วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

05/06/2556


มีคนชอบถามผมว่าทำไมผมถึงผมเป็นคนกล้าเสี่ยง จากเดิมที่เป็นมนุษย์เงินเดือนกล้าทิ้งเงินเดือนความสะดวกสบาย ความมั่นคงในชีวิต ออกมาเป็นโจรสลัด ต้องมากินข้าวต้ม แล้วเจอกับความยากลำบาก

ถ้าจะอธิบายวิธีคิดของผม การที่ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนผมมีความแน่นอน 100 % ว่ามีรายได้ที่แน่นอน มีฐานะทางสังคมที่ดีพอควร แต่ความสุขของผมต้อยเตี้ยต่ำมาก ส่วนเส้นทางโจรสลัดโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสมมติว่ามี Chance เพียง 10% ที่ผมจะไปรอด

ผมเลือกเส้นทางของการเป็นโจรสลัดทั้งที่โอกาสสำเร็จมีเพียง 10% เพราะบนเส้นทางนี้ผมแน่ใจ 100% ว่าผมมีความสูขมากกว่าเดิม และที่ผมไม่เลือกการเป็นมนุษย์เงินเดือนเพราะเส้นทางนั้นผมแน่ใจ 100% ว่าไม่มีความสุข

ประเด็นของความกล้าเสี่ยงคือเราต้องรู้ว่าเราต้องการอะไร แล้วกล้า Let go ส่วนที่เหลือ

สิ่งที่ผมเรียนรู้มาจากการเป็นโจรสลัดคือชีวิตต้องได้อย่าง แล้วยอมเสียอีกอย่าง ถ้าใครต้องการได้ทูกอย่าง จะไม่ได้อะไรเลยสักอย่างเดียว
............................................................................................................



พอดี... ไม่เคร่ง
.............................................................................................................................



พาสเวิร์ดยุคต่อไป!

ที่ผ่านมาบรรดาบริษัทไอทีชั้นนำของโลก ต่างมุ่งหน้าพัฒนาเทคนิควิธีการระบุตัวตนของเจ้าของอุปกรณ์ไอทีกับ ตัวเครื่อง ให้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ปลอดภัยเพียงพอ และทันยุคทันสมัย

เรื่องดังกล่าว เรารู้จักกันดีกับระบบการใส่พาสเวิร์ดเพื่อใช้งานสมาร์ตโฟน ทว่าในอนาคตผู้ใช้อาจเพียงแค่นำโทรศัพท์ส่วนตัวมาแตะกับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ก็สามารถเข้าใช้งานได้แล้ว

เทคโนโลยีอย่างแรกที่จะกล่าวถึง มีชื่อว่า 'ไบโอแสตมป์' เป็นฝีมือการคิดค้นของนายจอห์น โรเจอร์ นักวิทยาศาสตร์ทางด้านวัสดุศาสตร์ แห่งบริษัท MC10 ซึ่งประดิษฐ์แผงวงจรไฟฟ้าที่ยืดหยุ่นได้ สามารถติดกับผิวหนังเหมือนกับรอยสักชั่วคราวที่เราเอามาติดตามตัว

ตัวรอยสักจะมีอายุอยู่บนผิวหนังแต่ละครั้งประมาณ 2 สัปดาห์ เท่ากับอายุของผิว เมื่อผิวผลัดเปลี่ยนมันก็จะค่อยหมดสภาพไปตามผิวเก่า ก็จะต้องติดอันใหม่

ในช่วงแรกของการพัฒนา 'ไบโอแสตมป์' ตั้งเป้าให้ใช้ในวงการแพทย์ เพื่อตรวจเช็กสุขภาพของคนไข้ ต่อมาภายหลังจึงมีการเชื่อมโยงไปสู่วงการไอที ด้วยความหวังในการยกระดับสมาร์ตโฟนขึ้นไปอีกขั้น

และที่ออกมาประกาศก่อนเพื่อนก็คือ โมโตโรล่า ที่ตั้งเป้าจะนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัทในอนาคตเช่นเดียวกัน

เท่านั้นยังไม่พอนะครับ เพราะโมโตโรล่าระบุด้วยว่า นอกจากความสนใจใน 'ไบโอแสตมป์' แล้ว ทางบริษัทยังสนใจนวัตกรรมจากวงการแพทย์อีกหนึ่งอย่างที่ชื่อว่า 'Proteus Digital Health pill' หรือ ยาเม็ดโพรทีอุส ดิจิตอล

มีลักษณะเป็นแคปซูลที่บรรจุวงจรไฟฟ้าชนิดพิเศษ ซึ่งจะอยู่ในท้องผู้ใช้ราว 1 เดือนก่อนจะโดนย่อย ส่วนแหล่งพลังงานจะอาศัยกรดในกระเพาะอาหารของผู้ใช้ (แบบเดียวกับกรดในแบตเตอรี่)

โมโตโรล่าจะดัดแปลงเป็นแคปซูลที่จะส่งสัญญาณเฉพาะตัวมาสู่สมาร์ตโฟนได้แบบของใครของมันเลยทีเดียว

ทั้ง 'ไบโอแสตมป์' และ 'ยาเม็ดโพรทีอุส ดิจิตอล' นั้นทำให้เรานึกถึงเรื่องราวในนิยายวิทยาศาสตร์ ที่ทำท่าว่าจะเป็นจริงในโลกทุกวันนี้เลยนะครับ

หมุนก่อนโลก/่ข่าวสดออนไลน์
ปอลนาโช่ khaosod.sci@gmail.com
.....................................................................................................................

มันจะเจ๋งเกินไปละ

http://www.facebook.com/photo.php?v=166048893569441
......................................................................................................................


อาจจะรู้สึกไปเอง แต่รู้สึกว่าโลกตะวันตกไม่มีคำว่า "ค้ากำไรเกินควร" เพราะการทำกำไรสูงสุดมันไม่ใช่เรื่องผิดบาป มันจะเป็นปัญหาก็ต่อเมื่อคุณ "มีอำนาจเหนือตลาด" (จึงทำกำไรได้มาก) ทำให้เขาซีเรียสมากๆเรื่องการแข่งขันและโครงสร้างตลาด เพราะโดยพื้นฐานแล้วเขาถือว่าถ้าคุณเก่งจริง คุณก็มีสิทธิทำกำไรให้มากเท่าที่คุณต้องการ

ดังนั้นเราจึงไม่ค่อยเห็นรัฐเข้ามาแทรกแซง ควบคุม ขอดูต้นทุน หรือ "ขอความร่วมมือ" ให้เอกชนกำหนดราคาสินค้าตามที่รัฐเห็นควรว่า "เหมาะสม"

ถ้าสิ่งใดราคาแพงเกินไป สิ่งที่รัฐทำได้คือการเปิดเสรีให้มีการแข่งขันกันมากๆ ส่งเสริมให้มีคนเข้ามาแข่งเยอะๆ ราคามันก็จะลดลงมาเอง หรือเลวร้ายที่สุดคือการใช้เงินอุดหนุน แต่นั่นก็จะตามมาด้วยข้อครหาทางการเมืองมากมาย
.....................................................................................................................



» องศาความคิดดี ๆ :: " ของเป็น vs ของตาย "

ในชีวิตของคนเรา...อะไรสำคัญกว่ากันระหว่าง “ของตาย” กับ “ของเป็น”

“ของตาย” คือสมาชิกในครอบครัว คุณพ่อ คุณแม่ ภรรยา คนเหล่านี้เป็น “ของตาย” เพราะเราเชื่อว่าเค้าจะไม่ไปไหน อยู่กับเรามาชั่วชีวิต และจะอยู่กับเราไปอีกนานเท่านาน

ส่วน “ของเป็น” คือ เพื่อนฝูง เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยวเล่น และคนที่รู้จักกันในสังคม

เมื่อคนเรามีฐานะที่มั่นคงขึ้น บางครั้งบางคราเราจะให้เวลากับ “ของเป็น” จนลืม “ของตาย” เพราะรู้สึกว่า “ของเป็น” มีสีสรรกว่า

ผมมีความเห็นกลับกัน ผมว่า “ของตาย” มีความสำคัญมากกว่า “ของเป็น” และด้วยวิธีคิดแบบนี้จะทำให้เราจัดสรรเวลาได้อย่างถูกช่องถูกทาง ทำให้ชีวิตพูดคำว่า “Good morning” ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

::::::::::::::::::


ผมไม่ได้บอกว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้เวลากับ “ของเป็น” แต่ผมกำลังบอกว่าเราต้องไม่ละเลยที่จะให้เวลากับ “ของตาย” คนเหล่านี้อยู่กับเรามาชั่วชีวิต อย่าไปคิดว่าคนเหล่านี้เขาไม่ไปไหน เลยดูแลพวกเขาแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ และใช้เวลากับพวกเขาแบบว่าถ้ามีเวลาเหลือจาก “ของเป็น” แล้วค่อยเจียดเวลาให้

ถ้าคิดกันให้ดี เวลาที่ “ของตาย” จะอยู่กับเราไม่ค่อยจะนานมากนัก โดยเฉพาะคุณพ่อกับคุณแม่ วิธีคิดคือ ต้องใช้เวลาที่มีอยู่กับ “ของตาย” ทำให้พวกเขามีความสุขมากที่สุด โดยจัดสรรเวลาให้มีความเหมาะสม

ผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่คุณพ่อเสียมาได้หลายปีแล้ว ตอนรู้ข่าวก็โทรไปแสดงความเสียใจ

เพื่อนผมบอกว่า ถ้าถามว่าเขาเสียใจหรือเปล่า แน่นอนเป็นธรรมดาสำหรับคนที่มีความผูกพันกัน แต่ความรู้สึกที่มันปนอยู่อีกส่วนหนึ่งคือเขาดีใจที่ให้เวลากับพ่อเขาเต็มที่ในช่วงเวลาที่ท่านยังอยู่

น้องสะใภ้ผมมีข้อคิดที่น่าสนใจว่าซุปหูฉลามที่ทำบุญให้ “คุณพ่อหรือคุณแม่” ตอนไม่อยู่แล้ว มันไม่มีค่าอะไร สู้ข้าวต้มใส่หมูสับที่ท่านชอบกินตอนอยู่กับเราไม่ได้แม้แต่น้อย

:::::::::::::::::


#ต่อยอดความคิด

หลักการเรื่อง “ของตาย” กับ “ของเป็น” สามารถนำมาใช้ในการทำธุรกิจได้อย่างเหลือเชื่อ

“ของตาย” คือพวกลูกค้าเก่า ส่วน “ของเป็น” คือ Potential customer ที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้า และต้องออกแรงขับเคลื่อนทางการตลาดเพื่อชักจูงคนเหล่านี้ให้มาซื้อสินค้าหรือใช้บริการของเรา

ผมให้ความสำคัญกับพวก “ของตาย”

ใช้เวลาในการบริการและดูแลทุกข์สุขพวก “ของตาย” มากกว่าที่จะสนใจไปหา “กิ๊กใหม่” แล้วทอดทิ้ง “ของตาย”

เพราะ “ของตาย” เป็นผู้มีพระคุณ

ไม่เคยทอดทิ้ง หรือเดินจากเราไป

พวกเขาเป็นคนที่จ่ายเงินเดือน ชำระค่าน้ำค่าไฟให้ออฟฟิศเร

ส่งเสียงเชียร์เราถ้ามีคนถามถึง

ปลายปีก็แจกผลกำไร ทำให้เรามีโบนัสไว้จับจ่ายใช้สอยตอนปีใหม่

แล้วยังมีความผูกพันกันทางใ

ถ้าใครเคยฟังเพลง Love the one you’re with ของ Crosby Still Nash & Young ให้ไปอ่านเนื้อเพลงดู

http://www.metrolyrics.com/love-the-one-youre-with-lyrics-crosby-stills-nash.html

นี่เป็นหลักการขั้นพื้นฐานที่นักการตลาดทุกคนต้องจำไว้ใช้

::::::::::::::::::


มีคนถามผมว่า...แล้วจะทำอย่างไรให้ธุรกิจมีการเติบโตโดยพึ่ง “ของตาย” เพียงอย่างเดียว

ข้อที่หนึ่ง พวก “ของตาย” จะคิดถึงเราก่อนถ้ามีโอกาสใหม่ทางธุรกิจ และคนเหล่านี้จะพูดเชียร์ให้ “ของเป็น” มากลายเป็น “ของตาย” โดยเราไม่ต้องออกแรงมาก

ข้อที่สอง ถ้าต้องการได้ “ของเป็น” มาเป็นลูกค้า ต้องไม่ Corruption เวลาหรือทรัพยากรของพวก “ของตาย” มาใช้ในการทำงาน

พูดเป็นภาษาชาวบ้าน การไปจีบ “ของเป็น” ต้องไม่สร้างความเสียหายกับ“ของตาย”

นี่เป็นความสามารถส่วนตัวซึ่งลอกเลียนแบบกันไม่ได้

ตรรกะทั้งหมดที่ผมเล่ามาสวนทางกับความจริงของหลักการตลาดที่ใช้อยู่ในทุกวันนี้ที่วันวันเอาใจแต่ “ลูกค้าใหม่” สร้างข้อเสนอที่ดีกว่า ทั้งราคาและของแจกของแถม แล้วลืมพวก “ของตาย” ให้ผู้มีพระคุณต้องซื้อของแพง และไม่ได้กินขนมจีบ ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านี้คือฐานของธุรกิจเรา

ผมเชื่อว่าการยึด “ของตาย” เป็นหลักชีวิต คือการสร้างความสุขที่ยั่งยืน และความเติบโตทางธุรกิจที่มีความนิรันดร

ลองเอาหลักการนี้ไปใช้ดูนะครับ

::::::::::::::::::


Credit : ประเสริฐ เอี่ยมรุ่งโรจน์ | แกะดำทำธุรกิจ
 
..............................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น