ข่าวไม่ควรตก: หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ IMF รับผิดว่า IMF ประเมินผลกระทบของมาตรการรัดเข็ มขัดของรัฐบาลในยุโรปต่อความเติ บโตทางเศรษฐกิจต่ำไป
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
เมื่อเดือนมกราคม ศกนี้ Olivier Blanchard หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ IMF ยอมรับในงานวิจัยล่าสุดของตนที่ ทำร่วมกับนักวิจัยอีกคนหนึ่งเรื ่อง “Growth Forecast Errors and Fiscal Multipliers”
(http://www.imf.org/external/ pubs/cat/ longres.aspx?sk=40200.0) ว่า IMF ทำนายเศรษฐกิจกรีซและประเทศยุโร ปอื่น ๆ ผิดเพราะไม่เข้าใจเต็มที่ว่ามาต รการรัดเข็มขัดของรัฐบาลบ่อนทำล ายความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไร บทคัดย่อของงานวิจัยเรื่องนี้ระ บุว่า:
“บทความนี้สอบค้นความสัมพันธ์ระ หว่างความผิดพลาดในการคาดการณ์ก ารเติบโตทางเศรษฐกิจกับการปรับภ าวะการคลังให้เข้าสู่สมดุลตามที ่วางแผนไว้ในระหว่างวิกฤต (เศรษฐกิจ) เราพบว่าในบรรดาประเทศเศรษฐกิจก ้าวหน้า การปรับภาวะการคลังให้เข้าสู่สม ดุลตามที่วางแผนอย่างหนักหน่วงข ึ้นพ้องพานสัมพันธ์กับการเติบโต ต่ำกว่าที่คาดหมายไว้ โดยที่ความสัมพันธ์นั้นหนักแน่น เป็นพิเศษทั้งในเชิงสถิติและเชิ งเศรษฐกิจในช่วงต้นของวิกฤต การตีความตามปกติธรรมดาก็คือว่า ตัวคูณทางการคลังนั้นสูงกว่าที่ บรรดานักคาดการณ์สันนิษฐานไว้โด ยนัยมากพอสมควร การที่ความสัมพันธ์ (ระหว่างความผิดพลาดในการทำนายก ารเติบโตทางเศรษฐกิจกับการปรับภ าวะการคลังให้เข้าสู่สมดุลตามที ่วางแผนไว้ในระหว่างวิกฤตเศรษฐก ิจ) อ่อนเพลาลงในปีหลัง ๆ นี้ส่วนหนึ่งอาจจะสะท้อนการที่บ รรดานักคาดการณ์ได้เรียนรู้จากป ระสบการณ์ที่ผ่านมา และอีกส่วนหนึ่งอาจจะสะท้อนตัวค ูณที่มีผลน้อยลงกว่าในปีแรก ๆ ของวิกฤตเศรษฐกิจ”
นัยสำคัญของมันก็คือเท่ากับ IMF ยอมรับผิดว่าที่ผ่านมาเวลาเกิดว ิกฤตเศรษฐกิจแล้ว IMF ไปเที่ยวเรียกร้องยัดเยียดเงื่อ นไขการปล่อยเงินกู้ช่วยเหลือเอา กับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก (รวมทั้งไทยเราตอนวิกฤตต้มยำกุ้ ง พ.ศ. ๒๕๔๐) และนานาประเทศยุโรปในปีหลัง ๆ นี้ตามมิจฉาทิฐิแห่งลัทธิเสรีนิ ยมใหม่ (neoliberalism) ของตัว ว่า
-ต้องดำเนินนโยบายและมาตรการรัด เข็มขัดทางเศรษฐกิจ (economic austerity) รักษางบประมาณสมดุลหรือให้ขาดดุ ลแต่น้อย (นโยบายการคลังแบบหดตัว contractionary fiscal policy)
-แทนที่จะเร่งทุ่มเทใช้จ่ายงบปร ะมาณขาดดุล (นโยบายการคลังแบบขยายตัว expansionary fiscal policy) เพื่อยกระดับอุปสงค์มวลรวม (aggregate demand) กระตุ้นระบบเศรษฐกิจที่กำลังประ สบวิกฤตให้ฟื้นขึ้นมาก่อน
-แถมยังบีบให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย สูงลิบจนเงินฝืดไปทั้งระบบนั้น
-มันกลับส่งผลโอละพ่อให้เศรษฐกิ จหดตัวลีบฝ่อลง ธุรกิจเจ๊งกะบ๊งเป็นทิวแถว และลงเอยโดยรัฐเองก็เก็บภาษีราย ได้เป็นงบประมาณรายรับเข้าแผ่นด ินได้น้อยลง หมุนวนเป็นวัฏจักรอุบาทว์ดิ่งเห วลึกลงไปเรื่อย ๆ
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ IMF รับผิดแล้ว แต่บรรดาลิ่วล้อนักเศรษฐศาสตร์ข อง IMF และสาวกลัทธิเสรีนิยมใหม่ทั่วโล กซึ่งยังกกกอดคัมภีร์เศรษฐศาสตร ์เสรีนิยมใหม่ (มันอุ่นใจดี) และป่าวประกาศ”สัจธรรม” เสรีนิยมใหม่อยู่ทั่วโลก (รู้สึกได้ถึงอำนาจประกาศก) จะรออีกกี่วิกฤตจึงจะสำนึกบ้าง?
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
เมื่อเดือนมกราคม ศกนี้ Olivier Blanchard หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ IMF ยอมรับในงานวิจัยล่าสุดของตนที่
(http://www.imf.org/external/
“บทความนี้สอบค้นความสัมพันธ์ระ
นัยสำคัญของมันก็คือเท่ากับ IMF ยอมรับผิดว่าที่ผ่านมาเวลาเกิดว
-ต้องดำเนินนโยบายและมาตรการรัด
-แทนที่จะเร่งทุ่มเทใช้จ่ายงบปร
-แถมยังบีบให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย
-มันกลับส่งผลโอละพ่อให้เศรษฐกิ
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ IMF รับผิดแล้ว แต่บรรดาลิ่วล้อนักเศรษฐศาสตร์ข
......................................................................................................................................
ใหญ่คับบ้านคับเมือง
นักวิชาการฝรั่งได้ศึกษาการเมือ งไทยในช่วงการปกครองของจอมพลสฤษ ดิ์ ธนะรัชต์ จนถึงจอมพลถนอม กิตติขจร พบว่าสังคมไทยเป็นสังคมอำนาจนิย ม คนไทยนิยมชมชอบการมีอำนาจ เคารพนับถือผู้มีอำนาจ พร้อมกันกับการเกรงกลัวผู้มีอำน าจ คือถ้าเป็นอำนาจแล้วละก็ ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบข องอำนาจ พี่ไทยเรารับเอาไว้ได้หมด
นักวิชาการฝรั่งกลุ่มนี้บอกสาเหต ุของความเป็นคน “บ้าอำนาจ” ของคนไทยทั้งประเทศเอาไว้ด้วยว่ า น่าจะเป็นผลมาจากปัจจัยด้านวัฒน ธรรมทางการเมืองการปกครองของไทย 2 ส่วน ส่วนแรกก็คือ วัฒนธรรมแบบศักดินาในส่วนของผู้ ปกครอง ที่ชนชั้นปกครองต่างก็หล่อหลอมก ันมาให้เป็น “ผู้ที่อยู่เหนือ” หรือมีความพิเศษแตกต่างจากคนอื่ น ไม่เว้นแม้แต่ในหมู่ชนชั้นผู้ปก ครองด้วยกัน ที่แบ่งแยกลำดับชั้นระหว่างกันด ้วยยศ ตำแหน่ง และความไว้วางพระราชหฤทัย รวมทั้งที่แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นส่วนตัวจากการสั่งสมบริวารเ พื่อสร้างบารมี
อีกส่วนหนึ่งก็คือ วัฒนธรรมแบบไพร่ในส่วนของผู้ใต้ ปกครอง ที่เคยชินกับการมีเจ้านายภายใต้ วัฒนธรรมศักดินาดังกล่าว ในลักษณะของ “ผู้บังคับ – ผู้บัญชา” คือสามารถบังคับควบคุมให้เชื่อฟ ังในทุกเรื่อง และบงการบัญชาให้ทำตามที่สั่งได ้ทุกอย่าง ร่วมกับค่านิยมทางสังคมบางอย่าง เป็นต้นว่า การยอมรับในโชคชะตาที่ต่ำต้อยว่ าเป็นเรื่องของเวรกรรม ชาติก่อนคงเคยกดขี่ข่มเหงเขามา ชาตินี้เลยต้องมาเป็นขี้ข้าเขา หรือที่เขามั่งมีและมีอำนาจมากเ พราะเขาเป็นคนวาสนาดี ทำบุญมามาก เราเป็นผู้น้อยต้อง “คอยก้มประนมกร” ต้องพึ่งพิงเขาเพราะถ้าไม่มีเจ้ านายจะไม่มีใครคุ้มครองเรา เป็นที่มาของระบบเส้นสายและการเ ล่นพรรคเล่นพวก
ในเรื่องของความบ้าอำนาจของมนุษ ย์นี้ นักมานุษยวิทยาเชื่อว่าเป็นผลมา จากลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างกั นของมนุษย์ตั้งแต่สมัยแรกๆ ที่มนุษย์มีการรวมกลุ่มกันเป็นช ุมชน ซึ่งระบบชุมชนที่เก่าแก่ที่สุดก ็คือระบบชนเผ่า อันสืบเนื่องมาจากสังคมแบบครอบค รัวที่เน้นความเป็นผู้สืบสายเลื อด(ครอบครัว)เดียวกัน และให้คนที่แข็งแรงที่สุดในชนเผ ่าเป็นหัวหน้าหรือ “ผู้ปกครอง” ครั้นพอพัฒนามาเป็นชุมชนแบบ “บ้านเมือง” คือมีการรวมคนจากกลุ่มสายเลือด( ครอบครัว)ที่แตกต่าง ก็ต้องเพิ่มคุณสมบัติของผู้ปกคร องให้โดดเด่นมากขึ้น คือนอกเหนือจากพละกำลังที่เหนือ กว่า(ที่ผู้ปกครองในแบบนี้ใช้กา รสร้างกำลังกองทัพเพื่อรองรับอำ นาจในด้านนี้ของตน) ก็ต้องมีฐานะทางสังคมอื่นๆ เหนือกว่าด้วย เช่น ความมั่งคั่ง หรือยศและตำแหน่งที่สูงกว่า เพื่อสร้างความน่าเกรงขาม ที่รวมถึงการสร้างเครื่องแบบและ เครื่องประดับของยศและตำแหน่งให ้มีความวิลิศมาหราแตกต่างกันตาม ลำดับชั้นของอำนาจนั้นด้วย
อ้อ ลืมไปว่านักวิชาการฝรั่งที่มาศึ กษาเรื่องความบ้าอำนาจของคนไทยน ั้นเขาใช้ข้อมูลที่ลึกซึ้งมากที ่นักวิชาการคนไทย(ที่ก็บ้าอำนาจ เหมือนกัน)อาจจะนึกไม่ถึง เช่นที่เขาชี้ว่าคนไทยเป็นคนบ้า เครื่องแบบไปทุกอาชีพ แน่นอนว่าข้าราชการนั้นต้องมีเค รื่องแบบ แต่ฝรั่งกลุ่มนี้ก็ประหลาดใจว่า นักการเมืองก็บ้าตามไปด้วย นั่นก็คือชอบแต่งเครื่องแบบเหมื อนข้าราชการ รวมทั้งบางอาชีพที่ไม่น่าจะมีเค รื่องแบบก็มีกับเขาด้วย เป็นต้นว่า กระเป๋ารถเมล์ และคนขับรถรับจ้าง(สมัยนั้นน่าจ ะมีรถสามล้อด้วย) แต่ที่ทึ่งสุดๆ ก็คือที่ฝรั่งกลุ่มนี้บอกว่า แม้แต่ลิเกก็มีเครื่องแบบแสดงยศ ต่างๆ กัน แต่กระนั้นแม้จะเป็นตัวร้ายหรือ ดาวตลกก็ต้องแต่งตัวเต็มยศเพื่อ แสดงฐานะอันโดดเด่นนั้นด้วย
อีกกรณีหนึ่งที่แสดงความบ้าอำนา จของคนไทยก็คือการยกพวกตีกันของ นักเรียน นั่นก็เป็นเพราะความบ้าสถาบัน ความรักพวกพ้อง ที่ต่างก็ทึกทักเอาว่าพวกตนโดดเ ด่นหรือ “เหนือกว่า” กอร์ปกับพลังฮอร์โมนที่กำลังพลุ ่งพล่านของคนในช่วงวัยรุ่น จึงทำให้การแสดงออกค่อนข้างรุนแ รง ที่สำคัญไม่ค่อยจะมีสติยั้งคิด เป็นเรื่องของจิตวิทยากลุ่มที่ฝ รั่งเรียกว่า “Swarming” ที่อาจจะแปลเป็นไทยได้ว่า “พลังของการรวมฝูง” ที่จะพบได้มากในหมู่สัตว์ฝูงทั้ งหลายที่กระทำสิ่งต่างๆ ไปตามแต่หัวหน้าฝูงหรือกลุ่มทั้ งฝูงนั้นจะพาไป
ในเรื่องนี้ผู้เขียนเคยเสนอกับผ ู้บริหารของกระทรวงศึกษาว่า น่าจะจัดการศึกษาแก่นักเรียนให้ มีลักษณะที่แข่งขันกันมากขึ้น คือแทนที่ที่พวกนี้จะไปแข่งความ เป็นใหญ่ของสถาบันโดยเอากำลังไป ต่อยตีกระทั่งยิงกันข้างนอกนั้น ก็จัดให้โรงเรียนหรือสถาบันการศ ึกษาเหล่านี้มาแข่งขันกันเรียนห รือพัฒนาฝีมือความเชี่ยวชาญ มีการจัดรายการแบบ Talent Show หรือประกวดความสามารถต่างๆ แต่แทนที่จะเน้นรางวัลเฉพาะคนที ่เป็นสุดยอด ก็ให้มีหลายๆ รางวัล และผสมผสานกันไปทั่วประเทศ (ไม่ใช่มาแข่งขันกันทำข้อสอบเชย ๆ เฉพาะ ONET หรือ GAT เท่านั้น)
ทวี สุรฤทธิกุล
สยามรัฐออนไลน์, 3 มี.ค. 2556
นักวิชาการฝรั่งได้ศึกษาการเมือ
นักวิชาการฝรั่งกลุ่มนี้บอกสาเหต
อีกส่วนหนึ่งก็คือ วัฒนธรรมแบบไพร่ในส่วนของผู้ใต้
ในเรื่องของความบ้าอำนาจของมนุษ
อ้อ ลืมไปว่านักวิชาการฝรั่งที่มาศึ
อีกกรณีหนึ่งที่แสดงความบ้าอำนา
ในเรื่องนี้ผู้เขียนเคยเสนอกับผ
ทวี สุรฤทธิกุล
สยามรัฐออนไลน์, 3 มี.ค. 2556
......................................................................................................................
........................................................................................................................................
สิ่งประดิษฐ์ สุดยอดในโลก เกิดขึ้นแล้ว
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=pii4G8FkCA4
ชอบๆ ^^
555++
......................................................................................................................................
เจ้าของร้านเค้าฝากมา ^^
...................................................................................................................................
เรื่องของคน: ทำไมจึงมองไม่เห็น “คน”
http://blogazine.in.th/blogs/noname/post/4015
...............................................................................................................................
เมื่อให้วิเคราะห์สาเหตุที่ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งในครั้งนี้
"ถ้าจะให้ตนตอบคงมีสาเหตุเดียวที่แพ้ เพราะได้คะแนนน้อยกว่าผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์"
~มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าว~
ูู^^
Mati Tajaroensuk ถูกต้องที่สุดครับ
........................................................................................................................
การจะรณรงค์อะไรบางอย่าง Source เป็นเรื่องสำคัญ
http://pantip.com/topic/30211524
......................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น