วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

26/02/2556


..................................................................................................................




เขื่อนห้วยโสมง หลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อ แต่ที่จริงแล้วเขื่อนนี้มีขนาดความจุน้ำมากกว่าเขื่อนแม่วงก์เสียอีก แต่เพราะเป็นเขื่อนในโครงการพระราชดำริ จึงทำให้ไม่ค่อยมีการคัดค้า

เขื่อนห้วยโสมง จะก่อให้เกิดน้ำท่วมป่าในเขตป่าอุทยานฯทับลาน และปางสีดา ซึ่งต่อมาได้รับการประกาศเป็นมรดกโลก และเป็นที่อยู่อาศัย หากินของสัตว์ป่าหลายชนิด ทั้งเสือ ช้าง กระทิง และอาจมีจระเข้น้ำจืด ฯลฯ

เขื่อนห้วยโสมง ได้รับการอนุมัติ EIA และโครงการ เมื่อปี 2552 และเริ่มลงมือก่อสร้างไปแล้วบางส่วน (แต่ป่ายังไม่ถูกน้ำท่วม) ท่ามกลางความกังวลของคกก.มรดกโลกต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สัตว์ป่า

ยังไม่สายที่จะทบทวน ชะลอ และกลับมาทบทวนผลดี ผลเสียกันอีกครั้ง และหาทางเลือกอื่นในการพัฒนา - คนอนุรักษ์

ภาพโดย http://www.siamensis.org/webboard/topic/4531
ข้อความบนภาพโดย U no need a dam


...................................................................................................................................



» Q&A กับ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ...เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒน

Q : แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มมาจากอะไร ?

A : เริ่มมาจากปัญหาที่เราไปเจอนั่นแหละ โลกเวลานี้ก็บริโภคเสียจนกระทั่งเกินเหตุ แล้วก็เกิดวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าพูดไปแล้วมีตัวเลขน่ากลัวมาก คือว่า...ชาวโลกบริโภคทรัพยากรธรรมชาติไปในอัตรา ๓ ต่อ ๑ คือบริโภคไป ๓ ส่วน แต่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติชดเชยกลับมาได้เพียง ๑ ส่วน 

ถ้าเราบริโภคในอัตราความเร็วอย่างนี้ก็หมด น้ำมันก็เริ่มมีสงครามแย่งน้ำมันกันแล้วใช่ไหม อีกหน่อยก็มีสงครามแย่งน้ำ สงครามแย่งทรัพยากรกัน แล้วก็มันไม่เพียงพอกับประชากรที่เพิ่มขึ้น ๆ ในขณะนี้ ก็คูณไปสิ มากขึ้น ๆ

เพราะฉะนั้นพอมันเป็นอย่างนี้ หันมาดูประเทศไทยมันก็แบบเดียวกันอีก โลกาภิวัตน์...เราก็ตามโลก มุ่งหาความร่ำรวย มุ่งหาความเจริญเติบโต

แล้วถ้าตัวเองไม่สร้างฐานรากทางเศรษฐกิจและสังคมเอาไว้อย่างมั่นคง พอเศรษฐกิจโตแล้วมันก็แตกเป็นฟองสบู่แบบที่เห็นกันมาหลายครั้งแล้ว โตแล้วก็แตก คือไม่ได้สร้างฐานราก

ก็เลยพระราชทานแนวหลักมาว่า ให้ใช้ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ชีวิตหลักเช่นทางสายกลาง โดยพระราชทานหลัก ๓ ประการมาให้

◌◌◌◌◌◌◌◌


หลัก ๓ ประการนั่นก็คือว่า...

● ประการที่ ๑ : ทำอะไรต่าง ๆ นั้นใช้เหตุใช้ผลเป็นเครื่องนำทางได้ไหม ?...อย่าเปลี่ยนตามกระแส

คือตามกระแสโลกเราก็รู้อยู่แล้ว โลกทุกวันนี้มันนำไปสู่ความหายนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราก็ไม่ควรจะตาม เราควรจะมีแนวทางของเรา

เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีเหตุมีผล อย่าไปตามกระแส อย่าไปทำอะไรให้มันล้นไปจนกระทั่งเกิดทุกข์ เพราะคำว่าแตกเนี่ย เศรษฐกิจแตกเพราะเราเป่าให้มันแตก มันต้องโตเสียก่อนแล้วมันถึงจะแตก ลูกโป่งมันต้องเป่าก่อนแล้วมันถึงจะแตก

ฉันใดฉันนั้น ถ้าคิดมันก็เป็นสติเตือนใจ แต่เราไม่ชินกับการทำอะไรด้วยเหตุด้วยผล

◌◌◌◌◌◌◌◌


● ประการที่ ๒ : ทำอะไรพอประมาณได้ไหม ?

คือต้องตรวจดูสภาพก่อนว่าสภาพตัวเราแข็งแรงแค่ไหนอย่างไร ศักยภาพของเราอยู่ตรงไหน เราแข็งจุดไหนบ้าง เราอ่อนจุดไหนบ้าง ตรวจสอบศักยภาพของเราเสียก่อน แล้วทำตามพอประมาณของเราในขณะนั้น ในระดับใดระดับหนึ่งที่มันเหมาะสมกับขนาดของเรา

ผมมักจะชอบเปรียบเทียบกับมวย เราจะไปถึงแชมป์โลกได้ต้องบอกว่ารุ่นไหน ถ้ารุ่นเล็กนี่มาเลย อันนั้นคือความพอประมาณ ศักยภาพเต็มประมาณของเราอยู่ตรงนี้เราสู้ได้ แต่ถ้าชกรุ่นใหญ่ขึ้นไป เราไปไม่ไหว มันเกินจากเราแล้ว

อันนี้คือความพอประมาณ ต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมของเรา มันควรจะเอาเรื่องอะไรมาเป็นที่ตั้งหรือเป็นฐาน

◌◌◌◌◌◌◌◌


● ประการที่ ๓ : จะทำอะไรก็ตามนั้นต้องมี...ภูมิคุ้มกัน !!

คือทำอย่างไรให้นึกถึงวันพรุ่งนี้ว่าพรุ่งนี้มันไม่แน่ ต้องมีหลักประกันอยู่ตลอดเวลา ต้องมีเงินออมไว้หน่อยได้ไห

สำหรับระดับบุคคลเนี่ยพรุ่งนี้อาจจะไม่สบายก็ได้ เพราะฉะนั้นมีเท่าไหร่ใช้หมด เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยจะทำอย่างไร

อย่างเรื่องพลังงาน ดีเซลมันแพงขึ้น ๆ เราจะแสวงหาน้ำมันดีเซลจากพืชหรืออะไรต่ออะไรมาเป็นหลักประกันเรา เราจะได้ไม่ต้องพึ่งภายนอก

ชีวิตเราไม่ต้องขึ้นอยู่กับคนอื่นเขามากเกินไปจนกระทั่งมันขาดอิสรภาพไป อันนี้คือภูมิคุ้มกันที่เราต้องมีตลอดเวลา เพราะว่าอะไรกระทบมาเราจะได้ไม่เดือดร้อน อย่างน้อยเรามีเกราะกำบังของเราไว้

◌◌◌◌◌◌◌◌


อันนั้นคือคำหลัก ๓ ประการ มีเหตุมีผล ต้องยึดความพอประมาณ รู้ศักยภาพของเรา และก็มีภูมิคุ้มกัน

แต่ทรงเน้นว่า...ทั้งหลายทั้งปวงนี้ต้องตั้งอยู่บนฐานจริยธรรมคุณธรรม

คือคนเราต้องมีคุณธรรมต้องมีจริยธรรม ถ้าปราศจากข้อนี้แล้วไม่มีประโยชน์ ร่ำรวยไปถ้าสังคมมันเต็มไปด้วยความทุจริต หรือไม่ซื่อตรง หรือคดโกงกัน หรือเอาเปรียบกัน เบียดเบียนกัน มันก็ไม่มีประโยชน์

เพราะฉะนั้นสังคมทั้งสังคมจะต้องมีจริยธรรมคุณธรรม คือคนต้องดี แล้วเศรษฐกิจพอเพียงที่พระองค์ทรงวางไว้จะได้นำเราไปสู่ "ความร่ำรวยที่ยั่งยืน" ...ไม่ใช่จนลงหรือให้รัดเข็มขัด

ตรงกันข้าม ให้ร่ำรวยแล้วยั่งยืน !!

พระองค์ท่านตรัสว่า เราต้องสร้างรากหรือลงเสาเข็มให้แข็งแรงเสียก่อน แล้วค่อยสร้างบ้าน เพราะฉะนั้นพอบ้านเสร็จแล้วก็จะแข็งแรง

ฉันใดฉันนั้น นี่คือเศรษฐกิจง่าย ๆ เศรษฐกิจพอเพียง แล้วบางคนบอกจะทำเมื่อไหร่ ทำวันนี้พรุ่งนี้ได้เลย ตัวเราเองมีงบเท่านี้ รายได้เท่านี้ ก็อยู่แค่นี้

ไม่ใช่รายได้เท่านี้แต่ไปซื้ออะไรที่มันแพงมาประดับบารมีตามกระแสสังคม ไม่ใช้เหตุใช้ผล มีเงินแค่ซื้อรถคันเล็ก ๆ แต่กลับไปผ่อนรถคันโต ก็แบกไม่ไหว

อาหารการกินก็กินให้มันพอดี กินแพงเกินไป กินมากเกินไปมันก็จุก ไขมันก็เพิ่ม อยู่อย่างเรียบง่ายอยู่อย่างธรรมดาอยู่กับสติอย่างถาวร

◌◌◌◌◌◌◌◌


» บทเสริมท้ายเรื่อง :

ตลอดเวลากว่า ๓๐ ปีที่ ดร. สุเมธได้ถวายงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้ท่านได้รับข้อคิดและบทเรียนอันมีค่ามากมายไม่ว่าในแง่การงานหรือการใช้ชีวิต

ทั้งจากพระบรมราโชวาทในวาระต่าง ๆ และจากการที่ได้ทรงกระทำพระองค์เป็นเยี่ยงอย่าง อาทิ

● การทำงานทั้งหลายต้องทำด้วยใจ ทำด้วยความสนุก

● ทำงานด้วยความรู้ ความรู้จะหยุดนิ่งไม่ได้ ต้องขวนขวายเก็บบันทึกไว้ ความรู้จะต้องพัฒนาอยู่เรื่อย ๆ

● ให้สนุกกับการแก้ปัญหา เห็นปัญหากระโดดเข้าใส่

● ตั้งตนอยู่บนพื้นฐานของความเมตตาและสร้างความสุขให้ผู้อื่น

● หัวสมองต้องทำงานอยู่ตลอด ต้องช่างสังเกต ดูสถานการณ์รอบข้าง อย่าปล่อยให้จิตใจเลื่อนลอย ต้องมี-สติติดตัวตลอด เมื่อมีสติก็มีปัญญา ปัญญาทำให้หูตาสว่าง ไม่หลง

● อย่าฉวยโอกาส ต้องซื่อสัตย์สุจริตระหว่างปฏิบัติงานเป็นที่ตั้ง ฯลฯ


หากเหนืออื่นใด การถวายงานรับใช้ใกล้ชิด ยังทำให้ท่านได้เห็นอย่างชัดเจนถึงพระวิริยะอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความสุข” ในการ “ทรงงาน” เพื่อพสกนิกรของพระองค์


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 256


.....................................................................................................................



...........................................................................................................................


Ahiru Ped 555555555555555

..............................................................................................................................


พอเป็นเฉลิมพูด...ก็ต้องฟังหูไว้หู
รอ DSI น่าจะชัดเจนกว่า
หรือไม่ก็รอดำเนินคดี แล้วค่อยดูข้อมูลชัดๆกันอีกที





‘เหลิม’ยันหลักฐานชัดรวมสัญญาสร้าง 396 โรงพัก ขัดมติครม. ลั่นติดปีกก็หนีไม่รอด
ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ดีเอสไอตรวจสอบพบการก่อสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่ง ซึ่งความเห็นของสำนักงบประมาณที่ระบุมีการรวมสัญญาการก่อสร้างไว้ที่บริษัทเดียวจนทำให้เกิดปัญหาทิ้งงาน เป็นการขัดมติครม. ว่า เป็นเรื่องที่ชัดเจน และที่ตนไม่ต้องการพูดตั้งแต่แรกเนื่องจากไม่อยากซ้ำเตม ทั้งที่ตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติในสมัยนั้นบอกว่ารวมได้ แต่สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลังระบุว่าทำไม่ได้ และเมื่อเป็นมติครม.แล้วหากจะกระทำตามมติครม.นั้นก็ต้องทำการยกเลิกมติครม.เดิมก่อน อย่างไรก็ตาม ฉากต่อไปที่ประชาชนต้องการเห็นคือใครสั่งฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ และจากนั้นฉากต่อไปคือประชาชนต้องการเห็นคนติดคุกเรื่องโรงพัก 396 แห่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ดังนั้นจึงต้องทำเรื่องเข้าครม.เพื่อขอยกเลิกมติครม.เดิมหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่ได้ในเมื่อความผิดเกิดแล้ว เพราะถ้าจะทำต้องทำก่อนที่จะอนุมัติ แต่ถึงวันนี้ข้อมูลชัดเจนตามที่น.ส.พ.ข่าวสดได้ลงไปนั้นถูกต้องแล้ว ชัดเจน ติดปีกก็บินหนีไม่ได้ และกรณีที่มีนายตำรวจคนหนึ่งออกมาพูดให้เกิดความสับสนนั้นตนก็รู้ที่มาที่ไปดี
เมื่อถามว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการชดเชยให้ประชาชนอย่างไรเพราะล้วนแต่เป็นภาษีประชาชน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องเอาคนผิดมาลงโทษ จะชดเชยอย่างไรเพราะเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว


..........................................................................................................................


.........................................................................................................................




การบ้าน เริ่มมีในการศึกษาไทยมานานแค่ไหน? ไม่รู้
แต่คนอายุ 60 ปีขึ้นไป ในโรงเรียนบ้านนอกขอกตื้อ สะดือจุ่น ไม่คุ้นการบ้าน บางคนอาจไม่เคยรู้จักด้วยซ้
ทำให้สงสัยว่าการบ้านจะเป็นกิจกรรมของโรงเรียนในเมือง และในครอบครัวของสังคมเมืองเท่านั้น
ซึ่งไม่ใช่สิ่งจำเป็นของการศึกษามวลชน แต่มวลชนถูกทำให้เคยชิน เมื่อจะลดการบ้านลงจึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่สบายใจและไม่พอใจ
แต่ประเทศต่างๆในโลกเริ่มต่อต้านการบ้านของลูกหลานที่ครูให้ ดังมีรายงานข่าว (คม ชัด ลึก ฉบับวันพุธ 20 กุมภาพันธ์ 2556 หน้า 11) ดังนี้
น.ส. จุฬาภรณ์ มาเสถียรวงศ์ หัวหน้าสถาบันรามจิตติ เปิดเผยผลการวิจัย “ปรับการเรียน เปลี่ยนการบ้าน ประสบการณ์และแนวโน้มจากนานาประเทศ” โดยสรุปว่า
ผลการวิจัยในต่างประเทศหลายชิ้น ชี้ว่าปริมาณหรือเวลาที่เด็กใช้ทำการบ้านไม่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กอย่างที่เคยเชื่อกันมา แต่ขึ้นอยู่กับตัวแปรอื่นๆ มากมาย ทั้งลักษณะการสอน, การบ้าน, เด็ก, แม้แต่สภาพครอบครัวของเด็ก
การบ้านต้องมีคุณภาพไม่ใช่ดูแต่ปริมาณ การบ้านมากเกินไปไม่ช่วยให้นักเรียนมีคะแนนสอบดีขึ้น แต่ทำให้เด็กทุกข์ เด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี จะส่งผลร้ายต่อการเรียนรู้มากกว่าผลดี
กระแสต่อต้านการบ้านทั่วโลก
ที่ฝรั่งเศสเกิดธุรกิจรับจ้างทำการบ้าน คิดราคา 1 เหรียญ สำหรับการบ้าน 1 ชิ้นของชั้นประถม นักเรียนผู้ปกครองจึงออกมาเคลื่อนไหวนำไปสู่การประกาศนโยบายยกเลิกการบ้านเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว พร้อมจัดระบบช่วยเด็กทำการบ้าน
สิงคโปร์ก็ประกาศไม่เอาการบ้านเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2555 แต่ทำกิจกรรมการเรียนเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตและบุคลิกภาพเด็ก
ประเทศจีนพบนักเรียนเครียดทำร้ายตัวเอง เพราะการบ้านเยอะ กระแสสังคมจีนหนุนให้ลดการบ้าน
ขณะที่อเมริกาเพิ่มการบ้านแบบก้าวกระโดดในช่วง 2 ทศวรรษ ผลการเรียนกลับต่ำกว่าประเทศที่ให้การบ้านน้อย เช่น ญี่ปุ่น ฟินแลนด์ หรือเดนมาร์ก
น.ส. จุฬาภรณ์กล่าวต่อไปอีกว่า หลายประเทศกระแสสังคมรวมถึงผู้ปกครองยังคงเห็นว่าการบ้านมีความจำเป็น เพราะช่วยปลูกฝัง ฝึกวินัย และฝึกการคิดวิเคราะห์ได้ถ้าออกแบบการบ้านให้ดีพอ แต่ต้องไม่ให้เด็กทำการบ้านมากเกินไป
ดร. อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาสถาบันรามจิตติ กล่าวว่านโยบายลดการบ้านที่ สพฐ. ประกาศนั้น ทุกคนเห็นด้วย แต่อยากเห็นความชัดเจน และน่าจะต้องมีการปรับทั้งกระบวนการ โดยเฉพาะการพัฒนาครูให้เข้าใจการให้การบ้านที่เหมาะสม มีระบบให้ครูทำงานร่วมกันมากขึ้น รวมถึงปรับระบบวัดผลด้วย
รายงานข่าวทั้งหมดที่สรุปเอาเนื้อๆมาบอกต่อนี้ ผมเห็นเป็นเรื่องสำคัญต่อการศึกษาไทยที่เน้นท่องจำตามๆกันมา โดยเอาวิชาในหนังสือเป็นตัวตั้ง (จึงเรียก“เรียนหนังสือ”) เลยให้ความสำคัญต่อการบ้านและการท่องจำ
เมื่อให้ลดการบ้าน เลยพากันไม่พอใจ ทั้งๆที่แท้จริงแล้วกิจกรรมการเรียนด้วยประสบการณ์ตรง ล้วนสำคัญกว่าการบ้าน
ดูหนัง ฟังเพลง และไปเที่ยวแบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ท้องถิ่นต่างๆอย่างรื่นรมย์ บางทีดีกว่าการบ้านที่ไม่เข้าท่า


.....................................................................................................................................




"ค่าเอฟที" ภาระที่ชาวบ้านไม่ได้ก่อ

ประเด็นหนึ่งที่ยังไม่มีใครตั้งคำถาม ทั้งที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชนโดยตรงนั่นคือ ใครควรจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือ "ค่าเอฟที" ที่เพิ่มขึ้นจากกรณีที่มีการหยุดจ่ายก๊าซจากแหล่งก๊าซธรรมชาติยานาดา และเยตากุนจากพม่า

การหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติเที่ยวนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะต้องหาเชื้อเพลิงชนิดอื่นมาทดแทน เพื่อไม่ให้มีปัญหาไฟฟ้าตกหรือดับ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภาคใต้

อาทิ น้ำมันเตาที่ใช้ได้ในโรงไฟฟ้าพลังความร้อน สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม จะต้องใช้น้ำมันดีเซลซึ่งแพงมาก ตกหน่วยละ 8-9 บาท จึงคงไม่นำมาใช้เพราะค่าใช้จ่ายสูงเกินไป

ประเด็นมีอยู่ว่าแล้วค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ ใครควรต้องรับผิดชอบ ปตท.ในฐานะผู้จำหน่ายก๊าซให้กับกฟผ. หรือจะผลักภาระนี้ให้กับประชาชน

เท่าที่ได้ฟังจาก "ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์" อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานบอกว่า "การซ่อมบำรุงท่อก๊าซเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น แต่รัฐบาลต้องวางแผนให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่เรื่องกะทันหัน เขาแจ้งล่วงหน้ามาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเอกสารกระทรวงพลังงานตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว มีการคำนวณค่าเอฟที แสดงให้เห็นแล้วว่ามีการปิดซ่อมก๊าซจะน้อยลง ต้องใช้น้ำมันเตาเพิ่มขึ้น ช่วงนี้ค่าเอฟทีก็จะสูงขึ้น เขาใส่ค่าเอฟทีไปแล้วสำหรับปีนี้"

ประเด็นที่ ดร.ปิยสวัสดิ์ พูดขึ้นมามีวรรคทองที่ต้องขีดเส้นใต้อยู่ 2 วรรค ที่น่าสนใจคือ เรื่องนี้ได้มีการแจ้งล่วงหน้ามานานแล้ว วรรคทองต่อมาน่าสนใจอย่างยิ่งว่า ได้มีการเก็บค่าเอฟทีตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ได้มีการขึ้นค่าเอฟที สำหรับเดือนมกราคม-เมษายน ไปแล้ว 1.70 สตางค์ต่อหน่วย และในการประชุมครั้งต่อไป คาดว่า จะมีการขึ้นค่าเอฟทีเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม เป็น 2.20 สตางค์ต่อหน่วย

นั่นแสดงว่าได้มีการ "ลักไก่" ขึ้นค่าไฟฟ้าจากกรณีนี้ให้ประชาชนรับภาระล่วงหน้าไปแล้

ถือว่าโยนภาระให้กับประชาชน โดยที่ประชาชนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่มีการชี้แจงสักคำว่าต้นทุนเพิ่มจากอะไร ทั้งที่ไม่ควรเป็นค่าใช้จ่าย หรือความรับผิดชอบของประชาชน แต่ควรจะเป็นภาระของ ปตท.ที่ขายก๊าซเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับ กฟผ.อีกทีหนึ่ง ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

ไม่ใช่มัดมือชกแอบลักไก่ขึ้น โดยที่ผู้บริโภคไม่รู้เรื่องอย่างที่ทำมาตลอด

เมืองไทย 25 น.
ทวี มีเงิน, ข่าวสดออนไลน์


'Theera Tangtirmthong ก็ไม่ให้สร้างนิวเคลีย์นี่นา รับกรรมตามที่ตัวเองก่อ

Supapong Wanitpongpan ต้องยอมรับว่า ด้วยความไม่เข้าใจหลายๆอย่าง + ความเห็นแก่ตัวของคนหลายกลุ่ม + คุณภาพประชากรในตอนนี้ 

มันก็เลยเดินหน้าอะไรไม่ค่อยได้น่ะ 

เรื่องมันเศร้า...!

.....................................................................................................................................

.........................................................................................................................



ถึงจะเกรียน แต่อันนี้มัน ok เลย ^^


........................................................................................................................




คดี ปรส.หมดอายุความวันที่ 21 มิถุนายน 2556

ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157 ม 157


...........................................................................................................................




ใครเป็นบ้างป่ะครับ ... ผมแม่งงงมาก อ่านข่าวกะฟีดบนวอล์ผม ช่วงนี้นี่แม่ง เป็นเชี่ยอะไรไม่รู้ มีแต่ "คนดี" (ไม่รู้เหมือนกันใครนิยาม แต่เห็นคนบอก ๆ กันว่าเป็น) ออกมาด่าคนอื่น ไม่งั้นก็ชมตัวเอง ... บางรายแม่งหนัก ต้องเอาประวัติการศึกษา มหาลัยที่จบ รางวัลที่เคยได้ ออกมาอวดกันกระหน่ำ


.......................................................................................................................














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น