วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

15/03/2556



» แนวทางสู่ Living Company ...โดย ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ
» อย่าเอา KPI ไปผูก กับ "โบนัส-รางวัล-เงินเดือน-ตำแหน่ง"

การใช้ KPI (Key Performance Indicators) ที่ไม่ฉลาดนัก คือ เอา ผลของ KPI ไปผูก กับ โบนัส รางวัล ตำแหน่ง ฯลฯ

เพราะ KPI เป็น แค่ "มิเตอร์" เอาไว้เพื่อ หา "โอกาสในการพัฒนา" จะได้ ย้อนไปดูกระบวนการ ได้คิดใหม่ ได้ทำใหม่ ได้ สังเกตๆๆๆๆ ให้ละเอียด

"สังเกตๆ คือ ห้อยแขวนคำพิพากษา" หากสังเกตไปไม่สุดๆ จะมีแต่การปรุงแต่ง อคติ ลำเอียง อวิชชา ฯลฯ


◌◌◌◌◌◌◌◌


• ตัวอย่างประกอบ •

ลองคิดดู เราจ้างคนขับรถ เราบอกเค้าว่า KPI คือ เร็ว และ ปลอดภัย

แต่พอถึงตอน...ประเมินผลปลายปี

มิเตอร์ความเร็วเฉลี่ย บอกว่า ต่ำกว่า ๙๐ กม.ต่อชั่วโมง

เราเลยด่าคนขับว่า แย่มาก KPI ต่ำกว่ากำหนด

ทั้งๆ หลุมเต็มถนนไปหมด แต่ คนตรวจและเจ้านาย มองไม่เห็น

...บอร์ด (Board) ตาบอด


มิเตอร์ ความร้อน บอกว่า เครื่องยนต์ร้อนแล้วนะ เราเลย ไล่คนขับรถออก ขับยังไง ให้น้ำร้อนได้ ทั้งๆ ที่ สั่ง เอา KPI อีกตัวว่า เร็วๆๆๆๆๆๆ


◌◌◌◌◌◌◌◌


คนตรวจ KPI หรือ มาตรฐานต่างๆ ส่วนใหญ่ ตกหลุมพราง ของ ความมักง่าย คือ เอาแต่ ดูเอกสาร ไม่รู้จัก การสังเกต การลงไปตั้งวง dialogue

ไม่เคยลงมา ทำงานร่วม เป็น "คนนอก" ที่ มี ทัศนคติ "ฉันไม่ไว้ใจใคร" "ฉัน เก่ง กว่าใคร" ...กร่างมาแต่ไกล

คนตรวจประเมิน ทำตัวแบบ นายพลในเรื่อง AVATAR คือ ไม่มี จิตใจ ไม่รู้จัก "คุณค่า" ของมนุษย์เลย ไม่เชื่อมโยง (Connect) จิตใจตนเองกับ ผู้คน

ในหนังมี นก อี- กราน ที่ เชื่อมโยงกับ ชาวนาวี แต่ ของไทย มี CEO มี Board บริหาร และ คนตรวจประเมิน ที่เป็น อี-กร่าง เยอะมาก


◌◌◌◌◌◌◌◌


Intangible benefit เป็น อะไรที่ พวกผู้บริหาร และ คนตรวจ KPI แนวบ้าเลือด ยังไม่เข้าใจ


KPI ได้ผล (โดนหลอกว่า ได้ผล) ... แต่ ทุนทางปัญญาเสื่อมสลาย ทุนทางใจ พังย่อยยับ


คนบ้า เท่านั้น ที่ เอา KPI ไป ไล่ ตำหนิ ตัดสิน ลูกน้อง

สมัยนี้ เขาใช้ Collective intelligent กันแล้ว

ใช้ Collective conversation กันแล้ว

จนกลายเป็น Collective leadership ในที่สุด


◌◌◌◌◌◌◌◌


• บทเสริมท้ายเรื่อง ...โดย Life 101

ลักษณะของ "Collective Leadership" คือ...

ภาวะการทำงานของกลุ่มคนซึ่งสามารถผลัดกันนำ ผลัดกันตามในแต่ละสถานการณ์ สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีม ...ซึ่งไม่ใช่ทีมที่มีผู้นำเพียงคนใดคนหนึ่ง

แต่เป็นทีมซึ่งอาจมีการสลับปรับเปลี่ยนผู้นำ โดยขึ้นกับธรรมชาติของงาน หรือธรรมชาติรอบข้างของงานนั้นๆ (บริบท) ปรากฏการณ์ที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น การเล่นดนตรีแจ๊ซ ทีมฟุตบอล ทีมกีฬาต่างๆ


เราพบว่า...การทำงานเป็นทีม ของคนเก่งมากๆ หลายๆ คน ที่มิได้จำเป็นต้องมีโครงสร้างทีม ซับซ้อน เพียงแค่ต้องมาทำงานร่วมกันเนื่องจากตัวเนื้องาน นั้น...

มักจะไม่มี "ผู้นำ" ที่ผู้บริหารเบื้องบนจัดตั้งมาให้ หรือจะให้เลือกตั้งกันเองก็ยังตะขิดตะขวงใจ ทำใจไม่ค่อยได้ ถ้าจะให้ใครมาทำตัวเป็น "หัวหน้า" หรือ เหนือกว่าคนที่เหลือ ...


ปัญหาที่ตามมา ก็คือ... พอนำคนเก่งๆ มารวมกันนี้ กลับมีอาการ... ต่างคนต่างใหญ่ ต่างคนต่างมีความสามารถ

เรียกว่า "รวมดาว" เก่งๆ กันทั้งนั้น

แต่แปลกที่ว่า พอรวมดาวมาไว้ด้วยกัน กลับทำงานได้ผลงานน้อยกว่าการทำงานด้วยคนธรรมดาๆ รวมกันทำ !?


แนวทางของ Collective leadership จะช่วยอำนวยให้ คนเก่งๆ ที่อยู่กันในทีม แต่ละคนมีความสามารถพลิกแพลงในงานที่ตนถนัดได้ดี สามารถสลับกันเป็นผู้นำในส่วนงานที่ตนถนัดได้

และที่สำคัญ "ลงเป็น" ยอมให้เพื่อนคนอื่นขึ้นไปนำได้เช่นกัน

โดยคนที่เหลือก็ช่วยประคอง ช่วยเล่นประกอบช่วยเล่นเสริมให้เพื่อนที่กำลังเล่นนำอยู่นั้น สามารถสร้างสีสันให้สวยงามได้


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ | บันทึกคนไร้กรอบ
 


..................................................................................................................................



‎3 กับดัก 'จำนำข้าว'

ในที่สุดรัฐบาลก็เดินหน้ารับจำนำข้าวตันละ 1.5 หมื่นบาทต่อไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้ส่อเค้าจะไปไม่รอด สัญญาณแรก "วัชรี วิมุกตายน" ปลัดกระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้ "ลดราคา" รับจำนำเหลือ 1.3 หมื่นบาทต่อตัน แต่ถูกเบรกกลางอากาศหัวทิ่มไม่เป็นท่าสัญญาณที่ 2 "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" โอนงานรับจำนำข้าวให้คนไว้ใจอย่าง "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ พร้อมไฟเขียวให้ขายต่ำกว่าราคาตลาด

ทั้งที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลพร่ำบอกไม่สนใจว่าไทยจะเป็นแชมป์ส่งออกข้าวหรือไม่ ถึงจะขายน้อยลงแต่ได้เงินมากขึ้น เพราะขายราคาข้าวแพง แต่ที่ล้มเหลวเพราะรัฐบาลคิดไม่ทะลุ ลืมไปว่ามี 3 ปัจจัยที่ทำให้ติดกับดักจำนำข้า

ปัจจัยแรก ธุรกิจค้าข้าวในตลาดโลกผู้ซื้อต่างประเทศจะเป็นผู้กำหนดราคา โดยผู้ส่งออกไทยเสนอราคาขายไปอยู่ที่ว่าเขารับได้หรือไม่ แล้วผู้ส่งออกจึงไปกำหนดราคารับซื้อจากโรงสี แล้วโรงสีไปกำหนดราคารับซื้อจากชาวนา ไม่ใช่ผู้ผลิตกำหนดราคาเหมือนอุตสาหกรรมอื่นๆ โครงการจำนำข้าวสูงว่าตลาดจึงสวนทางความเป็นจริง

ปัจจัยที่ 2 ประเทศบริโภคข้าวส่วนใหญ่เป็น "ประเทศยากจน" แถบเอเชีย แอฟริกาที่ยังอยู่ในฐานะยากจน แม้กลุ่มประเทศอาหรับเศรษฐีน้ำมัน แต่กลับบริโภคปลายข้าวคุณภาพต่ำราคาถูก ส่วนประเทศร่ำรวยทางยุโรปและอเมริกาจะบริโภคขนมปัง อีกทั้งสหรัฐอเมริกาก็เป็นประเทศปลูกข้าวรายใหญ่ ฉะนั้น ตลาดข้าวในโลกจึงเป็นตลาดของประเทศกำลังพัฒนา ที่มีกำลังซื้อต่ำเป็นส่วนใหญ่

ปัจจัยที่ 3 ข้ออ้างที่ว่าประเทศไทยส่งออกข้าวไม่ได้ เพราะเวียดนามขายตัดราคา จนเคยคิดจะจับมือฮั้วราคาก็เป็นความเข้าใจผิด ความจริงเวียดนามไม่ได้ขายตัดราคา แต่เพราะต้นทุนเขาต่ำจึงขายถูก ต้นทุนปลูกข้าวของเวียดนามต่ำกว่าไทยต่อไร่กว่า 50% ผลผลิตต่อไร่เวียดนามกลับสูงถึง 884 กิโลฯ ต่อไร่ ของไทยเฉลี่ย 447 กิโลฯ ต่อไร่ เพราะรัฐเข้าช่วยชาวนาของเขาวางแผนการบริหารจัดการพื้นที่ปลูกข้าวกว่า 90% ชลประทานเข้าถึง

ล่าสุดรัฐบาลเวียดนามมีนโยบายลดการใช้เมล็ดพันธุ์ลดการใช้สารเคมี ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เพิ่มกำไรให้ชาวนาไม่ใช่เพิ่มราคาขายข้าวต้นทุนต่ำกว่าผลผลิตสูงกว่า "กำไร" จึงมากกว่าทั้งๆ ที่ขายราคาต่ำกว่า จึงไม่จำเป็นต้องมาขายในราคาสูงแข่งกับไทย อีกทั้งไม่ใช่เป็นการตัดราคาอย่างที่อ้างกัน

เมืองไทย25น.
ทวี มีเงิน, ข่าวสดออนไลน์


.......................................................................................................................................


...................................................................................................................................





ความอยุติธรรมคือรากแก้วของการทุจริต

ดร.โสภณ พรโชคชัย

การที่ลือกันว่าเงินง้างได้ทุกสิ่งนั้น นอกจากจะทำให้ประชาชนเข้าใจว่าถึงผลลัพธ์ของการทุจริตแล้ว ยังส่งผลต่อการสร้างวัฒนธรรมการทุจริตในสังคมกันอย่างถึงรากลึก เพราะจะยิ่งทำให้ผู้คนยิ่งเร่งขวนขวายหาเงินและอำนาจ (โดยไม่เลือกวิธีใช้) เพราะเงินใช้อำนวยความสะดวกได้เป็นอย่างดี

กรณีข่าวดังที่เกิดขึ้นกับคนที่มีฐานะดีแล้วได้รับการผ่อนหนักเป็นเบา หรือรอดเงื้อมมือกฎหมายไปได้ มีให้เห็นอยู่เนือง ๆ จนกลายเป็นความชาชินไป เช่น

1. อาจารย์มหาวิทยาลัยดังใช้ไม้ตีภริยาเสียชีวิต
2. พระเอกดังเมาขับชนแท็กซี่จนมีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บสาหัส 1 ราย
3. นักร้องสาวสุดดังขับรถชนคนตาย แล้วหนีไป ก่อนออกมามอบตัวภายหลัง
4. นักศึกษาไฮโซใช้ก้อนหินทุบใบหน้าคนขับรถเมล์และขับรถพุ่งชนผู้บนทางเท้า มีผู้เสียชีวิต 1 รายแล้วอ้างว่าวิกลจริต
5. พระเอกดังอีกคน ขับรถชนหญิงที่มีอาชีพรับซื้อของเก่าริมถนนเสียชีวิต
6. พิธีกรดังที่ยังเป็นทั้งดาราและดีเจ ขับรถที่ตกแต่งเลียนแบบรถตำรวจ ชนแล้วหนี สุดท้ายค้นในรถพบอาวุธและของผิดกฎหมายหลายรายการ
7. นักศึกษาสาวนามสกุลดังขับรถพุ่งชนรถตู้บนทางด่วน มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
8. นักศึกษาหนุ่มทายาทเศรษฐีขับรถสปอร์ตชนหญิงจนร่างขาด 2 ท่อน
9. ลูกชายนักธุรกิจหมื่นล้านขับชนตำรวจเสียชีวิตคาที่ ผ่านไป 1 วัน มีคนออกมารับสารภาพแทน

ในกรณีเหล่านี้ โทษที่พวกเขาได้รับอาจน้อยจนดู “ขัดสายตา” ของประชาชน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นอาชญากรจริงๆ บางทีสังคมก็อาจควรเข้าใจพวกเขาบ้าง ไหนๆ ผู้เสียหายก็ตายไปไม่อาจฟื้นคืนได้แล้ว! นอกจากกรณีข้างต้นแล้ว ยังอาจมีคนใหญ่คนโตคนมีเงินอีกมากมายที่ยังลอยนวลกันอยู่ บางรายหนีคดีนับสิบปี พอถูกจับได้ก็ยังได้รับการอะลุ่มอล่วยเป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตามถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไปที่ไม่มีเงิน ก็คงประสบความลำบากมาก ประชาชนทั่วไปคงยากที่จะได้รับโอกาสเยี่ยงนี้ บางคนอาจเสียเวลาไปครึ่งค่อนชีวิตในคุก เสียคนในคุก ออกจากคุกมาก็ได้แต่ใช้ชีวิตที่เหลือไปวัน ๆ บางคนก็ยังต้องตายคาคุกแม้ป่วยไข้ แม้แต่ข้าราชการบางคนก็ยังถูกกลั่นแกล้งกระทั่งออกจากราชการก็ยังมี บางคนหาทางออกจากความอยุติธรรมไม่ได้ สุดท้ายต้องปลิดชีพตัวเอง เป็นต้น

กรณีการผ่อนหนักเป็นเบาของคนมีเงิน มีฐานะในสังคมเหล่านี้ทำให้ประชาชนเข้าใจไปว่าเงินง้างได้ทุกอย่าง และทำให้ทุกคนต้องเร่งหาเงินโดยไม่เลือกวิธีที่ใช้เพื่อนำมาเป็นหลักประกันว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับตน จะได้นำมาเป็นทรัพยากรผ่อนหนักเป็นเบาหรือรอดพ้นเงื้อมมือของกฎหมายไปเลย นี่จึงเป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมการทุจริตที่ทับถมยิ่งขึ้

ดังนั้นหากสังคมมุ่งหวังจะขจัดการทุจริตให้สิ้น ทางราชการทุกภาคส่วนต้องแสดงให้ประชาชนเห็นถึงการสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นจริงในสังคม เพื่อที่ประชาชนจะสามารถวางใจในกระบวนการยุติธรรมทุกระดับได้ และไม่ต้องไปติดสินบน ทำให้สังคมมั่นใจได้ว่าทุกคนในสังคมมีความเท่าเทียมกันในทางกฎหมาย ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นคนจนหรือคนรวยก็ตาม

เมืองไทยเราเจริญไม่ได้มาก ไม่ใช่เพราะคุณภาพคนไม่ดี แต่เป็นเพราะมีพวกนายทุน ขุนศึก ศักดินาที่ใหญ่คับฟ้า คนดีมีความสามารถอยู่ยาก ข้าราชการจะเจริญก้าวหน้าได้ต่างต้องขึ้นอยู่กับ “ดวง” ซึ่งไม่ใช่แปลว่าดวงดีหรือไม่ดี แต่เป็นคำย่อมาจาก “ด.เด็กใคร ว.วิ่งหรือไม่ และ ง.เงินถึงหรือไม่” นั่นเอง ที่เรียกร้องกันให้สุจริต ไม่ทุจริตกันจึงเป็นเพียงแค่การเล่น “ปาหี่” ตราบที่ในสังคมยังมีอภิสิทธิชนใหญ่คับฟ้าอยู่เช่นนี้

ดังนั้นการสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนว่าทุกคนเท่าเทียมกันตามกฎหมาย จึงเป็นหนทางที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามการทุจริต และทำให้ทุกคนตระหนักถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่อยู่อย่างแบ่งชั้นวรรณะเช่นทุกวันนี้


...................................................................................................................................




"ส.ศิวรักษ์" เผยต้องการแก้ ม.112 เพื่อปฏิรูปสถาบันฯให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ลั่นไม่เคยโจมตีใครเรื่องล้มเจ้า ยกเว้น "ทักษิณ" เพราะคนๆนี้มีอำนาจที่จะทำได้ และเป็นศัตรูตัวร้ายของประชาชน เชื่ออยู่เบื้องหลังทำคดีหมิ่นฯพุ่ง เพื่อหวังผลทำลายสถาบันฯทางอ้อม ด้าน "สมศักดิ์ เจียมฯ" แย้งกลับคู่ดีเบต "ยกพระราชดำรัส - เชียร์ปชป.- กล่าวหาทักษิณล้มเจ้า" ล้วนแต่เป็นสิ่งตรงข้ามกับจุดยืนที่ต้องการปฏิรูปสถาบันฯ เพราะไปตอกย้ำสภาวะที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

เมื่อวันที่ 14 มี.ค. นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักเขียนชื่อดังนามปากกาว่า ส.ศิวรักษ์ และ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ร่วมสนทนาในรายการ "ตอบโจทย์ประเทศไทย" ในประเด็น "สถาบันพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ" ออกอากาศทางช่องไทยพีบีเอส ดำเนินรายการโดย นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

นายสุลักษณ์ ได้กล่าวขยายความถึงกรณีโพสต์เฟซบุ๊กให้เลือกม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เป็นผู้ว่าฯกทม.ว่า ไม่ใช่แค่เลวร้ายน้อยกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เขายังพูดด้วยว่าเอาเสาไฟฟ้าลงก็ชนะเป็นการดูถูกคนกทม. ตนเลยปลุกคนกทม.ว่าต้องไม่เลือกทักษิณ และมีวิธีเดียวที่จะไม่ให้เบอร์ 9 มา คือต้องเลือกประชาธิปัตย์

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ถ้า นายสุลักษณ์ ต้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ตนมองไม่ออกเลยว่าสามารถเชียร์ให้เลือกประชาธิปัตย์ได้อย่างไร เพราะพรรคนี้เป็นอันดับหนึ่งในการเล่นเกมโหนเจ้า

นายสุลักษณ์ กล่าวแย้งว่า มันต้องแยกกัน พวกโหนในหลวงมีเยอะเลย ประชาธิปัตย์ก็โหนในหลวง บางทีพ.ต.ท.ทักษิณก็โหนในหลวง ลึกๆแล้วตนทนประชาธิปัตย์ไม่ได้ เคยสนับสนุนทักษิณในปีแรก เพราะเอือม นายชวน หลีกภัย แต่แล้วก็ผิดพลาด ส่วน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ตนก็เอือม แต่ไม่มีทางอื่นเลยต้องเลือกเข้ามา แล้วลึกๆตนอดรักเจ้าไม่ได้คุณชายเป็นหลานทูลกระหม่อมบริพัตร ซึ่งท่านมีบุญคุณกับบ้านเมือง ถึง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะทำผิดพลาดบ้าง ตนก็ยังนึกถึงความหลังอยู่

นายสมศักดิ์ กล่าวโต้ว่า ถ้าต้องการปฏิรูปสถาบันฯจริงๆ พวกนี้ไม่ใช่เหตุผล ประชาธิปัตย์เห็นได้ชัดว่าเล่นเกมโหนเจ้าตลอด อย่างน้อยก็ย้อนไปตั้งแต่ 19 กันยายน

นายสุลักษณ์ กล่าวเสริมว่า ประชาธิปัตย์ไม่ได้เพิ่งโหนเจ้าตอน 19 กันยา แต่โหนมาตั้งแต่รัฐประหารครั้งแรกแล้ว นายควง อภัยวงศ์ ไปวางแผนร่วมกับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เพื่อทำลาย นายปรีดี พนมยงค์ ประชาธิปัตย์ทำลายประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปี 2490 แล้วยังไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ระหว่างนี้ไม่มีตัวเลือกอื่น ไม่เลือกม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เบอร์ 9 มาแน่ๆ ตนเห็นความชั่วร้ายของประชาธิปัตย์มาก่อนนายสมศักดิ์เสียอีก แม้ไม่ได้ดีแต่ก็ไม่เลวร้ายนัก

นายสุลักษณ์ ยังกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เล่ห์เพื่อทำลายสถาบันฯ ตนถูกจับคดีหมิ่นฯในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นใหญ่ แม้กระทั่งหลุดไปแล้วแต่เขายังคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ อันนี้ชัดเจนว่าพ.ต.ท.ทักษิณต้องการใช้มาตรา 112 เพื่อทำลายสถาบันฯ แล้วตนก็ได้อ้างพระราชดำรัสว่า ใครก็ตามทำเรื่องจับผู้คนในเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถือเป็นการทำร้ายพระองค์ท่าน เฉกเช่นเดียวกันกับการทำให้สถาบันฯสั่นคลอน นี่เป็นพระราชดำรัสชัดเจน สมัย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย มีพระราชดำรัสกับ นายสนั่น ว่าอย่าให้ตำรวจจับใคร แล้วก็ นายสนั่น ก็รับสนองพระราชดำรัสไม่จับใครเลย แต่พอสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐมนตรีมหาดไทยไม่มีความสามารถหรือไม่ก็คุมตำรวจไม่ได้ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็บงการอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา

นอกจากนี้รัฐสภาได้เชิญตนไปพูดเรื่องมาตรา 112 ตนพูดชัดเจนว่ากฎหมายนี้โทษหนักเกินไป ให้อำนาจตำรวจมากเกินไป แล้วการจับในมาตรานี้ทำลายพระมหากษัตริย์ เป็นการรังแกพระองค์ท่าน ถ้าสภามีกึ๋นต้องแก้ แต่พวกนี้ไม่มีกึ๋น เพราะเป็นเพียงร่างทรง น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกเลยจะไม่แก้ ถ้าจงรักภักดีจริงต้องแก้กฎหมายนี้

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไอเดียที่ว่าสมัยอภิสิทธิ์คดีหมิ่นฯพุ่ง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ คุมตำรวจ เป็นไอเดียที่ชอบกล เพราะคนที่โดนคดีหมิ่นฯส่วนใหญ่เป็นลูกน้องทักษิณทั้งนั้น เขาจะจับลูกน้องตัวเองทำไม และประเด็นใหญ่ที่ตนไม่เห็นด้วยมากๆ คือ คนที่ต้องการปฏิรูปสถาบันฯจริงๆ ต้องไม่กล่าวหาคนอื่นไม่ว่าใครก็ตามว่าต้องการทำลายสถาบันกษัตริย์ เพราะการกล่าวหาเป็นการไปตอกย้ำสภาวะที่สถานะสถาบันกษัตริย์ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่

นายสุลักษณ์ กล่าวแย้งว่า ตนไม่เคยว่าคนอื่นเรื่องล้มเจ้า มันเป็นสิทธิ แต่ตนจะต่อต้านเฉพาะคนที่จะล้มเจ้าและมีอำนาจทั้งทางเงิน ทางการเมือง อันนี้อันตราย พวกนี้ไม่ได้เล่นเกม เมื่อไม่ได้เล่นเกม ตนก็ต้องซัดนอกเกม ไม่มีทางอื่น

ตนไม่ว่าใครเลย ยกเว้น พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเป็นคนที่มีอำนาจจะทำได้ คนๆนี้มีอำนาจอยู่เหนือกฎหมาย มีอำนาจสั่งการมาจากนอกประเทศ คนๆนี้เป็นศัตรูของประชาชนที่ร้ายแรงมาก โทษของคนๆนี้มีมากกว่าที่เราเข้าใจ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องล้มเจ้าอย่างเดียว

นายสุลักษณ์ กล่าวอีกว่า สถาบันฯจะล้มได้ก็เพราะตัวสถาบันฯเอง และคนที่อยู่แวดล้อมตัวสถาบันฯ อย่างเช่น สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หากใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปไล่ที่คนยากจน อันนี้อันตราย ตนจึงเสนอว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ต้องออกไปนอกสถาบันฯ ให้ไปขึ้นกับรัฐบาล และทหารต้องออกห่างจากสถาบันฯไปเลย แม้กระทั่งองคมนตรีทั้งหลาย ซึ่งมีสถานะเหนือกฎหมาย อันนี้ต้องเปลี่ยน แล้วต้องกล้าหาญ มีอะไรไม่เห็นด้วยต้องกล้ากราบบังคมทูลโดยตรง ไม่ใช่ไปพูดกับต่างชาติแบบที่วิกิลีกส์เผยออกมา

ตนวิจารณ์สถาบันฯ เพื่อต้องการให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ตนเคยถูกจับสู้คดีจนชนะ ศาลบอกเลยว่าถึงจำเลยใช้คำผรุสวาท แต่มีความจงรักภักดี ต้องการรักษาสถาบันฯไว้ ต้องการปลุกมโนธรรมสำนึกของคนรุ่นใหม่ให้ห็นว่าสถาบันฯนั้นจำเป็นกับบ้านเมืองในสถานะประชาธิปไตย แต่ไม่จำเป็นในการที่มาครอบงำคน จุดยืนตนชัดเจน

นายสุลักษณ์ ยังกล่าวอีกว่า กรณีที่มีพระราชดำรัสว่าใครทำเรื่องหมิ่นฯ ถือว่าทำร้ายพระองค์ท่าน ซึ่งในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เช่น ในยุโรป ญี่ปุ่น พระราชกระแสอย่างนี้มีไม่ได้ต่อมหาชน จะต้องมีผู้รับสนองพระราชโองการ แล้วคนๆนั้นรับผิดชอบ อันนี้ต้องแก้ไขให้เป็นแบบประชาธิปไตย แม้เรื่องนี้ใหม่กับไทยตอนนี้ แต่ต้องพูดกันให้เข้าใจ

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ประเด็นไม่ควรมีพระราชดำรัสสดตนเห็นด้วย แต่ติดใจที่ นายสุลักษณ์ ก็ยังยกพระราชดำรัสนี้มาอ้าง เช่นเดียวกับการที่กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามล้มเจ้า การยกพระราชดำรัสแบบนี้ขึ้นมาเป็นการยกในสิ่งที่โต้แย้งไม่ได้ ก็คือกำลังใช้ประโยชน์จากสถานะที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของสถาบันฯ และทำการผลิตซ้ำสองด้าน ด้านหนึ่งเพื่อกล่าวหาคนอื่น อีกด้านก็ยกว่าในหลวงทรงมีพระราชดำรัสอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งรู้ดีว่าเถียงไม่ได้

นายสุลักษณ์ กล่าวว่า พระราชดำรัสแม้ไม่ถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตยเต็มที่ แต่กรณีนี้เป็นพระราชดำรัสที่ไม่ได้มีโทษกับใคร พระราชดำรัสอะไรที่เป็นประโยชน์ต้องเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ส่วนอันไหนที่ไม่เห็นด้วยก็วิจารณ์ได้ แต่ต้องวิจารณ์ด้วยความเคารพ ความอ่อนน้อมถ่อมตัว ไม่ใช่ไปโจมตีปังๆ เรายังไม่เป็นประชาธิปไตยแบบยุโรป ต้องค่อยๆแก้ไขให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ชมคลิป
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000031792


.......................................................................................................................................


..........................................................................................................................................



ทวงคืน (อีกแล้ว)

ร.6 ก่อตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็จริง แต่ไม่ได้พระราชทานที่ดินให้ โดยให้ทางจุฬาจ่ายค่าเช่าเป็นรายปีกับทางราชวัง

ต่อมา จอมพล ป. (สุดชั่วในสายตาของจุฬาฯ) ได้ทำการยืดที่ดินดังกล่าวมาให้ทางจุฬา เพื่อให้จุฬาสามารถดำเนินการเพื่อการศึกษาได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นผมจึงสงสัยว่า

อุเทน ทวงที่ดินคืนให้ใครครับ?
จุฬา ได้ใช้ที่ดินเพื่อการศึกษาอย่าเต็มที่แล้วหรือยัง?

001


........................................................................................................................................


............................................................................................................................................


จาก Status ของ Voice of Siam

"Voices of Siam ได้แบ่งปัน รูปภาพ ของ ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม - Social Sanction: SS
ก่อนอื่นต้องบอกว่ามันไม่ใช่ดีเบตของคนรักเจ้าและคนล้มเจ้า มันคือการดีเบทของคน 2 กลุ่มที่เห็นต่างเรื่องสถาบันฯ ซึ่งทุกคนแม้แต่ อ.สมศักดิ์ ก็ไม่เคยเสนอให้ยกเลิกสถาบันฯ อ.สุลักษณ์ก็ยืนยันว่า คนรักเจ้าต้องฟังคนอย่าง อ.สมศักดิ์

อีกประเด็นคือ ภาพนี้มันสะท้อนความคิดของคนที่อ้างความรักเจ้า แล้วคิดว่าตัวเองมีสิทธิเหนือคนอื่น ทั้งที่จริงๆแล้วเวลาของสื่อไทยที่ให้ไปกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้านเดียวมันมีมากมากมายจนไม่รู้จะมากยังไง แล้วทำมานานนับสิบๆปี การที่ได้พื้นที่กับคนที่เห็นต่างแค่ประมาณ 3 ชั่วโมง มันจะเรียกว่า "เท่ากัน" ได้อย่างไร?

นอกจากนั้น แอดมินคิดว่ามันสะท้อนความคิดที่คับแคบของคนรักเจ้าไทยพอๆกับ ความคิดที่สั้นที่ไม่เห็นว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสถาบันอาจนำมาสู่ความรุนแรงได้ ถ้าไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้อย่างเปิดเผย มีอารยะ มีเหตุผล และให้ประชาชนมีส่วนร่วม - Admin AC"
ลืมไป..พวงหรีดต้องสีดำ!!!
ปล.จัดให้เยอะๆ คนน้อยเสียงไม่ดัง ตังค์เราทั้งนั้น เงินเดือนเป็นแสนๆ ของคนพวกนี้ >__<
.....................

ผู้บริหาร Thai PBS ใช้สมองส่วนไหนคิดว่า..ทีวีสาธารณะต้องแบ่งพื้นที่ให้คนรักสถาบันฯ กับคนจ้องล้มสถาบันฯ เท่าๆ กัน

มิพักต้องพูดว่ารายการตอบโจทย์ฯ (14 มี.ค.) เจตนาชี้นำอย่างเบี่ยงเบนประเด็นโดยยืมขี้ปาก "หัวโต ฟันเน่า" มากล่าวหาว่า "การประกาศจุดยืนให้เลือก ปชป.ของ ส.ศิวรักษ์ เมื่อเร็วๆ นี้ ขัดแย้งต่อข้อเสนอในการปฏิรูปสถาบันฯ ของตนเอง" (น่าสังเวชที่โปรดิวเซอร์ตอบโจทย์ฯ โง่ขนาดไม่รู้ว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องสถาบันฯ แม้แต่น้อย) 

แต่ประเด็นคือ "คู่ดีเบต" เมื่อคืนนี้มีธงต่างกันตรงไหน (วะ) คนหนึ่งจะยกเลิก อีกคนจะขอแก้ไข ม.112 ดังนั้น คำว่า "เท่าๆ กัน" จึงไม่มีค่าสำหรับคนที่ยืนหยัดปกป้อง ม.112 และเห็นว่ามาตรานี้ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนแก่คนแก่ไทย 99.99% แต่อย่างใด..นี่เหรอจุดยืนทีวีสาธารณะของไทย!?!

ตอบโจทย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ (4) 14 03 56 
http://www.youtube.com/watch?v=mAx1d64Rl9k&feature=player_embedded

ใครขี้เกียจดูคลิป..ก็อ่านได้
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000031792
ลืมไป..พวงหรีดต้องสีดำ!!!
ปล.จัดให้เยอะๆ คนน้อยเสียงไม่ดัง ตังค์เราทั้งนั้น เงินเดือนเป็นแสนๆ ของคนพวกนี้ >__<
.....................

ผู้บริหาร Thai PBS ใช้สมองส่วนไหนคิดว่า..ทีวีสาธารณะต้องแบ่งพื้นที่ให้คนรักสถาบันฯ กับคนจ้องล้มสถาบันฯ เท่าๆ กัน

มิพักต้องพูดว่ารายการตอบโจทย์ฯ (14 มี.ค.) เจตนาชี้นำอย่างเบี่ยงเบนประเด็นโดยยืมขี้ปาก "หัวโต ฟันเน่า" มากล่าวหาว่า "การประกาศจุดยืนให้เลือก ปชป.ของ ส.ศิวรักษ์ เมื่อเร็วๆ นี้ ขัดแย้งต่อข้อเสนอในการปฏิรูปสถาบันฯ ของตนเอง" (น่าสังเวชที่โปรดิวเซอร์ตอบโจทย์ฯ โง่ขนาดไม่รู้ว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องสถาบันฯ แม้แต่น้อย)

แต่ประเด็นคือ "คู่ดีเบต" เมื่อคืนนี้มีธงต่างกันตรงไหน (วะ) คนหนึ่งจะยกเลิก อีกคนจะขอแก้ไข ม.112 ดังนั้น คำว่า "เท่าๆ กัน" จึงไม่มีค่าสำหรับคนที่ยืนหยัดปกป้อง ม.112 และเห็นว่ามาตรานี้ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนแก่คนแก่ไทย 99.99% แต่อย่างใด..นี่เหรอจุดยืนทีวีสาธารณะของไทย!?!

ตอบโจทย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ (4) 14 03 56
http://www.youtube.com/watch?v=mAx1d64Rl9k&feature=player_embedded

ใครขี้เกียจดูคลิป..ก็อ่านได้
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000031792


................................................................................................................................




ไทยพีบีเอสมาถูกทางแล้วหรือ?

หลังจากเทปรายการตอบโจทย์ตลอดสัปดาห์นี้ มีหัวข้อว่าด้วย “สถาบันกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ” ได้เผยแพร่ออกไป ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในทางบวกและลบมากมาย

เอาหละ จะชอบไม่ชอบก็ไม่ว่ากัน แต่สิ่งที่เราน่าจะเห็นตรงกันคือ สิ่งที่รายการตอบโจทย์ทำนั้นเป็นที่เกิดขึ้นได้ยากอย่างยิ่งในวงการโทรทัศน์ไทย หลาย ๆ คนไม่เคยเชื่อ และไม่คาดคิดว่าจะเกิดได้ด้วยซ้ำไป นั่นคือการนำเอาประเด็นที่อ่อนไหวในสังคมมาถกกันตรงๆ และเปิดพื้นที่ “สาธารณะ” ให้กับทุกฝ่ายที่มีความเห็นต่อประเด็นที่อ่อนไหวนี้

ใช่ ที่ผ่านมาเราเลือกที่ “เงียบ” และ “ปลอดภัยไว้ก่อน” สำหรับประเด็นแบบนี้ ราวกับว่าความขัดแย้งมันไม่มีอยู่จริง ส่วน “ความเงียบ”ของโทรทัศน์ไทย นั้นปลอดภัยสำหรับใคร ก็ต้องบอกว่ามันปลอดภัยสำหรับตัวสถานีเองมากกว่า เพราะสมัยนี้แม้โทรทัศน์จะไม่พูด ก็ไม่ได้แปลว่าสังคมจะไม่ขัดแย้งกัน พูดอีกแบบคือ โทรทัศน์ที่เป็นพื้นที่สาธารณะของไทย ปล่อยให้สังคมขัดแย้งกันไปตามยถากรรม ข้าพเจ้าไม่ขอเกี่ยวข้องด้วย ขอให้ตัวเองปลอดภัยไว้ก่อนแล้วกัน

คำถามมีอยู่ว่าแล้วไทยพีบีเอสเอาความกล้าหาญมาจากไหน ที่จะเอาเรื่องที่ใครๆ ก็ “ปลอดภัยไว้ก่อน” มาตีแผ่และถกเถียงกันในพื้นที่สาธารณะ อันนี้ขอสันนิษฐานออกเป็นสองประเด็น นั่นคือปัจจัยทางด้านบุคลากรและปัจจัยทางโครงสร้างสถาน
ในแง่บุคลากรมันก็ใช่อยู่แล้วครับ หากตัวบุคลากรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับบริหาร ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องแบบนี้ มันก็เกิดขึ้นไม่ได้

ที่อยากชวนคุยมากกว่าคือเรื่องโครงสร้างที่เอื้ออำนวยให้บุคลากรสามารถที่จะกล้าหาญในการนำเสนอได้ หากเปรียบเทียบไทยพีบีเอสกับสถานีหลัก ๆ ช่องอื่นๆ จะเห็นความแตกต่างทางโครงสร้างอย่างชัดเจน พูดแบบอาจารย์เกษียณก็ต้องบอกว่า ไทยพีบีเอสนั้นมีโครงสร้างที่เป็นอิสระจากรัฐและทุน

ในกรณีของช่อง 5 และ ช่อง 7 นั้นกองทัพบกให้เอกชนสัมปทาน ช่อง 3 ตัวรัฐให้เอกชนสัมปทานเช่นกัน ส่วนช่อง 9 เป็นรัฐวิสาหกิจ(แต่อยู่ในรูปแบบบมจ.) ช่อง11 นี่อยู่ใต้กำกับกรมประชาสัมพันธ์

สถานีโทรทัศน์ข้างต้นทั้งหมดต้องพึ่งพาสองอย่างแน่ๆ คือ ทุน(โฆษณา) และรัฐ(ผู้ให้สัมปทาน) ดังนั้นสถานีโทรทัศน์ข้างต้นย่อมไม่อาจทำอะไรที่ทั้งทุนและรัฐไม่ชอบได้แน่ๆ

ในขณะที่ไทยพีบีเอสค่อนข้างมีอิสระจากทั้งรัฐและทุน กล่าวคือรัฐมีหน้าที่ให้ทุนโดยไม่มีอำนาจมาแต่งตั้งจัดการภายในได้เลย เมื่อเป็นดังนี้ตัวสถานีก็ไม่ต้องเพิ่งพาโฆษณาด้วยอีกต่างหาก

ส่วนบุคลากรนั้นก็มาจากการสรรหาของหลายองค์กรร่วมกัน ทั้งองค์กรสื่อ องค์สิ่งแวดล้อม องค์กรเกี่ยวเยาวชน องค์กรพัฒนาภาคเอกชน และยังมีข้าราชการร่วมด้วย (แต่ข้าราชการเป็นเสียงส่วนน้อย โปรดดู มาตรา 18 ของ พ.ร.บ. องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 )
และนอกจากนั้นผู้บริหารสถานีเองก็มีวาระในการดำรงตำแหน่งด้วย (กรรมการนโยบายมีวาระ 4 ปี)

ครับ ลองเปรียบเทียบดู ถ้าถามกันด่วน ๆ มีใครจำได้ไหมว่าคุณแดง สุรางค์ เปรมปรี แห่งช่อง 7 ลาออกหลังจากบริหารช่อง 7 มากี่ปี?

ข้อโต้แย้งในเชิงโครงสร้างที่สำคัญสำหรับไทยพีบีเอสคือ นอกจากเป็นอิสระจากรัฐและทุนแล้ว ยังเป็นอิสระจากประชาชนด้วยหรือไม่ ? (ความจริงรัฐก็มาจากประชาชนนั่นเอง) ไทยพีบีเอสพยายามตอบโจทย์นี้ด้วยสภาผู้ชมและกลไกอื่นๆ อีก ซึ่งคงเป็นประเด็นที่ดีเบตกันได้ต่อไป

ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้แปลว่าตัว “องค์กร” ไทยพีบีเอสดีเลิศอย่างไร้ตำหนิ ก็แน่หละ องค์กรก็ประกอบด้วยมนุษย์หลายๆ คน และเมื่อเป็นมนุษย์มันก็ผิดพลาดได้ (กรณีที่ไปเหมาว่านักศึกษาที่ทำงานด้านสิทธิภาคใต้เป็นแนวร่วมบีอาร์เอ็นนี่ก็ถือว่าพลาดหนักอยู่) แต่เมื่อพลาดแล้วก็ควรขอโทษ โดยเฉพาะการผิดพลาดในระดับข้อเท็จจริงเช่นกรณีนักศึกษาภาคใต้ดังที่กล่าว

แต่หากดูจากผลงานในการ “กล้า” ที่จะเปิดพื้นที่ให้กับความขัดแย้งในประเด็นที่อ่อนไหว และที่ใครๆ ก็เอาแต่ “ปลอดภัยไว้ก่อน” (โดยปล่อยให้สังคมขัดแย้งกันเองตามยถากรรม) ดังเช่น กรณีสถาบันพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว เราจะไม่ทบทวนกันสักนิดหรือ ว่าเมื่อมองจากตัวโครงสร้างสถานีแล้ว ตัวโครงสร้างนี้มันเอื้อให้บุคลากรได้ “กล้า” ทำสิ่งที่เราเห็นได้อย่างไร

- Admin Jo


..............................................................................................................................




วงจรเล็ก ๆ ที่เรียกว่าสลิ่ม

- บรรดานักการเมืองที่ได้รับหุ้นจองของปตท. มีชื่อของนายอานันท์ ปัญญารชุน, นางนกน้อย นิมมานเหมินท์ (ภรรยาของนายธารินทร์ อดีตรมว.คลัง พรรคประชาธิปัตย์), นายบรรหาร ศิลปอาชา แต่ไม่ปรากฏชื่อคนนามสกุลชินวัตร
- นายอานันท์ ปัญญารชุนเป็นประธานกรรมการกลุ่มบริษัทสหยูเนียน มีเครือข่ายดำเนินธุรกิจด้านพลังงาน ซึ่งมีข้อพิพาทฮุบที่ดินชายหาดกว่า 4 ไร่ กรณีโรงไฟฟ้าบ้านกรูด
- ปี 2544 สำนักงานทรัพย์สินนำที่ดินมิสกวันและคุรุสภาไปแลกหุ้นปตท.กว่า 34 ล้านหุ้น มากกว่าหุ้นจองของนักการเมืองทั้งหมดรวมกัน
- การออกสัมปทานปิโตเลียมครั้งที่ 20 ในสมัยรัฐบาลจากการรัฐประหารภายใต้การนำของสุรยุทธ์ จุลานนท์ มีการออกสัญญาปิโตเลียมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ 26 สัญญา 30 แปลง

อ้างอิง:
หนังสือ ปตท. ไม่อยากตายก็ต้องโต
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdPVEV4TVRFMU1nPT0%3D
http://prachatai.com/journal/2006/06/8849
http://www.dmf.go.th/index.php?act=petroleum&sec=history


................................................................................................................................



หลังจากเหตุการดีเบตเมื่อวา่น ก็ได้มีมิตรสหายท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ส. ศิวลักษณ์ฺ กับ สมศักดิ์เจียม แม่งต้องวางแผนเปิดตัวหนังอะไรสักอย่าง แล้วก็จริงครับ เช้านี้จะมีการแถลงข่าวครับ


.................................................................................................................................




รู้ไปทำไมว่า เตาปิ้งย่างพลังแสงอาทิตย์วิลสัน เป็นเตาต้นแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด โดยใช้พลังงานสงอาทิตย์อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมพลังงาน เก็บสะสมพลังงานไว้ใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ศาสตราจารย์ David Wilson จากมหาวิทยาลัย M.I.T สหรัฐอเมริกา เป็นผู้คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี่นี้ขึ้น เขาได้แรงบันดาลใจมากจาการเดินทางไปไนจีเรีย แล้วพบเห็นปัญหาการหุงต้มทำอาหารโดยใช้ไม้ฟืน ซึ่งทำลายป่าไม้ และสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง ผู้ทำอาหารเองยังสูดควันเข้าไปจนเป็นผลเสียต่อสุขภาพ ที่สำคัญ มีรายงานว่า ผู้หญิงแอฟริกาจำนวนหนึ่งถูกข่มขืนในขณะที่เดินเข้าป่าไปหาฟืนในแต่ละวัน

จากสถิติของสหประชาชาติระบุว่า 55% ของชาวแอฟริกาทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า (ซับ-ซาฮาราน) ใช้ไม้ฟืนเป็นเชื้อเพลิงในการหุงต้มอาหาร เขาเชื่อว่า เตาพลังแสงอาทิตย์นี้จะเป็นประโยชน์แก่ชาวแอฟริกา รวมทั้งสำหรับคนอเมริกันที่ชอบกิจกรรมปิ้งย่างบาบีคิว และมีเตาปิ้งบาบีคิวอยู่แทบทุกบ้าน จะได้ประหยัดพลังงานอีกด้วย


...................................................................................................................................


Bordin Tik Cool

.......................................................................................................................................




!ตำรวจให้การ คดีพลทหารณรงค์ฤทธิ์
ที่ศาลอาญา ศาลนัดไต่สวนคดีที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องให้ไต่สวนชันสูตรพลิกศพ พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ อดีตทหารสังกัด ร.พัน2 พล.ร. 9 จ.กาญจนบุรี ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่เร็ว ในเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และเจ้าหน้าที่ทหาร บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 53 อัยการนำพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นเบิกความ 4 ปาก คือ ส.ต.ต.สุกิจ หวานไกล สภ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ส.ต.อ.ณรงค์ ทองพูล สภ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี ส.ต.อ.วินัย กองแก้ว สภ.ปากท่อ จ.ราชบุรี และ ด.ต.สนธยา ต่วนเครือ สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
ส.ต.อ.สุกิจ เบิกความโดยสรุปว่า วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 10.00 น. พยานพร้อมเพื่อนตำรวจประมาณ 15 0 นาย ได้รับคำสั่งให้ไปสกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. บริเวณแยกอนุสรณ์สถานแห่งชาติ โดยวางกำลังปิดกั้นอยู่บนถนนวิภาวดี-รังสิต ขาออก ในช่องทางหลัก และมีทหารวางกำลังอยู่บนทางคู่ขนานในแนวระนาบเดียวกัน ในการปฏิบัติหน้าที่พยานและพวก แต่งการชุดตำรวจสีกากี มีหมวกกันน็อก การตั้งแถวของตำรวจ 2แถวแรกจะมีโล่ห์และกระบอง แถวที่ 3 มีปืนลูกซองยาวพร้อมกระสุนยาง ส่วนที่มีปืนเอ็ม 16 และปืนเล็กยาวจะยืนอยู่แถวสุดท้าย และมีการใช้กระสุนจริงหรือไม่ พยานไม่ทราบ ส่วนตัวพยานยืนอยู่กึ่งกลางแถวแรก ขณะที่ทหาร พยานเห็นใส่ชุดสายพราง สวมหมวกกันน็อก ผูกผ้าพันคอสีฟ้า มีโล่ห์ และกระบอง หลายคนมีปืนเล็กยาว ส่วนใหญ่เป็นปืนลูกซอง และบางคนมีปืนเอ็ม 16
ส.ต.อ.สุกิจ เบิกความต่อว่า เวลาประมาณ 13.00 น. กลุ่ม นปช.เดินทางมาถึงและพยายามรื้อรั้วลวดหนาม เจ้าหน้าที่เข้าไปเจรจาแต่ไม่สำเร็จ จึงใช้ปืนยิงกระสุนยางขู่ขึ้นฟ้า ส่วนผู้ชุมนุมใช้หนังสติ๊กยิงลูกแก้ว และขว้างหินใส่เจ้าหน้าที่ เมื่อผู้ชุมนุมฝ่าเข้ามาเจ้าหน้าที่จะใช้ปืนยิงใส่ กระทั่งผู้ชุมนุมถอยร่นไป กระทั่งเวลาประมาณ 14.00 น. เกิดฝนตกหนัก พยานยังคงตั้งแนวอยู่แต่ถอยร่นไปหลบใต้ทางด่วน ส่วนทหารหลบฝนหรือไม่พยานไม่ทราบ
ส.ต.อ.สุกิจ เบิกความอีกว่า เวลาประมาณ 15.00 น.ฝนเริ่มหยุด ตำรวจและทหารได้ตั้งแนวสกัดเช่นเดิม โดยขยับเข้ามาอยู่บริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. ขณะที่อากาศยังมืดครึ้ม มองเห็นได้ไม่ถึง 100 เมตร ด้านขวามือของพยานซึ่งอยู่ใกล้ทางขึ้นโทลล์เวย์มีทหารยืนอยู่ 3-4 นาย พร้อมปืนเล็กยาว ต่อมามีรถโดยสารประจำทางเปิดไฟหน้าวิ่งตรงเข้ามา พยานและพวกเข้าใจว่าเป็นรถของผู้ชุมนุม จึงระวังตัวมากขึ้น จากนั้นมีจักรยานยนต์ 5-6 คัน เปิดไฟหน้าขับตรงเข้ามา แต่ไม่เห็นว่ามีคนซ้อนท้ายมาหรือไม่ เพราะไฟจ้ามาก สักครู่มีตำรวจตะโกนให้จักรยานยนต์ดังกล่าวหยุด จากนั้นได้ยินเสียงปืนดังมาจากด้านขวา ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ทหารยืนอยู่ รวมถึงด้านหลังและด้านซ้าย จำนวนหลายนัด และเห็นจักรยานยนต์ล้มลงหลายคันใกล้ๆ กัน เมื่อเสียงปืนสงบลง ได้ยินเสียงคนตะโกนว่าทหารถูกยิง
ส.ต.อ.ณรงค์ เบิกความโดยสรุปว่า วันเกิดเหตุได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่กองร้อยควบคุมฝูงชน บริเวณอนุสรณ์สถานฯ ถ.วิภาวดี-รังสิต ขาออก ตั้งแต่เวลา 11.00 น. โดยเป็นการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันระหว่างตำรวจจาก จ.เพชรบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรี จังหวัดละประมาณ 150 นาย นอกจากนี้ยังมีทหารตั้งแนวอยู่บริเวณทางคู่ขนาน พยานและพวกสวมเครื่องแบบสีกากี สวมหมวก มีผ้าพันคอสีชมพู มีกระบอง และโล่ห์ ตำรวจบางคนมีปืนลูกซองยาว และปืนเอ็ม 16 ส่วนทหารสวมชุดลายพราง มีผ้าพันคอสีฟ้า มีปืนยาว ไม่แน่จว่าเป็นปืนเอชเค 33 หรือปืนเอ็ม 16
ส.ต.อ.ณรงค์ เบิกความต่อว่า พยานยืนอยู่แถวหน้า เมื่อผู้ชุมนุมรื้อรั้วลวดหนามมาถึง ได้ใช้โล่ผลักดันผู้ชุมนุมออกไป ผู้ชุมนุมบางคนขว้างปาสิ่งของ และยิงหนังสติ๊กใส่เจ้าหน้าที่ และมีอีกส่วนอยู่บนทางด่วนโทลล์เวย์ เจ้าหน้าที่จึงใช้ปืนลูกซองยิงกระสุนยางข่มขู่ เมื่อฝนตกหนักผู้ชุมนุมถึงสลายตัวไป ส่วนเจ้าหน้าที่ยังตั้งแนวอยู่บริเวณเดิม บางส่วนเข้าไปหลบฝนในปั๊มน้ำมัน กระทั่งเวลา 15.00 น. ฝนหยุดตก พยานและพวกยังคงตั้งแนวป้องกันอยู่ บางส่วนหลบฝนอยู่ใต้ตอม่อ และมีทหาร 6-7 คน พร้อมปืนยาว ยืนกระจายอยู่ใต้ทางขึ้นโทลล์เวย์ หน้าปั๊มน้ำมัน ปตท.
ส.ต.อ.ณรงค์ เบิกความด้วยว่า ต่อมามีรถโดยสารเปิดไฟหน้าขับตรงเข้ามายังแนวเจ้าหน้าที่ ก่อนที่จะหยุดจอดข้างทาง จากนั้นเห็น จักรยานยนต์ 6-7 คัน ขับมาทางแนวกั้น พยานไม่เห็นว่ามีคนนั่งมากี่คน เพราะอยู่ระยะไกล และบรรยากาศมืด เพราะฝนเพิ่งหยุด เมื่อขับมาเกือบถึงแนวเจ้าหน้าที่ มีตำรวจและทาหรตะโกนบอกให้หยุด แต่จักรยานยนต์ดังกล่าวไม่หยุด สักครู่ได้ยินเสียงปืนหลายนัดมาจากด้านขวามือของพยาน จากนั้นเห็นจักรยานยนต์ล้มลง 1 คัน ส่วนคันอื่นหยุดจอด ต่อมามีทหารเข้าไปดูและตะโกนบอกว่ามีทหารถูกยิง
ด้าน ส.ต.อ.วินัย เบิกความโดยสรุปว่า วันเกิดเหตุตั้งแนวอยู่บริเวณ ถ.วิภาวดี-รังสิต ขาออก ช่วงสะพานลอยหน้าอนุสรณ์สถานฯ และมีทหารตั้งแนวอยู่ในทางคู่ขนาน พยานแต่งเครื่องแบบสีกากี มีผ้าพันคอสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ การจัดกำลังจะยืนเรียงแถวหน้ากระดาน แถวหน้าถือโล่และกระบอง แถวที่ 3 ถือปืนลูกซองยาว กระสุนยาง ส่วนกระสุนจริงไม่ได้รับแจก โดยพยานยืนอยู่กึ่งกลางแถวที่ 3-4 และขวามือถัดจากตำรวจ มีแนวของทหารตั้งอยู่ ทหารสวมชุดลายพราง มีอาวุธปืนยาว และปืนลูกซอง และมีทหารประมาณ 20 นาย ถือปืนเอ็ม 16
ส.ต.อ.วินัย เบิกความต่อว่า หลังตั้งแถวได้ประมาณ 20 นาที กลุ่มนปช.เดินทางมาถึงแล้วรื้อรั้วลวดหนาม พร้อมขว้างก้อนหินและยิงหนังสติ๊กใส่เจ้าหน้าที่ บางส่วนฝ่ารั้วกั้นมาได้ เจ้าหน้าที่จึงใช้ปืนลูกซองยิงกระสุนยางใส่ จนผู้ชุมนุมล่าถอยไป ต่อมามีฝนตกหนัก พยานและพวกพักอยู่บริเวณเกาะกลาง และมีส่วนหนึ่งตั้งแถวอยู่ ทหารก็เช่นกัน กระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. มีเสียงนกหวีดเรียกรวมพล เนื่องจากมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น พยานจึงกลับไปตั้งแถวเช่นเดิม โดยขยับมาบริเวณด้านหน้าปั๊ม ปตท. ส่วนทหารก็ตั้งแนวอยู่บนถนนคู่ขนาน และมีส่วนหนึ่งอยู่บริเวณตอม่อ จุดละประมาณ 2 คนพร้อมอาวุธปืนยาว ส่วนบริเวณทางขึ้นโทลล์เวย์ พยานไม่ได้สังเกตว่ามีเจ้าหน้าที่อยู่หรือไม่
ส.ต.อ.วินัย เบิกความต่อว่า เมื่อตั้งแนวเสร็จ เห็นแสงไฟจากจักรยานยนต์ 3-4 คัน วิ่งตรงเข้ามายังแนวป้องกัน จากนั้นได้ยินเสียงตะโกนบอกให้หยุดและเสียงนกหวีด แต่จักรยานยนต์ดังกล่าวยังวิ่งเข้ามา ขณะนั้นเข้าใจว่าเป็นจักรยานยนต์ของกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อแล่นมาอยู่ห่างจากแนวกั้นประมาณ 20-30 เมตร ได้ยินเสียงปืน 3-4 นัด ดังขึ้นบริเวณหลังตอม่อทางขึ้นโทลล์เวย์ และเห็นจักรยานยนต์ล้มลง ทั้งนี้ขณะเกิดเหตุพยานถือโล่อยู่ จึงไม่เห็นว่าเจ้าหน้าที่เล็งปืนไปจุดไหนหรือไม่ และในการปฏิบัติงาน หากแถวหลังจะเล็งปืนพ้นโล่ห์ ต้องได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา แต่ขณะเกิดเหตุได้รับคำสั่งตั้งโล่เท่านั้น ไม่มีคำสั่งยิง และขณะนั้นไม่มีผู้ชุมนุมอยู่ในแนวทหารหรือตำรวจ ส่วนชายชุดดำพยานไม่เคยเห็น
ด้าน ด.ต.สนธยา เบิกความโดยสรุปว่า วันเกิดเหตุได้รับคำสั่งจาก ศอฉ.ให้ไปสกัดผู้ชุมนุมที่จะเดินทางไปตลาดไทย บริเวณอนุสรณ์สถานฯ โดยไปถึงที่นั่นช่วงเที่ยง เมื่อผู้ชุมนุมมาถึงและพยายามฝ่าแนวเข้ามา เจ้าหน้าที่กดดันจนถอยร่นออกไปอยู่ไกลกัน จากนั้นฝนตกหนัก เมื่อฝนซา ในเวลาประมาณ 15.00 น. มีรถโดยสารประจำทางวิ่งเข้ามาหาแนวกั้น ก่อนจะจอดข้างทาง จากนั้นเห็นจักรยานยนต์ 7-8 คัน แล่นเข้ามา และได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดจากด้านขวามือของพยาน บริเวณหน้าปั๊มน้ำมันปตท. ซึ่งบริเวณนี้มีทหารยืนอยู่จำนวนมาก จากนั้นเห็นจักรยานยนต์ล้มลง 1 คัน และคันอื่นๆล้มลงตามมา ทั้งนี้ขณะเกิดเหตุไม่มีผู้ชุมนุมอยู่ใกล้แนวทหาร และตำรวจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไป วันที่ 19 มี.ค. นี้ ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. โดยอัยการจะนำทหารที่ขับจักรยานยนต์มากลุ่มเดียวกันกับผู้ตายขึ้นเบิกความ


.........................................................................................................................



...............................................................................................................................................


นาย ก : รัฐบาลนี้แม่งเหี้ยนะครับ ปิดกั้นสื่อ ไม่กล้ายอมรับความจริง
นาย ข : ใช่ครับ แค่ละครแค่นี้มันก็รับกันไม่ได้ ถุย แล้วมาอ้างประชาธิปไตย
นาย ก : งี้แหละครับ พวกนี้มันมีชนักปักหลัง แล้วนี่จะไปไหนครับ
นาย ข : จะไปร่วมกับกลุ่ม "ฅนไทยหัวใจรักชาติ" ไปถามหาเจตนารมย์ ของสถานีกับกรณีรายการ "ตอบโจทย์" ครับ


................................................................................................................................................


........................................................................................................................................




ลายพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งเสด็จ ฯ ไปทรงเปิดงานจุฬา ฯ วิชาการ ครั้งที่ ๑๔ วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕


..................................................................................................................................




ฝากถึงคนใช้รถใช้ถนน หรือเรื่องอื่นๆ
เวลาคุณโดนหาเรื่องแบบไม่ทราบสาเหตุ

002


........................................................................................................................................



...................................................................................................................................




ภารกิจที่จีนแพ้ไม่ได้

มังกรจีนในวันนี้กำลังไต่ระดับ และทรงอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกเศรษฐกิจ และสามารถแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งตำแหน่งนี้ญี่ปุ่นยึดครองมานานถึง 42 ปี แต่ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้

ทั้งนี้ เพราะมูลค่าทางเศรษฐกิจของจีนพุ่งขึ้นกว่า 178 ล้านล้านบาท ขณะที่ญี่ปุ่นมีมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 168 ล้านล้านบาท

จีนปัจจุบันเป็นรองเพียงสหรัฐฯ เท่านั้น และมีบทวิเคราะห์หลายชิ้นต่างฟันธงว่า "อีกเพียง 10 ปีจากนี้ไป จีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ และขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 ของโลก"

ในช่วงเวลาเพียง 10 ปีเท่านั้น จีนซุ่มเงียบพัฒนาในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี การค้า การลงทุน อวกาศ สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน พลังงาน การพัฒนาเมืองในแต่ละมณฑล รวมถึงเงินสกุลหยวน ที่ต้องการขึ้นมาอยู่ในเวทีการเงินระหว่างประเทศ จะเห็นได้ว่า "จีนทุบสถิติใหม่อยู่เรื่อยๆ ในโลกเศรษฐกิจ และกำลังจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่ทรงอิทธิพลไปทั่วโลก"

เส้นทางการเติบโตของจีนถูกเขียนไว้ชัดเจน จากผู้นำจีนทุกรุ่นที่สานต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบันที่มี "สี จิ้น ผิง" ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีที่กุมอำนาจสูงสุดของจีน และมีวาระในตำแหน่งต่อไปอีก 10 ปี

ตัวอย่างบางส่วน เช่น การที่จีนก้าวเข้าไปมีส่วนร่วมในองค์กร หรือกองทุนระหว่างประเทศมากขึ้นๆ โดยเฉพาะความพยายามในการผลักดัน "เงินหยวน" ให้ขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับดอลลาร์สหรัฐฯ และพยายามให้ใช้เงินหยวนเป็นเงินสกุลที่ใช้ค้าขายอย่างเป็นทางการระหว่างประเทศ และสามารถแลกเปลี่ยนได้อย่างเสรี

ในแง่ของเทคโนโลยี จีนพัฒนาอินเตอร์เน็ตอย่างเงียบๆ มาตลอด และพยายามสร้างมาตรฐานใหม่ของอินเตอร์เน็ต ที่เรียกว่า Internet Protocol version 6 หรือ IPv6 ในขณะที่มาตรฐานอินเทอร์เน็ตที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ IPv4 ซึ่งส่วนใหญ่เลข IP address เป็นของสหรัฐฯ (แต่เป็นของจีนน้อยมาก)

มาตรฐานใหม่นี้จะทำให้จีนสร้างเลข IP address ได้มากขึ้นนับล้านล้านเลขหมาย และสามารถใช้ได้กับทุกอย่าง ตั้งแต่ Web site เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ไปจนกระทั่งอุปกรณ์ทางการทหาร แล้วที่น่าสนใจมากกว่านั้น คือ IPv6 ยังทำให้จีนสามารถสืบความลับบนโลกไซเบอร์ได้มากยิ่งขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจ สอบและควบคุมพลเมืองชาวเน็ตได้ดียิ่งขึ้น

แม้กระทั่งโครงการสำรวจอวกาศ จีนเริ่มแสดงศักดาส่งยานสำรวจอวกาศไร้มนุษย์ไปดวงจันทร์ และเปิดตัวขีปนาวุธชนิดยิงจากพื้นสู่อากาศนอกชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญฝั่งตะวันตกถึงกับระบุว่า เป็นอาวุธยิงดาวเทียมตัวใหม

แล้วที่อยู่ในใจลึกๆ ของจีนที่กล้าทุ่มงบมหาศาลเกี่ยวกับอวกาศ (ขณะที่สหรัฐฯ งบกลาโหมกำลังถูกหั่น แต่จีนกลับเพิ่มงบกลาโหมอีกร้อยละ 10) เพราะจีนมั่นใจว่าอวกาศจะเป็นแหล่งพลังงานใหม่เช่น ฮี-เลียม3 และยังจะเป็นแหล่งแร่หายาก (ปัจจุบันจีนเป็นผู้ผลิตแหล่งแร่หายากมากที่สุดในโลก) ซึ่งธาตุหายากเหล่านี้จำเป็นต่ออุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์อย่างมาก

จีนยังเป็นประเทศที่สนับสนุน "เทคโนโลยีสีเขียว" มากที่สุดในโลก (จีนเป็นประเทศที่มีมลพิษมากที่สุดในโลกเช่นกัน) ซึ่งวันนี้จีนเป็นผู้นำพลังงานทดแทนของโลกไปแล้ว คือพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และกำลังจะก้าวไปสู่ผู้นำ "รถยนต์ไฟฟ้า" ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอร์รี่ที่ผลิตและพัฒนาโดยบริษัท BYD (บริษัทนี้วอร์เรน บัฟเฟตต์ถือหุ้นอยู่ด้วย)

แล้วจีนขณะนี้ก็แซงสหรัฐฯ ก้าวขึ้นผู้นำตลาดรถยนต์ไปแล้วในแง่ของยอดขาย และหากสามารถสร้างมาตรฐานรถยนต์ขึ้นมาใหม่ และก้าวขึ้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานสะอาด ก็เชื่อว่า จีนจะกลายเป็นผู้ควบคุมอุตสาหกรรมรถยนต์โลกในอนาคตอันใกล้นี้ได้

ทั้งหมดนี้กำลังจะบอกว่า จีนกำลังไต่ระดับแซงหน้าสหรัฐฯ ในแต่ละหมวดอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ และในอัตราที่รวดเร็ว ขณะที่สหรัฐฯ ยังมีอาการย่ำแย่ของพิษเศรษฐกิจที่รุมเร้า และต้องใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของตัวเอง

สิ่งเหล่านี้พอจะสรุปเป็นประเด็นๆ ได้ว่า อะไรคือ สาเหตุที่ทำให้จีนเหนือกว่าสหรัฐฯ ในโลกเศรษฐกิจ แต่ยังไงยังคงไม่สามารถคว่ำสหรัฐฯ ได้เด็ดขาด เพราะสหรัฐฯ ก็ยังมีอิทธิพลในฐานะผู้นำโลก ด้วยบทบาททางการทหารที่ครอบคลุมไปทั่วโลก และเหตุที่ทำให้จีนเริ่มได้เปรียบสหรัฐฯมากขึ้นเรื่อยๆ พอสรุปได้ดังนี้

ประการแรก ผู้นำของจีนมีนโยบายที่ชัดเจนว่า จะไปทางไหน และใช้เวลาเท่าไร ซึ่งทำมาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ทำให้อัตราการรุดหน้าทางเศรษฐกิจของจีนเดินไปราวกับติดปีกบิน ประกอบกับผู้นำของจีนตั้งเป้าที่จะเป็น "ผู้นำนวัตกรรม" เทคโนโลยีทุกๆ ด้าน ตั้งแต่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ไปจนถึงนาโนเทคโนโลยี และเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องบอกว่า ในเรื่องพลังงานสะอาดนี้ จีนลงทุนมากเป็นสองเท่าของสหรัฐฯ เลยทีเดียว

ประการที่สอง จำนวนแรงงานที่มีทักษะด้านเทคนิคของจีนเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว แถมเป็นแรงงานที่เก่งบวกฉลาด เพียงสถิติปี 2005 สหรัฐฯ มีคนจบปริญญาวิศวกรรมศาสตร์ 137,500 คน เทียบกับจีนในปีเดียวกันจีนมีมากถึง 351,500 คน

ประการที่สาม สหรัฐฯ กำลังถดถอยด้านการศึกษาในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ขณะที่จีนลงทุนด้านการศึกษาในสาขาวิชาที่เรียกว่า STEM (Science, Technology, Engineering, and Mathematics education) ซึ่งในเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่า "ถึงเวลาที่สหรัฐฯ ต้องกลับไปประเมินตัวเองเหมือนกันว่า จะพัฒนาการศึกษาโดยเฉพาะในสาขาวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ให้ล้ำหน้าขึ้นมาได้อย่างไร"

และนี่คือ เหตุผล 3 ประการที่ทำให้จีนเริ่มเหนือกว่า และชิงความได้เปรียบสหรัฐฯ ได้มากขึ้น และเหตุผลประการสุดท้ายที่คิดว่า สำคัญที่สุดก็คือ ในช่วงเวลาของจีนจากนี้ไปที่อยู่ในมือของ "สี จิ้น ผิง" เป็นความท้าทายที่ต้องบรรลุเป้าหมายไปสู่ "จีนใหม่" ให้ได้ และพลาดไม่ได้ด้วย

เพราะในปี 2564 จะครบรอบ 100 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ดังนั้น การบรรลุสู่เป้าหมาย "จีนใหม่" จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่จารึกไว้อีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์จีนที่มีอายุมามากกว่า 5,000 ปี และแน่นอนว่า สี จิ้น ผิงต้องทุ่มทุกอย่าง เพื่อเดินไปให้ถึง และก้าวไปสู่ผู้นำในทุกๆ ด้านของโลกเศรษฐกิจ

คอลัมน์ วิถีโลก วิถีธุรกิจ, โฺฮเมอร์
สยามรัฐออนไลน์, 14 มีนาคม 2556


....................................................................................................................



.................................................................................................................................


ตอนเหนือเมฆโดนแบน แล้วก็ไม่มีหลักฐานจะๆด้วยว่าภาครัฐหรือใครสั่ง แม่มรับกันไม่ได้กับการเซ็นเซอร์ บอกเป็นการแสดงความคิดเห็นระบอบประชาธิปไตยควรเปิดกว้าง
แต่ตอนนี้อิพวก ห่าจิกดัดจริตตอแหลสตอเบอรี่พวกนี้ กลับบุกไปสถานี กดดันให้แบนรายการ ตอบโจทย์

อืมตอแหลแลนด์มันเป็นแบบนี้นี่เอง


.................................................................................................................................


โจทย์ที่ไม่ให้ตอบ?
%%%%%%%%%%%

เราจะปกป้องสถาบันกษัตริย์ด้วยอะไร? เหตุผลความรู้ข้อเท็จจริง หรือ ความหวั่นไหวหวาดวิตกจนกดปิดความเห็นที่แตกต่างไป?

สื่อมวลชนจะยืนบนพื้นฐานอะไร? หน้าที่รับผิดชอบที่จะต้องสื่อสารที่สำคัญให้มวลชนและปกป้องสิทธิเสรีภาพในการรับรู้และแสดงความเห็นของประชาชน หรือ ความกลัวการตีความอย่างไร้ขอบเขตจนยินดีปิดปากตัวเองและปิดหูปิดตาประชาชนผู้ชม?




เตรียมปิดหูปิดตาประชาชน...งานที่สื่อไทยทำบ่อย....


..........................................................................................................................................


กูฮาวะ กลุ่มคนที่อยากให้แบนรายการดีเบตวันนี้ ก็คือกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มต่อต้านแบนเหนือเมฆ

สรุปแล้วชอบให้แบน หรือไม่ชอบให้แบน หรือชอบให้แบนเฉพาะที่ไม่ถูกใจ

001


.........................................................................................................................................































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น