วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

08/06/2556



เอมเมอรัลด์ นี่น่าจะเป็นที่ ...... ป่วย
แต่น้องคนนี้ น่าจะเป็นที่....... สันดาน!!!
...........................................................................................................................

...........................................................................................................................



เพื่อนๆ ท่านใด ที่เคยเดินทางจากเมือง Blaine รัฐ Washington เข้าไปที่เมือง Surrey ของจังหวัด British Columbia ประเทศแคนาดา ก่อนเข้าสู่เมือง Vancouver คงจะจำได้ว่า ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่นั่น มีความวุ่นวายและยุ่งเหยิงพอสมควร รถยนต์ที่จะขับเข้าไปที่ันั่นก็ต้องผ่านไปอย่างเชื่องช้า บางทีอาจจะกินเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงทีเดียว กว่าจะผ่านการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศแคนาดาได้


(รูปใหญ่อยู่ที่นี่ค่ะ: http://img809.imageshack.us/img809/4554/peacearchpark.jpg)

ดิฉันมีโอกาสผ่านที่นั่นเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามในชีวิต เนื่องจากว่าตนเองไม่ค่อยได้เดินทางออกมาทางแถบนี้เท่าไรนัก แต่คราวนี้ สิ่งที่กลายมาเป็นเรื่องสะดุดตา ก็คือเรื่องของ Peace Arch Park มากกว่า


สองครั้งที่ผ่านไปเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ไม่เคยคิดอะไร แต่คราวนี้ กลับมีความคิดแปลกๆ ก็เลยจอดรถแล้วเดินไปถ่ายรูปแถวๆ นั้น


Peace Arch Park นี้ เป็น Park ที่ทำการบริหารร่วมกันโดยทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายสหรัฐอเมริกาและฝ่ายแคนาดา นักท่องเที่ยวสามารถจอดรถและเดินอยู่ภายใน Park ได้ (ประชากรสัญชาติอเมริกันและสัญชาติแคนาดา ต่างก็เดินอยู่ภายในบริเวณปาร์คนี้ได้ทั้งหมด โดยไม่ต้องมีการใช้พาสปอร์ตเข้าไปแต่อย่างใด เพียงแต่อย่าออกไปจากบริเวณ Park ก็แล้วกัน) ครึ่งหนึ่งของปาร์คเป็นของ USA และ อีกประมาณครึ่งหนึ่งเป็นของแคนาดา มีอาณาเขตรวมทั้งหมด 42 เอเคอร์ (ประมาณ 105 ไร่)


ทางฝั่งของ USA จะเรียก Park นี้ว่า Peace Arch State Park ส่วนของ Canada เรียกส่วนของตนเองว่า Peace Arch Provincial Park


ตรงเขตแบ่งพรมแดน ก็มีหลักปักให้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า เส้นแบ่งพรมแดนของประเทศอยู่ตรงจุดไหน เสาหินก็จะบอกเลยว่าตรงนี้คือ International Boundary ระหว่างประเทศทั้งสอง


สิ่งที่ดิฉันประทับใจมากๆ คือ ตัวช่องซุ้มประตู (Gates) ทั้งสองฝั่ง มีคำขวัญที่ใช้ด้วยประโยคดีๆ ซึ่งอยากจะนำมากล่าวไว้ ณ ที่นี้


ฝั่งของ USA จะใช้คำว่า "Children of a Common Mother" ซึ่งแปลเป็นไทยว่า ลูกหลานของบรรพบุรุษ (สตรี) เดียวกัน ส่วนของทางฝั่ง Canada จะใช้คำว่า "Brethren Dwelling Together in Unity" ซึ่งแปลเป็นไทยว่า พี่น้องอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานสามัคคี


ส่วนกึ่งกลางของประตูนั้น ยังมีคำจารึกว่า “May These Gates Never Be Closed.” ซึ่งบอกแล้วว่า “ขออย่าให้ประตูเหล่านี้ต้องปิดเลย” (พูดง่ายๆ คือ ขอให้ความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศจงเปิดอยู่ชั่วกาลปาวสานต์นั่นเอง)


Park นี้ เป็น Park ที่สวยพอสมควร ดอกไม้ช่วง Spring งดงามมากๆ


แต่สิ่งที่น่าสนใจคือว่า ประเทศเพื่อนบ้าน ให้ความร่วมมือร่วใจกันต่อการสร้าง Park แห่งนี้ พร้อมทั้งยอมรับว่า บรรพบุรุษของตนเองนั้น ก็คือบุคคลกลุ่มเดียวกัน เพียงแต่รุ่นหลานมาเจริญเติบโตกันอยู่อีกประเทศหนึ่งเท่านั้นเอง


------------------------------------------------------------------------


เมื่อเห็นแบบนี้ ก็เลยเกิดความคิดว่า ประเทศไทยเราก็น่าจะใช้วิธีการแบบนี้ในแถบพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร (หรือพื้นที่อื่นๆ ที่มีปัญหากับเพื่อนบ้าน) ถ้ามีการเจรจากันอย่างสันติ เราอาจจะเห็นความร่วมมือแบบ Peace Arch Park นี้ก็ได้ คือทำเป็นสถานที่ เช่น พิพิธภัณฑ์, Visitor Center หรือ สถานที่ประจำการของทางฝ่าย UNESCO ทำให้เห็นถึงการรักสงบทั้งสองประเทศ เพราะถ้าพูดกันจริงๆ แล้ว บรรพบุรุษของคนที่อยู่แถบนั้น ก็น่าจะเป็น Children of a Common Mother มาก่อนจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้ มาแบ่งแยกเป็นประเทศนั้น ประเทศนี้กันตามหลักการภูมิศาสตร์ในหลายช่วงอายุคนที่ผ่านมา


ไม่ว่า ศาลโลกจะตัดสินออกมาแบบไหน หรือให้ทั้งสองประเทศจัดการกันเอง วิธีการแบบ Peace Arch Park นั้น เป็นวิธีการที่ดีมากๆ เพราะมันจะทำให้บริเวณแห่งนั้น กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งนำธุรกิจดีๆ มาให้กับพี่น้องที่อยู่ตามชายแดนทั้งสองประเทศจริงๆ (ส่วนกลุ่มที่กระหายในการทำศึกสงคราม ก็คงจะหาเรื่องแบบว่า เสียดินแดนและเสียอธิปไตยไปอีก ดิฉันคิดว่า พวกนี้หลายท่าน ก็คงจะเคยผ่านหรือแวะไปที่นี่มาแล้ว ก็น่าจะนำไปคิดพิจารณาเสียหน่อย)


และ Peace Arch Park ก็คือสถานที่ตัวอย่างซึ่งพิสูจน์มาเป็นเวลาเกือบ 100 ปีแล้วว่า ความสงบระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน สามารถเกิดขึ้นได้จริง ๆ


การปลุกความรักชาติ คลั่งศึกสงครามนั้น มันไม่ได้สร้างอะไรดีขึ้นมาเลย ดูตัวอย่างจากการสร้างกระแสสงครามของประเทศเกาหลีเหนือก็ได้ ถ้าทำแบบต้องการความสงบจริงๆ แล้ว เขต Demilitarized Zone หรือเขตปลอดทหารของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้นั้น ควรจะเป็นเขตที่สามารถสร้างสิ่งต่างๆ ดีๆ ร่วมกันได้ แต่เมื่อการกระหายสงคราม ปลุกความรักชาติแบบที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Jingoism ของประเทศเกาหลีเหนือ เกิดขึ้นมากจนเกินเหตุ แล้ว ความสงบมันก็คงจะไม่เกิดขึ้นในเขตคาบสมุทรเกาหลีได้หรอก..


ทริปที่ดิฉันไปกับพี่ชายและพี่สะใภ้เที่ยวนี้ ทำให้ดิฉันได้เห็นมุมต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน แทนที่จะไปก่อศึกสงครามกัน ทำไมเราถึงไม่คิดเกี่ยวกับการสร้างความสงบและสร้างธุรกิจที่ดีต่อเมืองต่างๆ ที่อยู่ตรงพรมแดนแทบทั้งสิ้


Peace Arch Park ก็เป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์แบบ Win-win ที่เห็นได้อย่างชัดเจนทีเดียว


ไว้ครั้งต่อไป ดิฉันจะมาเขียนเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศให้อ่านกันต่อ จากทริปที่เพิ่งไปเมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ

Doungchampa Spencer

ปล. ท่านสามารถอ่านเรื่องเกี่ยวกับ Peace Arch Park ได้ที่นี่ค่ะ:

http://en.wikipedia.org/wiki/Peace_Arch_Park
http://www.env.gov.bc.ca/bcparks/explore/parkpgs/peace_arch/

http://www.parks.wa.gov/parks/?selectedpark=peace+arch
 
..........................................................................................................................


วันนี้ ขอเขียนบันทึกต่อจากเมื่อวาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Peace Arch Park ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศสองประเทศ ที่ทำให้ Park เล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงพรมแดนของประเทศ สามารถกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปได้


บทความที่โพสต์เมื่อวานอยู่ที่นี่ค่ะ: (อ้างอิง:https://www.facebook.com/photo.php?fbid=450334278396810)


วันนี้ ก็เลยขอแสดงจุดสนใจอีกจุดหนึ่ง ที่อยู่ตอนเหนือของประเทศ และไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางมากเท่าไร (นอกไปจากเรื่องการตรวจคนเข้า/ออก จากเมือง) แต่เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐสามรัฐ ของ USA กับ ของจังหวัดหนึ่งในประเทศ Canada เพื่อโปรโมทเรื่องการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ที่นี่เรียกกันว่า Lake Superior Circle Tour


รูปใหญ่อยู่ที่นี่ค่ะ: http://img197.imageshack.us/img197/4305/circletour3.jpg


Lake Superior เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเนื้อที่ประมาณ 82,000 ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ 1 ใน 6 ของประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่ทั้งสองประเทศคือ USA & Canada มีอุทยานแห่งชาติภายในทะเลสาบเอง รวมไปถึงอุทยานชายฝั่งแห่งชาติ (National Lakeshore) อีกสองแห่ง ส่วนในประเทศ Canada ก็มีอุทยานแห่งชาติและอุทยานของจังหวัดอีกหลายแห่งเช่นกัน


การเดินทางให้เป็น Circle Tour หรือการเดินทางเป็นวงรอบนั้น สามารถทำได้ในทุกสถานที่ ถนนหนทางเชื่อมต่อทางหลวงเส้นใหญ่ สามารถนำท่านเข้าไปเยือนสถานที่สวยงามมากๆ หลายแห่ง ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือสุดของ USA


ฤดูที่สวยที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะจะเห็นสีสันของใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีอยู่ทุกขณะ อากาศเย็นพอสมควรทีเดียว แต่ช่วงฤดูร้อนก็มีนักท่องเที่ยวขึ้นไปมากเช่นกัน เพราะอุณหภูมิสูงสุดไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูหนาวนั้น จะสวยไปอีกแบบด้วยความขาวโพลน และถ้ำติดทะเลหรือ Sea Caves จะกลายเป็นถ้ำน้ำแข็ง ที่สวยงามมากๆ และถ้าท้องฟ้ามืดสนิท อาจจะมีโอกาสได้เห็น Aurora Borealis มาเต้นรำให้ดูกันบนท้องฟ้าอันมืดสนิทด้วย


การเดินทางแบบสบายๆ ไปตามสถานที่ต่างๆ ใช้เวลาประมาณ 5-7 วันด้วยการขับรถและพักแรมตามที่พักข้างทาง


ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลของทั้งสามรัฐของ USA และกับทางฝั่งแคนาดา ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศบูมขึ้นมา สร้างรายได้ให้กับธุรกิจขนาดเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่บนเส้นทางของ Circle Tour เกือบทุกแห่ง รายได้กลับคืนไปสู่รัฐบาลของรัฐต่างๆ ก็คือ VAT หรือภาษีที่นักท่องเที่ยวต้องจ่ายนั่นเอง ดังนั้น มันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากๆ ในการโปรโมทเรื่องทัวร์แบบนี้ ส่วนทางฝั่งแคนาดา ก็ได้รับรายได้จากนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ต้องการไปแบบ Circle Tour ทั้งสิ้น


ถนนที่อยู่ใน Circle Tour มีการดึงดูกความสนใจให้กับนักท่องเที่ยวด้วยการโปรโมทสินค้าและบริการของเมืองดังกล่าว เพราะฉะนั้น มันอยู่กับนักท่องเที่ยวเองว่าจะจัดโปรแกรมแบบไหนถึงจะดีที่สุด


(เกือบลืมบอกไปว่า เกาะ Mackinac (อ่านว่า แม๊ก-คิ-นอว์) ก็อยู่ในเส้นทางของ Circle Tour นี้ด้วย คนไทยที่เรียนหนังสืออยู่ทาง Midwest จะรู้จักเกาะแห่งนี้ดีก่อนจะขึ้นไปยังคาบสมุทรตอนเหนือของรัฐมิชิแกน (Michigan Upper Peninsula) ซึ่งไปข้ามเขตแดนที่เมือง Sault Ste Marie หรือ เมือง ซู (soo) นั่นเอง)

---------------------------------------------------------------

พอเขียนมาขนาดนี้ ก็เลยคิดว่า คนไทยบางท่านก็คงจะเคยทำ Circle Tour มาแล้ว ตามที่ลงไว้ในรูป แต่จุดสนใจคือ ต้องพยายามให้ผ่านอุทยานแห่งชาติ, World Heritage Sites, เมืองใหญ่ๆ และมีการโปรโมทการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ดิฉันพยายามลิ้งค์ให้เข้าไปที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารกัน เพราะเป็นเรื่องที่สามารถช่วยเศรษฐกิจให้กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่แถบนั้นได้ รวมทั้งเป็นการแสดงให้เห็นว่า ความคลั่งชาติ มันไม่ได้ช่วยอะไรให้กับพี่น้องที่อยู่ในศตวรรษที่ 21 กันเลย เพราะยุคนี้ มันเป็นยุคที่ไร้พรมแดน และควรใช้เศรษฐกิจนำหน้าการทหารให้หมด


Map ชุดแรกก็เสนอให้เริ่มจากเวียงจันทร์ ลงมาสู่ทางอรัญประเทศ แล้วไปที่เขาพระวิหาร จากนั้น ก็ลงไปที่นครวัตร ผ่านพนมเปญ ข้ามไปฝั่งลาว แล้วเลาะไปตามแม่น้ำโขงที่สะหวันนะเขต ก่อนที่จะไปจบที่เวียงจันทร


ส่วนชุดที่สอง ก็เสนอให้รวมเอาประเทศเวียดนามเข้ามาด้วยในการร่วมมือทำ Circle tour ทางเศรษฐกิจ ซึ่งมันจะกลายเป็น win-win situations ให้กับทุกๆ ประเทศที่อยู่ในวงของ Circle Tour กัน


ประชากรในท้องถิ่น สามารถปรับตัวกับจำนวนนักท่องเที่ยวได้ มีการโปรโมทอาหารและที่พักกันเกี่ยวกับราคาและค่าใช้จ่าย รวมไปถึงการเหมาทัวร์ต่างๆ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ทางฝ่ายรัฐบาลของแต่ละประเทศสามารถทำกันได้ เพราะถ้านักท่องเที่ยวไปกันเองโดยรถยนต์หรือรถโดยสาร มันก็มีอย่างเดียวคือ นำเอาเงินเหล่านั้น มาจับจ่ายใช้สอยเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่


ความคิดเกี่ยวกับระบบของทวิภาคีแบบ USA & Canada ก็สามารถดัดแปลงให้เป็นรูปแบบของพหุภาคีที่นำความเจริญทางเศรษฐกิจของท้องถิ่นมาให้กับประชากรของแต่ละประเทศกัน


ส่วนแผนที่นั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นตายตัวแบบนี้ เราสามารถดัดแปลงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ทั้งหมดว่า จะให้ผ่านที่ไหนบ้าง มีการโปรโมทอะไรบ้าง และที่สำคัญคือ การสื่อสารทางอินเตอร์เนท จะต้องสามารถ search สถานที่ ที่พักต่างๆ รวมไปถึงการให้ comments ติชมหลังจากไปมาแล้วด้วย


ก็ขอเสนอให้เห็นเป็น ideas กับท่านผู้อ่าน เนื่องจากความคลั่งชาติแบบ Jingoism นั้น มันหนักมาก เพราะตัวแทนบางส่วนของรัฐเป็นผู้สนับสนุน แต่เมื่อเราได้เห็นผลประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่เขามีโอกาสจะได้รับกันด้วยการประกอบอาชีพต่างๆ อย่างนี้แล้ว เรายังจะกระเหี้ยนทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านต่อไปอีกในยุคดิจิตอลอันไร้พรมแดนกันอย่างนั้นหรือ?


Doungchampa Spencer

ปล. ถ้าสนใจ ลิ้งค์อยู่ที่นี่ค่ะ:

http://www.lakesuperiorcircletour.com/
http://www.great-lakes.net/tourism/circletour/superior/
http://en.wikipedia.org/wiki/Great_Lakes_Circle_Tour
 — ในBettles, AK
.........................................................................................................................


James Catterall and his team at the Centers for Research on Creativity ทำการวิจัยและพบว่า
"นักเรียนชั้นประถม มัความคิดสร้างสรรค์ มากกว่านักเรียนมัธยม"
นี่คือปัญหาใหญ่ที่เกิดจากการสอนแบบดั้งเดิม ที่เราเลียนแบบเขามาครับ
.......................................................................................................................

รู้ยัง? โค้กออกผลิตภัณฑ์ "ขวดน้ำแข็ง" กินเย็นเจี๊ยบ เคี้ยวได้ทั้งขวด (ชมคลิป)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1370596133&grpid=03&catid=05&subcatid=0503
.........................................................................................................................



จรรยาบรรณ...

-1-

ไม่กี่วันก่อน ผมนั่งรถผ่านถนนสายที่พาดกลางเมือง สายตาสะดุดกับบิลบอร์ดขนาดใหญ่ รูปชายหนุ่มสองสามคนในชุดแฟชั่นใหม่ล่าสุด ที่แนบชิดร่างชายคือ หญิงสาวเปลือยท่อนบนยืนหันหลัง

เป็นภาพถ่ายที่งามมาก หญิงสาวสวย เรือนร่างสมบูรณ์ด้วยวัยสาว กิริยาเย้ายวน แสงเงาของภาพส่อให้เห็นว่าช่างภาพทำงานชิ้นนี้อย่างงานศิลปะ อาจด้วยความรู้สึกเดียวกับเมื่อศิลปินเอก มาเนท์ วาดภาพ Luncheon on the Grass (1863) ซึ่งเป็นภาพหญิงเปลือยนั่งตรงข้ามชายแต่งตัวเต็มยศสองคนบนสนามหญ้า แต่เมื่อบิลบอร์ดนี้ตั้งเด่นหรากลางถนนใหญ่ กลับเป็นภาพที่ชวนให้ตั้งคำถามหลายข้อ

การแข่งขันกันในยุคบริโภคนิยมทำให้เราพบว่า การสร้างแรงจูงใจให้คนซื้อสินค้าเดินนำหน้าคำว่า 'ความเหมาะสม' หลายช่วงตัว ทิ้งคำว่า 'จรรยาบรรณ' ไปอย่างไร้เยื่อใย

กำไรคือทุกสิ่ง

นิตยสารจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แสดงภาพหญิงสาวเปลือยกายในเชิงยั่วยุทางเพศ หนังสือพิมพ์หลายฉบับขึ้นปกด้วยรูปลักษณะเดียวกัน ทุกฝ่ายบอกว่ามันเป็นงานศิลปะ

ทว่าศิลปะเมื่อนำไปใช้ผิดที่ ผิดเวลา ผิดโอกาส ก็กลายเป็นอนาจารได้

ผมไม่อยากดัดจริตแก่กล้าศีลธรรมจนต้องออกมาโวยวายว่า ภาพโป๊ทำให้สังคมเสื่อมโทรมลง แต่ทุกครั้งที่พาลูกไปเดินดูแผงหนังสือ ผมไม่สามารถตอบคำถามเด็กได้ว่า ทำไมบนแผงหนังสือเต็มไปด้วยภาพแบบนี้ ราวกับว่าสมองผู้ใหญ่คิดเป็นอยู่แต่เรื่องเดียวคือ การสังวาส

นักธุรกิจทุกคนล้วนบอกว่า แคร์สังคม รักชาติ แต่สิ่งที่กระทำในเชิงธุรกิจกลับดูเหมือนสวนทางกัน

ในประเทศที่หย่อนยานและไม่มีมาตรการทางธุรกิจเช่นเรา ดูเหมือนใครๆ ก็ขาดสารอาหารที่เรียกว่า 'จรรยาบรรณ'

จรรยาบรรณ ไม่ใช่กฎหมายที่ลงโทษตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร จรรยาบรรณเป็นมารยาท เป็นความรักที่เรามอบต่อสังคมที่เราอาศัยอยู่ เป็นความเป็นห่วงต่อสังคมที่ลูกหลานเหลนของเราต้องอยู่อาศัยต่อไป

หากเราไม่ต้องการให้ลูกของเราอยู่ในบ้านที่สกปรก อับชื้น เต็มไปด้วยเชื้อโรค เราก็ต้องช่วยกันทำความสะอาดบ้านของเรา หรือย่างน้อยที่สุดไม่สร้างขยะกองใหม่ขึ้นมา ไม่ว่าขยะกองนั้นดูเป็นศิลปะแค่ไหน

นี่คือจรรยาบรรณของทุกชีวิตในสังคม

ที่น่าตลกก็คือ ในอเมริกา ประเทศที่เปิดเสรีทางเพศมากกว่าเราหลายเท่า ปกของนิตยสารยั่วยุทางเพศทุกฉบับดูเรียบร้อยกว่าหน้าปกสื่อสิ่งพิมพ์บ้านเราหลายเท่า

จรรยาบรรณ จรรยาบรรณ จรรยาบรรณ...

-2-

ไม่กี่วันต่อมา ผมนั่งรถผ่านถนนสายเดิม บิลบอร์ดขนาดใหญ่ยังอยู่ที่นั้น แต่ภาพหญิงสาวเปลือยท่อนบนหายไปแล้ว

ได้แต่หวังว่ามันหายไปไม่ใช่เพราะคำว่า 'มาตรการ' หากคือ 'จรรยาบรรณ'

วินทร์ เลียววาริณ, 1 ตุลาคม 2548
www.winbookclub.com
........................................................................................................................



"ทำไมผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา ถ้าเป็นคนมีเงิน มีหลักทรัพย์ เขากลับไปสู้คดีที่บ้านได้ นอนอยู่บ้านได้ ขณะที่จำเลยหรือผู้ต้องหาที่ไม่มีเงิน ไม่มีคอนเน็คชั่น ไม่มีหลักทรัพย์อะไรเลย ต้องอยู่ในคุกตลอดเวลา มันไปตอกย้ำประโยคคลาสสิกที่ว่า

'คุกเมืองไทยมีไว้สำหรับคนจน'

ซึ่งมันจริง"

--- ปกป้อง ศรีสนิท
คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์
'ราคาของความยุติธรรม' l Interview #62
.............................................................................................................................



จงใช้ทุกนาทีให้มีค่า ในเวลาที่ยังมีกัน
............................................................................................................................

จิบน้ำชา สนทนาเรื่องลูก"Successวันนี้เกรดสี่ยังไม่พอ"

https://www.youtube.com/watch?v=d1wWubjk_sk
............................................................................................................................



สิ้นแล้วซึ่งเอกราช

-----------
ติดตามเรื่องราวเกร๋ๆ ของมนุษย์เงินเดือนได้ที่

https://www.facebook.com/SalarymansDiary
...............................................................................................................................



การลงทุนต้องมุ่งหวังผลกำไร
.............................................................................................................................



มนุษย์ทุกคนมีความแตกต่างกั
.............................................................................................................................



หากคุณได้ทำธุรกิจในฝันและเป็นสิ่งที่คุณรัก แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นอย่างที่คิด คุณเจออุปสรรคมากมายจนธุรกิจในฝันของคุณต้องเจอปัญหาขาดทุน จนต้องล้มเลิกไป

คุณล้มเหลวครั้งแรก คุณยังมีทุนสำรองที่เตรียมไว้ในสถานการณ์แบบนี้ และคุณก็ลุกขึ้นสู้ใหม่อีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้คุณคิดว่าคุณมีความพร้อมและมีการวางแผนมาดีกว่าเดิม

แต่แล้วคุณก็เจอปัญหาขาดทุนและต้องล้มเหลวอีกเป็นครั้งที่สอง หากแต่ความล้มเหลวในครั้งที่สองนี้ คุณเหลือทุนสำรองก้อนสุดท้ายเพื่อที่จะลงทุนอะไรสักอย่าง ได้อีกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คุณจะทำอย่างไร ระหว่าง

1. ล้มเลิกความฝัน หันไปหาอย่างอื่นทำแทน

2. กลับมาวางแผนใหม่อีกครั้งและสู้ต่อไปเพื่อสิ่งที่ตนรัก แม้จะเป็นเงินทุนก้อนสุดท้า
.............................................................................................................................

เบลเยียมปฏิรูประบบเงินปีราชวงศ์เพิ่มความโปร่งใส

http://news.voicetv.co.th/global/71982.html

..............................................................................................................................



» หวังสะอาด...ไยสาดโคลน?

เย็นวันหนึ่ง... ทันทีที่พ่อรู้ว่าลูกชายวัยรุ่นมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนร่วมโรงเรียนจนต้องหามส่งโรงพยาบาล พ่อก็ตำหนิลูกว่าทำอย่างนั้นได้อย่างไร

ลูกให้เหตุผลว่าตนถูกเจ้าหมอนั่นก่อกวนที่โรงเรียนเป็นประจำ เขาพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย แต่กลับทำให้นักเรียนเกเรนั้นได้ใจ จึงรังควาญเขาหนักขึ้น

บ่ายวันนี้เจ้าหมอนั่นก็มาเยาะเย้ยถากถางเขาอีกต่อหน้าผู้คนนับสิบ คราวนี้เขาทนไม่ได้ จึงต่อยและเตะมันจนหมอบ

ลูกไม่รู้สึกผิดเลยกับการทำเช่นนั้น พ่อจึงถามลูกว่า หากพ่อแม่ของเด็กคนนั้นฟ้องตำรวจจะทำอย่างไร

ลูกโต้กลับว่า “เจ้านั่นมันเลวมาก สมควรแล้วที่เจ็บตัว”

พ่อพยายามชี้แจงด้วยเหตุผล ลูกก็ไม่ฟัง เถียงตลอด

สุดท้ายพ่อก็พูดเสียงดังว่า “ครอบครัวของเราจะไม่แก้ปัญหาด้วยกำลัง” ลูกจึงพูดสวนขึ้นมาว่า “ถ้าเป็นครอบครัวของเรา ต้องยิงมันทิ้ง”

พ่อคิดไม่ถึงว่าลูกจะพูดเช่นนั้น จึงบันดาลโทสะ ตบหน้าลูกอย่างแรง!

กว่าพ่อจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นกับลูกทั้งกายและใจไปแล้ว
พ่อต้องการสอนลูกให้แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี แต่พอลูกไม่เชื่อพ่อ พ่อกลับใช้ความรุนแรงกับลูก เป็นความรุนแรงที่เกิดจากความต้องการให้ลูกใช้สันติวิธ

::::::::::::::::::


#บทวิเคราะห์ :


น่าคิดว่า อะไรทำให้พ่อทำสิ่งตรงข้ามกับความเชื่อของตน

คำตอบก็คือ... นอกจากพ่อจะไม่พอใจที่ลูกคิดต่างจากพ่อแล้ว ยังโกรธที่ความคิดเห็นของตนถูกโต้แย้งและท้าทายซึ่ง ๆ หน้า

เหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่า...

ความคิดความเชื่ออะไรก็ตาม แม้นดีวิเศษเพียงใด แต่หากเรายึดติดถือมั่นกับมันแล้ว ก็ย่อมเป็นทุกข์และทนไม่ได้ที่ความคิดนั้นถูกปฏิเสธ

เพราะเหมือนกับว่าตัวตนนั้นถูกปฏิเสธหรือถูกกระทบไปด้วย จึงขุ่นเคืองใจ และหากไม่รู้ทันอารมณ์ดังกล่าว ปล่อยให้มันลุกลามเป็นความโกรธ ถึงจุดหนึ่งก็ลืมตัวและพร้อมที่จะระบายความโกรธ หรือทำสิ่งต่าง ๆ ออกไปโดยไม่รู้ตัว

ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งตรงข้ามกับความคิดความเชื่อนั้น

::::::::::::::::::


#ต่อยอด :

การใช้วิธีการใด ๆ ก็ได้เพื่อปกป้องความคิดความเชื่อหรือจุดหมายที่ถือกันว่าดีงามนั้น ได้กลายเป็นกระแสหลักในสังคมไทยไปแล้วก็ว่าได้ ดังนั้นเราจึงเห็นการใช้วิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเพื่อปกป้องประชาธิปไตยครั้งแล้วครั้งเล่า

จะว่าไปแล้ว เชื่ออะไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับเชื่ออย่างไร แม้จะเชื่อสิ่งที่ดีมีเหตุผล แต่หากเชื่ออย่างยึดติดถือมั่นหรืองมงายหัวปักหัวปำ ก็อาจก่อผลเสียได้

เพราะการเชื่ออย่างนั้นมักทำให้ตนใจแคบ ทนไม่ได้เมื่อเห็นคนอื่นคิดต่างจากตน ยิ่งมีความมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเชื่อนั้นประเสริฐเลิศล้ำ ใครที่ไม่เชื่อเหมือนตน ก็มักจะถูกตราหน้าได้ง่าย ๆ ว่า เป็น คนโง่ หรือเป็นคนเลวไปเลย

และเมื่อใดก็ตามที่ตัดสินเขาว่าแล้ว ก็ง่ายที่เราจะทำอะไรกับเขาก็ได้ แม้จะใช้วิธีการเลว ๆ หรือชั่วร้ายกับเขา....ก็ไม่รู้สึกผิด!

::::::::::::::::::


#บทสรุป :

ความดีนั้น หากยึดติดถือมั่นมาก ก็อาจทำให้เผลอทำเลวได้ โดยเฉพาะเมื่อทำในนามของความดี ยิ่งยึดติดถือมั่นว่าตนเป็นคนดีด้วยแล้ว ก็พร้อมจะทำอะไรกับคน(ที่ตนตัดสินว่า)เลวได้

ทั้งนี้เพราะมั่นใจว่าที่ทำไปนั้นเพื่อธำรงความถูกต้อง แต่บ่อยครั้งมันกลับเป็นการทำเพื่อยืนยันความถูกต้องของตนเองมากกว่า หรือเพื่อกำจัดคนที่คุกคามความเชื่อของตน ...กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นการทำเพื่อ “ตัวกู ของกู”


แม้จะทำในนามของความถูกต้อง... แต่โดยเนื้อแท้แล้วก็เป็นการทำเพื่อค้ำจุนปกป้องความยิ่งใหญ่มั่นคงแห่งตัวตน เพราะในส่วนลึกจะรู้สึกอยู่เสมอว่า “ตัวกู” หรือ “ความเชื่อของกู”นั้นถูกบีบคั้นคุกคาม ตราบใดที่คน “เลว”เหล่านั้นยังเห็นแย้งหรือคิดต่างจากตนไม่หยุดหย่อ

จึงไม่น่าแปลกใจที่ยิ่งทำมากเท่าไร ก็ยิ่งห่างไกลจากความถูกต้อง และสวนทางกับความดีหรือความคิดความเชื่อที่ตนเองเชิดชู

ขณะเดียวกันก็ส่งผลร้ายกลับมาที่ตนเอง เพราะเมื่อใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องกับผู้อื่น ก็ย่อมถูกเขาตอบโต้กลับมาด้วยความโกรธเกลียด หากไม่รู้ทันตนเอง ก็จะถลำเข้าไปในวงจรแห่งการจองเวรแก้แค้น จนเดือดเนื้อร้อนใจและบอบช้ำทุกฝ่าย

::::::::::::::::


#คำเตือน : ระวังจะเป็นอสูรร้ายซะเอง!

จะเชื่ออะไรก็ตาม พึงระวังอย่าให้กลายเป็นความยึดติดถือมั่นมากเกินไป

จริงอยู่ปุถุชนย่อมมีความยึดติดถือมั่นเป็นธรรมดา แต่อย่างน้อยก็ควรมีสติรู้เท่าทันว่าที่เรากำลังจะทำไปนั้น เป็นการทำเพื่อสนองความยิ่งใหญ่มั่นคงแห่งตัวกู หรือเพื่อความดีงามที่ตนเองเชิดชูยกย่อง

และแม้แน่ใจว่าทำเพื่อความดีงาม ก็ควรระมัดระวังไม่เผลอทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความดีงามนั้น ๆ ซึ่งจะกลายเป็นการบั่นทอนสิ่งนั้นไปโดยไม่รู้ตัว

พึงระลึกว่าตัวการที่จะผลักดันให้เราเผลอทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความดีงามนั้น ก็คือ ความโกรธเกลียด(และกลัว) ที่มีคน “เลว” เป็นเป้าหมาย จนพร้อมจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพื่อตอบโต้หรือขจัดเขาออกไป ไม่ให้มาคุกคามความดีที่เราเชิดชู

นอกจากการมีสติรู้เท่าทันตนเองแล้ว...

อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยป้องกันมิให้การกระทำของเรานั้นแทนที่จะส่งผลดี กลับส่งผลเสียต่อตนเองและความดีงามที่เราเชิดชู นั่นก็คือ

การใช้วิธีการที่ถูกต้อง สอดคล้องกับความดีงามที่มุ่งหมาย แม้ในยามที่ต้องต่อสู้กับ “ศัตรู” หรือผู้ที่จ้องทำลายสิ่งดีงามที่เราเชิดชูด้วยวิธีการอันเลวร้ายก็ตาม

เพราะ...หากเราใช้วิธีการใด ๆ ก็ได้เพื่อเอาชนะคนเหล่านั้นแล้ว ในที่สุดเราจะกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียเอง ถึงแม้จะกำจัดเขาได้สำเร็จก็ตาม

มีคำกล่าวว่า “เมื่อใดก็ตามที่เราต่อสู้กับอสูรร้าย พึงระวังว่าเราจะกลายเป็นอสูรร้ายเสียเอง”


#ด้วยความปรารถนาดี

ทีมงาน Life 101

::::::::::::::::


Credit : พระไพศาล วิสาโล
................................................................................................................................



Most accurate clock ever.
......................................................................................................................

..............................................................................................................................



"มุขสุดท้ายของนักทวงคืน"

สังเกตพลพรรคนักทวงคืนสิครับ หลังนี้ๆพอโดนจับผิดความมั่วได้มากเข้า พอวลีเด็ดที่ชอบท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทองโดนโต้แย้งได้หมด เถียงไปเถียงมาพอหมดข้อโต้แย้งเป็นต้องไปออก step นี้แทบทุกรายไปครับ..... "ท้าดีเบต" แหม ยังกะโปรแกรมกันไว้

หมดมุมจะถกเถียงแล้วหรือครับ ถึงต้องใช้มุกนี้เป็น "ไม้ตายสุดท้าย" กันทุกทีไป คืออยากบอกว่า ก่อนจะไปท้าถึงระดับผู้บริหารปตท.มาดีเบตเนี่ย ช่วยแก้ต่างสิ่งที่พวกคุณมั่วๆไว้ในอินเตอร์เน็ตให้เคลียร์ก่อนดีมั้ย? เพจทวงคืนก็โดนเพจเราแฉไปหลายรอบ หม่อมกรเองก็โดนพวกเราเข้าไปโต้แย้งจนต้องบล็อคหนี ในเพจสว.เองก็มีคนมากมายเข้าไปถก ไปให้ข้อมูล

ก่อนคุณจะไปท้าใครดีเบต เอาแค่ใน Facebook คุณเถียงให้จบก่อนเถอะ ไม่ใช่ว่าแค่ในเน็ตยังโต้แย้งไม่ได้ แต่เปรี้ยวไปท้าดีเบตออกสื่อซะแล้ว คนที่มีจุดยืนตรงข้ามกับพวกทวงคืนมาตลอดอย่างคุณมนูญ ศิริวรรณ ก็เคยไปออกโทรทัศน์มาหลายรายการ ไม่พอใจหรือครับ?

แล้วถามจริงๆเถอะครับ ถ้าสมมติวันหนึ่งผู้บริหารปตท.ยอมเสียเวลาทำมาหากินมาดีเบตกับพวกคุณจริงๆ แล้วพวกคุณจะเอาไงต่อครับ เอาไปตีกินกับสาวกตัวเองต่อ ว่าปตท.แพ้พวกคุณแล้ว หรือถ้าในวงดีเบตเกิดพวกคุณโดนปตท.ไล่ต้อนด้วยข้อมูลจนจนมุมขึ้นมาจริงๆจะเอาไงต่อ...

สงสัยคงต้องท้าต่อยกันต่อละมังครับ 55555
................................................................................................................................

3 แนวพระราชดำริที่ในหลวงทรงพระราชทานให้แก่คนไทย เพื่อแก้ไขเรื่องน้ำขาด น้ำเกิน และน้ำเสีย ถูกนำมาทำเป็นเพลงให้เยาวชนได้รู้และเข้าใจอย่างง่ายๆ

เลี้ยงเมฆ เฉลียง http://www.youtube.com/watch?v=vQ31VlmxVuo

แก้มลิง คาราบาว http://www.youtube.com/watch?v=wQ8iRZ13lAY

บ่อน้ำสามบ่อ โมเดิร์นด็อกhttp://www.youtube.com/watch?v=dvl_I5nE6qQ
................................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น