» เรียนรู้ "คุณค่าของความผิดหวัง" ผ่าน 3 แบรนด์ดัง
Q : A-Z Maps / ฮอลิเดย์อินน์ / แอร์เอเชีย ...มีอะไรอย่างหนึ่งที่เหมือน กัน? (นอกเหนือจากการเป็นสินค้าห รือบริการที่นักเดินทางที่ต ้องติดต่อหรืออาศัยอยู่ในซี กโลกตะวันตกรู้จักดี)
คำตอบก็คือ... ทั้งสามมีจุดเริ่มต้นมาจาก “ปัญหา” หรือ “ความผิดหวัง”
◌◌◌◌◌◌◌◌
● "A-Z Maps"
คงไม่มีชาวลอนดอนคนไหนไม่รู ้จัก A-Z Maps หนังสือแผนที่ที่แม้กระทั่ง นักท่องเที่ยวก็ต้องมีไว้คู ่กายหากคิดจะอยู่มหานครแห่ง นี้แม้ชั่วเวลาสั้น ๆ ก็ตาม
วันหนึ่งในปี ๑๙๓๕ ฟิลลิส เพียร์ซอล ได้รับเชิญไปร่วมงานปาร์ตี้ แห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน เธอรู้ดีว่ามหานครแห่งนี้มี ตรอกซอกซอยซับซ้อนมาก
เมื่อถึงวันงานเธอจึงเอาแผน ที่ติดตัวไปด้วย แต่มันก็ไม่ช่วยให้เธอไปถึง บ้านเจ้าภาพได้ทันเวลาเลย เธอหลงทางอยู่พักใหญ่เนื่อง จากแผนที่นั้นหยาบและล้าสมั ยแล้ว
นั่นคือจุดเริ่มต้นให้เธอคิ ดทำหนังสือแผนที่กรุงลอนดอน ที่ครอบคลุมทุกถนนและตรอกซอ กซอยอย่างละเอียด
นับแต่วันนั้นชีวิตของเธอก็ เปลี่ยนแปลงไป จากนักวาดรูปเหมือน...กลายเ ป็นนักทำแผนที่และนักออกแบบ ตัวอักษรที่โด่งดังทั่วอังก ฤษ
◌◌◌◌◌◌◌◌
● "Holiday Inn"
กลางปี ๑๙๕๒ เคมมอนส์ วิลสันขับรถพาครอบครัวไปกรุ งวอชิงตัน ระหว่างทางต้องนอนค้างแรมตา มโรงแรมริมทาง
เขารู้สึกผิดหวังมากกับโรงแ รมทุกแห่งที่เข้าพัก เพราะนอกจากจะไม่สะอาดแล้ว บริการก็ย่ำแย่ เอาแน่นอนไม่ได้
เขาจึงเกิดความคิดที่จะสร้า งโรงแรมที่สะอาด บริการได้มาตรฐาน เป็นมิตรกับครอบครัว ราคาไม่แพง และเข้าถึงง่าย
จากอาชีพนักสร้างบ้าน เขากลายเป็นผู้บริหารโรงแรม ในชั่วเวลาไม่กี่ปีโรงแรมได ้ขยายสาขาไปอย่างรวดเร็วจนเ ป็นที่รู้จักทั่วโลก
◌◌◌◌◌◌◌◌
● "Air Asia"
โทนี เฟอร์นันเดส ไปเรียนอังกฤษตั้งแต่อายุ ๑๒ ความสุขของเขาในวัยเยาว์คือ การได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่ก ัวลาลัมเปอร์
วันหนึ่งหนุ่มโทนีขออนุญาตพ ่อกลับไปเที่ยวบ้านกลางภาคเ รียน แต่พ่อไม่อนุญาต เหตุผลก็เพราะค่าเครื่องบิน แพงมาก
ด้วยความรู้สึกผิดหวัง เขาจึงชดเชยด้วยการไปเดินแก ร่วแถวสนามบินฮีทโทรว์ช่วงว ันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อดูเครื่องบินขึ้นลง
นั่นคือจุดเริ่มต้นของความฝ ันที่จะเป็นเจ้าของสายการบิ นต้นทุนต่ำ ในที่สุดฝันของเขาเป็นจริงเ มื่ออายุ ๓๗ ปี ก่อนเหตุการณ์ ๑๑ กันยาแค่ ๓ วันเท่านั้น
◌◌◌◌◌◌◌◌
● บทสรุป :
เมื่อพบกับปัญหาหรือความไม่ สมหวัง เรามักเกิดความหงุดหงิด ขุ่นเคือง หรือโมโหโกรธา หลายคนอาจซ้ำเติมด้วยการโทษ ชะตากรรมหรือ “ความซวย”ของตน แต่นั่นก็มีแต่จะทำให้เราทุ กข์มากขึ้น และไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เลย
แต่ถ้าหากเราหยุดคร่ำครวญ แล้วหันมาใคร่ครวญสิ่งที่เก ิดขึ้น เราอาจจะได้คิดและเกิดปัญญา ขึ้นมา
ทั้งสามกรณีข้างต้นเป็นตัวอ ย่างของคนที่ไม่มัวหัวเสียก ับเรื่องที่ไม่สมหวัง แต่กลับมาตั้งคำถามว่าปัญหา คืออะไร มีสาเหตุอยู่ที่ตรงไหน และจะแก้ไขได้หรือไม่
ด้วยท่าทีเช่นนี้ “ปัญหา” จึงกลายเป็นตัวกระตุ้น “ปัญญา” ทำให้เกิดความคิดที่จะทำสิ่ งใหม่ ๆ ขึ้นมา
แต่ทั้งสามคนไม่ได้หยุดเท่า นี้ พวกเขาไม่เพียงแต่คิดหรือฝั นเท่านั้น แต่ยังลงมือทำด้วย จะว่าไปแล้วความผิดหวังทำให ้พวกเขามีแรงผลักหรือความมุ ่งมั่นที่จะทำความฝันให้เป็ นความจริงขึ้นมา
หากไม่เคยผิดหวังหรือเจ็บปว ดด้วยตนเอง พวกเขาก็อาจแค่คิด แต่ไม่กระตือรือร้นที่จะลงม ือทำ
----
» หลังจากหลงทางวันนั้น วันรุ่งขึ้นฟิลลิส เริ่มทำการสำรวจกรุงลอนดอน กว่าเธอจะทำแผนที่มหานครแห่ งนี้เสร็จ เธอเดินเป็นระยะทางถึง ๔,๘๐๐ กม. (เกือบ ๗ เท่าของระยะทางจากกทม.-เชีย งใหม่) ตระเวนตามถนนและตรอกซอกซอยไ ม่น้อยกว่า ๒๓,๐๐๐ สาย โดยตื่นตั้งแต่ตี ๕ และกลับบ้าน ๑๘ ชั่วโมงหลังจากนั้น
» ทุกวันนี้แม้เป็นเจ้าของสาย การบินแล้ว โทนียังทำงานขนกระเป๋าผู้โด ยสารเดือนละวัน เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่อ งบิน ๒ เดือนต่อวัน และเป็นพนักงานเช็คอิน ๓ เดือนต่อวัน เขาจึงรู้ดีว่าลูกค้าต้องกา รอะไร
นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งเคยก ล่าวว่า “คนเราเมื่อล้มแล้วต้องหยิบ อะไรขึ้นมาสักอย่าง” เมื่อคุณประสบปัญหาหรือความ ผิดหวัง ลองมองดูสิว่ามันมีประโยชน์ อย่างไรบ้าง เมื่อเห็นแล้ว อย่าอยู่เฉย ควรลงมือทำให้เกิดผลด้วย
◌◌◌◌◌◌◌◌
Credit : ภาวัน | คอลัมน์ ชวนสังคมคิด IMAGE มิถุนายน 2552
Q : A-Z Maps / ฮอลิเดย์อินน์ /
คำตอบก็คือ... ทั้งสามมีจุดเริ่มต้นมาจาก “ปัญหา” หรือ “ความผิดหวัง”
◌◌◌◌◌◌◌◌
● "A-Z Maps"
คงไม่มีชาวลอนดอนคนไหนไม่รู
วันหนึ่งในปี ๑๙๓๕ ฟิลลิส เพียร์ซอล ได้รับเชิญไปร่วมงานปาร์ตี้
เมื่อถึงวันงานเธอจึงเอาแผน
นั่นคือจุดเริ่มต้นให้เธอคิ
นับแต่วันนั้นชีวิตของเธอก็
◌◌◌◌◌◌◌◌
● "Holiday Inn"
กลางปี ๑๙๕๒ เคมมอนส์ วิลสันขับรถพาครอบครัวไปกรุ
เขารู้สึกผิดหวังมากกับโรงแ
เขาจึงเกิดความคิดที่จะสร้า
จากอาชีพนักสร้างบ้าน เขากลายเป็นผู้บริหารโรงแรม
◌◌◌◌◌◌◌◌
● "Air Asia"
โทนี เฟอร์นันเดส ไปเรียนอังกฤษตั้งแต่อายุ ๑๒ ความสุขของเขาในวัยเยาว์คือ
วันหนึ่งหนุ่มโทนีขออนุญาตพ
ด้วยความรู้สึกผิดหวัง เขาจึงชดเชยด้วยการไปเดินแก
นั่นคือจุดเริ่มต้นของความฝ
◌◌◌◌◌◌◌◌
● บทสรุป :
เมื่อพบกับปัญหาหรือความไม่
แต่ถ้าหากเราหยุดคร่ำครวญ แล้วหันมาใคร่ครวญสิ่งที่เก
ทั้งสามกรณีข้างต้นเป็นตัวอ
ด้วยท่าทีเช่นนี้ “ปัญหา” จึงกลายเป็นตัวกระตุ้น “ปัญญา” ทำให้เกิดความคิดที่จะทำสิ่
แต่ทั้งสามคนไม่ได้หยุดเท่า
หากไม่เคยผิดหวังหรือเจ็บปว
----
» หลังจากหลงทางวันนั้น วันรุ่งขึ้นฟิลลิส เริ่มทำการสำรวจกรุงลอนดอน กว่าเธอจะทำแผนที่มหานครแห่
» ทุกวันนี้แม้เป็นเจ้าของสาย
นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งเคยก
◌◌◌◌◌◌◌◌
Credit : ภาวัน | คอลัมน์ ชวนสังคมคิด IMAGE มิถุนายน 2552
............................................................................................................................
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสนามบ ินสุวรรณภูมิ
1.สนามบินสุวรรณภูมิเริ่มมี โครงการในปี 2503 แต่สร้างเสร็จในปี 2549
2.ผู้คิดริเริ่มโครงการคือ รัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่ใช่รัฐบาลทักษิณ
3.แต่สนามบินสุวรรณภูมิสร้า งเสร็จในรัฐบาลทักษิณ
4.สัมปทานเคยถูกยกเลิกเนื่อ งจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
5.สนามบินสุวรรณภูมิไม่ได้เ ป็นพื้นที่แก้มลิงของกรุงเท พฯ เพราะมันอยู่ทางทิศทางใต้ขอ งกรุงเทพ
6.ส่วนเรื่องสุวรรณภูมิขวาง แนว Flood way เป็นเพราะผังเมืองกำหนดพื้น ที่ทางทิศเหนือเป็นพื้นที่เ กษตรกรรมหรือพื้นที่ทางผ่าน ของน้ำ ไม่ใช่เพราะตั้งใจสร้างขวาง
7.วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2543 ในหลวงทรงพระราชทานนามให้สน ามบินว่า “สุวรรณภูมิ” แทนชื่อเดิม
8.วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2545 ในหลวงทรงเสด็จไปวางศิลาฤกษ ์
9.รัฐบาลพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาแทมส ์ เพื่อศึกษาพื้นที่ในการก่อส ร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ จนเมื่อ พ.ศ. 2521 ก็ได้ข้อสรุปตามเดิมว่า หนองงูเห่าเป็นพื้นที่ที่เห มาะสมที่สุด
10.พ.ศ. 2534 รัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน อนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้า ง ท่าอากาศยานกรุงเทพแห่งที่ส อง ณ บริเวณหนองงูเห่า โดยมอบหมายให้ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไท ย (บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) เป็นผู้ดำเนินการ
11.การก่อสร้างท่าอากาศยานส ุวรรณภูมิ เพิ่งจะสามารถเริ่มขึ้นได้ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2545 ในสมัยรัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ
1.สนามบินสุวรรณภูมิเริ่มมี
2.ผู้คิดริเริ่มโครงการคือ รัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่ใช่รัฐบาลทักษิณ
3.แต่สนามบินสุวรรณภูมิสร้า
4.สัมปทานเคยถูกยกเลิกเนื่อ
5.สนามบินสุวรรณภูมิไม่ได้เ
6.ส่วนเรื่องสุวรรณภูมิขวาง
7.วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2543 ในหลวงทรงพระราชทานนามให้สน
8.วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2545 ในหลวงทรงเสด็จไปวางศิลาฤกษ
9.รัฐบาลพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาแทมส
10.พ.ศ. 2534 รัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน อนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้า
11.การก่อสร้างท่าอากาศยานส
Supapong Wanitpongpan "เห็นเริ่ม มีการเอาภาพเก่า มาแชร์กันมาก คือ ภาพ ยิ่งลักษณ์ เข้าเฝ้า เกี่ยว กับสนามบินสุวรรณภูมิ ขวางทางน้ำ
เลย แชร์ภาพนี้ กลับ ให้อ่าน นะครับ ว่าสร้างสมัยไหนกัน ข้อมูล ในภาพนี้ จริงไหมกับการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ
อย่าแชร์ โดยไม่ตรวจสอบความจริง
คนที่ เริ่ม เจอรูปนั่นอีกครั้ง อย่าแชร์ นะครับ คุณกำลังสร้างเรื่องเท็จ ใส่ร้สยคนอื่นอยู่
จะสีไหนไม่สำคัญ เท่ากับ พูดตามความเป็นจริงที่อยู่บนหลักฐาน และเหตุผล ครับ
Google อย่าใช้แค่หางานแล้วก็อบมาวางครับ หาความรู้ บ้าง"
มิตรสหายท่านหนึ่งที่ชื่อมติกล่าว ^^
Phongsakorn Thavornan ยาวไปสลิ่มไทยไม่อ่านครับ
...........................................................................................................................
Piyawatana Yosyingyong Who is this man?
Supapong Wanitpongpan Go Seigen
หรือที่คนไทยรู้จักท่านในนาม ปรมาจารย์อู๋ชิงหยวนครับ ^^
............................................................................................................................
..........................................................................................................................
ทัศนคติคือ ตัวตัดสินอนาคต...
นักศึกษาใหม่ทั้งหลายอาจไม่ รู้ว่าตัวเองเป็นคนโชคดีแค่ ไหนในโลก ลองดูตัวเลขสักเล็กน้อย ประชากรโลกในปัจจุบันคือ 6,000 ล้านคน ในจำนวนนี้มีเพียงครึ่งเดีย วคือ ประมาณ 3,000 ล้านคน เท่านั้นที่มีอาหารกินครบทุ กมื้อ มีชีวิตที่มั่นคงและเป็นปกต ิพอควร สมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุ ษย์ในจำนวน 3,000 ล้านคนนี้ มีไม่ถึงร้อยละ 10 หรือ 300 ล้านคน ที่มีโอกาสเรียนในระดับอุดม ศึกษา
นั่นแสดงว่าจำนวนคน 300 ล้านคน ในประชากรโลก 6,000 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น ที่มีโอกาสอย่างท่านทั้งหลา ยในขณะนี้ ที่มีความหวัง มีอนาคตสดใส มีงานที่ดีมั่นคง มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีชีวิตที่สุขสบาย มีโอกาสที่จะทำประโยชน์ให้แ ก่ครอบครัวและคนอื่นๆ ร่วมสังคมของเรารออยู่ข้างห น้า นี่คือความโชคดีมหาศาลที่ท่ านอาจไม่ทราบมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังมีร่า งกายสมประกอบ แข็งแรง สุขภาพดี มีหน้าตาสดใส สดสวย และมีมันสมองที่ดีพอจะเรียน ในระดับมหาวิทยาลัยอีกด้วย คนจำนวนมากมายในโลกนั้น ขอเพียงมีอาหารครบทุกมื้อไม ่ต้องถึงกับได้เรียนมหาวิทย าลัยก็มีความสุขสุดๆแล้ว
ปัญหาก็คือ เมื่อเราเกิดมาโชคดีขนาดนี้ มีความหวังและสิ่งดีๆ รออยู่ข้างหน้าแล้ว เราจะทำอย่างไรกับชีวิตของเ ราในช่วง 4 ปีข้างหน้า เรื่องนี้น่าขบคิดเป็นอย่าง มากเพราะหมายถึงว่าเราจะทำใ ห้สิ่งที่เชื่อว่าดีในอนาคต นั้นดีจริงและดีอย่างเป็นเล ิศได้อย่างไร
จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้ เขียน ที่อยู่ในแวดวงอุดมศึกษามาก ว่า 30 ปี ที่เห็นคนเดินเข้ามหาวิทยาล ัยตั้งแต่วันแรกและจบออกไปจ ำนวนมากมาย มีทั้งประสบความสำเร็จและล้ มเหลวจากชีวิต 4 ปีในมหาวิทยาลัย
ขอยืนยันได้ว่าสิ่งที่ทำให้ คนเหล่านี้แตกต่างกันนั้นไม ่ใช่ไอคิวหรือพื้นฐานความรู ้ดั้งเดิมที่มีมา หากแต่เป็นทัศนคติของเขาเอง ที่มีต่อการศึกษาระดับอุดมศ ึกษา เมื่อเริ่มเข้าเรียนซึ่งจะม ีผลต่อพฤติกรรมของเขาในมหาว ิทยาลัยต่อไป
คนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะ เป็นคนที่ตระหนักดีว่า โอกาสในชีวิตของคนๆ หนึ่งที่จะได้เรียน ในมหาวิทยาลัยอย่างเต็มเวลา นั้นมีจำกัดยิ่ง
ถ้าหากล้มเหลวไม่จบแล้ว โอกาสที่สองนั้นเกิดขึ้นได้ ยากนักหนา เพราะไหนอายุจะมากขึ้น สมองช้าลง ความจำเป็นในการทำงานหาเลี้ ยงชีพก็มีมากขึ้น ความรับผิดชอบในชีวิตของคนอ ื่นที่กิน ทั้งเวลาและเงินทองนั้นก็มี มากขึ้น และการหวนกลับมาเรียนอย่างอ ิสระเช่นคนวัยนี้นั้นเป็นสิ ่งที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้
คนที่ประสบความสำเร็จนั้น จะมองเห็นชัดเจนว่า 4 ปีข้างหน้า คือช่วงเวลาแห่งการไต่บันได สู่ชีวิต แห่งความกินดีอยู่ดี มีเกียรติ ได้รับการยกย่องจากญาติพี่น ้อง เพื่อนบ้านและสังคม ซึ่งหมายถึงการตั้งใจที่จะบ ากบั่นศึกษาเล่าเรียนอย่างเ ต็มกำลัง ขวนขวายหาความรู้ ฝึกฝนพัฒนาบุคคลิกภาพของตนเ อง ซึ่งอาจได้มาจากการร่วมกิจก รรมในมหาวิทยาลัย เพื่อทำให้บันไดนั้นทอดไปสู ่ความมั่งคั่งสมบูรณ์อย่างแ ท้จริง
คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่ม องว่าความรู้เดินมาหาตนเอง ไม่มองว่าความรู้มาจากการงั ดปากและป้อนด้วยคณาจารย์ หากมองว่ามาจากความบากบั่น อดทน ขยันหมั่นเพียร ในการแสวงหาความรู้จากอาจาร ย์ จากการอ่านหนังสือ จากการคิดวิเคราะห์ จากการถกเถียงทางวิชาการ จากการฝึกฝนเล่าเรียนด้วยสื ่อการสอนสาระพัดชนิดที่มหาว ิทยาลัยจัดหาไว้ให้ด้วยตนเอ ง
คนเหล่านี้จะมองว่าทางลัดสู ่การมีความรู้และการมีชีวิต แห่งความกินดีอยู่ดีอย่างยั ่งยืน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีนั้นไม่มีทุกอย่ างล้วนได้มาด้วยความบากบั่น ต้องเดินตามเส้นทางที่เป็นไ ปตามขั้นตอนเท่านั้น คนที่ประสบความสำเร็จนั้นตร ะหนักว่าทุกคนมีความเก่งกัน คนละอย่าง โลกมิได้มีแต่ความเก่งในเรื ่องการคิดวิเคราะห์ ซึ่งทำให้สอบได้เก่งเท่านั้ น ยังมี...
ความเก่งในการมีมนุษย์สัมพั นธ์กับคนอื่น
ความเก่งในเรื่องกีฬาและศิล ปะ
ความเก่งในเรื่องการพูดโน้ม น้าวใจคนอื่น
ความเก่งในเรื่องการจัดสัดส ่วนและช่องว่าง อันเป็นฐานสำคัญของการเป็นส ถาปนิกหรือช่างศิลปะ
ความเก่งในเรื่องการจัดการอ ารมณ์ของตนเองและคนอื่น
ความเก่งในเรื่องดนตรี ฯลฯ
เขาเหล่านี้ตระหนักดีว่าโลก เต็มไปด้วยคนเก่งหลายลักษณะ และกลุ่มคนที่ครองโลกเพราะม ีจำนวนมากที่สุดนั้น ก็คือคนที่มีความเก่งในเรื่ องเหล่านี้อย่างปานกลาง
หากมีทักษะความรู้และคุณลัก ษณะประจำตน ในเรื่องศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรมอื่นๆ ประกอบอย่างสำคัญ คนที่ประสบความสำเร็จเหล่าน ี้ มองว่าตัวเขาเองเป็นคนมีค่า ชีวิตของเขาสามารถสร้างสิ่ง ที่มีประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อผู้อื่นเพราะตระหนักว ่าใน 100 คนในโลก มีคนที่มีโอกาสและมีสติปัญญ าสามารถเรียนในระดับมหาวิทย าลัยได้เพียง 5 คนเท่านั้น ถ้าเขาไม่เอาไหนเลยก็คงจะไม ่มีโอกาสได้อยู่ในกลุ่มคนที ่ฝรั่งเรียกว่า TOP 5 % ของโลกเป็นแน่
มนุษย์เลือกที่เกิดไม่ได้ เลือกที่จะมีหน้าตาสวยหรือห ล่อสุดๆ ไม่ได้ เลือกที่จะร่ำรวยมั่งคั่งไม ่ได้ และเลือกที่จะได้สิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกการควบคุมของตนเอ งไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์เลือก ได้อย่างแน่นอน และอยู่ภายใต้การควบคุมของต นเองก็คือ ทัศนคติในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติต่ อการเรียนมหาวิทยาลัย
เชื่อเถอะว่านักศึกษาในวันน ี้จะเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ มีอนาคตแห่งการกินดีอยู่ดีอ ย่างยั่งยืน หรือเป็นบุคคลล้มเหลว เรียนไม่จบมหาวิทยาลัยและเส ียดายโอกาสทองของชีวิตในวัน ข้างหน้านั้นอยู่ที่ตัวทัศน คติ เมื่อแรกเริ่มเรียนมหาวิทยา ลัยนี่แหละเป็นตัวตัดสิน
โดย อ.วรากรณ์ สามโกเศศ
ที่มา...ศูนย์สนเทศและห้องส มุด ม.ธุรกิจบัณฑิตย์
http://www.dpu.ac.th/laic/ page.php?id=6033
นักศึกษาใหม่ทั้งหลายอาจไม่
นั่นแสดงว่าจำนวนคน 300 ล้านคน ในประชากรโลก 6,000 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น ที่มีโอกาสอย่างท่านทั้งหลา
ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังมีร่า
ปัญหาก็คือ เมื่อเราเกิดมาโชคดีขนาดนี้
จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้
ขอยืนยันได้ว่าสิ่งที่ทำให้
คนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะ
ถ้าหากล้มเหลวไม่จบแล้ว โอกาสที่สองนั้นเกิดขึ้นได้
คนที่ประสบความสำเร็จนั้น จะมองเห็นชัดเจนว่า 4 ปีข้างหน้า คือช่วงเวลาแห่งการไต่บันได
คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่ม
คนเหล่านี้จะมองว่าทางลัดสู
ความเก่งในการมีมนุษย์สัมพั
ความเก่งในเรื่องกีฬาและศิล
ความเก่งในเรื่องการพูดโน้ม
ความเก่งในเรื่องการจัดสัดส
ความเก่งในเรื่องการจัดการอ
ความเก่งในเรื่องดนตรี ฯลฯ
เขาเหล่านี้ตระหนักดีว่าโลก
หากมีทักษะความรู้และคุณลัก
มนุษย์เลือกที่เกิดไม่ได้ เลือกที่จะมีหน้าตาสวยหรือห
เชื่อเถอะว่านักศึกษาในวันน
โดย อ.วรากรณ์ สามโกเศศ
ที่มา...ศูนย์สนเทศและห้องส
http://www.dpu.ac.th/laic/
..............................................................................................................................................
ขออีกสักอัน ...
ที่น่าเบื่อนอกจากมีการแชร์
................................................................................................................................
เรื่องราวที่สำคัญระดับโลกแ ละควรแชร์มากที่สุดในโลก!!!
========================== ======
เรื่องราวต่อไปนี้นับได้ว่า เป็นความสำคัญระดับโลก
ซึ่งผมWellness 2012ได้พยายามเผยแพร่แนวคิด และความรู้ด้านนี้มาตั้งแต่ 20 สิงหาคม 2012เป็นต้นมา
แนวคิดและความรู้ด้านนี้เป็ นการพลิกโต๊ะ…..ล้มกระดาน…. ล้มคว่ำอวิชชา ..ความหลงเชื่ออย่างผิดๆตลอ ดมากว่า60ปี
แน่นอนว่าต้องฝืนกระแส ฝ่าแรงเสียดทานอีกมากกว่าที ่คนจะเปิดสมองเปิดใจรับอย่า งดุษฎี
แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะเชื่ อหรือไม่เชื่อ….แต่ก็ต้องยอ มรับด้วยว่าหากคุณไม่เชื่อ… .คุณต้องกล้าเผชิญความเสี่ย งโดยเอาชีวิตและสุขภาพของคุ ณเองเป็นเดิมพัน….ถูกคืออะไ ร ผิดคืออะไร
ไม่มีใครสามารถเป็นตัวประกั นแทนตัวคุณเองได้
และในวันนี้ก็จะมีหมอผู้มีป ระสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยานแ ละแนวร่วมอีกท่านหนึ่งนอกเห นือจาก นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker , Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ ที่ได้เป็นเถวหน้าออกมาช่วย กันเผยแพร่ความเป็นจริงที่ส ั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสห ลักMain stream Medicine จนล้มคว่ำความหลงผิด หลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่ า60ปี
นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่า ตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก ารผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า25ปี เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000ราย ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจ มาหลายหมื่นเส้น ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ป ฏิเสธว่าท่านมีประสบการณ์ตร งไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการในหอคอยงาช้างเป็ นแน่
“ แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell)ขอแสดงความเสียใจเป ็นอย่างยิ่ง และขออภัยอย่างที่สุดเพื่ออ อกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหล ายว่า ความเชื่อของผมและเหล่าบรรด าแพทย์ร่วมทีมของผมเกี่ยวกั บสาเหตูตลอดจนการจัดการการร ักษาโรคหัวใจที่กระทำตลอดมา นั้นไม่ถูกต้อง วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้อง เสียที ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเร ียนการสอน งานวิจัย สัมมนาวิชาการ วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใ ช้เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเ หตูโรคหัวใจและหลอดเลือด และการรักษาที่ผ่านๆมานั้นไ ม่ถูกต้อง !!!!!”
“ ครับเป็นเวลากว่า60ปีที่วงก ารแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเห ตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเล ือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวก ผมจึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่ การทานยาลดคลอเลสโตรอลร่วมก ับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ ่มตัว แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมา กขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมาได้พิ สูจน์แล้วว่าความเชื่อข้างต ้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป “
“ ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายใน ผนังหลอดเลือดต่างหากที่เป็ นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอด เลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพั ด”
เอาล่ะตอนนี้ผมจะขมวดสาระสำ คัญที่นายแพทย์ Dr. Dwight Lundellได้เรียบเรียงไว้ให้ เข้าใจ จดจำเป็นกรอบความคิด เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆกันไป ได้ง่ายขึ้น
1. จากการที่วงการแพทย์มีความเ ชื่ออย่างผิดๆดังกล่าว มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระ ยะ60ปีที่ผ่านมาเดินผิดทางไ ปหมด อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการ ที่เดินผิดทางได้สร้างประชา กรโลกที่เต็มไปด้วยโรคอ้วน เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัด โรค สร้างความสูญเสียชีวิตและทร ัพย์สินเศรษฐกิจอย่างไม่สาม ารถประเมินได้ทีเดียว นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมน ุษยชาติ
2. ทั้งๆที่มีประชากร(โดยเฉพาะ ในสหรัฐอเมริกา)ประมาณ 25%ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ และมีสารพัดอาหารLow fat , Fat free มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มต ัวกันอย่างมากมาย แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า มีประชากรเสียชีวิตอันเนื่อ งจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา60 ปีนี้มากที่สุดในประวัติศาส ตร์ ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่ง อเมริการายงานว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า20 ล้านคน มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes)กว่า57 ล้านคน ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเร ื่อยๆว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่ วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอาย ูน้อยลงๆ (เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก ) มีคำถามตัวโตๆว่าทำไม??
3. คำตอบที่ง่ายๆสั้นๆที่สุดก็ คือ หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะ จับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเ ลือดได้ หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตร อลก็จะไหลลื่นไปตามหลอดเลือ ดได้อย่างเสรี การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คล อเลสโตรอลต้องกลายพันธุ์เป็ นตะกรันจับยึดติดภายในหลอดเ ลือด !!!
4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้ อนอะไร มันคือขบวนการปกติของร่างกา ยเพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแ ปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่ างกาย เช่นเชื้อโรค ไวรัส พิษต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามขบวนการอักเ สบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้โดย เฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รุกรานที่เกิดจากพิษ ร้ายในอาหารการกินที่เซลล์ข องร่างกายไม่คุ้นเคย กำจัดไม่ได้ จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรั ง(ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคื ออันตรายอย่างแท้จริง
5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อ ให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมา กที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน(po lyunsaturated fats)ทีอยู่ในน้ำมันพืชผ่าน กรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลื อง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ และน้ำตาลสูงๆในแป้งขัดขาวแ ละอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลา ยนั่นเอง ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาห ารเครื่องดื่ม ขนม ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปป รุง เจือปน เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬ าร ตลอดเวลา60ปีที่ผ่านมา
6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังห ลอดเลือดที่อักเสบเหมือนที่ ผมเห็นและทำการผ่าตัดมาหลาย หมื่นเส้นตลอด25ปีที่ผ่านมา แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆโด ยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆ อันหนึ่งแล้วก็ถูไปมาบนผิวน ุ่มๆบริเวณท้องแขน ถูไปมาจนค่อยๆแดง เลือดซิบๆ นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดท ี่อักเสบก็คล้ายกันคือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆเข้า หากยังคงอัเสบต่อเนื่องเลือ ดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่ แตก
7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้น ไม่ได้ถูกแปรงใดๆไปขัดถู แต่เนื่องจากร่างกายเรามีระ บบควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ ภายในระดับที่คงที่ ไม่เกินโควตา( ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบา หวานจะมีน้ำตาลลอยปนในกระแส เลือดไม่เกิน6-7 กรัมแล้วแต่ขนาดตัวและปริมา ณเลือดในร่างกาย ) ทันที่ที่เราทานอาหารที่อุด มด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกิ นโควต้า ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการข นน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแ สเลือดไปเก็บไว้ในเซลล์ก่อน ที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไ ขมัน แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอ เพียงอยู่แล้ว อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับห รือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระ แสเลือดจะเข้าไปจับตัวกับโป รตีนหลายๆชนิดในเลือด กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังห ลอดเลือดให้อักเสบ การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆม ื้อจึงเสมือนกับการเอาแปรงไ ปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกค รั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววัน เล่า ผมอยากจะย้ำๆกับท่านว่าผมซึ ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5000 คน ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่น เส้น ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอด เลือดมันติดตาผมว่าไม่ได้แต กต่างจากภาพที่ท่านเห็นหลัง จากเอาแปรงขนแช็งขัดถูผิวหน ังนุ่มบอบางจนช้ำ จนเลือดไหลซิบๆ จนบวมปูด เลือดไหลแต่อย่างใด ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทา นเข้าไปวันละหลายๆมื้อ หลายๆปีนี่แหละเสมือนกับแปร งที่ค่อยๆขัดถูผนังหลอดเลือ ดจนถลอกปอกเปิก อักเสบเรื้อรัง
8. นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถ ึงน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่ นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่ างๆของร่างกายนั้นมีส่วนประ กอบหลักทำด้วยไขมันหลกหลายช นิดผสมผสานกันเพื่อให้คงควา มนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้ าไปในเซลล์ได้เหมาะสม ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซล ล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก ้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 ที่ดีคือ ไม่เกิน 3: 1 แต่ผลจาการที่วงการแพทย์หลง ผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่าส าเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอ ดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะ กระแสโปรโมทน้ำมันพืชว่าเป็ นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6 บางชนิดก็โหนกระแสว่ามีไขมั นโอเมก้า-3 อีกต่างหาก เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือน ต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหาร แต่ดั้งเดิมกลับมาฝากสุขภาพ กับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลาย โดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมว ิธี ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาห กรรมอาหารและเครื่องดื่มทุก แขนง เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้ง หลาย ฟาสต็ฟู๊ดทั้งหลายล้วนกระหน ่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมว ิธีเป็นส่วนผสมและปรุง เช่นมันฝรั่งทอด กรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้ วยน้ำมันพืช( โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่าน้ ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี ้เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ย ังไม่เหม็นหืน ???? ทั้งๆที่โดยหลักการแล้วไขมั นไม่อิ่มตัวทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์โดยออกซิ เจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับค ำศัพธ์ที่ว่า” ผ่านกรรมวิธี” เลยว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่ เหม็นหืน ????
9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผ ิดทาง(ทำนองแม่ปูเดินนำลูกป ู) ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก ็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินข องประชากรขาดความสมดุลอย่าง รุนแรง สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า -6 และไขมันโอเมก้า-3 กลายเป็น 15:1 จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1 ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์เสียหา ยอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสาร เคมีที่เรียกว่า cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื ้อรังและรุนแรง
10. ปํญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเ กินไป ทานน้ำตาลมาก ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ cytokines และสารเร่งการอักเสบนานาชนิ ด หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็ มขั้นจนกลายไปเป็นโรคเบาหวา น ความดันสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน อัมพฤกษ์ อัลไซเมอร์ ฯลฯ ผมขอย้ำว่าร่างกายมนุษย์ไม่ ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อปร ิมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6 ปริมาณสูงๆจากน้ำมันพืชผ่าน กรรมวิธีที่มนษย์ประดิ่ษฐ์ข ึ้นมา ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพ ด1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สู งถึง 7,280 mg น้ำมันถั่วเหลือง1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สู งถึง 6,940 mg ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อส ัตว์ธรรมชาติซึ่งมีไขมันโอเ มก้า-6ไม่เกิน20%
11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประช ากรโลกก็คือกลับไปสู่เมนูอา หารที่ปรุงสด ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได ้ ตัดน้ำตาลและความหวานทั้งหล าย ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี( ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆจึง ไม่เหม็นหืน???) ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีว ิตประจำวัน
12. นับจากนี้ไป คำว่าคาร์โบไฮเดรตนั้นหมายถ ึงให้ทานแต่คาร์โบไฮเดรตเชิ งซ้อนที่เมื่อย่อยในร่างกาย แล้วค่อยๆกลายเป็นน้ำตาลอย่ างช้าๆ ไม่ท่วมเลือดทันที เช่นถั่ว ธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ ไม่ใช่แป้งขัดขาว ไม่ใช่น้ำตาลทราย ทานโปรตีนเพื่อเสริมสร้างกล ้ามเนื้อ หากต้องการใช้น้ำมันปรุงอาห ารให้คิดถึงน้ำมันมะกอก
13. ถ่ายถอน โล๊ะทิ้งสารพัดข้อมูลซึ่งท่ วมทับเราที่ผ่านๆว่า “ ไขมันอิ่มตัวทำให้เป็นโรคหั วใจ” “ ไขมันอิ่มตัวทำให้ระดับคลอเ ลสโตรอลในเลือดสูงขึ้น” เหล่านี้เป็นเรื่องไม่สมเหต ุสมผลอีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาที่วงการแพทย์ต้องออ กมาแสดงความรับผิด ในความผิดพลาดเหล่านี้ จนทำให้ไขมันอิ่มตัวกลายเป็ นผู้ร้ายแต่ทำให้ไขมันโอเมก ้า-6กลายเป็นพระเอก จนทำให้โรดร้ายแรงทั้งหลายแ พร่ระบาดไปทั้งโลกทั่งๆที่ไ ม่ใช่โรคติดต่อ !!!!
เขียนโดย นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell
แปลเรียบเรียงโดย Wellness 2012
==========================
เรื่องราวต่อไปนี้นับได้ว่า
ซึ่งผมWellness 2012ได้พยายามเผยแพร่แนวคิด
แนวคิดและความรู้ด้านนี้เป็
แน่นอนว่าต้องฝืนกระแส ฝ่าแรงเสียดทานอีกมากกว่าที
แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะเชื่
ไม่มีใครสามารถเป็นตัวประกั
และในวันนี้ก็จะมีหมอผู้มีป
นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่า
“ แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell)ขอแสดงความเสียใจเป
“ ครับเป็นเวลากว่า60ปีที่วงก
“ ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายใน
เอาล่ะตอนนี้ผมจะขมวดสาระสำ
1. จากการที่วงการแพทย์มีความเ
2. ทั้งๆที่มีประชากร(โดยเฉพาะ
3. คำตอบที่ง่ายๆสั้นๆที่สุดก็
4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้
5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อ
6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังห
7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้น
8. นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถ
9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผ
10. ปํญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเ
11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประช
12. นับจากนี้ไป คำว่าคาร์โบไฮเดรตนั้นหมายถ
13. ถ่ายถอน โล๊ะทิ้งสารพัดข้อมูลซึ่งท่
เขียนโดย นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell
แปลเรียบเรียงโดย Wellness 2012
Supapong Wanitpongpan "เห็นจำนวนคนแชร์เกือบ 6,000 ลิงค์ทำเอาผมตกใจ ... งั้นเรามาดูเหตุ-ผลที่น่าสนใจในเรื่องนี้นะครับ
1. จากการที่ผมค้นหาในฐานข้อมูล พบว่า อีตาหมอคนนี้ Lundell พบว่า ไม่มีผลงานวิจัย หรือผลงานวิชาการสักชิ้นเดียวเกี่ยวกับไอ้ที่เขียนมา
2. ไม่มีผลงานวิชาการ แต่เสือกมีงานเขียน pocket book ออกมา ถ้าอ่านด้านล่างก็จะเห็นว่า ทั้งหมดมาจากความคิดของอีหมอนี่คนเดียว สรุปคือ กูคิดเอง เออเอง นั่งเทียนเขียนหนังสือมาเล่มนึงแบบทฤษฏีสมรู้ร่วมคิด หักล้างทฤษฏีเดิมแบบสะท้านโลก ซะงั้น
3. เจ้าตัวเป็นหมอศัลยแพทย์โรคหัวใจ ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งที่สะท้อนว่าเจ้าตัวจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งที่เขียนเลย (หมอผ่าตัด หน้าที่ก็คือผ่าตัดเป็นหลักนะครับ ไม่ใช่จะมีความรู้หลักเป็นการพิสูจน์พื้นฐาน พยาธิสภาพของโรค)
4. ประวัติส่วนตัวของอีตานี่ก็เชี่ยมากครับ ... เคยถูกพักใช้ใบอนุญาติไป 2 ปี สองครั้ง เพราะ "รักษาไม่ได้มาตรฐาน" ... และสุดท้าย ปี ค.ศ. 2008 ถูกยึดใบอนุญาติประกอบโรคศิลป์ฯ ตลอดชีพ เพราะ "ทำการรักษาไม่ได้มาตรฐาน" ... ครับ รักษายังไม่ได้มาตรฐาน แต่เสือกเขียนหนังสือหักทฤษฏี น่าเชื่อถือสุดยอดนะครับ"
~ตรรกะ~
..........................................................................................................................
.......................................................................................................................................
คนโง่นี่มันโง่จริงๆ
Supapong Wanitpongpan "ราคาน้ำมันลดลงทั้งโลก
แต่เพจทวงคืนพลังงานบอกว่า ปตท และรัฐบาลจงใจลดราคาน้ำมันเพราะกลัวกระแสจากเพจทวงคืนพลังงาน แหม่ ช่างใหญ่โตคับบ้านคับเมืองจริงๆเลยพ่อคู้ณณณณ"
~Drama-addict~
Phongsakorn Thavornan คนโง่นี่มันโง่จริงๆ
.....................................................................................................................
the Man Who Saved the World
http://idealistrevolution.blogspot.in/2013/03/the-man-who-saved-world.html
.........................................................................................................................
"อ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ วิจารณ์ภาพข่าวในนสพ. คมชัดลึก
'ฮาร์วาร์ด'สุดยอดม.โลก 'มหิดล-จุฬาฯ'ติดกลุ่มอันดับ201
"ประเด็นไม่ใช่เนื้อหาข่าว ผมมีปัญหากับคมชัดลึกอันนี้... คือภาพตัวแทนของสองมหาวิทยาลัยน
"คุณดูภาพ ภาพลักษณ์ของมหิดลฯคือโรงเรียนดนต
"เรากำลังพูดถึงมหาวิทยาลัยระดั
"ผมอุตส่าห์สอนนักเรียนผมแทบตาย
6 มีนาคม 2556"
..............................
มีคนเอาคำวิจารณ์ของอาจารย์พิชญ
ทั้งๆที่แนวความคิดที่อาจารย์นำ
ใครที่ไม่ได้อ่าน ก็แนะนำให้อ่านให้หมดนะครับ
การตัดมาแค่ท่อนสุดท้าย แล้วนำมาวิจารณ์
ผมมองว่า "ไม่แฟร์" ครับ!
..................................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น