วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

25/03/2556



นาย ก : พม่าเตรียมเปิดท่าเรือน้ำลึกทวายครับ
นาย ข : แม่งเอ๊ย ถ้าไทยขุดคอคอดกระตั้งกะตอนนั้น พม่าไม่ได้เกิดหรอกครับ รัฐบาลแม่งไม่รู้ทำอะไรอยู่
นาย ก : เวียดนามสร้างรถไฟความเร็วสูงเสร็จแล้วนะครับ
นาย ข : โห ไทยแม่งยังใช้รถไฟสมัย ร.5 อยู่เลยครับ ไม่รู้ต้องตามชาวบ้านไปอีกนานแค่ไหน
นาย ก : แบบนี้เรากู้มาสร้างบ้างดีมั้ยครั
นาย ข : อีเหี้ย นี่มึงจะหาเรื่องแดกกันอีกแล้วเหรอครับ

Cr : มิตรสหายท่านหนึ่ง


........................................................................................................



นางนากมีอยู่จริง "มีตัวตนจริง" "เป็นคนจริงๆ"

นางนาก มีการแต่งขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ดัดแปลงซะจนภาพนางนากบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว หากเป็นแก้วน้ำก็คงจะใช้แล้วใช้อีกจนยับยู่ยี่สืบหายี่ห้อเดิมไม่ได้

แต่เรื่องแม่นากพระโขนงได้มีคุณอเนก นาวิกมูล สืบค้นจนคาดว่าต้นฉบับแรกน่าจะแต่งโดย ก.ศ.ร.กุหลาบ ผู้แต่งเรื่องนางนาก แต่ถูกนำมาเผยแพร่เมื่อ พ.ศ.2522 แต่อันที่จริงแล้วท่านได้เขียนลงในหนังสือสยามประเภทตั้งแต่ฉบับมีนาคม พ.ศ.2442 แล้ว

แฟนคลับของสยามประเภทได้ส่งจดหมายถามความเรื่องนางนากว่ามีความเป็นมาอย่างไร ก.ศ.ร.กุหลาบ จึงตอบว่า เมื่อสมัยรัชกาลที่ 3 อำแดงนาก เป็นลูกของขุนศรีนายอำเภอ บ้านอยู่ปากคลองพระโขนง เป็นเมียนายชุ่ม ต่อมาอำแดงนากคลอดลูกจนตาย นายชุ่มจึงเอาศพไปฝังที่ป่าช้าวัดมหาบุศย์ ต่อมาจึงได้มีผีนางนากไปหลอกแกล้งผู้คนจนทั่วพระโขนง แต่ผีนางนากที่ว่าไม่ใช่ “ผีจริง” แต่เป็น ผีปลอมที่เป็นลูกของนายชุ่มเอง ได้แต่งตัวเป็นแม่ของตนหลอกชาวบ้าน เพราะไม่อยากให้พ่อ(นายชุ่ม) มีเมียใหม่ เรื่องนางนากฉบับนี้แสดงให้เห็นสองประเด็นว่า

1.นางนากฉบับนี้เป็นเรื่องราวตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 อันเป็นสมัยที่ ก.ศ.ร.กุหลาบเกิด
2. นางนากที่เรื่องที่คาดว่าเป็นต้นฉบับนี้ “ไม่มีผีจริง” อำแดงนาก(นางนาก) มีตัวตนอยู่จริงสมัยรัชกาลที่ 3 แต่นางนากคนนี้ตายแล้วตายเลย ไม่มีอะไรฟื้นมาหลอก ไอ้ที่หลอกหน่ะ ลูกเค้าหวงพ่อ

สมัยต่อมา นางนากเว่อร์ชั่นที่ 2 ออกมาอีก แต่งโดยรัชกาลที่ 6 นามปากกาว่า C.H.T แต่งเรื่อง “The Second of Phra-Kanong” เป็นภาษาอังกฤษ แต่แต่งไม่จบ เรื่องฉบับร.6 นี้ เป็นการสนทนากันระหว่าง ตัว C.H.T กับ ซิดนีย์ คิงส์เวลล์ ตำรวจลับสยาม

คิงส์เวลล์เล่าว่ามีผีนากพระโขนงตัวใหม่เกิดขึ้น คือ นางนากเป็นเมียนายขำ ซึ่งเป็นผู้มีเงินในสมัยนั้น แต่นางนากได้ตายหลังจากการคลอดลูก หลังจากนั้นนายขำก็อยากจะมีเมียใหม่ ประจวบเหมาะกับผีนางนากโผล่ขึ้นมาพอดี พอคิงส์เวลล์ได้ลงไปสืบความจากพื้นที่จริง.... เรื่องก็จบลงเท่านี้ เพราะร.6 ทรงแต่งไม่จบ

แต่หลังจากนั้น พ.ศ.2448 ร.6 ก็แต่งต่อจนจบ แต่คราวนี้เป็นตัวละครใหม่หมด
โดยตัวละครยังเป็นตัวสืบเรื่องนายทองอิน กับนักสืบเชลยศักดิ์ ชวนกันไปสืบเรื่องผีนางนาก ที่บ้านพันโชติ นายพันโชติมีเมียชื่อนาก ได้ตายไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน จึงอยากจะมีเมียใหม่ แต่ก็ได้รับจดหมายข่มขู่ว่าหากมีเมียใหม่จะได้เห็นดีกัน พอนักสืบทั้งสองสืบเรื่องต่อไปจนพบความจริงว่า ผีนางนากที่ออกมาหลอกออกมาขู่ ก็คือ นายชมลูกชายของนายพันโชติกับนายปริกเพื่อนสนิท นายชมให้เหตุผลว่า “ไม่อยากให้พ่อมีเมียใหม่”

เรื่อง นางนาก ของ ร.6 จึงเหมือนเช่น ก.ศ.ร.กุหลาบ เป๊ะ เปลี่ยนเพียงแค่ตัวละครและเนื้อเรื่องที่ดูสนุกขึ้น

ต่อมา พ.ศ.2455 เรื่องนางนากก็กลายมาเป็นบทละครร้อง แต่งโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ชื่อว่า “อีนากพระโขนง” และนางนากเวอร์ชั่นนี้เองที่ได้เป็นต้นฉบับนางนากที่หลอกหลอนผู้คนยันปัจจุบันนี้

นางนากฉบับกรมนราธิปฯ ได้มีตัวละครใหม่ขึ้นมาคือ นายมาก ผัวอีนาก เรื่องมีอยู่ว่าอีนากตายทั้งกลม พอไอ้มากกลับมาจากการเข้าเดือนแล้ว ก็เจอผีนาก ที่รอรับสามีพร้อมลูก อยู่กันไปนานวันเข้าไอ้มากก็พบว่าเมียตัวเองจริงๆ แล้วก็คือ “ผี” โดยจุดไคลแมกซ์อยู่ตรง ผีนากเอื้อมมือยาวยืดไปหยิบลูกมะเดื่อมาจิ้มน้ำพริกกิน

หลังจากฉบับกรมนราธิปฯ แล้ว นางนากก็กลายเป็นนิยายคำกลอน ลำตัด ละครวิทยุ จนมาโลดแล่นอยู่ในจอภาพยนตร์ครั้งแรกใน พ.ศ.2479 ชื่อว่า “นางนาคพระโขนง” สร้างโดย มรว.อนุศักดิ์ หัสดินทร

จะเห็นได้ว่า อันที่จริงแล้ว เรื่องนางนาก เป็น “เรื่องจริง” ที่เกิดขึ้นจริงมีนางนากเป็นคนจริงๆ แต่เป็นเมียนายชุ่ม ไม่ใช่เมียไอ้มาก แต่ “ไม่ใช่ผีจริง” เพิ่งจะกลายเป็นผีจริงตามฉบับของกรมนราธิปฯ จนเมื่อนำไปทำเป็นภาพยนตร์ หลังจากนั้นอิทธิฤทธิ์อีนากก็หลอกหลอนคนไทยมาจนทุกวันนี้

เรื่องนางนากจึงเป็นอีกตัวอย่างสำคัญที่สื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง อุปโลกน์เรื่องราวหาจุดขายเพื่อผลความบันเทิง? และผลประโยชน์ส่วนตนขึ้นมา...


.................................................................................................................




"...ผู้มองโลกแง่ร้ายจะเห็นแต่ความยากลำบากในทุกๆ โอกาส
ส่วนผู้มองโลกแง่ดีจะเห็นแต่โอกาสในทุกๆ ความลำบาก..."


.......................................................................................................................




อ่านข่าวที่บอกว่าคนไทยมีทักษะภาษาอังกฤษย่ำแย่ทีไร อ่านความเห็นของคนไทยพวกนี้แล้วโคตรบันเทิงเลยว่ะ

http://education.kapook.com/view59068.html


..................................................................................................................




ความสุขอยู่ที่ใด
ธามาดา
ฉันไม่มีความสุข...

ฉันไม่ชอบงานที่ฉันทำ เพราะมันน่าเบื่อและไม่มีที่สิ้นสุด
ฉันไม่ชอบเจ้านาย เพราะเขาไม่เคยคิดหรือทำอะไรเองนอกจากชี้นิ้วสั่งกับดุด่าฉันเท่านั้น
ฉันไม่ชอบเช้าวันจันทร์ เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ตื่นขึ้นมาเผชิญโลกที่โหดร้าย แต่ละสัปดาห์ของการทำงานดูราวกับการคืบคลานไปท่ามกลางสนามรบ
ฉันไม่ชอบเช้าวันอังคาร เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งทำงานไปได้วันเดียวยังมีอีกหลายวันที่โหดร้ายรออยู่
ฉันไม่ชอบเช้าวันพุธ เพราะเป็นวันที่ฉันเริ่มตื่นขึ้นมาพร้อมกับความล้าและพบว่าเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น
ฉันไม่ชอบเช้าวันพฤหัสบดี เพราะเป็นวันที่ฉันเหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดหลายวัน แต่ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินต่อไป พรุ่งนี้ก็ยังต้องทำงาน
ฉันไม่ชอบเช้าวันศุกร์ เพราะฉันเหนื่อยจนแทบลุกจากเตียงไม่ไหวแล้วแต่ก็ยังต้องลุกไปทำงาน
ฉันไม่ชอบเช้าวันเสาร์ เพราะฉันอยากตื่นสายๆ แต่กลับมีเด็กบ้านใกล้ๆวิ่งเล่นเสียงดังจนต้องตื่นแต่เช้า
ฉันไม่ชอบเช้าวันอาทิตย์ เพราะฉันจะถูกปลุกแต่เช้าเช่นกันด้วยเสียงเครื่องดูดฝุ่นกับเสียงตัดต้นไม้และเครื่องตัดหญ้าชองเพื่อนบ้าน
ฉันไม่ชอบวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะมันทำให้ร้านรวงในกรุงเทพฯปิด จะซื้อหาอะไรก็ยาก จะออกไปต่างจังหวัดคนก็มาก ฉันเคยเห็นรถติดบนยอดเขาห่างไกลในวันสิ้นปีมาแล้ว
ฉันไม่ชอบรถติด เพราะมันทำให้ฉันถึงที่ทำงานช้า
ฉันไม่ชอบรถเมล์ เพราะฉันต้องยืนเบียดกับคนแปลกหน้าและร้อนอบอ้าว
ฉันไม่ชอบบ้านเช่าที่ฉันอยู่ เพราะมันคับแคบแออัด เปิดหน้าต่างออกไปเห็นแต่ตึกบังท้องฟ้า
ฉันไม่ชอบบ้านเดิมที่ต่างจังหวัด เพราะมันห่างไกลมากและมีแต่ความกันดาร
ฉันไม่ชอบนิยายน้ำเน่า เพราะมันไม่เคยให้แง่คิดหรือช่วยพัฒนาจิตใจของเราให้ดีขึ้นเลย
ฉันไม่ชอบหน้าร้อน เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกอบอ้าวและหงุดหงิดทั้งวัน
ฉันไม่ชอบหน้าฝน เพราะมันทำให้ฉันเปียกแฉะ เดินทางลำบาก ตากผ้าก็ไม่แห้ง
ฉันไม่ชอบหน้าหนาว เพราะมันทำให้ฉันเป็นหวัดและไม่มีชีวิตชีวา
ฉันไม่ชอบมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนจบมา เพราะมันไม่ค่อยมีชื่อเสียง ทำให้ฉันหางานทำลำบาก
ฉันไม่ชอบกรุงเทพ เพราะที่นี่มีแต่ความเบียดเสียด ทุกอย่างเร่งรีบและดิ้นรนผู้คนเห็นแก่ตัว

ฉันไม่มีความสุข...
ความสุขอยู่ที่ไหนกัน...

.......................................................................................................................


วันหนึ่งฉันยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ แม่ลูกคู่หนึ่งนั่งรอรถอยู่ใกล้ๆ ผ่านไปสักพักอยู่ๆลูกชายวัยซนของหญิงคนนั้นก็ชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าและบอกกับแม่ “แม่หมาอยู่บนฟ้า”
“ไหนลูก” แม่ขมวดคิ้วแล้วโน้มตัวมองตามลูก “อ๋อ เมฆน่ะเหรอลูก ดูเป็นหมายังไงนะ”
“นี่ไงแม่ ตรงที่ยื่นๆออกมานี่เป็นหัวหมา นี่หูมัน มีขาหน้าด้วย”
“แล้วขาหลังล่ะลูกไม่เห็นมีเลย”
“มันกระโดดออกจากปุยนุ่น ขาหลังมันเลยจมในปุยนุ่น” เด็กชายว่า
ฉันหันไปมองเมฆก้อนนั้นตามด้วนความอยากรู้อยากเห็นแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมันเป็นแค่ก้อนเมฆสีขาวไร้รูปทรงธรรมดารูปหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความเหมือนกับหมาตรงไหนเลย ฉันยักไหล่แล้วหันไปชะเง้อมองรถเมล์บนถนนตามเดิม เสียเวลาฟังเจ้าเด็กฟุ้งซ่านจริงๆ
“เหรอ...แต่แม่ว่ามันดูเหมือนกับยีราฟนะลูก เห็นมั้ย คอมันยาวเป็นยีราฟเลย หูชี้ด้วย”
“ไม่ใช่นะแม่ ยังเป็นหมาอยู่ หมาคอยาวๆโอ๊ยๆๆทำไมขามันหายไปแล้วล่ะ”
“ข้างบนลมคงพัดแรงน่ะลูก เมฆมันเป็นแค่ไอน้ำที่ลอยในอากาศและจับตัวกันเป็นก้อน พอลมพัดมันก็เปลี่ยนรูปร่างเหมือนกันตอนที่ลูกเป่าควันในชามก๋วยเตี๋ยวร้อนๆไงจ๊ะ”
ฉันเงยหน้ามองก้อนเมฆไอน้ำสีขาวบนทั้งฟ้าอีกครั้ง ฉันมองอย่างไรก็เห็นเป็นเพียงแต่เมฆธรรมดาๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่แม่ลูกคู่นั้นเห็นเป็นสัตว์ต่างๆมากมาย ทำไมของสิ่งเดียวกันแต่คนสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันกลับมองไม่เหมือนกัน หรือว่ามาลูกคู่นี้เห็นในสิ่งที่ฉันไม่เห็น...

บนรถเมล์ที่ฉันโหนไปทำงาน เด็กนักเรียนสองคนใกล้ๆ กำลังพูดถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
“ทำไมแกรีบอ่านหนังสือคร่ำเคร่งนัก กว่าจะสอบก็ปีหน้าไม่ใช่เหรอ”
“ต้องรีบอ่านสิ อีกแค่ปีเดียวพวกเราต้องสอบแล้วนะ นี่อ่านแทบไม่ได้นอนมาหลายเดือนแล้ว”
“เหรอ...”
“แล้วแกล่ะ ทำไมจนป่านนี้ยังไม่อ่านหนังสือสักที”
“ไม่ต้องรีบหรอก อีกตั้งปีกว่าจะถึงวันสอบ”
ฉันมองตามหลังเด็กทั้งสองขณะที่พวกเขาเดินลงจากรถหน้าโรงเรียน นับว่าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนสองคนที่มองสิ่งเดียวกันต่างออกไป คนหนึ่งมองอย่างเป็นทุกข์ อีกคนมองอย่างไม่ทุกข์ หรือว่าทุกสิ่งรอบตัวสามารถมองได้สองแบบจริงๆ แบบเดียวกับที่ฉันมองสองด้านของเหรียญหรือมองแก้วน้ำที่มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว

แล้วที่ฉันไม่มีความสุขอยู่ทุกวันนี้เกิดจากการมองของฉันใช่หรือไม่...

เย็นวันนั้นฉันกลับบ้านมานั่งพักที่ระเบียง แมวดำตัวหนึ่งกำลังพยายามจะมาคุ้ยหาขยะในถุงดำที่มัดกองไว้หน้าบ้าน แต่แรกฉันทำท่าจะถอดรองเท้าขว้างใส่แบบที่เคยทำมา แต่พอคิดไปอีกทางว่าการเกิดเป็นแมวจรจัดไร้เจ้าของและที่ซุกหัวนอนนั้นก็แย่พออยู่แล้ว ยังต้องมาคุ้ยขยะหาอาหารประทังชีวิตให้รอดแล้วยังถูกคนขับไล่อีกไปที่ไหนก็มีแต่คนไม่ต้อนรับเอ็นดู
ฉันลองเปลี่ยนความคิดดู หันหลังเดินเข้าครัว หยิบไส้กรอกอีสานและแฮมในตู้เย็นออกมาอุ่นเล็กน้อย จากนั้นก็เปิดประตูบ้านออกไป แมวดำยังอยู่ที่กองขยะหน้าบ้าน แสงจากเสาไฟฟ้าที่ส่องสลัวลงมาถึงตัวของมันทำให้มองดูเหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลก ฉันส่งเสียงเลียนแบบแมวดังเมี้ยวๆ จนมันหันมามอง
“กินซะนะ อยู่ด้วยกันมานานฉันเพิ่งจะมาใจดีวันนี้แหละ”
แมวตัวนั้นค่อยๆเดินมาอย่างกล้าๆกลัวๆจนมาหยุดใกล้ๆฉันจึงวางไส้กรอกอีสานกับหมูแฮมลงบนพื้น แมวจรจัดส่งเสียงร้องเหมียวๆขณะก้มลงดมอาหารมื้อพิเศษนั้น ในที่สุดมันก็กินอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียว
ฉันยืนกอดอกมองภาพแมวที่กำลังกินอาหารที่ฉันหามาให้อย่างมีความสุข เพิ่งได้รู้กับตัวเองว่าการไล่แมวกับการให้อาหารแมวนั้นมันให้ความสุขทางใจที่แตกต่างกันมากกขนาดนี้เอง
ต่อจากนี้ไปฉันจะมีความสุข...

.........................................................................................................

ฉันชอบงานที่ฉันทำ เพราะมันให้โอกาสฉันได้แสดงฝีมือทำงานเพื่อส่วนรวมและมีรายได้มาเลี้ยงตัวเอง งานทั้งหลายนั้นดูช่างท้าทายฉันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ฉันชอบเจ้านาย เพราะเขาให้โอกาสฉันคิดและตัดสินใจลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเองโดยพยายามตัดเตือนแนะนำเมื่อฉันทำงานผิดพลาด
ฉันชอบเช้าวันจันทร์ เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกเหมือนทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งสัปดาห์นี้จะต้องดีกว่าสัปดาห์ที่แล้ว
ฉันชอบเช้าวันอังคาร เพราะเป็นวันที่ฉันเพิ่งทำงานไปได้วันเดียว ยังมีอีกหลายวันที่สนุกสนานรออยู่ เพื่อนที่ทำงานยังรอฉันอยู่
ฉันชอบเช้าวันพุธ เพราะเป็นวันที่ฉันเริ่มตื่นขึ้นมาพร้อมความล้าเล็กน้อยและพบว่าเวลาผ่านไปครึ่งทางแล้ว ฉันจะรีบทำงานในเวลาที่เหลือให้ดีที่สุด อีกไม่นานฉันจะได้พักผ่อนวันหยุดแล้ว
ฉันชอบเช้าวันพฤหัสบดี เพราะเป็นวันที่ฉันเห็นความคืบหน้าของงานในสัปดาห์นี้มากมาย หากฉันไม่จัดการงานพวกนี้ บริษัทและทุกคนในบริษัทคงลำบากมากฉันรู้ว่าฉันมีส่วนร่วมในการผลักดันบริษัทของฉัน
ฉันชอบเช้าวันศุกร์ เพราะฉันจะให้กำลังใจตัวเองว่านี่คือวันทำงานวันสุดท้ายแล้วฉันจะจัดการทุกสิ่งไม่ให้คั่งค้างเพื่อให้พรุ่งนี้และมะรืนนี้เป็นวันหยุดที่แสนสบาย
ฉันชอบเช้าวันเสาร์ เพราะฉันจะตื่นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของเด็กบ้านใกล้ๆที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ฟังดูสดชื่นมีชีวิตชีวา จากนั้นฉันจะเริ่มทำความสะอาดบ้านและมองดูบ้านที่สะอาดขึ้นทีละน้อยอย่างภูมิใจ
ฉันชอบเช้าวันอาทิตย์ เพราะฉันจะตื่อนแต่เช้าเช่นกันเพื่อเตรียมหุงหาอาหารใส่บาตรพระที่ผ่านมาหน้าหมู่บ้าน จากนั้นฉันจะไปซื้อของและกลับมาพักผ่อนที่บ้าน รอคอยสัปดาห์ใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น
ฉันชอบวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะมันทำให้ฉันมีเวลาส่วนตัวให้ตัวเองและครอบครัวมากขึ้น
ฉันชอบรถติด เพราะมันทำให้ฉันเพลิดเพลินกับการฟังเพลงวิทยุช่องโปรดและเหม่อมองสิ่งต่างๆรอบตัวนานขึ้น
ฉันชอบรถเมล์ เพราะฉันมองเห็นคนมากมายที่กำลังร่วมทางกันอยู่บนรถคันเดียวกัน แต่ละวันที่ได้พบกับผู้คนบนรถเมล์ฉันมักจะได้แง่คิดดีๆ จากการเงี่ยหูฟังพวกเขาคุยกันอยู่เสมอ
ฉันชอบบ้านเช่าที่ฉันอยู่ เพราะมันดูกะทัดรัดดูแลทำความสะอาดได้ง่าย มีเพื่อนบ้านมากมายคอยช่วยเป็นหูเป็นตาให้
ฉันชอบบ้านเดิมที่ต่างจังหวัด เพราะมันห่างไกลจากความวุ่นวายในเมืองหลวง และฉันมักจะกลับไปพักผ่อนเติมพลังอยู่เสมอเมื่อเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตในเมือง
ฉันชอบนิยายน้ำเน่า เพราะมันทำให้ฉันผ่อนคลายและได้ล่องลอยไปในโลกความฝันบ้างหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
ฉันชอบหน้าร้อน เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกถึงชีวิตชีวารอบข้าง เสียงแมลงต่างพากันร้อง นกต่างพากันบินออกหากิน ดอกไม้เบ่งบาน
ฉันชอบหน้าฝน เพราะมันช่างดูอบอุ่นชุ่มเย็น การเฝ้ามองต้นไม้เขียวขจีต้องลมฝนจากใต้ชายคาบ้านฉันเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ
ฉันชอบหน้าหนาว เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกเย็นสบาย ได้หยิบเสื้อหนาวสวยๆในตู้ออกมาใส่จะเดินออกไปไหนมาไหนก็กระชุ่มกระชวย นอนหลับก็สบายไม่ต้องเปิดพัดลม
ฉันชอบมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนจบมา เพราะมันไม่ค่อยมีชื่อเสียง หากฉันทำงานของฉันจนประสบความสำเร็จฉันจะกลายเป็นบุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยของฉันจะเป็นที่ยอมรับของทุกคน
ฉันชอบกรุงเทพ เพราะที่นี่มีผู้คนมากมาย และมีบทเรียนใหม่ๆ ที่จะคอยสอนใจฉันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น เหมือนกับที่มันเคยสอนฉันให้มองโลกอย่างมีความสุขมาแล้
ฉันมีความสุข...
ความสุขอยู่ในทุกหนแห่งและอยู่ที่ตัวฉันเอง...อยู่ที่ฉันจะตั้งใจมองหามันในทุกสิ่งรอบข้างเองหรือไม่เท่านั้น...


.................................................................................................................



ต้องแยกตัวเองให้ออกนะครับ ว่าเป็นนักลงทุน หรือ นักเก็งกำไร

ไม่เอานะครับ" ลงทุนแบบเก็งกำไร " หรือ " เก็งกำไรแบบลงทุน "

แหม่


...............................................................................................................



ประโยคนี้เคยเห็นหลายครั้ง
แต่ครั้งนี้ชอบรูปประกอบมาก ^^


...................................................................................................................




คนบางพวกนี่ก็เรียกร้องให้คนอื่นเคารพศาสนาเค้าจังเลยนะครับ แต่ไม่ได้ดูเลยว่าศาสนาอันแสนดีของเค้าทำอะไรไว้บ้าง
แปลจาก: www.facebook.com/photo.php?fbid=329038127208002&set=a.205844209527395.39460.205838939527922
//002



ไม่แต่เฉพาะในเชิงศาสนาครับ
ด้านการเมือง หรือด้านอื่นๆที่มีความขัดแย้งก็เป็นเช่นเดียวกัน


...........................................................................................................


ยกฟ้องอีก 2 ผู้ต้องหาคดีเผาเซ็นทรัลเวิร์ล พ.ค.53


http://prachatai.com/journal/2013/03/45925


อ้าวววว!
ยกฟ้องไปจนหมดแล้ว ใครทำล่ะทีนี้?

เอ๊ะ! ว่าแต่
ทำไมคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงได้ทวงบุญคุณช่อง 3 ตอนช่วงเลือกตั้งผุ้ว่า
ว่าเป็นคนช่วยไว้จากการถูกเผา
ทั้งๆที่เสื้อแดงที่จะมาเผามีอาวุธครบมือ เช่น M16 (แสดงว่าคุณสุเทพ เป็นที่ชื่นชอบอย่างยิ่งในหมู่เสื้อแดง)
ทั้งๆที่ช่อง 3 คุณประวิทย์ มาลีนนท์เป็น 1 ในบ้าน 111 ของไทยรักไทย

สงสัยครับสงสัย.......


......................................................................................................................




สักมวนไหมหล่ะเมิง?


............................................................................................................................


........................................................................................................................




ขอสาบานให้ฟ้าผ่าตาย!!!


..........................................................................................................................




สงสัยคงหิวมากแน่เลย!!


Sahapol Nakvanich คงหิวน่าดู !!

...........................................................................................................................


..........................................................................................................................




ที่คนรุ่นเก่ารักษาเอกราชเอาไว้ เค้าไม่ได้ทำเพื่อให้คนรุ่นหลังปิดกั้นการศึกษานะครับ


.......................................................................................................................




นามบัตร..


.............................................................................................................



...........................................................................................................................





























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น