วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

17/03/2556



» อะไรเอ่ย "โรงเรียน...ปิ๊ ง แ ว้ บ" ?

มีบ่อยครั้งที่เราพบว่า เมื่อความคิดตีบตัน เพราะติดกับดัก กับความพยายามที่จะแก้ปัญหาเฉพาะจุด เมื่อได้เอาตัวเองออกไปจากปัญหาเฉพาะเหล่านั้น แล้วไปทำอย่างอื่น เช่น เดินเล่นในสวน พักผ่อน อ่านหนังสือ หรือทำสมาธิ... เรามักจะมีปรากฏการณ์ ”ปิ๊งแว้บ” ในเรื่องที่ค้างคาอยู่ได้อย่างน่าอัศจรรย์

ทำให้เรามองเห็นและเข้าใจแนวทางใหม่ของการจัดการกับปัญหา ด้วยการควบรวมระหว่างสิ่งใหม่กับสิ่งเก่า แล้วเกิดเป็นความคิดความเข้าใจใหม่

การเกิด “ปิ๊งแว้บ” จึงมีความหมายมากกว่าการจำและการเข้าใจของเดิม มันมีความท้าทาย สนุก และมีความสุขในการค้นพบมากกว่ากันเยอะ


◌◌◌◌◌◌◌◌


Q1 : ในโรงเรียน และในสถานศึกษาทุกระดับ มีกระบวนการและจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เกิด “ปิ๊งแว้บ” หรือไม่ ?


สิ่งที่เกิดขึ้นในสถานศึกษาส่วนใหญ่คือ ...สอน สอน สอน ...เรียน เรียน เรียน ...จำ จำ จำ ...สอบ สอบ สอบ แล้วก็ลืมหรือทิ้งไป แล้วก็เริ่มกระบวนการเดิมใหม่ กับวิชาใหม่

ผู้เรียน (และผู้สอน) ไม่มีเวลาในการใคร่ครวญ ทบทวนสิ่งที่เรียนร่วมกัน ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ว่าเกิดการเรียนรู้ (ปิ๊งแว้บ) หรือไม่

ในกระบวนการเรียนการสอน ไม่มีเวลาให้กับการสะท้อนการเรียนรู้ (Learning Reflection) ของผู้เรียน ระหว่างผู้เรียน และผู้สอน

ไม่มีเวลาในการ “บ่ม” และ “ฟัก” สิ่งที่เรียน เพื่อให้เกิดการปิ๊งแว้บเลย เพราะทุกอย่างเร่งรีบไปหมด

การเรียนและการเรียนรู้ จึงอยู่ในลักษณะของ “การเลียน” และ “การเลียนรู้” ความรู้เดิม กระบวนการเดิม ภายใต้เงื่อนไขและกติกาเดิม ไม่เกิดสิ่งใหม่ เพราะไม่เกิดปิ๊งแว้บ

ทั้งผู้เรียนและผู้สอน ดูเหมือนจะไม่มีความสุขกับการเรียนการสอนสักเท่าไหร่ ไม่ตื่นเต้นท้าทายเท่าที่ควร เพราะกระบวนการที่เกิดขึ้นในห้องเรียน ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดการ “ปิ๊งแว้บ” ในเรื่องที่กำลังเรียนกำลังสอน

เพราะการศึกษาในกระแสหลักเป็นการ “ถ่ายทอด” ข้อมูลและความรู้เดิม จึงไม่เกิดสิ่งใหม่ ไม่มีการแตกกิ่ง ต่อยอด

กระบวนการวัดการประเมินก็เน้นไปที่การวัดการประเมินความรู้เก่าตามวัตถุประสงค์และเนื้อหาที่กำหนดไว้


◌◌◌◌◌◌◌◌


Q2 : ผลการสอบ หรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สะท้อนว่าผู้เรียนเกิด “ปิ๊งแว้บ” ในสิ่งที่เรียนหรือเปล่า ?

คำตอบคือ เปล่า เพราะไม่ได้ระบุไว้ในวัตถุประสงค์ และที่สำคัญ “ปิ๊งแว้บ” ไม่ใช่เนื้อหา แต่เป็นกระบวนการและสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียนรู

ผลของปิ๊งแว้บ จะเป็นความรู้ความเข้าใจหรือเนื้อหาสาระใหม่ของผู้เรียนรู้ ที่จะเก็บไว้ สานต่อ และเชื่อมโยงไปยังความรู้ใหม่ๆ ที่ใหญ่และครอบคลุมมากขึ้นกว่าเดิมไปเรื่อยๆ มีความหมายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งเป็นกระบวนการและทิศทางที่ควรจะเป็นของการศึกษา ที่เป็นกระบวนการในการสร้างและให้ความหมายใหม่กับสิ่งที่ศึกษา แต่การศึกษาในกระแสหลัก เน้นและให้ความสำคัญกับการจำกัดความหมาย จึงมักจะเริ่มต้นด้วยการให้คำจำกัดความของสิ่งที่จะเรียนก่อนเสมอ

ลองพาผู้เรียนออกไปนอกห้องเรียนสี่เหลี่ยมแคบๆ เป็นระยะๆ เพื่อสัมผัสกับสิ่งที่ใหญ่กว่า “เนื้อหาวิชา” คือชุมชน สังคม และธรรมชาติ แล้วร่วมกับผู้เรียนตั้งคำถาม เพื่อร่วมกันหาคำตอบว่าสิ่ง (เนื้อหาวิชา) ที่เรียนนั้น มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับชีวิต ชุมชน สังคม และธรรมชาติหรือไม่ อย่างไร

สิ่งที่สอนและเรียนนั้น เป็นประโยชน์กับตนเอง กับผู้อื่น และสรรพสิ่งหรือไม่ อย่างไร

ถ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็ต้องถามต่อไปว่า...

แล้วจะเรียนวิชาเหล่านั้นไปเพื่ออะไร ?


◌◌◌◌◌◌◌◌


ลองพาผู้เรียนกลับเข้าสู่มิติภายในของตนเองเป็นระยะๆ เพื่อสำรวจ ทบทวนสิ่งที่ได้เรียน ความเข้าใจ ความไม่เข้าใจ ความรู้สึก ทัศนคติ ความคาดหวังเกียวกับสิ่งที่เรียน

แล้วแลกเปลี่ยนเรีบนรู้กับเพื่อนและครู ผ่านสามกระบวนการคือ...สุนทรียสนทนา การฟังอย่างลึกซึ้ง และการสะท้อนการเรียนรู้

ลองพาผู้เรียนออกไปสัมผัสโลกภายนอกเป็นระยะๆ พาผู้เรียนกลับเข้าไปสัมผัสโลกภายในเป็นระยะๆ เพราะสรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์เชื่อมโยง ความสัมพันธ์เชื่อมโยงก่อให้เกิดความหมายใหม่

หากมองเห็นและเข้าใจความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างสิ่งต่างๆ มากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งเห็นและเข้าใจความหมายของตนเองและสิ่งต่างๆ ที่สัมพันธ์กันได้มากขึ้นเท่านั้น


◌◌◌◌◌◌◌◌


การเรียนแบบแยกส่วน ก็จะเห็นและเข้าใจแบบแยกส่วน การ “ปิ๊งแว้บ” ถ้าหากจะเกิด ก็จะเป็นการปิ๊งแว้บที่แคบแบบแยกส่วน

ห้องเรียน...ไม่ได้หมายถึงแค่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แคบๆ แออัดยัดเยียด

การเรียน...ไม่ได้หมายถึงแค่การบอก การจด การจำ การอ่าน การทำการบ้าน การฟังการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาและเทคนิคการทำข้อสอบจากผู้สอน

วิชา...ไม่ได้หมายถึงแค่เนื้อหาที่ปรากฏในตำราเรียน หรือความรู้ที่ครูบอก ที่ไม่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับชีวิตและสังคม และสรรพสิ่ง

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน..ไม่ได้หมายถึงแค่คะแนนที่ได้จากการทำข้อสอบแต่ละวิชา


◌◌◌◌◌◌◌◌


ความสำเร็จในการดำรงชีวิตอย่างสันติสุข สำคัญกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ใช่หรือไม่

ลองใส่ความรัก ความเมตตา ลงไปในกระบวนการเรียนการสอนเป็นระยะๆ แล้วเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้น เมื่อเทียบกับการเรียนการสอนแบบเดิม

ความรู้ที่ไม่มีความรัก ไม่ควรเป็นศาสตร์ของมนุษย์

ความรู้ที่ไม่มีความรัก มักจะถูกนำมาเป็นศาสตราที่ทิ่มแทงและทำลายมนุษย์ เช่นความรู้เกี่ยวกับการสร้างอาวุธที่ใช้ในการทำลายล้างผู้อื่น

หากมนุษย์มีความรัก มนุษย์ก็จะเรียนรู้และสร้างศาสตร์ที่จะเอื้ออำนวยต่อมนุษย์และสิ่งอื่น ไม่ทำร้าย ไม่ทำลายล้างตนเอง ผู้อื่นและสิ่งอื่นด้วยศาสตราวุธที่สร้างขึ้น

ความรู้ที่มีคุณค่า จึงต้องเป็นความรู้ที่มีความรักความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกและต่อตนเอง


◌◌◌◌◌◌◌◌


"โรงเรียนปิ๊งแว้บ" จึงควรเป็นพื้นที่ที่เปี่ยมไปด้วยความรู้และความรักความเมตตา เพื่อก่อให้เกิดความรู้และความรักความเมตตาภายในตัวผู้เรียน ภายใต้บรรยากาศของการยอมรับและความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกันและกัน

ยอมรับและเคารพในความแตกต่างระหว่างบุคคลอย่างแท้จริง บนความเชื่อที่หนักแน่นว่า การเรียนรู้ที่แท้จริง (ปิ๊งแว้บ) เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียนรู้ สอนไม่ได้ แต่เอื้อให้เกิดขึ้นได้ ผ่านกระบวนการและกิจกรรมที่หลากหลาย ไม่มีมาตรฐานเดียวกันสำหรับทุกคน

แต่ละคนไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการเรียนรู้เหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเท่ากัน

ครู อาจารย์จึงต้องมีความรู้ มีความรักความเมตตาเป็นฐาน

โรงเรียนปิ๊งแว้บ...จึงจะเต็มไปด้วยความรู้และความรักความเมตตา

ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยความรู้ (หัว) เป็นชีวิตที่แข็งกระด้าง คล้ายเครื่องจักรและหุ่นยนต

ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยความรักความเมตตา (หัวใจ) เป็นชีวิตที่อ่อนโยน คล้ายสายลม สายน้ำ และแสงแดดในยามเช้า


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน


................................................................................................................................


............................................................................................................................



ยิ่งเรียนมาก ยิ่งรู้น้อย ยิ่งเรียนน้อย ยิ่งรู้มาก

โดย Sujit Wongthes (บันทึก) เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2013 เวลา 7:33 น.

เรียนในห้อง(ชั้น)เรียนหลายๆชั่วโมงติดต่อกัน หรือตั้งแต่เช้าถึงเย็น เป็นสิ่งสำคัญมากๆของการศึกษาไทย เพราะเชื่อว่ายิ่งเรียนมาก ยิ่งรู้มาก ยิ่งเก่งมาก
แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้วตรงข้าม คือ ไทยยิ่งเรียนมาก ยิ่งรู้น้อย ประเทศอื่นยิ่งเรียนน้อย ยิ่งรู้มาก



เมื่อเร็วๆนี้ ผู้บริหาร ก. ศึกษาฯ แถลงข่าวเรื่องลดชั่วโมงเรียนในโรงเรียน มีสาระสำคัญจะสรุปมาดังนี้


นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. กล่าวว่า จะปรับลดชั่วโมงเรียนทุกช่วงชั้น อีกทั้งต้องเปลี่ยนทัศนคติของสังคมไทย ที่คิดว่าเรียนมากจะรู้มาก ซึ่งไม่จริง 
ศ.(พิเศษ) ดร. ภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษา รมว. ศึกษาฯ กล่าวว่า “การลดชั่วโมงเรียนไม่ทำให้เวลาเรียนของเด็กลดลง แต่เป็นการลดการเรียนในชั้นเรียน เวลาที่เหลือให้เด็กได้เรียนรู้นอกห้องเรียน อาทิ ทำกิจกรรม หรือทำโครงงานต่างๆ” 
“ปฏิรูปหลักสูตรอย่างเดียวคงจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาการศึกษาที่ป่วยหนักได้ จะต้องปฏิรูปเรื่องอื่นๆควบคู่ไปด้วย ทั้งการปฏิรูปครู ปฏิรูปไอซีทีเพื่อการศึกษา และปฏิรูปโครงสร้าง” 
รศ.ดร. สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นด้วยแล้วบอกเพิ่มเติมว่า ทุกวันนี้เด็กไทยเรียนในชั้นเรียนมากเกินไป จึงไม่มีเวลาไปเรียนรู้ทักษะอื่นๆ 
“หลักสูตรของ สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ใช้มานานกว่า 12 ปีแล้ว เด็กต้องเรียนเนื้อหาซ้ำซ้อน แต่ได้ผลสัมฤทธิ์ต่ำ เหลือเวลาทำกิจกรรมน้อยเกินไป เด็กไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ฉะนั้นต้องทิ้งหลักสูตรเดิมไปเลย แล้วทำหลักสูตรใหม่ขึ้นแทน” ดร. สมพงษ์ บอก (มติชน ฉบับวันพุธที่ 13 มีนาคม 2556 หน้า 22)
แต่เป็นที่รู้กันว่ามหาวิทยาลัยของรัฐหลายแห่ง มีการเรียนการสอนด้วยการเน้นห้องเรียนเหมือนประถม, มัธยม อาจารย์บางพวกยังยืนหน้าห้องแล้วบอกให้นักศึกษาจดตามคำบอกทีละวรรคด้วยซ้ำ โดยห้ามถาม ห้ามเถียง และห้ามคิดต่างจากอาจารย์
ตราบใดที่โครงสร้างอำนาจทางการเมืองในไทยยังไม่เสมอภาค ไม่ทัดเทียม แล้วการศึกษาไทยจะให้กล้าแสดงความคิดเห็น ชะรอยจะเป็นไปไม่ได้เลย

.............................................................................................................................


ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา "ชำแหละสื่อไทย"


https://www.youtube.com/watch?v=DF42CFhZyYU&feature=youtube_gdata_player

Mati Tajaroensuk พี่ครับ แจ้ง เป็นเทป ปีที่แล้ว ไม่เกี่ยวกับ ตอบโจทย์ โดนแบน นะครับ 

Supapong Wanitpongpan ทราบครับ ตั้งแต่ดูก่อนแชร์ละ
แต่ชอบครับ ก็เลยแชร์
ถึงมันจะเป็นของปีที่แล้ว แต่เนื้อหามันทันสมัยครับ


Mati Tajaroensuk แจ้งไว้ ก่อน กลัว คน นำไป บิด เป็น เรื่อง ออกมา โต้ ทางช่องครับ 
ในฐานะ คนปล่อย เลยแจ้งไว้ก่อนครับ ขอบคุณ ครับ


...........................................................................................................................


Knott T. Knott 55+

.........................................................................................................................




ฝึกถึงขั้น "กะลาอยู่ที่ใจ" แล้ว...


...........................................................................................................................



.........................................................................................................................



วันนี้ กรรมการปฏิรูป ได้ กำหนดเป้าหมายการศึกษา
และเยาวชนที่จะเติบโตเป็นคนไทยที่สังคมคาดหวัง
เราจะไม่ทำแต่หลักสูตรหรูๆ เป้าหมายสวยๆ
คำแปลกๆ ใหม่ๆ แต่สุดท้าย
ทุกอย่างก็เหมือนเดิม
เพราะ ครูทำไม่ได้ ไม่อยากทำ
คณะกรรมการ ตั้งใจจะทำหลักสูตร ที่ช่วยให้ เราทำได้
ในสภาพจริงครับ


.....................................................................................................................




ธุรกิจ ไอทีวี ทั้งรับใช้และรับกรรม

เป็นเรื่องที่รับรู้กันทั่วไป แต่ไม่มีใครกล้าพูดกันคือกรณีการทำธุรกิจโทรทัศน์ช่องไอทีวี (ITV) ซึ่งเริ่มต้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทักษิณเลย แต่ทักษิณต้องจำยอมรับใช้ และสุดท้ายก็ต้องรับกรรมเอง เพราะไอทีวีกลายเป็นธุรกิจที่สร้างศัตรูทางการเมืองมากมาย โดยทักษิณก็พูดไม่ออก

ไอทีวีเป็นธุรกิจหนึ่งในหลายพันกิจการของราชสำนักที่ก่อตั้งเริ่มแรก เมื่อปี 2536 ด้วยทุนหลักมาจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผ่านทางธนาคารไทยพาณิชย์ ด้วยการลงทุนเริ่มแรกประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยมีกลุ่มผู้ดำเนินการคือสำนักข่าวเนชั่น มีนายสุทธิชัย หยุ่น เป็นหัวหน้าทีมงาน

ทุกคนได้ดูโทรทัศน์ไอทีวีก็สนุกสนานตื่นเต้นกับข่าวสาร การบันเทิงดี แต่หารู้ไม่ว่าไอทีวีขาดทุนทุกเดือน แต่กลุ่มผู้ดำเนินการไม่เดือดร้อนเพราะเป็นลักษณะมือปืนรับจ้างคือถือหุ้นน้อยแต่บริหารเองและรับเงินเดือนกันสูงๆ ในที่สุดไอทีวีก็ “บักโกรก” หนี้สินล้นพ้นตัว และด้วยวัฒนธรรมการดำเนินธุรกิจแบบราชสำนักที่มีลักษณะพิเศษคือมีแต่กำไร แต่เมื่อเกิดการขาดทุนก็แก้ปัญหาโดยผ่องถ่ายยัดเยียดให้แก่กลุ่มทุนที่จงรักภักดี แต่ทั้งเบียร์ช้าง, ซีพี, กระทิงแดง ไม่มีใครรับ จึงถูกโบ้ยมาหาทักษิณซึ่งขณะนั้นได้กระโดดเข้ามาสู่การเมืองเต็มตัวในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และพร้อมจะก้าวขึ้นสู่นายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของประเทศไทย เป็นทั้งคนกระเป๋าหนักและใจถึง บริษัทในกลุ่มของทักษิณจึงรับผ่องธุรกิจขาดทุนมาดำเนินการต่อด้วยความภักดี เป็นเงินถึง 3,000 กว่าล้านบาท เท่ากับที่ราชสำนักลงทุนไป
ในชีวิตอันเป็นปกติของมนุษย์มีใครไหมที่จ่ายเงินมากขนาดนี้ แล้วปล่อยให้กิจการล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาอีก

ทักษิณจึงจัดการหานักบริหารมืออาชีพมาบริหารจัดการ คณะผู้บริหารใหม่จึงเข้าแทนที่ชุดบริหารเก่า และเบียดแก๊งของสุทธิชัย หยุ่น ออก ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาในวงการบริหารจัดการของธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือสุทธิชัย หยุ่น เป็นขาใหญ่ที่มากบารมีในวงการสื่อสารมวลชน

และตั้งแต่นั้นทักษิณก็ได้ศัตรูกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งจากค่ายเนชั่น ผู้เสียผลประโยชน์โดยทำหน้าที่ทิ่มแทงตลอดตั้งแต่นั้นมา จนถึงการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 แก๊งเนชั่นที่มีนายสุทธิชัย หยุ่น เป็นหัวหน้าใหญ่ ก็เปิดโปงตัวเองโดยนำนายเทพชัย หย่อง(น้องชาย สุทธิชัย หยุ่น), นายกนกรัตน์ วงศ์สกุล และพรรคพวกที่โด่งดังหลายคนร่วมมือกับคมช.เข้าไปเป็นกระบอกเสียง และหาผลประโยชน์ใน อสมท. และโทรทัศน์ช่องของทหารอย่างอิ่มหนำสำราญ

กิจการไอทีวีภายใต้การบริหารใหม่ของมืออาชีพ นำโดยนายนิวัฒน์บุญทรง ธำรงไพศาล ค่ายทักษิณ ก็ทำกำไรทำให้ไอทีวีฟื้นชีวิตขึ้นได้แต่ก็ไม่พ้นศัตรูชั้นครูอย่างสุทธิชัย หยุ่น และพรรคพวกที่จะทิ่มแทงและแย่งยึดกลับคืนได้ โดยสร้างเรื่องให้ฝ่ายทหารวิตกกังวลว่าโทรทัศน์ไอทีวีเป็นฐานอำนาจสำคัญของทักษิณที่มีอิทธิพลต่อความคิดของประชาชน และเป็นแหล่งสำคัญที่สนับสนุนการเมืองให้ทักษิณพร้อมทั้งชงประเด็นให้พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ ในนามรัฐบาล คมช.โดยกล่าวหาว่าบริษัทไอทีวีกระทำผิด พร้อมกับยุให้ใช้อำนาจเผด็จการของรัฐบาล และอำนาจเผด็จการสภายึดไอทีวีไปดื้อๆ โดยออกเป็นกฎหมายอ้างว่าจะตั้งเป็นทีวีสาธารณะ พร้อมกันนั้นก็สั่งปรับบริษัทไอทีวีเป็นเงินถึง 100,000 ล้านบาท โดยไม่ยอมผ่อนผัน ก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นค่าปรับที่ไม่มีใครจะมีปัญญาจ่ายแน่นอน สุดท้ายก็ยึดไอทีวีไปให้กลุ่มเนชั่นบริหารจัดการภายใต้ชื่อใหม่ที่หลอกลวงประชาชนได้เนียนว่าโทรทัศน์ไทย พีบีเอส(TPBS) หรือโทรทัศน์สาธารณะ และได้เพิ่มภาระให้แก่รัฐที่จะต้องเอาภาษีประชาชนมาจ่ายให้พวกแก๊งเนชั่นใช้ปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งแต่เดิมรัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินแถมยังเก็บภาษีได้อีก


...............................................................................................................................




'เด็กเรียนรู้จากชีวิต'

ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่การตำหนิติเตียน
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะกล่าวโทษผู้อื่น
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะต่อสู
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
พวกเขาจะกลายเป็นคนหวาดระแว
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่การสมเพชเวทนา
พวกเขาจะกลายเป็นคนสงสารตัวเอง
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่การเยาะเย้ย
พวกเขาจะกลายเป็นคนขลาดอาย
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความริษยา
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะอิจฉาผู้อื่น
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความละอายต่อการทำผิด
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะสำนึกผิด
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความอดกลั้น
พวกเขาจะกลายเป็นคนอดทน
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยกำลังใจ
พวกเขาจะกลายเป็นคนเชื่อมั่
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการยกย่องชื่นชม
พวกเขาจะเรียนรู้การขอบคุณ
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการยอมรับ
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะชอบตัวเอง
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการให้ด้วยยินดี
พวกเขาจะรู้จักค้นหาความรักในโลก
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการแบ่งปัน
พวกเขาจะเป็นคนมีเมตตา
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สัตย์ซื่อและเป็นธรรม
พวกเขาจะรู้จักความจริงแท้และความยุติธรรม
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
พวกเขาจะมีความศรัทธาในตัวเองและคนรอบข้าง
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร
พวกเขาจะรู้ว่าโลกเป็นที่ที่น่าอยู่
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบสุข
พวกเขาจะมีสันติภาพในจิตใจ

แล้วเด็ก ๆ ของคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างไร ?

โดโรธี แอล. นอลเต้


..................................................................................................................



17 มีนาคม พ.ศ. 2317 นายขนมต้มชกมวยคาดเชือกกับนักชกพม่า คนเดียวชนะถึงสิบคน ต่อหน้าพระที่นั่งพระเจ้าอังวะ ในพิธียกฉัตรพระเจดีย์เกศธาตุ เมืองร่างกุ้ง ประเทศพม่า
พงศาวดารกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า...
เมื่อพระเจ้ามังระโปรดให้ปฏิสังขรณ์และก่อเสริมพระเจดีย์ชเวดากองในเมืองย่างกุ้งเป็นการใหญ่นั้น ครั้นงานสำเร็จลงในปี พ.ศ. 2317 พอถึงวันฤกษ์งามยามดี คือวันที่ 17 มีนาคม จึงโปรดให้ทำพิธียกฉัตรใหญ่ขึ้นไว้บนยอดเป็นปฐมฤกษ์ แล้วได้ทรงเปิดงานมหกรรมฉลองอย่างมโหฬาร ขุนนางพม่ากราบทูลว่า
"นักมวยไทยมีฝีมือดียิ่งนัก"
พระเจ้ามังระจึงตรัสสั่งให้เอาตัวนายขนมต้ม นักมวยดีมีฝีมือตั้งแต่ครั้งกรุงเก่ามาถวาย พระเจ้ามังระได้ให้จัดมวยพม่าเข้ามาเปรียบกับนายขนมต้ม โดยจัดให้ชกต่อหน้าพระที่นั่ง ปรากฏว่านายขนมต้มชกพม่าไม่ทันถึงยกก็แพ้ถึงเก้าคนสิบคนก็สู้ไม่ได้ พระเจ้ามังระทอดพระเนตรยกพระหัตถ์ตบพระอุระตรัสสรรเสริญนายขนมต้มว่า
“คนไทยนี้มีพิษสงรอบตัว แม้มือเปล่ายังเอาชนะคนได้ถึงเก้าคนสิบคน นี่หากว่ามีเจ้านายดี มีความสามัคคีกัน ไม่ขัดขากันเอง และไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตัว และโคตรตระกูลแล้ว ไฉนเลยกรุงศรีอยุธยาจะเสียทีแก่ข้าศึก ดั่งที่เห็นอยู่ทุกวันนี้"
***ข้อมูล วิกิพีเดีย


.............................................................................................................................




แถลงการณ์กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย (LLTD) ต่อกรณี “งดตอบโจทย์”

อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่รายการตอบโจทย์ประเทศไทยแห่งสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสได้นำเสนอการพูดคุยว่าด้วยเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญยิ่งในสังคมและการเมืองไทย ในวันที่ 11-15 มีนาคม 2556 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 5 ตอน โดยได้เชิญบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิหลายฝ่าย ได้แก่ คุณสุรเกียรติ เสถียรไทย พล.ต.อ.วศิษฐ เดชกุญชร อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มาพูดคุยกันในเรื่องนี้ และได้ออกอากาศแล้ว 4 ตอน โดยในตอนล่าสุดเป็นการดีเบตกันระหว่างอาจารย์สมศักดิ์และอาจารย์สุลักษณ์ในรอบแรก มีเนื้อหากล่าวถึงการปฏิรูปสถาบันและแก้ไข ม 112 จนทำให้มีกลุ่มคนใช้ชื่อว่า “ฅนไทยผู้รักชาติ” มาประท้วงกดดันยังสถานีโทรทัศน์ เป็นผลให้สถานีโทรทัศน์งดออกอากาศเทปบันทึกรายการตอนสุดท้าย เป็นการดีเบตระหว่างอาจารย์สมศักดิ์และอาจารย์สุลักษณ์ในรอบที่สอง ซึ่งจะออกอากาศในวันที่ 15 มีนาคม 2556 และต่อมา คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา และทีมงานของรายการตอบโจทย์ประเทศไทย ได้ประกาศยุติการทำรายการนับจากนี้ไป เพื่อแสดงจุดยืนต่อวิชาชีพสื่อสารมวลชนนั้น

กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างต่อเนื่องตลอดมา มีความเห็นว่าการออกอากาศของรายการตอบโจทย์ฯ ครั้งนี้เป็นการริเริ่มที่ดีในการนำเรื่องราวที่มีผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก แต่กลับเป็นเรื่องที่ต้องพูดในที่ลับ เอาออกมาพูดอย่างเปิดเผยและจริงจัง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขปัญหาได้จริงในทางปฏิบัติ และจะเป็นหมุดหมายที่สำคัญในการพูดคุยเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาในวงสาธารณะ ทั้งในส่วนขององค์กรทางการเมือง สื่อมวลชน และบุคคลทั่วไป

ส่วนการบีบบังคับให้งดออกอากาศนั้น ทางกลุ่มมีความเห็นว่าเป็นการละเมิดเสรีภาพของสื่อมวลชนอย่างร้ายแรง และดูถูกวิจารณญาณของประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะสื่อมวลชนย่อมมีสิทธิในการนำเสนอข้อเท็จจริงและความคิดเห็นต่างๆ ในสังคมได้อย่างเป็นอิสระ และประชาชนย่อมมีสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารทุกด้านอย่างเท่าเทียมกัน การกระทำนี้จึงไม่ถูกต้องตามครรลองแห่งประชาธิปไตย

กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยจึงขอประณามการเซนเซอร์ตัวเองของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และมีข้อเรียกร้องต่อผู้ที่เกี่ยวข้องดังนี้

1. ขอให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสนำรายการตอบโจทย์ประเทศไทย โดยภิญโญ ไตรสุริยธรรมา กลับมาฉายตามปกติ อีกทั้งขอให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสนำเทปบันทึกรายการตอบโจทย์ฯ ที่งดออกฉายนี้กลับมาฉายใหม่ในช่องทางปกติ โดยไม่มีการตัดทอนแม้ส่วนหนึ่งส่วนใดของเทปนั้น และประกาศการฉายใหม่นี้ให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน

2. ขอให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้ทบทวนถึงบทบาทหน้าที่ของตนเองในฐานะสื่อมวลชน และไม่ควรแสดงความขลาดกลัวต่อกระแสสังคม จนละเลยความรับผิดชอบในการรักษาความเชื่อมั่นในเสรีภาพของสื่อสารมวลชน ด้วยการปิดปากตัวเองเช่นนี้

ทั้งนี้ทางกลุ่มขอแสดงความชื่นชมรายการตอบโจทย์ประเทศไทยในความกล้าหาญที่ได้ริเริ่มนำสิ่งที่ควรจะพูดได้อย่างเปิดเผยออกมาพูด และขอสนับสนุนให้กระทำต่อไป นอกจากนี้ยังขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนรายอื่นแสดงความกล้าหาญเช่นนี้บ้าง และขอให้ประชาชนอดทนรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เพราะนี่คือสิ่งที่จะทำให้สังคมสามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยดี

หมายเหตุ : แถลงการณ์ฉบับที่กลุ่มได้ออกไปก่อนหน้านี้ในเรื่องเดียวกัน เป็นกิจกรรมเชิงเสียดสีที่กลุ่มได้ทำออกมาตอบโต้ต่อเหตุการณ์งดออกอากาศดังกล่าว ส่วนแถลงการณ์ฉบับนี้เป็นจุดยืนและข้อเรียกร้องที่แท้จริงของกลุ่ม


.....................................................................................................................................




.......................................................................................................................................



‎"ปัญหาของความรู้ในหมู่สาธารณะชนไทยตอนนี้คือ

คนมันชอบเชื่ออย่างไม่สงสัยเวลาคนที่ดู "น่าเชื่อถือ" พูดสิ่งที่ตัวเองไม่มีความรู้จริงๆ

ซึ่งปกติคนแม่งไม่ได้มีความน่าเชื่อถือที่เกี่ยวเหี้ยไรกับความรู้เลย เช่นเป็นคนดี แต่งตัวดี พูดอังกฤษชัด เรียนจบต่างประเทศมาในสาขาที่ไม่เกี่ยวเหี้ยไรกับสิ่งที่พูดเลย (แค่คุณเชื่อพวกหมอกับพระในประเด็นทางสังคมมากกว่าพวกนักวิชาการสังคมศาสตร์ก็ชัดแล้ว)

แล้วคนพวกนี้เวลาพูดเรื่องที่ตัวเองไม่รู้แม่งใช้ความมั่นใจมากกว่าความรู้ด้วย

คนที่เชื่อพวก Pseudointellectual พวกนี้เวลาพูดประเด็นห่าอะไรนี่ไม่ควรจะมีหน้าไปด่าใครว่าโง่ทั้งนั้นครับ แต่ในความเป็นจริง คนพวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกที่คิดว่าตัวเองฉลาดที่สุดอย่างไม่สงสัยนี่แหละ

แค่มึงคิดว่ามึงฉลาดที่สุดโดยไม่สงสัยมึงก็โง่แล้ว"

มิตรสหายท่านหนึ่ง


.......................................................................................................................



.....................................................................................................................................




ทัศนคติของคนต่างชาติมองการทำงานของคนไทย....
เราคว้าตัวฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำงานในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี
เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทยๆ เราก็ได้คำตอบว่า:

1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง คนไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น
ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม
ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมืออย่างเต็มที่หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี
- เจฟฟรีย์ บาร์น

2. การโต้แย้ง
เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม
บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า " ขี้เกรงใจ " แต่สำหรับฝรั่งแล้ว นิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
- ทานากะ โรบิน (จูเนียร์) ฟูจฮาระ

3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด
เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่ไม่แพ้ฝรั่งเลย
แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านนายได้รู้ และจะไม่กล้าตั้งคำถาม
บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้วเลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร
- ไมเคิล วิดฟิล์ค

4. ความรับผิดชอบ
1. ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักทำไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า
ทั้งๆทีงานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนาน
ก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร
2. ไม่ค่อยยอมผูกพันและรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำคนไทยจะกลัวขึ้นมาทันท
เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก
- สเตฟานี จอห์นสัน

5. วิธีแก้ไขปัญหา
คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับเวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า
หลายคั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั่ง
ลงมาก่อนแล้วค่อยทำตามถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด
- ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก

6. บอกแต่ข่าวดีคนไทยมีความเคยชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ
1. จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา
2. จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริงหรือถ้าหากเจ้านายถามว่า
จะทำงานเสร็จทันเวลาๆไหม ก็จะบอกว่าทัน (เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่รับปากเลย
- โจนาธาน ธอมพ์สัน

7. คำว่า " ไม่เป็นไร "
เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วยเพราะเกรงใจกัน
แต่จะใช้คำว่า " ไม่เป็นไร " มาแก้ปัญญหาแทน
- เจนิส อิกนาโรห์

8. ทักษะในการทำงาน
1. ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกันบางคนขยันแต่บางคนไม่ทำอะไรเลย
บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกันจนผลงานไม่คืบหน้า
2. ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด
3. พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องร าวความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไรนัก
แล้ไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม
- เดวิด กิลเบิร์ก

9. ความซื่อสัตย์
พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย
ขาดงานโดยอ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกในเวลางาน
- เฮเบิร์ก โอ ลิสส์

10. ระบบพวกพ้อง
คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน
พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ประสบมา
การให้ความช่วยเหลือเพื่อนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเลยเป็นอะไรที่แย่มาก
และเมื่อพบว่าเพื่อนพนักงานด้วยกันทุจริต คนไทยก็จะช่วยกันปกป้อง และทำให้ไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าผู้บริหารจะตรวจสอบได้เอง
- มาร์ค โอเนล ฮิวจ์

11. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว
คนไทยมักจะไม่รู้ว่าอะไรว่าอะไรคือเรื่องงาน และอะไรที่เรียกว่าเรื่องส่วนตัว
พวกเขาชอบเอาทั้งสองอย่างนี้มาปนกันจนทำให้ระบบการทำงานเสียไปหมด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งขององค์กร
1. ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน
2. มักจะคุยกันเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานมากเกินไป บางครั้งทำให้บานปลายและนำไปสู่ข่าวลือ และการนินทากันภายในสำนักงา
3. มักจะลาออกจากบริษัทโดยไม่ยอมแจ้งล่วงหน้าตามข้อตกลง แต่กลับคาดหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์เต็มที
4. ไม่ยอมรับความผิดชอบที่มีมากขึ้นในช่วงวิกฤติ
5. ต้องการเงินมากขึ้นแต่กลับไม่ค่อยสร้างคุณค่างานอะไรเพิ่มขึ้นเลย
- วิลเลี่ยม แมคคินสัน

12. นับถือระบบอาวุโส
คนไทยให้เกียรติคนที่อายุมากกว่ามากเกินไป จนไม่กล้าทำอะไรที่เรียกว่าเป็นการข้ามหน้าข้ามตา
บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่าอาจจะมีความคิดความสามารถมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะเกรงใจคนที่อายุมาก
เป็นการทำลายโอกาสของตัวเอง และโอกาสของบริษัท
- เนลสัน ฟอร์ด

ปรับปรุงกันนะ แต่ว่าก็ให้ผู้บริหารบางคนต้องปรับปรุงตามด้วยนะ เพราะว่าพอมีพนักงานโต้แย้ง แต่ก็ไม่รับฟังเหตุผลก็มี
ก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากจะโต้แย้งซักเท่าไร อยู่ไม่ได้ก็ลาออกไป
 

..........................................................................................................................




บางคนก็ชอบอยู่มืดๆ นะโยมนะ....


..........................................................................................................................



แสกนมาจากเรื่องสั้นตอนหนึ่งในหนังสือ path of fujiko f fujio 6 เล่มทอง (ลิขสิทธิ์ของเนชั่น) เป็นตอนที่ชอบมากตอนหนึ่ง (มีไม่กี่ตอนที่ Happy End)

ตอนนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกมนุษย์ต่างดาวที่กำลังวางแผนกันว่าจะบุกกวาดล้างโลกหรือไม่ เป็นตลกร้ายที่ให้มนุษย์ต่างดาวมาวิเคราะห์สังคมมนุษย์ในหลายประเด็น โดยที่ประเด็นยกมานี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ "การเรียกร้องความเสมอภาค" ที่อ่านแล้วรู้สึกเหมือนเป็นการเอารัดเอาเปรียบเสียมากกว่า :v


...................................................................................................................


..............................................................................................................................


นิธิ-วรเจตน์ : มากกว่าแก้ กม. ต้องแก้โครงสร้าง-วัฒนธรรมวงการตุลาการ


http://prachatai3.info/journal/2013/03/45798?utm_source=dlvr.it&utm_medium=facebook

..............................................................................................................................




ส.ศิวรักษ์ จวก "ผอ.ไทยพีบีเอส"ควรกล้าหาญทางจริยธรรมกว่านี้

นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ กล่าวถึงกรณีที่สถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส การถอดรายการตอบโจทย์ว่า ตนรู้สึกเสียใจเพราะรายการทั้งหมด โดยเฉพาะที่ตนพูดกับนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดเต็มที่ไม่มีเซ็นเซอร์ และที่ตัดออกไปเป็นการขมวดทั้งหมด จุดยืนประชาธิปไตยต้องมีความใจกว้าง นายสมศักดิ์ไม่เห็นด้วยกับตน ตนไม่เห็นด้วยกับนนายสมศักดิ์ ก็พูดกันอย่างเป็นมิตร นี่คือหัวใจของประชาธิปไตย และ เกี่ยวโยงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่เคยมีอย่างนี้มาก่อน ถ้าออกไปถือเป็นเกียรติของไทยพีบีเอสมาก ทั้งนายภิญโญ ไตรสุริยะธรรมา ผู้ดำเนินรายการ และนายสมศักดิ์ ก็ยอมมรับว่าไม่เคยมีการพูดจากว้างขวางมีเหตุผลมาก รอบคอบถึงเพียงนี้ แต่เสียดายที่ตัดออกไป แต่ตนก็เคารพ ทั้งนี้นายสมชัย สุวรรณบรรณ ผอ.ไทยพีบีเอส ก็เคยทำงานที่บีบีซี ควรกล้าหาญทางจริยธรรมมากกว่าที่เป็นอยู่ และยิ่งอ้างว่ามีคนมาประท้วงนี่คือประชาธิปไตย แต่หากมีคนกระซิบหรือมีใครโทรศัพท์มาตนรับไม่ได้ จะให้พวกนี้มีอำนาจเหนือสื่อกระแสหลักซึ่งเป็นภาษีประชาชนและมีจุดยืนทางจริยธรรมถือว่าล้มเหลวอย่างน่าเสียดา

"ถ้าผู้บริหารมีจิตสำนึกน่าจะเชิญนายภิญโญมาพูดดีๆหาทางออกหวังว่าไทยพีบีเอส จะยอมรับความผิดพลาดและแก้ตัว ซึ่งผมพร้อมให้อภัย"นายสุลักษณ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การถอดรายการครั้งนี้มีแรงกกดดันหรือไม่ นายสุลักษณ์กล่าวว่า หากมีแรงกดดันจากภายใน ซึ่งไทยพีบีเอสเองก็มีคณะกรรมการน่าจะนำเรื่องเข้าคณะกรรมการบริหาร แต่ที่ตนทราบคือตัดสินก่อนออกอากาศ 5 นาทีแสดงว่าฉุกเฉินว่าจึงไม่รู้ว่ามีใบสั่งจากใคร ตนไม่รู้ แต่ระบบใบสั่งควรเลิกได้แล้

ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังจากรายการถูกถอดได้คุยกับนายภิญโญ หรือไม่ นายสุลักษณ์ กล่าวว่าได้คุยกับเลขาฯ ซึ่งบอกว่าจะเดินทางมาร่วมงานในวันนี้ ตนก็จะมาคุยกัน แต่เขาก็เปลี่ยนใจ ตนเข้าใจ เขาคงเสียใจและไม่พร้อมที่จะพูดคุย


...........................................................................................................................



..................................................................................................................................


นาย ก : เป็นอะไรครับ หงุดหงิดอะไรมา
นาย ข : ผมเกลียดไอ้หงอก สมศักดิ์ มากเลยครับ !!!!
นาย ก : แกไปทำอะไรให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจหรือครับ ?
นาย ข : มันดูหมิ่นท่าน ด่าท่าน ผมทนไม่ได้
นาย ก : แกดูหมิ่น แกด่าว่าอะไรละครับ ถ้าผิดก็ฟ้องตำรวจเลยสิครับ ?
นาย ข : ไม่รู้เว้ย กูฟังไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่ามันหมิ่นแน่นอน


.................................................................................................................................

~"วีรพัฒน์ ปริยวงศ์"~

จาก 'ไทยพีบีเอส' ถึง 'ตุลาการไทย' และ 'คดีเพชรซาอุ' ... หนังเรื่องนี้ มันม้วนเดียวกันหรือเปล่าหนอ ?

ก่อนอื่น ขอย้ำว่า การที่เรา 'วิจารณ์' ใคร หรือ 'เรียกร้อง' ให้ใครต้องดีขึ้น มันไม่ได้แปลว่าเรามี 'อคติ' หรือ 'เกลียดชัง' นะครับ 
แต่เป็นเพราะว่า เรา 'ให้ความสำคัญ' กับ 'ใครคนนั้น' ครับ ถ้าไม่สำคัญ เราคงไม่ไปสนใจหรอกครับ

ผมจึงขอฝากคำขอบคุณไปยังผู้จัดมหกรรม 'วิจารณ์ตุลาการ' วันนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์มาก หวังว่า 'ตุลาการ' ฟังแล้ว จะรู้ว่าท่านนั้นสำคัญต่อ 'ประชาธิปไตย' ของเรามากแค่ไหน

วันนี้ เราได้เห็นประชาชน นักวิชาการ และอดีตตุลาการ มาวิจารณ์ 'ศาลไทย' มากขึ้น

แต่เรายังไม่ค่อยเห็น 'ศาล วิจารณ์ ศาล' เสียเท่าไหร่...แต่ผมว่าเริ่มมีเค้าแล้วนะ

คือมันสืบเนื่องจากคดี "อัลรูไวลี่" นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ที่เงื่อนงำโยงไปถึง 'คดีเพชรซาอุ' (ที่ยัง 'ตอบโจทย์' ไม่ได้) 

ล่าสุด 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ไปตีความกฎหมายมาตราหนึ่ง ที่ "อาจ" ทำให้ 'ศาลอาญา' ไม่สามารถรับฟังพยานปากเด็ดที่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ และอาจทำให้คดี "อัลรูไวลี่" หาคำตอบยากมากขึ้น

ที่สำคัญ ในทางกฎหมาย การตีความดังกล่าว อาจเป็นการที่ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ตีความกฎหมายไปกระทบการทำงานของ 'ศาลอาญา' ซึ่งในทางหนึ่ง ฟังเหมือนว่า 'ศาลรัฐธรรมนูญ' กำลัง 'ไม่มั่นใจ' ว่า 'ศาลอาญา' จะให้ความเป็นธรรมจำเลยได้ดีพอหรือไม่ และ อาจเป็นการตีความที่มีผลโดยปริยายต่อกฎหมายพยานอย่างน่าฉงนอีกด้วย จนอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ใช้ ข้อพิจารณาทางการเมือง (เหมือนที่ประธานศาลยอมรับกับมติชนในคดียุบพรรค) หรือไม่ ? 

คนที่ได้ยินแล้วน่าจะตกใจ น่าจะเป็น "ศาลอาญา" นะครับ

สัญญาณความเห็นล่าสุดจาก 'ท่านอธิบดีศาลอาญา' ก็ฟังดูดีนะครับ คือ ฟังเหมือนท่านเก็บอาการกังวลไว้ และพร้อมจะน้อมรับตามศาลรัฐธรรมนูญ แต่หากงานนี้ทำให้ 'ศาล วิจารณ์ ศาล' ได้ด้วย ก็จะเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจะสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ก็น่าสนใจเหมือนกัน ว่า 'ศาลอาญา' จะเดินต่ออย่างไร 

คลิปด้านล่างนี้ เป็นการวิจารณ์เบื้องต้นต่อ "ข่าว" คำวินิจฉัยของ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' (เพราะท่านเล่นออกข่าวว่ามีคำวินิจฉัย แต่ยังไม่ยอมให้เราอ่านฉบับเต็ม ทั้งๆที่ตามหลักแล้ว ควรเผยแพร่ทันที)

ผมขอฝากคลิปนี้ เพื่อร่วม 'วิจารณ์ตุลาการ' ด้วยคน แต่เอ็ะ ความจริงผมก็วิจารณ์แบบไร้สังกัดไม่พึ่งพากลุ่มก้อนใดมานานแล้วนะครับ แต่ดันไปวิจารณ์ 'คนที่วิจารณ์ศาล' ด้วยนี่สิ เลยต้องทนเหงาหน่อย (ฮา)

(เรื่อง 'ปฏิรูปศาลไทย' และการให้ 'สภา' รับรอง 'ศาล' นั้น ผมแสดงความเห็นล่าสุดไว้ในวารสาร จุลนิติ ของวุฒิสภา ฉบับล่าสุดที่กำลังจะออกเร็วๆนี้ หากมาแล้ว จะมาบอกครับ)

http://youtu.be/u0b1XoM__ZI


.............................................................................................................................


............................................................................................................................


ตอนจบของเรื่องอะไรก็ตามในชีวิต ไม่ว่าจะ fin หรือ fail
ที่จริงแล้วมันคือจุดเริ่มต้นของเรื่องใหม่
เพียงแต่เวลานั้นส่วนใหญ่เราไม่ค่อยจะรู้ตัว


..........................................................................................................................


..............................................................................................................................




มีการสัมภาษณ์ชาวอเมริกันที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไปมากกว่า 1,200 คน โดยตั้งคำถามว่า “จากประสบการณ์ชั่วชีวิตคุณ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน” ผลการสัมภาษณ์ได้ถูกนำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living ครับ

ลองคัดเลือกบทเรียนสำคัญ 10 ประการที่โดดเด่น ประกอบด้วย

1. ให้เลือกอาชีพโดยดูจากความต้องการภายในมากกว่าผลตอบแทนด้านการเงิน โดยบรรดาผู้สูงวัยกล่าวว่าความผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพของเขา คือ การเลือกอาชีพโดยดูจากผลตอบแทนมากกว่าสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ
...
2. ให้ปฏิบัติต่อร่างกายเหมือนกับต้องใช้งานไปอีกร้อยปี โดยให้ลดและเลิกพฤติกรรมที่ทำร้ายร่างกายเราไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่ดี หรือไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเสียชีวิตในฉับพลัน แต่ทำให้เราเกิดความทรมานเมื่อสูงวัย

3. ตอบตกลงต่อโอกาสที่เข้ามา โดยเมื่อมีโอกาสหรือความท้าทายเข้ามา ต้องอย่าปฏิเสธครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะมาเสียใจหรือเสียดายในภายหลัง

4. เลือกคู่ด้วยความระมัดระวัง อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ใช้เวลาในการดูและทำความรู้จักคนที่เราจะอยู่ด้วย อย่ารีบด่วนตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกันจนกว่าจะรู้จักอีกฝ่ายหนึ่งอย่างถ่องแท้

5. เที่ยวให้มากไว้ เมื่อมีโอกาสให้เดินทาง คนสูงวัยส่วนใหญ่จะมองย้อนกลับมายังโอกาสต่างๆ ที่ได้ท่องเที่ยวเดินทาง และมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ และมีคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว

6. ให้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดเดี๋ยวนี้ เนื่องจากเรามักจะเสียใจและเสียดาย ว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูดกับหลายๆ คน เมื่อไม่มีโอกาส เราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

7. เวลาเป็นของมีค่า ชีวิตของเรานั้นแสนสั้นแต่ไม่ใช่ให้มานั่งเศร้า แต่ให้ทำในสิ่งที่สำคัญและมีค่าเดี๋ยวนี้ เนื่องจากยิ่งเราอายุมากขึ้น เราจะพบว่าเวลายิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น

8. ความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากเงื่อนไขต่างๆ คำแนะนำหนึ่ง ก็คือ จงรับผิดชอบต่อความสุขของตัวเราเองตลอดชีวิตเรา

9. การใช้เวลามานั่งกังวลต่อสิ่งต่างๆ นั้นเป็นการเสียเวลา ดังนั้น ให้หยุดกังวล หรือไม่ก็พยายามลดความกังวลลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลในสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น

10. คิดเล็ก-อย่าคิดใหญ่ ค่อยๆ ซึมซับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตเราและมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้น
Cr.@AmuAkara


....................................................................................................................................





























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น