วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

30/01/2556

ถึงการแชร์ความคิดคนอื่นจะง่ายดี แต่ก็ยังเป็นความคิดคนอื่น...

สำหรับผมแล้ว นโยบายลดการบ้าน ถือเป็นนโยบายที่ทำให้เด็กไทยดูมีอนาคตขึ้นมากเลยทีเดียว

ปัญหาของเด็กไทยส่วนใหญ่ ที่ผมประสบมากับตัวเองในการสอน ตั้งแต่ตอนยังเป็นติวเตอร์สมัยเรียนมหาวิทยาลัยจนถึงปัจจุบัน 

คือการไม่ได้ทบทวนเนื้อหาที่เรียน!!! 

ผมเคยถามน้องเกี่ยวกับเนื้อหาที่สอนไป ก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง
พอถามว่าว่า เอาเวลาไปทำอะไรหมด ทั้งๆทีี่บอกแล้วว่าให้ทบทวน และการทบทวนก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆในการเรียนรู้
ก็ได้คำตอบว่า "ทำการบ้าน"
เด็กจำนวนมากที่ตอบผมแบบนี้

หลังเรียนเสร็จ ทำการบ้านหลายต่อหลายวิชาที่สั่งเข้ามาให้ทำ ก็ได้เวลานอนแล้ว บางทีทำไม่เสร็จอีกต่างหาก จะเอาเวลาที่ไหนมานั่งอ่านทบทวนเนื้อหา?
ผลก็คือ เวลาที่ต้องใช้งานจริง เช่นการสอบ ก็จำได้ลางๆ คลับคล้ายคลับคลา ผ่านตามา ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ทั้งๆที่ควรทำได้เกือบทั้งหมด

ไม่มีเวลาทบทวนให้เข้าใจและขึ้นใจ มันก็ทำได้แค่นั้นล่ะครับ

การลดการบ้าน ไม่ได้แปลว่าเลิกให้การบ้าน!!!
ไม่เข้าใจว่าหลายๆคนทำไมถึงคิดไปได้ว่าเด็กจะไม่ได้ฝึกฝน

ครูก็ต้องให้การบ้านในปริมาณที่เหมาะสม เน้นคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ เด็กก็จะได้ทั้งการฝึกฝน ทั้งเวลาที่จะไปทบทวน รวมทั้งหาอะไรอย่างอื่นที่จะเป็นประโยชน์กับชีวิต

ถ้าครูทำไม่ได้ ก็เป็นปัญหาที่ตัวครู ไม่ใช่ที่นโยบาย!!!


PingPing Yang โดยส่วนตัวเห็นว่าไม่ใช่ทางออก เพราะการให้การบ้านเป็นเรื่องของครู นโยบายนี้ไม่มีทางตรวจสอบได้ และมาตรฐานไหนที่เป็นตัวกำหนดว่าการบ้าน "เยอะ" หรือ "น้อย" จะให้ดีเอาไปวางนโยบายพัฒนาครู เพื่อฝึกเทคนิคการสอนให้แก่ครูยังดีกว่า นี่มันแค่นโยบายประชานิยมหาเสียงเท่านั้นค่ะ "

PingPing Yang เด็กไทยไม่ได้เอาเวลาไปทำการบ้านทั้งหมดหรอกค่ะ เวลาเด็กตอบว่า "ทำการบ้าน" มักจะรวมช่วงที่แอบเล่นเกมไว้ด้วยแล้ว

Supapong Wanitpongpan อันนี้คือที่พี่ได้คุยกับพี่อีกคนหนึ่งในเรื่องนี้ครับ

"ในภาพรวมนี่ล่ะครับ ที่ต้องให้ครูแต่ละคนแนะนำ โดยเฉพาะการทบทวนบทเรียน 
การบ้านถ้ามากเกินไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรครับ มากไปไม่ดี น้อยไปไม่ดี การลดไม่ได้แปลว่าให้เลิก 
ครูแต่ละคนก็สามารถกำหนดปริมาณที่เหมาะสม คือไม่มากเกินไป แต่ได้ประสิทธิภาพอยู่แล้วครับ 

บังเอิญผมเป็นพวกทฤษฎี Y ครับ ผมเชื่อในความสามารถคนอื่นเช่นเดียวกับที่เชื่อตัวเอง ^^

สำหรับเด็กที่ยังบวกคูณเลขไม่เป็นนี่ ต้องดูว่า สาเหตุเกิดจากอะไรครับ ต้องลงลึกรายละเอียดเข้าไป 
เราบอกไม่ได้ว่า การลดการบ้านจะยิ่งทำให้เด็กพวกนี้ทำไม่เป็น เพราะเดิมที่ไม่ได้ลด พวกเข้าก็ทำไม่เป็นอยู่แล้ว 
ต้องเข้าไปแก้ปัญหาให้ตรงจุดครับ 

ผมมองว่า ในตอนนี้ ส่วนที่ทำได้ ก็ทำไปครับ ถึงแม้ผมจะไม่เห็นว่า นโยบายนี้จะได้ผลสักเท่าไหร่ 
เพราะการบอกให้ลดการบ้าน ปริมาณการบ้านของอาจารย์แต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ลดลงมาจะได้สักเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้อาจารย์ได้ฉุกคิด กรณีอย่างให้ย่อรัฐธรรมนุญของคุณThanakom Jarupanthusate ก็คงไม่เกิดขึ้นอีก หรือการให้การบ้านก็จะเป็นการเน้นให้มีคุณภาพและประสิทธิำภาพมากขึ้น 

ในส่วนที่เรายังแก้ไม่ได้เช่นตัวผู้สอนที่ด้อยคุณภาพที่อยู่ในระบบ ก็ต้องค่อยๆหาทางและมาตราการปรับแก้กันไปครับ"


Chu Veerakachonsak การศึกษาไทยต้องมีกล้า เปลี่ยนแปลง

Supapong Wanitpongpan Chu Veerakachonsak เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ 

PingPing Yang "จะให้ดีเอาไปวางนโยบายพัฒนาครู เพื่อฝึกเทคนิคการสอนให้แก่ครูยังดีกว่า" การวางนโยบายพัฒนาครู พี่ก็เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ แต่การฝึกเทคนิคการสอนนี่ พี่กลับไม่เห็นด้วยครับ เพราะ
1. ผู้สอนแต่ละคนก็มีแต
่ละ style ที่จะทำให้เด็กเข้าใจในเนื้อหาได้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ได้ผลเหมือนกัน คือเด็กเข้าใจ ก็ OK แล้ว 
2. คนที่มาเป็นครูโดยส่วนใหญ่ก็ถูกฝึกเทคนิคการสอนมาเป็นเวลาอย่างน้อย 4 ปีในการเรียนแล้ว 

ไม่ว่าจะฝึกยังไง แต่ละคนก็จะมี Style และเทคนิคเฉพาะตัวของแต่ละคนอยู่ดีครับ 

ดังนั้นในการพัฒนาครูที่พี่เห็นด้วย คือการพัฒนามุมมอง แนวความคิดของครูให้กว้าง ก้าวหน้า และทันสมัยครับ เพื่อถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ให้แก่ลูกศิษย์ต่อไป 

ตอนที่พี่เข้าเรียนวิศวะ จุฬาฯ มีอาจารย์ถามในวิชา Introduction to Engineering ว่า พวกคุณมาเรียนทำไม?
ตอนนั้นพวกเราก็ตอบไปหลายอย่าง เพื่อมีงานทำบ้าง เพื่อมีเงิน เพื่อเป็นวิศวะ ฯลฯ
อาจารย์ท่านก็บอกว่า "ที่จริงแล้ว ที่พวกคุณต้องมาเรียนก็เพื่อให้คุณคิดเองเป็น ทำเองเป็น ถ้าคุณคิดเองเป็นแล้ว ทำเองเป็นแล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องมาเรียน"

ด้วยเหตุนี้ พี่จึงมองว่า ครูผู้สอน ต้องทำหน้าที่สอนให้เด็ก "คิดเองเป็น ทำเองเป็น"ครับ 

“Education is not the learning of facts, but the training of the mind to think.”
- Albert Einstein

^^


Phongsakorn Thavornan อยากเข้ามาเล่นมุขไม่กล้าเล่นเลย

PingPing Yang อ่า การพัฒนาหลักสูตรการสอน เทคนิค หรืออบรม มีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะ ผิงไม่ได้เขียนอธิบายให้ชัดเจนต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ แต่โดยรวมผิงหมายถึงควรวางนโยบายในรูปแบบอื่น ไม่ใช่นโยบายเรียกคะแนนโดยไม่มีมาตรการรองรับและจับต้องไม่ได้ ....หลักการคิดสำหรับผิง การคิดเปลี่ยนเป็นสิ่งดี แต่ก็ควรคิดบนความจริง คิดกว้าง คิดไกล คิดให้เป็น ไม่ใช่คิดเพ้อเจ้อน่ะค่ะ ^^" 
ปล.ลดชม.เรียน เพิ่มทักษะและกิจกรรมน่าจะดีกว่าประกาศให้ลดการบ้านนะคะ -__-"


Piyawatana Yosyingyong ผมไม่อยากให้คำว่า "การบ้าน" หายไปในยุคนี้น่ะครับ
ผมโตมากับ รร.วัด เวลาทำการบ้านก็คือ การทบทวน
ถ้าใช้วิถีชีวิต เด็กกทม. เป็น เกณฑ์นำทุกเรื่อง แบบนี้
วิถีเด็กชนบท จะยังไง?
ห้ามตีเด็กก็ทีแล้ว เพราะเด็กนรกมีจริงๆ


..................................................................................................

ในฐานะครูเห็นด้วยกับการลดการบ้าน การให้เยอะๆไปก็เท่านั้นมันทำไม่ทันก็เอามาลอกกันตอนเช้าอยู่ดี ถือว่าล้มเหลวในการให้การบ้าน วิธีวัดผลและการทบทวนมันไม่ได้มีวิธีเดียวการเดียวเสียหน่อย ไอพวกที่บอกแล้วเด็กมันจะจะเจริญได้ไง ถามว่าจะเจริญไปทางไหนในเมื่อเขาปรับตัวกันทั่วโลกหาวิธีการใหม่ๆในการให้การศึกษาคนแต่เรายังกลับยึดวิธีการเดิมๆที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยไหนไม่รู้ โลกมันเปลี่ยนคุณเอามาตราฐานตัวคุณตอนสมัยเป็นเด็กมาใ้ช้ไม่ได้หรอกนะ มันก็ต้องมีการวิวัฒนาการกันบ้างคนที่ไม่วิวัฒมักจะตายห่าเสมอ และการให้การบ้านถ้าอยากจะให้จริงๆครูควรจะปรึกษากันทั้ง8กลุ่มสาระแล้วให้เป็นงานชิ้นเดียวกันให้งานนั้นมันมีทั้ง 8 กลุ่มสาระไปเลยไม่ทำทีเดียวแบบนี้ได้เกิดการเรียนรู้การเชื่อมโยงและการประยุกต์ใช้มากกว่าที่จะให้สะเปะสะปะรายวิชาและมันก็ไม่ได้อะไร ที่เมืองนอกเขาสอนน้อยและให้งานมันก็เท่ากับว่าเด็กมันก็ต้องไปหาข้อมูลด้วยตัวเองอีกครึ่งหนึ่งที่นี้การเรียนรู้มันก็เกิดขึ้น แต่ในไทยพยามที่จะสอนเยอะๆเรียนรู้ด้วยการป้อนยัดมันเข้าไปจนกินไม่ลงทีนี้มันก็ไม่หากินเอง หรือถ้ายังหิวอยู่แทนที่จะหากินเองก็ไปหาคนป้อนเพิ่มคือเรียนพิเศษ และพอเขาวัดผลกันทั่วโลกไทยกลับอยู่อันดับท้ายๆเพราะอะไรรู้หรือเปล่า เพราะเขาไม่ได้วัดความรู้แต่วัดความสามารถในการหาความรู้ ซึ่งเด็กไทยหากินเองไม่เป็นเพราะโดนป้อนตลอด

แล้วถามว่าเวลาที่เหลือเอาไปทำอะไร บอกเลยครับให้เด็กมันได้ใ้ช้ชีวิตบ้างเถอะ มันได้มีเวลาไปทำอะไรที่มันอยากทำบ้างไม่ใช่เอาเวลาทั้งหมดไปทุ่มอยู่กับอะไรก็ไม่รู้ ส่วนไอพวกที่คิดว่าเรียนในห้องไม่สอนอะไรควรจะคิดใหม่นะครับเด็ก 50 กว่าคนกับครูคนเดียวการที่จะให้ความสนใจได้ครอบคุลมนั้นเป็นไปได้ยากครูหนึ่งคนต่อเด็กหลายคนคุณลองมาสอนดูไหม ดูว่าคุณจะคุมได้หมดหรือเปล่า ต่างกคนก็ต่างรูปแบบ ครูก็พยามที่จะให้ได้ทุกคนเกิดมาต้องจี้ทุกคนไม่ได้สอนพอดี ครูก็สอนเต็มที่นั้นแหละทีนี้มันขึ้นอยู่กับความสนใจเด็กแล้วว่าอยากจะเรียนมากแค่ไหน มันไม่ใช่เหี้ยอะไรก็โทษครูฝ่ายเดียว เดี๋ยวนี้สถาบันที่เป็นพื้นฐานที่สุดกลับห่วยแตกที่สุดอย่างสถาบันครอบครัว แทนที่จะสนใจดูลูกตัวเองกลับผลักภาระไปให้คนอื่นดูแลแทนมีปัญญาปั๊มกัน แต่ไม่มีปัญญาเลี้ยงบอกเลยบางคนที่ให้ลูกไปเรียนพิเศษเพื่อให้ตัวเองมีเวลาทำอะไรมากขึ้นโดยการเอาเด็กไปฝากกับคนอื่น ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ใครบางคนปัญหามันอยู่ที่สังคมโดยรวมและปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยคือทุกคนแม่งต่างโทษกันไปโทษกันมาไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดกันเลยซักคนเดียว แล้วแบบนี้เราจะพัฒนาได้หรือ??
Byอนันตกาล


..................................................................................................


ได้ยินคำพูดของ อภิสิทธิ์ เรื่อง "ลดการบ้าน เป็นประชานิยมจูเนียร์ ระบบการศึกษาต้องพูดตรงๆนะครับ จะไปตามใจเด็กกันทุกเรื่องไม่ได้" แล้วมันแสดงถึง วิสัยทัศน์ของพี่มาร์คเลยนะครับ ว่าแม่งโคตรหัวโบราณ ยังเชื่อว่าโลกแบน ไม่นิยมหลักวิทยศาสตร์

ก่อนอื่นต้องดูกันว่า "การบ้านทำให้เด็กฉลาดขึ้นหรือไม่ ? " มีวินัยมากขึ้นไหม ? รักการเรียนมากขึ้นหรือไม่ ? แล้วการบ้านมากเกินไป มันเป็นเรื่องดีหรือไม่ ?

จากข้อมูล สถิติ งานศึกษา และการสำรวจจำนวนมากเพื่อพยายามชี้ให้เห็นว่า “การบ้าน(ที่มากเกินไป)ไม่ได้มีส่วนช่วยให้เด็กมีได้คะแนนสอบดีขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการบ้านอีกประการหนึ่งก็คือ อันที่จริงกระบวนการเรียนรู้ของเด็กควรเป็นแบบสม่ำเสมอและค่อยเป็นค่อยไป แต่การให้การบ้านของครูในแต่ละวิชานั้นมีแนวโน้มจะเป็นอิสระจากกัน จึงเกิดความล้มเหลวของการร่วมมือกันให้การบ้าน (Homework Coordination Failure) นั่นหมายถึง บางวันเด็กอาจจะมีการบ้านเยอะมาก บางวันก็อาจไม่มีเลย แทนที่จะกระจายอย่างสม่ำเสมอ

แม้ว่าจะมีการโต้แย้งว่า การบ้านอาจไม่ได้มุ่งหวังแค่ผลสอบที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังมุ่งหวังเพื่อสร้างนิสัยรักการเรียนด้วย อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่ตามมาจำนวนมากก็ยังไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ เพราะการบ้านมีแนวโน้มที่น่าจะทำให้เด็กไม่รักการเรียนมากกว่า

นอกจากนี้ การบ้านยังทำให้เด็กมีโอกาสใช้เวลาในการออกกำลังกายน้อยลง มีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวน้อยลง และนอนน้อยลงด้วย ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญกับพัฒนาการของเด็กและการเป็นคนที่สมบูรณ์ของสังคมในอนาคตไม่น้อยไปกว่าการเป็นคนเรียนเก่งอีกด้วย

เด็กข้างบ้านบอกว่า "รัฐบาลเพื่อไทยเขาใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ เขาไม่ได้ใช่ความรู้สึกส่วนตัว เขาไม่ได้เอาเด็กมาลองผิดลองถูก เขาไม่เอาอนาคตของชาติมาล้อเล่นกันนะครับ ไอ้สัส"

อ้างอิง : http://setthasat.com/2012/11/05/the-myth-about-homework/


..................................................................................................


ฟังเขาว่ามาอีกที...ยังไม่ได้ตรวจสอบข้อมูล
"มีคนเอาคำสั่งลดการบ้านของสพฐ.มาบอกว่าเป็นประชานิยม เอาใจเด็ก เด็กจะโง่, สงสัยไม่เคยอ่านข่าวต่างประเทศ อย่างฝรั่งเศสนี่บางเมืองสั่งห้ามให้การบ้านเด็กเลยนะครับ มีผลวิจัยออกมาแล้วว่าการบ้านไม่ได้ทำให้เด็กเรียนดีขึ้น เอาเวลาที่จะนั่งทำการบ้านไปเล่น ไปเรียนรู้โลกภายนอกมีผลต่อการพัฒนาสมองมากกว่า"

มิตรสหายท่านหนึ่ง
................................................................................................




                           แชร์เก็บไว้ซะหน่อย เสียดายก่อนหน้านี้ไม่ได้แชร์ไว้ ^^

AThonyso Weiqi ความกว้างของแถบสีมันเท่ากันจะเป็นธงชาติไทยไปได้อย่างไร

Supapong Wanitpongpan แหม...แหม...แหม.... 555++




ผมว่ามันเป็นเรื่องเสียเวลานะครับ ที่จะชี้ชัดในเรื่องสิ่งที่ยังไม่เกิด
เพราะแต่ละคนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันมากจริงๆ มุมมองก็ย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา

(อย่างที่หนูดาชาเจอก็เป็นแค่อีกตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น)

ส่วนผมนี่ การบ้านมีน้อยมาก แต่ถ้ามีการบ้านเยอะก็จะมีการรวมกลุ่มแบ่งงานกัน จากนั้นก็แบ่งกันลอกคำตอบกันเองอีกที (ฮา)
แต่บางคนต้องแบกรับการบ้านเยอะ แถมยังโดนบังคับให้ไปเรียนพิเศษอีก

เอาเป็นว่าสเตตัสนี้พวกเรามาแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการบ้านกันดีกว่า XD
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น