วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

05/03/2556



ข่าวไม่ควรตก: หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ IMF รับผิดว่า IMF ประเมินผลกระทบของมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลในยุโรปต่อความเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำไป
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

เมื่อเดือนมกราคม ศกนี้ Olivier Blanchard หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ IMF ยอมรับในงานวิจัยล่าสุดของตนที่ทำร่วมกับนักวิจัยอีกคนหนึ่งเรื่อง “Growth Forecast Errors and Fiscal Multipliers”
(http://www.imf.org/external/pubs/cat/longres.aspx?sk=40200.0) ว่า IMF ทำนายเศรษฐกิจกรีซและประเทศยุโรปอื่น ๆ ผิดเพราะไม่เข้าใจเต็มที่ว่ามาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลบ่อนทำลายความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไร บทคัดย่อของงานวิจัยเรื่องนี้ระบุว่า:

“บทความนี้สอบค้นความสัมพันธ์ระหว่างความผิดพลาดในการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจกับการปรับภาวะการคลังให้เข้าสู่สมดุลตามที่วางแผนไว้ในระหว่างวิกฤต (เศรษฐกิจ) เราพบว่าในบรรดาประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้า การปรับภาวะการคลังให้เข้าสู่สมดุลตามที่วางแผนอย่างหนักหน่วงขึ้นพ้องพานสัมพันธ์กับการเติบโตต่ำกว่าที่คาดหมายไว้ โดยที่ความสัมพันธ์นั้นหนักแน่นเป็นพิเศษทั้งในเชิงสถิติและเชิงเศรษฐกิจในช่วงต้นของวิกฤต การตีความตามปกติธรรมดาก็คือว่าตัวคูณทางการคลังนั้นสูงกว่าที่บรรดานักคาดการณ์สันนิษฐานไว้โดยนัยมากพอสมควร การที่ความสัมพันธ์ (ระหว่างความผิดพลาดในการทำนายการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการปรับภาวะการคลังให้เข้าสู่สมดุลตามที่วางแผนไว้ในระหว่างวิกฤตเศรษฐกิจ) อ่อนเพลาลงในปีหลัง ๆ นี้ส่วนหนึ่งอาจจะสะท้อนการที่บรรดานักคาดการณ์ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา และอีกส่วนหนึ่งอาจจะสะท้อนตัวคูณที่มีผลน้อยลงกว่าในปีแรก ๆ ของวิกฤตเศรษฐกิจ”

นัยสำคัญของมันก็คือเท่ากับ IMF ยอมรับผิดว่าที่ผ่านมาเวลาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว IMF ไปเที่ยวเรียกร้องยัดเยียดเงื่อนไขการปล่อยเงินกู้ช่วยเหลือเอากับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก (รวมทั้งไทยเราตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง พ.ศ. ๒๕๔๐) และนานาประเทศยุโรปในปีหลัง ๆ นี้ตามมิจฉาทิฐิแห่งลัทธิเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) ของตัว ว่า

-ต้องดำเนินนโยบายและมาตรการรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจ (economic austerity) รักษางบประมาณสมดุลหรือให้ขาดดุลแต่น้อย (นโยบายการคลังแบบหดตัว contractionary fiscal policy)

-แทนที่จะเร่งทุ่มเทใช้จ่ายงบประมาณขาดดุล (นโยบายการคลังแบบขยายตัว expansionary fiscal policy) เพื่อยกระดับอุปสงค์มวลรวม (aggregate demand) กระตุ้นระบบเศรษฐกิจที่กำลังประสบวิกฤตให้ฟื้นขึ้นมาก่อน

-แถมยังบีบให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงลิบจนเงินฝืดไปทั้งระบบนั้น

-มันกลับส่งผลโอละพ่อให้เศรษฐกิจหดตัวลีบฝ่อลง ธุรกิจเจ๊งกะบ๊งเป็นทิวแถว และลงเอยโดยรัฐเองก็เก็บภาษีรายได้เป็นงบประมาณรายรับเข้าแผ่นดินได้น้อยลง หมุนวนเป็นวัฏจักรอุบาทว์ดิ่งเหวลึกลงไปเรื่อย ๆ

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ IMF รับผิดแล้ว แต่บรรดาลิ่วล้อนักเศรษฐศาสตร์ของ IMF และสาวกลัทธิเสรีนิยมใหม่ทั่วโลกซึ่งยังกกกอดคัมภีร์เศรษฐศาสตร์เสรีนิยมใหม่ (มันอุ่นใจดี) และป่าวประกาศ”สัจธรรม” เสรีนิยมใหม่อยู่ทั่วโลก (รู้สึกได้ถึงอำนาจประกาศก) จะรออีกกี่วิกฤตจึงจะสำนึกบ้าง?


......................................................................................................................................




ใหญ่คับบ้านคับเมือง

นักวิชาการฝรั่งได้ศึกษาการเมืองไทยในช่วงการปกครองของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนถึงจอมพลถนอม กิตติขจร พบว่าสังคมไทยเป็นสังคมอำนาจนิยม คนไทยนิยมชมชอบการมีอำนาจ เคารพนับถือผู้มีอำนาจ พร้อมกันกับการเกรงกลัวผู้มีอำนาจ คือถ้าเป็นอำนาจแล้วละก็ ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบของอำนาจ พี่ไทยเรารับเอาไว้ได้หมด

ักวิชาการฝรั่งกลุ่มนี้บอกสาเหตุของความเป็นคน “บ้าอำนาจ” ของคนไทยทั้งประเทศเอาไว้ด้วยว่า น่าจะเป็นผลมาจากปัจจัยด้านวัฒนธรรมทางการเมืองการปกครองของไทย 2 ส่วน ส่วนแรกก็คือ วัฒนธรรมแบบศักดินาในส่วนของผู้ปกครอง ที่ชนชั้นปกครองต่างก็หล่อหลอมกันมาให้เป็น “ผู้ที่อยู่เหนือ” หรือมีความพิเศษแตกต่างจากคนอื่น ไม่เว้นแม้แต่ในหมู่ชนชั้นผู้ปกครองด้วยกัน ที่แบ่งแยกลำดับชั้นระหว่างกันด้วยยศ ตำแหน่ง และความไว้วางพระราชหฤทัย รวมทั้งที่แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นส่วนตัวจากการสั่งสมบริวารเพื่อสร้างบารมี

อีกส่วนหนึ่งก็คือ วัฒนธรรมแบบไพร่ในส่วนของผู้ใต้ปกครอง ที่เคยชินกับการมีเจ้านายภายใต้วัฒนธรรมศักดินาดังกล่าว ในลักษณะของ “ผู้บังคับ – ผู้บัญชา” คือสามารถบังคับควบคุมให้เชื่อฟังในทุกเรื่อง และบงการบัญชาให้ทำตามที่สั่งได้ทุกอย่าง ร่วมกับค่านิยมทางสังคมบางอย่าง เป็นต้นว่า การยอมรับในโชคชะตาที่ต่ำต้อยว่าเป็นเรื่องของเวรกรรม ชาติก่อนคงเคยกดขี่ข่มเหงเขามา ชาตินี้เลยต้องมาเป็นขี้ข้าเขา หรือที่เขามั่งมีและมีอำนาจมากเพราะเขาเป็นคนวาสนาดี ทำบุญมามาก เราเป็นผู้น้อยต้อง “คอยก้มประนมกร” ต้องพึ่งพิงเขาเพราะถ้าไม่มีเจ้านายจะไม่มีใครคุ้มครองเรา เป็นที่มาของระบบเส้นสายและการเล่นพรรคเล่นพวก

ในเรื่องของความบ้าอำนาจของมนุษย์นี้ นักมานุษยวิทยาเชื่อว่าเป็นผลมาจากลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างกันของมนุษย์ตั้งแต่สมัยแรกๆ ที่มนุษย์มีการรวมกลุ่มกันเป็นชุมชน ซึ่งระบบชุมชนที่เก่าแก่ที่สุดก็คือระบบชนเผ่า อันสืบเนื่องมาจากสังคมแบบครอบครัวที่เน้นความเป็นผู้สืบสายเลือด(ครอบครัว)เดียวกัน และให้คนที่แข็งแรงที่สุดในชนเผ่าเป็นหัวหน้าหรือ “ผู้ปกครอง” ครั้นพอพัฒนามาเป็นชุมชนแบบ “บ้านเมือง” คือมีการรวมคนจากกลุ่มสายเลือด(ครอบครัว)ที่แตกต่าง ก็ต้องเพิ่มคุณสมบัติของผู้ปกครองให้โดดเด่นมากขึ้น คือนอกเหนือจากพละกำลังที่เหนือกว่า(ที่ผู้ปกครองในแบบนี้ใช้การสร้างกำลังกองทัพเพื่อรองรับอำนาจในด้านนี้ของตน) ก็ต้องมีฐานะทางสังคมอื่นๆ เหนือกว่าด้วย เช่น ความมั่งคั่ง หรือยศและตำแหน่งที่สูงกว่า เพื่อสร้างความน่าเกรงขาม ที่รวมถึงการสร้างเครื่องแบบและเครื่องประดับของยศและตำแหน่งให้มีความวิลิศมาหราแตกต่างกันตามลำดับชั้นของอำนาจนั้นด้วย

อ้อ ลืมไปว่านักวิชาการฝรั่งที่มาศึกษาเรื่องความบ้าอำนาจของคนไทยนั้นเขาใช้ข้อมูลที่ลึกซึ้งมากที่นักวิชาการคนไทย(ที่ก็บ้าอำนาจเหมือนกัน)อาจจะนึกไม่ถึง เช่นที่เขาชี้ว่าคนไทยเป็นคนบ้าเครื่องแบบไปทุกอาชีพ แน่นอนว่าข้าราชการนั้นต้องมีเครื่องแบบ แต่ฝรั่งกลุ่มนี้ก็ประหลาดใจว่านักการเมืองก็บ้าตามไปด้วย นั่นก็คือชอบแต่งเครื่องแบบเหมือนข้าราชการ รวมทั้งบางอาชีพที่ไม่น่าจะมีเครื่องแบบก็มีกับเขาด้วย เป็นต้นว่า กระเป๋ารถเมล์ และคนขับรถรับจ้าง(สมัยนั้นน่าจะมีรถสามล้อด้วย) แต่ที่ทึ่งสุดๆ ก็คือที่ฝรั่งกลุ่มนี้บอกว่า แม้แต่ลิเกก็มีเครื่องแบบแสดงยศต่างๆ กัน แต่กระนั้นแม้จะเป็นตัวร้ายหรือดาวตลกก็ต้องแต่งตัวเต็มยศเพื่อแสดงฐานะอันโดดเด่นนั้นด้วย

อีกกรณีหนึ่งที่แสดงความบ้าอำนาจของคนไทยก็คือการยกพวกตีกันของนักเรียน นั่นก็เป็นเพราะความบ้าสถาบัน ความรักพวกพ้อง ที่ต่างก็ทึกทักเอาว่าพวกตนโดดเด่นหรือ “เหนือกว่า” กอร์ปกับพลังฮอร์โมนที่กำลังพลุ่งพล่านของคนในช่วงวัยรุ่น จึงทำให้การแสดงออกค่อนข้างรุนแรง ที่สำคัญไม่ค่อยจะมีสติยั้งคิด เป็นเรื่องของจิตวิทยากลุ่มที่ฝรั่งเรียกว่า “Swarming” ที่อาจจะแปลเป็นไทยได้ว่า “พลังของการรวมฝูง” ที่จะพบได้มากในหมู่สัตว์ฝูงทั้งหลายที่กระทำสิ่งต่างๆ ไปตามแต่หัวหน้าฝูงหรือกลุ่มทั้งฝูงนั้นจะพาไป

ในเรื่องนี้ผู้เขียนเคยเสนอกับผู้บริหารของกระทรวงศึกษาว่า น่าจะจัดการศึกษาแก่นักเรียนให้มีลักษณะที่แข่งขันกันมากขึ้น คือแทนที่ที่พวกนี้จะไปแข่งความเป็นใหญ่ของสถาบันโดยเอากำลังไปต่อยตีกระทั่งยิงกันข้างนอกนั้น ก็จัดให้โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาเหล่านี้มาแข่งขันกันเรียนหรือพัฒนาฝีมือความเชี่ยวชาญ มีการจัดรายการแบบ Talent Show หรือประกวดความสามารถต่างๆ แต่แทนที่จะเน้นรางวัลเฉพาะคนที่เป็นสุดยอด ก็ให้มีหลายๆ รางวัล และผสมผสานกันไปทั่วประเทศ (ไม่ใช่มาแข่งขันกันทำข้อสอบเชยๆ เฉพาะ ONET หรือ GAT เท่านั้น)

ทวี สุรฤทธิกุล
สยามรัฐออนไลน์, 3 มี.ค. 2556


......................................................................................................................



........................................................................................................................................


สิ่งประดิษฐ์ สุดยอดในโลก เกิดขึ้นแล้ว


http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=pii4G8FkCA4

ชอบๆ ^^
555++

......................................................................................................................................


เจ้าของร้านเค้าฝากมา ^^

...................................................................................................................................


เรื่องของคน: ทำไมจึงมองไม่เห็น “คน”


http://blogazine.in.th/blogs/noname/post/4015


...............................................................................................................................

เมื่อให้วิเคราะห์สาเหตุที่ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งในครั้งนี้ 

"ถ้าจะให้ตนตอบคงมีสาเหตุเดียวที่แพ้ เพราะได้คะแนนน้อยกว่าผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์"

~มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าว~ 

ูู^^

Mati Tajaroensuk ถูกต้องที่สุดครับ

........................................................................................................................


การจะรณรงค์อะไรบางอย่าง Source เป็นเรื่องสำคัญ


http://pantip.com/topic/30211524

......................................................................................................................














































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น