วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

01/03/2556




การตัดสินคนที่ "สี" ทางการเมืองอย่างเดียว
%%%%%%%%%%%%%%%

(อนุสนธิจากคำสนทนาต่อไปนี้ใน FB
-ผมว่าถูกผิดไม่จำเป็นต้องเสื้อไหนเพราะทุกคนมีโอกาสทำผิดได้ แต่บทลงโทษก็ต้องมีครับ ทุกสีทั่วหน้า
-แต่ที่ทำตัวเหี้ยๆ มีแต่ อาจารย์สีเหลือง นะ)

ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์จำนวนหนึ่งในหลายปีที่ผ่านมา: -

-หลังรัฐประหารคปค.ไม่นาน ผมได้มีโอกาสพบกับพี่สุธาชัย อ.อักษรศาสตร์ จุฬาฯ ในงานสัมมนาใหญ่รำลึกคุณมด วนิดา ที่อุบลฯ ผมหาโอกาสคุยกับแกสองต่อสองว่า ในบรรดานักวิชาการที่พี่สุธาชัยไปคลุกคลีเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารด้วย มี อาจารย์พ. ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับแกเลยในหลาย ๆ เรื่อง แต่แกซื่อ ๆ ตรงไปตรงมา วางใจได้ ในทางกลับกัน มีอีกคนคืออาจารย์ว. คนนี้ผมไม่ค่อยมีประเด็นที่เห็นต่างจากเขาทางการเมืองเท่าไร แต่บอกตรง ๆ นะพี่ เท่าที่รู้จักสัมผัสเขามา อย่าหันหลังให้เขาเด็ดขาด อาจโดนมีดแทงเอาได้ เพราะเขาสนใจไต่เต้าทางการเมืองเป็นหลัก

-ในบรรดาอาจารย์ที่ร่วมงานกัน มีท่านหนึ่งซึ่งต้องเดินทางไปสอนรังสิตด้วยกันโดยรถยนต์ของคณะ วันหนึ่งขณะรถแล่นไปถึงสะพานพระปิ่นเกล้าฯ อาจารย์ท่านนี้ก็บ่นให้ฟังว่าท่านลำบากใจเพราะในหมู่คนทั่วไป ก็มองว่าท่าน "เหลือง" ขณะที่ในหมู่คนใกล้ชิดที่ถูกหาว่าเป็น "เหลือง" ด้วยกัน กลับมองว่าท่าน "แดง" ผมฟังแล้วคิดอยู่พักหนึ่ง ก็เรียนท่านไปในทำนองว่า.... "ผมคิดว่าคนเราซับซ้อนเกินกว่าจะมีสีใดสีหนึ่งเพียงสีเดียว ในแง่หนึ่ง เรา็ก็ไม่ชอบคอร์รัปชั่นหรือการใช้อำนาจปราบปรามอย่างรวมศูนย์เด็ดขาดไม่ฟังใครจนเกิดโศกนาฏกรรมฆ่าตัดตอนยาเสพติดหรือกรือเซะและตากใบ จะบอกว่าในแง่นี้เรา "เหลือง" ก็ได้, แต่ในอีกแง่หนึ่ง เราก็ไม่ชอบรัฐประหารหรือการใช้อำนาจเผด็จการรุกรานปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของผู้คนที่เห็นต่าง จะบอกว่าในแง่นี้เรา "แดง" ก็ได้ ในตัวบุคคลคนหนึ่งจึงมีหลายสี เหลืองมั่ง แดงมั่ง เขียวมั่ง สีอื่น ๆ มั่ง เป็นธรรมดา ความคาดหวังใฝ่ฝันสิ่งดีงามทางการเมืองของมนุษย์มีหลากหลาย ปัญหาอยู่ตรงที่เราบีบคั้นบังคับทั้งคนอื่นและตัวเองให้จำกัดและเลือกเอาเฉพาะสีใดสีหนึ่งและห้ามมีสีอื่น เป็นแดงห้ามเหลือง เป็นเหลืองห้ามแดง อันนี้เป็นความรุนแรง และก่อนที่จะไปทำร้ายคนอื่นที่มีสีแตกต่าง เราก็เริ่มโดยการใช้ความรุนแรงต่อตัวเอง โดยกดทับทำร้ายสีอื่นหรือความปรารถนาความดีงามทางการเมืองแบบอื่นที่อยู่ในตัวเราเองลงไปก่อนแล้ว"

-อาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์เคยบ่นว่าอย่างหนึ่งที่แกเสียดายมากในหลายปีหลังนี้ คือการตัดสินกันทางวิชาการและความคิดเห็นโดยไม่พักต้องรับฟังกัน เช่น อ๋อคนนี้นักวิชาการสีแดง แล้วก็ตราหน้าเขาไปทุกด้านโดยไม่ต้องฟังเขาแล้ว, อ๋อคนนี้นักวิชาการสีเหลือง แล้วก็ตราหน้าเขาไปทุกอย่างโดยไม่ต้องรับฟังเขาเช่นกัน สิ่งนี้เป็นพิษภัยที่ทำลายบรรยากาศการแลกเปลี่ยนทางวิชาการที่สุด

-คุณจะทิ้งโลกวิชาการแบบไหนให้ลูกหลานคุณได้อยู่เรียนรู้ความรู้และคุณค่าอันหลากหลายในโลกต่อไปข้างหน้า? ลองคิดดูนะครับ


...............................................................................................................................




» ปัญหาใหญ่ของคนยุคนี้ :: "ดี-ชั่ว รู้หมด ...แต่อดใจไม่ได้ >.<"

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ นักวิจัยชาวออสเตรเลียสองคน คือ ไมเคิล โอเท็น และ เค็น เช็ง ได้ชักชวนอาสาสมัครประมาณ ๒๔ คน อายุระหว่าง ๑๘-๕๐ ปี เข้าโครงการออกกำลังกายเป็นเวลาสองเดือน

กิจกรรมมีทั้งยกน้ำหนักและเต้นแอโรคบิค ส่วนใหญ่ไม่เคยออกกำลังกายแบบนี้มาก่อน เพราะชอบนั่งๆ นอนๆ มากกว่า จึงต้องเคี่ยวเข็นตนเองอย่างมากทุกครั้งที่เข้าโรงยิม

เมื่อสองเดือนผ่านไป ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาชีวิตของทั้ง ๒๔ คนเพื่อดูว่าการออกกำลังกายส่งผลอย่างไรต่อชีวิตของเขาบ้าง สิ่งที่เขาพบก็คือ...

ไม่เพียงทรวดทรงของเขาจะดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอีกหลายอย่าง เช่น...

สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ดื่มกาแฟ และกินอาหารขยะน้อยลง ใช้เวลากับการทำการบ้านมากขึ้น ดูโทรทัศน์น้อยลง รวมทั้งซึมเศร้าน้อยลงด้วย


◌◌◌◌◌◌◌◌


ต่อมา โอเท็นและเช็งได้ทำการทดลองอีกครั้ง คราวนี้ให้คน ๒๙ คนมาเข้าโครงการบริหารเงินเป็นเวลาสี่เดือน โดยให้ทุกคนตั้งเป้าว่าจะเก็บเงินเป็นจำนวนเท่าใด

และขอให้งดสิ่งฟุ่มเฟือย เช่น กินอาหารในภัตตาคารหรือดูหนัง รวมทั้งทำบัญชีการใช้จ่ายอย่างละเอียด

แน่นอนว่าสถานะการเงินของทุกคนดีขึ้น แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ นอกจากพวกเขาจะดื่มเหล้า ดื่มกาแฟ กินอาหารขยะ และสูบบุหรี่น้อยลงแล้ว (บางคนสูบน้อยลงถึง ๑๕ มวน) ยังทำงานหรือมีผลการเรียนดีขึ้น


◌◌◌◌◌◌◌◌


ทั้งสองคนยังไม่พอใจเพียงเท่านั้น การทดลองต่อมาเขาให้นักศึกษา ๔๕ คนเข้าโครงการปรับปรุงการศึกษา ซึ่งเน้นการสร้างนิสัยใหม่เกี่ยวกับการเรียน

ปรากฏว่าผลการเรียนของทุกคนดีขึ้นตามคาด แต่พฤติกรรมด้านอื่นๆ ก็ดีขึ้นด้วย

พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าว แม้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพเป็นส่วนใหญ่ แต่การทดลองสองครั้งหลังไม่ได้เกี่ยวกับการออกกำลังกายเลย

ถ้าเช่นนั้น...อะไรเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง?

โอเท็นและเช็งสรุปว่า...

พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นเป็นผลจาก “พลังใจ” (will power) ที่เพิ่มมากขึ้น


◌◌◌◌◌◌◌◌


การทดลองทั้งสามประเภทนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการฝึกให้อาสาสมัครเคี่ยวกรำตนเอง ต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่ชอบ ต้องอดทนอดกลั้นอยู่อย่างต่อเนื่อง

ผลก็คือมีพลังในการควบคุมตนเองมากขึ้น พลังดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่หยุดอยู่เฉพาะกิจกรรมที่ถูกกำหนดให้ทำ

แต่ขยายไปสู่กิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน ทั้งๆ ที่ไม่มีใครบังคับ เช่น การกินอาหาร การดูโทรทัศน์ การทำงาน ฯลฯ

การทดลองเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า พลังใจหรือความสามารถในการควบคุม (และเคี่ยวเข็น) ตนเองนั้น มีความสำคัญอย่างมากต่อชีวิตของเรา

มันไม่เพียงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีในบางเรื่องที่กำลังฝึกฝนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อพฤติกรรมด้านอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของเราอีกด้วย ไม่ว่าการบริโภค การทำงาน หรือความสัมพันธ์


◌◌◌◌◌◌◌◌


มองในทางกลับกัน การที่ผู้คนมีพฤติกรรมที่เป็นโทษต่อตนเองและผู้อื่นนั้น สาเหตุสำคัญก็คือการขาดพลังใจ หรือความสามารถในการควบคุมตนเองนั่นเอง

ไม่ใช่เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าการทำเช่นนั้นไม่ดี หลายคนก็รู้ว่า บุหรี่ สุรา และอาหารขยะนั้น เป็นโทษต่อร่างกาย แต่ที่ยังเลิกไม่ได้ก็เพราะขาดพลังที่จะต่อต้านมัน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งเหล่านี้มีพลังในการยั่วยวนเช่นเดียวกับอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง เช่น การเที่ยวห้าง การพนัน เกมออนไลน์ หรือแม้แต่เฟซบุ๊ก

ในสหรัฐอเมริกา มีคนจำนวนมากที่หยุดช็อปปิ้งไม่ได้ มีเครดิตการ์ดกี่ใบก็รูดหมดจนมีหนี้สินมากมาย รู้ทั้งรู้ว่าไม่ดี แต่ก็ห้ามใจไม่ได้เสียที

มีบางคนหาทางแก้ด้วยการเอาบัตรเครดิตใส่ไว้ในแก้ว แล้วเอาแก้วนั้นไปใส่ช่องแช่แข็ง เมื่อใดก็ตามที่อยากจับจ่าย ก็ต้องรอให้น้ำแข็งในแก้วละลายก่อนจึงจะเอาบัตรเครดิตไปใช้ได้

ถึงตอนนั้น...ความอยากก็จะลดลงไป และสติกลับคืนมา ทำให้เปลี่ยนใจไม่ไปช็อปปิ้


◌◌◌◌◌◌◌◌


นี้เป็นทางออกของหลายคนที่รู้ว่าพลังใจนั้นมีไม่พอที่จะต้านความอยาก จึงต้องอาศัย “ตัวช่วย”จากภายนอก เช่น...

ถ้าจะเลิกเหล้าหรือการพนัน ก็ต้องผลักไสตัวเองไปอยู่วัดหรือที่ไกลๆ จะได้ไม่สามารถทำตามความอยากได้

แต่ตราบใดที่พลังใจไม่เข้มแข็ง เมื่อใดที่สบโอกาส ก็มักพ่ายแพ้แก่กิเลส และอดโมโหตัวเองไม่ได้ที่พ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

นี้เป็นปัญหาใหญ่ของคนยุคนี้ก็ว่าได้ คือ รู้ว่าอะไรดี แต่ห้ามใจไม่ได้ สมกับวลีที่ว่า “ดีชั่วรู้หมด แต่อดใจไม่ได้”

ทั้งนี้เป็นเพราะการถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เล็ก ครั้นโตขึ้นก็ปล่อยตัวปล่อยใจง่ายเกินไป ประกอบกับทุกวันนี้มีสิ่งยั่วยวนมากมาย ที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจสูงมาก ยากที่จะต่อต้านได้ แม้มันจะให้ความสุขที่รวดเร็วทันใจ แต่ส่งผลเสียตามมาในระยะยาว

ทุกวันนี้มีคุณค่าใหม่ๆ ที่ได้รับความสำคัญมากขึ้น เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การเป็นตัวของตัวเอง ความรักอิสระ

แต่...คุณค่าเก่าๆ สมัยปู่ย่าตายาย เช่น การรู้จักควบคุมตนเอง ก็ยังมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากขาดสิ่งนี้ไปแล้ว ก็ยากที่จะนำพาชีวิตไปในทางที่เจริญงอกงามได้


◌◌◌◌◌◌◌◌


เสรีภาพนั้นไม่ใช่การตามใจ จะว่าไปแล้วการตามใจหรือการปล่อยใจไปตามอารมณ์ กลับทำให้ตนเองสูญเสียเสรีภาพ ยากที่จะดำเนินชีวิตไปตามที่ปรารถนาได้

เพราะตกอยู่ในอำนาจของสิ่งยั่วยวนมากมาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นโทษ แต่ก็ปฏิเสธมันไม่ได้ เพราะไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านขัดขืน

ดังนั้นหากปรารถนาเสรีภาพ นอกจากความรักอิสระแล้ว ยังต้องมีพลังใจเพื่อสามารถผลักดันชีวิตไปยังจุดหมายที่ต้องการ แม้อุปสรรคจะมีมากมายเพียงใดก็ตาม


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : บทความ "พลังใจ" โดย...พระไพศาล วิสาโล


..........................................................................................................................




มันผิดยังไงครับแหม่ แล้วคำตอบที่ถูกคืออะไรฟะ


'Theera Tangtirmthong สอนให้เด็กคอรัปชั่นนี่นา

A New Fern ก็ ภูกแล้ว นี่นา ก็จะขาย 5 ขวด อ้ะเนอะ ^^

A New Fern *ถูก

.............................................................................................................................



......................................................................................................................................




พลังงาน...รอช้าไม่ได้แล้ว

เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวว่า ประเทศไทยจะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า ซึ่งในบางพื้นที่อาจประสบปัญหา "ไฟฟ้าดับ" เพราะพม่าซ่อมบำรุงฐานขุดก๊าซ ทำให้ต้องหยุดส่งก๊าซให้ไทย ไทยก็เลยไม่มีก๊าซมาผลิตไฟฟ้า เพราะไทยพึ่งพาก๊าซในการผลิตไฟฟ้ามากถึงร้อยละ 70

อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่รัฐบาลต้องนำไปคิดว่า จะหาแหล่งผลิตพลังงานที่สมดุล และมีต้นทุนต่ำได้อย่างไรในอนาคต แทนที่จะพึ่งพาก๊าซ หรือถ่านหินเป็นหลัก?

ยิ่งในประเทศแถบเอเชียวันนี้ถูกมองว่า จะเป็นขั้วอำนาจใหม่ทางเศรษฐกิจ และแน่นอนว่า เมื่อเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเติบโตขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งก็ต้องใช้พลังงานมากขึ้น ทั้งที่ผลิตเอง หรือนำเข้าพลังงานจากประเทศอื่นๆ ซึ่งในเรื่องนี้เป็นยุทธศาสตร์ของแต่ละประเทศ ที่จะกำหนดทิศทางการใช้พลังงานของตัวเองอย่างไร?

กรณีของประเทศลาวถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ในขณะที่ไทยตกเป็นข่าวว่า จะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ ลาวกลับมีข่าวว่า จะประกาศอิสรภาพให้กับตัวเองว่า ในอีกสองปีข้างหน้า ลาวจะผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอกับความต้องการในประเทศ และพร้อมที่จะขายให้กับประเทศอื่นๆ หมายความว่า ลาวจะไม่มีการนำเข้าพลังงานฟ้าจากไทย หรือประเทศอื่นๆ อีกแล้วตั้งแต่ปี 2558

เมื่อมองในภาพรวม มีรายงานฉบับหนึ่งชื่อ Lights Out The Energy Outlook in Eastern Europe and the Central Asia ได้ระบุว่า แม้ว่าภูมิภาคนี้จะมีทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นแหล่งเกิดของพลังงานอยู่มากก็ตาม แต่สถานการณ์ด้านพลังงานของภูมิภาคก็กำลังเข้าขั้นน่าวิตก เว้นแต่จะมีการลงทุนมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 20 ปีข้างหน้า

"มีการคาดการณ์ว่าความต้องการพลังงานขั้นปฐมภูมิในยุโรปตะวันออกและเอเชียกลาง จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ในปี 2030" ปีเตอร์ ทอมป์สัน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของภูมิภาคยุโรปและเอเชียกลาง ธนาคารโลก กล่าว "ในขณะที่ความต้องการไฟฟ้าคาดว่า จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 90"

รายงานฉบับนี้ยังกล่าวว่า ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้จำเป็นต้องลงทุนเงินจำนวนมหาศาล หากต้องการที่จะรักษาหรือเพิ่มระดับการผลิตพลังงาน เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า

"ความต้องการพัฒนาพลังงานขั้นปฐมภูมิระหว่างปี 2010-2030 เพื่อให้มีน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน ไว้ใช้ต่อไปนั้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว"

กล่าวคือ ท่ามกลางความต้องการพลังงานไฟฟ้าในเอเชียที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ต้องบอกว่า เป็นโอกาสของนักลงทุนทั่วโลก ที่สามารถเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ เพราะลำพังเฉพาะรัฐบาลของประเทศในเอเชีย ไม่สามารถที่จะลงทุน และผลิตพลังงานป้อนให้ได้ทั้งหมด

ความท้าทายของประเทศเหล่านี้ในการก้าวเดินไปข้างหน้า คือ การมีพลังงานใช้เพิ่มเติมในเวลาอันสั้นและมีต้นทุนต่ำสุด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยสามารถจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ด้วยเหตุที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงทุน อีกทั้งการดำเนินโครงการต่างๆ ในธุรกิจพลังงานจำเป็นต้องเผื่อเวลาล่วงหน้าไว้หลายปี รายงานฉบับนี้จึงเน้นย้ำด้วยว่า ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องปรับจุดยืนของตัวเอง เพื่อให้ได้มาซึ่งการสนับสนุนทางการเงิน ที่จะสร้างความก้าวหน้าดังกล่าว โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ซึ่งหากไม่มีบรรยากาศที่จะสนับสนุนการลงทุนในภาคส่วนนี นั่นย่อมหมายถึงเราอาจไม่สามารถลงทุนได้ครบถ้วน และจะก่อให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เพราะพลังงานที่ขาดไปเพียงร้อยละ 10 จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 1 และหากปริมาณพลังงานที่ลดลงมีมากกว่าเดิม ก็จะยิ่งส่งผลเสียหายมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น แต่ละประเทศคงต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ด้วยการสร้าง "บรรยากาศที่น่าจูงใจต่อการลงทุน" เพราะถึงวันนี้เวลาเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด และรอช้าต่อไปอีกไม่ได้แล้ว

ประเทศไทยเองก็ต้องทำ ณ วันนี้เช่นกัน รอช้าอีกไม่ได้ หากต้องการผลักดันให้ไทยเป็นประตูสู่อาเซียนในอนาคต

วิถีโลก วิถีธุรกิจ, โฮเมอร์
สยามรัฐออนไลน์, 26-02-56


.................................................................................................................................


......................................................................................................................................

Chotisak Onsoong
ตามอ่านวิวาทะเรื่องเลือกตั้งผู้ว่าระหว่าง อ.Sulak Sivaraksa กับ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลแล้วติดใจประเด้นึงมากๆ (จริงๆติดใจหลายเป็นเด็น แต่ประเด็นนี้ติดใจมากที่สุด)

คือเรื่องที่ อ.สุลักษณ์ บอกว่า "ทักษิณอยู่ฝ่ายที่ทำลายสถาบันกษัตริย์" 
โดย อ.สุลักษณ์ให้เหตุผลว่า เพราะสมัยที่ทักษิณเป็นใหญ่ อ.สุลักษณ์ ถูกจับ 3 ครั้งคดี ม.112
โดยที่ "มาตรา112 เป็นมาตราซึ่งทำลายสถาบันกษัตริย์" (ซึ่ง "พระเจ้าอยู่หัวเองก็รับสั่งว่าใครทำเรื่องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทำร้ายพระองค์ท่าน และทำให้สถาบันเสื่อมทราม)"

คือถ้าจะอ้างอย่างที่ อ.สุลักษณ์อ้าง (ม.112 ทำลานสถาบันกษัตริย์ ดังนั้นรัฐบาลไหนใช้มาตรานี้เท่ากับทำลายสถาบันกษัตริย์) ก็ต้องบอกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ทำลายสถาบันกษัตริย์ยิ่งกว่ายุคคุณทักษิณซะอีก

เพราะในช่วงคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ (ซึ่งสั้นกว่าช่วงที่คุณทักษิณเป็นนายกฯด้วย) กลับมีผู้ถุกดำเนินคดีตาม ม.112 เยอะมาก

ผมลองหาข้อมูลคร่าวๆจากเว็บ ilaw
10 กรณีในหน้าแรก
เป็นกรณีที่หมายจับ หรือถูกจับ เริ่มดำเนินคดีในช่วงคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ถึง 6 กรณี
ในช่วงคุณทักษิณเป็นนายกฯ 2 กรณี
และที่ไม่มีข้อมุลแน่นอนอีก 2 กรณี

ในช่วงรัฐบาลทักษิณ ต่อให้รวมกรณี อ.สุลักษณ์ด้วยก็เป็น 3 กรณี (และผมนึกออกแค่นี) ซึ่งยังไงก็ยังไม่เท่าช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ 6 กรณี (ยังไม่ต้องพูดว่ายังมีอีกหลายกรณีที่ผมพอจะนึกออก เช่น กรณี "อากง sms")

คือถ้าจะอ้างว่ารัฐบาลไหนใช้ ม.112 แล้วทำลายสถาบันกษัตริย์ ผมว่ารับบาลอภิสิทธิ์ทำลายมากกว่ารัฐบาลทักษิณเยอะครับ (เยอะแบบขาดลอยด้วย)


.............................................................................................................................................


............................................................................................................................................

มันคือสุดยอดแห่ง ศิลปะ!!


http://www.facebook.com/photo.php?v=115039378681964

.........................................................................................................................................


........................................................................................................................................

















































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น