Hennessy Iima ^^<
Piyawatana Yosyingyong กด like ให้นางแบบนะท่าน ^^
........................................................................................................................
อ่านโพสต์ของนายกรณ์ จาติกวนิชย์แล้วก็ให้อาดูรด าย
ไปอ่านโพสต์ตอบโต้นายกรณ์ฯ ของนายพานทองแท้ฯ ก็ยิ่งไปคนละเรื่องและไปกัน ใหญ่
นายกรณ์ฯ เรียกร้อง
๑ ถ้านายกฯ ยิ่งลักษณ์ฯ จริงใจในนโยบายที่จะทำงานร่ วมกับกรุงเทพฯ ก็ให้โอนตำรวจนครบาลมาสังกั ดกรุงเทพมหานคร
๒ โอนระบบขนส่งมวลชนให้กทม.ดู แล ทั้งรถไฟฟ้าและรถเมล์ เมืองใหญ่ๆเขาให้ท้องถิ่นดู แลกันทั้งนั้น
๓ จัดสรรงบประมาณให้กทม.ให้เพ ียงพอ ที่ผ่านมาได้งบจากรัฐบาลเท่ ากับ ๑ เปอร์เซนต์ของงบฯรวมเท่านั้ น
ข้อ ๑ กับข้อ ๒ เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยท ี่มีพงศพัศ พงษ์เจริญเป็นผู้นำในการจะด ำเนินนโยบายที่ว่านั้น หากได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว ่าฯ กทม.
พงศพัศฯ ไม่ได้รับเลือก เขาก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องไปทำ ตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้เพ ราะ
๑ พรรคประชาธิปัตย์โดยสุขุมพั นธุ์ฯ เป็นตัวแทนในการชิงตำแหน่งผ ู้ว่าฯ กทม. ไม่ได้เป็นคนเสนอนโยบาย และนโยบายที่ปชป.ประกาศก็ไม ่มีเรื่อง "ไร้รอยตอ" หรือ "ประสานงานกับรัฐบาล"
รวมทั้งเห็นเป็นประจักษ์แล้ วว่าการทำงานร่วมมือกับ กทม. โดยสุขุมพันธุ์ฯ เป็นผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนนั ้น พยายามทำงาน "สวนทาง" กับรัฐบาลมาโดยตลอด เห็นได้ชัดในเรื่องการแก้ปั ญหา "น้ำท่วม" ปี 2553
๒ หากพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงนายกรณ์ฯ จะมี "หัวสมอง" คิดนโยบายที่ตัวเอง "กระสัน" อยากจะทำ ทำไม "ไม่คิดเป็นนโยบาย" ออกมาตั้งแต่มีการรณรงค์หาเ สียงเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม.
ไม่นับรวมว่าพรรคประชาธิปัต ย์เป็นรัฐบาลและเป็นผู้ว่าฯ กทม.มากี่รอบ (ที่ผ่านมาหยกๆ เป็นรัฐบาล ปี 51-53 ผู้ว่าฯ กทม.เมื่อ 4 ปีก่อนด้วย) ทำไมไม่มีแนวคิด "ดีๆ" เป็นนโยบายเหมือนที่พรรคเพื ่อไทยโดยพงศพัศฯ มานำเสนอให้แก่คนไทยและคน กทม.
เหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ เขาทำกัน
๓ กทม.มีรายได้ที่สามารถเลี้ย งตัวเองได้เหมือนมหานครอื่น ๆ และมากกว่ามหานครอื่นๆ หลายเท่าตัว การมาของบประมาณแบบ "หน้าด้านๆ" จากรัฐบาล
โดยตัวเองคิดไปว่าจะเอาจุดท ี่ว่ารัฐบาลกับกทม.จะประสาน งานการทำงานแบบ "ไร้รอยต่อ" เหมือนที่ประกาศไว้ในการหาเ สียงของพรรคเพื่อไทย มาเป็น "ตัวกระตุก" ให้รัฐบาลจำเป็นต้องทำตามใน นโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้ปร ะกาศไว้ หาก "จริงใจ" กับกทม. จริงๆ
ก็สำคัญผิด เพราะกรุงเทพฯ ไม่ใช่ประเทศไทย กรุงเทพฯ ต้องดูแลตัวเองเหมือน "เทศบาลนคร" อื่นๆ เช่นพัทยา หาดใหญ่ ภูเก็ต โดยมีรัฐบาลจัดสรรงบประมาณเ พื่อการพัฒนาท้องถิ่น "ให้กระจายเท่าๆ กัน" ทั่วประเทศ
การโพสต์ "ขอทาน" ของนายกรณ์ฯ ครั้งนี้ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ตอกย้ำให้คนในสังคม และคนกรุงเทพฯ ได้เห็นอีกครั้งว่า
พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถค ิดค้นนโยบาย "ของตนเอง" เพื่อมานำเสนอให้กับประชาชน ได้
พรรคประชาธิปัตย์ยินดีกับชั ยชนะของตนเอง "มากกว่า" ความรับผิดชอบในการทำหน้าที ่ของตนที่ได้ "อาสา" เข้ามาทำงานการเมืองให้กับป ระชาชน
พรรคประชาธิปัตย์จะทำทุกวิถ ีทางเพื่อให้ได้มาซึ่ง "ชัยชนะ" ของตนเอง ไม่ว่าจะให้ร้ายป้ายสี สาดโคลนใครต่อใครกระทั่งพรร คพวกตัวเองหรือไม่ อย่างไรก็ตาม
สะท้อนให้เห็นว่า "พรรคประชาธิปัตย์ ก็คือพรรคประชาธิปัตย์" วันยังค่ำ
มากว่า 60 ปี
ไม่แปลกใจว่าทำไมระบอบประชา ธิปไตยและการเมืองไทยไม่พัฒ นาก้าวเดินไปในทางที่ดีขึ้น เสียทีตลอด 80 กว่าปีมานี้
ก็เพราะแค่พรรคการเมืองเล็ก ๆ รับผิดชอบคนไม่กี่คนยังไม่ส ามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้มาตล อด 60 กว่าปี
แล้วประสาอะไรที่พรรคการเมื องนี้จะมารับผิดชอบประชาชนค นทั่วไป - #สกน #NO112 #DemocratSuck
ภาพ - http:// www.writerscafe.org/
ไปอ่านโพสต์ตอบโต้นายกรณ์ฯ ของนายพานทองแท้ฯ ก็ยิ่งไปคนละเรื่องและไปกัน
นายกรณ์ฯ เรียกร้อง
๑ ถ้านายกฯ ยิ่งลักษณ์ฯ จริงใจในนโยบายที่จะทำงานร่
๒ โอนระบบขนส่งมวลชนให้กทม.ดู
๓ จัดสรรงบประมาณให้กทม.ให้เพ
ข้อ ๑ กับข้อ ๒ เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยท
พงศพัศฯ ไม่ได้รับเลือก เขาก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องไปทำ ตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้เพ
๑ พรรคประชาธิปัตย์โดยสุขุมพั
รวมทั้งเห็นเป็นประจักษ์แล้
๒ หากพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงนายกรณ์ฯ จะมี "หัวสมอง" คิดนโยบายที่ตัวเอง "กระสัน" อยากจะทำ ทำไม "ไม่คิดเป็นนโยบาย" ออกมาตั้งแต่มีการรณรงค์หาเ
ไม่นับรวมว่าพรรคประชาธิปัต
เหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ เขาทำกัน
๓ กทม.มีรายได้ที่สามารถเลี้ย
โดยตัวเองคิดไปว่าจะเอาจุดท
ก็สำคัญผิด เพราะกรุงเทพฯ ไม่ใช่ประเทศไทย กรุงเทพฯ ต้องดูแลตัวเองเหมือน "เทศบาลนคร" อื่นๆ เช่นพัทยา หาดใหญ่ ภูเก็ต โดยมีรัฐบาลจัดสรรงบประมาณเ
การโพสต์ "ขอทาน" ของนายกรณ์ฯ ครั้งนี้ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ตอกย้ำให้คนในสังคม
พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถค
พรรคประชาธิปัตย์ยินดีกับชั
พรรคประชาธิปัตย์จะทำทุกวิถ
สะท้อนให้เห็นว่า "พรรคประชาธิปัตย์ ก็คือพรรคประชาธิปัตย์" วันยังค่ำ
มากว่า 60 ปี
ไม่แปลกใจว่าทำไมระบอบประชา
ก็เพราะแค่พรรคการเมืองเล็ก
แล้วประสาอะไรที่พรรคการเมื
ภาพ - http://
........................................................................................................................
............................................................................................................................
นู๋คนนี้ถามได้ดีเกี่ยวกับป ระเด็นที่เพจหลายๆเพจชอบเอา ภาพของคนป่วย คนพิการมาเรียกร้องให้คนกดไ ลค์ เขาถามว่าถ้าพวกนี้ได้ไลค์เ ยอะๆแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา คำตอบคือได้เต็มๆเลยว่ะครับ เพราะแฟนเพจพวกนี้จะลงโฆษณา เอาไว้ในเพจด้วย มีตั้งแต่โฆษณาแบบตรงๆ โฆษณาแฝง จนไปถึงโพสลิงค์แบบ SEO ก็มี ยิ่งมีคนกดไลค์เยอะ คนก็จะเห็นข้อความที่เพจพวก นี้แชร์มากขึ้น ลองคิดดูว่าถ้าเพจนึงมีคนกด ไลค์ซักล้านคน มันแชร์โฆษณาอะไรซักอย่างก็สามารถการันตีได้เลยว่าจะ มีคนไทยในเฟซบุ๊คเห็นเป็นล้ านคนแน่ๆ บริษัทเอเจนซี่โฆษณาจึงมาติ ดต่อว่าจ้างเพจพวกนี้เพื่อใ ห้โฆษณาให้ตน เม็ดเงินในวงการโฆษณาบนแฟนเ พจไม่ใช่น้อยๆ มีตั้งแต่หลักหมื่น หลักแสน ยันหลักล้าน ดังนั้นพ่อแม่พี่น้องจึงเห็ นคนกลุ่มนึงพยายามปั่นเพจให ้เป็นที่รู้จักโดยไม่คำนึงถ ึงวิธีการ บางเพจก็เอารูปเด็กป่วยมาแช ร์ให้คนกดไลค์โดยหลอกลวงว่า ถ้ากดแชร์หรือกดไลค์แล้วเด็ กจะได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งเป็นเรื่องตอแหลทั้งเพ คนที่จะได้รับเงินไม่ใช่เด็ ก แต่เป็นเจ้าของแฟนเพจต่างหา ก ถ้าพ่อแม่พี่น้องทราบแล้วก็ ลองคิดกันดูนะครับว่าควรจะส นับสนุนเพจที่หากินบนความทุ กข์ทรมานของคนป่วยคนพิการต่ อไปหรือไม่
..............................................................................................................................
"### คำเตือน : ต่อไปนี้เป็นความเข้าใจมั่วๆของ ผมคนเดียว ซึ่งอาจเข้าใจผิดๆโง่ๆได้ทุกบรร ทัด ###
นั่งอ่านเรื่องราคาน้ำมันมาค่อน วัน ได้ข้อสรุปง่ายๆกับตัวเองดังนี้
1. ประเทศไทยมีน้ำมันดิบแค่ไหนไม่ร ู้ แต่รู้แน่ๆว่ามีไม่พอกับที่ตัวเ องอยากใช้
2. ประเทศไทยจึงนำเข้าน้ำมันดิบ
3. โรงกลั่นในไทย สามารถกลั่นได้มากกว่าที่ต้องกา รใช้
4. ไทยจึง “รับจ้างกลั่น” ด้วย
5. น้ำมันที่ “รับจ้างกลั่น” ออกมา จึงขายทั้งในประเทศ และ ส่งขายต่างประเทศ
6. ราคาน้ำมันที่กลั่นได้ เรียกว่า ราคาหน้าโรงกลั่น ซึ่งจะเป็นไปตามราคาตลาดโลก อ้างอิงจากตลาดสิงคโปร์เพราะอยู ่ใกล้ ค่าขนส่งน้อยที่สุด
ึ7. ราคาขายส่งในประเทศ = ราคาหน้าโรงกลั่น + กองทุนน้ำมัน + ภาษีต่างๆ
8. ราคาหน้าปั้ม = ราคาขายส่ง + ค่าการตลาด + VAT
9. ราคาขายส่งในประเทศแพงกว่าราคาข ายส่งต่างประเทศเพราะต้องเสียภา ษีและเงินกองทุน
10. หนึ่งในเป้าหมายของ กองทุนน้ำมัน ตั้งขึ้นเพื่อ manipulate ราคาน้ำมัน แต่จริงๆมันไม่ใช่เงินภาษี มันคือเงินของผู้ใช้น้ำมันเอง
11. รัฐไทยยังคงเก็บภาษีน้ำมันจากภา ษีสรรพสามิต และ VAT สองเด้ง (ในข้อ 7,8) เสมอมา
12. โครงสร้างราคาทั้งหมดนี้ ไม่เหมือนในประเทศมาเลเซีย และที่นั่น รัฐบาลควักเงินภาษีมาอุดหนุนราค าน้ำมันโดยตรง
13. มาเลเซียก็ใช้ราคาอ้างอิงตลาดสิ งคโปร์เช่นเดียวกับไทย
อ่านแล้วเข้าใจแค่นี้ ท่านใดที่มีความรู้และคิดว่าผมเ ข้าใจผิดตรงไหน รบกวนช่วยให้ความรู้แก้ไขด้วยนะ ครับ
หลังจากพยายามแล้วจริงๆ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจ ว่าคนที่เรียกร้องให้ “ทวงคืน ปตท.” นั้นเขาสงสัยเรื่องอะไร ปัญหาอยู่ตรงไหน แล้วอยากได้อะไรกันแน่
แต่คิดว่าคงเอาเท่านี้แล้วล่ะ เพราะไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในความ สนใจของตัวเองเลยจริงๆครับ
- จบ -"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
นั่งอ่านเรื่องราคาน้ำมันมาค่อน
1. ประเทศไทยมีน้ำมันดิบแค่ไหนไม่ร
2. ประเทศไทยจึงนำเข้าน้ำมันดิบ
3. โรงกลั่นในไทย สามารถกลั่นได้มากกว่าที่ต้องกา
4. ไทยจึง “รับจ้างกลั่น” ด้วย
5. น้ำมันที่ “รับจ้างกลั่น” ออกมา จึงขายทั้งในประเทศ และ ส่งขายต่างประเทศ
6. ราคาน้ำมันที่กลั่นได้ เรียกว่า ราคาหน้าโรงกลั่น ซึ่งจะเป็นไปตามราคาตลาดโลก อ้างอิงจากตลาดสิงคโปร์เพราะอยู
ึ7. ราคาขายส่งในประเทศ = ราคาหน้าโรงกลั่น + กองทุนน้ำมัน + ภาษีต่างๆ
8. ราคาหน้าปั้ม = ราคาขายส่ง + ค่าการตลาด + VAT
9. ราคาขายส่งในประเทศแพงกว่าราคาข
10. หนึ่งในเป้าหมายของ กองทุนน้ำมัน ตั้งขึ้นเพื่อ manipulate ราคาน้ำมัน แต่จริงๆมันไม่ใช่เงินภาษี มันคือเงินของผู้ใช้น้ำมันเอง
11. รัฐไทยยังคงเก็บภาษีน้ำมันจากภา
12. โครงสร้างราคาทั้งหมดนี้ ไม่เหมือนในประเทศมาเลเซีย และที่นั่น รัฐบาลควักเงินภาษีมาอุดหนุนราค
13. มาเลเซียก็ใช้ราคาอ้างอิงตลาดสิ
อ่านแล้วเข้าใจแค่นี้ ท่านใดที่มีความรู้และคิดว่าผมเ
หลังจากพยายามแล้วจริงๆ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจ
แต่คิดว่าคงเอาเท่านี้แล้วล่ะ เพราะไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในความ
- จบ -"
มิตรสหายท่านหนึ่ง
Phongsakorn Thavornan เสียดายคนชั้นสอง อ่านหนังสือตั้งเยอะกว่าจะมาจบปตรีมากินเงินเดือนมาผ่อนรถได้ แต่ความจริงเรื่องราคาน้ำมัน สิบกว่าบรรทัด ไม่อ่าน ต่อให้อ่าน กูก็จะด่า เฮ้อ ชนชั้นสองงง
Pipat Posawad จากที่ตามอ่านในพันทิพก็เข้าใจแบบนี้
.....................................................................................................................
# การต่อสู้โดยการเจรจาทางการ ทูตวันนี้ประสบความสำเร็จด้ วยดี #
วันนี้พบเพจหนึ่งซึ่งแชร์ข้ อมูลเรื่องมะเร็งที่ไม่ถูกต ้องที่หลอกว่าเป็นของ Johns Hopkins ที่ forword mail กันมา โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เนื่องจากเพจนี้ ให้ข้อมูลน่ารู้ทางสุขภาพ ได้รับความนิยมระดับ 6000 like จึงมีการแชร์ข้อความนี้ต่อเ นื่องไปถึง 10,000 แชร์ ( และอาจมากกว่านี้ถ้าเป็นลูก โซ่ต่อไป ) และยังมีต่อเรื่อยๆ
http://imageshack.us/a/ img820/9717/talk2.jpg
ข้อความเท็จเนื้อหาเกี่ยวกั บมะเร็งที่ไม่ถูกต้องและอาจ เป็นอันตรายกับผุ้ป่วยมีดัง นี้ นี้ได้รับการแก้ไขหลายครั้ง ทั้งจากสถาบัน John Hopkins ออกมาแถลงเอง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมา ชี้แจง
http:// www.chulacancer.net/ newpage/question/ forward-mail.html
http:// www.hopkinsmedicine.org/ kimmel_cancer_center/ news_events/featured/ cancer_update_email_it_is_a _hoax.html
มีคนพยายามนำอ้างอิงจะมาชี้ แจง แต่คนก็ยังมาแชร์ต่อเนื่องอ ย่างไม่ลืมหูลืมตา และเถียงกลับอีกต่างหาก ( คนไทยนี่เข้าใจยากจริงๆ )
http://imageshack.us/a/ img402/1501/talkall.jpg
การไปถกเถียงกับคนที่มาเมนต ์คงไม่ได้ประโยชน์อะไรมาก ผมจึงต่อสายตรงคุยกับแอดมิน ( การต่อสู้ด้วยวิถีทางการทูต ) อธิบายเหตุผลและความสำคัญอั นตรายหากปล่อยให้มีการแชร์ต ่อๆไป
แอดมินของเพจนี้เป็นคนดี และน่ารักมาก เขาและเพื่อนๆต้องการให้ควา มรู้ที่ดีต่อสังคมจริงๆ เมื่อรู้ว่าสิ่งนี้ผิดพลาดก ็รับฟังและแก้ไขทันที
http:// img708.imageshack.us/ img708/5375/talkresult.jpg
เขาได้ลบต้นแชร์นั้นออกไปจา กเพจ ผมไปดูเฟซเพื่อนผมคนหนึ่งที ่แชร์ข้อความนี้มาปรากฏว่าห ายไปแล้ว แสดงว่าอีกหมื่นแชร์ก็คงหาย ไปด้วยหมด
ต้องขอบคุณแอดมินเพจนี้มากท ี่เข้าใจ เขาได้ช่วยชีวิตคนไข้อีกหลา ยพันหลายหมื่นคนจากการตัดสิ นใจลบครั้งนี้ไปแล้ว
# Spartan Doctor ยังคงเดินหน้าต่อสู้ต่อไปทั ้งการทูต และ การให้ความรู้ เริ่มจากพยายามเปลี่ยนแปลงท ีละนิด วันหนึ่งต้องเห็นผลลัพธ์การ เปลี่ยนแปลงมหาศาลเป็นวงกว้ างแน่ #
วันนี้พบเพจหนึ่งซึ่งแชร์ข้
เนื่องจากเพจนี้ ให้ข้อมูลน่ารู้ทางสุขภาพ ได้รับความนิยมระดับ 6000 like จึงมีการแชร์ข้อความนี้ต่อเ
http://imageshack.us/a/
ข้อความเท็จเนื้อหาเกี่ยวกั
http://
http://
มีคนพยายามนำอ้างอิงจะมาชี้
http://imageshack.us/a/
การไปถกเถียงกับคนที่มาเมนต
แอดมินของเพจนี้เป็นคนดี และน่ารักมาก เขาและเพื่อนๆต้องการให้ควา
http://
เขาได้ลบต้นแชร์นั้นออกไปจา
ต้องขอบคุณแอดมินเพจนี้มากท
# Spartan Doctor ยังคงเดินหน้าต่อสู้ต่อไปทั
............................................................................................................................
...................................................................................................................................

พลังงานไทย เพื่อคนไทย (จริงๆ) - ตอนที่ 2 โครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศไทย
โดย Siriwat Whin Vitoonkijvanich เมื่อ 4 มีนาคม 2013 เวลา 0:02 น. ·
"น้ำมันแพง" "ก๊าซก็แพง" "พรุ่งนี้น้ำมันจะขึ้นอีก 60 สตางค์ต่อลิตร รีบๆไปเติมเร็ว" "อะไรกัน LPG จะปรับราคาอีกแล้ว" ฯลฯ คำพูดเหล่านี้ คงเป็นคำพูดที่ได้ยินจนชินไปซะแล้วในปัจจุบันนี้ ทุกวันนี้คนที่เข้าใจโครงสร้างราคาน้ำมันที่แท้จริงมีอยู่ไม่มาก
แม้แต่บรรดากูรูทั้งหลาย ก็ยังไม่เข้าใจธุรกิจนี้จริงๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าราคาน้ำมันในประเทศไทยมีโครงสร้างอย่างไร ไม่รู้ว่าโครงสร้างทางธรณีวิทยาของประเทศไทยเป็นยังไง หลับหูหลับตากล่าวโทษบริษัทน้ำมันท่าเดียว พากันมาออกความเห็นออกสื่อ ซึ่งหาได้ทั่วๆไปในข่าวหัวสีทั้งหลาย ดังนั้นผมจึงมีแรงบันดาลใจที่จะเขียนบทความนี้ (เป็นการส่วนตัว) ขึ้นมาแชร์ถึงโครงสร้างราคาน้ำมันและก๊าซในประเทศไทยดังต่อไปนี้นะครับ
ในบทความตอนนี้เอาเรื่องน้ำมันล้วนๆ จะพูดถึงน้ำมันดิบ (Crude) และน้ำมันสำเร็จรูป อย่างเดียวก่อนนะครับ ไม่พูดถึงพลังงานอย่างอื่นที่เราบริโภคกันยังกะซดน้ำนะครับ
ปัจจุบัน เรายังต้องพึ่งพานำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเข้ามากลั่นเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ ในปี 2555
ประเทศไทยมีความต้องการในการนำเข้าน้ำมันดิบสูงถึง 819,173 บาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ประเทศไทยมีความสามารถในการผลิตน้ำมันดิบแค่เพียง 148,977 บาร์เรลต่อวันเท่านั้น แถมคอนเดนเสทให้ด้วยอีก 81,584 บาร์เรลต่อวัน (คอนเดนเสทจำนวนนึงจะถูกส่งออกเพราะสารปรอทสูง โรงกลั่นในประเทศไทยปัจจุบันยังไม่สามารถปรับปรุงคุณภาพมากลั่นได้) ดังนั้นถ้ามีใครบางคนบิดเบือนบอกว่า เรามีแหล่งพลังงานน้ำมันเยอะพอๆกะซาอุฯ หรือเรียกประเทศไทยว่าเป็นซาอุฯแห่งเอเชียอาคเนย์นี่ อย่าไปหลงเชื่อเด็ดขาดนะครับ
แต่จริงๆแล้ว เราก็มีส่งออกในส่วนน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปนะครับ เป็นจำนวน 158,646 บาร์เรลต่อวัน มีมูลค่ามากกว่าข้าวเสียอีก (ถ้าคิดแค่ส่วนที่ส่งออกนะ) เพราะน้ำมันดิบส่วนที่ว่า เราผลิตอยู่ในประเทศเนี่ยแหละ แต่ไม่สามารถปรับปรุงคุณภาพเพื่อใช้กับโรงกลั่นของเราได้ (โรงกลั่นจะออกแบบเพื่อรองรับน้ำมันดิบดูไบ Dubai Fateh เป็นส่วนประกอบสำคัญ กลั่นแล้วได้ดีเซลเป็นหลักที่ประเทศไทยต้องการใช้มากที่สุด) อย่างเช่นมีพวกกำมะถันเยอะเกินไป สารปรอทสูงเกินไป หรือมีส่วนประกอบไม่เหมาะสมจะทำให้กลั่นได้เบนซินมากเกินไปเกินความต้องการของประเทศ ฯลฯ ก็ส่งออกไปขาย หรือส่งออกไปกลั่นที่โรงกลั่นต่างประเทศ ซึ่งการส่งออกก็เป็นสัญญาระยะยาวกับทางต่างประเทศ แต่ทางการไทยก็พยายามบังคับให้ลดการส่งออกส่วนนี้ เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันดิบ โดย ปตท ก็ต้องรับซื้อส่วนนี้แต่เพียงผู้เดียว และต้องมีภาระการปรับปรุงคุณภาพก่อนเข้าโรงกลั่นอีกด้วย เพื่อลดคำครหา (ที่ผิดๆ)
รวมถึงน้ำมันสำเร็จรูปที่เรากลั่นมาเกิน เพราะ น้ำมันดิบเวลากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูป จะได้น้ำมันชนิดต่างๆ เช่น LPG น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันเตา ยางมะตอย ฯลฯ เราก็ต้องกลั่นให้ทุกอย่างเพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศใช่มั้ยครับ เราไม่สามารถกลั่นน้ำมันดิบจำนวนนึงให้ออกมาเท่ากับความต้องการการใช้ของประเทศไทยได้ทุกตัวแน่นอน ดังนั้นก็ต้องมีส่วนที่เกินมา ส่วนที่เกินถ้าเราสต๊อกไม่ไหว ก็ต้องขายออกไปเอาเงินกลับเข้ามาดีกว่า (เพราะเงินสต๊อกได้เสมอ ฮา) นอกจากนี้ โรงกลั่นในประเทศไทยมีผู้เล่นเป็นบริษัทต่างชาติอยู่ ซึ่งโรงกลั่นทั้งไทยและเทศก็จะมีการกลั่นออกมาแข่งขันจำนวนนึง ซึ่งพอขายไม่หมดก็ต้องส่งออกไปขายข้างนอก ไม่เก็บสต๊อกไว้ในกรณีถังน้ำมันไม่พอเพียง
กรณีน้ำมันดิบไทยกลั่นแล้วได้เบนซินเป็นส่วนประกอบหลัก
กรณีน้ำมันดิบกับคอนเดนเสทจากอ่าวไทยมีสารปรอทสูง ...อันนี้ยืนยันได้จากประสบการณ์ที่ผมเคยทำงานที่แท่นผลิต
บางคนบอกว่าเราส่งออกน้ำมันมีมูลค่ามากกว่าข้าว แต่เดี๋ยวก่อน หยุดคิดนึดนึงครับ เพราะมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง น้ำมันที่เราส่งออกบางส่วนไม่สามารถกลั่นในประเทศไทยและบางส่วนเกิดจากการซื้อน้ำมันดิบเข้ามาก่อนแล้วค่อยกลั่นแล้วเหลือใช้ในน้ำมันบางชนิดแล้วจึงขายออกไป คิดเป็นจำนวนสุทธิ เรามีการนำเข้าน้ำมันสุทธินะครับ ส่วนข้าว เราผลิตเองในประเทศทั้งหมด เหลือจากการบริโภคภายในประเทศแล้วส่งออกหมด ดังนั้นมูลค่าการผลิตข้าวของเรา เราถือว่าเราส่งออกข้าวสุทธิครับ
ในเมื่อประเทศไทยรับประทานน้ำมันดิบสูงกว่าที่ผลิตได้ 4-5 เท่า แถมที่ผลิตได้บางส่วนก็กลั่นไม่ได้อีก ก็ต้องนำเข้า และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเงินตราไหลออกต่างประเทศจนรัฐบาลต่อให้เป็นรัฐบาลไหนๆก็ต้องเก็บภาษีเข้าคลังเยอะๆไว้ก่อนครับ จะไปเทียบกับประเทศที่มีน้ำมันเยอะขนาดส่งออกได้ ไม่ได้นะครับ
มาดูโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าปั๊มกันดีกว่า ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร อันนี้เป็นของจริงที่เป็น Official จากกระทรวงพลังงาน ถ้าเราใส่ใจหาข้อมูลก็จะรู้ที่มาที่ไปครับ เพราะบางคนเล่นเอาราคาน้ำมันสำเร็จรูปตามตลาดซื้อขายสิงคโปร์มาหาราคาต่อลิตรแบบง่ายๆนะครับ (บางคนหนักกว่านั้นเล่นเอาราคาน้ำมันดิบมาใช้หน้าตาเฉย!!!) ยิ่งไปกว่านั้นเล่นเอาราคาขายปลีกสิงคโปร์มาอ้างแบบไม่กลัวหน้าแหกด้วย (ราคาซื้อขายในตลาดสิงคโปร์ หรือ SIMEX ไม่ใช่ราคาขายปลีกในประเทศสิงคโปร์ ระวังอย่าสับสน เดี๋ยวจะมีรายละเอียดต่อไปครับ)
มาดูกราฟแท่งที่ผมทำให้ดูอย่างง่ายดีกว่าครับ
ข้อมูลจากกระทรวงพลังงาน
Ex-Refin. = ราคาขายหน้าโรงกลั่น
Tax = ภาษีสรรพสามิต
M. Tax = ภาษีเก็บเข้ากระทรวงมหาดไทย
Oil Fund = เงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมัน
Consv. Fund = เงินเก็บเข้ากองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
Marketing margin = ค่าการตลาด
Retail price = ราคาขายหน้าปั๊มน้ำมันในเขตกรุงเทพและปริมณฑล

กราฟที่ 1: โครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทย ณ วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556 (บาท/ลิตร)
โดยรวมนะครับ
จะเห็นได้ว่า น้ำมันเบนซิน ไม่ว่าจะเป็น เบนซินไร้สารตะกั่ว (Unlead) หรือ เบนซินแก๊สโซฮอล (Gasohol) เนี่ย ราคาหน้าโรงกลั่นแทบไม่ได้แตกต่างกันเลย เอาจริงๆ แก๊สโซฮอล์ต้นทุนสูงกว่าด้วยซ้ำ
ส่วนน้ำมันดีเซล น้ำมันเศรษฐกิจ นั้นมีต้นทุนสูงที่สุด เมืองนอกขายกันแพงกว่าเมืองไทยเยอะ
มาวิเคราะห์กันเป็นแต่ละชนิดเลยนะครับ (จะพูดถึงราคาล้วนๆนะครับ ไม่พูดถึงอัตราสิ้นเปลือง)
เบนซิน 95 (Unleaded 95) กับ เบนซิน 91 (Unleaded 91)
จะเห็นว่า ราคาปัจจุบันแทบไม่ต่างกัน ไม่เหมือนช่วงๆนึงที่ทางรัฐรณรงค์ลดการใช้เบนซิน 95 ให้คนหันมาใช้แก๊สโซฮอล 95 กันมากขึ้น แต่ขณะนั้นรถเก่าบางจำนวนยังไม่สามารถรองรับการใช้แก๊สโซฮอล์ได้ ทางรัฐจึงไม่ได้เก็บภาษีของน้ำมันเบนซิน 91 เยอะเท่ากับตอนนี้
หลังจากที่ประชาชนเห็นว่า แก๊สโซฮอล ก็ไม่ได้ทำอันตรายอะไรกับเครื่องยนต์ (จำได้มีอะไรๆก็โทษแก๊สโซฮอล ปตท.ก็เป็นแพะไปด้วย) จำนวนการใช้แก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการลดการใช้น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วทั้ง 95 และ 91 ทางรัฐเลยรีดภาษีกับกองทุนน้ำมันจากน้ำมันทั้งสองประเภทนี้เต็มที่ ทำให้ราคาน้ำมันทั้งสองชนิดนี้ แพงมากอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ทั้งๆที่ราคาหน้าโรงกลั่นพอๆกับน้ำมันชนิดอื่นๆ
แก๊สโซฮอล 95 (Gasohol 95, E10) กับ แก๊สโซฮอล 91 (Gasohol 91)
เป็นน้ำมันที่มีส่วนผสมเอทานอล 10% ราคาหน้าโรงกลั่นเอาจริงๆแพงกว่าราคาน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วด้วยซ้ำ (หลักสตางค์) เพราะความจริงแล้ว การมี เอทานอล (Ethanol, C2H5OH) ผสมไม่ได้ช่วยให้ราคาต่ำลงอย่างที่คิด เพราะต้องมีต้นทุนในการผสมด้วย แต่ที่ทางภาครัฐสนับสนุนให้ใช้เพราะว่า เอทานอลที่เติมลงไปในเบนซินนั้น เราสามารถผลิตได้ด้วยตัวเอง จากพวกมันสำปะหลังหรืออ้อย เมื่ออยู่ในแก๊สโซฮอล์ E10 จะทำให้เราสามารถลดการนำเข้าน้ำมันดิบได้ถึง 10% ถือว่าเป็นการป้องกันไม่ให้เงินตราไหลออกนอกประเทศได้ส่วนนึงและเป็นการสนับสนุนภาคการเกษตรของเกษตรกรบ้านเราด้วย ในด้านภาษีน้ำมันทั้งหมด เก็บน้อยกว่าภาษีของเบนซินไร้สารตะกั่วอยู่ประมาณ บาทกว่าๆ แต่ทางกองทุนน้ำมันจะเก็บน้อยกว่าเบนซินไร้สารตะกั่วอยู่ถึง 6-7 บาท ทำให้ราคาห่างจากเบนซินไร้สารตะกั่วอยู่ราวๆ 8-9 บาทเลยทีเดียว เป็นการจูงใจให้คนหันมาใช้แก๊สโซฮอล์มากกว่าเบนซินไร้สารตะกั่วล้วนๆ
แก๊สโซฮอล E20 (Gasohol E20)
เป็นน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอล 20% ให้ค่าออกเทนสูงถึง 98 เพราะตามธรรมชาติ เอทานอล ให้ค่าออกเทนสูงมากยิ่งมีส่วนผสมเยอะค่าออกเทนก็ยิ่งสูงตามไป แต่มีคุณสมบัติกัดกร่อนทำให้รถรุ่นเก่าๆไม่สามารถใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลสูงได้ อย่างที่กล่าวไปในส่วนของแก๊สโซฮอล 95, 91 นั้น เอทานอลสามารถผลิตได้ในประเทศไทย ดังนั้นยิ่งมีเอทานอลผสมเยอะเท่าไร ภาครัฐยิ่งสนับสนุนมากครับ ส่วนของ E20 เนี่ยรัฐจะเก็บภาษีทั้งหมดน้อยกว่า E10 อยู่ บาทกว่าๆ น้อยกว่า เบนซิน 95 ประมาณ 2.60 บาท และส่วนกองทุนน้ำมันกับกองทุนอนุรักษ์พลังงานอุดหนุนราคา (Subsidy) ให้อยู่ 65 สต.ต่อลิตรด้วย เลยทำให้ราคาโดยรวมต่ำกว่า แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ 5 บาทกว่าต่อลิตร ดังนั้นคนที่มีรถรุ่นใหม่ๆก็อยากจะใช้น้ำมันชนิดนี้มากกว่าเพราะราคาถูกกว่าเยอะ
แก๊สโซฮอล E85 (Gasohol E85)
เป็นน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอล 85% ให้ค่าออกเทนสูงถึง 100-105 เพราะตามธรรมชาติ เอทานอล ให้ค่าออกเทนสูงมากยิ่งมีส่วนผสมเยอะค่าออกเทนก็ยิ่งสูงตามไป แต่มีคุณสมบัติกัดกร่อนทำให้รถรุ่นเก่าๆไม่สามารถใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลสูงได้ รถที่ใช้น้ำมันชนิดนี้ในเมืองไทยยังมีน้อยครับ เพราะต้องได้รับการออกแบบเป็นพิเศษที่ทนสภาพการกัดกร่อนได้ ราคาขายหน้าโรงกลั่นต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ 1.30 บาท ซึ่งถ้าขายราคานี้คงไม่มีใครซื้อ ก็ต้องปรับราคากันที่ส่วนอื่น ภาษีรัฐก็เก็บน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆอยู่ราวๆ 6-9 บาท ซึ่งขณะนี้เก็บอยู่ที่ 2.67 บาท ขณะที่ภาษีของเบนซิน 95 เก็บอยู่ 10.89 บาท เห็นมั้ยครับว่าต่างกันลิบเลย ส่วนของกองทุนน้ำมันและอนุรักษ์พลังงานอุดหนุนราคา (Subsidy) ให้ 10.85 บาท แต่ที่น่าสังเกตอยู่อย่างนึง ค่าการตลาดของน้ำมันชนิดนี้สูงมากอยู่ที่ 7.78 บาทต่อลิตร เนื่องจากน้ำมันชนิดนี้คนเติมน้อย ทำให้มีต้นทุนการขายสูงกว่าน้ำมันชนิดอื่น เพราะต้องเสียพื้นที่สต๊อกน้ำมันทั้งๆที่ขายไม่ค่อยได้ ถ้าไม่ขายน้ำมันชนิดนี้ ก็เอาพื้นที่ไปเก็บน้ำมันชนิดอื่นจะดีกว่า ถือว่าเป็นค่าเสียโอกาสการทำรายได้จากน้ำมันชนิดอื่นด้วย
ดีเซลหมุนเร็ว (H-Diesel)
ถือว่าเป็นน้ำมันเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะทั้งภาคการค้า ขนส่งและการเกษตร ยังต้องพึ่งพาน้ำมันชนิดนี้มาก เป็นน้ำมันที่มีความต้องการใช้มากถึง 40% ของพลังงานทั้งหมดจึงเป็นน้ำมันที่ทางภาครัฐเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำมันชนิดอื่นๆทั้งหมด เก็บไม่ถึง 2 บาท เป็นน้ำมันที่รัฐพยายามควบคุมราคา ปัจจุบันไม่เกิน 30 บาท จำได้เคยพยายามจะควบคุมไม่ให้เกิน 14 บาท แต่เอาไม่อยู่เพราะความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นสูงมากรวมถึงราคาน้ำมันโลกมันสูงจนเกินที่จะตั้งเพดานไว้ได้ (สถานการณ์คล้ายๆ LPG ในปัจจุบัน ไว้คุยในบทความต่อไป) แถมกองทุนน้ำมันและอนุรักษ์พลังงานใจดีเก็บแค่ 95 สตางค์ ดังนั้นคนที่ใช้ดีเซลก็เลยได้ใช้น้ำมันถูกมาก (ซึ่งพวกกูรูไม่เคยหยิบยกขึ้นมาอ้างเลย) ตอนสมัยผมเรียน ป.โท ที่อังกฤษ ผมจะสังเกตเห็นว่า น้ำมันดีเซลที่นั่นแพงที่สุดครับ เพราะเป็นน้ำมันที่มีอุปสงค์ (Demand) มากที่สุด และต้นทุนการกลั่นแพงกว่าเบนซินด้วย

ตารางที่ 1: ราคาขายปลีกน้ำมันและก๊าซสำเร็จรูปในประเทศอังกฤษ (pence/litre)
ปัจจุบันราคาน้ำมันของประเทศอังกฤษ น้ำมันดีเซลธรรมดาอยู่ที่ 1.4625 ปอนด์ต่อลิตร (66 บาทต่อลิตร) ส่วนเบนซิน 95 (Unleaded) ราคา 1.3977 ปอนด์ต่อลิตร (63 บาทต่อลิตร) ที่ราคาแรงขนาดนี้เพราะประเทศทางแถบยุโรปเก็บภาษีในอัตราที่สูงมาก (ซึงผู้กล่าวอ้างไม่เคยมีการยกราคาฝั่งยุโรปมาเปรียบเทียบ)
ปล.แอบเห็นราคา LPG บ้านเค้า คิดตั้ง 0.7485 ปอนด์ต่อลิตร (34.44 บาทต่อลิตร หรือ 64 บาทต่อกิโลกรัม !!!!!) ขณะที่ไทยขาย 21.38 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับเติมรถนะ
(LPG 1.85 ลิตรเท่ากับ 1 กก.)
ข้อมูลราคาน้ำมันขายปลีกของประเทศอังกฤษ
น้ำมันเตา (Fuel Oil)
ส่วนใหญ่เอาไว้ในโรงงานอุตสาหกรรม รายละเอียดไม่พูดถึงก็แล้วกันครับ เพราะห่างตัวจากประชาชนทั่วไป
ทำไมต้องมีภาษี (ภาษีสรรพาสามิต+ภาษี ก.มหาดไทย+Vat) (ส่วนนี้เพิ่มเติมเพื่อความกระจ่าง)
ภาษีเป็นหน้าที่ที่เราต้องเสียกันอยู่แล้ว เพื่อให้รัฐเก็บไว้เป็นงบประมาณประเทศเพื่อใช้จ่ายในรัฐบาล หน่วยงานราชการและภาครัฐ นอกจากภาษีนั้นยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการจำกัดการใช้น้ำมันบางชนิด อย่างเช่น เบนซิน 95 รัฐไม่อยากให้ใช้เยอะ ก็คิดอัตราที่สูงให้แพงไปเลย คนจะได้ไม่อยากใช้
ดังนั้น ภาษีสรรพสามิต จึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมราคาน้ำมันโดยการกำหนดอัตรภาษีสรรพสามิตที่แตกต่างกันระหว่างน้ำมันชนิดต่างๆเป็นการสะท้อนนโยบายของรัฐบาลที่จะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนการใช้น้ำมันบางประเภท ส่วนนโยบายอื่นๆที่ไม่ใช่นโยบายทางพลังงานที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ผมไม่อาจจะไปวิจารณ์ตรงจุดนี้ได้ครับ
ทำไมต้องมีกองทุนน้ำมัน (ส่วนนี้เพิ่มเติมเพื่อความกระจ่าง)
การส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสรรพสามิต (ส่วนน้ำมันกลั่นในประเทศ) และ กรมศุลกากร (ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปนำเข้า) ตามอัตราที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานกำหนด เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวน ถ้าไม่มีกองทุนน้ำมันก็จะทำให้ราคาขายปลีกจะแกว่งตามราคาตลาดโลกที่ผันผวน อาจถึงขั้นปรับราคากันทุกวัน ดังนั้นกองทุนน้ำมันจึงมีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันขายปลีกโดยการปรับเพิ่มหรือปรับลดของอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน
นอกจากนี้กองทุนนี้ก็มีส่วนในการอุดหนุนราคาน้ำมันบางชนิด เช่น E20, E85 ตามที่กล่าวไว้แล้ว
ทำไมต้องมีกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส่วนนี้เพิ่มเติมเพื่อความกระจ่าง)
เก็บในส่วนของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซล ในอัตราลิตรละ 0.25 บาท เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายช่วยเหลือหรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับอนุรักษ์พลังงาน โดยมี คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นผู้กำหนดนโยบาย
ทำไมต้องมีค่าการตลาด (Marketing Margin)
หลายๆคนสงสัยว่าค่าการตลาดมีทำไม? คืออะไร? คือกำไรล้วนๆหรือ? จริงๆแล้วทุกๆปั๊มก็จะมีค่าใช้จ่ายการดำเนินการในการขายปลีกอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่าก่อสร้างปั๊ม การขนส่ง ค่าเช่าที่ ค่าจ้างเด็กปั๊ม ค่าจ้างคนทำงาน ค่าน้ำค่าไฟฟ้า ยิ่งถ้าต่างจังหวัดก็จะมีค่าการตลาดสูงขึ้นเนื่องจากค่าขนส่งที่ไกลขึ้น และถ้าน้ำมันที่คนเติมน้อยเนี่ย เช่น เบนซิน 95, 91, E85 ค่าการตลาดก็ยิ่งสูง เพราะต้องสต๊อกน้ำมันไว้นาน ขายไม่ค่อยออกเลยมีค่าใช้จ่ายแฝงอยู่ จะเห็นได้ว่า ส่วนที่เป็นกำไรจริงๆ แทบจะไม่มี หรือมีน้อยจัดๆ คนที่เคยทำธุรกิจปั๊มน้ำมันก็จะรู้ดีครับ กำไรไม่ได้ดีอย่างที่คิดหรอกนะครับ (แถมห้องน้ำก็ต้องให้ใช้ฟรีอีก) ต้องขายให้ได้ปริมาณมากๆๆๆๆจริงๆ
สรุป ราคาน้ำมันขายปลีกหน้าปั๊มน้ำมันทุกๆชนิด มันมีโครงสร้างราคาของมันเองและเหตุผลของมันเอง โดยราคาขายหน้าโรงกลั่นจากอ้างอิงตามราคาน้ำมันของตลาดสิงคโปร์ ดังนั้นเวลามีใครอ้างตัวว่าเป็นกูรูน้ำมันก็ให้ฟังหูไว้หูครับ อย่าหลับหูหลับตาเชื่อ แต่ทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้สำคัญเท่ากับว่าสิ่งที่เค้าพูดมันจริงหรือถูกต้องหรือป่าว เพราะเค้ามักจะเล่นเอาราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ มาแปลงเป็นราคาต่อลิตรซะเฉยๆ หรือ บางทีที่หนักกว่านั้นก็เอาราคาน้ำมันดิบดูไบมาอ้างหน้าตาเฉย
ทำไมต้องราคาน้ำมันสำเร็จรูปของตลาดสิงคโปร์ (SIMEX) (ส่วนนี้เพิ่มเติมเพื่อความกระจ่าง)
น้ำมันเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคชนิดหนึ่ง (Commodities) ซี่งมีการแข่งขันสูง การเปลี่ยนราคาหรือนโยบายการผลิตและการขายของผู้ค้าน้ำมันรายหนึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดน้ำมัน จึงทำให้ผู้ค้าน้ำมันต้องปรับราคาให้สามารถแข่งขันกันได้ ดังนั้น ราคาน้ำมันที่เหมาะสมเพื่อใช้ “อ้างอิง” จึงควรจะกำหนดมาจากความต้องการและความสามารถในการผลิต ภายใต้กลไกระบบการค้าเสรีของกลุ่มตลาดซื้อขายน้ำมันที่อยู่ใกล้เคียงกัน คล้ายกับสินค้าทางการเกษตร อย่างเช่น ราคาผลไม้ซึ่งอ้างอิงราคาที่ตลาดไท หรือราคาข้าวซึ่งอ้างอิงราคาที่ท่าข้าวกำนันทรง เป็นต้นสำหรับศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันของโลกกระจายอยู่ใน 3 ภูมิภาค ก็คือ อเมริกา ยุโรป และเอเชีย โดยที่ตลาดกลางการซื้อขายน้ำมันของภูมิภาคเอเชียตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ หรือที่เราเรียกกันว่า "ตลาดสิงคโปร์" (The Singapore International Monetary Exchange หรือ SIMEX) เนื่องจากเป็นประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งคำว่า“ราคาสิงคโปร์” นั้นไม่ใช่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ประกาศโดยรัฐบาลหรือโรงกลั่นของประเทศสิงคโปร์ หรือราคาขายปลีกในประเทศสิงคโปร์ แต่เป็นราคาซื้อขายน้ำมันระหว่างผู้ค้าน้ำมันในภูมิภาคเอเชียที่ตกลงกันผ่านตลาดกลางฯ ที่ประเทศสิงคโปร์ประเทศไทยอยู่ในภูมิภาคเอเชีย และตั้งอยู่ใกล้กับประเทศสิงคโปร์ จึงเลือกที่จะอ้างอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปจากตลาดกลางฯ ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งสะท้อนระดับราคาที่สมดุลกับกลไกระบบการค้าเสรีของตลาดในภูมิภาคนี้ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของราคาก็สอดคล้องอย่างเป็นสากลกับตลาดซื้อขายน้ำมันอื่นๆ ทั่วโลก
การกำหนดราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นในประเทศไทยขึ้นเอง แทนที่จะอ้างอิงราคาจากตลาดกลางฯ ที่ประเทศสิงคโปร์ (SIMEX) อาจจะทำให้เกิดภาวะความไม่สมดุลในการผลิตและความต้องการใช้น้ำมันภายในประเทศ เพราะหากว่าราคาน้ำมันที่กำหนดขึ้นเองในประเทศมีราคาถูกกว่าตลาดกลางฯ ที่ประเทศสิงคโปร์ ก็จะทำให้ผู้ค้าน้ำมันส่งน้ำมันสำเร็จรูปออกไปขายเพื่อทำกำไร ซึ่งมีผลให้ประเทศขาดแคลนน้ำมัน ในทางกลับกัน หากราคาน้ำมันที่กำหนดขึ้นเองในประเทศมีราคาแพงกว่าตลาดกลางฯ ที่ประเทศสิงคโปร์ ผู้ค้าน้ำมันก็จะนำน้ำมันสำเร็จรูปเข้ามาขายแข่ง ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันภายในประเทศและการจ้างงานนอกจากนี้ การอ้างอิงราคาจากตลาดกลางฯ ที่ประเทศสิงคโปร์ จะทำให้โรงกลั่นภายในประเทศต้องพัฒนาศักยภาพและปรับปรุงการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนการกลั่นน้ำมันให้สามารถแข่งขันกับโรงกลั่นอื่นๆ ในภูมิภาคหรือของโลกอยู่เสมอ ซึ่งจะเป็นผลดีกับผู้บริโภค และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
แหล่งอ้างอิง http://esso-th.listedcompany.com/faq.html#01
ข้อมูลโครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศไทย จาก สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน
น้ำมันประเทศไทยแพงที่สุดในโลกจริงเหรอ???
ลองมาดูข้อมูลตรงนี้กันว่า ประเทศไทย เบนซิน 95 ราคาเราอยู่อันดับใดของโลกนี้
อยู่อันดับ 47 ของโลกจากข้อมูลล่าสุด จะบอกว่าเราเก็บแพงมันก็แพงอยู่ แต่ประเทศที่เก็บแพงกว่าเราในภูมิภาคนี้มี ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รวมทั้ง จีน ฮ่องกงและอินเดีย ส่วนใหญ่ประเทศยุโรปอยู่ลำดับท๊อป 20 แต่ถ้าเข้าใจว่าทำไมถึงแพงก็จะเข้าใจครับ ว่าเราต้องนำเข้าเยอะ รัฐต้องการรายได้จากส่วนนี้ด้วย และต้องอุดหนุนพลังงานบางชนิดอีกต่างหาก ส่วนประเทศที่ขายได้ถูกก็ต้องเข้าใจว่าถูกเพราะอะไร ประเทศที่ขายถูกที่สุดคือ เวเนซูเอล่า คือ น้ำมันถูกกว่าน้ำดื่มครับ ตามข่าวราคา 50 สต.ต่อลิตร !!! ประเทศเค้าน้ำมันเยอะจริงคือปริมาณสำรองนะ จำนวนการส่งออกน้ำมันแม้ไม่มาก อยู่ราวๆ 1.5-2 ล้านบาร์เรลต่อวัน (เพราะต้องการควบคุมราคาในกลุ่ม OPEC) แต่ก็ทำให้ประเทศรวยเหมือนกัน
(เพิ่มเติมให้เนื่องจากมีคอมเมนท์ถาม) ทำไมไม่เทียบกับค่าแรงขั้นต่ำหรือรายได้เฉลี่ยของแต่ละประเทศ ****
น้ำมันเราต้องนำเข้าใช่มั้ยครับ ราคาที่ซื้อมันอิงกับ Demand Supply ของโลก ราคาทั่วโลกจริงๆเค้าซื้อที่ราคาเดียวกันในแต่ละชนิด ณ จุดซื้อขาย ในเมื่อเราจำเป็นต้องซื้อมาใช้ เราก็ต้องใช้ตามราคาน้ำมันโลก ไม่มีแบ่งแยกว่าประเทศไหนรวยหรือจนครับ ดังนั้นบริษัทน้ำมันจะขายได้ตามราคาอ้างอิงออกจากโรงกลั่น + ค่าการคลาดเท่านั้น ส่วนราคาที่เพิ่มเติมในโครงสร้างทางภาษีและกองทุนน้ำมัน ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลนั้นๆ ผมไม่สามารถเข้าไปวิจารณ์ในส่วนนี้ได้ครับ
ผมยกตัวอย่าง ทองคำ มีราคาอ้างอิงตามตลาดโลก เราก็ต้องซื้อราคานั้นตราบใดที่เราไม่สามารถผลิตทองคำได้เองถึงขั้นส่งออก หรือเป็นรายใหญ่ขนาดกำหนดราคาเองได้ คือต้องซื้อเข้ามา ไม่เกี่ยวว่า ค่าแรงขั้นต่ำหรือรายได้เฉลี่ยของแต่ละประเทศเป็นเท่าไรครับ ทุกประเทศต้องซื้อราคาเท่ากัน ณ ตลาดอ้างอิง ที่สะท้อนถึงอุปสงค์อุปทาน (Demand Supply) ของโลก ที่จะต่างกันคือภาษีของแต่ละประเทศ......
โครงสร้างราคาน้ำมันของประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นราคาน้ำมันของอีกประเทศนึงที่มักจะถูกอ้างอิงมาเปรียบเทียบเสมอ มาดูแผนภาพที่อ้างอิงจาก ข้อมูลพลังงานจากสหรัฐอเมริกาครับ โดยราคาน้ำมันเฉลี่ยอ้างอิงจากวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2556

รูปที่ 1: โครงสร้างราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ ดีเซล ของประเทศสหรัฐอเมริกา (January 2013)
จะเห็นได้ว่า ราคา Regular Gasoline (เบนซิน 95 บ้านเรา) ราคาเฉลี่ยทั้งประเทศสหรัฐอมริกาอยู่ $3.784/gallon แปลงเป็นหน่วย บาท/ลิตร จะเป็น 29.99 บาทต่อลิตร เท่านั้น ส่วน ดีเซล ราคาเฉลี่ยทั้งประเทศสหรัฐฯอยู่ที่ $4.159/gallon หรือ 32.96 บาทต่อลิตร (ราคาอ้างอิง ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2556)
1 US gallon = 3.78541178 litres
1 USD = 30 Thai Baht (Approx.)
ทางอเมริกาก็มีโครงสร้างทางภาษีกับค่าการตลาดเหมือนกัน แต่จะเห็นได้ว่า
น้ำมันเบนซิน 95
ราคาแค่ราคาหน้าโรงกลั่นก็ประมาณ 80% (72% ราคาน้ำมันดิบ +8% ค่าการกลั่น) (23.99 บาทต่อลิตร) ไปแล้ว ภาษีเก็บแค่ 13% (3.89 บาท) เอง นอกนั้นเป็นค่าการตลาด ไม่มีกองทุนน้ำมันกับอนุรักษ์พลังงาน ส่วนค่าการตลาดพอๆกัน
น้ำมันดีเซล
ราคาแค่ราคาหน้าโรงกลั่นก็ประมาณ 73% (61% ราคาน้ำมันดิบ +12% ค่าการกลั่น) (24.06 บาทต่อลิตร) ไปแล้ว ภาษีเก็บแค่ 12% (3.95 บาทต่อลิตร) เอง นอกนั้นเป็นค่าการตลาด ไม่มีกองทุนน้ำมันกับอนุรักษ์พลังงาน ส่วนค่าการตลาดพอๆกัน อเมริกาแพงกว่านิดหน่อย
ซึ่งพอชำแหละโครงสร้างราคาน้ำมันออกมา จะเห็นได้ว่า ต้นทุนที่ออกจากหน้าโรงกลั่น แทบไม่ได้แตกต่างกันเลยทั้งราคาน้ำมันในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ราคาหน้าโรงกลั่นของไทยจะแพงกว่านิดหน่อยเพราะใช้น้ำมันดิบดูไบ (Dubai Fateh) ($108.36/bbl) เป็นส่วนประกอบหลักที่แพงกว่าน้ำมันดิบ WTI (West Texas Intermediate) ที่สหรัฐอเมริกาใช้ ($92.76/bbl) รวมถึงค่าการกลั่นน้ำมันดิบดูไบแพงกว่า WTI เล็กน้อยด้วยเพราะคุณภาพน้ำมันดิบ WTI ดีกว่า (ที่ราคา WTI ถูกลงเนื่องจากอุปสงค์อุปทาน Demand Supply ในภูมิภาคนั้น รวมถึงสภาวะทางการเมืองระหว่างประเทศอีกด้วยหลายๆอย่าง ซึ่งถ้าขนส่ง WTI มาบ้านเราก็จะแพงกว่าดูไบนะจ้ะ)
ข้อมูลราคาน้ำมันดิบจากบมจ.ไทยออยล์
ข้อมูลราคาน้ำมันดิบจาก OPEChttp://www.opec.org/opec_web/static_files_project/media/downloads/publications/MOMR_February_2013.pdf
แต่ที่แตกต่างกันชัดเจนก็คือภาษีและกองทุนน้ำมันและอนุรักษ์พลังงาน ที่บ้านเราเก็บโหด แต่ก็ยังน้อยกว่ายุโรปนะ เพราะใช้น้ำมันดิบ Brent ที่แพงสุดๆ และเก็บภาษีอย่างโหด
(ปล. อ่านต่อว่าทำไมต้องน้ำมันดิบดูไบ http://www.scbeic.com/THA/document/knowledge_dubai/)
โครงสร้างราคาน้ำมันของประเทศมาเลเซีย
มาเลเซียเป็นประเทศส่งออกน้ำมัน (ผลิตจากในประเทศให้พอๆกับที่ใช้ ไม่ได้ผลิตออกมาขายมากมาย) น้ำมันที่มาเลเซียผลิตได้เรียกว่าน้ำมัน Tapis เป็นน้ำมันที่ได้ชื่อว่ามีคุณภาพดีที่สุดในโลก ราคาแพงกว่า Brent อีกนะครับ พบมากในรัฐซาบาห์ ซาราวัก แถบเกาะบอร์เนียว และเป็นผู้ส่งออกก๊าซ LNG อันดับสองของโลก (ปี 2012) ทำให้รัฐบาลมาเลเซียเอารายได้บางส่วนจากการขายพลังงานมาอุดหนุน (Subsidy) ราคาพลังงานในประเทศมาเลเซียทำให้ราคาน้ำมันในมาเลเซียถูกลง

กราฟที่ 2: ปริมาณการผลิต (Production) และบริโภค (Consumption) น้ำมันดิบและคอนเดนเสทของประเทศมาเลเซียปี 1991-2010
ข้อมูลจาก

กราฟที่ 3: โครงสร้างราคาน้ำมันของประเทศมาเลเซีย
จากกราฟที่ 3 จะเห็นได้ว่า ทางรัฐบาลมาเลเซียทั้งยกเว้นภาษี (Tax exemption) และอุดหนุนราคา (Subsidy) ให้กว่า 40% ของราคาน้ำมันขายปลีกที่ควรจะเป็นของประเทศมาเลเซีย ดังนั้นเวลามีใครมาประกาศปาวๆว่า น้ำมันมาเลย์ถูกกว่าบ้านเราเยอะ ก็ต้องรู้ด้วยว่า ถูกเพราะอะไรนะครับ
ราคาขายปลีกน้ำมันมาเลเซียในปัจจุบัน
ULG RON95 (Unleaded Premium Gasoline, with Research Octane Number 95) หรือเบนซิน 95 อยู่ที่ 21.66 บาทครับจากข้อมูลเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ราคามาเลเซียน่าจะ 1.90 - 2.10 RM (เดี๋ยวจะมาอัพเดตให้อีกทีครับ)
(เพิ่มเติม: ประเทศมาเลเซีย ถ้าเป็นคนต่างชาติจะได้รับการ subsidy โดนบังคับให้เติม RON 97 ที่ทางการไม่ subsidy ให้)
แต่ทางมาเลเซียเองก็พยายามหาทางลดการชดเชยลงเรื่อยๆ (อารมณ์ LPG ของบ้านเรา) แบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป เพื่อให้คนใช้พลังงานตามราคาตลาดโลก จะได้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพหน่อย ไม่ใช่พอใช้ถูกก็ผลาญกันยังกะซดน้ำ ทำให้รัฐบาลมีภาระการชดเชยราคาน้ำมันและก๊าซสูงขึ้นเรื่อยๆจนรับไม่ไหว ถ้าเล่นหักดิบกันจะเหมือนประเทศไนจีเรีย ที่หยุดการชดเชยไปเฉยๆทันที ทำให้ราคาน้ำมันขึ้นเท่าตัว ประชาชนก็เลยก่อม๊อบออกมาประท้วงต่อต้านทันทีเช่นกัน

รูปที่ 2: การประท้วงการยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมัน (Fuel Subsidy Elimination) ในทันทีของรัฐบาลไนจีเรีย ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันทุกชนิดเพิ่มขึ้นเท่าตัวในวันเดียวกัน (Credit: Reuters)
ข่าวสารอ้างอิงเกี่ยวกับการอุดหนุนราคาน้ำมันของประเทศมาเลเซีย
ข่าวการประท้วงการหยุดการชดเชยราคาน้ำมันของประเทศไนจีเรีย
และ CEO ของ Petronas บริษัทน้ำมันของมาเลเซีย ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกการอุดหนุนราคาก๊าซของมาเลเซีย เพราะทำให้คนใช้ก๊าซไร้ประสิทธิภาพ เพราะ Petronas ตอนนี้เป็นผู้ส่งออกก๊าซ LNG อันดับสองของโลก (จากข่าว) ได้ทำสัญญาระยะยาวในการส่ง LNG ไปที่ประเทศจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ถ้าความต้องการพลังงานในประเทศมาเลเซียสูงขึ้นจะทำให้มีผลกระทบต่อการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของมาเลเซียอย่างแน่นอน พอต้องส่งออกตามสัญญา ถ้าประเทศผลิตเหลือจากการส่งออกไม่พอ ก็ต้องนำเข้าพลังงานจากประเทศเพื่อนบ้านแทน หรือใช้พลังงานทางเลือกอื่นปั่นไฟฟ้าที่แพงกว่าก๊าซ แตข้อดีของการอุดหนุนราคาพลังงานทำให้อัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพของมาเลเซียต่ำกว่าเพื่อนบ้านใน ASEAN แต่จะทำให้รัฐถังแตกในไม่ช้านี้

กราฟที่ 4: ปริมาณการบริโภค (Consumption) และกำลังการผลิต (Production) ของก๊าซธรรมชาติของประเทศมาเลเซียปี 1991-2010

กราฟที่ 5: ข้อมูลผู้ส่งออกก๊าซ LNG หลักของโลก ปี 2010
ข่าวและข้อมูลอ้างอิง
สรุปราคาน้ำมันที่ไทยแพงเพราะ
1. ภาษีอัตราที่สูงในน้ำมันบางชนิด
2. กองทุนน้ำมันและส่งเสริมอนุรักษ์พลังงานในอัตราที่สูงในน้ำมันบางชนิด
3. ต้นทุนและค่าขนส่งน้ำมันดิบแพงกว่าในบางประเทศ
ย้ำนะครับ ผมไม่ได้คาดหวังให้ทุกๆคนมาเชื่อผม ผมแค่นำข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ผมเคยศึกษาเอาไว้เป็นการส่วนตัวมาแชร์ ก่อนจะเชื่อผม ได้โปรดวิเคราะห์และใช้วิจารณญาณของตัวท่านเองและหาข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ และฟังข้อมูลอีกด้านอย่างมีสติด้วยครับ เพราะสิ่งที่ผมคิดก็อาจจะไม่ถูกต้อง 100% ก็ได้ ด้วยความหวังดีครับ
Pipat Posawad อันนี้ละเอียดมากๆ เลยครับ เอาไว้อ้างอิงได้เลย
.........................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น