วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

07/03/2556




» เรียนรู้ "คุณค่าของความผิดหวัง" ผ่าน 3 แบรนด์ดัง

Q : A-Z Maps / ฮอลิเดย์อินน์ / แอร์เอเชีย ...มีอะไรอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน? (นอกเหนือจากการเป็นสินค้าหรือบริการที่นักเดินทางที่ต้องติดต่อหรืออาศัยอยู่ในซีกโลกตะวันตกรู้จักดี)

คำตอบก็คือ... ทั้งสามมีจุดเริ่มต้นมาจาก “ปัญหา” หรือ “ความผิดหวัง”


◌◌◌◌◌◌◌◌


● "A-Z Maps"

คงไม่มีชาวลอนดอนคนไหนไม่รู้จัก A-Z Maps หนังสือแผนที่ที่แม้กระทั่งนักท่องเที่ยวก็ต้องมีไว้คู่กายหากคิดจะอยู่มหานครแห่งนี้แม้ชั่วเวลาสั้น ๆ ก็ตาม

วันหนึ่งในปี ๑๙๓๕ ฟิลลิส เพียร์ซอล ได้รับเชิญไปร่วมงานปาร์ตี้แห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน เธอรู้ดีว่ามหานครแห่งนี้มีตรอกซอกซอยซับซ้อนมาก

เมื่อถึงวันงานเธอจึงเอาแผนที่ติดตัวไปด้วย แต่มันก็ไม่ช่วยให้เธอไปถึงบ้านเจ้าภาพได้ทันเวลาเลย เธอหลงทางอยู่พักใหญ่เนื่องจากแผนที่นั้นหยาบและล้าสมัยแล้ว

นั่นคือจุดเริ่มต้นให้เธอคิดทำหนังสือแผนที่กรุงลอนดอนที่ครอบคลุมทุกถนนและตรอกซอกซอยอย่างละเอียด

นับแต่วันนั้นชีวิตของเธอก็เปลี่ยนแปลงไป จากนักวาดรูปเหมือน...กลายเป็นนักทำแผนที่และนักออกแบบตัวอักษรที่โด่งดังทั่วอังกฤษ


◌◌◌◌◌◌◌◌


● "Holiday Inn"

กลางปี ๑๙๕๒ เคมมอนส์ วิลสันขับรถพาครอบครัวไปกรุงวอชิงตัน ระหว่างทางต้องนอนค้างแรมตามโรงแรมริมทาง

เขารู้สึกผิดหวังมากกับโรงแรมทุกแห่งที่เข้าพัก เพราะนอกจากจะไม่สะอาดแล้ว บริการก็ย่ำแย่ เอาแน่นอนไม่ได้

เขาจึงเกิดความคิดที่จะสร้างโรงแรมที่สะอาด บริการได้มาตรฐาน เป็นมิตรกับครอบครัว ราคาไม่แพง และเข้าถึงง่าย

จากอาชีพนักสร้างบ้าน เขากลายเป็นผู้บริหารโรงแรม ในชั่วเวลาไม่กี่ปีโรงแรมได้ขยายสาขาไปอย่างรวดเร็วจนเป็นที่รู้จักทั่วโลก


◌◌◌◌◌◌◌◌


● "Air Asia"

โทนี เฟอร์นันเดส ไปเรียนอังกฤษตั้งแต่อายุ ๑๒ ความสุขของเขาในวัยเยาว์คือการได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่กัวลาลัมเปอร์

วันหนึ่งหนุ่มโทนีขออนุญาตพ่อกลับไปเที่ยวบ้านกลางภาคเรียน แต่พ่อไม่อนุญาต เหตุผลก็เพราะค่าเครื่องบินแพงมาก

ด้วยความรู้สึกผิดหวัง เขาจึงชดเชยด้วยการไปเดินแกร่วแถวสนามบินฮีทโทรว์ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อดูเครื่องบินขึ้นลง

นั่นคือจุดเริ่มต้นของความฝันที่จะเป็นเจ้าของสายการบินต้นทุนต่ำ ในที่สุดฝันของเขาเป็นจริงเมื่ออายุ ๓๗ ปี ก่อนเหตุการณ์ ๑๑ กันยาแค่ ๓ วันเท่านั้น


◌◌◌◌◌◌◌◌


● บทสรุป :

เมื่อพบกับปัญหาหรือความไม่สมหวัง เรามักเกิดความหงุดหงิด ขุ่นเคือง หรือโมโหโกรธา หลายคนอาจซ้ำเติมด้วยการโทษชะตากรรมหรือ “ความซวย”ของตน แต่นั่นก็มีแต่จะทำให้เราทุกข์มากขึ้น และไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย

แต่ถ้าหากเราหยุดคร่ำครวญ แล้วหันมาใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้น เราอาจจะได้คิดและเกิดปัญญาขึ้นมา


ทั้งสามกรณีข้างต้นเป็นตัวอย่างของคนที่ไม่มัวหัวเสียกับเรื่องที่ไม่สมหวัง แต่กลับมาตั้งคำถามว่าปัญหาคืออะไร มีสาเหตุอยู่ที่ตรงไหน และจะแก้ไขได้หรือไม่

ด้วยท่าทีเช่นนี้ “ปัญหา” จึงกลายเป็นตัวกระตุ้น “ปัญญา” ทำให้เกิดความคิดที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา

แต่ทั้งสามคนไม่ได้หยุดเท่านี้ พวกเขาไม่เพียงแต่คิดหรือฝันเท่านั้น แต่ยังลงมือทำด้วย จะว่าไปแล้วความผิดหวังทำให้พวกเขามีแรงผลักหรือความมุ่งมั่นที่จะทำความฝันให้เป็นความจริงขึ้นมา

หากไม่เคยผิดหวังหรือเจ็บปวดด้วยตนเอง พวกเขาก็อาจแค่คิด แต่ไม่กระตือรือร้นที่จะลงมือทำ

----

» หลังจากหลงทางวันนั้น วันรุ่งขึ้นฟิลลิส เริ่มทำการสำรวจกรุงลอนดอน กว่าเธอจะทำแผนที่มหานครแห่งนี้เสร็จ เธอเดินเป็นระยะทางถึง ๔,๘๐๐ กม. (เกือบ ๗ เท่าของระยะทางจากกทม.-เชียงใหม่) ตระเวนตามถนนและตรอกซอกซอยไม่น้อยกว่า ๒๓,๐๐๐ สาย โดยตื่นตั้งแต่ตี ๕ และกลับบ้าน ๑๘ ชั่วโมงหลังจากนั้น


» ทุกวันนี้แม้เป็นเจ้าของสายการบินแล้ว โทนียังทำงานขนกระเป๋าผู้โดยสารเดือนละวัน เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ๒ เดือนต่อวัน และเป็นพนักงานเช็คอิน ๓ เดือนต่อวัน เขาจึงรู้ดีว่าลูกค้าต้องการอะไร

นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งเคยกล่าวว่า “คนเราเมื่อล้มแล้วต้องหยิบอะไรขึ้นมาสักอย่าง” เมื่อคุณประสบปัญหาหรือความผิดหวัง ลองมองดูสิว่ามันมีประโยชน์อย่างไรบ้าง เมื่อเห็นแล้ว อย่าอยู่เฉย ควรลงมือทำให้เกิดผลด้วย


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : ภาวัน | คอลัมน์ ชวนสังคมคิด IMAGE มิถุนายน 2552


............................................................................................................................




เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสนามบินสุวรรณภูมิ

1.สนามบินสุวรรณภูมิเริ่มมีโครงการในปี 2503 แต่สร้างเสร็จในปี 2549

2.ผู้คิดริเริ่มโครงการคือ รัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่ใช่รัฐบาลทักษิณ

3.แต่สนามบินสุวรรณภูมิสร้างเสร็จในรัฐบาลทักษิณ

4.สัมปทานเคยถูกยกเลิกเนื่องจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

5.สนามบินสุวรรณภูมิไม่ได้เป็นพื้นที่แก้มลิงของกรุงเทพฯ เพราะมันอยู่ทางทิศทางใต้ของกรุงเทพ

6.ส่วนเรื่องสุวรรณภูมิขวางแนว Flood way เป็นเพราะผังเมืองกำหนดพื้นที่ทางทิศเหนือเป็นพื้นที่เกษตรกรรมหรือพื้นที่ทางผ่านของน้ำ ไม่ใช่เพราะตั้งใจสร้างขวาง

7.วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2543 ในหลวงทรงพระราชทานนามให้สนามบินว่า “สุวรรณภูมิ” แทนชื่อเดิม

8.วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2545 ในหลวงทรงเสด็จไปวางศิลาฤกษ

9.รัฐบาลพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาแทมส์ เพื่อศึกษาพื้นที่ในการก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ จนเมื่อ พ.ศ. 2521 ก็ได้ข้อสรุปตามเดิมว่า หนองงูเห่าเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด

10.พ.ศ. 2534 รัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน อนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้าง ท่าอากาศยานกรุงเทพแห่งที่สอง ณ บริเวณหนองงูเห่า โดยมอบหมายให้ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) เป็นผู้ดำเนินการ

11.การก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพิ่งจะสามารถเริ่มขึ้นได้ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2545 ในสมัยรัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ


Supapong Wanitpongpan "เห็นเริ่ม มีการเอาภาพเก่า มาแชร์กันมาก คือ ภาพ ยิ่งลักษณ์ เข้าเฝ้า เกี่ยว กับสนามบินสุวรรณภูมิ ขวางทางน้ำ

เลย แชร์ภาพนี้ กลับ ให้อ่าน นะครับ ว่าสร้างสมัยไหนกัน ข้อมูล ในภาพนี้ จริงไหมกับการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ

อย่าแชร์ โดยไม่ตรวจสอบความจริง 


คนที่ เริ่ม เจอรูปนั่นอีกครั้ง อย่าแชร์ นะครับ คุณกำลังสร้างเรื่องเท็จ ใส่ร้สยคนอื่นอยู่

จะสีไหนไม่สำคัญ เท่ากับ พูดตามความเป็นจริงที่อยู่บนหลักฐาน และเหตุผล ครับ

Google อย่าใช้แค่หางานแล้วก็อบมาวางครับ หาความรู้ บ้าง"

มิตรสหายท่านหนึ่งที่ชื่อมติกล่าว ^^


Phongsakorn Thavornan ยาวไปสลิ่มไทยไม่อ่านครับ

...........................................................................................................................


He is my Go idol ^^

Piyawatana Yosyingyong Who is this man?

Supapong Wanitpongpan Go Seigen 
หรือที่คนไทยรู้จักท่านในนาม ปรมาจารย์อู๋ชิงหยวนครับ ^^


............................................................................................................................


..........................................................................................................................





ทัศนคติคือ ตัวตัดสินอนาคต...

นักศึกษาใหม่ทั้งหลายอาจไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนโชคดีแค่ไหนในโลก ลองดูตัวเลขสักเล็กน้อย ประชากรโลกในปัจจุบันคือ 6,000 ล้านคน ในจำนวนนี้มีเพียงครึ่งเดียวคือ ประมาณ 3,000 ล้านคน เท่านั้นที่มีอาหารกินครบทุกมื้อ มีชีวิตที่มั่นคงและเป็นปกติพอควร สมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ในจำนวน 3,000 ล้านคนนี้ มีไม่ถึงร้อยละ 10 หรือ 300 ล้านคน ที่มีโอกาสเรียนในระดับอุดมศึกษา

นั่นแสดงว่าจำนวนคน 300 ล้านคน ในประชากรโลก 6,000 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น ที่มีโอกาสอย่างท่านทั้งหลายในขณะนี้ ที่มีความหวัง มีอนาคตสดใส มีงานที่ดีมั่นคง มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีชีวิตที่สุขสบาย มีโอกาสที่จะทำประโยชน์ให้แก่ครอบครัวและคนอื่นๆ ร่วมสังคมของเรารออยู่ข้างหน้า นี่คือความโชคดีมหาศาลที่ท่านอาจไม่ทราบมาก่อน

ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังมีร่างกายสมประกอบ แข็งแรง สุขภาพดี มีหน้าตาสดใส สดสวย และมีมันสมองที่ดีพอจะเรียนในระดับมหาวิทยาลัยอีกด้วย คนจำนวนมากมายในโลกนั้น ขอเพียงมีอาหารครบทุกมื้อไม่ต้องถึงกับได้เรียนมหาวิทยาลัยก็มีความสุขสุดๆแล้ว

ปัญหาก็คือ เมื่อเราเกิดมาโชคดีขนาดนี้ มีความหวังและสิ่งดีๆ รออยู่ข้างหน้าแล้ว เราจะทำอย่างไรกับชีวิตของเราในช่วง 4 ปีข้างหน้า เรื่องนี้น่าขบคิดเป็นอย่างมากเพราะหมายถึงว่าเราจะทำให้สิ่งที่เชื่อว่าดีในอนาคตนั้นดีจริงและดีอย่างเป็นเลิศได้อย่างไร

จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน ที่อยู่ในแวดวงอุดมศึกษามากว่า 30 ปี ที่เห็นคนเดินเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่วันแรกและจบออกไปจำนวนมากมาย มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลวจากชีวิต 4 ปีในมหาวิทยาลัย

ขอยืนยันได้ว่าสิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้แตกต่างกันนั้นไม่ใช่ไอคิวหรือพื้นฐานความรู้ดั้งเดิมที่มีมา หากแต่เป็นทัศนคติของเขาเองที่มีต่อการศึกษาระดับอุดมศึกษา เมื่อเริ่มเข้าเรียนซึ่งจะมีผลต่อพฤติกรรมของเขาในมหาวิทยาลัยต่อไป

คนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะเป็นคนที่ตระหนักดีว่า โอกาสในชีวิตของคนๆ หนึ่งที่จะได้เรียน ในมหาวิทยาลัยอย่างเต็มเวลานั้นมีจำกัดยิ่ง

ถ้าหากล้มเหลวไม่จบแล้ว โอกาสที่สองนั้นเกิดขึ้นได้ยากนักหนา เพราะไหนอายุจะมากขึ้น สมองช้าลง ความจำเป็นในการทำงานหาเลี้ยงชีพก็มีมากขึ้น ความรับผิดชอบในชีวิตของคนอื่นที่กิน ทั้งเวลาและเงินทองนั้นก็มีมากขึ้น และการหวนกลับมาเรียนอย่างอิสระเช่นคนวัยนี้นั้นเป็นสิ่งที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้

คนที่ประสบความสำเร็จนั้น จะมองเห็นชัดเจนว่า 4 ปีข้างหน้า คือช่วงเวลาแห่งการไต่บันไดสู่ชีวิต แห่งความกินดีอยู่ดี มีเกียรติ ได้รับการยกย่องจากญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านและสังคม ซึ่งหมายถึงการตั้งใจที่จะบากบั่นศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มกำลัง ขวนขวายหาความรู้ ฝึกฝนพัฒนาบุคคลิกภาพของตนเอง ซึ่งอาจได้มาจากการร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัย เพื่อทำให้บันไดนั้นทอดไปสู่ความมั่งคั่งสมบูรณ์อย่างแท้จริง

คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่มองว่าความรู้เดินมาหาตนเอง ไม่มองว่าความรู้มาจากการงัดปากและป้อนด้วยคณาจารย์ หากมองว่ามาจากความบากบั่น อดทน ขยันหมั่นเพียร ในการแสวงหาความรู้จากอาจารย์ จากการอ่านหนังสือ จากการคิดวิเคราะห์ จากการถกเถียงทางวิชาการ จากการฝึกฝนเล่าเรียนด้วยสื่อการสอนสาระพัดชนิดที่มหาวิทยาลัยจัดหาไว้ให้ด้วยตนเอ

คนเหล่านี้จะมองว่าทางลัดสู่การมีความรู้และการมีชีวิตแห่งความกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีนั้นไม่มีทุกอย่างล้วนได้มาด้วยความบากบั่น ต้องเดินตามเส้นทางที่เป็นไปตามขั้นตอนเท่านั้น คนที่ประสบความสำเร็จนั้นตระหนักว่าทุกคนมีความเก่งกันคนละอย่าง โลกมิได้มีแต่ความเก่งในเรื่องการคิดวิเคราะห์ ซึ่งทำให้สอบได้เก่งเท่านั้น ยังมี...

ความเก่งในการมีมนุษย์สัมพันธ์กับคนอื่น

ความเก่งในเรื่องกีฬาและศิลปะ

ความเก่งในเรื่องการพูดโน้มน้าวใจคนอื่น

ความเก่งในเรื่องการจัดสัดส่วนและช่องว่าง อันเป็นฐานสำคัญของการเป็นสถาปนิกหรือช่างศิลปะ

ความเก่งในเรื่องการจัดการอารมณ์ของตนเองและคนอื่น

ความเก่งในเรื่องดนตรี ฯลฯ

เขาเหล่านี้ตระหนักดีว่าโลกเต็มไปด้วยคนเก่งหลายลักษณะ และกลุ่มคนที่ครองโลกเพราะมีจำนวนมากที่สุดนั้น ก็คือคนที่มีความเก่งในเรื่องเหล่านี้อย่างปานกลาง

หากมีทักษะความรู้และคุณลักษณะประจำตน ในเรื่องศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรมอื่นๆ ประกอบอย่างสำคัญ คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ มองว่าตัวเขาเองเป็นคนมีค่า ชีวิตของเขาสามารถสร้างสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อผู้อื่นเพราะตระหนักว่าใน 100 คนในโลก มีคนที่มีโอกาสและมีสติปัญญาสามารถเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้เพียง 5 คนเท่านั้น ถ้าเขาไม่เอาไหนเลยก็คงจะไม่มีโอกาสได้อยู่ในกลุ่มคนที่ฝรั่งเรียกว่า TOP 5 % ของโลกเป็นแน่

มนุษย์เลือกที่เกิดไม่ได้ เลือกที่จะมีหน้าตาสวยหรือหล่อสุดๆ ไม่ได้ เลือกที่จะร่ำรวยมั่งคั่งไม่ได้ และเลือกที่จะได้สิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกการควบคุมของตนเองไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์เลือกได้อย่างแน่นอน และอยู่ภายใต้การควบคุมของตนเองก็คือ ทัศนคติในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติต่อการเรียนมหาวิทยาลัย

เชื่อเถอะว่านักศึกษาในวันนี้จะเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ มีอนาคตแห่งการกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน หรือเป็นบุคคลล้มเหลว เรียนไม่จบมหาวิทยาลัยและเสียดายโอกาสทองของชีวิตในวันข้างหน้านั้นอยู่ที่ตัวทัศนคติ เมื่อแรกเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยนี่แหละเป็นตัวตัดสิน

โดย อ.วรากรณ์ สามโกเศศ
ที่มา...ศูนย์สนเทศและห้องสมุด ม.ธุรกิจบัณฑิตย์
http://www.dpu.ac.th/laic/page.php?id=6033


..............................................................................................................................................




ขออีกสักอัน ...
ที่น่าเบื่อนอกจากมีการแชร์จำนวนมากคือ หน่วยงานหลายหน่วยก็เสือกแชร์ไปด้วย เช่น อันนี้เจอมาจากเพจของธนาคารแห่งหนึ่ง กับหน่วยงานทางด้านสาธารณสุข (แม่งเฟลมาก)


................................................................................................................................




เรื่องราวที่สำคัญระดับโลกและควรแชร์มากที่สุดในโลก!!!
================================

เรื่องราวต่อไปนี้นับได้ว่าเป็นความสำคัญระดับโลก
ซึ่งผมWellness 2012ได้พยายามเผยแพร่แนวคิดและความรู้ด้านนี้มาตั้งแต่ 20 สิงหาคม 2012เป็นต้นมา
แนวคิดและความรู้ด้านนี้เป็นการพลิกโต๊ะ…..ล้มกระดาน….ล้มคว่ำอวิชชา ..ความหลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า60ปี
แน่นอนว่าต้องฝืนกระแส ฝ่าแรงเสียดทานอีกมากกว่าที่คนจะเปิดสมองเปิดใจรับอย่างดุษฎี

แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะเชื่อหรือไม่เชื่อ….แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าหากคุณไม่เชื่อ….คุณต้องกล้าเผชิญความเสี่ยงโดยเอาชีวิตและสุขภาพของคุณเองเป็นเดิมพัน….ถูกคืออะไร ผิดคืออะไร
ไม่มีใครสามารถเป็นตัวประกันแทนตัวคุณเองได้

และในวันนี้ก็จะมีหมอผู้มีประสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยานและแนวร่วมอีกท่านหนึ่งนอกเหนือจาก นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker , Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ ที่ได้เป็นเถวหน้าออกมาช่วยกันเผยแพร่ความเป็นจริงที่สั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสหลักMain stream Medicine จนล้มคว่ำความหลงผิด หลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า60ปี

นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า25ปี เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000ราย ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจมาหลายหมื่นเส้น ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่าท่านมีประสบการณ์ตรงไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการในหอคอยงาช้างเป็นแน่

“ แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell)ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และขออภัยอย่างที่สุดเพื่อออกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหลายว่า ความเชื่อของผมและเหล่าบรรดาแพทย์ร่วมทีมของผมเกี่ยวกับสาเหตูตลอดจนการจัดการการรักษาโรคหัวใจที่กระทำตลอดมานั้นไม่ถูกต้อง วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียที ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเรียนการสอน งานวิจัย สัมมนาวิชาการ วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใช้เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเหตูโรคหัวใจและหลอดเลือด และการรักษาที่ผ่านๆมานั้นไม่ถูกต้อง !!!!!”

“ ครับเป็นเวลากว่า60ปีที่วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวกผมจึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่การทานยาลดคลอเลสโตรอลร่วมกับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ่มตัว แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อข้างต้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป “
“ ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายในผนังหลอดเลือดต่างหากที่เป็นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพัด”

เอาล่ะตอนนี้ผมจะขมวดสาระสำคัญที่นายแพทย์ Dr. Dwight Lundellได้เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจ จดจำเป็นกรอบความคิด เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆกันไปได้ง่ายขึ้น

1. จากการที่วงการแพทย์มีความเชื่ออย่างผิดๆดังกล่าว มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระยะ60ปีที่ผ่านมาเดินผิดทางไปหมด อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการที่เดินผิดทางได้สร้างประชากรโลกที่เต็มไปด้วยโรคอ้วน เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัดโรค สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเศรษฐกิจอย่างไม่สามารถประเมินได้ทีเดียว นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยชาติ
2. ทั้งๆที่มีประชากร(โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา)ประมาณ 25%ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ และมีสารพัดอาหารLow fat , Fat free มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวกันอย่างมากมาย แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า มีประชากรเสียชีวิตอันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา60ปีนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริการายงานว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า20 ล้านคน มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes)กว่า57 ล้านคน ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอายูน้อยลงๆ (เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก ) มีคำถามตัวโตๆว่าทำไม??
3. คำตอบที่ง่ายๆสั้นๆที่สุดก็คือ หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะจับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเลือดได้ หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตรอลก็จะไหลลื่นไปตามหลอดเลือดได้อย่างเสรี การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คลอเลสโตรอลต้องกลายพันธุ์เป็นตะกรันจับยึดติดภายในหลอดเลือด !!!
4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร มันคือขบวนการปกติของร่างกายเพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย เช่นเชื้อโรค ไวรัส พิษต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามขบวนการอักเสบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รุกรานที่เกิดจากพิษ ร้ายในอาหารการกินที่เซลล์ของร่างกายไม่คุ้นเคย กำจัดไม่ได้ จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง(ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคืออันตรายอย่างแท้จริง
5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมากที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน(polyunsaturated fats)ทีอยู่ในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ และน้ำตาลสูงๆในแป้งขัดขาวและอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายนั่นเอง ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม ขนม ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปปรุง เจือปน เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬาร ตลอดเวลา60ปีที่ผ่านมา
6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบเหมือนที่ผมเห็นและทำการผ่าตัดมาหลายหมื่นเส้นตลอด25ปีที่ผ่านมา แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆโดยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆอันหนึ่งแล้วก็ถูไปมาบนผิวนุ่มๆบริเวณท้องแขน ถูไปมาจนค่อยๆแดง เลือดซิบๆ นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบก็คล้ายกันคือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆเข้า หากยังคงอัเสบต่อเนื่องเลือดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่แตก
7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้นไม่ได้ถูกแปรงใดๆไปขัดถู แต่เนื่องจากร่างกายเรามีระบบควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ภายในระดับที่คงที่ ไม่เกินโควตา( ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลลอยปนในกระแสเลือดไม่เกิน6-7 กรัมแล้วแต่ขนาดตัวและปริมาณเลือดในร่างกาย ) ทันที่ที่เราทานอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกินโควต้า ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการขนน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแสเลือดไปเก็บไว้ในเซลล์ก่อนที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไขมัน แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอเพียงอยู่แล้ว อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับหรือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระแสเลือดจะเข้าไปจับตัวกับโปรตีนหลายๆชนิดในเลือด กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังหลอดเลือดให้อักเสบ การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆมื้อจึงเสมือนกับการเอาแปรงไปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววันเล่า ผมอยากจะย้ำๆกับท่านว่าผมซึ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5000 คน ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่นเส้น ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือดมันติดตาผมว่าไม่ได้แตกต่างจากภาพที่ท่านเห็นหลังจากเอาแปรงขนแช็งขัดถูผิวหนังนุ่มบอบางจนช้ำ จนเลือดไหลซิบๆ จนบวมปูด เลือดไหลแต่อย่างใด ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทานเข้าไปวันละหลายๆมื้อ หลายๆปีนี่แหละเสมือนกับแปรงที่ค่อยๆขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกปอกเปิก อักเสบเรื้อรัง
8. นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถึงน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่างๆของร่างกายนั้นมีส่วนประกอบหลักทำด้วยไขมันหลกหลายชนิดผสมผสานกันเพื่อให้คงความนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้าไปในเซลล์ได้เหมาะสม ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 ที่ดีคือ ไม่เกิน 3: 1 แต่ผลจาการที่วงการแพทย์หลงผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสโปรโมทน้ำมันพืชว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6 บางชนิดก็โหนกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหาก เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือนต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหารแต่ดั้งเดิมกลับมาฝากสุขภาพกับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายโดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกแขนง เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย ฟาสต็ฟู๊ดทั้งหลายล้วนกระหน่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเป็นส่วนผสมและปรุง เช่นมันฝรั่งทอด กรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้วยน้ำมันพืช( โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี้เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ยังไม่เหม็นหืน ???? ทั้งๆที่โดยหลักการแล้วไขมันไม่อิ่มตัวทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์โดยออกซิเจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับคำศัพธ์ที่ว่า” ผ่านกรรมวิธี” เลยว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่เหม็นหืน ????
9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผิดทาง(ทำนองแม่ปูเดินนำลูกปู) ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินของประชากรขาดความสมดุลอย่างรุนแรง สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 กลายเป็น 15:1 จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1 ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์เสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง
10. ปํญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเกินไป ทานน้ำตาลมาก ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ cytokines และสารเร่งการอักเสบนานาชนิด หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็มขั้นจนกลายไปเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน อัมพฤกษ์ อัลไซเมอร์ ฯลฯ ผมขอย้ำว่าร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อปริมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6 ปริมาณสูงๆจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มนษย์ประดิ่ษฐ์ขึ้นมา ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพด1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 7,280 mg น้ำมันถั่วเหลือง1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 6,940 mg ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อสัตว์ธรรมชาติซึ่งมีไขมันโอเมก้า-6ไม่เกิน20%

11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประชากรโลกก็คือกลับไปสู่เมนูอาหารที่ปรุงสด ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัดน้ำตาลและความหวานทั้งหลาย ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี( ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆจึงไม่เหม็นหืน???) ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีวิตประจำวัน

12. นับจากนี้ไป คำว่าคาร์โบไฮเดรตนั้นหมายถึงให้ทานแต่คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่เมื่อย่อยในร่างกายแล้วค่อยๆกลายเป็นน้ำตาลอย่างช้าๆ ไม่ท่วมเลือดทันที เช่นถั่ว ธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ ไม่ใช่แป้งขัดขาว ไม่ใช่น้ำตาลทราย ทานโปรตีนเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ หากต้องการใช้น้ำมันปรุงอาหารให้คิดถึงน้ำมันมะกอก

13. ถ่ายถอน โล๊ะทิ้งสารพัดข้อมูลซึ่งท่วมทับเราที่ผ่านๆว่า “ ไขมันอิ่มตัวทำให้เป็นโรคหัวใจ” “ ไขมันอิ่มตัวทำให้ระดับคลอเลสโตรอลในเลือดสูงขึ้น” เหล่านี้เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาที่วงการแพทย์ต้องออกมาแสดงความรับผิด ในความผิดพลาดเหล่านี้ จนทำให้ไขมันอิ่มตัวกลายเป็นผู้ร้ายแต่ทำให้ไขมันโอเมก้า-6กลายเป็นพระเอก จนทำให้โรดร้ายแรงทั้งหลายแพร่ระบาดไปทั้งโลกทั่งๆที่ไม่ใช่โรคติดต่อ !!!!

เขียนโดย นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell
แปลเรียบเรียงโดย Wellness 2012


Supapong Wanitpongpan "เห็นจำนวนคนแชร์เกือบ 6,000 ลิงค์ทำเอาผมตกใจ ... งั้นเรามาดูเหตุ-ผลที่น่าสนใจในเรื่องนี้นะครับ
1. จากการที่ผมค้นหาในฐานข้อมูล พบว่า อีตาหมอคนนี้ Lundell พบว่า ไม่มีผลงานวิจัย หรือผลงานวิชาการสักชิ้นเดียวเกี่ยวกับไอ้ที่เขียนมา
2. ไม่มีผลงานวิชาการ แต่เสือกมีงานเขียน pocket book ออกมา ถ้าอ่านด้านล่างก็จะเห็นว่า ทั้งหมดมาจากความคิดของอีหมอนี่คนเดียว สรุปคือ กูคิดเอง เออเอง นั่งเทียนเขียนหนังสือมาเล่มนึงแบบทฤษฏีสมรู้ร่วมคิด หักล้างทฤษฏีเดิมแบบสะท้านโลก ซะงั้น 
3. เจ้าตัวเป็นหมอศัลยแพทย์โรคหัวใจ ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งที่สะท้อนว่าเจ้าตัวจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งที่เขียนเลย (หมอผ่าตัด หน้าที่ก็คือผ่าตัดเป็นหลักนะครับ ไม่ใช่จะมีความรู้หลักเป็นการพิสูจน์พื้นฐาน พยาธิสภาพของโรค)
4. ประวัติส่วนตัวของอีตานี่ก็เชี่ยมากครับ ... เคยถูกพักใช้ใบอนุญาติไป 2 ปี สองครั้ง เพราะ "รักษาไม่ได้มาตรฐาน" ... และสุดท้าย ปี ค.ศ. 2008 ถูกยึดใบอนุญาติประกอบโรคศิลป์ฯ ตลอดชีพ เพราะ "ทำการรักษาไม่ได้มาตรฐาน" ... ครับ รักษายังไม่ได้มาตรฐาน แต่เสือกเขียนหนังสือหักทฤษฏี น่าเชื่อถือสุดยอดนะครับ"

~ตรรกะ~


..........................................................................................................................



.......................................................................................................................................




คนโง่นี่มันโง่จริงๆ

Supapong Wanitpongpan "ราคาน้ำมันลดลงทั้งโลก
แต่เพจทวงคืนพลังงานบอกว่า ปตท และรัฐบาลจงใจลดราคาน้ำมันเพราะกลัวกระแสจากเพจทวงคืนพลังงาน แหม่ ช่างใหญ่โตคับบ้านคับเมืองจริงๆเลยพ่อคู้ณณณณ"

~Drama-addict~


Phongsakorn Thavornan คนโง่นี่มันโง่จริงๆ

.....................................................................................................................

the Man Who Saved the World
http://idealistrevolution.blogspot.in/2013/03/the-man-who-saved-world.html

.........................................................................................................................


"อ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ วิจารณ์ภาพข่าวในนสพ. คมชัดลึก
'ฮาร์วาร์ด'สุดยอดม.โลก 'มหิดล-จุฬาฯ'ติดกลุ่มอันดับ201-250 : โดย...วรรณภา ขาวภา/ ชุลีพร อร่ามเนตร

"ประเด็นไม่ใช่เนื้อหาข่าว ผมมีปัญหากับคมชัดลึกอันนี้... คือภาพตัวแทนของสองมหาวิทยาลัยนี้นะครับ น่าสนใจ ถามจริงๆว่าเวลาคิดถึงมหิดลฯกับจุฬาฯ เวลาเค้าแข่งกันคุณคิดถึงอะไร นี่ไงประเด็นคือสองโรงเรียนนี้คือสองโรงเรียนแพทย์ อันดับหนึ่งของประเทศ"
"คุณดูภาพ ภาพลักษณ์ของมหิดลฯคือโรงเรียนดนตรีครับ และภาพลักษณ์ของจุฬาคือ Ritual Base University ครับ มหาวิทยาลัยพิธีกรรม เป็นภาพนักศึกษากำลังถวายบังคมครับ"
"เรากำลังพูดถึงมหาวิทยาลัยระดับโลก Research Base University มหาวิทยาลัยเน้นวิจัย ที่ทำRanking ได้ด้วยวิจัยไม่ใช่หมอบคลานนะครับ"
"ผมอุตส่าห์สอนนักเรียนผมแทบตาย แต่ภาพลักษณ์นักเรียนมหาวิทยาลัยผมที่ออกไปคือการหมอบคลาน"

6 มีนาคม 2556"

.....................................................................

มีคนเอาคำวิจารณ์ของอาจารย์พิชญ์ไปทำเป็นรูปโดยตัดทอนเหลือแต่ประโยคท่อนสุดท้าย

ทั้งๆที่แนวความคิดที่อาจารย์นำเสนอเป็นช่วงต้นทั้งหมด
ใครที่ไม่ได้อ่าน ก็แนะนำให้อ่านให้หมดนะครับ

การตัดมาแค่ท่อนสุดท้าย แล้วนำมาวิจารณ์
ผมมองว่า "ไม่แฟร์" ครับ!


..................................................................................................................................




























































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น