วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

07/06/2556

ประเด็นการส่งออกและนำเข้าน้ำมันดิบ

โดย Chayutpong Nunthanawanich (บันทึก) เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2013 เวลา 9:21 น.
      การส่งออกน้ำมันดิบไม่ควรถูกนำมาเป็นประเด็นเพื่อปลุกเร้ามวลชน เพราะการซื้อขายน้ำมันดิบเป็นการค้าเสรีไม่ว่าจะขายภายในประเทศหรือส่งออกผู้ขายย่อมต้องการขายในราคาสูงขณะที่ผู้ซื้อย่อมต้องการซื้อในราคาต่ำ ถ้าได้ราคาที่พอใจกันทั้งสองฝ่ายก็จะตกลงซื้อขายกันได้เป็นไปตามกลไกของตลาดและราคาน้ำมันที่อ้างอิงราคาตลาดโลก รัฐจะไปบังคับให้ผู้รับสัมปทานขายน้ำมันที่ผลิตได้ในราคาถูกให้กับผู้ซื้อภายในประเทศก็ทำไม่ได้ จึงเป็นหน้าที่ของผู้ซื้อภายในประเทศที่ต้องบริหารจัดการให้ได้น้ำมันราคาถูกและเหมาะสมกับโรงกลั่น คือกลั่นแล้วได้ผลิตภัณฑ์ตรงตามความต้องการใช้ภายในประเทศมากที่สุด ซึ่งการซื้อขายจะทำโดยการประมูลจากตลาดซื้อขายทั้งในและนอกประเทศหรือจะทำสัญญาระยะยาวกับแหล่งน้ำมันภายในหรือภายนอกประเทศก็ได้ตามความเหมาะสม
       ราคาน้ำมันที่ผู้รับสัมปทานขายนั้น จะได้ราคาสูงหรือต่ำ ก็เป็นประโยชน์ทั้งคู่ แต่ประโยชน์อันไหนละ ที่จะตกถึงประชาชนมากกว่ากัน กล่าวคือ ถ้าผู้รับสัมปทานขายได้ราคาสูง รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากค่าภาคหลวง(โดยตรง)และภาษี(โดยอ้อม) แต่ถ้าขายภายในประเทศในราคาต่ำ ประชาชนอาจจะได้ใช้น้ำมันสำเร็จรูปราคาถูกลง ??

        กติกาในการซื้อขายปิโตรเลียม(น้ำมัน) ที่ผู้รับสัมปทานต้องปฏิบัติตามกฏหมายปิโตรเลียม หรือ พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 56-62 กำหนดไว้ สรุปสั้นๆ คือ
         1. ให้สิทธิผู้รับสัมปทานขายปิโตรเลียมที่ผลิตได้ (ทั้งภายในและภายนอกประเทศ)
         2. ถ้าขายน้ำมันภายในประเทศ ให้ขายไม่เกินราคาน้ำมันดิบที่สั่งซื้อจากต่างประเทศส่งถึงโรงกลั่น หรือให้ขายไม่เกินราคาเฉลี่ยที่ผู้รับสัมปทานทุกรายส่งออกในเดือนที่แล้วมา
         3. ก่อนส่งน้ำมันดิบออก ต้องประกาศราคา FOB ณ จุดที่ส่งออกตามคุณภาพของน้ำมันดิบนั้น 
         4. ในกรณีที่มีความจำเป็น เช่น ประเทศเกิดภาวะขาดแคลนน้ำม้น รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศห้ามส่งออกได้

        ในมุมมองของคนทั่วไปคิดว่าการผลิตปิโตรเลียมภายในประเทศได้เองนั้นจะทำให้ประชาชนได้ใช้ปิโตรเลียมในราคาถูกลง เป็นความจริงเพียงด้านเดียวซึ่งรัฐมีความพยายามให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ดังจะเห็นได้จากการผลิตก๊าซธรรมชาติซึ่งนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ภายในประเทศทั้งหมดโดยมีราคาถูกกว่าราคาก๊าซที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาก๊าซเฉลี่ยที่ใช้ภายในประเทศ ในส่วนของน้ำมันดิบนั้น ต้องยอมรับว่าเราผลิตเองได้น้อยกว่าความต้องการใช้มาก คือผลิตได้ประมาณร้อยละ 15 (145,000 บารเร์ลต่อวัน) ที่เหลือต้องนำเข้า ดังน้ันการผลิตน้ำมันได้เองบางส่วนจึงไม่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญที่จะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปภายในประเทศลดลง อีกทั้งราคาน้ำมันก็เป็นไปตามราคาตลาดโลก
        ในอีกมุมมองหนึ่งเมื่อมีการซื้อขายน้ำมันดิบ รัฐจะมีรายได้เป็นค่าภาคหลวงซึ่งคิดจากมูลค่าที่ขายได้ ถ้าขายน้ำมันได้ราคาสูงโดยเฉพาะส่งขายไปต่างประเทศ รัฐก็จะเก็บค่าภาคหลวงได้มากขึ้นด้วย (แต่ถ้าเป็นการขายในประเทศ รัฐมีข้อกำหนดให้ขายต่ำกว่าราคานอกประเทศอยู่แล้ว ลองอ่านกติกาข้อ 2) โดยค่าภาคหลวงได้จัดสรรให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อตต./เทศบาล และอบจ. ทั่วประเทศ (รวมกันร้อยละ 60) ที่เหลือเป็นรายได้แผ่นดินนำส่งเข้าคลัง เป็นเงินที่นำมาพัฒนาประเทศได้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมแม้จะไม่ได้ตกถึงมือประชาชนโดยตรงก็ตาม
        ความพยายามของภาครัฐที่จะส่งเสริมให้เกิดการใช้ปิโตรเลียมที่ผลิตได้ภายในประเทศมีมาตั้งแต่เริ่มต้น ในระบบ Thailand I ซึ่งมีผลบังคับกับแปลงสัมปทานที่ออกก่อนปี 2532 ได้กำหนดให้นำค่าภาคหลวงที่เกิดจากการขายปิโตรเลียมภายในประเทศมาหักออกจากภาษีเงินได้ปิโตรเลียมได้ ทำให้ผู้รับสัมปทานภายใต้ระบบ Thailand I ทุกรายจะขายปิโตรเลียมภายในประเทศ (ยกเว้นในกรณีที่ผู้ซื้อภายในประเทศไม่ต้องการ) ซึ่งมีส่วนทำให้ต้นทุนราคาน้ำม้นดิบของโรงกลั่นลดลง แต่ไม่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากแปลงในสัมปทานภายใต้ระบบ Thailand I มีน้อยกว่าปริมาณน้ำมันดิบที่ต้องนำเข้าอยู่มาก     
        ดังนั้นการขายน้ำมันดิบภายในประเทศหรือขายไปต่างประเทศจึงไม่ได้ส่งผลต่อผู้บริโภคโดยตรง และเมื่อดูข้อมูลการซื้อขายน้ำมันดิบย้อนหลังไป 10 ปี (หน่วยเป็นบาร์เรลต่อวัน) จะพบว่ามีการส่งออกน้ำมันดิบที่ผลิตได้ภายในประเทศมาโดยตลอด ซึ่งไม่เคยเป็นประเด็นตามเหตุผลที่ได้กล่าวแล้ว  


 


        นอกจากการนำเข้าและส่งออกน้ำมันดิบแล้ว ประเทศไทยยังมีการนำเข้าและส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปด้วย เป็นการบริหารจัดการของโรงกลั่นและผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป แต่โดยภาพรวมแล้วมูลค่าการนำเข้าสูงกว่ามูลค่าการส่งออกมาก เป็นเหตุให้ประเทศขาดดุลการค้าน้ำมันเป็นมูลค่ามหาศาลกว่า 8 แสนล้านบาท ตามรูป
ปริมาณส่งออกและนำเข้าน้ำมัน 
มูลค่าส่งออกและนำเข้าน้ำมัน 

         ทำไมประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันดิบกว่า 8 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็นการนำเข้ามามากเกินไปหรือไม่...
         ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นการบริหารจัดการน้ำมันให้เหมาะสมกับโรงกลั่นเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ตามความต้องการใช้ภายในประเทศ  

       ในกรณีที่ 1 เป็นการนำเข้าน้ำมันดิบชนิดที่ 1 เมื่อนำมากลั่นจะได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำมันดีเซลร้อยละ 41 ได้น้ำมันเบนซินร้อยละ 19 และที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ดังแสดงในรูปตาราง การนำเข้าน้ำมันมากลั่นนี้เพื่อสนองความต้องการใช้น้ำมันดีเซลภายในประเทศเป็นหลัก คือ ประมาณ 352,000 บาร์เรลต่อวัน หรือ 56 ล้านลิตรต่อวัน โดยต้องนำเข้าน้ำมันดิบชนิดนี้ประมาณ 858,537 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเมื่อกลั่นแล้วจะได้น้ำมันดีเซลพอดีความต้องการใช้ แต่ต้องส่งออกน้ำมันเบนซินอีกกว่า 5 ล้านลิตรต่อวัน เพราะกลั่นได้เกินความต้องการ และต้องนำเข้าน้ำมันเครื่องบินอีก 1.5 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้

 

           จากตัวอย่างดังกล่าว จะพบว่า แม้ความต้องการน้ำมันดีเซลภายในประเทศมีเพียง 352,000 บาร์เรลต่อวัน หรือ 56 ล้านลิตรต่อวัน แต่ต้องนำน้ำมันดิบชนิดที่ 1 เข้ามากลั่นมีปริมาณสูงกว่า 8 แสนบาร์เรลต่อวัน

          ในกรณีที่ 2 เป็นการนำเข้าน้ำมันดิบชนิดที่ 2 ซึ่งกลั่นแล้วได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำมันดีเซลร้อยละ 33.5 ได้น้ำมันเบนซินร้อยละ 25.5 และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ดังแสดงในรูป การนำเข้าน้ำมันมากลั่นนี้เพื่อสนองความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเป็นหลัก คือ ประมาณ 352,000 บาร์เรลต่อวัน หรือ 56 ล้านลิตรต่อวัน โดยต้องนำเข้าน้ำมันดิบชนิดนี้ประมาณ 1,050,476 บาร์เรลต่อวัน และเมื่อกลั่นแล้วจะได้น้ำมันดีเซลพอดีความต้องการใช้ แต่ต้องส่งออกน้ำมันเบนซินและน้ำมันเครื่องบิน อีก 22 และ 4.2 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ เพราะกลั่นได้เกินความต้องการใช้

 

          จากตัวอย่างดังกล่าว จะพบว่า เพื่อสนองความต้องการใช้น้ำมันดีเซลภายในประเทศ 352,000 บาร์เรลต่อวัน หรือ 56 ล้านลิตรต่อวัน แต่ต้องนำน้ำมันดิบชนิดที่ 2 เข้ามากลั่นมีปริมาณสูงถึง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน

           ในกรณีที่ 3 เป็นการนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 1 ชนิด คือนำเข้าน้ำมันดิบชนิดที่ 1 และ 2 ตามที่กล่าวไปแล้ว โดยนำเข้าน้ำมันชนิดที่ 1 ประมาณ 750,000 บาร์เรลต่อวัน และชนิดที่ 2 อีก 100,000 บาร์เรลต่อวัน จะได้ผลิตภัณฑ์รวมกันตามรูปตาราง ซึ่งจะทำให้มีปริมาณน้ำมันดีเซลและเบนซินเกินความต้องการใช้ แต่ต้องนำเข้าน้ำมันเครืองบิน รายละเอียดตามรูป 
 

            กรณีต่างๆ นี้ เป็นเพียงตัวอย่างที่นำมาประกอบให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น เรื่องการบริหารจัดการน้ำมันให้มีความเหมาะสมกับโรงกลั่นเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ตรงตามความต้องการใช้ภายในประเทศให้ได้มากที่สุด แต่เอาเข้าจริงๆ ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่เกี่ยวข้อง เช่น แหล่งที่มาของน้ำมันที่หลากหลาย ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ที่กลั่นได้ ระยะเวลานำเข้า ส่งออก สต๊อกน้ำมันดิบ สต๊อกน้ำมันสุก ความต้องการใช้รายวัน ราคา กำไร และ อื่นๆ ซึ่งมันไม่ได้ง่ายเหมือนการนำเอาตัวเลขการใช้น้ำมันสุก ตัวเลขการผลิตและการนำเข้าน้ำมันดิบมาบวกลบกันตรงๆ ได้ อย่างที่หลายท่านเข้าใจกัน ทำให้เกิดความสงสัยในเรื่องปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบที่มากเกินความจำเป็น
            ที่นำเสนอมาตั้งแต่ต้นนั้น ต้องการจะสื่อให้เห็นว่า ผู้ซื้อภายในประเทศเป็นผู้เลือกน้ำมันให้มีความเหมาะสมกับโรงกลั่นของตน และไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำมันที่ผลิตได้ภายในประเทศ เพราะถ้าราคาน้ำมันที่ผลิตได้ภายในประเทศมีราคาที่ถูกกว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมกว่านอกประเทศแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลใดที่ผู้ซื้อภายในประเทศจะไม่เลือกซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้ภายในประเทศจากผู้รับสัมปทาน และถ้าผู้รับสัมปทานสามารถขายน้ำม้นดิบที่ผลิตได้ภายในประเทศไปให้ประเทศอื่นๆ ที่มีความต้องการมากกว่าโรงกลั่นภายในประเทศในราคาที่สูงกว่าได้ รัฐก็จะได้ประโยชน์จากค่าภาคหลวงที่เพิ่มขึ้นด้วย 
             ในปีที่ผ่านมามีการส่งออกเฉลี่ย 44,000 บาร์เรลต่อวัน ปัจจุบันก็ยังมีการส่งออกอยู่ ด้วยเหตุผลความจำเป็นซึ่งพอจะสรุปได้ ดังนี้ คือ
           1. ผู้ซื้อภายในประเทศไม่ต้องการ
           2. ผู้รับสัมปทานมีสัญญาระยะยาวกับคู่ค้าต่างประเทศ (ตกลงทำสัญญากันล่วงหน้า ก่อนที่จะเกิดประเด็นดังกล่าว)
           3. ผู้รับสัมปทานยังต้องส่งออกเป็นครั้งคราวบ้าง เพื่อรักษาตลาดไว้ (ในกรณีที่ไม่สามารถขายภายในประเทศได้)
           อย่างไรก็ตามเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาข้อสงสัย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ขอความร่วมมือแกมบังคับกับผู้รับสัมปทานและผู้ซื้อภายในประเทศให้ช่วยกันแก้ไขเรื่องการส่งออกน้ำมันนี้ คาดว่าราวเดือนกันยายน จะไม่มีการส่งออกน้ำมันดิบอีก ซึ่งถ้าเป็นดังนั้นจริง ก็ขอให้ผู้ที่นำเรื่องดังกล่าวนี้มาเป็นประเด็น สังเกตุดูว่า ประชาชน ได้รับประโยชน์อะไรเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมบ้าง...แต่ที่เห็นๆ คือ รายได้รัฐจากค่าภาคหลวงอาจจะลดลง ถ้าผู้รับสัมปทานต้องลดราคาน้ำมันให้ผู้ซื้อภายในประเทศแทนการส่งออกตามความร่วมมือที่ภาครัฐร้องขอไป 


เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ
อ่านแล้วได้ประโยชน์ ขอให้กด แชร์ ด้วยนะครับ
ลิงค์ สัมปทานขุดเจาะให้อะไรกับประเทศ
.................................................................................................................................

ความสำเร็จในการขุดเจาะปิโตรเลียมในประเทศไทย

โดย Chayutpong Nunthanawanich (บันทึก) เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2013 เวลา 16:03 น.
มาอีกแล้วครับ สว. คนขยัน คราวนี้มาเรื่อง ความสำเร็จในการขุดเจาะ

        " รายงานประจำปี 2553 ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ รายงานผลการขุดเจาะสำรวจบนบก 30 หลุม พบปิโตรเลียม 21 คิดเป็น70%  ขุดเจาะสำรวจในอ่าวไทย 35 หลุมพบปิโตรเลียม 25 หลุม คิดเป็น 71% การขุดเจาะรวม 65 หลุม พบ 46 คิดเป็น 71%
 บรรดาทนายหน้าหอ นักวิชาการอุปโลกน์ ไม่ทราบว่ารับจ๊อบใครมาให้ข่าวเท็จกับประชาชนว่าความสำเร็จในการขุดเจาะปิโตรเลียมในประเทศตัวเองต่ำมากเฉลี่ย 3 ปี ระหว่าง 2552-2554 มีความสำเร็จเพียง 10% เท่านั้น
 จากรายงานประจำปี 2552 ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ อัตราพบปิโตรเลียม 70%  ปี 2553 พบ 71% ปี 2554 พบ 68% การคำนวณความสำเร็จในการพบปิโตรเลียมจากการขุดเจาะสำรวจเฉลี่ย 3 ปี 2552-2554 อย่างไรเสียก็ต้องมากกว่า 10% แน่นอน 
       ดิฉันจะขอนำรายงานประจำปี ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ปี2554 มาแสดงก่อน ( ส่วนรายงานปี2553 และ2552 จะนำมาลงให้ดูโดยลำดับในโอกาสต่อไป) เพื่อนมิตรจะได้ดูรายงานของจริงของกรมเชื้อเพลิงฯ ว่าระบุผลสำเร็จในการพบปิโตรเลียมในปี'54 เฉลี่ยอยู่ที่ 68% เฉพาะในอ่าวไทยพบในอัตรา100% ในขณะที่คุณพิชิตเอาตัวเลขมาแสดงว่ามีความสำเร็จแค่7% เท่านั้น และเฉลี่ย3ปี แค่10%  
      กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติมีธรรมชาติในการบอกข้อมูลที่คลาดเคลื่อนตลอดคือ ตัวเลขทรัพยากรในประเทศจะบอกต่ำเกินจริง ส่วนรายได้ที่เป็นส่วนแบ่งจากสัมปทานก็จะบอกสูงเกินจริงเสมอ สมควรให้คนอย่างนี้เป็นผู้จัดการมรดกของบ้านเมืองหรือไม่ "
  
       ผมขอแชร์ข้อมูลข้อเท็จจริงดังนี้ครับ
       ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจกันก่อนว่า ความสำเร็จในการสำรวจหาปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์ ไม่ได้วัดก้นที่ตัวเลขความสำเร็จในการเจาะพบปิโตรเลียมนะครับ เพราะการเจาะพบปิโตรเลียม ไม่ได้บอกถึงปริมาณที่พบว่ามีเท่าไร ผลิตขึ้นมาได้ในเชิงพาณิชย์หรือไม่ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า เจาะพบแล้วไม่สามารถนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้ หรือ นำขึ้นมาได้แต่ปริมาณเพียงน้อยนิดแค่พอคุ้มทุน ตัวอย่าง สมมุตว่า

    ในปี 2000 เจาะหลุมสำรวจ 10 หลุม พบปิโตรเลียม 2 หลุม ประเมินแล้ว มีปริมาณสำรองฯรวม 5 แสนบาร์เรล
    ในปี 2001 เจาะหลุมสำรวจ  5 หลุม พบปิโตรเลียม 4 หลุม ประเมินแล้ว มีปริมาณสำรองฯรวม 5 หมื่นบาร์เรล

    จากตัวอย่างจะพบว่า ในปี 2000 มีอัตราความสำเร็จในการขุดพบ 20%  พบปิโตรเลียม 5 แสนบาร์เรล ในขณะที่ ปี 2001 มีอัตราความสำเร็จในการขุดพบสูงถึง 80% แต่กลับพบปิโตรเลียมเพียง 5 หมื่นบาร์เรล เป็นการยืนยันว่า ร้อยละความสำเร็จในการเจาะพบ ไม่สัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณที่พบนะครับ ในรายงานประจำปีเป็นการรายงานข้อเท็จจริงผลการเจาะสำรวจเท่าน้ัน แต่จะพบมากหรือน้อย ส่งผลต่อปริมาณสำรองฯ ในภาพรวมอย่างไรนั้น ในรายงานประจำปีของกรมฯ ได้รายงานปริมาณสำรองไว้ด้วยทุกปี ถ้าจะดูภาพรวมของศักยภาพปิโตรเลียม สามารถไปดูได้ตามที่ได้รายงานไว้ครับ อีกทั้งปริมาณที่พบนั้น ในความเป็นจริงไม่ได้ประเมินกันด้วยหลุมเจาะสำรวจเท่านั้นนะครับ จะต้องใช้ข้อมูลจากหลุมประเมินผล หลุมผลิต และข้อมูลด้านอื่นๆ ประกอบด้วย
     ตัวเลขความสำเร็จที่ท่าน สว. ได้กล่าวถึงนั้น ถ้าท่านต้องการที่จะสือว่า ในแต่ละปีความสำเร็จในการเจาะพบมีอัตราสูงแสดงว่าประเทศไทยมีศักยภาพปิโตรเลียมมากนั้น ผมกลับมองอีกมุมหนึ่งว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นการยืนยันในเรื่องศักยภาพปิโตรเลียมในบ้านเราเป็นอย่างดี ในแง่ที่ว่า ปิโตรเลียมที่เหลืออยู่เป็นเพียงแหล่งเล็กๆ แม้จะมีอัตราความสำเร็จในการเจาะพบสูง แต่ผลที่ได้กลับพบปริมาณปิโตรเลียมน้อย แทบไม่ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณสำรองของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ  
       ถ้าจะวัดความสำเร็จของการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมในบ้านเราโดยดูจากปริมาณปิโตรเลียมที่พบและผลิตได้ ซึ่งผมจะนำเสนอโดยแบ่งออกเป็นตามรอบสัมปทาน นะครับ ดังนี้    
       ลองดูผลการเจาะหลุมสำรวจตามรอบสัมปทานก่อนนะครับ             
 

ปริมาณสำรองที่พบ (ปริมาณผลิตสะสม + ปริมาณที่พิสูจน์แล้ว (55) )

ปริมาณเงินลงทุนด้านต่างๆ

การแบ่งรายได้ระหว่างรัฐกับผู้รับสัมปทาน
 

ปริมาณที่ผลิตได้
       จากภาพทั้งหมด พอจะสรุปได้ว่า ความสำเร็จในการพบปิโตรเลียม มูลค่าการลงทุน ปริมาณการผลิต ส่วนใหญ่ จะรวมกันอยู่ในแปลงสัมปทานรอบที่ 1 และ ให้สังเกตุนะครับว่า ตั้งแต่ปี 2532 (รอบที่ 13) ซึ่งมีการแก้ไข กฎหมายในการจัดเก็บรายได้ ทำให้รัฐได้สัดส่วนเพิ่มขึ้น (เฉลี่ยรวม 74:26) แต่ไม่รู้ว่าจะไปบังคับใช้กับ แปลงดีๆ ที่ไหน เพราะหลังจากรอบที่ 13 แล้่ว มีการพบปิโตรเลียมน้อยมาก และภาพรวมของแต่ละรอบยังขาดทุนอยู่เลยครับ เห็นอย่างนี้แล้ว จะหาใครมาลงทุนยังยากเลย ต่อให้แก้กฎหมาย เก็บรายได้รัฐเป็นร้อยละ 80 ของรายได้ตามที่ท่าน สว. เสนอแนะ แล้วเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ก็ขอให้ลองจินตนาการเอาเองว่า จะเอาปิโตรเลียมที่ไหนมาแบ่งกำไรกัน
       อย่าไปเสียเวลา เถียงกันเรื่อง อัตราความสำเร็จในการเจาะพบปิโตรเลียมเลยครับ เพราะมันมีปัจจัยต่างๆ ที่เข้าใจไม่ตรงกันอยู่มาก เช่น ชนิดของหลุมเจาะตามความหมายที่แท้จริง ความคุ้มค่า ช่วงเวลา เป็นต้น ผมเอาข้อเท็จจริง มาให้ดูแล้ว ก็ไม่รู้ว่าท่านจะเปลี่ยนความคิด หรือจะยังยืนยันให้แก้กฎหมายก่อนเปิดสัมปทานอยู่อีก

เป็นการวิเคราะห์และเป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ.... 
รายได้จากสัมปทานปิโตรเลียม ตามลิงค์ครับ
......................................................................................................................

การเมืองว่าด้วย ‘พลังงานไทย’ (6): ความจริงเกี่ยวกับก๊าซแอลพีจี

http://prachatai3.info/journal/2013/06/47102?utm_source=dlvr.it&utm_medium=facebook
.................................................................................................................



เมื่อผมโดยขโมย ID Online Bank / Email
Beep Beep Beep!!! SMS 3 message รวด ส่งมาที่มือถือ ระหว่างที่ผมกำลังสตาร์ทรถออกไปข้างนอก เหลือบไปมอง เอ๊ะ ทำไม Kbank ส่งรหัส OTP สำหรับโอนเงินมาหาเราหว่า วันนี้ยังไม่ได้เข้าไปทำอะไรเลยนี่นา

ไม่น่าจะเป็นความผิดพลาด เพราะ Message แรก เป็นการพยายามเปิด Web Card ID ของ Kbank ส่วน Message ที่ 2 และ 3 เหมือนว่าพยายามจะโอนเงินชำระค่าสินค้าอะไรสักอย่าง

ผมรีบโทรเข้า Call Center โดยไม่รอช้า แจ้งเหตุการที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็ Log in เข้าไปตรวจสอบความเสียหาย อืม... รายการต่างๆ มันยังทำไม่สำเร็จ สักพัก ผมก็ถูกดีดออกจากหน้า Cyberbanking อีกครั้ง เหมือนไอ้หัวขโมยพยายาม Login ใหม่ รู้ดังนั้น เปลี่ยน Password ก่อนดีกว่า ระหว่างทาง เจ้าหน้าที่ก็พยายามสอบถามว่ามีการคลิก Link แปลกๆ หรือ ทำรายการแปลกที่แปลกทางหรือเปล่า สำหรับผมแล้ว ป่าวเลย เพราะผมตระหนักเรื่องความปลอดภัยบนอินเตอร์เนตดี แต่เอาละ ฝากให้คุณช่วยดูแลแล้วกัน ว่าการทำรายการเหล่านั้น มันทำอะไร โอนเงินไปไหน จากนั้นขับรถต่อไป

เมื่อเสร็จธุระ ผมกาง Notebook เพื่อจะเช็คเมล์ อุบ๊ะ!!! password ของเมล์ ใช้การไม่ได้ แต่โชคดีที่ Google Mail มี password recovery process ที่ใช้การได้ดี ไม่กี่นาทีผมก็กลับเข้ามาใชงานได้เหมือน เดิม เอาละตรวจสอบหน่อย ว่ามันเอาเมล์เราไปทำอะไรบ้าง เบื้องต้นมันเปลี่ยนเบอร์โทรสำหรับรับ SMS จาก google และเมล์สำรอง ไม่เป็นไรแก้กลับ

พอมาคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น ก็จับต้นชนปลายได้ว่า ระบบธนาคารทุกธนาคารนั้น เป็นเรื่องยากและเสี่ยงเกินไปที่จะ Hack เข้าไปเพราะการส่งข้อมูลมันมีการเข้ารหัสความปลอดภัยหลายขั้นตอน แต่สิ่งที่ง่ายที่สุดคือ เก็บข้อมูลการคีย์จากคีย์บอร์ดของเรา แล้วค่อยไปหา คิดง่ายๆ เวลาคุณจะเข้าเว็บของธนาคาร ABC คุณก็ต้องพิมพ์ URL ของ ธนาคาร จากนั้นแน่นอนที่สุดต้องตามด้วย username และ password ไอ้หัวขโมย มันก็ใช้วิธีการที่เรียกว่า Key logger ซึ่งมากับพวกโปรแกรม Crack หรือ Software เถื่อน ซึ่งมันจะเก็บสิ่งที่คุณคีย์ แล้วส่งกลับไปยังปลายทางที่เก็บข้อมูลของมัน แล้วก็มันวิ่งหา พฤติกรรมการคีย์เข้าเว็บธนาคาร หรือเว็บอีเมล์ของคุณ แค่นี้มันก็ได้ครบละ จากนั้นมันก็เริ่มปฎิบัติการ ง่ายมะ?

เรื่องนี้เกิดกับคน IT อย่างผม งานถนัด ผมรับมือได้ แต่ถ้าเกิดกับคุณๆ ที่รับมือมันไม่ได้ล่ะ ทำไง? มีทางป้องกันมั้ย?
อันดับแรก ผมแนะนำเลยว่า การเข้าเว็บธนาคาร หรือการทำธุรกรรม online ต่างๆ พยายาม ทำ favorite URLl ไว้แล้วใช้ mouse click เอา เพราะ URL ที่คุณเข้า จะไม่ได้ถูกบันทึกเพราะคุณไม่ได้พิมพ์มันผ่าน keyboard
อันดับถัดมา พิมพ์ user password ตามปรกติ ส่วนใครที่ ยังกังวล อาจจะใช้ On Screen Keyboard ช่วยก็ได้ มีมากับ Windows อยู่แล้ว เอาเมาส์จิ้มตัวอักษรเอา ยาก แต่ไม่มีใครดักเก็บข้อมูลได
*** ที่สำคัญ *** อย่านิ่งดูดายกับสิ่งผิดปกติ และหมั่นเปลี่ยน password อยู่ตลอด แต่ที่สำคัญกว่า ขอให้มีสติ ตอนเปลี่ยน password นะครับ ไม่งั้นเปลี่ยนเป็นอะไรไปแล้ว ดันลืม จบกัน!!!

ปล. ผมย้ำอีกครั้งว่าระบบ Kbank ไม่ได้มีปัญหา ปัญหาคือ ผมถูกขโมย ID ด้วย Keylogger ในเครื่องคอมผม อย่าว่าแต่ Kbank เลย ธนาคารไหน หรือ ข้อมูลอะไรมันสามารถเก็บได้ทุกอย่างที่คุณ Key ผ่าน Keyboard เลยละ แสบมะ
.............................................................................................................................


เคยมีคนถามผมว่าทำไมผมถึงโพสต์ข้อความในทุ่งหญ้านี้ตรงเวลาทุกวัน วันละสองครั้ง

คำตอบคือผมอยากเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เวลาพูดเรื่องนี้คนก็จะมองหน้าผมอย่างงง ๆ พร้อมมีคำถามอยู่ในใจว่าผมเป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ จะทำเรื่องนี้ได้อย่างไร

ทำได้ครับ และทำได้แน่นอน สังคมในช่วงหลายปีมานี้ผมว่าเป็นสังคมแห่งความผิดธรรมชาติ ผมต้องการเผยแพร่วิธีคิดแกะดำทำธุรกิจให้คนเข้าใจ วิธีคิดนี้เป็นวิธีคิดที่อิงหลักธรรมชาติ ตัวอย่างเช่นการทำงานต้องเน้นคุณภาพ แล้วเดียวโลกดูแลเงินให้เราเอง การทำงานไม่ใช่ใช้เงินเป็นตัวตั้ง

ผมต้องการทำให้สังคมไทยมีความแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม ต้องการให้ผู้ประกอบการหันมาให้ความสนใจในการทำธุรกิจบนความคิดสร้างสรรค์ มีคนพูดถึงเรื่อง Creative economy มากมาย แต่ผู้คนเหล่านั้นพูดจากทฤษฐี แต่ไม่มีใครรู้จริงสักคน

บนเส้นทางแห่งความเป็นโจรสลัด ผมใช้ความคิดสร้างสรรค์สร้างบริษัทสองบริษัทเริ่มต้นจากจุดศูนย์แล้ววันนี้มีที่ยืนอย่างมั่นคง นั่นเป็นสาเหตุที่ผมอยากปลุกระดมผู้ประกอบการคนไทยเปลี่ยนเส้นทางของวิธีการทำธุรกิจ

สุดท้ายประเด็นของการเปลี่ยนแปลง คุณต้องถามตัวเองว่า Why not ไม่ใช่ Why
...................................................................................................................................



"อย่าทำนายตลาด !!" ...ในเวลาที่ตลาดเกิดวิกฤต คุณจะรู้อย่างแรกว่า "เราเองมั่วแค่ไหน เพราะ คุณจะเริ่มสับสนระหว่างการเป็นนักลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว ...สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ คนที่โลเล ตัวอย่างเช่น บางคนซื้อหุ้นด้วยสัญญาณทางเทคนิก ก็หมายความว่า เขาซื้อโดยดูจากราคา(ไม่ใช่พื้นฐาน เพราะ โดยมากสัญญาณ Bullish ใน Technical มักจะเป็นจังหวะที่หุ้นแพง แปลว่า คนเล่นสั้น ให้คิดเสมอว่า "เราซื้อหุ้นแพง ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของคนซื้อหุ้นแพง คือ ต้องขายแพงกว่า และ ถ้าตลาดไม่เป็นอย่างที่เราคิด ต้องจำกัดความเสี่ยง(Cut Loss)") แต่เอาเข้าจริง คนเหล่านี้ พอ Cut Loss ไม่ทัน ก็ทนปล่อยไหล ทนให้ราคาลงไปลึกมาก ลึกจนถึงจุดที่เขาทนไม่ได้ (คนเหล่านี้ เข้าข้างตัวเองว่า จุดที่เขาทนไม่ได้ คือ จุดที่เขาจะ Cut Loss จริงๆ จากนั้นเขาก็ขายหุ้นตัวนั้นๆไปจริงๆ ในจุดที่ห่วยแตกที่สุด เพราะ หลังจากที่เขาขาย เนื่องจากทนไม่ได้ เป็นจุดที่ขายปั๊บ หลังจากนั้นหุ้นจะดีดขึ้น สวนกลางแสกหน้าเขาไปเลย!! -- ผมฝากข้อคิดนึง ลองไปคิดกัน คือ "ใครก็ตาม ที่เล่นหุ้น ตามความอยากของตัวเอง คนนั้นจะซวย ..ลองคิดดี!! คนที่ฉลาด ต้องเล่นตามที่วางแผน ไม่ใช่เล่นตามอารมณ์ !!") ...ที่เล่ามาคือ หนึ่ง พวกไม่เข้าใจตัวเอง ว่าจริงๆ แล้วตอนซื้อเขาซื้อด้วย ระยะสั้น หรือ ระยะยาว ...สอง พวกขาดวินัย ยกตัวอย่าง พวกที่เล่นสั้น (คุณจะมายิ่งลงยิ่งซื้อเหมือนคนเล่นระยะยาวไม่ได้ เพราะ คนที่ซื้อระยะยาว เขาเลือกหุ้นคนละตัวกับคุณ ..คนเล่นระยะยาวเขาซื้อหุ้นถูก ยิ่งลงยิ่งซื้อ แต่สำหรับนักลงทุนระยะสั้นอย่างคุณ มันคือ ซื้อหุ้นแพง เพื่อไปขายแพงกว่า แต่คุณดันทำตรงข้าม คือ ซื้อหุ้นแพง "P/E สูง , P/BV สูง , Dividend Yield ก็ต่ำ แล้วคุณจะมาเหมาว่า ไม่ขายไม่เป็นไรเหมือนคนที่ซื้อหุ้นถูก ผมว่า คุณกำลังสับสนในตัวเอง และ กำลังจะเข้าสู่ภาวะ "นรกแตก" คือ ซื้อปั๊บลง , ขายปั๊บขึ้น ...คิดดีๆ นะ .......โอเค ดังนั้น ผมเขียนบทความนี้มาเตือนสติคุณ ว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่ !! -- มาดูในส่วนของ Technical บ้าง ว่า วันนี้ถ้ามองจากสถิติ และ ไม่เดาตลาด จะมองว่า อย่างไร ...หนึ่ง ลองดูซิว่า แรงซื้อแรงขายมันเป็นอย่างไร (วันนี้ที่ฝรั่งขาย เพราะ "บาทเริ่มอ่อน ในระยะสั้น" ฝรั่งเขามองแบบนี้ ก็ออกไปก่อน เพราะ ค่าเงินสำหรับฝรั่ง มันสำคัญกว่า การทำกำไรในตลาด เพราะ ค่าเงินมันหนักกว่า ดังนั้น เราจะเห็นการโยกเงินของฝรั่งออกในช่วงนี้ เป็นเรื่องปกติ เป็นรอบๆ ไป) ...สอง ในรอบนี้ จะเป็นอย่างไร ก็ต้องมาดูว่า "แรงซื้อ - แรงขาย เป็นอย่างไรบ้าง" ...สิ่งที่สำคัญกว่า ราคาคือ "คันเร่งของราคา (RSI)" การทำนายตลาดเป็นเรื่องที่อันตราย แต่คุณสามารถอ่านได้ว่า การลง และ การขึ้นจบ ก็เมื่อมันผ่านไปแล้ว โดยดูจากสัญญาณทาง Technical ..อย่างก่อนลง ตลาดทำ Bearish Signal คือ Bearish Divergence จากนั้นพอราคาหลุดค่าเฉลี่ย นั่นแปลว่า สัญญาณการขึ้น มันหมดลง แล้วเข้าสู่ขาลงในระยะเริ่มต้น จุดที่ว่านี้ ถ้าใครเล่นสั้น ต้องออกแล้ว (พอออกแล้วก็ รอหาสัญญาณซื้อ) อันนี้แนะนำกัน สำหรับคนที่ไม่เข้าใจเรื่อง Bullish & Bearish ลองไปหาหนังสือ "ดีที่สุดในจุดที่ยืน" ของผมมาอ่านดู (เอ๊ะ!! คุณแพ้ทขายของนี่หว่า..555 เอาว่า แนะนำ แบ่งกันไป..อิ อิ) ...สาม "สัญญาณซื้อ หรือ Bullish Signal ดูได้ที่ไหน" ...ง่ายๆ ก็รอให้มันขึ้นก่อน พูดตรงๆเถอะ หุ้นลง ก็เหมือนคนปามีดลงมา เอามือรับก็เลือดสาด ดังนั้น ถ้าจะซื้อหุ้นแล้วความเสี่ยงต่ำ ก็ต้องรอให้มันขึ้นก่อน (ให้มันแพง เพราะ เราต้องซื้อแพง ไปขายแพงกว่า) ...สัญญาณ Bullish Signal ก็เช่น RSI ยกตัวกลับ หรือ สัญญาณ Bullish Divergence นั่นคือ สัญญาณที่ผมวงให้ดูในครั้งก่อนหน้า (ดูในภาพ ที่ผมวงกลมให้น่ะ) ...ดูครั้งนี้ มัน RSI เพิ่งดิ่งลง ... ง่ายๆ คือ ตลาดมันต้องมีคนรับอยู่แล้ว ..ถ้าเล่นสั้น หุ้นลงตอนความเสี่ยงสูงก็ให้คนอื่นรับ ส่วนเราก็รับในจุดที่เสี่ยงน้อยสักหน่อย แล้วมีจุดจำกัดความเสี่ยง (มี Stop Loss) และ มีวินัย -- คุณเอาตัวรอดได้แน่ครับ !! -- ศึกษาให้เยอะๆ รู้ให้จริง และ มีวินัย คุณจะโชคดี เชื่อผมเถอะ -- คนโชคดีเพราะเขาทำงานหนักครับเพื่อนๆ นักลงทุน
...................................................................................................................

เก็บไว้ Check ตัวเองบ่อยๆ!
..............................................................................................................



» เปลี่ยนคำถาม...เปลี่ยนชีวิ

การรู้จักตั้งคำถามเป็นศิลปะสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต ทุกวันนี้เราถูกสอนให้สนใจคำตอบ จนลืมว่าคำถามนั้นสำคัญกว่าคำตอบมาก คำถามนั้นเป็นตัวกำหนดคำตอบ

พูดอีกอย่างก็คือ...คำถามเป็นตัวกำหนดความคิดและการกระทำของเรา ถ้าตั้งคำถามผิด ก็พาความคิดของเราเข้ารกเข้าพง ซ้ำอาจพาชีวิตหลงทางไปด้วย

Ex1 :

สัมพันธภาพของผู้คนมักมีปัญหาก็เพราะทุกคนคิดแต่จะเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจตนเอง แต่ไม่พยายามหรือแม้กระทั่งคิดที่จะเข้าใจคนอื่น

หลายคนเฝ้าบ่นในใจว่า "ทำไมเขาไม่เข้าใจเราเลย"

การตอกย้ำกับตัวเองด้วยความคิดอย่างนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย นอกจากตัวเองจะทุกข์แล้ว ยังอาจหมางเมินกันมากขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปอี

ลองเปลี่ยนมุมมองหรือตั้งคำถามใหม่สิว่า
"แล้วเราล่ะ เข้าใจเขาบ้างหรือเปล่า"

การถามแบบนี้อาจช่วยให้เราพบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาก็ได้ เพราะอันที่จริง เราเองก็คงไม่ได้เข้าใจเขาเหมือนกัน

คำถามจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า "ทำไมเขาไม่เข้าใจเรา"

แต่อยู่ที่ "ทำไมเราถึงไม่เข้าใจเขา" และ "ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าใจเขาได้"

::::::::::::::::::


Ex2 :

มีคำถามหนึ่งซึ่งคุณหมอประเวศ วะสี บอกว่า เป็นคำถามที่น่าเกลียดที่สุด แต่เป็นคำถามที่กำลังระบาดไปทั่วสังคมไทย นั่นก็คือ...

คำถามว่า "ทำแล้วฉันจะได้อะไร?"

คำถามอย่างนี้ทำให้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ทำให้จิตใจแคบลง และหาความสุขได้ยาก

จะไม่ดีกว่าหรือ หากเราถามใหม่ว่า...

"ทำแล้วส่วนรวม (หรือสังคม) จะได้อะไร?"

การคำนึงถึงส่วนรวมโดยเริ่มต้นจากคำถามแบบนี้ จะช่วยให้สังคมไทยน่าอยู่มากขึ้น และคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวมก็จะได้ไม่ต้องมาคอยตอบคำถามของญาติมิตรว่า

"ทำแล้วเธอได้อะไร?" หรือถูกตั้งข้อสงสัยว่า "ได้ไปเท่าไหร่?"

::::::::::::::::::


Ex3 :

การถามว่า 'ใคร' กับ 'ทำไม' ให้ผลที่แตกต่างกันมาก เวลาเกิดเหตุร้ายขึ้นมา คนส่วนใหญ่มักสนใจว่า "ใครทำ" แต่ไม่ค่อยถามว่า "ทำไมเขาจึงทำ"

คำถามแรกนั้นเพียงแต่สนองความอยากรู้อยากเห็น แต่คำถามหลังช่วยให้เห็นสาเหตุของปัญหา และอาจนำมาเป็นบทเรียนแก่ตนเองได้

คุณโสภณ สุภาพงษ์ เล่าว่า ตอนที่ไปบริหารโรงกลั่นน้ำมันบางจากใหม่ๆ โรงกลั่นอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก อุบัติเหตุเกิดขึ้นประจำ ขาดทุนมหาศาล ขณะที่ขวัญของพนักงานก็ไม่ดี เพราะมีปัญหาสืบเนื่องจากเจ้าของเดิม

คุณโสภณเล่าว่า... เวลาเกิดอุบัติเหตุในโรงกลั่น จะไม่ถามพนักงานว่า "ใครทำ" แต่จะถามว่า "ทำไมถึงเกิดขึ้น"

วิธีการดังกล่าวมีผลคือ...

ทำให้พนักงานช่วยกันหาสาเหตุและวิธีป้องกันแก้ไข แทนที่จะซัดทอดหรือกล่าวโทษกัน ซึ่งมีแต่จะทำให้แตกความสามัคคีกันมากขึ้น

ในเวลาไม่นานโรงกลั่นก็แทบไม่มีอุบัติเหตุเลย กำไรก็เพิ่มมากขึ้น จนมีสถานะมั่นคง ส่วนพนักงานก็ทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

::::::::::::::::::


#ฝากทิ้งท้าย ตามสไตล์ Life 101

คนที่ล้มเหลว(ชั่วคราว) หรือท้อแท้ มักจะตั้งคำถามที่ทำร้ายตัวเองบ่อย ๆ เช่น...

ทำไม ฉันจึงโชคร้ายเช่นนี้
ทำไม เจ้านายไม่เคยเห็นคุณค่า
ทำไม ฉันทำอะไรก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ
ทำไม ฉันจึงต้องตกต่ำกว่าเพื่อนฝูง ทั้ง ๆ ที่ฉันเก่งหรือดีกว่าเขา

การตั้งคำถามเช่นนี้จะทำให้สภาพจิตใจที่แย่อยู่แล้ว แย่ลงไปอีก

ดังนั้นคนที่ท้อแท้จึงต้องฝึกตั้งคำถามในทางที่สร้างสรรค์ เช่น

Q1 : ทำไมฉันจึงต้องตั้งคำถามที่ทำร้ายตัวเอง?

Q2 : ทำไมฉันจึงไม่ใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด?

Q3 : อะไรที่ทำให้ฉันสนุกสนาน / ทำให้ฉันมีความสุข?

Q4 : อะไรคือเป้าหมายในการประกอบอาชีพหรือชีวิตของฉัน?

Q5 : อะไรคืออุปสรรคที่ทำให้ฉันไปถึงเป้าหมายไม่ได้?

Q6 : ฉันต้องทำอย่างไรจึงจะไปถึงเป้าหมายนั้น?

การตั้งคำถามและหาคำตอบ ในมุมมองนี้...จะทำให้ตัวเราเองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้เสมอ

คนเราขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้าด้วย "ความหวัง" ไม่ใช่ "ปัญหา"

"The problem is not the problem. The problem is your attitude about the problem. Do you understand?"

by Captain Jack Sparrow


ด้วยความปรารถนาดี

#ทีมงาน Life 101
 
................................................................................................................



That's why you are still in my FRIENDlist
..............................................................................................................................

.............................................................................................................................



เปิดปมยุโรปจะล่มสลาย จากคำทำนายของหญิงเหล็กแห่งอังกฤษ!

ข่าวการจากไปของหญิงเหล็กแห่งสหราชอาณาจักรอย่างคุณมาร์กาเรต แทตเชอร์ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการสูญเสียครั้งสำคัญไม่ใช่แค่เพียงแต่ในแวดวงการเมืองโลก แต่ยังรวมถึงแวดวงเศรษฐกิจด้วย เพราะผลงานที่สุภาพสตรีท่านนี้ฝากเอาไว้มีมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ ทุกท่านน่าจะได้รับทราบผ่านสื่อต่างๆ แล้ว แต่มุมที่จะหยิบยกขึ้นมาเสนอ เป็นอีกมุมหนึ่งที่หลายท่านอาจยังไม่ทราบ นั่นก็คือคุณแทตเชอร์เป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่สนับสนุนการรวมตัวกันเป็นเศรษฐกิจอย่างแนบแน่นของยูโรโซน และได้ฟันธงไว้ตั้งแต่ 21 ปีก่อนแล้วว่าการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจของยูโรโซนนั้น จะจบลงด้วยการที่แต่ละประเทศเอาตัวไม่รอด ซึ่งเมื่อลองพิจารณาดูในเวลานี้ ก็เหมือนจะมีเค้าลางเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน

แทตเชอร์ฟันธง ยูโรโซนไปไม่รอด

แน่นอนว่าแทตเชอร์ไม่ใช่แม่หมอหรือนักพยากรณ์ การทำนายของเธอจึงไม่ใช่การหยั่งรู้ฟ้าดิน และไม่ได้ลงรายละเอียดถึงขนาดว่ากรีซหรือไซปรัส จะเป็นประเทศที่มีปัญหาหรือจะต้องมีการเข้ามาขอรับเงินช่วยเหลือ อะไรทำนองนั้น แต่เป็นการมองไปยังพื้นฐานของเศรษฐกิจและความเป็นไปได้ว่าระบบการใช้เงินสกุลเดียวกัน เป็นระบบที่สร้างความยั่งยืนได้ยากยิ่ง

21 ปีก่อนหรือในปี 1992 มาร์กาเรต แทตเชอร์ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับนิตยสารฟอร์บส์ โดยเธอบอกว่า การใช้เงินสกุลเดียวกันของชาติยุโรป นั่นก็คือเงินสกุลยูโรนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และมันจะไม่มีทางสำเร็จ โดยเธอบอกว่า “ท้ายที่สุดแล้ว ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นเงินสกุลเดียวแต่ใช้กับหลายประเทศย่อมต้องล่มสลาย เพราะพวกเราแต่ละประเทศล้วนมีระดับการพัฒนาที่แตกต่างกัน และเราควรที่จะภูมิใจที่จะมาเป็นประเทศที่แม้จะมีความแบ่งแยกแตกต่าง แต่ล้วนมาร่วมมือเพื่อช่วยเหลือกัน มากกว่าจะไปผูกติดกันไว้”

ในปี 1992 ยุโรปได้เจอวิกฤติไปแล้วรอบหนึ่ง ซึ่งก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนถึงแนวความคิดของเธอ และน่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่อังกฤษ ไม่เข้าร่วมกับยูโรโซนในการใช้เงินสกุลเดียว โดยแทตเชอร์ไม่เห็นด้วยกับการที่ประเทศต่างๆ จะต้องมาใช้ระบบเศรษฐกิจเดียวกัน ใช้นโยบายการเงินเหมือนกัน แต่ต่างคนต่างมีนโยบายส่วนตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศตนเองเสียเปรียบคนอื่น

เธอบอกว่าหากสหราชอาณาจักรจะเข้าร่วมกับยูโรโซน นโยบาย 80% ของประเทศ จะถูกกำหนดที่บรัสเซลส์ (ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สหภาพยุโรป) ไม่ใช่ที่อังกฤษ ซึ่งเราก็ได้เห็นในเวลานี้แล้วว่าทุกอย่างเป็นไปตามนั้น แต่ละประเทศที่เป็นสมาชิกของยูโรโซน ล้วนต้องก้มหน้าก้มตายอมรับ “แนวทางร่วมของสหภาพยุโรป ไม่ว่าตนเองจะเห็นด้วยหรือไม่ เพราะต่างก็ลงเรือลำเดียวกันมาแล้ว ก็ต้องช่วยพยุงกันไป ทั้งกรีซ สเปน โปรตุเกส ไอร์แลนด์ และไซปรัส ที่ต่างก็มีปัญหา”

อีกหนึ่งมุมที่แทตเชอร์ได้มองไว้ และก็ไม่ผิดไปจากที่เธอคาดไว้มากนัก คือ เธอมองว่า “สักวันหนึ่ง เยอรมนีจะเป็นผู้ครองยุโรปภายใต้ระบบเศรษฐกิจร่วม” เนื่องจากโดยเปรียบเทียบแล้วเยอรมนีจะมีขนาดเศรษฐกิจและความเข้มแข็งที่มากกว่าคนอื่น ยิ่งในเวลานี้ เราจะยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตัวเลขเศรษฐกิจของเยอรมนี ยังเติบโตได้ดี สวนทางกับเบอร์สองอย่างฝรั่งเศสที่ลุ่มๆ ดอนๆ ยิ่งไม่ต้องเทียบกับอิตาลีและสเปน ที่เป็นลำดับรองลงมา นั่นก็แปลว่า เยอรมนีจะยิ่งทิ้งห่างประเทศอื่นๆ และกลายเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ แทตเชอร์ยังได้กล่าวไว้อีกด้วยในการสัมภาษณ์คราวนั้นว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร สหรัฐอเมริกาก็จะยังคงเป็นพี่ใหญ่ของโลก ไม่ใช่ยุโรป ต่อให้เราจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเศรษฐกิจเดียวก็ตาม” ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา เราก็เห็นจริงตามนั้น

ผู้นำที่มีทั้งคนรักและคนชั

นอกเหนือจากเรื่องมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจยุโรป ที่ถือว่าแม่นยำ ชีวิตและการทำงานของคุณแทตเชอร์ก็น่าสนใจ โดยเธอน่าจะเป็นผู้นำที่มีทั้งคนรักและคนชังมากที่สุดในโลก เพราะในทุกๆ นโยบายย่อมมีทั้งคนที่ได้เปรียบและเสียเปรียบจึงไม่แปลกที่คนผู้ใด ยิ่งลงมือทำงานมาก ก็จะยิ่งมีคนที่ไม่ชื่นชอบมากตามไปด้วย โดยนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน แห่งพรรคอนุรักษ์นิยม พรรคเดียวกับคุณแทตเชอร์และโทนี แบลร์ อดีตนายกฯ จากพรรคแรงงาน ตลอดจนผู้นำ นักคิด นักเศรษฐศาสตร์อีกมากมายจากทั่วโลก คือกลุ่มคนที่ยกย่องคุณแทตเชอร์

แต่หนึ่งวันถัดมาหลังจากการเสียชีวิตของเธอ ภาพงานเฉลิมฉลองของกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มฝ่ายซ้ายในย่าน บริกซ์ตันของกรุงลอนดอน รวมถึงในเมืองลีดส์และกลาสโกว์ของสกอตแลนด์ ซึ่งดีใจกับการจากไปของหญิงเหล็กแทตเชอร์ ก็ปรากฏตามมา และจากเว็บไซต์ที่ชื่อว่า Is Thatcher Dead yet? (แทตเชอร์ตายหรือยัง) ที่ตั้งมาเมื่อหลายปีก่อน ก็โพสต์ข้อความว่า “YES” ตัวใหญ่ยักษ์ในเว็บไซต์ราวกับจะประกาศก้องว่าสิ่งที่พวกเขารอคอยมานานเป็นจริงแล้ว

คนใกล้ชิดกับคุณแทตเชอร์ มักบอกว่า เธอเป็นคนทำงานจริงจังแต่อบอุ่นกับคนรอบข้าง เป็นบุคคลที่น่านับถือและน่าคบหา ตลอดจนมีผลงานที่โดดเด่นหลายต่อหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนทำให้เธอเป็นผู้นำที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ยาวนานที่สุดในรอบ 150 ปี ของประวัติศาสตร์การเมืองอังกฤษ คืออยู่ในตำแหน่งถึง 11 ปี แต่หลายนโยบายที่เธอใช้กลับก่อให้เกิดการโต้เถียงกันมากมาย

ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้ไปอยู่ในมือเอกชน ลดอำนาจสหภาพแรงงาน และปล่อยให้อุตสาหกรรมหลายแห่งของประเทศปิดตัวลง ซึ่งก็มาจากความยึดมั่นในหลักตลาดเสรี (Free Market) ผลที่ได้คือถึงแม้อังกฤษจะมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นต่อมา แต่คนงานหลายหมื่นคนต้องตกงาน

หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเธอคือการประกาศสงครามเพื่อยึดเกาะฟอล์กแลนด์คืนจากอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงในชีวิตเธอ แต่ผลงานที่เป็นโบว์ดำก็คือการผลักดันให้เกิดการเก็บภาษีเพื่อบำรุงเขตท้องถิ่น (Poll Tax) ซึ่งเป็นการเก็บต่อหัว ไม่ว่าจะรวยหรือจะจนก็ต้องจ่าย และเป็นภาษีที่ถูกโจมตีอย่างยิ่งว่าสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคมเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่ารวยหรือจนต่างเสียภาษีนี้ไม่แตกต่างกัน

นโยบายเก็บภาษี Poll Tax นี้ แม้แต่พรรคอนุรักษ์นิยมของเธอเองก็ไม่เห็นด้วย และแน่นอนว่าประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะชนชั้นกลางและชนชั้นผู้ใช้แรงงานย่อมไม่พอใจ จนเกิดกระแสอารยะขัดขืนไม่ยอมจ่ายภาษีนี้อย่างกว้างขวาง แต่แทตเชอร์ก็ยังคงยืนกรานในการเก็บภาษีนี้ต่อไป และสุดท้ายภาษีนี้ก็คือต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่งในท้ายที่สุด เพราะประชาชนนับแสนได้รวมตัวกันชุมนุมเพื่อประท้วงกฎหมายภาษีนี้จนเกิดจลาจล และนี่คือจุดที่ทำให้เธอต้องหยุดสถิติการดำรงตำแหน่งผู้นำของอังกฤษไว้ที่ 11 ปี

ด้วยบุคลิกที่แข็งกร้าวของมาร์กาเรต แทตเชอร์นี้ จึงทำให้เกิดกระแสที่ทั้งรักทั้งชังผู้นำคนนี้เป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยต่างบอกว่าไม่เห็นด้วยหากรัฐบาลจะใช้เงินของรัฐมาจัดพิธีศพให้เธอ และขนาดที่ว่าแฟนฟุตบอลหลายทีมปฏิเสธที่จะยืนไว้อาลัยให้เธอก่อนการแข่งขัน ทั้งที่ตามปกติแล้วการแข่งขันฟุตบอลในอังกฤษจะมีการยืนไว้อาลัยให้กับบุคคลสำคัญที่ได้จากไป และแฟนฟุตบอลที่อาจจะไม่ชอบเธอมากที่สุด น่าจะเป็นเดอะ ค็อป หรือแฟนฟุตบอลทีมลิเวอร์พูล จากเหตุการณ์เหยียบกันตายที่ฮิลส์โบโร่ จนมีแฟนบอลหงส์แดงเสียชีวิตกว่า 90 ราย ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยที่เธอดำรงตำแหน่ง และแฟนบอลเชื่อว่ารัฐบาลของเธอพยายามปกปิดความจริงและป้ายความผิดให้กับแฟนบอลแทนที่จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ไม่ใช่แค่ในอังกฤษเท่านั้นที่มีผู้คนที่ไม่ชื่นชอบแทตเชอร์ โดยทางสหภาพยุโรปเองก็ไม่ได้โปรดปรานเธอมากนัก เพราะดูเหมือนเธอจะแสดงจุดยืนชัดเจนว่า “ไม่อยากเข้าร่วมกับยูโรโซน” ในขณะที่พยายามจะผูกมิตรกับสหรัฐอเมริกาอย่างออกนอกหน้า ขณะที่เคยวิพากษ์วิจารณ์วีรบุรุษของแอฟริกาอย่างเนลสันแมนเดลา ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย รวมทั้งการคืนเกาะฮ่องกงให้กับจีน คนอังกฤษเองก็มองว่าเป็นหมากที่ผิดพลาดของแทตเชอร์ที่ยอมปล่อยอาณาจักรอันล้ำค่านี้ออกไปโดยไม่พยายามรั้งเอาไว้

ในเรื่องเกาะฮ่องกงนี้ แทตเชอร์ก็เคยออกมายอมรับเองในภายหลังว่าเสียใจที่ไม่พยายามเจรจาต่อรองเพื่อขอยืดระยะเวลาในการเช่าเกาะฮ่องกงออกไปให้นานกว่านี้ โดยมีเพียงสื่อของจีนเท่านั้นที่ยกย่องเธอ ในกรณีการคืนเกาะฮ่องกงให้กับจีน

ชีวิตของมาร์กาเรต แทตเชอร์ที่ถูกยกย่องเป็น “นางสิงห์เหล็ก” คือหนึ่งชีวิตที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสีสัน สร้างทั้งคุณประโยชน์ รวมทั้งคำวิพากษ์วิจารณ์ เราไม่อาจไปตัดสินได้ว่าเธอเป็นผู้นำที่ดีหรือไม่ เพราะต่างฝ่ายต่างมีมุมมองที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ทุกคนไม่อาจปฏิเสธได้เลย คือ มาร์กาเรต แทตเชอร์ เป็นหนึ่งในผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลก ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการเมืองและเศรษฐกิจ และเป็นอีกหนึ่งชีวิตที่ควรค่าแก่การศึกษาของคนรุ่นหลังอย่างยิ่ง

เรื่องโดย : เฉลิมพร ตันติกาญจนากุล
..........................................................................................................................

..............................................................................................................................

...............................................................................................................................



"ใช้มอสสู้มลพิษ"

ทีมนักชีววิทยา กำลังปลูกมอสจำนวนมากเพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพอากาศเนื่องจากมอสเป็นพืชที่ไม่มีราก แถมมีผิวสัมผัสกับอากาศมาก และสามารถดักจับมลสารในอากาศได้

ในขณะที่เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันในการเฝ้าระวังระดับมลพิษอย่างไนโตรเจน ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ รวมถึงโลหะหนัก เช่น แคดเมียม ตะกั่ว และนิกเกิล ยังคงไม่ชัดเจนและมีราคาแพงมาก

อ่านต่อ : http://bit.ly/15G7dqD
ขอบคุณ : มูลนิธิโลกสีเขียว
..............................................................................................................................



เมื่อโต๊ะทำงาน มีพื้นที่ให้ขีดเขียนกันเต็มที่ Analog memory desk ปิดหน้าโต็ะด้วยกระดาษ ที่เมื่อเขียนเต็มแผ่นแล้ว ก็แค่หมุนเอากระดาษใหม่ๆขึ้นมาแทน เป็นไอเดียที่เท่มั่ก..ถูกใจคนชอบขีดเขียน ถ้าไม่เขียนไอเดียไม่ออกแบบนั้น http://www.iurban.in.th/decorative-item/analog-memory-desk/
...............................................................................................................



จากเพจ "พูดไม่คิด"
ขอแชร์ภาพนี้ให้เห็น สะท้อนสังคมบ้านเรา...

มองอะไรอย่าใจร้อน
และคิดให้ดีก่อนแชร์ต่อ ก่อนตัดสินใจ

สะท้อน มูดี้ส์ กรณีข่าวขาดทุนจำนำข้าว และการดิสเครดิตตวามเชื่อถือรัฐบาล
...............................................................................................................


ตัวอย่างประโยคในตำราเรียนภาษาไทยสำหรับชาวญี่ปุ่น มีลักษระประมาณแบบนี้

การรู้จักกัน

"สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"
"ผมชื่อสมชายครับ"
"คุณเป็นคนญี่ปุ่นช่ายไหมคะ"

แต่ในโลก social media การแนะนำตัวมักจะเริ่่มต้นครับคำเหล่านี้

"ไอ้เหี้ย อย่าพูด"
"ไอ้สัสสสสสส"
"ไอ้ยุ่นนักล่าอาณานิคม"

ก็น่าคิดเหมือนกันนะครับ เมื่อผมมาประเทศไทยเป็นครั้งแรกในปี 2540 ผมประทับใจกับมายาทของคนไทยมากๆ ทั้งวาจาและกิริยา เรื่องจริยธรรมค่อยว่ากัน) หลังจาก 16 ปีผ่านไป ณ ตอนนี้ มารยาทของคนไทยก็ยิ่งเสื่อม (สงสัยทางบ้านเค้า...) และในโลก social media มารยาทของคนไทยบางคนอยู่ในระดับที่น่าเศร้า โดยเฉพาะในเมื่อพบความคิดเห็นที่ตัวเองไม่ชอบหรือไม่ตรงกับความคิดเองของตน

คนประเทศอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของผม แต่ยังไม่รู้จักกัน เค้าแนะนำตัวก่อน ประมาณว่า่

"Hello Shintaro, I'm (ชื่อเค้า), a lecturer of (วิชาที่เค้าสอน) in (ชื่อสถาบัน) University, KL, Malaysia. I read your post on FB about the conflict in Patani..."

หลังจากนั้นเค้าอาจจะตั้งคำถาม แสดงความไม่เห็นชอบ หรือถามความคิดเห็นของผม ถึงแม้ว่าผมไม่รู้จักเค้า แต่ผมก็ยินดีที่จะรับเค้าในเนื้อที่เฟสของผม (ซึ่งผมถือว่า เหมือนกับ "ห้องรับแขก") และแลกเปลี่ยนความคิดกับเคนนี้ด้วย

ขอให้ทุกท่านทราบว่า ผมยังไม่เคยเจอฝรั่งที่ไม่เห็นด้วยกับผม และส่งคอมเมนต์แบบ

"Fuck you!"
"You bastard Jap!"
"Shut up you son of a bitch"

เราใช้โลก social media เพื่อสร้างมิตรภาพ โดยให้เกียรติต่อ "เพื่อน" ทางเฟส หลีกเลี่ยงถ้อยคำที่รุนแรงและเสียมารยาทที่ก่อให้เกิดความรู้สึกทางลบทางๆ ด้วยครับ
.........................................................................................................................



จงทำตามแต่ตัวอย่างที่ดี อย่าจำในสิ่งที่เลว
............................................................................................................................



ยังมีอะไรอีกมากมายบนโลกนี้ ที่คุณยังไม่ได้สัมผัส ยังไม่รู้ หรือ ยังไม่ได้ทำ

หากสิ่งเหล่านั้นคือพลังสำคัญที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต ร่างกาย สติปัญญา ความคิด หรือแม้กระทั่งจิตใจของคุณได้

ก็จงอย่าปล่อยโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองเหล่านั้น ให้ผ่านไปกับกาลเวลา

Kung Witoon อย่าหยุดถ้ายังมีลมหายใจอยู่

............................................................................................................................

"วิกิลีกส์"เผยความจริงอีกด้านของพธม.ในเหตุการณ์ 7 ตุลา เอกสารรายงานอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐ

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1293178053&grpid=00&catid&subcatid
............................................................................................................................

..............................................................................................................................



พี่น้องชาวจุฬาฯ ทุกท่าน

ในระยะนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกำลังเปิดบ้านต้อนรับน้องใหม่ เข้าสู่บ้านอันอบอุ่นของพวกเรา เพื่อบ่มเพาะให้้ นิสิตใหม่เป็นผู้นำทางปัญญาของสังคมไทยในอนาคต ซึ่งเป็นประจำของทุกปีที่รุ่นพี่จะสร้างสรรค์กิจกรรมต้อนรับ น้อง นิสิตใหม่ทางจุฬาฯ หวังอย่างยิ่งว่า พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็น รุ่นพี่ อาจารย์ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของจุฬาฯ ทุกท่าน จะรวมใจ เป็นหนึ่ง ช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูแลน้องนิสิตใหม่ ให้ได้รับความสุข สนุกสนาน และความปลอดภัยจากการเข้าร่วม กิจกรรมรับน้องในปีนี้ ดังนั้นพวกเรา ชาวจุฬาฯ ต้องพร้อมใจกัน หยุดเพิกเฉยต่อความรุนแรง หรือการล่วงละเมิดใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากกิจกรรมการรับ นิสิตใหม่เพื่อสร้างจุฬาฯ ให้เป็นบ้านที่อบอุ่นแก่ทุกคนที่มาเยือน ถึงเวลา... รับน้องแบบสร้างสรรค์ ไม่ใช้ความรุนแรง

ไม่บังคับ – ต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของนิสิตแต่ละคน
ไม่ข่มขู่ – คุกคาม ล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ไม่รุนแรง - ทำร้ายร่างกาย และจิตใจ
ไม่รบกวน – เคารพในสิทธิของผู้อื่นที่อยู่ร่วมกัน
เพราะถ้ารักน้องจริง ต้องไม่รับน้องแบบรุนแรง

น่ารักอ่ะ
http://portal.edu.chula.ac.th/edu52/view.php?Page=1244692495938641&msite=edu52&bp=1&np=2
..........................................................................................................................



จงนิ่งเสีย ถ้าอีกฝั่งเค้ากำลังพาล
..............................................................................................................................

My idol.
.............................................................................................................................



"ถ้าคุณไม่ยอมเสี่ยงเลย คุณจะยิ่งเสี่ยงมากขึ้น"
"If you don"t risk anything, you risk even more."

Erica Jong นักเขียนอเมริกัน

ที่มา : น้ำจิ้มอาหารสมอง ในบทความ "นาซีจอมโหดและประวัติศาสตร์ที่ปิดบัง" คอลั่ม อาหารสมอง โดย วีรกร ตรีเศศhttp://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1306039675
..............................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น