข้อมูลซื้อขายของโบรกเกอร์ก็ชัดว่า ขายแค่เจ้าเดียว ดังนั้น น่าจะเป็นการขายจากพอร์ตลงทุนระยะยาวของนักลงทุนต่างชาติที่ไม่มีโบรคในเมืองไทย (ที่เดาไว้ก็ Morgan Stanley กับ Goldman Sachs)
สรุปคือ สันนิษฐานว่า การขายครั้งนี้ น่าจะเป็นการ Re-Allocate หรือ การปรับพอร์ตครั้งใหญ่ของกองทุนต่างชาติที่มีต้นทุนในหุ้นไทยต่ำมากๆ ซึ่งการ Rebalance ครั้งนี้ มีตัวกระตุ้นจาก
1. S&P ให้ Outlook เศรษฐกิจอเมริกา และ Credit Rating เป็น Stable จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และการตัดค่าใช้จ่ายตามแผน Sequestration ทำให้ลดการขาดดุลได้
2. ประเด็นการถอน QE จากการที่เศรษฐกิจอเมริกาดูดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ค่าเงิน USD แข็งค่าในระยะสั้น และทำให้นักลงทุนกลัวว่า การที่ Fed ถอน QE จะมีผลกับ High Beta Asset อย่างตลาดหุ้นกลุ่ม TIP (ซึ่งมันก็กระทบจริงๆอย่างที่เขากลัว)
แต่ขอจงโปรดกลับมามองที่ Valuation และมุมมองของนักวิเคราะห์ทั้งไทยและเทศนะครับ จะเห็นว่า ทุกคนยังยืนยันเป็นเสียงด้วยกันว่า เศรษฐกิจไทยยังดู ok (เห็นตอน Lehman Brothers ล้มตอนปี 2008 ก็บอกแบบนี้)
ในมุมมองส่วนตัว การขายหนักๆแบบนี้ เราไม่มีทางรู้ว่าเขาจะเลิกขายตอนนี้ ดังนั้น VI จะกลับไปดูที่ Valuation ส่วนสาย Technique จะกลับไปดูแนวรับแนวต้าน แล้วก็ทำตามระบบที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี จะดีกว่า
ผมเชื่อว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่ แต่ถ้าเศรษฐกิจอเมริกามันฟื้นได้ดีจริงๆ ตอนนี้ Valuation ของตลาด S&P500 มันถูกกว่าเรา ดังนั้นก็เป็นไปได้ว่า การ Re-Allocate เงินครั้งนี้ เขามองว่า กลุ่ม TIP จะไม่สามารถ Generate Abnormal Return แบบปีที่แล้วให้เห็น คนกลุ่มนี้จึงเลือกขยับหาที่ลงที่อื่น
ซึ่งสุดท้าย เขาอาจจะถูก หรืออาจจะผิดก็ได้ ตลาดจะเป็นผู้เฉลยเอง....
Mr.Messenger
...............................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น