วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

19/02/2556


ชาวพุทธต้องกล้าพูดความจริง

ชาวพุทธเราต้องเป็นคนใจกล้า ความขลาด...ไม่กล้าพูดความจริงนั้น มิใช่วิสัยของลูกตถาคตผู้รู้ความจริง พระองค์ประกาศความจริงอยู่ตลอดพระชนมายุของพระองค์ โดยเฉพาะนักบวชในพระพุทธศาสนา ควรทำตนให้เป็นนักบวชที่แท้สักหน่อยอย่าทำตนเป็นตัวเสฉวน อันตัวเสฉวนนั้นคือปูชนิดหนึ่งเกิดที่ริมทะเลน้ำเค็ม มันชอบกินหอยเป็นอาหาร ถ้ามันจับหอยได้แล้วมันกินเลย พอกินหมดแล้วก็อาศัยเปลือกหอยนั้นเป็นเรือนอยู่ คลานปะปนไปกับหอยอีก พอหอยเผลอก็จับกินเสียอีก ตัวเสฉวนไม่ใช่หอย แต่มันอาศัยอยู่ในเรือนร่างของหอยเพื่อทำลายหอยต่อไป

ภิกษุเราที่อาศัยผ้าเหลืองของพระพุทธองค์ แต่มิได้ทำกิจของพระพุทธศาสนา ก็มีสภาพประดุจตัวเสฉวน ฉันนั้นพวกพระประเภทตัวเสฉวนนั้นก็เป็นพระประเภททำลายพระศาสนา เขาอาศันชื่อเสียงของพระรัตนตรัยไปทำพิธีปลุกเสกอะไรต่างๆนานา ทำคนทั้งหลายให้หลงผิดเข้าใจผิด หารู้ไม่ว่าตนกำลังทรยศต่อพระพุทธธรรมอยู่แล้ว

ขอให้พวกเราทั้งหลาย...ได้เลิกกระทำการอันน่าบัดสีนั้นเสียเถิด แต่จงช่วยกันบำรุงพระพุทธศาสนาไปให้ถูกทางต่อไปจงช่วยกันประกาศพระพุทธศาสนาของแท้ของพระพุทธเจ้า ให้ชาวโลกได้เข้าใจกันเถิด บัดนี้พุทธศักราชของเราได้ ๒๕๐๒ ปีแล้ว เมื่อปี ๒๕๐๐ เราได้ทำการฉลองกันเป็นการใหญ่ ทำกันแต่เปลือกผิวเผินเท่านั้นผลได้แก่พระศาสนามีเพียงเล็กน้อย ขอให้เราจงมาร่วมใจกันฉลองใหม่ด้วยการตั้งต้นชีวิตกันใหม่ เป็นชีวิตที่เดินตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง นี่เป็นคำเชิญชวนด้วยความปรารถนาดีต่อพี่น้องทั้งหลาย

มีบางคนกล้ากล่าวค้านว่า การที่ตนทำพิธีรีตองเช่นนั้นก็เพื่อประโยชน์ของคนที่ยังหลงยังเข้าใจผิดอยู่ จะอธิบายให้เขาทราบความจริงก็เกรงว่าเขาจะไม่เข้าใจ จึงปล่อยไว้อย่างนั้นอีกประการหนึ่งเขาคิดว่า พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่สูงเกินที่คนเหล่านั้นจักเข้าใจก็เลยไม่อธิบายกันให้เข้าใจ เขามาขอให้ทำพิธีอะไรก็ทำไปเท่านั้น

การกระทำอย่างนี้เป็นการเหมาะหรือไม่ ขอให้เรานึกถึงเด็กนักเรียนบ้างเถิด อันธรรมดาของเด็กนั้นในชั้นก็ยังไม่รู้อะไรเลยครูจึงพยายามสอนให้รู้ให้เข้าใจไปโดยลำดับ จนผ่านชั้นต่างๆได้ ตามหลักสูตรที่ทางการได้วางไว้ ถ้าหากครูจะมาคิดเสียว่ายากแก่เขาแล้วไม่พยายามสอน เด็กนั้นจะก้าวหน้าไปได้อย่างไรเล่าในเรื่องการศึกษาศาสนาก็เหมือนกัน ถ้าเรานึกว่าเขาไม่เข้าใจแล้วไม่พยายามสอนเขา เขาจะก้าวหน้าในการศาสนาได้อย่างไร ขอให้ลองคิดดูสักหน่อยเถิด ท่านจะมองเห็นเอง

ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง เช่น คนๆหนึ่งมาหาพระและบอกว่า ตนเคราะห์ร้าย...ขอรดน้ำมนต์สักหน่อย พระก็รดให้โดยมิได้ไต่ถามว่าเคราะห์ร้ายเรื่องอะไร ไม่ได้แนะแนวทางแก้ทุกข์ให้แก่เขา การทำพิธีรดน้ำมนต์ช่วยกำลังใจได้เพียงนิดเดียวเท่านั้นแต่ถ้าสนทนาให้เขาเข้าใจเหตุผลเขาคงฉลาดขึ้น และเลิกละจากการกระทำความทุกข์ใส่ตนก็ได้

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปปาฐกถาที่นครสวรรค์ พอพูดจบก็มีคนมาหาและขอให้เป่ากระหม่อมให้หน่อย ข้าพเจ้าจึงตอบแก่เขาว่าเป่าให้ชั่วโมงครึ่งก็ควรจะพอแล้ว ปฏิบัติตามคำสอนนั่นแหละคือพรอันประเสริฐ และจะช่วยตัวเขาได้ต่อไป เขาจึงถอยกลับออกไป ...น่าสงสารคนประเภทนี้แท้ๆ!!

หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ
ปฏิวัติความงมงาย : เลิกเชื่อไร้เหตุผล พึ่งตนและพึ่งธรรม (หน้าที่ ๒๐-๒๑)





               http://www.iurban.in.th/inspiration/13-creative-idea-for-business-card/
               13ไอเดียนามบัตรสุดแนว..เครื่องมือสร้างการจดจำในแบรนด์ที่ถูกที่สุด                      

 Wiriyah Eduzones
หลายคนจึงยอมทนอยู่ แม้จะรู้ว่า มันแย่






ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับอุกาบาตที่รัสเซีย




มีข่าวจากแฟนเพจครับ @faris phar yothasamuth

วันนี้จู่ภาพนี้ก็ถูกแชร์กันมากมายเพื่อจะโจมตีปตท.และพลังงานไทย


ภาพนี้เข้าทำนอง “ไม่ได้โกหก แค่บอกความจริงไม่หมด”


การเอาราคาน้ำมันแต่ละประเทศมาเทียบกับราคาน้ำมันดูเผินๆก็น่าเชื่อถือดี ทำให้คนรู้สึกว่าทำไมเราใช้แพงกว่าที่อื่นทั้งที่เราจนกว่า แต่จริงๆแล้วภาพนี้ละเลยข้อเท็จจริงไปหลายประการมาก ซึ่งการจงใจละเลยก็ไม่ต่างจากการบิดเบือนข้อเท็จจริงนั่นเอง

“ความจริง” ที่ต้องทำความเข้าใจควบคู่เพื่อไม่ให้ถูกหลอกก็คือ


1.ราคาขายปลีกน้ำมันในแต่ละประเทศนั้นมีโครงสร้างราคาที่ต่างกัน การเอามาเทียบกันโดยไม่ดูอะไรเลยก็เหมือนการโวยวายว่าทำไมเฟอรารี่ในไทยถึงราคาแพงมากกว่าที่อื่น ทั้งที่จริงๆแล้วมันแพงเพราะภาษีการนำเข้านั่นเอง ในกรณีน้ำมันก็เหมือนกัน ราคาน้ำมันหน้าปั๊มในไทยจะถูกบวกค่าต่างๆเพิ่มเข้าไปนอกเหนือจากต้นทุนน้ำมัน อันได้แก่ ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล เงินสมทบกองทุนน้ำมัน เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงาน ภาษีมูลค่าเพิ่ม และค่าการตลาด เราสามารถเช็คโครงสร้างราคานี้ได้ทุกวันที่เว็บ

http://www.eppo.go.th/petro/price/index.html

ยกตัวอย่างเช่น ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 วันที่ 18 ก.พ. อยู่ที่ 40.53 บาท จะประกอบไปด้วย ภาษีสรรพสามิตร 6.30 ภาษีเทศบาล 0.63 เงินสมทบกองทุนน้ำมัน 3.30 เงินกองทุนอนุรักษ์ฯ 0.25 ภาษีมูลค่าเพิ่ม 2.57 ค่าการตลาด 1.16 ภาษีของค่าการตลาด 0.08 รวมแล้วภาษีและเงินกองทุนต่างๆฟันไปแล้ว 13.05 บาท ต้นทุนน้ำมันจริงๆอยู่ที่ 26.24

จะเห็นได้ว่าที่ราคาน้ำมันในไทยมัน “แพง” กว่าประเทศอื่น ส่วนหนึ่งมาจาก “เงินเพิ่ม” อื่นๆทั้งภาษีและเงินกองทุน ไม่ใช่แพงเพราะผู้ค้าเอากำไรมากๆ การเอาตัวเลขค้าปลีกไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นจึงเป็นเรื่องงี่เง่ามาก เพราะแต่ละประเทศก็ย่อมมีโครงสร้างราคาที่ต่างกันไป บางประเทศอาจไม่มีภาษีสรรพสามิต บางประเทศไม่มีกองทุนน้ำมัน หนักเข้าบางประเทศถึงกับอุดหนุนราคาน้ำมันให้ประชาชนเลย อย่างพม่าที่ยกมาในภาพ คุณมนูญ ศิริวรรณให้ข้อมูลว่าเป็นน้ำมันปันส่วนที่รัฐบาลอุดหนุนราคาให้ราคาจึงต่ำ ถ้าเราอยากให้น้ำมันถูกบ้างก็ต้องไปยกเลิกกองทุนน้ำมัน แล้วยกเลิกการอุดหนุนราคา LPG ด้วย เพราะเราเอาเงินกองทุนไปอุ้มไว้อยู่ คำถามคือเราจะยอมแลกหรือเปล่า?


2.ราคาน้ำมันในประเทศต่างๆย่อมแปรผันไปตามสัดส่วนการผลิต-การบริโภคภายในประเทศ ตัวแปรสำคัญคือปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบ สำหรับประเทศไทยนั้นเราผลิต(ขุดเจาะ)น้ำมันดิบได้มากก็จริง แต่เราบริโภคน้ำมันมากกว่านั้นมากๆๆๆๆ ดังนั้นเราเลยต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเข้ามาเป็นสัดส่วนที่มากกว่า และน้ำมันตรงนี้ก็จะต้องอิงตามราคาตลาดโลก ถ้าราคาตลาดโลกปรับเปลี่ยนไป ราคาน้ำมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามด้วย ตรงนี้ข้อมูลเท็จ-ข่าวลือหลายอันจะบอกว่าเราผลิตน้ำมันได้มากกว่าบริโภค ซึ่งพอไปตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งต่างๆแล้วก็พบว่าไม่จริงทั้งเพ
ตัวอย่างเช่นข้อมูลปี 2012 จากเว็บ

http://www.eppo.go.th/info/2petroleum_stat.htm

เราผลิตน้ำมันดิบได้ประมาณ 8600ล้าน ลิตร แต่เราบริโภคทั้งปี 41000ล้านลิตร ครับ สรุปว่าเราต้องนำเข้าอย่างน้อย 32000ล้านลิตร (แต่ตัวเลขนำเข้าจริงๆประมาณ 50000 ล้านลิตร)
หรือถ้าคิดว่าข้อมูลของไทยจะมั่ว ลองดูข้อมูลสากล เช่นhttp://www.eia.gov/countries/country-data.cfm?fips=TH
ระบุว่าปี 2011 การบริโภคมากกว่ากำลังผลิตกว่า 6แสน บาร์เรลต่อวัน


หรือถ้ายังไม่จุใจ ในเว็บ https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/th.html ก็ยังระบุว่าเราต้องนำเข้าน้ำมันดิบกว่า 8แสนบาร์เรลต่อวัน


ดังนั้นการที่ภาพดังกล่าวเอาราคาน้ำมันไทยไปเทียบกับต่างประเทศจึงเป็นเรื่องมั่วนิ่ม เพราะในประเทศนั้นสัดส่วนการผลิต-การบริโภคอาจเป็นบวก เช่นมาเลเซียในเว็บ http://www.eia.gov/countries/country-data.cfm?fips=MY&trk=p1ระบุว่าผลิตได้มากกว่าบริโภคประมาณ 1หมื่น บาร์เรลต่อวัน ทำให้สามารถเหลือส่งออกได้ แล้วถามว่าเราจะเอาไปเทียบกันได้ยังไง?


สรุปแล้วก็เป็นข่าวลืออีกรูปแบบที่จงใจบอกข้อเท็จจริงไม่หมดทำให้คนเข้าใจผิด-ดราม่าไปโดยไม่เข้าใจข้อมูลที่แท้จริงนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น