วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

20/02/2556




จอห์น วิญญู Spokedark.tv มติชนสุดสัปดาห์ 15 - 21 กุมภาพันธ์ 2556 หน้า 77

----------------------------------

คอร์รัปชั่นกับปัญหาของการ ‘คิดไปเอง’

คุณผู้อ่านที่รักครับ ช่วงนี้คนเรากำลังเห่อเรื่องการกำจัดคอร์รัปชั่นกันมากๆ เลยนะครับ ไปไหนมาไหนก็เห็นแต่ “โตไปไม่โกง” เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด มีชมรม สมาคม กลุ่มบุคคล คณะบุคคล ตั้งตัวขึ้นมา “ต่อสู้” กับการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างหลากหลาย แต่ละกลุ่มก็มีความสามารถในการช่วงชิงพื้นที่สื่อต่างกันไป

ใครจะออกสื่อเก่งไม่เก่งก็ตาม --- แต่เราก็รู้อ่ะแหละว่าการต่อต้านคอร์รัปชั่นเป็น agenda ที่เสียงดังมาก

เรื่องน่าสนใจก็คือ อันที่จริงเรามีความเข้าใจธรรมชาติของการคอร์รัปชั่นน้อยมากนะครับ

ที่ผมพูดเช่นนี้ก็เพราะว่า ปัญหาการคอร์รัปชั่นนั้นเมื่อไปถามแอ๊กติวิสต์ทางการต่อต้านคอร์รัปชั่น ว่าคอร์รัปชั่นคืออะไร และใครเกี่ยวข้องกับคอร์รัปชั่นบ้าง และรากเหง้าของการคอร์รัปชั่นมาจากไหน เราจะได้คำตอบที่ค่อนข้างคลุมเครือทีเดียว

ถ้ามาจากฝ่ายอุตสาหกรรมคำตอบก็จะเอียงไปทางการต้องจ่าใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจควบคุมเรื่องในแวดวงอุตสาหกรรม

ถ้ามาจากพวกที่มาจากฝ่ายราชการก็จะพูดถึงการทุจริตของนักการเมือง บ้างก็พูดถึงการฮั้วกันของฝ่ายราชการและฝ่ายการเมือง

ถ้ามาจากฝ่ายธุรกิจ ก็มักจะได้คำตอบในรูปแบบทำนอง “ยุคนี้จะทำงานกับราชการต้องจ่ายเงินทองกี่เปอร์เซ็นต์ๆ” ก็ว่ากันไป

แบบนี้ เป็นต้น

คำตอบทุกอย่างมักถูกแบ่งเป็นส่วนๆ ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกัน

เจ้าของโรงงานต้องยัดเงินกี่บาทให้ลูกได้เข้าโรงเรียนชื่อดัง?

คนเป็นข้าราชการก็มีชีวิตนอกงานราชการ มีชีวิตที่ต้องต่อเติมบ้าน หรือ มีคดีความในศาล

คนเป็นชาวบ้านก็มีพ่อแม่พี่น้องเป็นข้าราชการ

คนเป็นชาวนาก็ต้องลงทะเบียนกับทางราชการว่าตัวเองมีนากี่ไร่ ผลิตข้าวได้กี่ถังเพื่อเข้าร่วมโครงการอุดหนุนต่างๆ

มองไปแบบไม่ต้องลึกมากก็คงเห็นได้ว่าไม่มีอะไรตัดขาดจากอะไร ดังนั้น การชี้ว่าคอร์รัปชั่นมาจากหน่วยงานไหน คนกลุ่มไหนหรือผู้มีอำนาจกลุ่มไหนแบบโดดๆ ก็คงไม่ต่างอะไรกับการยืนยันที่จะกวาดตามองโลกอันกว้างใหญ่เพียงชั่วอึดใจเดียวแล้วก็เอาหัวมุดรูไปตลอดกาล ปฏิเสธที่จะพิจารณาสิ่งอื่นใดอีก

ผมโชคดีสุดๆ เลยครับที่ได้ไปเจองานเขียนของนักวิชาการชาวอิสราเอลท่านหนึ่งชื่อว่า Dan Ariely ซึ่งปัจจุบันสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Duke อาจารย์แกทำวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์โดยเน้นไปทางเศรษฐศาสตร์

สิ่งที่แกเปิดหัวมาในการบรรยาย TED Talk ก็คือคนเราเนี่ย ชอบคิดกันไปเองครับ

และการคิดไปเอง หรือการเชื่อในสัญชาตญาณหรือสิ่งที่ “คิดว่ารู้” นี่แหละ มันนำมาซึ่งความพัง ความย่อยยับ และการสูญเสียอย่างไม่จำเป็นมานักต่อนักแล้ว

งานวิจัยที่แกนำมาเล่าให้ฟังอย่างสนุกแต่ชวนอึ้งนั้นก็คือ ธรรมชาติของการโกงคืออะไรกันแน่?

เราเข้าใจธรรมชาติของการโกงถูกต้องแล้วหรือยัง?

สมมติฐาน ความเชื่อ หรือความรู้สึกของคนที่มีต่อปัญหาการคอร์รัปชั่นโดยมากก็คือ เรามักเชื่อกันว่า ปัญหาการคอร์รัปชั่นหรือการโกงนั้น เกิดจาก “คนไม่ดี” เพียงไม่กี่คน แต่ “คนไม่ดี” เหล่านี้ พากันโกงแบบมโหฬาร

คนพวกนี้มีความโลภสูงกว่ามนุษย์โดยทั่วไป คนส่วนใหญ่ในสังคม (ก็คือ “เรา” นั่นเอง) ไม่ได้เป็นคนโกง

และวิธีการจัดการกับปัญหาการคอร์รัปชั่นก็คือ “จัดการ” กับคนโกง (หรือ “คนไม่ดี”) เหล่านั้นเสียอย่างเด็ดขาด การโกงก็จะหมดไป สังคมเป็นสุข แฮปปี้เอ็นดิ้ง

ตรงไปตรงมาดีจะตาย จริงมั้ยครับ คุณผู้อ่านที่รัก

(ลองให้เวลาตัวเองพิจารณาเรื่องนี้ซักสองสามนาที แล้วตอบตัวเองดูสิว่าวิธีการแบบนี้ถูกใช้มากี่ครั้งแล้วและได้ผลจริงตามสมมติฐานหรือไม่)

อาจารย์แดนได้ทดสอบสมมติฐานด้วยการเรียกนักศึกษามาทดลองครับ

โดยมีการแจกข้อสอบให้กลุ่มตัวอย่างเป็นข้อสอบเลขง่ายๆ 20 ข้อ แต่ให้เวลาทำเพียง 5 นาที

ใครทำถูกกี่ข้อก็จะได้รับรางวัลเป็นเงินไปตามจำนวนข้อที่ทำถูก

ผลปรากฏว่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยชื่อดังโดยเฉลี่ยแล้วจะทำถูกกันราว 3-4 ข้อ แต่เมื่อเปิดโอกาสให้โกง คือ ให้แต่ละคนตรวจข้อสอบของตัวเองว่าถูกหรือผิดอย่างไร ตัวเองได้คะแนนเท่าไหร่แล้วมาเบิกเงินโดยที่ไม่มีการตรวจสอบว่าผลคะแนนนั้นจริงหรือไม่จริง เรียกง่ายๆ ว่าให้คนทำข้อสอบ ทำเอง ตรวจเอง สรุปผลคะแนนเอง เบิกเงินเอง นั่นแหละ

ผลเป็นไงรู้ไหมครับ

ค่าเฉลี่ยของการทำข้อสอบถูกต้อง เพิ่มขึ้นจาก 4 ข้อ เป็น 7 ข้อซะหยั่งงั้น!

เฉลี่ย นะครับ

ไม่ใช่ว่ามี “คนไม่ดี” ไม่กี่คนลุกขึ้นมาโกงว่าตัวเองตอบถูกได้สิบห้าข้อ แต่มีคน “ทั่วๆ ไป” จำนวนมากนี่แหละ ที่พากันโกงแบบกว้างขวาง

แต่ครับแต่---ไม่ว่าจะทดสอบกี่ครั้งและจะเพิ่มเงินรางวัลสูงขึ้นนมากเท่าไหร่ อัตราการโกงก็ยังคงเป็นเท่าเดิม คือ ตอบถูกราวๆ 7 ข้อ

หมายความว่า ไม่ว่าผลตอบแทนจะมากหรือน้อย คนส่วนมากก็เลือกที่จะโกงเท่าเดิม ไม่ใช่ว่ามีโอกาสได้เงินมากขึ้นแล้วจะโกงมากขึ้น!

อาจารย์แกสรุปได้น่าฟังครับว่า ที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะว่าคนเรานั้นมีความต้องการที่ขัดแย้งกันอยู่ ด้านหนึ่งก็อยากจะได้เงิน เพราะใครๆ ก็ชอบเงินกันทั้งนั้น แต่ในขณะเดียวกันคนเราก็ต้องการจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นคนดี ยังมองหน้าตัวเองในกระจกได้อย่างเต็มภาคภูมิ ยังอยากนอนหลับสบายในตอนกลางคืน ดังนั้น เราก็จะโกงอ่ะแหละ แต่โกงแค่นิดๆ หน่อยๆ

เราจะโกงแค่เท่าที่การโกงนั้นจะไม่ทำให้เรารู้สึกรังเกียจตัวเอง ซึ่งพื้นที่ของการอนุญาตให้ตัวเองโกงได้นี้ จะขอเรียมันว่า “พื้นที่หยวนๆ” ก็แล้วกัน

ดังนั้น หากเราจะลดอัตราการโกงในสังคมโดยรวมลงได้ เราน่าจะมุ่งที่จะไปลดพื้นที่ “หยวนๆ”ที่ว่า ให้เหลือเนื้อที่น้อยที่สุดมากกว่าที่จะมุ่งไปกำจัด “คนไม่ดีไม่กี่คน” ที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว อาจจะไม่มีจริงเสียด้วยซ้ำ


อีกหนึ่งการทดลองที่น่าสนใจมากๆ ของอาจารย์แดนที่อาจจะตอบคำถามคาใจอีกอย่างให้ใครหลายๆ คนได้ก็คือ ในการทดลองข้อสอบเลข 20 นี้

กลุ่มคนที่รับค่าตอบแทนเป็นเงินสดจะไม่โกงมากเท่ากลุ่มคนที่รับค่าตอบแทนเป็นคูปองครับ หมายความว่าพวกที่ได้รับค่าตอบแทนเป็นคูปองเพื่อที่จะเอาคูปองนั้นไปแลกเงินสดมาอีกที มีการโกงตัวเลขมากกว่าพวกรับเงินสดถึง 3 เท่า

ซึ่งอาจารย์แกก็สรุปว่า ยิ่งการโกงนั้นห่างไกลจากของตอบแทนที่เป็นเงินสดมากเท่าไหร่

คนเราก็จะรู้สึกสบายใจที่จะโกงมากขึ้นเท่านั้น

แล้วคุณคิดดูว่า ในกรณีของคูปองที่จะไปแลกเงินสดแค่ทอดเดียว การโกงยังเพิ่มขึ้นตั้ง 3 เท่าตัว

แล้วถ้ามันเป็นของจำพวก ของขวัญ ของฝาก ตราสารอนุพัน์ หุ้น โฉนดที่ดิน ไดโฟน สมาชิกคันทรี่คลับ บัตรอาบน้ำ ทัวร์ยุโรป บัตรของขวัญ ความช่วยเหลือ การเคลียร์ หรือสัมปทาน ความรู้สึกผิดมันจะลดลงไปมากมายขนาดไหน

คำว่า “ปล้นชาติ” มีความหมายเบาบางมากในระบบความสัมพันธ์อันซับซ้อนในสังคมเรา

อีกเรื่องที่ผมว่ามันสุดยอดไปเลยจริงๆ ก็คือ การทดสอบเรื่องการโกงเป็นหมู่คณะครับ นั่นก็คือ อาจารย์แกได้ทำการทดลองแบบเดิมกับข้อสอบเลข 20 ข้อ แต่คราวนี้แกได้เตี๊ยมกับนักศึกษาคนหนึ่งให้ลุกขึ้นยืนหลังแจกข้อสอบไปได้แค่หนึ่งนาทีและประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่าทำข้อสอบเสร็จครบทุกข้อแล้ว และทำถูกทั้งหมดอีกต่างหาก

การกระทำเช่นนี้ก็เพื่อจะทดสอบปฏิกิริยาของนักศึกษาที่เหลือครับ

ผลปรากฏออกมาว่าสิ่งที่จะชี้วัดการโกงของคนที่เหลือได้ก็คือ สีเสื้อของคนโกง

แฮ่ หูผึ่งกันหมดล่ะสิท่า แต่มันเป็นความจริงนะครับ แต่สีเสื้อที่ว่านี้ หมายถึงสถาบันหรือหมู่พวกต่างหาก (เอ๊ะ มันดีขึ้นหรือเปล่าเนี่ย?)

หมายความว่า ถ้านักศึกษาที่โกงอย่างชัดแจ้งผู้นั้นเป็นนักศึกษาต่างสถาบันกับนักศึกษาที่เหลือ อัตราการโกงโดยรวมจะลดลง

แต่ถ้านักศึกษาที่โกงอย่างชัดแจ้งผู้นั้นเป็นนักศึกษาสถาบันเดียวกันกับนักศึกษาที่เหลือล่ะก็ อัตราการโกงก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมโหฑารเลยทีเดียว----

กล่าวคือ การเห็นพวกเดียวกันโกงแล้วไม่ถูกลงโทษเป็นการส่งเสริมให้คนพากันโกงต่อ

แต่ถ้าคนโกงนั้นเป็นคนละพวกกับตัวเองล่ะก็ ตัวเองจะอยาก “โชว์เหนือ” เป็นคนดีมีศึลธรรมสูงกว่าขึ้นมาซะหยั่งงั้น

ไม่ว่าคุณจะเห็นว่างานวิจัยนี้เชื่อถือได้หรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยมันก็เป็นการพยายามศึกษาและตั้งคำถามกับ “ความเชื่อ” หรือ “สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้” อย่างจริงจัง

เพลาๆ เรื่องคิดเองเออเองกันลงบ้างก็น่าจะดีนะครับ

ไม่งั้นทุกเรื่องมันจะกลายเป็นมหกรรมปาหี่พายเรืออยู่ในอ่างซ้ำแซะ

วนไปวนมา หาทางออกไม่เจอ ฮิฮิฮาฮา


Ice Nachai "เรามักเชื่อกันว่า ปัญหาการคอร์รัปชั่นหรือการโกงนั้น เกิดจาก “คนไม่ดี” เพียงไม่กี่คน แต่ “คนไม่ดี” เหล่านี้ พากันโกงแบบมโหฬาร"

เราคิดกันไปเองหรือแค่เชื่อจริงๆหรือ?

จริงที่สังคมเรา มันโกงกันทุกระดับชั้น ใช่มันเน่าทั้งระบบ 
แต่กลุ่มคนที่โกงแบบมโหฬาร ไม่ใช่กลุ่มคนที่มีอำนาจเพียงไม่กี่คนหรือ?
ระหว่างตำรวจจราจรกับผบตร ถ้าจะโกง ใครโกงได้มโหฬารกว่า?
แล้วใครเยอะกว่า ระหว่าง ตำรวจจราจรกับผบตร? 
... คนไม่ดีมันมีเยอะ แต่อำนาจมันช่วยให้โกงมโหฬารไม่ใช่หรอ?
แล้วคนที่มีอำนาจ ตามกฏ80/20 
เค้าอยู่ส่วนไหนละ


Supapong Wanitpongpan ไอซ์แน่ใจหรือครับ ว่าการคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่กรมที่ดินทั้งหมดทั่วประเทศ เมื่อรวมกันในแต่ละปี จะน้อยกว่า ที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคอรับชั่น ในแต่ละปี (ถ้าจะโกง)

แล้วแน่ใจมั๊ยว่า พวกที่มีอำนาจทั้งหมดรวมกัน เทียบกับพวกที่ไม่มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ
ประจำ เจ้าหน้าที่ พนักงานองค์การ รัฐวิสาหกินต่างๆ ทั้งหมดรวมกันทั้งประเทศ ฝ่ายไหนจะคอรัปชั่นเยอะกว่าในแต่ละปี

อย่าลืมว่าพวกมีอำนาจแล้วจะโกงก็ต้องเป็นโครงการใหญ่ๆ แต่ละปีมีมากน้อยแค่ไหน 
แต่พวกเจ้าหน้าที่เล็กๆแต่คอรัปชันมันทำได้เรื่อยๆ และจำนวนคนก็เยอะมาก

อย่าดูแยกส่วนอย่างเดียวสิครับ ดูภาพโดยรวมด้วยครับ 

หมากล้อมสอนให้มองส่วนรวมเป็นหลักครับ!

แล้วการโกงไม่ได้เกี่ยวกับอำนาจ 
แต่มันเกี่ยวกับสันดาน!!

การโกงข้อสอบ การให้คนอื่นทำงานวิจัยให้ 
ก็ไม่ได้จำเป็นหรือเกี่ยวข้องกับการมีอำนาจ (ไม่ใช่เฉพาะกรณีเฉลิม ที่อาจบอกว่ามีอำนาจ แต่นักศึกษาอื่นๆก็ทำกันเยอะ) 

คนที่มีสันดานไม่โกง แม้มีโอกาสก็ไม่โกง
คนที่มีสันดานโกงแต่เก็บไว้ เมื่อมีโอกาส มันก็โกง

.........................................................................................................



ดนตรีกับการออกกำลังกาย


.........................................................................................................

เคยมีคนวิเคราะห์ speech ของ Hitler เวลาพูดที่ Reistag(ไรช์ทาก - รัฐสภาเยอรมัน) หรือที่สาธารณะอื่นๆ ประเด็นใน speech ของ Hitler ที่ดูทรงพลัง ฟังแล้วฮึกเหิม ใช้ในการโน้มน้าวคนให้เข้าสู่ลัทธิ facism อันนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริงๆแล้วมันวนอยู่แค่ ไม่กี่ประเด็นเท่านั้น

- ความยิ่งใหญ่ของ Prussia(ชื่อเก่าของเยอรมัน) ที่ถูกทำลายไป หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาวเยอรมันต้องร่วมมือกับนาซีทำลายศัตรู แล้วฟื้นฟูชาติ
- ที่สภาพบ้านเมืองเยอรมันนีเสื่อมทรามลงเพราะมีคนไม่ดี ไม่มีคุณธรรมมาก ทำให้คนดี(แบบพวกนาซี)ทนไม่ได้ต้องลุกขึ้นมากอบกู้ประเทศ
- คนทรยศขายชาติ คนไม่รักชาติเป็นตัวถ่วงประเทศ ชาติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือทุกสิ่ง
- ฝ่ายซ้ายซึ่งมีหลายพรรค ตั้งแต่คอมมิวนิสต์ พรรคแรงงาน พรรคเสรีนิยม เป็นพวกคดโกงเผาบ้านเผาเมือง (ตอนนั้นมีคดีเผา Reistag ใน Berlin ซึ่งก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงๆแล้วใครเผา แต่ฮิตเลอร์บอกพวกฝ่ายซ้ายนี่แหละเผา กูจับฆ่าจับติดคุกซะ)

แว้กกกกกก อ่านไปอ่านมาแล้ว อิสามสี่ประเด็นเนี่ยยังกะ คำปราศรัยหาเสียงของพรรคการเมืองบางพรรคของไทยตอนนี้เลย

http://www.youtube.com/watch?v=eGhdX1SI3KY


Supapong Wanitpongpan คุณ "Fedexfc Jjronnote" บอกว่า 
เว็บนี้รวบรวม speech สำคัญๆของ ฮิตเลอร์ที่พูดทุกครั้ง ตั้งแต่ปี 1921-1945 ใครมีเวลา ลองเข้าไปอ่านดูครับ แล้วจะเห็นถึงประเด็นที่ผมเขียนถึง http://der-fuehrer.org/redenen.htm


Ice Nachai ผมว่าประโยคคุ้นๆเหมือนกันนะ
"And the same is true of democracy."
""what we need if we are to have a real People's State is a land reform."
"We want to liberate Germany from the fetters of an impossible parliamentary democracy"


Ice Nachai อย่าง"ที่สภาพบ้านเมืองเยอรมันนีเสื่อมทรามลงเพราะมีคนไม่ดี ไม่มีคุณธรรมมาก" แปลมาจากตรงไหน? 
ประโยคที่แปลมาเค้าเอามาจากยูทูปที่ให้หรือป่าว?


Supapong Wanitpongpan 555++
นั่นสินะ ที่จริงก็เริ่มตั้งแต่เสียงส่วนน้อยไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ แล้วว่าเสียงส่วนใหญ่ ไม่ได้แปลว่าประชาธิปไตยแล้วนะ 
และปลดแอกจากระบบทักษิณ 
เริ่มได้ยินที่ไอซ์ว่าคุ้นๆจากอันนั้นนะ

ส่วนเรื่องสภาพบ้านเมืองเยอรมันตอนนั้น 
เอามาจาก link ด้านบนที่เขา link speech ของ ฮิตเลอร์ไว้ครับ

...............................................................................................................



[a day] "ผมไม่ต้องการลงแข่งขันด้วยความรู้สึกที่ว่า ผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้เพราะอุปกรณ์ช่วยเหลือ โดยไม่ได้เกิดจากความสามารถและการทำงานหนักของผม"

Oscar Pistorius
นักวิ่งไร้ขาคนแรกที่ลงสนามเคียงข้างนักวิ่งปกติในกีฬาโอลิมปิก 2012 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แม้จะไม่ได้เหรียญจากการแข่งวิ่ง 400 เมตร แต่การต่อสู้ทั้งในและนอกสนามส่งแรงบันดาลใจมหาศาลให้คนพิการทั่วโลก

(ภาพประกอบ > พัฒนพงศ์ มณเฑียร จากคอลัมน์ main course | a day 149)


............................................................................................................................

http://www.facebook.com/photo.php?v=141735902653952

การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ยอดเยี่ยมมาก

...........................................................................................................................


จากข่าวที่มีคนมา post ว่า foreignpolicy ยกย่องอดีตนายกอภิสิทธิ์เป็นผู้นำที่ดีที่สุดในโลกอันดับ 4 แล้วมีการตรวจสอบข้อมูลจนพบว่า เป็นการกุข่าวขึ้นมาเองหรือไม่ก็แปลผิด เพราะที่มีใน foreignpolicy เป็นการกล่าวถึงอดีตนายกอภิสิทธิ์ในแง่The List: Five Governments That Deserve to Fail

และให้เหตุผลว่า 

Why he's got to go: Politicking when he should be governing. Aiding the poor through the downturn should be a bigger priority than scrapping with rivals.

พร้อมกับ Story ว่า

The story: Thailand has been in a state of political turmoil since 2006, when a military coup ousted then Prime Minister Thaksin Shinawatra. Ever since, Thaksin, a wealthy businessman with strongly populist tendencies, has continued to broadcast potent political messages to his supporters in the country.

For the past month or so, up to 100,000 "red shirt" protesters who support Thaksin have rallied against Abhisit and periodically forced Bangkok to shut down. This month, protesters forced the government to call off a summit of leaders from the ASEAN trade bloc -- a tremendous embarrassment for Abhisit -- and provoked a military response that left two dead.

In all likelihood, Thaksin's Keynesian economic policies would benefit Thailand more than Abhisit's. But regardless of which man seizes power, one thing is certain: Their perpetual infighting has severely harmed the country. An Asian Development Bank economist said political turmoil may cause the economy to contract 5 percent this year, revising his estimate from 2 percent. If neither of the two men can gain control and provide peace, at least they should find a way to protect the Thai economy instead of driving away foreign investment, tourism, and assistance.

ก็ได้ไปเจอบทความในรูปนี้
เลยเก็บมาเป็นข้อมูลเพิ่มเติม


..........................................................................................................














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น