การศึกษาของไทยในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ดูจะเป็นเรื่องที่ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีข้อสรุปตรงกันคือ “ล้มเหลว “
และเป็นเรื่องที่ผู้คนเริ่มให้ความสนใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ มีการพูดถึงงบประมาณที่ลงทุนในด้านการศึกษาที่มากขึ้นทุกปี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งบประมาณ ปี 2556 จัดสรรให้กับกระทรวงศึกษาธิการมากที่สุดเป็นจำนวนเงิน 460,411,648,800 บาท หรือประมาณร้อยละ 19.18ของงบประมาณประเทศเรา
แต่ผลที่ได้จากการลงทุนทางการศึกษาที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะใช้อะไรเป็นตัววัดความสำเร็จ
ไม่ว่าจะวัดโดยองค์กรใดๆ ทั้งในและต่างประเทศ ก็ชี้ชัดว่าเรามีการพัฒนาการศึกษาที่ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน
หลายประเทศที่เคยมีการศึกษาในระดับเดียวกับเรานั้น
เขาก็พัฒนาไปไกลกว่าเรามากเช่นประเทศมาเลเซีย เกาหลีใต้
ส่วนประเทศที่ไม่น่าจะมีการศึกษาที่ดีกว่าเราก็แซงเราไปอย่างไม่น่าเชื่อ
แม้กระทั่งในอาเซียน สิบชาติเองเรายังมีการศึกษาที่ล้าหลังมากครับ
ได้มีการจัดอันดับการศึกษาของชาติในอาเซียน
ปรากฏว่า ระดับการศึกษาของเราอยู่ในอันดับ 8 คือดีกว่าเพียงสองชาติในอาเซียนเท่านั้น
มีการวัดคุณภาพการศึกษาของเยาวชน ที่น่าสนใจมาก เป็นการสอบที่เรียกย่อๆว่า PISA
โดยวัดความสามารถในการใช้ภาษา (ภาษาของชาตินั้นๆ เช่นเด็กไทยสอบ ก็สอบภาษาไทย)
ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ และความถนัดทางคณิตศาสตร์
ของนักเรียนมอสามในกลุ่มประเทศ OECD (The Organisation for Economic Co-operation and Development )
ซึ่งจัดทำขึ้นมาเพื่อวัดความก้าวหน้าทางการศึกษาของประเทศสมาชิก ไม่ได้จัดทำเพื่อการแข่งขันใดๆ
แต่ต้องการวัดผลความก้าวหน้าในเรื่องการศึกษาของเยาวชน
ไทยเรา เข้าไปร่วมประเมินมาสองครั้ง
ผลคือ เราอยู่กลุ่มท้ายสุดของโลกจากประเทศ64ประเทศที่เข้าร่วมประเมิน ติดต่อกันทั้งสองครั้ง
ความจริง ไม่ต้องไปประเมินก็น่าจะรู้นะครับว่าการศึกษาที่ผ่านมาของเรานั้นแย่ขนาดไหน
เรามองบ้านเมืองก็คงรู้ได้ว่าการศึกษาบ้านเราดีขึ้นไหม ผู้คนในบ้านเมืองเรามีการศึกษาดีขึ้นเพียงใด
บ้านเมืองที่มีเยาวชนติดยาเสพติด คุกเต็มไปด้วยผู้กระทำความผิดในคดีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
เยาวชนติดยาเสพติด และสิ่งมอมเมา กันมากขึ้นทุกวัน
บ้านเมืองที่ผู้คนซื้อลอดเตอรี่กันมากกว่า จำนวนประชากรทั้งประเทศ
ปัจจุบัน เราซื้อลอตเตอรี่กันมากกว่า งวดละ 100ล้านใบ ทั้งๆที่มีประชากรเพียง 64 ล้านคน นั่นน่าจะเป็นตัวบ่งบอกถึงพื้นฐานคณิตศาสตร์ ของคนในประเทศได้
การศึกษาของเรายังเป็นแค่ตำรา และการสอบ ที่ห่างไกลกับชีวิต การศึกษาที่ยังไม่เข้าไปในการดำเนินชีวิต ของคน นั้นคือการจัดการศึกษาที่ล้มเหลว
บ้านเมืองที่มีคนพร้อมจะทำลายล้างกัน
เพียงเพราะความเชื่อที่แตกต่างกัน
ผู้คนมากมายโดนหลอกโดยนักการเมืองและผู้ต้องการใช้คนเป็นฐานสู่อำนาจ
ให้เกลียดชังพี่น้องร่วมชาติกันเอง และตั้งหน้าตั้งตาทำลายกัน
โดยไม่ดูตัวอย่างอดีตประเทศเพื่อนบ้าน ที่พี่น้องฆ่ากันเพราะความเชื่อต่างกัน
นี่คือผลของการศึกษาที่ผ่านมา
เราไม่ได้สร้างเยาวชนที่เติบโต พร้อมความสามารถที่จะแยกแยะระหว่างความคิดเห็นกับข้อเท็จจริง
การศึกษาไม่ได้ทำให้ผู้คนในบ้านเมือง มีสติ
ไม่ได้ช่วยให้เขาเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันบนความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
การศึกษาที่ผ่านมา จึงเป็นเพียงแค่เครื่องมือวัดความจำ และความอดทน
การเรียนซำ้ๆ ในเรื่องเดิมๆ
การวัดผลสำเร็จทางการศึกษาด้วยวิธีการวัดความจำแบบ
เมื่อร้อยปีที่แล้ว
ด้วยวิธีการสอนแบบโบราณ
ซึ่งสร้างความสำเร็จในอดีต แต่ไม่ใช่วิธีพัฒนาคนในปัจจุบัน
ไม่ต้องวัดด้วยสำนักใดๆ ก็คงจะรู้ได้ครับว่า การศึกษาของเรามีปัญหาจริงๆ
เรามีการปฏิรูปมา10 ปี ถึงวันนี้ ไม่มีทีท่าว่าการศึกษาของเราจะพัฒนาไปได้อย่างไร
โรงเรียน ยังคงเป็นที่ที่สร้างความ เบื่อหน่ายให้ผู้เรียน
ห้องเรียนยังคงเป็นความน่าเบื่อ ของผู้เรียน และผู้สอน
การเรียนแบบท่องจำ นำไปสอบ ยังคงดำเนินต่อไป
การสอบแข่งขันแย่งชิงเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดังยังคงเข้มข้น ทั้งๆที่มีมหาวิทยาลัยมากมายเปิดรับ
เข้าเรียนง่ายๆแบบไม่ต้องแย่งชิง
เด็กยังคง มึนกับชีวิต เพราะการเรียนแปดสาระ เช้ายันเย็น
หลายคนยิ่งมึนหนักเพราะต้องไปกวดวิชาเพื่อทำเกรด เพื่อความสบายใจของผู้ปกครอง
สารพัดปัญหาเหล่านี้ มีการพูดกันมากว่า ปัญหามาจาก คุณภาพ ครูไทย
และก็มีการเริ่มต้น จะพัฒนาคุณครูของเรา
คะแนนสอบ O NET ของเด็กทั่วประเทศตกตำ่ลง ก็โทษกันว่าเป็นเพราะ ครูสอนไม่ดี
และแก้ปัญหากันง่ายๆโดยการจะนำคะแนนโอเนตของนักเรียนไปประเมินโรงเรียน และคุณภาพครู
เด็กแย่งกันสอบเข้ามหาวิทยาลัย เรียนในโรงเรียนยังไม่พอ ก็ไปเรียนกวดวิชา
เด็กแห่เรียนกวดวิชากันมาก ก็มาโทษกันว่าเพราะครูสอนไม่ดี
เด็กท้องในวัยเรียน เด็กใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ก็มาโทษว่าเพราะครูควบคุมไม่ดี
เด็กเบื่อเรียน โดนครูเข้มงวดกวดขันกับ เรื่องวินัย การรักษาระเบียบต่างๆ ก็มีการต่อต้านจากนักเรียน และ บอกว่า ครูละเมิดสิทธิ
เลิกสอนครูไปทำงานพิเศษ ไปกวดวิชา ก็โดนตำนิต่อว่า ครูทำไมไม่สอนให้เต็มที่ หรือจะกั๊กไว้ ไปกวดวิชา
เรื่องของการศึกษาบ้านเรา ที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ อย่าไปเหมาทั้งหมดลงที่ครูเลยครับ
ผู้ปกครองและสังคมต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาลูกหลาน อย่าไปโยนให้โรงเรียนทั้งหมด
การที่เด็ก ใช้ความรุนแรง ไม่มีความอดกลั้น โลภ ชอบเอาเปรียบ โกง ไม่ตรงเวลา
นั้นครอบครัวมีส่วนมากครับ
เด็กเห็นรับรู้ และเรียนรู้จากสังคมมากกว่าตำราครับ
ถึงแม้ว่าโรงเรียนจะสอนอย่างไร จะบังคับอย่างไร
ถ้าที่บ้านและสังคม ยังเต็มไปด้วย ความรุนแรง การไม่รับฟังกัน ฯลฯ
ก็ยากที่เราจะมีเยาวชนที่เติบโตอย่างมีคุณภาพ
ในส่วนของรัฐเองต้องมีความจริงใจในการจัดการศึกษาที่ถูกทาง
มีคำถามง่ายๆว่า แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงการศึกษาให้กลับมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนได้อย่างไร
แล้วเราจะทำให้เยาวชนของเราเติบโตมามีความสามารถ มีทักษะเพื่ออาชีพการงานแห่งอนาคตได้อย่างไร
ผมคิดว่า การเปลี่ยนแปลงระบบการสอนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในปัจจุบันครับ การสอนแบบโบราณที่เราใช้อยู่นี้ ก็ยังมีใช้กันมากมายทั่วโลก แต่เขาก็กำลังเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับสังคม เทคโนโลยี และความต้องการของตลาดงานที่เปลี่ยนไป
เราลอกแบบการศึกษาเขามาร้อยปี ถึงเวลาแล้วครับที่เราจะมีการศึกษาของเราเองจริงๆสักที โดยไม่ต้องรอไปลอกเขาอีกแล้ว
และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ส่วนสำคัญที่สุด คือ ครู
ครูต้องเข้าใจบทบาทหน้าที่และวิธีการสอนรูปแบบใหม่
เพราะความจริงครูมีหน้าที่ ที่สำคัญกว่าการสอนวิชา นั่นคือหน้้าที่ในการสอน คน การสร้างแรงบันดาลใจ การทำให้ศิษย์มีความหวัง ใฝ่ดี
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเอาคะแนนสอบโอเนตมาวัดไม่ได้ครับและครูแบบนี้ก็ใช้แทปเลตแทนไม่ได้
เรามีครูดีๆมากมายทั่วประเทศแต่เรายังไม่ได้นำพลังครูมาใช้อย่างมีเป้าหมาย
ถ้าเรามีการเปลี่ยนการสอนให้เป็นแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางกันจริงๆสักที(ซึ่งตอนนี้ ยังไม่มีที่ไหนทำกันเลย ทั้งๆที่ปฏิรูปการศึกษามาสิบกว่าปีแล้ว) เช่นนำการสอนแบบ ความคิดสร้างสรรค์้เป็นฐาน creativity-based learning CBL หรือ PBL problem-based learning ไปใช้
อาจเริ่มต้นในบางโรงเรียน ในบางวิชา เมื่อครูเริ่มเห็นว่าเกิดผลดี นักเรียนนักศึกษามีความสุข ก็จะเริ่มมีการขยายผล เริ่มต้นง่ายๆอย่างนี้แหละครับก็จะช่วยให้ การศึกษาของเรา มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีกว่าที่ผ่านมา
การสอนแบบ creativity-based learning CBL
เป็นระบบการสอน การวัดผล ที่ทำห้องเรียนให้สนุก
เรียนแบบใช้ความคิด สอบแบบไม่ต้องท่องจำ
การเรียนแบบนี้จะทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะในการทำงานเป็นทีม สื่อสารได้
และมีทักษะของการเรียนรู้ ตื่นตัวกับความรู้ใหม่ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้คือสทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งต่ออนาคต (21st century skills)
การเปลี่ยนแปลงจะสำเร็จได้ต้องอาศัยคุณครูและอาจารย์ทั่วประเทศที่สนใจ
ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงการสอนแบบโบราณมาสู่การสอนรูปแบบใหม่
แต่จะสำเร็จได้มากน้อยเพียงใด เราต้องร่วมมือกันครับ
ผู้ปกครองก็ต้องสนใจเรื่องของการศึกษารูปแบบใหม่
รู้ว่าเป้าหมายการศึกษาไม่ใช่การแข่งขัน
เข้าใจและให้เวลาเด็ก เลิกเอาเกรดเฉลี่ยมาแข่งกัน
มหาวิทยาลัยต้องปรับเปลี่ยนนการคัดเลือกคนเข้าเรียนจากการสอบแข่งขัน
มาเป็นการพิจารณาประวัติ
คุณลักษณะความถนัดให้มากขึ้น
แล้วผมจะมาเล่าถึงเรื่องราวของระบบการสอน แบบใหม่ๆที่ใช้กันในโลกปัจจุบันในตอนหน้านะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น