วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

14/02/2556

https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=i3AmTKw68H8

..............................................................................................................................
จากแฟนเพจ ..........
เรื่องของผม

อยากเล่าเรื่องผมของผมให้ฟังสั้นๆ (แต่ยาวกว่าห้าเซนติเมตรแน่ๆ) สมัยเด็กๆ ผมคิดว่าหัวของเราเป็นของพ่อแม่ บุพการีทั้งสองจะจับไปนั่งในร้านตัดผมแล้วสั่งทรงที่พวกเขาถูกใจและเห็นว่าน่าจะหล่อ (เท่าที่หน้าตาจะอนุญาต) 

พอประถม ฮอร์โมนหนุ่มยังไม่หลั่ง พ่อแม่และคุณครูจะสั่งให้ตัดทรงไหนก็ไม่ขัดใจอะไร หัวผมก็เป็นไปตามหัวครู เรียกได้ว่าถ้าครูเห็นว่าทรงนั้นดีผมก็ว่าน่าจะดีตาม ตอ
นนั้นยังไม่มีหัวเป็นของตัวเอง

มัธยม ฮอร์โมนหลั่ง อยากให้สาวหันมอง (แม้ความหวังริบหรี่) แถมยังได้เห็นพี่มอส พี่เต๋า พี่เจ มณฑล ตามหน้าปกนิตยสาร พวกเราแทบทุกคนคิดว่า "ผม" เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราหน้าตาดีขึ้นมาบ้าง แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่า "หน้าตาดี" คือเราเริ่มมี "หน้าตาที่เราอยากเห็น" ไม่ใช่หน้าตาที่ครูสั่งว่า "เธอต้องหน้าตาแบบนี้นะ" ในวัยนี้ ผมคิดว่าผมเริ่มมีหัวเป็นของตัวเอง และอาจไม่เหมือนหัวของครู หัวของเราไม่ตรงกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าหัวของครูจะผิด เพียงแต่นักเรียนเกรียนๆ อย่างพวกเราก็แค่อยากรู้ว่า "หัวของพวกเรา" มันผิดยังไง อยากให้ครูอธิบายให้ฟังบ้างอะไรบ้าง นอกจากแค่ถือกรรไกรรอหั่นผมพวกเราทุกวันจันทร์ต้นเดือน

ฟังดูเป็นเรื่องตลก (แต่คงเป็นตลกร้าย) พวกเราเด็กมัธยมทั้งหลายพยายามไว้ผมแบบหลบๆ ซ่อนๆ ซึ่งมีทั้งการหลบซ่อนแบบหนีการตรวจผม และวิธีสั่งพี่ช่างตัดผมว่า "ขอเก็บ 'ปอย' ข้างหน้าไว้นะพี่" แล้วพอถึงเวลาที่อาจารย์ฝ่ายปกครองตรวจผม พวกเราก็ 'เก็บปอย' เหน็บไว้ข้างใน บางครั้งก็รอดมาได้หลายเดือน แล้วเราก็เอา 'ปอย' ออกมาวัดความยาวกันด้วยความภูมิใจ ของใครถึงปลายจมูกนี่โคตรเท่ ของใครเลยมาถึงคางนี่เข้าขั้นเก๋า มาคิดดูตอนนี้รู้สึกว่า มันช่างเป็นความภาคภูมิใจที่น่าสงสารยิ่ง ทำไมการไว้ผมมันถึงยากเย็นขนาดนั้น แค่หนึ่ง 'ปอย' ก็ปลามปลื้ม

เราจะมองว่า 'นักเรียน' มีหน้าที่เรียนอย่างเดียวไม่ได้ เพราะนอกจากจะเป็น 'นักเรียน' แล้ว ว่างๆ เขาก็เป็น 'มนุษย์' ด้วยนะ 'มนุษย์' ที่มีฮอร์โมน มีจินตนาการ (เรื่องหน้าตาตัวเอง) มีความรู้สึก (อยากให้เพศตรงข้ามสนใจ) และเขาก็กำลังอยู่ในวัยที่เริ่มใช้ 'หัว' ของตัวเอง

หัว...ที่มีไว้คิด มีไว้ตั้งคำถาม มีไว้หาคำตอบ มีไว้รับฟัง มีไว้พิจารณาเหตุผล มีไว้ชั่งน้ำหนัก มีไว้สร้างสรรค์ มีไว้เลือกเส้นทางชีวิต

การใช้หัวในลักษณะที่ว่ามาล้วนแล้วแต่มีคุณค่ากับการเป็น 'นักเรียน' ทั้งสิ้น ในห้องเรียนครูยังสอนเลยว่า กาลิเลโอตั้งคำถามเรื่องโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล แล้วพิสูจน์ โลกจึงได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาล แต่กาลิเลโอก็น่าสงสารเพราะต้องถูกลงโทษจากศาสนจักรซึ่งปฏิเสธการค้นพบของเขา

"เห็นมั้ยนักเรียน ความรู้และปัญญาเกิดจากการตั้งคำถามกับสิ่งที่มีอยู่" คุณครูมักผลักดันให้นักเรียนกล้าคิดกล้าแสดงออก แต่เพียงแค่นักเรียนคิดทรงผมบนหัวตัวเอง ครูก็เล่นบทบาทผู้มีอำนาจราวกับศาสนจักรเสียเอง

เครื่องหมายคำถามบนหัวถูกริบไปด้วยอำนาจ

หัวของพวกเราจึงกลับไปเป็นหัวของครูอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องทรงผม แต่มันคือการมี 'หัว' ในแบบเดียวกันกับครู ที่เชื่อว่าความถูกต้องดีงามนั้นมีเพียงอย่างเดียว ทุกคนต้องเหมือนกัน ใครมี 'หัว' แบบอื่นก็ต้องถูกลงโทษ

แล้วเราก็เริ่มยินดีกับการมีหัวแบบที่ครูชอบ และใช้อำนาจร่วมกับครูไปด้วย เพราะเราก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของครูไปด้วย แต่สิ่งที่เราสูญเสียไปคือ หัวที่จะได้คิดและวิเคราะห์ด้วยหัวของตัวเอง

นอกเรื่องไปไกล กลับมาที่หัวของผมอีกครั้ง พอเรียนจบชั้นมัธยม ได้เข้าไปเรียนในคณะสถาปัตย์ ซึ่งเป็นคณะที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ค่อนข้างเยอะ รุ่นพี่และรุ่นเพื่อนทั้งหลายที่เป็นชายต่างก็ไว้ผมยาวเลียไหล่ คลุมหลัง ห่มตูดกันมากมาย เพื่อนสาวบางคนก็เลือกที่จะหั่นผมจนสั้น ถามว่าไอ้ผมบนหัวมันเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ข้างในหัวไหม มันก็ไม่ได้เกี่ยวในแง่ปฏิกิริยาทางเคมีหรือชีวะ แต่มันเกี่ยวกับจิตวิทยา เมื่อเราเห็นความเป็นไปได้ในความแตกต่าง มันทำให้พวกเรากล้าคิดในแบบที่แตกต่างกันไป "แบบนี้ก็ได้นี่หว่า ไม่ผิด" และก็ทำให้การเรียนสถาปัตย์สนุกมาก เพราะเราได้รับโจทย์บ้านโจทย์เดียวกัน แต่คิดออกมากันสองร้อยแบบที่ไม่ซ้ำกันเลย แต่ละคนใช้ 'หัว' ของตัวเองแบบที่เป็นหัวของตัวเองจริงๆ

บ้านทั้งหมดนั้นอาจจะผิดระเบียบก็ได้ ถ้าอาจารย์ตรวจด้วยเกณฑ์ที่มีคำตอบที่ถูกแค่หนึ่งแบบที่อยู่ในใจอาจารย์เท่านั้น

แบบบ้านจะ 'ผิดระเบียบ' ก็ต่อเมื่อมันมี 'ระเบียบ' แต่ถ้าไม่มี 'ระเบียบ' ทุกแบบก็คือ 'ความเป็นไปได้' ความสนุกอยู่ตรงที่เราจะได้เห็นว่ามันมีทั้งแบบที่สวยงาม และแบบที่อัปลักษณ์ ไอ้คนที่ทำแบบอัปลักษณ์ก็ได้เรียนรู้จากแบบที่สวยงามของเพื่อนๆ

นี่เป็นเรื่องของห้องเรียนครับ ในสังคมเราย่อมต้องการความเป็นระเบียบเรียบร้อย (อันนี้แน่อยู่แล้ว) แต่ 'ระเบียบ' ไม่ได้แปลว่า 'เหมือนกันหมด' ทว่า 'ระเบียบ' อาจหมายถึง 'เคารพในความไม่เหมือน'

เป็นไปได้ไหมว่า ที่บ้านเมืองไร้ระเบียบก็เพราะไม่ว่าฝ่ายไหนก็พยายาม 'จัดระเบียบ' ให้อีกฝ่ายต้องคิดต้องเชื่อในแบบของตน แต่ที่จริงเราสามารถมีระเบียบได้ในความหลากหลายทางความคิด

วุ่นวายทางความคิด (คล้ายๆ แบบบ้านสองร้อยแบบ) แต่ไม่ได้วุ่นวายในการตบตีลงไม้ลงมือ

แต่ระเบียบแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ในบ้านเมืองที่ผู้คนเคารพ 'หัว' ของคนอื่น ว่าเขามีสิทธิคิดไม่เหมือนเรา และถ้าผลัดกันฟังไปมาก็อาจจะได้เรียนรู้จากกันและกัน แลกทรงผมกันดูบ้างก็ยังได้

ผมไว้ผมยาวถึงกลางหลังมาห้าปี พอเรียนจบ เพื่อนๆ ส่วนใหญ่พากันตัดผมสั้น ทรงคล้ายๆ ที่คุณครูของพวกเราสมัยมัธยมชอบ ไม่ใช่เพราะเตรียมตัวเข้าสู่ระบบระเบียบอะไรหรอกครับ แต่มันขี้เกียจสระ และกลัวจะร่วงหมดหัว

ไว้ผมยาวมานานแล้ว ตัดสั้นบ้าง เปลี่ยนบรรยากาศ

ประเด็นเรื่องหัวเกรียนหรือหัวไม่เกรียน สิ่งสำคัญสำหรับผมก็คือ มันทำให้เราเชื่อใน 'ระเบียบ' ที่แปลว่า 'เหมือนกัน' ตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เรารู้สึกแย่เวลาเห็นสังคมมีความแตกต่างทางความคิด และทำให้เราคิดว่า "แย่แล้ว บ้านเมืองกำลังไร้ระเบียบ"

ทั้งที่ในบางทฤษฎี ความไร้ระเบียบเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ ด้วยซ้ำ ความคิดที่แตกต่างหลากหลายในบ้านเมืองเราที่ช่วยๆ กันโยนไปมา หากเรารับฟัง นำมาคิด แลกเปลี่ยนกัน ก็อาจนำไปสู่ทางออกที่สร้างสรรค์ก็เป็นได้

ถ้าตอนเด็กๆ เราอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ ที่มี 'หัว' หลายๆ แบบ เราก็อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจะมี 'หัว' ไม่เหมือนกัน

และนั่นแหละมั้ง...ประชาธิปไตย

-----------------------


ปล. เชื่อว่าคงมีทั้งคนที่เห็นด้วยและเห็นต่างจากสิ่งที่ผมเขียน เราแลกเปลี่ยนกันได้ครับ ผมก็ไม่คิดว่า 'หัว' ของผมจะถูกไปซะหมด และอยากเรียนรู้จาก 'หัว' อื่นๆ เสมอ เคารพทุก 'หัว' ครับ : )

........................
น่ารัก


Eduzones

...........................................................................................................................................

St. Valentine, Famed Romantic and Religious Martyr
by Allison Berry
Time

Starry-eyed romantics and red-rose haters alike can look to one source for their respective love or cynicism every February 14: St. Valentine. Though everyone knows the name, much less is known about the man – to wit, he may not even have been just one figure. Historical details are murky, and the prevailing theory is that one or multiple Valentines existed and may have been conflated over the years.

Fast Facts:
• One Valentine was a Roman priest and doctor who was persecuted by the emperor Claudius II for marrying Christian couples. Claudius took a liking to Valentine, but Valentine overstepped his bounds when he tried to convert the emperor, and Claudius sentenced him to death – and an ugly death at that. Lore suggests that he was beaten, stoned, and finally beheaded.

• Some accounts state that this priest had fallen in love with the blind daughter of his jailer, and signed a letter that he wrote to her “from your Valentine.” Another tale says that after his brutal death, he performed the miracle of restoring the sight of his jailer’s daughter.

• There is another Valentine who appears in early martyrologies: a bishop of Terni, Italy, who was also allegedly persecuted in Rome. It’s been proposed that this man was one and the same as the Valentine executed by Claudius.

• St. Valentine was said to be interred north of Rome on February 14, though this date may mark his death instead of his burial.

• The feast of St. Valentine was established by Pope Gelasius I in 496. Some say that Valentine’s feast day is celebrated in February because the church wanted to Christianize an ancient Roman pagan festival called Lupercalia, which centered around fertility and purification, and also took place in February.

• Valentine’s feast day has been celebrated as a lovers’ holiday and a day of romance since the 14th century, when the date was thought to be the beginning of the mating season for birds.

MORE: Sweethearts: Necco Explains the Phrases on Those Candy Hearts
MORE: White Castle: A Valentine’s Day Hot Spot?



.............................................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น