วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

24/03/2556


เสียงก้องจากนิติราษฎร์ "วรเจตน์" ทวงถาม นิรโทษกรรม "รัฐบาลคิดทำ ศก.ให้ดี ผมว่าแค่นั้นไม่พอ"


http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1364027334&grpid=09&catid=16

..............................................................................................................



.................................................................................................................





หัวเราะไม่ออกกับการทำงานด้านการประชาสัมพันธ์ของพรรคเพื่อไทย (รัฐบาลไทยนั่นแหละ)

เป็นมาตั้งแต่สมัยทักกี้เป็นนายกฯ แล้ว คือ ไม่มีคนพูดจาพอจะจับประเด็นได้ว่า "ไอ้นี่หรืออีนี่" มันพูดในนาม "รัฐบาล" นะ

คนๆ นี้ได้รับฉันทานุมัติจาก "นายกรัฐมนตรี" นะ

ทุกคำพูดที่แถลงเสมือนออกมาจาก "ปาก" รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีนะ

เห็นไอ้นี่พูดอย่าง ไอ้นั่นพูดอีกอย่าง พออีกวัน อีนั่นบอกที่ไอ้นั่นพูดไม่ได้หมายความตามที่พูด และที่ไอ้นี่พูดก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาล และอีนั่นที่ออกมาพูดก็ไม่ได้แถลงการณ์ใดๆ ว่า ไอ้ๆ อีๆ ที่ออกมาพูด ตกลง "ชุดข้อมูล" ใดมันเชื่อถือได้และสมควรนำเผยแพร่

สมัยทักกี้ ทักกี้ปากเปราะ ปากเร็ว ใครพูดมาก็สวน ก็เป็นทั้งข้อดีข้อด้อย ข้อดีคือไอ้พวกที่ลือๆ หลอนๆ ให้ชาวบ้านฟังจะได้หุบปาก ส่วนข้อด้อยก็อาจจะมีคนไม่พอใจ

มารัฐบาลชุดนี้ "เลวร้าย" กว่าทักกี้อีก เพราะไอ้อาการ "เงียบ" มันแสดงให้เห็นว่า "โง่"

คุณกลัวอะไรกับการที่ต้องสื่อสารกับประชาชนครับ?

คุณเป็น "รัฐบาลไทย" มีหน้าที่อะไรก็ทำไป แต่อย่างหนึ่งที่คุณต้องทำ คือทำให้ "บ้านเมือง" นี้ มีชุดข้อมูลที่เป็น "ทางการ" ชุดเดียว

จะมีข้อมูลเท็จ ลวง ลือ กระพือ โหม กี่สิบกี่ร้อยชุด ก็ช่าง

แต่ "คุณ" ต้อง "ประกาศ" ว่ามีชุดข้อมูลที่เป็น "ทางการ" เพียงชุดเดียว

สัปดาห์ที่ผ่านมา "หุ้นตก" เอาง่ายๆ มีคนสนิทยิ่งลักษณ์ฯ บอกว่า "มีคนปล่อยข่าว"

แล้ว "รู้" ด้วย ว่าเป็น "คนในตลาดหลักทรัพย์"

ฮั่นแน่........ ความชิบหาย (ถ้าสมมติว่ามันเกิดนะครับ) มันก็ได้เกิดสำเร็จไปแล้ว ตอนนี้ดันมา "แถลง" ว่า "มีข่าวลือ" มาทุบหุ้น เพื่อ "ขับไล่รัฐบาล"

อีตอนมีข่าวลือ "อม" ส้น.....อะไรไว้ครับ?? ทำไมไม่ออกมา "ให้ข่าว"

ทำไมไม่ให้ข้อมูลเพื่อระงับความ "เสียหาย"?

เหมือนสถานะการณ์ในภาคใต้เปี๊ยบ ระเบิดไปเรียบร้อยแล้ว คนตายไปแล้ว เผลอๆ ฝังเสร็จไปแล้วด้วย

รัฐมนตรี แม่ทัพนายกอง หัวหน้า ขุน เบี้ย บอกว่า "ได้รับทราบการข่าวทางลึกมาแล้วว่าจะมีการก่อเหตุในช่วงนี้"

ถ้าสมัยวัยรุ่นผมคงให้ kวย ไปแล้วครับ

คุณรู้มั้ย? (ไม่ไอ้อยากเล็คเช่อร์หรอกเพราะแต่ละท่านเก่งๆ กันเหลือเกิน เก่งกันจนทำงานกันไม่ได้เรื่อง) ทำเนียบขาว เขาจะตั้ง Press Secretary เพื่อให้ข่าวอย่างเป็น "ทางการ" กับ "สื่อสารมวลชน"

เหมือน กองโฆษก โฆษกประจำสำนักนายกฯ นี่แหละครับ

แต่เขาทำงานกันเนี๊ยบมาก

ทำเนียบขาวจะมี "หัวหน้าคณะทำงานในทำเนียบขาว" หรือ White House Chief of Staff เขามีหน้าที่ "กว้างขวาง" และค่อนข้างมี "อิทธิพล" อิทธิพลในที่นี้คือมี "เส้นสาย" และ "รู้จัก" คนเยอะแยะมากมาย

นอกจากหน้าที่ในทำเนียบ เรื่องเล็กเรื่องน้อยเช่นจ้างใคร ทำอะไร อย่างไร และล็อบบี้สภาฯ แล้ว หน้าที่ที่สำคัญของ "หัวหน้าฯ" คือ "รักษาผลประโยชน์ประธานาธิบดี" และ "ให้คำปรึกษาประธานาธิบดี" เพราะเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดประธานาธิบดีที่สุด

บ้านเราก็มี เหมือนที่สื่อสารมวลชนให้สมญานั่นแหละครับ

"นายกฯ น้อย" หน้าที่ก็ไม่ได้แตกต่าง

ไอ้ที่แตกต่างคือ "ศักยภาพ" ของแต่ละบุคคล

ข่าว คนและสายโทรศัพท์ทุกสายที่จะถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องผ่าน "หัวหน้าฯ" เพื่อกลั่นกรอง วินิจฉัย และสั่งการ (ในบางเรื่องที่เล็กน้อย)

ผมไม่แน่ใจว่าในเมืองไทย "สายโทรศัพท์" ทุกสายที่เข้ามา ผ่าน "นายกฯ น้อย" หรือไม่ และการทำงานของนายกฯ น้อย ทำอย่างไร มี "อำนาจ" แค่ใหน

แต่ดู "ประสิทธิภาพ" แล้ว "ไม่ผ่าน" ครับ

พวกคุณเป็น "รัฐบาล" จำคำพูดนี้เอาไว้ และ "พูดกรอกหู" ตัวเองทุกเช้าที่หน้ากระจกก่อนออกจากบ้าน

และสั่งการให้หัวหน้าหน่วยราชการทุกหน่วยงานในประเทศนี้ ตั้งแต่ระดับกรมขึ้นมา รายงานเรื่อง "ทุกเรื่อง" ที่ "กระทบ" กับภาพรวม "ในการบริหารงานประเทศ" ให้กับ "นายกรัฐมนตรี"

ถ้า "รัฐบาล" ไม่สั่งให้ทำ "ใคร" ละครับที่จะมีอำนาจสั่ง??

นี่ผมไม่แน่ใจว่าเกิดเหตุไฟไหม้ศูนย์อพยพคนตายไปสี่สิบกว่าคน มีหัวหน้าส่วนราชการไทยคนไหนโทรฯ ไปรายงานนายกฯ หรือยังไม่ทราบ

และถ้ารายงานไปแล้ว ทำไม "กองโฆษก" (สากกะเบือดิน) ทำอะไรบ้าง ให้ข้อมูลใดแก่สาธารณะบ้างว่า "นายกฯ ได้รับทราบและเร่งให้ทุกหน่วยงานดำเนินการช่วยเหลือ"

ซึ่ง "มันควร" จะเป็นอย่างนี้

เครื่องไม้เครื่องมือในการสื่อสารกับประชาชนมีเยอะแยะครับ ใช้ซิครับ

ทีเวลาถ่ายรูปอาหาร รูปนั่นรูปนี้มาลงได้ แค่ทีมงานกระซิบข้างหูนายกฯ และ "ถ่ายทอด" ออกมาว่า "ผู้นำของพวกตน" คิดเห็นอย่างไร ต่อเหตุการณ์เร่งด่วนใดๆ แล้วพิมพ์ออกมาสู่สาธารณะเป็น "ออฟฟิเซียล" หน่อยเท่านั้น

คงไม่มีใคร "ตาย" กระมัง

ภาษานิเทศน์ฯ เรียกการสื่อสารล้มเหลวว่า Communication Breakdown แต่ไอ้การ "ไม่สื่อสารห่าอะไรเลย" ไม่รู้ว่าภาษานิเทศน์ฯ เรียกว่าอะไร? - #NO112

......................................................................................................





วันนี้ทีมงาน Life 101 ได้รับโอกาสจากบริษัท `ทีวีบูรพา´ให้มาร่วมเรียนรู้ ในช่วงบันทึกเทป-ถ่ายทำรายการ `ถอดรหัสชีวิต...คนค้นฅน´

โดยมีไอดอลของเรามาเป็นผู้ถอดรหัสในวันนี้ ...พี่เช็ค สุทธิพงษ์ และ อ.ประมวล เพ็งจันทร์ (ผู้เขียนหนังสือ เดินสู่อิสรภาพ ที่เพจเราเคยนำเสนอไปเมื่อ February 18 ) และมี พี่ประสาน เป็นพิธีกร

วันนี้ `ฅนต้นเรื่อง´ ที่ทางรายการฯ หยิบยกมาถอดรหัส คือ...

`ปู่เย็น´ เฒ่าทรนง แห่งลุ่มน้ำเพชรบุรี ผู้ล่วงลับ


◌◌◌◌◌◌◌◌


`ปู่เย็น´ ชายชราอายุร้อยกว่าปี ที่นั่งอยู่ในใจใครหลายๆ คนทั่วประเทศ ผู้มีลำตัวงองุ้ม ศีรษะโพกผ้าสะระบั่นเพื่อยืนยันความเป็นมุสลิม

ชอบนั่งหัวเราะ อ้าปากหวอ กระดูกไม่ค่อยดี เดินได้นิดเดียวก็เหนื่อยหอบ ผิวหนังเหี่ยวย่นใช้เหงือกแทนฟันในการบดข้าว

มีวิถีชีวิตอยู่บนเรือลำเล็กๆ ขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 5 เมตร ซึ่งแกใช้เป็นทั้งเรือนงานและเรือนนอนต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบปี

จวบจนวันที่ปู่เย็นสิ้นลมหายใจ จากโลกนี้ไปในวัย 108 ปี พร้อมกับฝากตำนานผู้ไม่เคยยอมแพ้เป็นแบบอย่างที่ดีงามให้พวกเราอีกตราบนานเท่านาน...


◌◌◌◌◌◌◌◌


ย้อนกลับไปคืนวันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 รายการ "คนค้นฅน" ได้หยิบยกชีวิตชายชรา ซึ่งขณะนั้นอายุ 105 ปี ที่อยู่อย่างพอเพียง เรียบง่าย และทรนงตน มานำเสนอให้เป็นข้อคิด กับประโยคเด็ดๆ...

"ดูแต่หอยซิ ไม่มีมือไม่มีตีนมันยังหากินเองได้ ประสาอะไรกับคน มีมือมีเท้า หากินเองไม่ได้ก็อายหอย"

นายเย็น แก้วมณี หรือ ปู่เย็น เป็นชาวเพชรบุรี นับถือศาสนาอิสลาม บิดาชื่อนายสุข แก้วมณี มารดาชื่อนางชม แก้วมณี เดิมประกอบอาชีพรับจ้างเลี้ยงวัว

สำหรับชีวิตครอบครัวปู่เย็นแต่งงานใช้ชีวิตอยู่กินกับ "ย่าเอิบ แก้วมณี" ชาวไทยพุทธแถวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยไม่มีฝ่ายใดได้เปลี่ยนศาสนา ซึ่งทั้งสองครองรักกันยืนยา


ชีวิตบั้นปลายของปู่เย็น หวังเพียงแค่จะมีความสุขในบ้านเช่าหลังเล็กๆ กับคู่ชีวิต แต่ทว่า...จู่ๆ ย่าเอิบก็ล้มป่วยลง และเสียชีวิตจากปู่เย็นไปในวัย 94 ปี

ตอนนั้นชายชราคนหนึ่ง ร้องไห้กับการจากไปของหญิงชราคนหนึ่งนาน 3 เดือน

และนับจากวันที่ย่าเอิบจากไป ปู่เย็นก็ออกจากบ้านเช่าราคาเดือนละ 800 บาท
ขนทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้น มาอยู่บ้านหลังใหม่ ไม่มีเสา ไม่มีหลังคา ยาว 5 เมตร กว้าง 1 เมตร

ซึ่งบ้านของปู่เย็นเป็นเพียงเรือลำเล็กๆ ลอยลำอยู่ในแม่น้ำเพชรบุรีนับตั้งแต่นั้น...


◌◌◌◌◌◌◌◌


ปู่เย็นใช้ชีวิตอยู่บนเรือ และ เลี้ยงชีวิตด้วยการดักอวนหาปลา เหลือกินก็ขายถูกๆ ไม่ต้องมีตาชั่ง

20-30 บาท ปู่ก็ขายแลกกับเงินเพื่อประทังชีพโดยไม่นึกว่าจะต้องพึ่งใคร ทั้งๆ ที่ปู่เย็นเองก็มีญาติสนิทมิตรสหาย แต่ปู่เย็นให้เหตุผลง่ายๆ ว่า "เกรงใจเขา"

ทุกวันปู่จะจอดเรือนั่งๆ นอนๆ อยู่ใต้สะพานลำใย ซึ่งทอดเชื่อมระหว่างบ้านหม้อกับตลาดวัดท่อ

พอเย็นๆ ก็จะเริ่มพายเรือออกไปหาที่วางอวน ปู่จะกู้อวนคืนละ 2 ครั้ง ดึกๆ ครั้งหนึ่ง ...รุ่งเช้าอีกครั้งหนึ่ง

พอได้ปลา... ปู่ก็จะเอาใส่กะละมังหิ้วขึ้นมาขายที่ตลาดวัดท่อในตอนเช้า ก่อนเดินกลับลงไปพักผ่อน ชมเวลาเลือนผ่านชีวิตไปโดยไม่วิตกทุกข์ร้อน หรือไม่ก็ซ่อมอวนอยู่ในเรือนเรือ

ปู่ไม่ชอบให้ใครสงสารปู่ ...แต่ปู่ชอบสงสารคนอื่น

ปู่มักจะขายปลาที่นับวันยิ่งหายากในราคาถูกๆ คนที่มาซื้อเห็นปู่ขายถูก ยิ่งขอซื้อให้ถูกเข้าไปอีก ....แต่ปู่ก็ไม่ว่าอะไร

นานปีทีหน จึงจะมีคนใจดีซื้อปลาไม่กี่ตัวให้เงินเกินมา ไม่เอาเงินที่ปู่ทอนกลับไป

แบบนี้ปู่ไม่ว่าอะไร ....แต่ถ้าใครให้ปู่ฟรีๆ มีปัญหาทันที


◌◌◌◌◌◌◌◌


มีคนเคยถามว่า ทำไมปู่ไม่ไปขอความเมตตาจากใครๆ เขา คนแก่ๆ ยังไงๆ ใครๆ ก็สงสาร

ปู่บอกว่า...

"ไม่เอาไม่ชอบที่สุด ดูแต่หอยซิ ไม่มีมือมีตีนมันยังหากินได้เอง (รู้จักมั้ยหอยน่ะ…ปู่ย้ำ) ประสาอะไรกับคนมีมือมีเท้า หากินเองไม่ได้ก็อายหอย"

ปู่คิดและเชื่อแบบนี้ แต่มีคนมากมายที่ไม่ได้คิดและเชื่อแบบปู่ ปู่อาจดูโง่และน่าดูหมิ่นดูแคลนในสายตาของคนเหล่านั้น ...แต่ปู่ไม่มีวันหมิ่นแคลนตัวเอง

ขณะปู่อยู่ในเรือ...คนเหล่านั้นอาจกำลังนั่งถือขันอยู่ตามสะพานลอย หรือไม่ก็กำลังข่มขู่ทุบตีเพศแม่ที่เป็นเมีย ตอนที่ตัวเองกำลังเมากำลังขูดรีด โก่งราคา จี้ปล้นฉ้อ โกง ฮั้วสัมปทาน เล่นแร่แปรหุ้นในตลาดเงิน

ไม่ว่าความฉลาด ความโง่ ความดี ความชั่ว ความนับถือ และการให้ค่าในการมีชีวิตแน่นอนว่าคนพวกนั้นต่างกับปู่

ขณะที่ปู่คิดว่า...คนเราไม่ว่าเฒ่าชะแรแก่ชราแค่ไหน หากยังมีลมหายใจ ก็ต้องพยายาม อยู่ให้ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง โดยไม่เอารัดเอาเปรียบและเบียดเบียนใคร



◌◌◌◌◌◌◌◌


ปู่อาจไม่รู้จักคำว่า `ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์´ ในหัวสมองปู่อาจไม่มีคำว่า..ชีวิตที่สง่างาม ความหยิ่งทะนง

แต่ปู่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิต ซึ่งบางทีคนที่ใช้คำเหล่านี้บ่อยๆ เสียอีกที่ชีวิตไม่มีสิ่งเหล่านี้

ปู่เบียดบังชีวิตตัวเองได้ แต่ไม่เคยเอาเปรียบเบียดบังชีวิตคนอื่น

หน่วยกิตสุดท้ายที่ปู่ตั้งใจว่าจะทำให้ได้ คือ หาเงินอีก 3 พันบาทเพื่อไปรวมกับที่มีอยู่แล้ว 7 พันบาท จากการเก็บสะสมมาชั่วชีวิตเพื่อให้ได้ครบหมื่น

ปู่คิดว่าถ้ามีเงินถึงหมื่นกินแบบเขียมๆ คงจะพอกินไปจนตาย

ไม่รู้ปู่คิดในใจไว้แล้วรึยังว่าจะตายตอนอายุเท่าไหร่ เพื่อให้ได้เงิน 3 พัน ...ปู่ต้องพายเรือจากอำเภอท่ายางมายังเมืองเพชร เป็นระยะทางเกือบ 30 กิโลเมตร

ซึ่งต้องแวะค้างอ้างแรมริมฝั่งหนึ่งคืน ปู่บอกแบบไม่อนาทร ไปเรื่อยๆ อยากนอนตรงไหนก็จอดนอนตรงนั้น

ไม่ร้อนใจ...จอดนอนตรงไหนก็ลงอวนตรงนั้น ...ปล่อยวาง ...ได้ก็ช่าง ไม่ได้ก็ช่าง


◌◌◌◌◌◌◌◌


» สรุป สิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก `ปู่เย็น´

โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ทั้งการสื่อสารที่ทันสมัย ทั้งความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ปัญหาสังคมก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว

แต่ภาพของความน่ารักของปู่เย็น ผู้เฒ่าผู้มีจิตใจงดงาม ทำให้พวกเราได้ชื่นใจ ได้รู้สึกสะดุดใจ และประทับใจกับคำพูดของปู่ ที่ดูจะพูดอย่างตรงไป ตรงมาแต่ก็แฝงไว้ซึ่งแนวคิดที่น่าสนใจมากมาย....

- พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ไม่ละโมบโลภมาก อยากได้ อยากมี

- คิดถึงใจเขาใจเรา ถ้าไม่อยากให้คนอื่นทำกับเราอย่างไร...ก็อย่าทำอย่างนั้นกับเขา

- มีความทะนงในศักดิ์ศรีของตน ไม่รับของใครง่ายๆ โดยปราศจากเหตุผลหรือ เหตุแห่งน้ำใจ เพราะเราไม่ใช่ขอทาน

- มีน้ำใจ ...ยินดีแบ่งต้นยาในกระถางให้คนอื่นจนเกือบหมด

- มัธยัสถ์ของเก่ายังใส่ได้ปู่ไม่ทิ้งเลย....บอกว่าอยู่ด้วยกันมานาน (ชอบคำนี้จัง)

- อดทนแม้จะเจ็บบ้าง ถ้าเป็นคนแก่ทั่วไปจะต้องการการเอาใจใส่ แต่ปู่บอกว่าแผลนิดเดียว เดี๋ยวก็หาย

- รู้จักกาละเทศะ ตอนที่พยาบาลมาทำแผลให้แกไม่ยอมให้ทำแผลที่เท้า ปู่บอกว่าเท้าเป็นของต่ำ ไม่ให้เขาทำหรอก

- คำนึงถึงคนอื่น ...อย่างกลัวคนมาเยี่ยมลำบาก แกจะไปนั่งรออยู่บนสะพาน อย่างถ้าปู่จะไม่รับของก็กลัวคนอื่นจะคิดมาก

- พอใจในสิ่งที่ตนมี ปู่ไม่เห็นอยากได้อะไรมากกว่าที่แกมีอยู่เลย ทั้งๆ ที่มีคนอยากเอามาให้เยอะแยะ แต่ปู่ดูจะมีความสุขกับที่แกเป็นอยู่

- มีอารมณ์ขันตลก จริงใจ พูดตรงไปตรงมา


◌◌◌◌◌◌◌◌


นี่แหละ ...ชีวิตที่มีคุณค่า


ทีมงาน Life 101

ยิงสดจาก...สตูดิโอ ทีวีบูรพา

......................................................................................................................





ครูบ่น สมศ. เอากระดาษมาวัดความเป็นครู
ผู้ปกครองบ่น เด็กโดนอัดการบ้านตั้งแต่ปอหนึ่ง
เด็กบ่นเบื่อโรงเรียน
ผู้บริหารบ่น กระทรวงเอาแต่สั่งไม่ดูสภาพจริง
กระทรวงบ่น การศึกษาล้มเหลว
ผู้ประกอบการบ่น เด็กจบปอตรีทำงานไม่เป็น
สังคมบ่น ยาเสพติด ความรุนแรงในเยาวชน
แล้วจะรอทำไมครับ

......................................................................................................................





เรื่องนรกสวรรค์และเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระหรือ? หรือมีไว้สำหรับหลอกคนโง่?

เป็นเรื่องจริงที่สุด ช่วยเป็นพยานด้วยว่า อาตมาพูดเรื่องนรกเรื่องสวรรค์นี่เป็นเรื่องจริงที่สุด เรื่องเวียนว่ายตายเกิดนี่จริงที่สุด แต่มันมีความหมายไม่เหมือนกับที่เขารู้ หรือเขาพูด หรือเขาสอนกันอยู่ก็ได้ ร้อนเป็นไฟคือนรก สนุกสนานพอใจก็เป็นสวรรค์ เวียนว่ายตายเกิดนี้เปลี่ยนอยู่เสมอ เรามีความคิดอย่างนี้ เราเป็นคนชนิดนี้ เดี๋ยวเราก็เปลี่ยนความคิดอย่างอื่น เป็นคนชนิดอื่น แม้ไม่ต้องตายเข้าโลง มันก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ภายในนี้จริงกว่า จริงกว่าที่ว่าจะมีหรือจะถึงต่อตายแล้ว ที่มันรู้สึกอยู่กับใจนี้จริงกว่านรก จริงกว่าสวรรค์ จริงกว่าเวียนว่ายตายเกิด จริงกว่า ส่วนนรกสวรรค์เวียนว่ายตายเกิด ชนิดที่ต่อตายแล้วหลังจากตายแล้วนี่ เราไม่มีหน้าที่ที่จะพูด เพราะว่า เขาพูดกันอย่างนี้ก่อนพุทธกาล

เราไม่อยากพูดขัดแย้งกับคนเหล่านั้น นั่นจริง สำหรับคนพวกนั้น ที่จริงสำหรับคนพวกนี้แล้วก็ไม่ต้องทะเลาะกัน แต่ถ้ามองในแง่ศีลธรรมก็ไม่ได้มีไว้หลอกใครหรอก มีไว้สั่งสอนด้วยความหวังดี ให้เขามีศีลธรรมไม่ได้เจตนาหลอก ส่วนทางปรมัตถธรรมยิ่งไม่หลอก เพราะว่ามันรู้สึกได้จริง ความทุกข์ที่ร้อนเป็นไฟอยู่ในใจก็รู้สึกได้จริง ไม่ทุกข์ก็รู้สึกได้จริง จึงไม่ใช่เรื่องหลอกเรา คำอธิบายมีหลายอย่าง

พุทธทาส อินทปัญโญ

....................................................................................................................

เจาะข่าวตื้น ตอน 94 ไส้กรอกแมว Gwiyomi 

ขำ สนุก มีประเด็นน่าสนใจ ^^
http://jorkawteun.spokedark.tv/

...................................................................................................................



The Ammat Strikes Back: หน้าเหล้าหน้าข้าวจะเสิร์ฟแล้ว พวกที่ถูกกันอยู่นอกภัตตาคารจึงกระเหี้ยนกระหือรือจะคว่ำโต๊ะ
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ปฏิกิริยาของเครือข่ายอนุรักษนิยมขวาจัดฝ่ายค้านต่อกรณีรายการตอบโจทย์, กรณีปปช.สอบสวนการแจ้งสินทรัพย์ของนายกฯยิ่งลักษณ์, กรณีกกต.กทม.จะตรวจสอบนายกฯยิ่งลักษณ์ช่วยพล.ต.อ.พงศพัศหาเสียงู้ว่าฯกทม., กรณี ๔๐ สว.และศาลรธน.แสดงท่าทีต่อการเสนอแก้ไขรธน.รายมาตราและพรบ.เงินกู้๒ล้านล้านบาท ฯลฯ เหล่านี้

เอาเข้าจริง เป้าหลักที่แท้คือขัดขวางหรือโค่นรัฐบาลไม่ให้ผ่านพรบ.กู้เงิน ๒ ล้านล้านเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม (ดู 40 ส.ว. ค้านแน่ แก้รธน.-กู้๒ล้านล้าน รอจังหวะชงศาลตีความhttp://www.thairath.co.th/content/pol/333951)

เพราะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดยักษ์มูลค่ารวม ๔ ล้านล้านบาท (กู้ ๒ ล้านล้าน, งบฯของหน่วยราชการต่าง ๆ สมทบอีก ๒ ล้านล้าน) นี้มีศักยภาพจะเปลี่ยนไม่เพียงระบบเศรษฐกิจไทย (จากประเทศรายได้ปานกลาง --> ประเทศรายได้สูง) แต่อาจพลิกโฉมภูมิทัศน์การเมืองไทยในระยะยาวไปเลยทีเดียว

กล่าวคือโอกาสความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและการเลื่อนชั้นทางสังคมที่จะถูกสร้างและแผ่กระจายออกไปจะยกฐานะชาวนารายได้ปานกลาง/คนชั้นกลางระดับล่างจำนวนมากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ซึ่งจะกลางเป็นฐานเสียงและฐานนโยบายอันแน่นหนามั่นคงแก่พรรคเพื่อไทย/เครือข่ายทักษิณไปอีกเป็นสิบปี...สิบ ๆ ปี

ฝ่ายตรงข้ามทักษิณย่อมไ่ม่อยากเห็นการพลิกเกมขึ้นเป็นต่อทางยุทธศาสตร์การเมืองเศรษฐกิจระยะยาวดังกล่าว และหาทางขัดขวางทุกวิถีทาง ตั้งแต่ล้มรัฐบาล ขัดขาให้สะดุด ไปจนถึงชุบมือเปิบเข้ามาบริหารจัดการเงินกู้มหาศาลนี้เอง

ชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ช่วยเพิ่มความมั่นใจที่ถดถอยไปพักใหญ่ของเครือข่ายอนุรักษนิยมขวาจัดให้ฟื้นคืนมาหลังความปราชัยหมดรูปของม็อบเสธฯอ้าย อย่างไรก็ตาม การรุกนี้มีทั้งจุดอ่อนจุดแข็งเชิงพื้นฐานบางอย่างอยู่

จุดอ่อน: กลุ่มทุนต่าง ๆ และสังคมเศรษฐกิจ/ธุรกิจไทยโดยรวมมีท่าทียินดีต้อนรับโครงการเมกะโปรเจคต์ลอจิสติคส์ ๔ ล้านล้านบาทดังกล่าว หลังจากเศรษฐกิจชะงักงันเสียโอกาสไปเพราะรัฐประหารและความขัดแย้งการเมืองเสื้อสีแบบอนาธิปไตยหลายปี อาการเบื่อการเมืองสุดโต่งขัดแย้ง และรู้สึกว่าได้เวลาเดินหน้าทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ได้ลงทุนพัฒนามาหลายปี สอดรับกับจังหวะ AEC ที่กำลังจะเข้ามา ให้ความหวังและโอกาสใหม่ ๆ ที่ยั่วใจล่อใจพวกเขาให้ยอมรับยุทธศาสตร์และการนำทางเศรษฐกิจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างมาก

จุดแข็ง: คอร์รัปชั่นมีแน่ไม่ต้องห่วง ไม่เชิงเพราะความชั่วช้าทุจริตของบุคคลหรือกลุ่ม (ซึ่งมีเป็นธรรมดาทุกฝ่ายนั่นแหละ...) แต่เพราะว่า

๑) รัฐไทยและราชการไทยดังที่เป็นอยู่อ่อนแอเกินกว่าจะทำโครงการมูลค่ามหาศาลขนาดนั้นโดยไม่ทุจริตได้ มันเหลือวิสัย เกินสมรรถภาพของรัฐราชการรวมศูนย์ของไทยที่จะดูแลบริหารจัดการเงินลงทุนและงบประมาณมหึมาขนาดนี้อย่าง "สะอาดโปร่งใส" คือไม่มีปัญญาว่างั้นเถอะนะครับ ในความหมายเดียวกับที่รัฐไทยและราชการไทยไม่มีปัญญารับมือน้ำท่วมปลายปี ๒๕๕๔ นั่นแหละ แม้แต่โครงการกระจิบกระจอกเงินระดับหมื่นล้านอย่างปรับปรุงก่อสร้างโรงพักทั่วประเทศของตำรวจเอง ยังทำกันตุกติกเลอะเทอะจนเละตุ้มเป๊ะอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ นั่นแค่หมื่นล้าน แล้ว ๔ ล้านล้านล่ะ? ความโปร่งใส การตรวจสอบถ่วงดุลโดยพลังภาคประชาสังคมและภาคประชาชนต่ออำนาจรวมศูนย์ของรัฐบาลและราชการ ศักยภาพในการตามเช็คบิลของปปช., รัฐสภา ฯลฯ ล้วนไม่พอจะรับมือป้องกันการทุจริตได้ถี่ถ้วนไหว เชื่อหัวไอ้เรืองเถอะ

๒) ขณะเดียวกัน ฝ่ายธุรกิจเอกชนที่ออกมารณรงค์ต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น ก็ย่อมพอใจที่จะหาทางลดค่าธุรกรรมที่ไม่จำเป็นและฉ้อฉลจากการทุจริตของภาคการเมืองและราชการลง แต่กับโครงการลงทุนใหญ่มูลค่ามหาศาลขนาดนี้ และกับอำนาจรวมศูนย์ที่กุมเหนือโครงการในมือฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจำขนาดนี้ การใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่อหล่อลื่นการลงทุนให้สะดวกเป็นค่าใช้จ่ายที่คำนวณไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วและยินดีจ่ายให้ด้วยซ้ำไปเพราะค่าเสียหายจากความล่าช้าถูกเตะถ่วงนั้นสูงกว่าเป็นไหน ๆ

ในภาวะเช่นนี้ วาระปฏิรูปเพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของประชาราษฎรย่อมถูกจัดวางไว้ชายขอบเวทีต่อไป ขณะที่ตรงใจกลาง จะเป็นเรื่องของศึกยุทธศาสตร์เศรษฐกิจโครงการ ๔ ล้านล้านบาทที่จะเป็นก้อนเค้กหลัก โดยมีประเด็นการเมืองกฎหมายอื่น ๆ เป็นการรบย่อยแบบจรยุทธ์และพร่ากำลัง (เสียงก้องจากนิติราษฎร์ "วรเจตน์" ทวงถาม นิรโทษกรรม "รัฐบาลคิดทำ ศก.ให้ดี ผมว่าแค่นั้นไม่พอ"http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1364027334&grpid=09&catid=16)


...................................................................................................................


..................................................................................................................



คำถามถึง 'คุณกนก' และ 'เนชั่น'

หลังจากมีข่าวว่ามี 'ชายสวมเสื้อแดง' (ที่เรียกกันว่าคุณเก้า แฟร์เท็กซ์) เข้าไปตามหา 'คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล' สื่อชื่อดังถึงที่สถานี 'เนชั่น' เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการทำหน้าที่ของ 'คุณกนก' นั้น

ล่าสุด 'คุณกนก' ได้ประกาศใน ‘เฟซบุ๊ค’ ถึงกรณีดังกล่าว ความตอนหนึ่งว่า :

"...ผมพร้อมเป็นเพื่อนกับเสื้อทุกสี..ยกเว้นเสื้อแดง! ขนาดนักข่าว ผู้ประกาศข่าว หรือโปรดิวเซอร์ในเนชั่น ถ้าเป็นเสื้อแดง..ผมยังไม่คบค้าสมาคมด้วย..."

จากกรณีดังกล่าว ผมคิดว่า ‘ผู้ชมช่องเนชั่น’ น่าจะสงสัยว่า

1. ในแง่ที่ 'คุณกนก' รับผิดชอบต่อความคิด 'ตนเอง' :

‘คุณกนก’ นิยาม 'คนเสื้อแดง' ว่าอย่างไร ? หากกรณีนี้ คุณเก้า แฟร์เท็กซ์ เป็นคนเสื้อสีอื่น แต่กระทำต่อ 'คุณกนก' เหมือนกันทุกประการ 'คุณกนก' จะมีความเห็นที่ต่างไปอย่างไร ?

(สำหรับผม ใครที่ใส่เสื้อสีอะไร หากมารังควาญ 'คุณกนก' หรือใครถึงที่ทำงาน ผมก็ต้องถือว่าแย่ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม)

2. ในแง่ที่ 'คุณกนก' รับผิดชอบต่อ 'ประชาชน' :

การที่ 'คุณกนก' เป็น 'ขุนพล' ของสถานี ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรายงานหรือนำเสนอข่าวเกี่ยวกับ 'คนเสื้อแดง' ผมสงสัยเหลือเกินว่า 'คุณกนก' จะทำหน้าที่ 'สื่อมวลชน' โดยรักษา ‘ความเป็นมืออาชีพ’ และ ‘จรรยาบรรณ’ ในการทำงานโดยไม่ยึดติดกับอคติได้มากน้อยเพียงใด ? ตำถามข้อนี้ยิ่งสำคัญเมื่อเราปฏิเสธไม่ได้ว่า 'คุณกนก' เป็นผู้มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลต่อผู้รับชมข่าวสารมากคนหนึ่ง

3. ในแง่ที่ 'คุณกนก' รับผิดชอบต่อ 'เพื่อนร่วมงาน' :

ผมสงสัยว่า 'คุณกนก' นำเรื่องการคบหา 'คนเสื้อแดง' มาปะปนกับ 'การทำงานร่วมกัน' กับหนักงานเนชั่นคนอื่นที่เป็นเสื้อแดงหรือไม่ ? ผมเดาว่า 'คุณกนก' คงมีอิทธิพลในการทำงานและเป็นที่เคารพใน 'เนชั่น' ในระดับหนึ่ง และคงมีผู้ร่วมงานที่ทำงานในฐานะ 'ลูกน้อง' ที่เคารพยำเกรง 'คุณกนก' อยู่ด้วยไม่น้อย ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า 'คุณกนก' จะให้ความเป็นธรรมกับ 'ลูกน้อง' ที่เป็น 'เสื้อแดง' (ไม่ว่าเขาจะเปิดเผยตัวหรือไม่ และคุณกนกจะมองออกเองหรือไม่) เท่ากับ 'ลูกน้อง' คนอื่น มากน้อยเพียงใด และ 'คุณกนก' เคยทำให้ 'ลูกน้อง' ที่เป็นเสื้อแดง รู้สึกลำบากใจ ในการทำงานร่วมกับ 'คุณกนก' หรือไม่ ? บรรยากาศการทำงานเช่นนี้ กระทบต่อความเป็นมืออาชีพของ 'เนชั่น' หรือไม่ ?

(ทั้งนี้ ผมไม่ได้มีเหตุใดที่จะต้องสงสัยว่า 'คุณกนก' ไม่ให้ความเป็นธรรมต่อเพื่อนร่วมงาน นอกไปจากความสงสัยทั่วไปที่เกิดขึ้นเมื่อได้ฟังคำพูดของคุณกนกเอง)

4. คำถามต่อ 'เนชั่น' :

'เนชั่น' ต้องการเป็นสถานีข่าวที่ 'เลือกข้าง' ชัดเจน หรือไม่ ? หาก 'เนชั่น' ต้องการเป็นสถานีข่าวที่ 'เลือกข้าง' ชัดเจน ก็ย่อมเป็นเสรีภาพของสื่อ แต่ขอให้แสดงต่อประชาชนให้ชัด ว่าสถานีมีจุดยืนหรืออุดมการณ์ทางการเมืองเป็นอย่างไร (ซึ่งคงนิยามโดยสีไม่ได้)

แต่ถ้า 'เนชั่น' ต้องการรักษาภาพว่าตนไม่เลือกข้าง ผมสงสัยว่า ผู้บริหาร 'เนชั่น' มีนโยบายอย่างไร ต่อการแสดงความเห็นเกี่ยวกับการวางตัวของนักข่าวระดับ 'ขุนพล' ของสถานี เช่นที่ 'คุณกนก' แสดงออกในกรณีนี้ ? การที่ 'เนชั่น' มีรายการหนึ่งที่พิธีการประกาศตัวว่าไม่ชอบสีหนึ่ง กับอีกรายการหนึ่งที่พิธีกรคุยได้กับทุกสี นั้นเป็นรับประกันการไม่เลือกข้างที่เป็นมาตรฐานยี่ห้อ 'เนชั่น' แล้วหรือ ? หรือประชาชนต้องเสี่ยงดวงเอาเอง ว่าจะเปิดไปเจอรายการอะไร ?

'เนชั่น' เห็นด้วยกับ คอป. และนักวิชาการ หรือไม่ ว่าบทบาทของสื่อมวลชน เป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างและแก้ไขความขัดแย้ง ?

และผมสงสัยว่าผู้บริหาร 'เนชั่น' เห็นด้วยหรือไม่ หากผู้ใดจะสรุปว่า ที่ 'เนชั่น' อยู่ได้ ส่วนหลักก็เพราะมีนักข่าวที่ผู้ชมชื่นชอบ และเมื่อ 'คุณกนก' เป็น 'ขุนพล' ที่เป็นหน้าเป็นตาของสถานี 'ความน่าเชื่อถือ' ของ 'คุณกนก' ย่อมเกี่ยวโยงกับ 'ความน่าเชื่อถือ' ของ 'เนชั่น' และ 'เนชั่น' ย่อมพึงรักษาความน่าเชื่อถือของ 'คุณกนก' ในมาตรฐานเดียวกับที่จะรักษามาตรฐานของสถานีเอง ใช่หรือไม่ ?

หากตอบว่าใช่ ผมคิดว่า 'เนชั่น' ก็น่าจะต้องตอบคำถาม ข้อ 1 -3 ให้ชัดเจนด้วยเช่นกัน.

---

ล่าสุด คุณสมภพ รัตนวลี ในฐานะบรรณาธิการบริหารเนชั่นแชนแนล ก็ได้แสดงความเห็นเพื่อเน้นย้ำในเรื่องการไม่ใช้ความรุนแรง การรักษาความปลอดภัยของพนักงานสถานี การเคารพความหลากหลายทางความคิด และการทำงานของสื่อที่เป็นมืออาชีพ พร้อมรับฟังความเห็นของทุกฝ่าย

สิ่งที่ 'คุณสมภพ' กล่าวมากว้างๆ ผมเห็นด้วยทั้งหมด แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดี ว่าผู้บริหารเนชั่น มองกรณีความเห็นของคุณกนกนี้อย่างไร ทัศนคติและวิธีการวางตัวของ 'คุณกนก' กระทบต่อ 'ความเป็นมืออาชีพ' ของตัว 'คุณกนก' และ 'เนชั่น' หรือไม่ ?

ในฐานะ 'ผู้ชม' คนหนึ่งที่ยังคอยเป็นกำลังใจ และเก็บความหวังไว้ต่อ 'เนชั่น' ผมเสนอว่า ถ้า คุณจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ จะจัดรายการ 'คมชัดลึก' เรื่องวิธีการวางตัว และความเป็นมืออาชีพของ 'สื่อมวลชนไทย' (รวมทั้งกรณีไร่ส้ม กรณีตอบโจทย์ กรณีสื่อไปดูงานกับประธานสภา และกรณีต่างๆ) ให้เราได้ชมกันอีกสักรอบสองรอบ (ซึ่งก็ย่อมสอดคล้องกับนโยบายการรับฟังความเห็นตามที่บรรณาธิการบริหารได้กล่าวไว้) ก็คงเป็นผลดี ต่อทั้ง 'เนชั่น' และ 'ผู้ชม' ไม่น้อย

'สื่อมวลชน' จะตรวจสอบผู้อื่นได้ ย่อมต้องไม่ลืมที่จะ 'ตรวจสอบตนเอง'.

---
อ่านข้อความของ 'คุณกนก' : http://www.facebook.com/photo.php?fbid=523386344378504&set=a.109854015731741.11151.100001214281852&type=1

อ่านข้อความของ 'คุณสมภพ' : http://www.facebook.com/sompop.ntv/posts/496895167024941


...................................................................................................................................





Robson Mendonça เป็นชาวบราซิล ที่อยู่ในเมือง เซา โปโล ตอนนี้เขาอายุ 61 ปีแล้ว

Mendonça เคยถูกลักพาตัวและถูกปล้น ต้องสูญเสียเมียและลูกไปกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาจึงกลายมาเป็นคนเร่ร่อนบนถนน

และด้วยความชอบอ่านหนังสือ ทำให้ Mendonça พบการถูกรังเกียจในเวลาที่เขาเดินเข้าห้องสมุดสาธารณะ แถมยังไม่สามารถยืมหนังสือออกได้ เพราะไม่มีสิทธิทำบัตรห้องสมุด

นี่เอง เขาจึงริเริ่มโครงการที่ชื่อว่า Bicicloteca (เป็นภาษาโปรตุเกส แปลว่า "จักรยาน" และ "ห้องสมุด") โดยใช้สามล้อคันหนึ่งบรรทุกหนังสือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนวนิยาย หนังสือกฎหมาย และศาสนา เขาออกตระเวนไปตามท้องถนน เพื่อให้คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน ได้ยืมหนังสือไปอ่าน โดยมีตารางไปตามถนนสายต่างๆในวันจันทร์ถึงศุกร์

ตอนนี้ห้องสมุดของเขามีหนังสือประมาณ 17,000 เล่ม ที่ได้รับบริจาคมาจากที่ต่างๆ และแต่ละวัน มีคนมายืมหนังสือจากเขาประมาณ 300 เล่ม และ 90% ของหนังสือที่ถูกยืมไปจะได้รับคืนมาสู่ห้องสมุด

................................................................................................................



...................................................................................................................




"แม้แต่ royalists ยังเห็นไม่เหมือนกันเรื่อง ม.112 แล้วทำไมคนอื่นจะเห็นต่างไม่ได้?"

หลายคนออกมาโจมตีคนที่เห็นต่างในเรื่องสถาบันฯและมาตรา 112 เสมือนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนไทย "ทุกคน" ต้องเห็นเหมือนกัน เห็นต่างไม่ได้เลย แต่หากเราไปดูความเห็นของคนที่เรียกตัวเองว่า "royalists" เองก็ยังไม่เหมือนกันทั้งหมดเลย ยกตัวอย่างในประเด็นมาตรา 112 ก็มีทั้งคนที่เห็นว่า "ไม่ควรแก้ไข" จะปกป้องด้วยชีวิต (ไม่แน่ใจว่าหากวันหนึ่งสภาโหวตแก้ไขจริงๆคนๆนี้จะทำอย่างไร) และคนที่เห็นว่า "ควรแก้ไข" เองก็มีไม่น้อย แต่ก็ยังเห็นหลากหลายว่าควรแก้เรื่องใดและแก้อย่างไร ตัวอย่าง เช่น

- นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เห็นว่าควรแก้โดยแยกการดูหมิ่นออกจากอาฆาตมาดร้าย ให้โทษการดูหมิ่นไม่ถึง 3 ปี แต่สำหรับการอาฆาตมาดร้ายควรเกิน 10 ปี [1]

- อานันท์ ปันยารชุน เห็นว่าควรแก้ในประเด็นใครไปแจ้งก็ได้ และเห็นว่าโทษสูงไปไม่เหมาะสม [2]

- ธงทอง จันทรางศุ เห็นว่าโทษหนักเกินไป และยังมีปัญหาเรื่องการตีความ ทำให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมือง [3]

ตรงนี้มันสะท้อนอย่างชัดเจนว่าคนไทยมีความเห็นที่หลากหลายเรื่องสถาบันฯและมาตรา 112 และ "ความเห็นต่าง" ในประเด็นนี้อาจไม่ได้เกิด "ความเกลียด" หรือ "การอยากล้ม" สถาบันฯ แต่มันเป็นธรรมชาติของสังคมที่จะเห็นต่างในทุกๆเรื่อง และความเห็นต่างนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีเจตนาร้าย แต่หลายข้อเสนอเป็นสิ่งที่พิสูจน์มาแล้วในประเทศอื่นว่าทำให้สถาบันฯสามารถอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ได้อย่างไม่ขัดแย้งและมีความเข้มแข็งในระยะยาวอีกด้วย

ความรักสถาบันฯอย่างเดียวไม่อาจทำให้สถาบันฯอยู่อย่างมั่นคงยืนยาวได้ แต่ต้องเป็นความรัก บวกเหตุผล และความเข้าใจในโลกยุคใหม่ด้วย

อ้างอิง

[1] http://prachatai.com/journal/2013/03/45861

[2] http://www.youtube.com/watch?v=_E_FzeM3zwQ

[3] http://prachatai.com/journal/2013/02/45056

- Admin AC & Ao


..........................................................................................................




นี่เรียกว่าเป็นเรื่องเกิดมาจากอินเดีย จะเรียกว่า ศาสนาฮินดูเป็นแม่ ศาสนาพุทธเป็นพ่อ ก็ได้ ออกมาจากอินเดียทั้งนั้นแหละ ที่เรียกว่าไสยศาสตร์ นั้นก็ไม่ใช่เล่น เราถือไสยศาสตร์กันไปเกือบจะหมด ของสำหรับคนปัญญาอ่อน ของสำหรับเด็กๆ

เด็กๆไม่อาจจะรู้สูงได้ก็ถือไสยศาสตร์ไปก่อน ฉะนั้นเด็กๆจึงได้รับคำสั่งสอนให้เชื่อถืออย่างไสยศาสตร์ นับถือผีสางเทวดา ภูตผีปีศาจกันไปก่อนแล้วจึงค่อยมาถืออย่างสูงขึ้นมาเป็นพุทธะล้วนๆ ไสยศาสตร์จึงฝังอยู่ในจิตใจมาตั้งแต่เล็ก เรื่องของไสยศาสตร์มันทำให้หายกลัวได้

ถ้าไม่มีความรู้อย่างพุทธศาสนา แล้วไสยศาสตร์ก็ไม่มี คนนั้นมันก็ว้าเหว่ มันจะเป็นบ้าเอาก็ได้ ไม่มีอะไรจะช่วยระงับความกลัว ไสยศาสตร์แม้เป็นเรื่องงมงายอะไรก็เป็นที่พึ่งแก่คนปัญญาอ่อน หรือเป็นที่พึ่งแก่เด็กๆ ที่ในบ้านในเมืองไหนก็ตาม ประเทศไหนก็ตามเถอะ คนปัญญาอ่อนต้องมีมากมาย ดังนั้นไสยศาสตร์ต้องเก็บไว้ เลิกไม่ได้นะ เอาไว้ให้คนปัญญาอ่อน เขาจะได้อุ่นอกอุ่นใจ แล้วก็ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้า ไสยศาสตร์มันช่วยคุ้มคนปัญญาอ่อน

พุทธศาสตร์ก็จูงคนปัญญาแก่กล้าไป ฉะนั้นยังต้องเก็บไสยศาสตร์ไว้ให้คนปัญญาอ่อน มันจึงเลิกไม่ได้ เลิกไม่ได้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ แม้ในกรุงเทพฯ ก็ต้องเก็บไสยศาสตร์ไว้เยอะแยะสำหรับคนปัญญาอ่อน จะได้ใช้เป็นที่พึ่ง

คัดลอกบางส่วน ท่านพระพุทธทาส ภิกขุ
หนังสือ "ลิขิต พุทธทาส ถึงน้องชายโดยธรรม กรุณา กุศาสัย"
B


.................................................................................................................




เห็นไหม ด้วยพลังของเพจเราหุ้นมันร่วงกรูดเลยว้อยยยยย
................................แหม่

บางทีผมก็หมดคำจะสรรหามาบรรยายนะ
การขับเคลื่อนประเทศต่อไปเราไม่ต้องสนแล้วว่าจะซ้ายหรือจะขวา
จะไลค์หรือจะแชร์ก็พอ


...............................................................................................................




เราทนไม่ได้ที่เห็นการสอบใดๆ มีการทุจริต
แต่เราทนได้ถ้ามีคนรู้จักฝากลูกเราเข้าเรียนหรือฝากตัวเราเข้าทำงาน

เราทนไม่ได้ที่เห็นสัตว์หรือคนถูกรังแกหรือทำร้าย
แต่เราทนได้ที่เห็นคนเห็นต่างโดนกระทำย่ำยี ผ่านทางวาจาและการกระทำ

เราทนไม่ได้ที่เห็นคนไม่ผิดถูกตัดสินลงโทษจากศาลว่ามีความผิด
แต่เราทนได้ที่เห็นคนเห็นต่างที่ยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิดติดคุกติดตารางโดยไม่ได้รับการประกันตัว

เราทนไม่ได้ที่เห็นคนต่างชาติตกระกำลำบากจากภัยธรรมชาต
แต่เราทนได้ที่เห็นคนในชาติที่เห็นต่างได้รับทุกขเวทนาจากภาวะน้ำท่วมหรือภัยแล้ง

เราทนไม่ได้ที่เห็นสุนัขถูกจับไปขายตามแนวชายแดน
แต่เราทนได้ถ้าคนที่เห็นต่างถูกจับดำเนินคดี

เราทนไม่ได้ที่เห็นรถติดเพราะคนออกมาเดินขบวนเรียกร้องอะไรซักอย่าง
แต่เราทนได้ถ้ารถติดเพราะมีขบวนวีไอพี

เราทนไม่ได้ที่เห็นคนไทยจำนวนหนึ่งไม่รักชาติบ้านเมือง
แต่เราทนได้กับการทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ลูกหลานตัวเองต้องไปเป็นทหารเกณฑ์

เราทนไม่ได้ที่เห็นคนต่างชาติด่าว่าเราเป็นดินแดนแห่งการค้ากาม
แต่เราทนได้ที่เห็นคนต่างชาติหอบเงินมาเที่ยวอาบอบนวด

เราทนไม่ได้ที่เห็นวิถีชนบทของไทยจะหายไป
แต่เราทนได้ที่เห็นคนชนบทต้มยาหม้อกินตามมีตามเกิดเพื่อรักษาโรคของพวกตน

เราทนไม่ได้ที่เห็นรัฐบาลจะสร้างคาสิโน
แต่เราทนได้ที่เห็นคนไทยต่อแถวเป็นกิโลฯ เพื่อไปบ่อนเขมร

เราทนไม่ได้ที่เห็นพระมีข่าวเชิงชู้สาวกับผู้หญิง
แต่เราทนได้ที่เห็นพระเวียนเทียนบิณฑบาตหรือเดินเรี่ยไรเงิน

เราทนไม่ได้ที่เห็นข่าวลือว่ามีนักการเมืองโกงกิน
แต่เราทนได้ที่เห็นกลุ่มคนดีบางกลุ่มอยู่กินกับงบประมาณของรัฐโดยไม่มีการตรวจสอบใดๆ

เราทนไม่ได้ที่เห็นคนที่ตนเองรักถูกวิพากษ์วิจารณ์
แต่เราทนได้ที่เห็นคนที่ตนเกลียดถูกวิพากษ์วิจารณ์

เราทนไม่ได้ที่เห็นคนชั่วที่ทำชั่วลอยนวล
แต่เราทนได้ที่เห็นคนดีที่ทำชั่วลอยนวล

เราทนไม่ได้ที่เห็นเกษตรกรยากจน
แต่เราทนได้ที่เห็นว่าราคาอาหารกลางวันยังอยู่ที่ 25 บาท

เราทนไม่ได้ที่เห็นว่าประเทศไทยยังไม่มีบริการ 3 จีใช้
แต่เราทนได้ที่เห็นคนในสังคมยังหมอบคลาน

ฯลฯ

ภาพ - http://hancaquam.blogspot.com/

#NO112 #สกน #WTT


................................................................................................................



หมูไทยจะหาม ญี่ปุ่นดันเอาคานเข้ามาสอด
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

JICA เสนอปรับแผนจัดการน้ำท่วม ไม่ต้องสร้างเขื่อน/ฟลัดเวย์ ลดค่าใช้จ่ายจาก ๓.๕ แสนล้านเหนือ ๑.๙ แสนล้านบาท ชี้จริง ๆ อาจต้องจ่ายถึง ๕ แสนล้าน แต่รองนายกฯปลอดประสพไม่เอาด้วยกับข้อเสนอไจก้า ยืนยันต้องสร้างเขื่อน/ฟลัดเวย์ตามเดิม

http://www.seub.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=1008%3Aseubnews&catid=5%3A2009-10-07-10-58-20&Itemid=14


...............................................................................................................




» “ความคิดเชิงลบ” เราจะพัฒนาให้เป็นพลังสร้างสรรค์เชิงบวก...ได้อย่างไร ?

1. คิดให้ช้าลง!

ความคิดเชิงลบ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดโดยตัวเอง ...เพราะตราบใดที่ชีวิตยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การระแวดระวังเตือนภัยก็ยังคงคุณค่าสำคัญ

สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ... ความคิดเชิงลบที่มากล้นเกินกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะการนำเสนอของสื่อมวลชน ที่ข่าวร้ายเพียง 1 ชิ้น ก็สามารถเวียนซ้ำไปเผยแพร่ได้ในหลายช่องทาง ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และ อินเทอร์เน็ต

แม้ว่ามันสมองและสติปัญญาของเราจะเข้าใจว่า...มันเป็นข่าวชิ้นเดียวกัน แต่สัญชาติญาณระวังภัยที่อยู่ลึกลงไปในจิตใจของเรา ก็ได้สะสม'ความเครียด' เข้าไปโดยไม่รู้ตัว ตามจำนวนครั้งที่ได้รับข่าวร้ายนั้น


การรับมือกับความคิดเชิงลบที่ผ่านเข้ามาจากสื่อที่หลากหลาย จึงไม่ใช่การบังคับตัวเองให้ พยายามมองทุกอย่างในแง่บวกไปทั้งหมด

หากเป็นการปล่อยให้ข้อมูลที่ได้รับมานั้น... มีเวลาย่อยสลาย มีเวลาใคร่ครวญทั้งด้านดีและร้าย เพื่อให้ เกิดการตกผลึก เป็นความจริงของโลก

...ไม่ใช่ความจริงในสิ่งที่เชื่อตามกันมา หรือ ความจริงที่เราต้องการให้เป็น หรือแม้กระทั่ง...ความจริงที่เราไม่อยากให้เป็น

การคิดให้ช้าลง พูดให้น้อยลง แต่ ไตร่ตรองมากขึ้น ย่อมช่วยให้เราสามารถเก็บรายละเอียดของชีวิตได้ลึกล้ำกว่าเดิม

หยั่งเห็นสิ่งละอันพันละน้อยที่เคยละเลยไปซึ่งจะนำไปสู่ การสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพสูงส่งกว่าเดิม

ในศตวรรษที่ 21 ที่โลกหมุนเร็วเช่นนี้...เราอาจจะรู้สึกว่าการคิดและทำอย่างสุขุมนุ่มลึก เป็นเรื่องที่ล้าสมัย เพราะจะไม่ทันเวลา

หากเรากลับลืม นึกไปว่าเราได้ใช้เวลาสูญเสียไปกับเรื่องราวไร้สาระมากมายเพียงใดในแต่ละวัน!

ดังนั้น... การคิดและทำให้ช้าลงจะเป็นเครื่องมือคัดกรองสิ่งที่ไม่สำคัญออกไป... เพื่อจะได้ทุ่มเทให้กับสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น

ให้เวลากับมันอย่างเต็มที่และทำออกมาให้ประณีต


◌◌◌◌◌◌◌◌


2. อย่าปิดกั้นความคิดทั้งบวกและลบ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติที่สร้างสรรค์

การพยายามหลีกหนีความคิดทั้งบวกและลบ หรือพยายามบังคับฝืนใจ ตนเองให้ต้องคิดในด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติของมนุษย์อย่างที่สุด

ดังนั้นจึงไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีในการขจัดความเครียด ที่เป็นผลมาจากการคิดลบซึ่งเรากำลังเผชิญอยู่

เมื่อใดที่เรามองเรื่องราวหนึ่งในเชิงบวก จงพยายามหาแง่มุมที่เป็นลบมา ประกอบด้วย หรือ...เมื่อใดที่เรามองเชิงลบจงพยายามหาแง่มุมที่เป็นบวก เข้ามาประกอบด้วย ก็น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ในโลกความจริงมีความซับซ้อนกว่านั้น บางทีไม่ใช่มีเพียงมุมลบหรือบวกเท่านั้น...

หากยังมีมุมมองที่ 3 และ 4 มุมมองที่พิจารณาตามบริบทเวลา วัฒนธรรมเศรษฐกิจ และการเมืองในขณะนั้น

การเปิดใจเพื่อสัมผัสประสบการณ์และความรู้ที่หลากหลายซึ่งผ่านเข้ามา... จึงเป็นช่องทางหนึ่งในการวิเคราะห์ความจริงได้ลึกล้ำกว่าเดิม

ความจริงที่ไปพ้นจากด้านบวกและลบซึ่งเป็นเพียงผิวเผินฉาบฉวยเท่านั้น


จงอย่าปล่อยให้ความคิดของเราติดกับแค่ความคิดบวกหรือลบเท่านั้น...
หากยังต้องขยายมุมมองออกไปเรียนรู้ในสิ่งที่กว้างขวาง ไม่ติดจำกัดกับสาขาอาชีพ ไม่ติดในกรอบคิดที่ชอบตัดสินอะไรล่วงหน้า

มนุษย์มีเวลาและความสามารถที่จำกัด ...การจะไปเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างคง เป็นไปไม่ได้

ดังนั้น... การเลือกที่จะตอบสนองกับเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

กลยุทธ์ในการเลือก...จึงเป็นสิ่งที่จะตัดสินชะตาชีวิตเรา

หากทว่าถึงที่สุดก็ ไม่มีใครบอกได้ว่าอะไรจะดีที่สุด แม้กระทั่งตัวเราเองที่เป็นเจ้าของชีวิตก็ตาม


ชีวิตไม่เคยเดินทางเป็นเส้นตรง การเดินทางเข้าหาสิ่งที่รักโดยทันที อาจ ไม่มีวันไปถึงได้

หากต้องผ่านสิ่งที่เกลียดสิ่งที่เลวร้าย สิ่งที่มัวเมาลุ่มหลง สิ่งที่ออกนอกเส้นทางไปไกลเพื่อจะกลับมาใหม่อย่างมีวุฒิภาวะ

แต่เมื่อไม่ค้นพบเหตุผลที่จำต้องทนแล้ว ก็จงรีบละทิ้งโดยเร็ว...เพราะยังมี เรื่องตื่นเต้นเร้าใจมากมายซึ่งรอให้เราไปกระทำ

หากสิ่งใดทำแล้วได้ผลดี ทำแล้วมีความสุข แม้ว่าจะไม่ได้เป็นสาขาที่เรา ร่ำเรียนมา หรือเชี่ยวชาญเลยก็จงทำต่อไป เพราะมันอาจจะเป็นสิ่งที่ใช่ก็ได้

สิ่งสำคัญคือ... ต้นทุนเวลา และ ต้นทุนทรัพยากร เราต้องรู้จักบริหารจัดการให้เหมาะสม อย่าได้เสียเวลากับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป

เพราะ สำหรับสิ่งที่ใช่แล้วนั้นเราจะสัมผัสได้จากหัวใจว่าการทุ่มเททำงานของ เราจะมีประสิทธิภาพสูงยิ่ง

ทำน้อยแต่ได้ผลงานมาก นั่นคือ สิ่งที่ธรรมชาติได้ประทานให้เราแล้ว


◌◌◌◌◌◌◌◌


3. คิดในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศสร้างสรรค์ ท่ามกลางมิตรสหายที่ดีเลิศ

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน ไม่เหมือนคอมพิวเตอร์ที่ป้อนข้อมูลเข้ามาแล้วจะได้คำตอบเหมือนเดิมทุกครั้ง

ดังนั้น การเปลี่ยนสถานที่ในการคิด เปลี่ยนบรรยากาศในการใคร่ครวญ ก็อาจทำให้ปัญหาที่ดูเหมือนตีบตันนั้น ได้คลี่คลายออกมา จนกระทั่งค้นพบคำตอบที่ยิ่งใหญ่

นอกจากสถานที่แล้วบุคคลที่แวดล้อมเรา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว หรือแม้กระทั่งคนรัก ก็ยังมีอิทธิพลกับความคิดของเราได้

ดังนั้น การจะเป็นคนที่สร้างสรรค์ คนที่ฉลาดเฉียบแหลม ก็ย่อมต้องรู้จักเลือกเฟ้น บุคคลรอบข้างให้หลากหลาย

ให้เป็นพลังเสริมประสานเราในการพัฒนา ศักยภาพตัวเองไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต

หากยังรู้สึกว่าชีวิตมืดมิดอยู่ ก็จงจุดเทียนเล่มน้อยขึ้นอ่านหนังสือดีๆ สัก เล่ม

เพราะบางทีวิธีโบราณแบบนี้ก็อาจให้คำตอบตัวเราได้ดียิ่งกว่าเทคโนโลยีล้ำยุค


ด้วยความปรารถนาดี

ทีมงาน Life 101


--------


Credit : Siam Intelligence


..............................................................................................................









































































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น