วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

18/03/2556


.............................................................................................................................





ที่ท่านเห็นนั้นจริงหรือ ว่าเราคือใคร
(คำชี้แจงจากทีมงานตอบโจทย์ประเทศไทย)
----------------------------------------------------

มีผู้ชมหลายท่าน ที่อาจไม่เคยมีโอกาสได้ชมรายการอย่างต่อเนื่อง โพสต์ว่า ตอบโจทย์และภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ชอบเชิญเสื้อแดงมาออกรายการ ทางทีมงานยืนยันว่าจริง เพราะแขกรับเชิญเหล่านี้ อาจมีบางวันที่เคยสวมเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็น อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี - น.พ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี - ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิ ชัยพัฒนา - น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส

บางท่านกล่าวว่าแขกรับเชิญในรายการไม่มีราคา ทางทีมงานเองก็มิอาจประเมินราคาของท่านเหล่านี้ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น บรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี - พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี - พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี - อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

บางท่านบอกว่ารายการเราเลือกข้าง ซึ่งก็น่าจะจริงอีกเช่นกัน เพียงแต่เราเลือกทั้งสองข้าง สลับกันไปมา จนคนที่ดุด่าเรา อีกทั้งบรรดามวลชนและสื่อในมือ ก็อาจจะลืมไปแล้วว่า เคยมารายการตอบโจทย์วิจารณ์ฝ่ายตรงข้ามอย่างเผ็ดร้อนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สนธิ ลิ้มทองกุล - จำลอง ศรีเมือง - พิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตร - ธิดา ถาวรเศรษฐ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ซึ่งล้วนแต่เคยผ่านเวทีตอบโจทย์ ในช่วงที่อยู่ตรงกันข้ามกับอำนาจรัฐ และสื่อทั้งหมด แทบจะไม่กล้าให้เวลาและพื้นที่ออกอากาศ

บางท่านกล่าวหาว่าพิธีกรรายการ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา อยู่ฝ่ายล้มสถาบัน เพราะเชื่อมั่นว่าไปเอาอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสุกลมาออกรายการ ต้องมีแผน แต่ลืมไปว่าหนึ่งวันก่อนหน้า เราเชิญ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย มาออกในเวลา 45 นาที ก่อนจะถึงอาจารย์สมศักดิ์ และเพื่อไม่ให้หนักใจผู้ชม เราจึงเชิญ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร มาออกต่อในเวลาเท่ากัน กลายเป็น 2 ต่อ 1 หรือ 90 นาที ต่อ 45 นาที

ส่วนสองวันสุดท้ายที่ถูกตั้งคำถาม เป็นการเผชิญหน้ากันตัวต่อตัว ระหว่างสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กับ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้ประกาศตนเองว่าเป็นรอยัลลิสต์ขนานแท้ ในเวลาที่เท่ากัน

ถ้าจะกล่าวหาว่าอาจารย์สมศักดิ์ เป็นฝ่ายไม่เอาเจ้า นี่ก็เท่ากับว่า เป็นสัปดาห์ 3 รุม 1 ดังที่คนบางกลุ่มวิจารณ์ มิใช่ให้สมศักดิ์ออกติดกันสามวัน อย่างที่บางท่านวิจารณ์ โดยลืมที่จะหันมองวันอื่นๆ ในรอบสัปดาห์ รอบเดือน หรือรอบปีเลย

สีแดงที่คุณเห็น อาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธงธรรมศาสตร์ ที่ยังมีสีเหลืองประกาศนาม และกลายมาเป็นสีส้มของธงไทยพีบีเอส ที่ผสมความแตกต่างเข้าด้วยกัน อย่างที่ควรจะเป็น มิใช่อย่างที่ใครบางคนอยากให้เป็น ไปในทางใดทางหนึ่ง

ในอดีต ช่วงการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เองก็เคยออกรายการรวมถึง 4 วัน ทำลายสถิติอาจารย์สมศักดิ์เป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งคุณภิญโญที่ไปรายงานข่าว ยังถูกกล่าวหาว่า เป็นกุนซือเสธอ้ายเสียอีก ภิญโญ จึงกลายเป็นกุนซือวางแผนเรียกแขกให้เสธอ้ายปกป้องสถาบันกษัตริย์ล้มทักษิณ ไปพร้อมๆ กับร่วมกับอาจารย์สมศักดิ์จัดวาระวิจารณ์สถาบัน

คนเดียวกันเป็นได้ทั้งรักเจ้าและล้มเจ้า ถูกกล่าวหาว่าขัดขวางฝ่ายก้าวหน้าไปพร้อมๆ กับโดนข้อกล่าวหาว่าล้มเจ้า

เรามีสี หรือเราทำหน้าที่
เราเปิดกว้าง หรือเราปิดกั้น
เราเป็นกลาง หรือเราเลือกข้าง
ในเมื่อเราถูกวิจารณ์รุนแรงจากทั้งสองฝ่าย เท่าที่สื่อประเทศนี้จะเคยประสบ

สื่อฝ่ายสนับสนุนม็อบเสธอ้ายรู้อยู่แก่ใจว่าเราไปทำหน้าที่ แต่พอถึงวันนี้ หลายคนแกล้งหลับตา เมื่อเราเชิญฝ่ายอื่นมาออกรายการบ้าง ก็รีบปลุกปั่นรุมประนาม เพื่อสร้างความเกลียดชัง เมื่อเราถูกขยุ้มก็ไม่รีรอที่จะรีบขย้ำ ด้วยรู้ว่าเราจะกลับมายิ้มให้กันใหม่ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเราเชิญคนฝ่ายท่านมาออกรายการ ซึ่งเราต้องทำ เพื่อรักษามาตรฐานแห่งวิชาชีพ

ไม่มีหมู่บ้านไหน อยากอยู่ตรงกลางพรมแดนระหว่างสงครามสองฝ่าย ถ้าท่านอยากรู้เจตนาที่แท้จริงว่า เราสุ่มเสี่ยงต่อการถูกก่นด่า เข้าใจผิด ทำเรื่องยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นเขาชันไปทำไมกัน

คำตอบอยู่ในรายการตอบโจทย์ 5 ชื่อที่ถูกเรียกขานจนเป็นกลายตำนานชั่วข้ามคืน ซึ่งถูกงดออกอากาศในวันศุกร์ 15 มีนาคมที่ผ่านมา

ถ้าท่านถามว่าเราทำประเด็นนี้ทำไม เฉพาะคำประกาศยุติรายการเพียงโพสต์เดียว ณ ค่ำวันอาทิตย์ ที่ยังไม่ครบสองวันเต็ม มีคนเข้ามาชมกว่า 600,000 คน และถ้าอัตราการเข้าชมยังเป็นเช่นนี้ ก็น่าจะครบ 1,000,000 คนในอีกสองวันข้างหน้า ซึ่งน่าจะเท่ากับยอดขายของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่ขายดีที่สุดของประเทศ ในวันที่ขายดี

เรามิได้ต้องการเรียกเรทติ้งหรือสร้างข่าวตามที่ถูกกล่าวหา หากแต่นี่เป็นเครื่องสะท้อนว่า ประเด็นแหลมคมนี้ ติดอยู่ในความสนใจใคร่รู้ของผู้คนจำนวนไม่น้อย

สถาบันพระมหากษัตริย์ มิได้หมายถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันที่คนไทยเคารพสักการะเท่านั้น
หากแต่หมายรวมถึงพระมหากษัตริย์ในรัชกาลถัดไปอีกยาวไกลในอนาคตจากการสืบสันตติวงศ์

การทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้มแข็ง ย่อมหมายถึงการทำให้ไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกยาวนานเข้มแข็ง แม้เผชิญลมแรงย่อมทานแรงลมได้ มิว่าอนาคตจะยาวไกลเพียงใด พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ก็จะอยู่ปกเกล้าปกกระหม่อมชาวไทย ใต้ร่มโพธิร่มไทรของสถาบันพระมหากษัตริย์สืบไป

และนี่น่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจชาวไทยมากที่สุด

ความจริงข้อนี้ แม้คนที่วิจารณ์เข้มข้นที่สุดอย่างอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็ยอมรับ และยินดีที่จะอยู่กับความจริงนี้ของสังคมไทย และนี่เป็นวิธีที่เราจะอยู่กับผู้เห็นต่างอย่างสันติ โดยมิต้องคิดไล่ใครไปให้พ้นแผ่นดินไทยของทุกคน

ถ้าท่านอดทนฟังอย่างมีสติ ช่วงท้ายของรายการ คือพุทธิปัญญาของอาจารย์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยาม ซึ่งแม้จะมีโวหารแกว่นกล้า หากทว่าเมื่อพิจารณาอย่างจริงจังแล้ว กลับเป็นผู้จงรักภักดีอย่างลึกซึ้ง

ดังภาษิตที่ว่า โอสถดีมักมีรสขม
คำชมแม้หวาน หากนานไปกลับเป็นโทษ ฉันใด
คำวิพากษ์วิจารณ์จากกัลยาณมิตร คือแสงอรุณรุ่งอันอำไพ แม้ว่าจะรับฟังได้ยาก หากทว่าต้องอดทน อดกลั้น ข่มใจ

ทั้งหมดนี้ คือคำตอบที่ว่า เราคือใคร และเราทำหน้าที่ที่ยากยิ่งนี้เพื่ออะไร

ทีมงานรายการทุกคนและผู้ดำเนินรายการ ได้กราบพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีที่วังวรดิศ รวมทั้งได้กราบพระสยามเทวธิราชที่ประดิษฐานอยู่ที่นั่น เพื่อขอพระราชทานพรให้มีกำลังกายและกำลังใจที่เข้มแข็งเพื่อที่จะทำหน้าที่สื่อสารมวลชนโดยสุจริต และขอให้พรนั้น ช่วยให้ประเทศไทยฟันฝ่าอคติและความขัดแย้งแบ่งฝ่ายไปสู่สันติวิถีในเร็ววัน

ขอขอบพระคุณและน้อมรับทุกคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มาจากห้วงลึกแห่งจิตสำนึกของทุกท่าน

แม้จะดุดันเกรี้ยวกราดบ้าง เราก็ยินดีรับฟัง เพราะการฟังอย่างลึกซึ้งเท่านั้น ที่จะทำให้เราเห็นมิตร และเข้าใจความคิดคู่ขัดแย้ง และเป็นหนทางแก้ปัญหาการเผชิญหน้าในสังคมที่แท้จริง

นี่คือเหตุผลที่เรารับฟังทุกท่านอย่างสงบ

ด้วยความเคารพ
กองบรรณาธิการตอบโจทย์ประเทศไทย


~จาก Status: ไม่มีใครพูด~

การที่ “ตอบโจทย์” ต้องออกมาชี้แจงเรื่องนี้ เป็นเรื่องน่าเศร้า
เพราะคนดูควรตระหนักได้เอง
ว่ารายการนี้เชิญแขกสุดขั้วทั้งสองสีมาเป็นเรื่องปกติ


..............................................................................................................................


..................................................................................................................................





ปีศาจภายในตัวเรา

ในเดือนกรกฎาคม ปี 1961 สแตนลีย์ มิลแกรม นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา ทำการทดลองทางจิตวิทยาสำคัญครั้งหนึ่ง ต่อมาเรียกชื่อว่า The Milgram Experiment

การทดลองนี้ประกอบด้วยตัวอย่างทดลองสองกลุ่ม กลุ่มแรกทำหน้าที่เป็นครู กลุ่มหลังทำหน้าที่เป็นนักเรียน ทดลองทีละคู่โดยมี สแตนลีย์ มิลแกรม เป็นผู้คุมการทดลอง นักเรียนอยู่ที่ห้องหนึ่ง ครูกับผู้คุมอยู่อีกห้องหนึ่ง

การทดลองเริ่มด้วยผูกข้อมือของนักเรียนด้วยเส้นลวดเชื่อมกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ครูทำหน้าที่ป้อนคำถามแก่นักเรียน หากนักเรียนตอบไม่ได้ ครูจะลงโทษนักเรียนคนนั้น โดยกดปุ่มปล่อยประแสไฟฟ้าไปชอร์ตนักเรียน ปุ่มเหล่านี้เรียงจากค่าต่ำสุดไปถึงสูงสุด เมื่อตอบผิดครั้งแรก นักเรียนจะถูกลงโทษด้วยกระแสโวลต์ต่ำ และจะเพิ่มขึ้น 15 โวลต์ทุกๆ ครั้งที่ตอบผิด บทลงโทษสูงสุดคือ 450 โวลต์ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์

ความตึงเครียดเกิดขึ้นกับครูทุกคน เพราะเมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าไปหลายครั้ง นักเรียนจะร้องด้วยความเจ็บปวด จนถึงจุดจุดหนึ่ง นักเรียนจะขอร้องครูไม่ให้ลงโทษพวกเขา บางคนทุบกำแพง บางคนร้องไห้ ครูบางคนลังเลและบอกผู้คุมว่าจะขอเลิกทดลอง บางคนบอกว่าจะคืนเงินค่าจ้าง ผู้คุมตอบว่า “เลิกไม่ได้ โปรดเดินหน้าทดลองต่อไป”

บางครั้งนักเรียนปฏิเสธที่จะตอบ เพราะกลัวตอบผิด ครูจะถือว่านักเรียนตอบคำถามนั้นผิด และกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้า

แม้จะไม่รู้สึกสบายใจนัก ผู้ที่รับหน้าที่เป็นครูส่วนใหญ่ก็ดำเนินการต่อไปจนจบ ครูบางคนทนไม่ได้จริงๆ ก็เดินออกจากห้องไป แต่ครูบางคนก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร

หลังการทดลองจบแล้ว ผู้คุมจะอธิบายให้ครูฟังว่า การทดลองนี้ไม่มีการปล่อยกระแสไฟฟ้าจริงแต่อย่างใด นักเรียนที่มาทดลองทำหน้าที่เล่นบทหลอกครูเท่านั้น เสียงร้องของนักเรียนเป็นเสียงที่อัดเทปล่วงหน้า เพื่อหลอกดูปฏิกิริยาของครู ครูก็คือกลุ่มตัวอย่างที่แท้จริงของงานนี้

แม้ The Milgram Experiment ได้รับการวิพากษ์ว่าผิดจรรยาบรรณของการทำวิจัย แต่ผลการค้นพบน่าสนใจอย่างยิ่ง มันบอกว่ามนุษย์เราสามารถปฏิบัติตามคำสั่งให้กระทำเรื่องเลวร้ายได้ทั้งที่รู้ว่ามันผิด

การค้นพบนี้อธิบายว่า มนุษย์เราเชื่อฟังอำนาจเบื้องบนโดยไม่มีเหตุผล แม้ว่าเบื้องบนจะออกคำสั่งให้ทำร้ายมนุษย์ด้วยกัน นี่อาจอธิบายว่าทำไมทหารนาซีจึงสามารถฆ่าชาวยิวหกล้านคนในสงครามโลกครั้งที่สอง รวมทั้งการทรมานนักโทษทุกรูปแบบ ทั้งที่รู้อยู่ว่ามันเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องและผิดศีลธรรม

นี่เป็นภาพที่เราเห็นเป็นประจำในสังคมบ้านเรา ข้าราชการรับคำสั่งรัฐมนตรีให้ปล้นชาติโดยไม่แย้ง ทั้งที่รู้โดยมโนธรรมและศีลธรรมว่ามันไม่ถูกต้อง อัยการปล่อยคนร้ายให้พ้นมือกฎหมาย ตำรวจรับใช้โจรที่เล่นการเมืองจนเป็นใหญ่ พัสดีโค้งคำนับนักโทษ ครูบาอาจารย์รับใช้นักการเมืองชั่ว ฯลฯ

ทหารนาซีที่ฆ่าชาวยิวก็เป็นคนธรรมดา รักครอบครัว เข้าโบสถ์ ตำรวจ พัสดี ครูอาจารย์ก็เป็นคนธรรมดา มีศาสนา เข้าวัดเข้าวา แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง พวกเขาก็สามารถเปลี่ยนเป็นปิศาจได้

ในชีวิตจริง คำสั่งมาในหลายรูปแบบและมีความรุนแรงต่างกัน ตั้งแต่การฆ่ากัน การยกพวกตีกัน ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ เช่น ประเพณี ‘ว้าก’ ในบางมหาวิทยาลัย

นักเรียนที่ยกพวกตีกันอาจมาจากครอบครัวที่ดี พ่อแม่อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี แต่ภายใต้บางสถานการณ์ เมื่อพวกเขาตกอยู่ในคำสั่งให้ฆ่า หรือทำร้ายนักเรียนโรงเรียนอื่นก็ไม่ปฏิเสธ

หลายคนเสพยาเพราะเพื่อนทุกคนเสพยา “ไม่งั้นจะเสียเพื่อน” ในประเพณีรับน้อง ในเมื่อทุกคนก็ ‘ว้าก’ ใส่รุ่นน้อง เราก็ต้องทำด้วย “ไม่งั้นจะเข้ากับใครไม่ได้” ฯลฯ

ความแตกแยกของสังคมบ้านเราในช่วงหลายปีนี้ สร้าง ‘ความชอบธรรม’ ให้เราทำร้ายเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น ฆ่าพวกมันให้ตาย เอามันให้หนัก “เพราะพวกมันไม่ใช่พวกเรา” ในที่สุดก็ไม่ต่างจากพวกนาซีที่ฆ่าชาวยิวไปหกล้านคน

คนเรามีข้ออ้างเสมอเพื่อสร้างความชอบธรรม หรือคำอธิบายเมื่อทำเรื่องแย่ๆ : “ฉันทำตามหน้าที่”, “ถ้าเราไม่ทำ คนอื่นก็ทำ”, “เบื้องบนสั่งมา ไม่ทำไม่ได้”, “เราต้องเคารพคำสั่ง”, “มันเป็นประเพณีของโรงเรียนเรา” ฯลฯ

สัญชาตญาณการเอาตัวรอดฝังในยีนของเราทุกคน แต่จุดหนึ่งที่ทำให้เราต่างจากสัตว์อื่นๆ อยู่ที่เราพัฒนามโนธรรม ความรู้ถูกรู้ผิด และเราพัฒนาสังคมให้ทุกหน่วยมีเจตจำนงอิสระมากเท่าที่จะมีได้ เรามีเจตจำนงอิสระที่จะทำดีหรือทำชั่ว

ไม่ช้าหรือเร็ว เราแทบทุกคนก็ต้องผ่านการทดลองกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้า จะเลือกกดปุ่มหรือไม่กดปุ่มอยู่ที่เรา

เราทุกคนมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนเป็นปิศาจได้ก็จริง แต่หากเราเลิกเชื่อว่าเราสามารถเลือกที่ทำดีทำชั่วได้ เลือกที่จะมีความสุขได้ ชีวิตของเราจะเหลือคุณค่าอะไร?

มนุษย์อาจเป็นสัตว์ที่อ่อนแอโดยสันดาน แต่หากเราใช้เหตุผลนี้เป็นข้อแก้ตัว ว่าเราอ่อนแอเกินกว่าที่จะต่อต้านอำนาจเบื้องบนที่เลวร้าย ก็เป็นเพียงคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เพราะประวัติศาสตร์มีตัวอย่างคนมากมาย ที่ปฏิเสธกระทำตามคำสั่งเลวร้าย

เราสามารถเลือกได้ 35% ของกลุ่มตัวอย่าง The Milgram Experiment เดินออกจากห้อง ปฏิเสธที่จะกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้าไปทำร้ายคนอื่น

วินทร์ เลียววาริณ
16 มีนาคม 2556

.....................................................................................................................................




น่ารักดีขอรับ 
Admin : Gamedodee
........................................................................................................................................


..................................................................................................................................




ปรับปรุงสนามหลวง ใช้เวลา 300 วัน งบ 180 ล้าน!!!
----ปูหญ้าใหม่ทุกสัปดาห์ แค่นี้ก็น่าจะได้อยู่นะ 180ล้าน

.....................................................................................................................................


....................................................................................................................................




"บางเวลานะ" พูห์พูด "สิ่งที่เล็กที่สุดกลับกินเนื้อที่มากที่สุดในหัวใจเรา"


.......................................................................................................................

เปิดตำนาน แม่นากพระโขนง 
รายการ คุณพระช่วย 

ตีพิมพ์ในหนังสือ สยามประเภท
(เอกสารที่เก่าแก่ที่สุดในการบันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวแม่นาก)
โดย กศร. กุหลาบ ได้รับฟังจากลูกหลานแม่นาก

"ลูกหลานไม่อยากให้พ่อมีเมียใหม่ (นายชุ่ม)
จึงปลอมตัวเป็นผีไปหลอกหลอนชาวบ้านจนกระทั่งผู้คนหวาดกลัว"

ลูกแม่นากได้เล่าถวาย กรมพระปรมานุชิตชิโนรส

~"B FuckGhost"~

Supapong Wanitpongpan http://www.youtube.com/watch?v=DmdwZRc3dh4

.............................................................................................................................




อย่ามาเปิดกะลาเรานะ :-)


.............................................................................................................................




Spiral Staircase Slide
www.AmazingInteriorDesign.com


................................................................................................................................



เพื่อนๆเห็นอะไรบ้าง ในภาพๆนี้ ? >~<!


จักรพงษ์ จำรูญ ไอยะ ขับเคลื่อนด้วยจักรยาน

................................................................................................................................





เปลือกของสุภาพชน

ครั้งหนึ่งเอกอัครราชทูตเยอรมันมาขอพบไอน์สไตน์ที่บ้าน ภรรยาของไอน์สไตน์บอกสามีว่า "ทำไมคุณไม่ไปเปลี่ยนชุดที่มันเรียบร้อยกว่านี้เล่า?"

ไอน์สไตน์ตอบว่า "ถ้าเขาอยากพบตัวฉัน ฉันก็อยู่นี่แล้วไง แต่ถ้าอยากดูเสื้อผ้าของฉัน ก็พาเขาไปเปิดตู้เสื้อผ้าดูซี"

ผมชอบไอน์สไตน์มิใช่เพราะเขาฉลาดปราดเปรื่องเกินมนุษย์ทั่วไป คิดสมการพิสดารออกมาได้ หากเพราะเขาเป็นคนขวานผ่าซาก ผ่าตรงเป้า คิดง่ายๆ เสมอ

หลายปีมาแล้ว ผมลองไปเรียนเรื่องมารยาทสังคมจากสถาบันสอนบุคลิกภาพแห่งหนึ่ง ได้ความรู้ติดหัวมาว่า "การแต่งกายดีนั้นก็เพื่อให้เกียรติสถานที่ที่เราไป"

มาครุ่นคิดนานหลายปีว่าจริงหรือ? และถ้าจริง จำเป็นหรือ?

เวลาเราไปงานแต่งงานของใครสักคู่ เราสวมสูทและชุดราตรี เหตุผล? เพราะเป็นมารยาทสังคม เพราะเป็นการให้เกียรติคู่บ่าวสาวในงานสำคัญของพวกเขา เพราะเป็นการให้เกียรติสถานที่หรูหรา และเพราะสุภาพชนพึงทำเช่นนั้น

อดคิดต่อไม่ได้ว่า อะไรคือความสุภาพ? อะไรคือมาตรวัดความสุภาพ? การพูดคำว่า "ครับ/ค่ะ" ตลอดเวลา หรือว่าการแต่งกายเหมาะสม? หรือทั้งสองอย่าง? ถ้าใช่ อะไรเป็นมาตรวัดความเหมาะสมของการแต่งกาย?

โรงแรมระดับห้าดาวส่วนใหญ่ไล่แขกที่สวมรองเท้าแตะออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ นั้น (มักใช้คำว่า "เชิญ") ทั้งที่รองเท้าแตะก็ปกป้องตีนได้ดีไม่แพ้เกือกบู๊ทหรือรองเท้าหุ้มส้น และคนสวมรองเท้าแตะก็สามารถเอ่ยคำว่า "ครับ/ค่ะ" ได้เช่นกัน

ดูเหมือนค่านิยมของสังคมจะเดินไปในทิศทางที่ว่า "ความสุภาพ" ของการแต่งกายวัดกันที่ "แบบ" ของเสื้อผ้า เช่น รองเท้าแตะไม่เรียบร้อย รองเท้าฟองน้ำไม่สุภาพ การไม่เสียบชายเสื้อเข้าในกางเกงน่าดูแคลน

ผมเคยทดลองสวมเสื้อยืดกับรองเท้าแตะ เข้าไปในร้านหรู ไม่มีพนักงานคนใดเดินมาต้อนรับเลย ซึ่งตรงกันข้ามกับเมื่อสวมเสื้อผ้าแบบ "สุภาพชน" เสื้อเชิร์ตแขนยาว รองเท้าหนังมันเงา เข้าไปในร้านเดียวกัน พนักงานเข้ามาพูดจาอย่างสุภาพ เพราะปรัชญาการทำธุรกิจของหลายองค์กรไม่ต้อนรับ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง หรืออย่างน้อยก็ไม่เชื่อว่า ภายในผ้าขี้ริ้วมีทอง

ไอน์สไตน์กล่าวว่า "คนจำนวนมากรู้สึกละอายที่สวมเสื้อผ้าเก่า และใช้เครื่องเรือนคร่ำคร่า เราน่าจะละอายในความคิดเก่าคร่ำคร่ากับปรัชญาไร้ค่ามากกว่า น่าเศร้านะถ้ากระดาษที่ห่อหุ้มดีกว่าเนื้อภายใน"

คนถ่อยสวมสูทตัวละแสนบาท ก็ยังเป็นคนถ่อยอยู่เช่นเดิ

ความจริงคือ มารยาทย่อมไม่มีกฎเกณฑ์ การสวมชุด "สุภาพชน" มิได้เป็นการให้เกียรติต่อทั้งสถานที่และบุคคลเสมอไป

การเปลือยกายในสังคมหนึ่งอาจเป็นเรื่องน่าละอาย ขณะที่เป็นค่านิยมปกติในอีกสังคมหนึ่ง

ความจริงการเปลี่ยนแปลงกติกาของการแต่งกายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อโลกแคบลง และความเป็นสากลสูงขึ้น ปัญหามักเกิดจากความพยายามเปลี่ยนตัวเอง เพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมที่(เราคิดว่า)เหนือกว่าเราอย่างไม่มีราก อย่างหลับหูหลับตา และตีค่าของคนที่เปลือกนอกมากกว่าภายใน

ดังนี้สวมชุด "สุภาพชน" ก็ไม่ผิด ไม่สวมชุด "สุภาพชน"ก็ไม่ผิด การสวมชุดสีแดงไปงานศพ หรือชุดสีดำไปงานมงคลก็ไม่ผิด แต่สุภาพชนที่แท้ย่อมมองไกลกว่าเครื่องแต่งกาย

สุภาพชนที่แท้ย่อมเป็นอิสระจากการเดินตามกฎและการไม่เดินตามกฎ อิสรภาพหมายถึงการไม่ยึดติดกับค่านิยมของสังคม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องต่อต้านเพียงเพื่อแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า ตนเองไม่ยึดติดกับค่านิยมของสังคม

วินทร์ เลียววาริณ
8 พฤศจิกายน 2547

...............................................................................................................................


..................................................................................................................................


โทษหนัก ! พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค ฉบับใหม่ จัดเก็บ-เรียกคืนสินค้าอันตราย 19 มี.ค.บังคับใช้แล้ว !!


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1363599196&grpid=03&catid=01&subcatid=0100

..................................................................................................................................




Are you a better investor than this 5th grader? In elementary schools across the U.S., there is no better stock picker than 11-year-old Rachel Kelly.

STORY + CLIP: http://cnb.cx/WkmD2p


...............................................................................................................................




หลายครั้งเวลาผมเห็นคนแถทีไรแล้วรู้สึกอย่างงี้ทุกทีเบย -_-''

แทนที่จะยอมรับว่าตัวเองผิดหรือคิดให้ดีก่อนพูดหรือทำอะไร


................................................................................................................................

การโต้ตอบของ จิตตนาถ ลิ้มทองกุล กับ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เกี่ยวกับกรณีตอบโจทย์ 

http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000032728

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1363601379&grpid=03&catid=01&subcatid=0100

Thinnakorn Tankaya ย่อหน้าสุดท้าย!! 555+

...............................................................................................................................


..............................................................................................................................



‎"ยุทธจักร" นี่มันเป็นโลกของ "คนดี" จริงๆ เลยหว่ะ
มีข้อพิพาทอะไรขึ้นมาแทนที่จะหาวิธีพิสูจน์แต่กลับเลือกฟังตามเครดิตของคนพูด
แค่ถ้าคนพูดมีชื่อเสียงว่าเป็นคนดีมีคุณธรรมก็เชื่อ
แล้วเรื่องแม่งก็บานปลายเพราะแบบนี้ทุกที


................................................................................................................................




coachsunitcha


เหตุผลสำคัญที่่คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนี้

1. ไม่รู้ความต้องการของตัวเอง (แท้จริง)
2. ไม่รู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง(จริงๆ)
3. ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง (กลัวไม่สะดวกสบาย)


4. ไม่ยอมรับความจริง (วิตกกับเหตุการณ์ล่วงหน้า)
5. ไม่ได้มีเป้าหมายในการสำเร็จจริง (คิดแค่อยากสำเร็จ)


6. ไม่มีเป้าหมายในชีวิต (รอโชคชะตา)

==> หากคุณคือคนที่ต้องการสำเร็จ ทำได้กี่ข้อก็สำเร็จตามนั้น ...เราเริ่มต้นกันที่ตรงไหนก่อนดีคะ ^_^


...............................................................................................................................................


.................................................................................................................................



คุณเคยสังเกตกันบ้างป่ะ

เวลาที่เราเดินในโรงเรียนกับเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่ๆ
พอเจออาจารย์เดินสวนผ่านมา ถ้าเพื่อนทุกคนไม่ยกมือไหว้
เราก็จะไม่ยกมือไหว้ตามเพื่อนๆ ซะงั้น

ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเวลาคุณเจออาจารย์ก็จะรีบไหว้ท่านทุกครั้ง . . .

พฤติกรรมนี้ทางจิตวิทยาเรามีศัพท์เรียกว่า "Conformity" ครับ
ถ้าไปเปิดตำราดูจะพบว่าเขาแปลเป็นไทยว่า "การคล้อยตามกัน"

เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาสังคม ซึ่งสรุปได้ให้เข้าใจง่ายๆ คือ

เรามีแนวโน้มที่จะกระทำอะไรตามคนส่วนใหญ่
เพื่อให้เกิดการยอมรับจากสังคม (ไม่อยากเป็นแกะดำ)
และถึงแม้ว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำนั้น จะ "ผิด" หรือไม่ก็ตาม !!!

ยกตัวอย่างเช่น
คุณไปเที่ยวสวนสนุกกับเพื่อนๆ ในแก๊งตลอดทั้งวัน
แต่ตกเย็นเพื่อนคุณทุกคนก็มีความเห็นว่าจะไปต่อที่ผับกัน
ส่วนคุณนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่ามีงานต้องทำ
และรู้ว่าคงจะต้องดื่มแอลกอฮอล์กันยันดึกแน่ๆ
แต่สุดท้าย คุณก็เลือกไปเข้าผับตามแก๊ง ถึงแม้คุณ
จะเกลียดควันบุหรี่ เกลียดเสียงหนวกหู เกลียดคนเมา
และรู้ว่ามันไม่ดีต่อตัวเอง ...

หรือเหตุการณ์
เรารู้ว่าเพื่อนๆ ในห้อง
เกลียดนาย A มากๆ แล้วเราก็เลยเกลียดนาย A ตามซะงั้น
ทั้งที่ความจริงเราไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ทางลบกับนาย A เลย

หรืออีกตัวอย่าง (อันนี้หลายคนคงเคยเป็น)
เช่น อาจารย์ขออาสาสมัครไปทัศนศึกษาต่างจังหวัด 7 วัน
เราสนใจมากๆ แล้วเราก็ไปถามเพื่อนในแก๊งว่า ไป/ไม่ไป
เพื่อนในแก๊งเราไม่มีใครสนใจไปเลย
เราก็เลยตัดสินใจไม่ไป (แต่ในใจเราอยากไปมากกก)

ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะอะไร?

.
.
.

นักจิตวิทยาสังคมชื่อ Solomon Asch
ได้ทำการ "ทดลอง" เกี่ยวกับเรื่องความคลุมเครือของสถานการณ์
โดยให้ผู้เข้ารับการทดลองนั่งรวมกับคนอื่น (ซึ่งเป็นหน้าม้า)

ซึ่งผู้ทดลองได้เตรียมคำตอบกันไว้แล้วประมาณ 7-9 คน
โดยทุกคนในกลุ่มจะได้เห็น "เส้นตรงแนวดิ่ง" (ดังรูป)
ที่มีความยาวไม่เท่ากัน 3 เส้น

ส่วนอีกหนึ่งเส้นจะใช้เป็นเส้นเพื่อเปรียบเทียบ
จากนั้นให้สมาชิกแต่ละคนตอบว่าเส้นใด
มีความยาวใกล้เคียงกับเส้นมาตรฐานมากที่สุด

โดยกำหนดให้บุคคลที่เข้ารับการทดลองเป็นคนตอบคนสุดท้าย
ผลปรากฏว่า 37 % ในจำนวน 123 คน
ยอมที่จะตอบผิดตามกลุ่มบุคคลที่ Asch ได้เตรียมคำตอบไว้

จากการทดลองของแอชนั้นจึงสรุปได้ว่า
ถึงแม้สถานการณ์จะมีคำตอบที่ชัดเจนไม่คลุมเครือก็ตาม
แต่บุคคลก็ยังคล้อยตามคนส่วนใหญ่ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ถูกต้อง
ทั้งนี้เพื่อให้ตนได้รับการยอมรับจากสังคมเท่านั้น!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
*เสริม*

การที่บุคคลจะมีพฤติกรรมคล้อยตามกลุ่มนั้นๆ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ:

- ความเชื่อมั่นในตนเอง
บุคคลที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงจะตัดสินใจจากความคิ
และเหตุผลของตัวเองมากกว่าคล้อยตามความคิดเห็นของกลุ่ม
ส่วนคนที่ไม่เชื่อมั่นในตนเองจะคล้อยตามกลุ่มได้ง่าย

- สัมพันธภาพระหว่างบุคคลภายในกลุ่ม
กลุ่มใดก็ตามที่สมาชิกภายในกลุ่มมีความรักใคร่สนิทสนมกัน
อย่างแน้นแฟ้น หรือมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกั
จะเกิดความคล้อยตามกันได้ง่ายกว่ากลุ่มที่มีความไม่ลงรอยกันภายในกลุ่ม


...................................................................................................................................


..............................................................................................................................




"ทำไมไม่มีใครคิดว่า แทนที่เราจะเขียนว่าควรมิควรแล้วแต่จะโปรด เปลี่ยนเป็น จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา พิพากษาไปตามกฏหมาย และความยุติธรรม"
------------------
อ.วรเจตน์ เสวนางาน ศาลในฐานะกลไกของระบอบ
http://www.youtube.com/watch?v=wQXFK3GXCpk&feature=player_embedded


.....................................................................................................................................


ตอบโจทย์ฯ : สถาบันพระมหากษัตริย์ 5


http://www.youtube.com/watch?v=vKkxmj45bms&feature=youtu.be

......................................................................................................................................



....................................................................................................................................
































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น