วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

25/02/2556


Kung Witoon ดีมีประโยชน์ต่อสังคมแต่ใครจะเป็นคนเก็บไปทิ้งเมื่อถังเต็ม...ไอเดียเก๋

..........................................................................................


...........................................................................................

http://clip.thaipbs.or.th/home.php?vid=4869&ap=flase

จังหวะจะเดิน : บทเรียน (24 ก.พ. 2556)

.........................................................................................


.........................................................................................



คุณสมบัติของคุณชายนะครับ แหม่

นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับประชาชนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจจะเลือกใครขออย่าได้เลือกผู้สมัครอิสระ
เพราะจะส่งผลให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ แพ้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการแข่งขันระหว่างคนที่เคยทำงานกับคนที่ไม่เคยทำงาน
แน่นอนว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ทำงานมา 4 ปีต้องมีจุดอ่อน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา อย่างไรก็ตาม ม.ร.ว.สุขุมพันธ์
มีจุดแข็งอยู่ 5 ข้อคือ 1 ไม่โกง 2 มีความสุภาพ 3 มีผลงาน 4 เป็นนักต่อสู้ 5 ไม่เล่นการเมือง
1. ไม่โกง
2 มีความสุภาพ
3 มีผลงาน
.
4 เป็นนักต่อสู้
เคราะห์ดีนะครับ ผมเป็นคนเข้าใจชีวิต มิฉะนั้น ผมขัดคำสั่งครับ
คราวหน้า ขอให้ประสานงานในเวลาที่มันศิวิไลกว่านี้หน่อยนะครับ
ขออย่างเดียวนะครับ อย่ามีคำสั่งมาตีหนึ่งหรือตีสองของคืนนี้อีก ขอผมนอนบ้างนะครับ
คุณชายสุขุมพันธุ์กล่าวถึงคำสั่งซ่อมแซมแนวคันกั้นน้ำของ ศปภ
5 ไม่เล่นการเมือง
ทั้งหมดที่ว่ามาคือคุณสมบัติของคุณชายนะครับ แหม่
ปล.ภาพประกอบจากเพจวิวาทะนะครัฟ แหม่


Thianchai Puangsomjit ·  · 35 years old
ขอเพิ่ม สนามหลวงปิดไป 1 ปี ก่อนปิดเสอนโครงการสวยหรู งบ 300 กว่าล้าน พอเปิดออกมา สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมีแค่รั่วรอบสนามหลวง กับการเปลี่ยนบล็อกปุพื้นบางส่วน แถม ป้ายจอดแท็กซี่ปัญญาอ่อน งบลงไปเท่าไหร่ บอกว่าจะมี GPS แจ้งว่ารถแท็กซี่อยู่ที่ไหนทุกป้าย ปัจจุบัน มีป้ายไหนมีบ้าง เงียบเป็นเป่าสาก พรรคนี้แม่ม ไม่โกงเลย นิดเดียวไม่โกงนะ.
  • YamiHime Sema Marin ·  Top Commenter
    ปิดสนามหลวงคราวนั้นจำได้ว่าเดือดร้อนมาก เดินก็ลำบาก รถก็จะเฉี่ยวเอา ยืนรอรถเมล์นานแสนนาน หาที่นั่งพักก็ไม่ได้ ปิดหมด

    ใช่ เปิดออกมา ไม่มีเห้** อะไรเลย = =

    ไอ้เราก็คิดว่าจะมีต้นไม้สวยๆ มีที่วิ่งเล่น เป็นสวนสาธารณะงามๆ แบบ แต่นี่แบบ..เห็นแล้วแบบว่า ปิดทำเพื่อ????


แดง แดง แดง · Asd
เราจะให้ สุขุมพันธู์ ทำลาย กทม ต่อไปเหรอ.
(1)อุโมงค์ยักษ์ ใช้งานไม่ได้ ทำให้ กทม น้ำท่วมหนัก แทนที่จะช่วยแบ่งเบา ในภาวะน้ำท่วม.
(2)กล้องวงจรปิด เจอจับได้ว่าเป็น กล้องดัมมี่ ทำให้คน กทม ไม่ไว้วางใจตัว สุขุมพันธ์ เพราะ ทำให้ชีวิต คน กทม ไม่ปลอดภัย.
(3)สนามซุตซอลโลก ทำเสร็จ แบบ ลวกๆๆ ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย(ให้ขึ้นไปดูข้อ 2 ด้วย) และยังแถไปอีก ว่า ทำเพื่อคน กทม ได้ใช้ แต่คงไม่คิดว่า คน กทม ก็อยากดู ฟุตซอลโลก ที่ สนามแห่งนี่(ตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จ).
(4) สนามกีฬา บางบอน ทำไม่เสร็จ ตามกำหนด แล้วอย่างนี้ ใครจะเชื่อได้ แถม ยังจัดจ้าง ให้ บ.เก็บขยะ มาเป็นคนทำสนาม บริหารงานแบบนี้ คงคิดว่า คน กทม เป็น ขยะ เหรอ.


..................................................................................................



“ไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกปิดกั้นเสรีภาพ” กับคำถาม ๓๗ ปีก่อนของพี่ขุม
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

คำถามชวนคิดของอ.สุธิดาทำให้ผมนึกถึงคำถามทำนองเดียวกันที่เคยได้ยินจากพี่ขุม หรือ สุขุม เลาหพูนรังษี นักแต่งบทละครและนักกลอนฝีมือดีของคณะละครตะวันเพลิง ชุมนุมนาฏศิลป์และการละคร องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ ๓๗ ปีก่อน

สมัยนั้นเราทำกิจกรรมอยู่ด้วยกันที่ธรรมศาสตร์ก่อน ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ในค่ำคืนหนึ่งระหว่างนั่ง ๆ นอน ๆ รอออกไปติดโปสเตอร์กลางดึก ผมก็แว่วเสียงสนทนาระหว่างพี่ขุมกับเพื่อนนักกิจกรรมอีกสักคนสองคนในทำนองว่า:

"ถ้าเกิดเราไปเจอชาวบ้านชนบทที่แห่งหนึ่ง พวกเขาต่างก็มีความสุขกับชีวิตของเขาดี ไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกกดขี่ขูดรีดหรือเอารัดเอาเปรียบทางชนชั้นแต่อย่างใด ควรหรือไม่ที่เราจะเอาความเข้าใจของเราเรื่องการกดขี่ขูดรีดทางโครงสร้างสังคมเศรษฐกิจไปบอกอธิบายให้เขาฟัง ในเมื่อพวกเขาก็มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ดีอยู่แล้ว?"

ในฐานะที่ขบวนการนักศึกษาสมัยนั้นสมาทานแนวคิดทฤษฎีสังคมนิยมแบบมาร์กซิสต์ คำถามของพี่ขุมเล่นเอาพวกเราอึ้งไปเลยทีเดียว ผมเองก็อึ้งกิมกี่เหมือนกัน และแม้จะไม่ได้ร่วมอยู่ในวงสนทนาโดยตรง แต่ก็เก็บเอาคำถามของพี่ขุมไปครุ่นคิดอยู่เป็นนานสองนาน.....

ผมคิดว่าในแง่ความหมายนัยที่เป็นฐานคิดบางอย่าง คำถามของพี่ขุมกับคำถามของอ.สุธิดามีพื้นฐานใกล้เคียงกัน กล่าวคือ หากการตีความและเข้าใจทางอัตวิสัยของเจ้าตัว (ชาวบ้านชนบท/คนเขียนคนอ่าน) เป็นแบบหนึ่ง และต่างจากการตีความและเข้าใจของคนอื่นที่มองหรือพิจารณาเข้าไปจากภายนอกวง เราควรมีท่าทีอย่างไร? เคารพยอมรับการตีความและเข้าใจของเจ้าตัวโดยดุษณี หรือเข้าไปถกเถียงแลกเปลี่ยนด้วยเพื่อเปลี่ยนการตีความและเข้าใจของพวกเขา (รวมทั้งอาจส่งผลกระทบด้านกลับมาเปลี่ยนการตีความและเข้าใจของตัวเราเอง) เป็นต้น โดยเฉพาะในกรณีที่เจ้าตัวก็ดูมีความสุข happy go lucky ดี ไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกจำกัดกดดันเสรีภาพหรือขูดรีดกดขี่อันใด ทำไมเราสมควรต้องเอาความทุกข์ไปประเคนให้พวกเขาด้วยเล่า?

ส่วนตัวผมได้ตอบตัวเองหลายปีให้หลังว่า มันไม่มีอะไรเสียหายที่จะเข้าไปถกเถียงแลกเปลี่ยนด้วยกับคนเหล่านั้น เพราะหากแม้นเมื่อพวกเขารับรู้และเข้าใจประเด็นการตีความและมุมมองที่ต่างไปของเรา (ที่เห็นว่าเขาถูกกดขี่ขูดรีด หรือไม่มีเสรีภาพเต็มที่ ฯลฯ) แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจำต้องรับเชื่อตาม เขาอาจปฏิเสธเห็นว่ามันมองผิด/งี่เง่า หรือในทางกลับกันเขาอาจเห็นด้วยและเห็นจริงว่ามันเป็นมุมมองการตีความและเข้าใจที่รอบด้านลึกซึ้งถูกต้องแม่นยำกว่าความคิดความเข้าใจแต่เดิมของพวกเขาเองก็เป็นได้ ไม่ว่าในกรณีใด พวกเขาย่อมเป็นผู้เลือกเองว่าจะมองอย่างไรเชื่ออะไรในระหว่างมุมมองการตีความและความเข้าใจที่แตกต่างกันนั้น การเสนอมุมมองที่แตกต่างของเราต่อพวกเขา เป็นการเปิดโอกาสความเป็นไปได้ให้พวกเขารับฟัง เลือกมอง เลือกคิดและเลือกเชื่อ แต่การตัดสินใจสุดท้ายว่าจะเลือกมองเลือกเชื่ออย่างไรเป็นสิทธิ์ของพวกเขาเองอยู่ดี ใช่ว่าเราจะไปกำกับบงการเขาตามใจชอบได้ ตรงกันข้ามหากเราหุบปากเงียบ ไม่เสนอมุมมองที่แตกต่างต่อพวกเขาเลย ก็เหมือนตัดโอกาสที่พวกเขาจะได้ลองมองในมุมที่ต่างออกไปจากเดิมเสียแต่ต้น

ในทางวิชาการสังคมศาสตร์ ความหมายและความเข้าใจทางอัตวิสัยของเจ้าตัว (ชาวบ้านชนบท, คนอ่านและคนเขียน) สำคัญ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดของความหมายเท่าที่มีในสังคม เพราะนอกเหนือจาก subjective meanings/subjectivity หรืออัตวิสัยแล้ว ยังมีเงื่อนปมที่พ้นเกินไปจากอัตวิสัยของผู้กระทำการ/ผู้ให้ความหมายที่จะเข้าถึงอยู่เสมอ (ไม่มีอัตวิสัยของใครจะคุมสิ่งเหล่านี้ในสังคมได้หมด) ที่สำคัญคือ unacknowledged motives, unknown conditions, unintended consequences หรือ แรงจูงใจที่เจ้าตัวไม่ยอมตระหนักรับ, เงื่อนไขที่เจ้าตัวไม่รู้, และผลลัพธ์ที่เจ้าตัวไม่ได้เจตนาให้เกิดขึ้น คนเราไม่ใช่พระเจ้าก็เพราะเราอยู่ใต้เงื่อนปมสภาวะอันตัวเราคุมไม่ได้เหล่านี้ และตราบเท่าที่สิ่งเหล่านี้มีอยู่ดำรงอยู่จริง ก็จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ให้แก่ความเป็นไปได้ของความหมายและความคลี่คลายขยายตัวของสภาพการณ์ที่อยู่นอกเหนืออัตวิสัยของเจ้าตัว ไม่จำกัดจำขังตัวเองไว้แต่ในความหมายของเจ้าตัว (ชาวบ้านชนบท, คนเขียนและคนอ่าน) เท่านั้น


...............................................................................................


อีกมุมมองของวันมาฆบูชา

โดยส่วนตัว ผมเองไม่ได้ใส่ใจเรื่องปาฎิหารย์ในพุทธศาสนาเลย ^^





เขาว่า วันมาฆบูชา เหตุอัศจรรย์เกิดขึ้น 4 อย่าง ที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต
ซึ่งพอลองพิจารณาก็ไม่เห็นว่า มันอัศจรรย์อย่างไร

1. วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
>> ก็คือวันพระจันทร์เต็มดวงธรรมดา คนสมัยก่อนดูดาวเป็น มีปฏิทินใช้

2.มีพระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
>> ในจำนวนนี้เป็นคณะของชฎิลสามพี่น้อง 1,000 รูป ซึ่งก่อนหน้านี้นับถือลัทธิบูชาไฟ พำนักอยู่ที่อุทยานเวฬุวัน ที่พระเจ้าพิมพิสารมอบให้เป็นสังฆารามอยู่แล้ว จนกระทั่งพระพุทธเจ้ามาโปรด ทำให้ชฎิลสามพี่น้องเลื่อมใส สาวกทั้งหมดจึงบวชตาม และก็ไม่ได้ไปไหน
ส่วนอีก 250 รูป เป็นคณะของพระสารีบุตร ซึ่งก็เดินทางติดตามพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว

พระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แต่
พระพุทธเจ้าอยู่เวฬุวัน ชฎิลสามพี่น้องอยู่เวฬุวัน พระสารีบุตรเวฬุวัน สาวก 1,250 รูป อยู่เวฬุวัน

มารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมายอย่าง "มหัศจรรย์มาก" เลยครับ แหม่

3. พระสงฆ์ทั้งหมดได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า หรือ "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"
>> สมัยพุทธกาลนี่ส่วนใหญ่บวชด้วย วิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ส่วนวิธี ติสรณคมนูปสัมปทา ที่ภิกษุอื่นบวชใช้เฉพาะเมื่อผู้ต้องการบวชเดินทางมาไม่สะดวก หรืออยู่ไกลจากพระพุทธเจ้ามากๆ เท่านั้น
ซึ่งถ้าคนที่แม้แต่มาบวชยังเดินทางมาไม่ได้ ย่อมเดินทางมาชุมนุมฟังโอวาทไม่ได้

การที่มีเฉพาะภิกษุที่บวชด้วยวิธี "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" มา ก็ถูกแล้ว

4. พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6
>> คือในสมัยพุทธกาลนี่คนอัจฉริยะมากครับ ฟังคำพูด 2-3 ประโยค บรรลุอรหันต์กันหมด พระพุทธเจ้าคงสอนดีมาก คนที่ฟังพระพุทธเจ้าเทศแล้วไม่บรรลุมีน้อยกว่าอีก
ตั้งแต่ตรัสรู้จนถึงวันมาฆบูชา เป็นเวลา 9 เดือน มีพระอรหันต์ทั้งหมด 1,340 รูป ประมาณ 90 รูป เดินทางไปเผยแพร่ศาสนาที่อื่น ที่เหลือคือ 1,250 ที่มาชุมนุมนี่แหละ (ไม่รวมชฎิลและพระสารีบุตร)

และถ้า ภิกษุที่มามีอภิญา 6 จริง มีตา ทิพย์หูทิพย์ รู้ใจผู้อื่นได้ เหาะได้ ดำดินได้ ความมหัศจรรย์เรื่องมาชุมนุมโดย "มิได้นัดหมาย" นี่แม่งไร้สาระไปเลย เพราะทุกคนรู้ทุกอย่างอยู่แล้วนิ

-----------
สาธุชนผู้เลื่อมใส อาจจะบอกว่า แก่นแท้จริงๆ อยู่ที่ "โอวาทปาติโมกข์"
แต่เวลาโฆษณาเชิญชวนก็เห็นชู "ความมหัศจรรย์" ของจาตุรงคสันนิบาตนำทุกทีเลยนะ

ถ้าไม่มหัศจรรย์จะไม่เลื่อมใสเหรอครับ? ไหนบอกนับถือคำสอนไง?

//Virus


.....................................................................................................

http://www.youtube.com/watch?v=aAIZGfN59Fs


คุยแกมดี! พี่ต่อ ฟีโน



..................................................................................................


..............................................................................................................












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น