วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

08/02/2556



มาตรา 112: "แม้จริง ก็ยังหมิ่น...ยิ่งจริงยิ่งหมิ่น...เข้าใจเปล่า?"

ประวิตร โรจนพฤกษ์ บันทึกบทสนทนาระหว่างผู้พิพากษา อภิสิทธิ์ วิระมิตรชัย หนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของนายเอกชัย (สงวนนามสกุล) กับทนายฝ่ายจำเลย ทนายอานนท์ นำภา เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2555 (วันที่ 3 ของการพิจารณาคดี) ในคดีขายซีดี Wikileaks ซึ่งสะท้อนปัญหาอีกอย่างของ ม.112 เรื่องการพิสูจน์ความจริง บางส่วนจากบทสนทนาดังกล่าวดังนี้:

"ผู้พิพากษาอภิสิทธิ์: ถ้า [ม.112] ขัดรัฐธรรมนูญ ก็จบ ใช้ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ คุณจะสู้คดีอย่างไร? ยิ่งจริงยิ่งหมิ่น ฟังก่อน และถ้าไม่จริงก็โคตรหมิ่นเลย เพราะฉะนั้นการพิสูจน์ว่าจริงไม่จริง ไม่เป็นประโยชน์ต่อคุณเลย… ให้คุณพิจารณาเอาเอง มันไม่ได้เป็นผลดีต่อตัวคุณเลย…

ทนายอานนท์: ถ้า [ข้อมูลในวิดีโอและ WikiLeaks] เป็นความจริง เราก็สู้โดยสุจริต ปัญหาคือจะเรียนเชิญทั้งสอง [พลเอกเปรม กับ องคมนตรีสิทธิ] และขอหมายเรียก [จากศาล] มา 3 ครั้งแล้ว

ผู้พิพากษา: พยานไม่เป็นประโยชน์ต่อคดี

ทนายอานนท์: ผมเชื่อว่าท่านองคมนตรีจะพูดความจริง

ผู้พิพากษา: ถ้าคุณจะอ้างว่าผมจะพูดถึงใครก็ได้ อันนั้นก็อ้างรัฐธรรมนูญมา …แต่เรื่องข้อความทางกฎหมาย ยิ่งจริงยิ่งหมิ่น…เข้าใจเปล่า?... ถ้าไม่มีผลในคดีเท่าที่ควร ทำไปมันก็ไม่ได้อะไร มันได้แต่ความสะใจ

ทนายอานนท์: ท่านองคมนตรีเป็นหลักสังคม ท่านจะพูดความจริง

ผู้พิพากษา: ฝ่ายโจทก์ไม่ได้โต้เรื่อง WikiLeaks ไม่ได้โต้เนื้อหาว่าจริงไม่จริง เขาบอกข้อความเป็นการหมิ่น ศาลก็ไม่ได้คัดค้านอะไรคุณ แต่คุณลองคิดให้ดีก่อน [ถ้า] มาดูเอ๊ะ จะสู้แนวไหนกันแน่ มันจะเป็นผลดีกับตัวคุณเอง…"

ซึ่งสามารถเห็นได้ว่าผู้พิพากษาพูดชัดถึง 2 ครั้งว่า "ยิ่งจริงยิ่งหมิ่น" และ มีข้อความที่อาจสะท้อนความขัดแย้งกันเองระหว่าง รัฐธรรมนูญ และ ม.112

อนึ่ง "นายเอกชัยถูกจับเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2554 ข้อหาขายก้อปปี้ CD สารคดีเรื่องอนาคตสถาบันกษัตริย์ไทยกับ ม.112 ของโทรทัศน์ออสเตรเลีย the Australian Broadcasting Corporation (ABC) พร้อมเอกสาร WikiLeaks สองชุดที่มีการอ้างคำพูดของ ประธานองคมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ องค์มนตรี พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา อดีต นายกรัฐมนตรี นายอานันท์ ปันยารชุน และ นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในตอนนั้น – เอกชัยถูกจับแถวสนามหลวงหลังตำรวจนอกเครื่องแบบล่อซื้อ CD ในราคา 20 บาทแถวสนามหลวง เอกชัยถูกขังคุก 9 วันก่อนได้รับการประกันตัว และปัจจุบันอยู่ระหว่างการต่อสู้คดี"


ประวิตร โรจนพฤกษ์ (ผู้บันทึก)
วันที่ 19 กรกฎาคม 2555
ที่มา: http://prachatai.com/journal/2012/07/41656




Phongsakorn Thavornan งง


Nice-cy Weiqi อูยยยยยย




ความทรงจำ ของอังเปา มีคำอธิบายมั่ยครับพี่ หลายคนอาจไม่เข้าใจเรื่องกฏหมายหมิ่นประมาท และผมจะได้เสริมความรู้ที่มีด้วยครับว่าที่รู้มาถูกหรือผิดอย่างำรรบกวนด้วยครับ ถ้ามีคำอธิบายพร้อมตัวอย่างละ่แจ่มเลยครังบ^_^

Nice-cy Weiqi รุนแรงจริงๆ

Supapong Wanitpongpan ความทรงจำ ของอังเปา

ขอเป็นพรุ่งนี้นะ เดี๋ยวเอาข้อมูลมาคุยให้ฟัง ^^




Chakkapong Chamroon เกี่ยวกับมาตรา 8 รึเปล่าครับ?

ความทรงจำ ของอังเปา ได้ครับ^_^

Supapong Wanitpongpan ก่อนอื่น ก็ต้องมาดูก่อนว่า มาตรา 112 เขียนไว้ว่ายังไง

มาตรา 112 ที่เป็นปัญหาอยู่ในตอนนี้ เป็นกฎหมายอาญา 
(หลายคนยังเข้าใจว่าเป็นรัฐธรรมนูญ - -")

"มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็
จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี "

สั้นๆแค่นี้ แต่การตีความและบังคับใช้นี่ล่ะ ที่ทำให้เป็นปัญหา 

มาตรา๑๑๒ ได้ถูกนำไปบัญญัติไว้ใน ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร 
การจัดหมวดหมู่อย่างนี้ ทำให้ความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 เป็นคดีอาญาแผ่นดินที่ใครก็ตามสามารถนำเรื่องที่มีการกล่าวหรือโฆษณาด้วยประการใดก็ตามไปแจ้งความ ร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้กระทำ แม้ข้อกล่าวหานั้นจะมีมูลหรือไม่ก็ตาม

ทั้งๆที่ในคำอธิบายของอาจารย์ผู้สอนกฎหมาย วิชากฎหมายอาญาภายหลังการจัดทำประมวลกฎหมายอาญา ตั้งแต่ปี ๒๔๙๙ อธิบายว่า ความผิดฐานตามมาตรา ๑๑๒ นั้นมีองค์ประกอบความผิดเช่นเดียวกับความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายบุคคลธรรมดาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๒๖ ซึ่ง หมายถึง การใส่ความบุคคลตามมาตรา ๑๑๒ ต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้บุคคลตามมาตรา ๑๑๒ เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง

"มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะ ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำ
ความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ"

ตรงนี้ล่ะ ที่มีการเข้าใจผิดสำหรับคนหมู่มากที่ไม่ได้เรียนกฎหมาย หรือนักกฎหมายที่พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง 

ก็คือคำว่า "ใส่ความ" 
ความทรงจำ ของอังเปา เข้าใจคำว่าใส่ความในที่นี้ว่ายังไงครับ?

Chakkapong Chamroon มาตรา 8 ยังไงครับ?




Chakkapong Chamroon มาตรา 8 "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้"

Chakkapong Chamroon ผมว่าจะไปลงเรียนกฎหมายดูซักทีครับ ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายก็ไม่ได้ด้วยซิ

Supapong Wanitpongpan Chakkapong Chamroon 

อันนั้นเป็นมาตรา 8 ในรัฐธรรมนูญครับ ซึ่งก็ถูกอ้างถึงเช่นกันครับ 
แล้วก็เลยกลายเป็นปัญหาที่นักวิชาการที่เป็นนักวิชาการจริงๆ เช่น รศ.ดร.วรเจตน์ เสนอให้แก้ไขมาตรา 112 นี่ล่ะ
(เท่าที่ผมติดตามบทความของ รศ.ดร.วรเจตน์ตั้งแต่ปี 51 ผมยังไม่เห็นเรื่องไหนที่ความคิดของอาจารย์วรเจตน์เบี่ยงเบนออกจากหลักวิชาการเลยครับ แต่เมื่อไม่ถูกใจคนบางกลุ่ม ก็เลยถูกโจมตีว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามซะอย่างนั้น)




Chakkapong Chamroon ใช่ครับ ผมเห็นด้วยกับนิติราษฏร์ แต่พอคุยเรื่องนี้กับคนอื่นเค้ากลับไม่เห็นด้วยและบอกว่าผมเป็นพวกเสื้อแดง แต่พอผมถามว่าอ่านที่นิติราษฏร์เค้าเสนอรึยังว่ามีรายละเอียดอะไรบ้าง พวกนี้ร้อยทั้งร้อยไม่เคยมีใครอ่านครับ แค่ฟังตามๆกันมาแล้วกล่าวหากันว่าล้มสถาบัน

Supapong Wanitpongpan 555++

เหมือนตอนเรื่องละคร "เหนือเมฆ2" เลยครับ
ไม่มีใครที่โจมตีรัฐบาล จะอ่านเนื้อหาในส่วนที่ยังไม่ออกอากาศสักคนเดียว 

เรื่องมันเศร้า!




Supapong Wanitpongpan นี่ผมรอเพื่อนรุ่นน้องผมเข้ามาตอบคำถาม ( ความทรงจำ ของอังเปา) จะได้คุยต่อ 

เวลาคุยผมชอบเป็น 2 way มากกว่า 1 way ^^

ความทรงจำ ของอังเปา มาแล้วครับ ^^ พอดีไม่ได้อยู่หน้าจอครับผม ในคำถามที่ว่า"ใส่ความ" ในความเข้าใจส่วนตัวผมเองที่ไม่ได้เรียนเรื่องกฎหมาย แต่ บอกตามความเข้าใจ ถ้าเป้นในส่วนบุคคลธรรมดาผมคิดว่า เป้นไปในทางกล่าวถึง บุคคลอื่นในด้านของความที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด และเป็นไปในทางเสื่อมเสียครับ

Supapong Wanitpongpan ความทรงจำ ของอังเปา 

ใช่ครับ พี่เองในตอนแรกก็เข้าใจอย่างนั้นเหมือนกัน 
แต่ปรากฏว่า ในเชิงกฎหมายเป็นอย่างนี้ครับ 

///////////////////////////////////////////////////////////////

องค์ประกอบความผิดในส่วน “การกระทำ” 
การกระทำที่เป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญานี้ คือ
(1) หมิ่นประมาท (Defamation) หมิ่นประมาท ตามมาตรา 112 มีความหมายเดียวกับ หมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปตามมาตรา 326 กล่าวคือ เป็นการใส่ความบุคคลตามมาตรา 112 ต่อบุคคลที่สาม (คือ ยืนยันข้อเท็จจริง โดยไม่ว่าจะเท็จ หรือจะจริง ก็เป็นการใส่ความทั้งนั้น) โดยประการที่น่าจะทำให้บุคคลตามมาตรา 112 เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง แม้คำพูดดังกล่าวจะจริงหรือเท็จก็ตาม ถ้าพระมหากษัตริย์เสียหาย ก็ถือว่าหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์แล้วตามมาตรานี้ได้

โดยทั่วไป การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา ผู้กระทำอาจยกเหตุตามมาตรา 329 มาอ้างว่า
ตนกระทำได้ เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสีย เกี่ยวกับตนตามทำนองคลองธรรม หรือในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ หรือติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำหรือในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมหรือการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม นอกจากนี้ ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทอาจอ้างเหตุยกเว้นโทษได้ตามมาตรา 330 หากพิสูจน์ได้ว่าที่หมิ่นประมาทไปนั้นเป็นความจริง แต่ห้ามพิสูจน์ในกรณีที่ข้อที่เป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความ ในเรื่อส่วนตัวและการพิสูจน์ไปก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
อย่างไรก็ตามคำพิพากษาฎีกา ที่ 51/2503 ยืนยันว่าเหตุให้หมิ่นประมาทได้ตามมาตรา 329 และเหตุยกเว้นโทษ ตามมาตรา 330 ไม่นำมาใช้บังคับกรณีพระมหากษัตริย์ เพราะพระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะมีสถานะแตกต่างจากบุคคลทั่วไป ซึ่งมาตรา 112 มุ่งคุ้มครองเป็นพิเศษ ดังนั้น หากใครหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และจะอ้างต่อศาลว่าตนติชมด้วยความเป็นธรรม ศาลก็ไม่รับฟัง ซึ่งในประเด็นดังกล่าว ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย และ ศาสตราจารย์ ประภาศน์ อวยชัย ได้อธิบายว่า ความผิดตามมาตรา 112 นั้น เป็นความผิดที่เคยบัญญัติไว้โดยคำนึงถึงนสถานะทางบุคคลที่ถูกกระทำโดยเฉพาะ ฉะนั้น บทบัญญัติมาตรา 329 และมาตรา 330 – มาตรา 331 ย่อมนำมาใช้กับความผิดตามมาตรา 112 นี้ไม่ได้




Supapong Wanitpongpan....................................................................................................

มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือ
ถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประม
าท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน
สองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 329 ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต
(1) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม
(2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่
(3) ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ
(4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่อง การดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม
ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
มาตรา 330 ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้น
เป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
..................................................................................................
//////////////////////////////////////////////////////////////////
ที่มา เอกสารสำนักงานกฎหมาย กระทรวงมหาดไทย




Supapong Wanitpongpan หรืออันนี้ครับ 


ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 326 ระบุถึงการกระทำความผิด 
ฐานหมิ่นประมาทไว้ว่า “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการ 
ที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียงถูก ดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง 

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี 
หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” 
การหมิ่นประมาท ที่จะเป็นความผิดที่มีโทษ ทางอาญานั้น จะต้องมีการกระทำ 
ที่สำคัญ คือ “ใส่ความ” 

ความหมายที่ได้บัญญัติไว้ โดยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 
พ.ศ. 2493 ให้ความหมายไว้ว่า พูดหาเหตุ หรือ กล่าวหาเรื่องร้ายให้ผู้อื่นได้รับ 
ความเสียหาย 

ตามความหมายที่ชาวบ้านธรรมดาเข้าใจกัน ก็คือการใส่ความแก่กัน 
ว่าใส่ร้ายหรือแสดงข้อความที่ไม่เป็นความจริง 

แต่ข้อเท็จจริงตามกฏหมายข้อความที่กล่าวแก่บุคคลอื่นนั้นแม้ที่กล่าว 
ออกไปนั้นเป็นความจริงก็ผิดกฎหมายมีโทษได้ 

การ “ใส่ความ” ในกฎหมายนั้นมิได้จำกัดแต่ว่าเอาเรื่องไม่จริง 
ไปแต่งความใส่ร้ายเขาแต่มุ่งการเอาข้อความไปว่ากล่าวเขา ต้องเป็นการยืนยัน 
ข้อเท็จจริงว่า เป็นข้อความแน่นอนเป็นเหตุให้ผู้อื่น เสียชื่อเสียงด้วยประการ 
ต่าง ๆ เช่น 

ดำบอกแดงว่า มีข่าวลือว่าขาว เป็นชู้กับเมียนายเขียว แม้ดำจะเชื่อว่า 
ไม่จริง หรือเป็นความจริงก็ตาม ดำก็ผิดฐานหมิ่นประมาทแล้ว




Supapong Wanitpongpan ดังนั้น อย่างในภาพที่แชร์มา ผู้พิพากษาท่านก็เลยบอกว่า 

การพิสูจน์ว่าเหตุการณ์ CD ซึ่งมาจาก WikiLeaks จริงหรือไม่จริง ไม่มีประโยชน์เลย 
จริงก็หมิ่น ไม่จริงก็โคตรหมิ่น...!

ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ถ้าเป็นเรื่องที่พูดเป็นความจริง ก็ไม่โดนลงโทษ

แต่ถ้า 112 โดนหมด!

กลายเป็นว่า คุณห้ามพูด ห้ามวิจารณ์เชิงลบครับ
อวยได้อย่างเดียว !!!!!
อย่างน้อยก็ 4 ตำแหน่งคือ พระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท (มกุฎราชกุมาร แต่มีหลายคนเข้าใจผิดว่า พระเทพฯ ก็เป็นรัชทายาทด้วย ซึ่งไม่ใช่นะครับ!) และผู้สำเร็จราชการ

พอเห็นภาพหรือยังล่ะ?




ความทรงจำ ของอังเปา ชัดเจนครับในส่วนของข้อแตกต่างระหว่างบุคคลธรรมดาและ112 แบบนี้ผมเชื่อว่าคนอ่านในส่วนคำอธิบายที่พี่ให้ไว้นี่จะเข้าใจได้มากเลยครับ

ความทรงจำ ของอังเปา ขอบคุณที่สละ้วลาอธิบายต่อด้วยครับซึ่งที่ผมได้ทราบมาก็ใกล้เคียงในส่วนข้อมูลนี้ครับถืือว่าผมได้ข้อมูลและคำแนะนำมาถูกทางแต่ในส่วน112นี่เพิ่งทราบเลยครับ

Supapong Wanitpongpan ด้วยความยินดีครับ

ก็หวังว่าจะมีคนที่ยังไม่เข้าใจจะได้อ่านบ้าง ^^


........................................................................................



ประเด็นที่ 3 ในกระบี่เย้ยยุทธจักร

เด็กสาวที่ก่อกวนอื้อชังไฮ้มีชื่อว่า เค็กฮุยอิง ได้พางี้นิ้มไปยังที่พักรักษาเหล็งฮู้ชง ซึ่งเป็นห้องลับอยู่ในซ่องคณิกา มีคนของแชเซี้ยและเห็งซัวสะกดรอยตามมา ทำให้เหล่าเจ้าสำนักติดตามมาที่ซ่องคณิกา เหล็งฮู้ชงจึงซ่อนงี้นิ้มกับเค็กฮุยอิงไว้ อื้อชังไฮ้ต้องการทำให้เห็งซัวและฮั้วซัวเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงจะทำการรื้อค้น และปะทะคารมกับเหล็งฮู้ชง และด้วยความโกรธในคำพูดของเหล็งฮู้ชง อื้อชังไฮ้จึงกราดฝ่ามือทำร้าย เหล็งฮู้ชงแม้จะหลบได้แต่ก็โดนริมฝ่ามือกระแทกล้มลงและกระอักเลือด ลิ้มเพ้งจือ ปลอมตัวเป็นคนหลังค่อมซึ่งอื้อชังไฮ้เข้าใจว่าเป็นญาติกับเฒ่าค่อมนอกกำแพงใหญ่ ก็ตะโกนด่าอื้อชังไฮ้ว่า "ผู้ใหญ่รังแกผู้เยาว์ หน้าด้านไร้ยางอาย" ดึงความสนใจของอื้อชังไฮ้ไปลงมือกับลิ้มเพ้งจือแทน เฒ่าค่อมตัวจริงเ้ข้ามาช่วยหวังได้คัมภีร์กระบี่พิชิิตมารจากลิ้มเพ้งจือ โดยบังคับให้ลิ้มเพ้งจือคำนับเป็นอาจารย์ งักปุกคุ้ง เจ้าสำนักฮั้วซัว อาจารย์ของเหล็งฮู้ชง มาช่วยลิ้มเพ้งจือไว้ ลิ้มเพ้งจือเลื่อมใสงักปุกคุ้ง จึงขอเข้าสำนักฮั้วซัว คำนับงักปุกคุ้งเป็นอาจารย์

หลังเหตุการณ์สงบทุกคนล่าถอยไป เหล็งฮู้ชง งี้นิ้ม และเค็กฮุยอิงหลบซ่อนอยู่ในซ่องคณิกา พอใกล้รุ่ง มีศิษย์สำนักแชเซี้ยกลับมาค้นหา งี้นิ้มจึงอุ้มเหล็งฮู้ชงที่หมดสติจากอาการบาดเจ็บหนีออกไป
ในป่า เมื่อก้มมองเห็นฮู้ชงลืมตาขึ้นมาก็ประหม่า ปล่อยเหล็งฮู้ชงร่วงลงพื้น

งี้นิ้มเห็นริมฝีปากเหล็งฮู้ชงไหม้ ขอบตาแห้งผาก ทราบว่าเสียเลือดไปไม่น้อย สมควรดื่มน้ำให้มากไว้ จึงกล่าว
"ข้าพเจ้าจะไปหาน้ำให้ท่านดื่ม ท่านคงคอแห้งใช่หรือไม่?"
เหล็งฮู้ชงกล่าวว่า
"เมื่อขามาเราเห็นทุ่งนาซ้ายมือมีแตงโมหลายใบ ท่านไปปลิดมาสักหลายใบ"
งี้นิ้มรับคำผุดลุกขึ้น พอล้วงมือดู กลับไม่มีเงินแม้สักหุนเดียว จึงกล่าว
"เหล็งฮู้ตั่วกอ ท่านมีเงินหรือไม่?"
"ทำอะไร?"
"ไปซื้อแตงโม"
"ซื้ออันใด ปลิดมาสักหลายใบก็แล้วกัน ละแวกนี้ไม่มีบ้านช่องผู้คน คนปลูกแตงโมคงอยู่ห่างไกล จะซื้อจากผู้ใด?"
งี้นิ้มตะกุกตะกักว่า
"หยิบฉวยโดยไม่บอกกล่าว ถือเป็น...ขโมย นี่เป็นศีลข้อที่ 2 ในเบญจศีล ไม่อาจล่วงละเมิด หากว่าไม่มีเงิน ก็ขอบิณฑบาตจากพวกเขาสักใบหนึ่ง"
..........................................................................










ขอเพิ่มให้เข้ากับประเทศไทย

เวลาที่ใครสักคนพูดว่า ต่อต้านการสร้างความเสียหายแก่ชาติบ้านเมือง
ไม่เห็นด้วยกับการปิดสนามบิน ปิดราชประสงค์ ฯลฯ
แต่สนับสนุนเสื้อเหลือง เสื้อแดง



การเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงนั้นต้องไม่งมงายอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่เนื้อแท้ของพุทธศาสนา ก็คือไสยศาสตร์ วัตถุนิยม โชคลาง เพราะเป็นศาสตร์แห่งความโง่ ทำให้เราต้องตกอยู่ในวังวนของกิเลส ตัญหา ไม่สามารถออกจากสิ่งที่เป็นปัญหา ความทุกข์ในชีวิตของเราได้

หลวงพ่อ ปัญญา นันทภิกขุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น