» อะไรเอ่ย "โรงเรียน...ปิ๊ ง แ ว้ บ" ?
มีบ่อยครั้งที่เราพบว่า เมื่อความคิดตีบตัน เพราะติดกับดัก กับความพยายามที่จะแก้ปัญหา เฉพาะจุด เมื่อได้เอาตัวเองออกไปจากป ัญหาเฉพาะเหล่านั้น แล้วไปทำอย่างอื่น เช่น เดินเล่นในสวน พักผ่อน อ่านหนังสือ หรือทำสมาธิ... เรามักจะมีปรากฏการณ์ ”ปิ๊งแว้บ” ในเรื่องที่ค้างคาอยู่ได้อย ่างน่าอัศจรรย์
ทำให้เรามองเห็นและเข้าใจแน วทางใหม่ของการจัดการกับปัญ หา ด้วยการควบรวมระหว่างสิ่งใหม่กับสิ่งเก่า แล้วเกิดเป็นความคิดความเข้ าใจใหม่
การเกิด “ปิ๊งแว้บ” จึงมีความหมายมากกว่าการจำแ ละการเข้าใจของเดิม มันมีความท้าทาย สนุก และมีความสุขในการค้นพบมากก ว่ากันเยอะ
◌◌◌◌◌◌◌◌
Q1 : ในโรงเรียน และในสถานศึกษาทุกระดับ มีกระบวนการและจุดมุ่งหมายท ี่จะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีโ อกาสได้เกิด “ปิ๊งแว้บ” หรือไม่ ?
สิ่งที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา ส่วนใหญ่คือ ...สอน สอน สอน ...เรียน เรียน เรียน ...จำ จำ จำ ...สอบ สอบ สอบ แล้วก็ลืมหรือทิ้งไป แล้วก็เริ่มกระบวนการเดิมให ม่ กับวิชาใหม่
ผู้เรียน (และผู้สอน) ไม่มีเวลาในการใคร่ครวญ ทบทวนสิ่งที่เรียนร่วมกัน ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเ รียน ว่าเกิดการเรียนรู้ (ปิ๊งแว้บ) หรือไม่
ในกระบวนการเรียนการสอน ไม่มีเวลาให้กับการสะท้อนกา รเรียนรู้ (Learning Reflection) ของผู้เรียน ระหว่างผู้เรียน และผู้สอน
ไม่มีเวลาในการ “บ่ม” และ “ฟัก” สิ่งที่เรียน เพื่อให้เกิดการปิ๊งแว้บเลย เพราะทุกอย่างเร่งรีบไปหมด
การเรียนและการเรียนรู้ จึงอยู่ในลักษณะของ “การเลียน” และ “การเลียนรู้” ความรู้เดิม กระบวนการเดิม ภายใต้เงื่อนไขและกติกาเดิม ไม่เกิดสิ่งใหม่ เพราะไม่เกิดปิ๊งแว้บ
ทั้งผู้เรียนและผู้สอน ดูเหมือนจะไม่มีความสุขกับก ารเรียนการสอนสักเท่าไหร่ ไม่ตื่นเต้นท้าทายเท่าที่คว ร เพราะกระบวนการที่เกิดขึ้นใ นห้องเรียน ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะก่ อให้เกิดการ “ปิ๊งแว้บ” ในเรื่องที่กำลังเรียนกำลัง สอน
เพราะการศึกษาในกระแสหลักเป ็นการ “ถ่ายทอด” ข้อมูลและความรู้เดิม จึงไม่เกิดสิ่งใหม่ ไม่มีการแตกกิ่ง ต่อยอด
กระบวนการวัดการประเมินก็เน ้นไปที่การวัดการประเมินควา มรู้เก่าตามวัตถุประสงค์และ เนื้อหาที่กำหนดไว้
◌◌◌◌◌◌◌◌
Q2 : ผลการสอบ หรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สะท้อนว่าผู้เรียนเกิด “ปิ๊งแว้บ” ในสิ่งที่เรียนหรือเปล่า ?
คำตอบคือ เปล่า เพราะไม่ได้ระบุไว้ในวัตถุป ระสงค์ และที่สำคัญ “ปิ๊งแว้บ” ไม่ใช่เนื้อหา แต่เป็นกระบวนการและสิ่งที่ เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียนรู ้
ผลของปิ๊งแว้บ จะเป็นความรู้ความเข้าใจหรื อเนื้อหาสาระใหม่ของผู้เรีย นรู้ ที่จะเก็บไว้ สานต่อ และเชื่อมโยงไปยังความรู้ให ม่ๆ ที่ใหญ่และครอบคลุมมากขึ้นก ว่าเดิมไปเรื่อยๆ มีความหมายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งเป็นกระบวนการและทิศทาง ที่ควรจะเป็นของการศึกษา ที่เป็นกระบวนการในการสร้าง และให้ความหมายใหม่กับสิ่งท ี่ศึกษา แต่การศึกษาในกระแสหลัก เน้นและให้ความสำคัญกับการจ ำกัดความหมาย จึงมักจะเริ่มต้นด้วยการให้ คำจำกัดความของสิ่งที่จะเรี ยนก่อนเสมอ
ลองพาผู้เรียนออกไปนอกห้องเ รียนสี่เหลี่ยมแคบๆ เป็นระยะๆ เพื่อสัมผัสกับสิ่งที่ใหญ่ก ว่า “เนื้อหาวิชา” คือชุมชน สังคม และธรรมชาติ แล้วร่วมกับผู้เรียนตั้งคำถ าม เพื่อร่วมกันหาคำตอบว่าสิ่ง (เนื้อหาวิชา) ที่เรียนนั้น มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ ชีวิต ชุมชน สังคม และธรรมชาติหรือไม่ อย่างไร
สิ่งที่สอนและเรียนนั้น เป็นประโยชน์กับตนเอง กับผู้อื่น และสรรพสิ่งหรือไม่ อย่างไร
ถ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็ต้องถามต่อไปว่า...
แล้วจะเรียนวิชาเหล่านั้นไป เพื่ออะไร ?
◌◌◌◌◌◌◌◌
ลองพาผู้เรียนกลับเข้าสู่มิ ติภายในของตนเองเป็นระยะๆ เพื่อสำรวจ ทบทวนสิ่งที่ได้เรียน ความเข้าใจ ความไม่เข้าใจ ความรู้สึก ทัศนคติ ความคาดหวังเกียวกับสิ่งที่ เรียน
แล้วแลกเปลี่ยนเรีบนรู้กับเ พื่อนและครู ผ่านสามกระบวนการคือ...สุนท รียสนทนา การฟังอย่างลึกซึ้ง และการสะท้อนการเรียนรู้
ลองพาผู้เรียนออกไปสัมผัสโล กภายนอกเป็นระยะๆ พาผู้เรียนกลับเข้าไปสัมผัส โลกภายในเป็นระยะๆ เพราะสรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์เ ชื่อมโยง ความสัมพันธ์เชื่อมโยงก่อให ้เกิดความหมายใหม่
หากมองเห็นและเข้าใจความสัม พันธ์เชื่อมโยงระหว่างสิ่งต ่างๆ มากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งเห็นและเข้าใจความห มายของตนเองและสิ่งต่างๆ ที่สัมพันธ์กันได้มากขึ้นเท ่านั้น
◌◌◌◌◌◌◌◌
การเรียนแบบแยกส่วน ก็จะเห็นและเข้าใจแบบแยกส่ว น การ “ปิ๊งแว้บ” ถ้าหากจะเกิด ก็จะเป็นการปิ๊งแว้บที่แคบแ บบแยกส่วน
ห้องเรียน...ไม่ได้หมายถึงแ ค่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แคบๆ แออัดยัดเยียด
การเรียน...ไม่ได้หมายถึงแค ่การบอก การจด การจำ การอ่าน การทำการบ้าน การฟังการถ่ายทอดเนื้อหาวิช าและเทคนิคการทำข้อสอบจากผู ้สอน
วิชา...ไม่ได้หมายถึงแค่เนื ้อหาที่ปรากฏในตำราเรียน หรือความรู้ที่ครูบอก ที่ไม่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับ ชีวิตและสังคม และสรรพสิ่ง
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน..ไม่ ได้หมายถึงแค่คะแนนที่ได้จา กการทำข้อสอบแต่ละวิชา
◌◌◌◌◌◌◌◌
ความสำเร็จในการดำรงชีวิตอย ่างสันติสุข สำคัญกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเ รียน ใช่หรือไม่
ลองใส่ความรัก ความเมตตา ลงไปในกระบวนการเรียนการสอน เป็นระยะๆ แล้วเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ ้น เมื่อเทียบกับการเรียนการสอ นแบบเดิม
ความรู้ที่ไม่มีความรัก ไม่ควรเป็นศาสตร์ของมนุษย์
ความรู้ที่ไม่มีความรัก มักจะถูกนำมาเป็นศาสตราที่ท ิ่มแทงและทำลายมนุษย์ เช่นความรู้เกี่ยวกับการสร้ างอาวุธที่ใช้ในการทำลายล้า งผู้อื่น
หากมนุษย์มีความรัก มนุษย์ก็จะเรียนรู้และสร้าง ศาสตร์ที่จะเอื้ออำนวยต่อมน ุษย์และสิ่งอื่น ไม่ทำร้าย ไม่ทำลายล้างตนเอง ผู้อื่นและสิ่งอื่นด้วยศาสต ราวุธที่สร้างขึ้น
ความรู้ที่มีคุณค่า จึงต้องเป็นความรู้ที่มีควา มรักความเมตตาต่อเพื่อนร่วม โลกและต่อตนเอง
◌◌◌◌◌◌◌◌
"โรงเรียนปิ๊งแว้บ" จึงควรเป็นพื้นที่ที่เปี่ยม ไปด้วยความรู้และความรักควา มเมตตา เพื่อก่อให้เกิดความรู้และค วามรักความเมตตาภายในตัวผู้ เรียน ภายใต้บรรยากาศของการยอมรับ และความเคารพในศักดิ์ศรีควา มเป็นมนุษย์ของกันและกัน
ยอมรับและเคารพในความแตกต่า งระหว่างบุคคลอย่างแท้จริง บนความเชื่อที่หนักแน่นว่า การเรียนรู้ที่แท้จริง (ปิ๊งแว้บ) เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียนรู ้ สอนไม่ได้ แต่เอื้อให้เกิดขึ้นได้ ผ่านกระบวนการและกิจกรรมที่ หลากหลาย ไม่มีมาตรฐานเดียวกันสำหรับ ทุกคน
แต่ละคนไม่จำเป็นต้องใช้วิธ ีการเรียนรู้เหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในก ารเรียนรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเ ท่ากัน
ครู อาจารย์จึงต้องมีความรู้ มีความรักความเมตตาเป็นฐาน
โรงเรียนปิ๊งแว้บ...จึงจะเต ็มไปด้วยความรู้และความรักค วามเมตตา
ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยความรู ้ (หัว) เป็นชีวิตที่แข็งกระด้าง คล้ายเครื่องจักรและหุ่นยนต ์
ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยความรั กความเมตตา (หัวใจ) เป็นชีวิตที่อ่อนโยน คล้ายสายลม สายน้ำ และแสงแดดในยามเช้า
◌◌◌◌◌◌◌◌
Credit : ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน
มีบ่อยครั้งที่เราพบว่า เมื่อความคิดตีบตัน เพราะติดกับดัก กับความพยายามที่จะแก้ปัญหา
ทำให้เรามองเห็นและเข้าใจแน
การเกิด “ปิ๊งแว้บ” จึงมีความหมายมากกว่าการจำแ
◌◌◌◌◌◌◌◌
Q1 : ในโรงเรียน และในสถานศึกษาทุกระดับ มีกระบวนการและจุดมุ่งหมายท
สิ่งที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา
ผู้เรียน (และผู้สอน) ไม่มีเวลาในการใคร่ครวญ ทบทวนสิ่งที่เรียนร่วมกัน ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเ
ในกระบวนการเรียนการสอน ไม่มีเวลาให้กับการสะท้อนกา
ไม่มีเวลาในการ “บ่ม” และ “ฟัก” สิ่งที่เรียน เพื่อให้เกิดการปิ๊งแว้บเลย
การเรียนและการเรียนรู้ จึงอยู่ในลักษณะของ “การเลียน” และ “การเลียนรู้” ความรู้เดิม กระบวนการเดิม ภายใต้เงื่อนไขและกติกาเดิม
ทั้งผู้เรียนและผู้สอน ดูเหมือนจะไม่มีความสุขกับก
เพราะการศึกษาในกระแสหลักเป
กระบวนการวัดการประเมินก็เน
◌◌◌◌◌◌◌◌
Q2 : ผลการสอบ หรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สะท้อนว่าผู้เรียนเกิด “ปิ๊งแว้บ” ในสิ่งที่เรียนหรือเปล่า ?
คำตอบคือ เปล่า เพราะไม่ได้ระบุไว้ในวัตถุป
ผลของปิ๊งแว้บ จะเป็นความรู้ความเข้าใจหรื
ซึ่งเป็นกระบวนการและทิศทาง
ลองพาผู้เรียนออกไปนอกห้องเ
สิ่งที่สอนและเรียนนั้น เป็นประโยชน์กับตนเอง กับผู้อื่น และสรรพสิ่งหรือไม่ อย่างไร
ถ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็ต้องถามต่อไปว่า...
แล้วจะเรียนวิชาเหล่านั้นไป
◌◌◌◌◌◌◌◌
ลองพาผู้เรียนกลับเข้าสู่มิ
แล้วแลกเปลี่ยนเรีบนรู้กับเ
ลองพาผู้เรียนออกไปสัมผัสโล
หากมองเห็นและเข้าใจความสัม
◌◌◌◌◌◌◌◌
การเรียนแบบแยกส่วน ก็จะเห็นและเข้าใจแบบแยกส่ว
ห้องเรียน...ไม่ได้หมายถึงแ
การเรียน...ไม่ได้หมายถึงแค
วิชา...ไม่ได้หมายถึงแค่เนื
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน..ไม่
◌◌◌◌◌◌◌◌
ความสำเร็จในการดำรงชีวิตอย
ลองใส่ความรัก ความเมตตา ลงไปในกระบวนการเรียนการสอน
ความรู้ที่ไม่มีความรัก ไม่ควรเป็นศาสตร์ของมนุษย์
ความรู้ที่ไม่มีความรัก มักจะถูกนำมาเป็นศาสตราที่ท
หากมนุษย์มีความรัก มนุษย์ก็จะเรียนรู้และสร้าง
ความรู้ที่มีคุณค่า จึงต้องเป็นความรู้ที่มีควา
◌◌◌◌◌◌◌◌
"โรงเรียนปิ๊งแว้บ" จึงควรเป็นพื้นที่ที่เปี่ยม
ยอมรับและเคารพในความแตกต่า
แต่ละคนไม่จำเป็นต้องใช้วิธ
ครู อาจารย์จึงต้องมีความรู้ มีความรักความเมตตาเป็นฐาน
โรงเรียนปิ๊งแว้บ...จึงจะเต
ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยความรู
ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยความรั
◌◌◌◌◌◌◌◌
Credit : ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน
................................................................................................................................
............................................................................................................................

ยิ่งเรียนมาก ยิ่งรู้น้อย ยิ่งเรียนน้อย ยิ่งรู้มาก

เรียนในห้อง(ชั้น)เรียนหลายๆชั่วโมงติดต่อกัน หรือตั้งแต่เช้าถึงเย็น เป็นสิ่งสำคัญมากๆของการศึกษาไทย เพราะเชื่อว่ายิ่งเรียนมาก ยิ่งรู้มาก ยิ่งเก่งมาก
แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้วตรงข้าม คือ ไทยยิ่งเรียนมาก ยิ่งรู้น้อย ประเทศอื่นยิ่งเรียนน้อย ยิ่งรู้มาก

เมื่อเร็วๆนี้ ผู้บริหาร ก. ศึกษาฯ แถลงข่าวเรื่องลดชั่วโมงเรียนในโรงเรียน มีสาระสำคัญจะสรุปมาดังนี้

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. กล่าวว่า จะปรับลดชั่วโมงเรียนทุกช่วงชั้น อีกทั้งต้องเปลี่ยนทัศนคติของสังคมไทย ที่คิดว่าเรียนมากจะรู้มาก ซึ่งไม่จริง
ศ.(พิเศษ) ดร. ภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษา รมว. ศึกษาฯ กล่าวว่า “การลดชั่วโมงเรียนไม่ทำให้เวลาเรียนของเด็กลดลง แต่เป็นการลดการเรียนในชั้นเรียน เวลาที่เหลือให้เด็กได้เรียนรู้นอกห้องเรียน อาทิ ทำกิจกรรม หรือทำโครงงานต่างๆ”
“ปฏิรูปหลักสูตรอย่างเดียวคงจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาการศึกษาที่ป่วยหนักได้ จะต้องปฏิรูปเรื่องอื่นๆควบคู่ไปด้วย ทั้งการปฏิรูปครู ปฏิรูปไอซีทีเพื่อการศึกษา และปฏิรูปโครงสร้าง”
รศ.ดร. สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นด้วยแล้วบอกเพิ่มเติมว่า ทุกวันนี้เด็กไทยเรียนในชั้นเรียนมากเกินไป จึงไม่มีเวลาไปเรียนรู้ทักษะอื่นๆ
“หลักสูตรของ สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ใช้มานานกว่า 12 ปีแล้ว เด็กต้องเรียนเนื้อหาซ้ำซ้อน แต่ได้ผลสัมฤทธิ์ต่ำ เหลือเวลาทำกิจกรรมน้อยเกินไป เด็กไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ฉะนั้นต้องทิ้งหลักสูตรเดิมไปเลย แล้วทำหลักสูตรใหม่ขึ้นแทน” ดร. สมพงษ์ บอก (มติชน ฉบับวันพุธที่ 13 มีนาคม 2556 หน้า 22)
แต่เป็นที่รู้กันว่ามหาวิทยาลัยของรัฐหลายแห่ง มีการเรียนการสอนด้วยการเน้นห้องเรียนเหมือนประถม, มัธยม อาจารย์บางพวกยังยืนหน้าห้องแล้วบอกให้นักศึกษาจดตามคำบอกทีละวรรคด้วยซ้ำ โดยห้ามถาม ห้ามเถียง และห้ามคิดต่างจากอาจารย์
ตราบใดที่โครงสร้างอำนาจทางการเมืองในไทยยังไม่เสมอภาค ไม่ทัดเทียม แล้วการศึกษาไทยจะให้กล้าแสดงความคิดเห็น ชะรอยจะเป็นไปไม่ได้เลย
.............................................................................................................................
https://www.youtube.com/watch?v=DF42CFhZyYU&feature=youtube_gdata_player
Mati Tajaroensuk พี่ครับ แจ้ง เป็นเทป ปีที่แล้ว ไม่เกี่ยวกับ ตอบโจทย์ โดนแบน นะครับ
Supapong Wanitpongpan ทราบครับ ตั้งแต่ดูก่อนแชร์ละ
แต่ชอบครับ ก็เลยแชร์
ถึงมันจะเป็นของปีที่แล้ว แต่เนื้อหามันทันสมัยครับ
Mati Tajaroensuk แจ้งไว้ ก่อน กลัว คน นำไป บิด เป็น เรื่อง ออกมา โต้ ทางช่องครับ
ในฐานะ คนปล่อย เลยแจ้งไว้ก่อนครับ ขอบคุณ ครับ
...........................................................................................................................
Knott T. Knott 55+
.........................................................................................................................
ฝึกถึงขั้น "กะลาอยู่ที่ใจ" แล้ว...
...........................................................................................................................
.........................................................................................................................
วันนี้ กรรมการปฏิรูป ได้ กำหนดเป้าหมายการศึกษา
และเยาวชนที่จะเติบโตเป็นคน ไทยที่สังคมคาดหวัง
เราจะไม่ทำแต่หลักสูตรหรูๆ เป้าหมายสวยๆ
คำแปลกๆ ใหม่ๆ แต่สุดท้าย
ทุกอย่างก็เหมือนเดิม
เพราะ ครูทำไม่ได้ ไม่อยากทำ
คณะกรรมการ ตั้งใจจะทำหลักสูตร ที่ช่วยให้ เราทำได้
ในสภาพจริงครับ
และเยาวชนที่จะเติบโตเป็นคน
เราจะไม่ทำแต่หลักสูตรหรูๆ เป้าหมายสวยๆ
คำแปลกๆ ใหม่ๆ แต่สุดท้าย
ทุกอย่างก็เหมือนเดิม
เพราะ ครูทำไม่ได้ ไม่อยากทำ
คณะกรรมการ ตั้งใจจะทำหลักสูตร ที่ช่วยให้ เราทำได้
ในสภาพจริงครับ
.....................................................................................................................
ธุรกิจ ไอทีวี ทั้งรับใช้และรับกรรม
เป็นเรื่องที่รับรู้กันทั่ว ไป แต่ไม่มีใครกล้าพูดกันคือกร ณีการทำธุรกิจโทรทัศน์ช่องไ อทีวี (ITV) ซึ่งเริ่มต้นไม่ได้เกี่ยวอะ ไรกับทักษิณเลย แต่ทักษิณต้องจำยอมรับใช้ และสุดท้ายก็ต้องรับกรรมเอง เพราะไอทีวีกลายเป็นธุรกิจท ี่สร้างศัตรูทางการเมืองมาก มาย โดยทักษิณก็พูดไม่ออก
ไอทีวีเป็นธุรกิจหนึ่งในหลา ยพันกิจการของราชสำนักที่ก่ อตั้งเริ่มแรก เมื่อปี 2536 ด้วยทุนหลักมาจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษั ตริย์ ผ่านทางธนาคารไทยพาณิชย์ ด้วยการลงทุนเริ่มแรกประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยมีกลุ่มผู้ดำเนินการคือส ำนักข่าวเนชั่น มีนายสุทธิชัย หยุ่น เป็นหัวหน้าทีมงาน
ทุกคนได้ดูโทรทัศน์ไอทีวีก็ สนุกสนานตื่นเต้นกับข่าวสาร การบันเทิงดี แต่หารู้ไม่ว่าไอทีวีขาดทุน ทุกเดือน แต่กลุ่มผู้ดำเนินการไม่เดื อดร้อนเพราะเป็นลักษณะมือปื นรับจ้างคือถือหุ้นน้อยแต่บ ริหารเองและรับเงินเดือนกัน สูงๆ ในที่สุดไอทีวีก็ “บักโกรก” หนี้สินล้นพ้นตัว และด้วยวัฒนธรรมการดำเนินธุ รกิจแบบราชสำนักที่มีลักษณะ พิเศษคือมีแต่กำไร แต่เมื่อเกิดการขาดทุนก็แก้ ปัญหาโดยผ่องถ่ายยัดเยียดให ้แก่กลุ่มทุนที่จงรักภักดี แต่ทั้งเบียร์ช้าง, ซีพี, กระทิงแดง ไม่มีใครรับ จึงถูกโบ้ยมาหาทักษิณซึ่งขณ ะนั้นได้กระโดดเข้ามาสู่การ เมืองเต็มตัวในฐานะหัวหน้าพ รรคไทยรักไทย และพร้อมจะก้าวขึ้นสู่นายกร ัฐมนตรี คนที่ 23 ของประเทศไทย เป็นทั้งคนกระเป๋าหนักและใจ ถึง บริษัทในกลุ่มของทักษิณจึงร ับผ่องธุรกิจขาดทุนมาดำเนิน การต่อด้วยความภักดี เป็นเงินถึง 3,000 กว่าล้านบาท เท่ากับที่ราชสำนักลงทุนไป
ในชีวิตอันเป็นปกติของมนุษย ์มีใครไหมที่จ่ายเงินมากขนา ดนี้ แล้วปล่อยให้กิจการล่มสลายไ ปต่อหน้าต่อตาอีก
ทักษิณจึงจัดการหานักบริหาร มืออาชีพมาบริหารจัดการ คณะผู้บริหารใหม่จึงเข้าแทน ที่ชุดบริหารเก่า และเบียดแก๊งของสุทธิชัย หยุ่น ออก ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาในวง การบริหารจัดการของธุรกิจขน าดใหญ่ แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือสุทธิช ัย หยุ่น เป็นขาใหญ่ที่มากบารมีในวงก ารสื่อสารมวลชน
และตั้งแต่นั้นทักษิณก็ได้ศ ัตรูกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งจาก ค่ายเนชั่น ผู้เสียผลประโยชน์โดยทำหน้า ที่ทิ่มแทงตลอดตั้งแต่นั้นม า จนถึงการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 แก๊งเนชั่นที่มีนายสุทธิชัย หยุ่น เป็นหัวหน้าใหญ่ ก็เปิดโปงตัวเองโดยนำนายเทพ ชัย หย่อง(น้องชาย สุทธิชัย หยุ่น), นายกนกรัตน์ วงศ์สกุล และพรรคพวกที่โด่งดังหลายคน ร่วมมือกับคมช.เข้าไปเป็นกร ะบอกเสียง และหาผลประโยชน์ใน อสมท. และโทรทัศน์ช่องของทหารอย่า งอิ่มหนำสำราญ
กิจการไอทีวีภายใต้การบริหา รใหม่ของมืออาชีพ นำโดยนายนิวัฒน์บุญทรง ธำรงไพศาล ค่ายทักษิณ ก็ทำกำไรทำให้ไอทีวีฟื้นชีว ิตขึ้นได้แต่ก็ไม่พ้นศัตรูช ั้นครูอย่างสุทธิชัย หยุ่น และพรรคพวกที่จะทิ่มแทงและแ ย่งยึดกลับคืนได้ โดยสร้างเรื่องให้ฝ่ายทหารว ิตกกังวลว่าโทรทัศน์ไอทีวีเ ป็นฐานอำนาจสำคัญของทักษิณท ี่มีอิทธิพลต่อความคิดของปร ะชาชน และเป็นแหล่งสำคัญที่สนับสน ุนการเมืองให้ทักษิณพร้อมทั ้งชงประเด็นให้พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ ในนามรัฐบาล คมช.โดยกล่าวหาว่าบริษัทไอท ีวีกระทำผิด พร้อมกับยุให้ใช้อำนาจเผด็จ การของรัฐบาล และอำนาจเผด็จการสภายึดไอที วีไปดื้อๆ โดยออกเป็นกฎหมายอ้างว่าจะต ั้งเป็นทีวีสาธารณะ พร้อมกันนั้นก็สั่งปรับบริษ ัทไอทีวีเป็นเงินถึง 100,000 ล้านบาท โดยไม่ยอมผ่อนผัน ก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นค่าป รับที่ไม่มีใครจะมีปัญญาจ่า ยแน่นอน สุดท้ายก็ยึดไอทีวีไปให้กลุ ่มเนชั่นบริหารจัดการภายใต้ ชื่อใหม่ที่หลอกลวงประชาชนไ ด้เนียนว่าโทรทัศน์ไทย พีบีเอส(TPBS) หรือโทรทัศน์สาธารณะ และได้เพิ่มภาระให้แก่รัฐที ่จะต้องเอาภาษีประชาชนมาจ่า ยให้พวกแก๊งเนชั่นใช้ปีละปร ะมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งแต่เดิมรัฐบาลไม่ต้องจ่ ายเงินแถมยังเก็บภาษีได้อีก
เป็นเรื่องที่รับรู้กันทั่ว
ไอทีวีเป็นธุรกิจหนึ่งในหลา
ทุกคนได้ดูโทรทัศน์ไอทีวีก็
ในชีวิตอันเป็นปกติของมนุษย
ทักษิณจึงจัดการหานักบริหาร
และตั้งแต่นั้นทักษิณก็ได้ศ
กิจการไอทีวีภายใต้การบริหา
...............................................................................................................................
'เด็กเรียนรู้จากชีวิต'
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่มีแต่การตำหนิติเตียน
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะกล่าว โทษผู้อื่น
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่ไม่เป็นมิตร
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะต่อสู ้
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
พวกเขาจะกลายเป็นคนหวาดระแว ง
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่มีแต่การสมเพชเวทนา
พวกเขาจะกลายเป็นคนสงสารตัว เอง
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่มีแต่การเยาะเย้ย
พวกเขาจะกลายเป็นคนขลาดอาย
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่เต็มไปด้วยความริษยา
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะอิจฉา ผู้อื่น
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่มีความละอายต่อการทำผิด
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะสำนึก ผิด
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่เต็มไปด้วยความอดกลั้น
พวกเขาจะกลายเป็นคนอดทน
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่เต็มไปด้วยกำลังใจ
พวกเขาจะกลายเป็นคนเชื่อมั่ น
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่มีการยกย่องชื่นชม
พวกเขาจะเรียนรู้การขอบคุณ
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่มีการยอมรับ
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะชอบตั วเอง
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่มีการให้ด้วยยินดี
พวกเขาจะรู้จักค้นหาความรัก ในโลก
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่มีการแบ่งปัน
พวกเขาจะเป็นคนมีเมตตา
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่สัตย์ซื่อและเป็นธรรม
พวกเขาจะรู้จักความจริงแท้แ ละความยุติธรรม
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่ปลอดภัย
พวกเขาจะมีความศรัทธาในตัวเ องและคนรอบข้าง
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่เป็นมิตร
พวกเขาจะรู้ว่าโลกเป็นที่ที ่น่าอยู่
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที ่สงบสุข
พวกเขาจะมีสันติภาพในจิตใจ
แล้วเด็ก ๆ ของคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่ างไร ?
โดโรธี แอล. นอลเต้
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะกล่าว
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะต่อสู
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะกลายเป็นคนหวาดระแว
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะกลายเป็นคนสงสารตัว
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะกลายเป็นคนขลาดอาย
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะอิจฉา
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะสำนึก
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะกลายเป็นคนอดทน
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะกลายเป็นคนเชื่อมั่
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะเรียนรู้การขอบคุณ
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะชอบตั
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะรู้จักค้นหาความรัก
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะเป็นคนมีเมตตา
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะรู้จักความจริงแท้แ
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะมีความศรัทธาในตัวเ
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะรู้ว่าโลกเป็นที่ที
ถ้าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที
พวกเขาจะมีสันติภาพในจิตใจ
แล้วเด็ก ๆ ของคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่
โดโรธี แอล. นอลเต้
..................................................................................................................
17 มีนาคม พ.ศ. 2317 นายขนมต้มชกมวยคาดเชือกกับน ักชกพม่า คนเดียวชนะถึงสิบคน ต่อหน้าพระที่นั่งพระเจ้าอั งวะ ในพิธียกฉัตรพระเจดีย์เกศธา ตุ เมืองร่างกุ้ง ประเทศพม่า
พงศาวดารกล่าวถึงเรื่องนี้ไ ว้ว่า...
เมื่อพระเจ้ามังระโปรดให้ปฏ ิสังขรณ์และก่อเสริมพระเจดี ย์ชเวดากองในเมืองย่างกุ้งเ ป็นการใหญ่นั้น ครั้นงานสำเร็จลงในปี พ.ศ. 2317 พอถึงวันฤกษ์งามยามดี คือวันที่ 17 มีนาคม จึงโปรดให้ทำพิธียกฉัตรใหญ่ ขึ้นไว้บนยอดเป็นปฐมฤกษ์ แล้วได้ทรงเปิดงานมหกรรมฉลอ งอย่างมโหฬาร ขุนนางพม่ากราบทูลว่า
"นักมวยไทยมีฝีมือดียิ่งนัก "
พระเจ้ามังระจึงตรัสสั่งให้ เอาตัวนายขนมต้ม นักมวยดีมีฝีมือตั้งแต่ครั้ งกรุงเก่ามาถวาย พระเจ้ามังระได้ให้จัดมวยพม ่าเข้ามาเปรียบกับนายขนมต้ม โดยจัดให้ชกต่อหน้าพระที่นั ่ง ปรากฏว่านายขนมต้มชกพม่าไม่ ทันถึงยกก็แพ้ถึงเก้าคนสิบค นก็สู้ไม่ได้ พระเจ้ามังระทอดพระเนตรยกพร ะหัตถ์ตบพระอุระตรัสสรรเสริ ญนายขนมต้มว่า
“คนไทยนี้มีพิษสงรอบตัว แม้มือเปล่ายังเอาชนะคนได้ถ ึงเก้าคนสิบคน นี่หากว่ามีเจ้านายดี มีความสามัคคีกัน ไม่ขัดขากันเอง และไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตั ว และโคตรตระกูลแล้ว ไฉนเลยกรุงศรีอยุธยาจะเสียท ีแก่ข้าศึก ดั่งที่เห็นอยู่ทุกวันนี้"
***ข้อมูล วิกิพีเดีย
พงศาวดารกล่าวถึงเรื่องนี้ไ
เมื่อพระเจ้ามังระโปรดให้ปฏ
"นักมวยไทยมีฝีมือดียิ่งนัก
พระเจ้ามังระจึงตรัสสั่งให้
“คนไทยนี้มีพิษสงรอบตัว แม้มือเปล่ายังเอาชนะคนได้ถ
***ข้อมูล วิกิพีเดีย
.............................................................................................................................
แถลงการณ์กลุ่มธรรมศาสตร์เส รีเพื่อประชาธิปไตย (LLTD) ต่อกรณี “งดตอบโจทย์”
อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่ รายการตอบโจทย์ประเทศไทยแห่ งสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสได ้นำเสนอการพูดคุยว่าด้วยเรื ่องสถาบันพระมหากษัตริย์ภาย ใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่สำค ัญยิ่งในสังคมและการเมืองไท ย ในวันที่ 11-15 มีนาคม 2556 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 5 ตอน โดยได้เชิญบุคคลผู้ทรงคุณวุ ฒิหลายฝ่าย ได้แก่ คุณสุรเกียรติ เสถียรไทย พล.ต.อ.วศิษฐ เดชกุญชร อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มาพูดคุยกันในเรื่องนี้ และได้ออกอากาศแล้ว 4 ตอน โดยในตอนล่าสุดเป็นการดีเบต กันระหว่างอาจารย์สมศักดิ์แ ละอาจารย์สุลักษณ์ในรอบแรก มีเนื้อหากล่าวถึงการปฏิรูป สถาบันและแก้ไข ม 112 จนทำให้มีกลุ่มคนใช้ชื่อว่า “ฅนไทยผู้รักชาติ” มาประท้วงกดดันยังสถานีโทรท ัศน์ เป็นผลให้สถานีโทรทัศน์งดออ กอากาศเทปบันทึกรายการตอนสุ ดท้าย เป็นการดีเบตระหว่างอาจารย์ สมศักดิ์และอาจารย์สุลักษณ์ ในรอบที่สอง ซึ่งจะออกอากาศในวันที่ 15 มีนาคม 2556 และต่อมา คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา และทีมงานของรายการตอบโจทย์ ประเทศไทย ได้ประกาศยุติการทำรายการนั บจากนี้ไป เพื่อแสดงจุดยืนต่อวิชาชีพส ื่อสารมวลชนนั้น
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อปร ะชาธิปไตย ซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนเสรีภา พในการแสดงความคิดเห็นอย่าง ต่อเนื่องตลอดมา มีความเห็นว่าการออกอากาศขอ งรายการตอบโจทย์ฯ ครั้งนี้เป็นการริเริ่มที่ด ีในการนำเรื่องราวที่มีผลกร ะทบต่อผู้คนจำนวนมาก แต่กลับเป็นเรื่องที่ต้องพู ดในที่ลับ เอาออกมาพูดอย่างเปิดเผยและ จริงจัง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มีการแก้ ไขปัญหาได้จริงในทางปฏิบัติ และจะเป็นหมุดหมายที่สำคัญใ นการพูดคุยเรื่องนี้อย่างตร งไปตรงมาในวงสาธารณะ ทั้งในส่วนขององค์กรทางการเ มือง สื่อมวลชน และบุคคลทั่วไป
ส่วนการบีบบังคับให้งดออกอา กาศนั้น ทางกลุ่มมีความเห็นว่าเป็นก ารละเมิดเสรีภาพของสื่อมวลช นอย่างร้ายแรง และดูถูกวิจารณญาณของประชาช นเป็นอย่างมาก เพราะสื่อมวลชนย่อมมีสิทธิใ นการนำเสนอข้อเท็จจริงและคว ามคิดเห็นต่างๆ ในสังคมได้อย่างเป็นอิสระ และประชาชนย่อมมีสิทธิในการ รับรู้ข้อมูลข่าวสารทุกด้าน อย่างเท่าเทียมกัน การกระทำนี้จึงไม่ถูกต้องตา มครรลองแห่งประชาธิปไตย
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อปร ะชาธิปไตยจึงขอประณามการเซน เซอร์ตัวเองของสถานีโทรทัศน ์ไทยพีบีเอส และมีข้อเรียกร้องต่อผู้ที่ เกี่ยวข้องดังนี้
1. ขอให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเ อสนำรายการตอบโจทย์ประเทศไท ย โดยภิญโญ ไตรสุริยธรรมา กลับมาฉายตามปกติ อีกทั้งขอให้สถานีโทรทัศน์ไ ทยพีบีเอสนำเทปบันทึกรายการ ตอบโจทย์ฯ ที่งดออกฉายนี้กลับมาฉายใหม ่ในช่องทางปกติ โดยไม่มีการตัดทอนแม้ส่วนหน ึ่งส่วนใดของเทปนั้น และประกาศการฉายใหม่นี้ให้เ ป็นที่ทราบโดยทั่วกัน
2. ขอให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเ อส ได้ทบทวนถึงบทบาทหน้าที่ของ ตนเองในฐานะสื่อมวลชน และไม่ควรแสดงความขลาดกลัวต ่อกระแสสังคม จนละเลยความรับผิดชอบในการร ักษาความเชื่อมั่นในเสรีภาพ ของสื่อสารมวลชน ด้วยการปิดปากตัวเองเช่นนี้
ทั้งนี้ทางกลุ่มขอแสดงความช ื่นชมรายการตอบโจทย์ประเทศไ ทยในความกล้าหาญที่ได้ริเริ ่มนำสิ่งที่ควรจะพูดได้อย่า งเปิดเผยออกมาพูด และขอสนับสนุนให้กระทำต่อไป นอกจากนี้ยังขอเรียกร้องให้ สื่อมวลชนรายอื่นแสดงความกล ้าหาญเช่นนี้บ้าง และขอให้ประชาชนอดทนรับฟังค วามคิดเห็นที่แตกต่าง เพราะนี่คือสิ่งที่จะทำให้ส ังคมสามารถดำเนินต่อไปได้ด้ วยดี
หมายเหตุ : แถลงการณ์ฉบับที่กลุ่มได้ออ กไปก่อนหน้านี้ในเรื่องเดีย วกัน เป็นกิจกรรมเชิงเสียดสีที่ก ลุ่มได้ทำออกมาตอบโต้ต่อเหต ุการณ์งดออกอากาศดังกล่าว ส่วนแถลงการณ์ฉบับนี้เป็นจุ ดยืนและข้อเรียกร้องที่แท้จ ริงของกลุ่ม
อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อปร
ส่วนการบีบบังคับให้งดออกอา
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อปร
1. ขอให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเ
2. ขอให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเ
ทั้งนี้ทางกลุ่มขอแสดงความช
หมายเหตุ : แถลงการณ์ฉบับที่กลุ่มได้ออ
.....................................................................................................................................
.......................................................................................................................................
.......................................................................................................................
.....................................................................................................................................
ทัศนคติของคนต่างชาติมองการ ทำงานของคนไทย....
เราคว้าตัวฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำง านในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี
เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห ็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทย ๆ เราก็ได้คำตอบว่า:
1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง คนไทยมักจะยึดติดกับความเคย ชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย ่างนั้น
ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไ รที่ต่างไปจากเดิม
ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างค วามรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วม ืออย่างเต็มที่หรือไม่ก็ถึง กับถูกต่อต้านก็มี
- เจฟฟรีย์ บาร์น
2. การโต้แย้ง
เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ ายเป็นคนคุมเกม
บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้ เรียกว่า " ขี้เกรงใจ " แต่สำหรับฝรั่งแล้ว นิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้า วหน้าเท่าที่ควร
- ทานากะ โรบิน (จูเนียร์) ฟูจฮาระ
3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด
เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของค นไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิด ของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่ไม ่แพ้ฝรั่งเลย
แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านนายได้ร ู้ และจะไม่กล้าตั้งคำถาม
บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้ แล้วเลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไ ม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมา ย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว ่าถูกสั่งให้ทำอะไร
- ไมเคิล วิดฟิล์ค
4. ความรับผิดชอบ
1. ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักทำไม ่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำง านไว้ล่วงหน้า
ทั้งๆทีงานบางชิ้นต้องทำให้ เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงา นนาน
ก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร
2. ไม่ค่อยยอมผูกพันและรับผิดช อบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงาน ที่ทำคนไทยจะกลัวขึ้นมาทันท ี
เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก
- สเตฟานี จอห์นสัน
5. วิธีแก้ไขปัญหา
คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับ เวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อย หาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า
หลายคั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทย ไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้ นอย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั ่ง
ลงมาก่อนแล้วค่อยทำตามถ้านา ยเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะปร ะสาทเสียไปหมด
- ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก
6. บอกแต่ข่าวดีคนไทยมีความเคย ชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ
1. จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชา ชาวต่างชาติเมื่อเกิดปัญหาข ึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไ ขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา
2. จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่า เจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริงห รือถ้าหากเจ้านายถามว่า
จะทำงานเสร็จทันเวลาๆไหม ก็จะบอกว่าทัน (เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแ บบนี้) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่ รับปากเลย
- โจนาธาน ธอมพ์สัน
7. คำว่า " ไม่เป็นไร "
เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุก คน ทำให้เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใ ครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้ วยเพราะเกรงใจกัน
แต่จะใช้คำว่า " ไม่เป็นไร " มาแก้ปัญญหาแทน
- เจนิส อิกนาโรห์
8. ทักษะในการทำงาน
1. ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นท ีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเ รื่องการกินแรงกันบางคนขยัน แต่บางคนไม่ทำอะไรเลย
บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองใ นทีม หรือเกี่ยงงานกันจนผลงานไม่ คืบหน้า
2. ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสู งมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่ างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที ่ดีที่สุด
3. พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตื อรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่อง ร าวความเคลื่อนไหวของโลกเท่า ไรนัก
แล้ไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่ มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี ่ยวกับงานก็ตาม
- เดวิด กิลเบิร์ก
9. ความซื่อสัตย์
พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่ อสัตย์และตรงไปตรงมามากกว่า นี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่อ งเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย
ขาดงานโดยอ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกในเวลางาน
- เฮเบิร์ก โอ ลิสส์
10. ระบบพวกพ้อง
คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี ่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนั กงาน
พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโ ยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ปร ะสบมา
การให้ความช่วยเหลือเพื่อนไ ม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ไม่คำนึงถึงผลประโ ยชน์ของบริษัทเลยเป็นอะไรที ่แย่มาก
และเมื่อพบว่าเพื่อนพนักงาน ด้วยกันทุจริต คนไทยก็จะช่วยกันปกป้อง และทำให้ไม่รู้ไม่เห็นจนกว่ าผู้บริหารจะตรวจสอบได้เอง
- มาร์ค โอเนล ฮิวจ์
11. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว
คนไทยมักจะไม่รู้ว่าอะไรว่า อะไรคือเรื่องงาน และอะไรที่เรียกว่าเรื่องส่ วนตัว
พวกเขาชอบเอาทั้งสองอย่างนี ้มาปนกันจนทำให้ระบบการทำงา นเสียไปหมด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ งขององค์กร
1. ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเพ ื่อนร่วมงาน
2. มักจะคุยกันเรื่องส่วนตัวที ่ไม่เกี่ยวกับงานมากเกินไป บางครั้งทำให้บานปลายและนำไ ปสู่ข่าวลือ และการนินทากันภายในสำนักงา น
3. มักจะลาออกจากบริษัทโดยไม่ย อมแจ้งล่วงหน้าตามข้อตกลง แต่กลับคาดหวังว่าจะได้รับผ ลประโยชน์เต็มที
4. ไม่ยอมรับความผิดชอบที่มีมา กขึ้นในช่วงวิกฤติ
5. ต้องการเงินมากขึ้นแต่กลับไ ม่ค่อยสร้างคุณค่างานอะไรเพ ิ่มขึ้นเลย
- วิลเลี่ยม แมคคินสัน
12. นับถือระบบอาวุโส
คนไทยให้เกียรติคนที่อายุมา กกว่ามากเกินไป จนไม่กล้าทำอะไรที่เรียกว่า เป็นการข้ามหน้าข้ามตา
บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่าอ าจจะมีความคิดความสามารถมาก กว่า แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะเก รงใจคนที่อายุมาก
เป็นการทำลายโอกาสของตัวเอง และโอกาสของบริษัท
- เนลสัน ฟอร์ด
ปรับปรุงกันนะ แต่ว่าก็ให้ผู้บริหารบางคนต ้องปรับปรุงตามด้วยนะ เพราะว่าพอมีพนักงานโต้แย้ง แต่ก็ไม่รับฟังเหตุผลก็มี
ก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากจะโต้ แย้งซักเท่าไร อยู่ไม่ได้ก็ลาออกไป
เราคว้าตัวฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำง
เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห
1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง คนไทยมักจะยึดติดกับความเคย
ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่
ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างค
- เจฟฟรีย์ บาร์น
2. การโต้แย้ง
เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ
บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้
- ทานากะ โรบิน (จูเนียร์) ฟูจฮาระ
3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด
เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของค
แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านนายได้ร
บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้
- ไมเคิล วิดฟิล์ค
4. ความรับผิดชอบ
1. ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักทำไม
ทั้งๆทีงานบางชิ้นต้องทำให้
ก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร
2. ไม่ค่อยยอมผูกพันและรับผิดช
เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก
- สเตฟานี จอห์นสัน
5. วิธีแก้ไขปัญหา
คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับ
หลายคั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทย
ลงมาก่อนแล้วค่อยทำตามถ้านา
- ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก
6. บอกแต่ข่าวดีคนไทยมีความเคย
1. จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชา
2. จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่า
จะทำงานเสร็จทันเวลาๆไหม ก็จะบอกว่าทัน (เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแ
- โจนาธาน ธอมพ์สัน
7. คำว่า " ไม่เป็นไร "
เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุก
แต่จะใช้คำว่า " ไม่เป็นไร " มาแก้ปัญญหาแทน
- เจนิส อิกนาโรห์
8. ทักษะในการทำงาน
1. ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นท
บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองใ
2. ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสู
3. พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตื
แล้ไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่
- เดวิด กิลเบิร์ก
9. ความซื่อสัตย์
พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่
ขาดงานโดยอ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกในเวลางาน
- เฮเบิร์ก โอ ลิสส์
10. ระบบพวกพ้อง
คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี
พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโ
การให้ความช่วยเหลือเพื่อนไ
และเมื่อพบว่าเพื่อนพนักงาน
- มาร์ค โอเนล ฮิวจ์
11. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว
คนไทยมักจะไม่รู้ว่าอะไรว่า
พวกเขาชอบเอาทั้งสองอย่างนี
1. ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเพ
2. มักจะคุยกันเรื่องส่วนตัวที
3. มักจะลาออกจากบริษัทโดยไม่ย
4. ไม่ยอมรับความผิดชอบที่มีมา
5. ต้องการเงินมากขึ้นแต่กลับไ
- วิลเลี่ยม แมคคินสัน
12. นับถือระบบอาวุโส
คนไทยให้เกียรติคนที่อายุมา
บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่าอ
เป็นการทำลายโอกาสของตัวเอง
- เนลสัน ฟอร์ด
ปรับปรุงกันนะ แต่ว่าก็ให้ผู้บริหารบางคนต
ก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากจะโต้
..........................................................................................................................
บางคนก็ชอบอยู่มืดๆ นะโยมนะ....
..........................................................................................................................
แสกนมาจากเรื่องสั้นตอนหนึ่
ตอนนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพ
...................................................................................................................
..............................................................................................................................
นิธิ-วรเจตน์ : มากกว่าแก้ กม. ต้องแก้โครงสร้าง-วัฒนธรรมวงการตุลาการ
http://prachatai3.info/journal/2013/03/45798?utm_source=dlvr.it&utm_medium=facebook
..............................................................................................................................
ส.ศิวรักษ์ จวก "ผอ.ไทยพีบีเอส"ควรกล้าหาญท างจริยธรรมกว่านี้
นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ กล่าวถึงกรณีที่สถานีโทรทัศ น์ ไทยพีบีเอส การถอดรายการตอบโจทย์ว่า ตนรู้สึกเสียใจเพราะรายการท ั้งหมด โดยเฉพาะที่ตนพูดกับนายสมศั กดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดเต็มที่ไม่มีเซ็นเซอร์ และที่ตัดออกไปเป็นการขมวดท ั้งหมด จุดยืนประชาธิปไตยต้องมีควา มใจกว้าง นายสมศักดิ์ไม่เห็นด้วยกับตน ตนไม่เห็นด้วยกับนนายสมศักด ิ์ ก็พูดกันอย่างเป็นมิตร นี่คือหัวใจของประชาธิปไตย และ เกี่ยวโยงไปถึงสถาบันพระมหา กษัตริย์ ซึ่งไม่เคยมีอย่างนี้มาก่อน ถ้าออกไปถือเป็นเกียรติของไ ทยพีบีเอสมาก ทั้งนายภิญโญ ไตรสุริยะธรรมา ผู้ดำเนินรายการ และนายสมศักดิ์ ก็ยอมมรับว่าไม่เคยมีการพูด จากว้างขวางมีเหตุผลมาก รอบคอบถึงเพียงนี้ แต่เสียดายที่ตัดออกไป แต่ตนก็เคารพ ทั้งนี้นายสมชัย สุวรรณบรรณ ผอ.ไทยพีบีเอส ก็เคยทำงานที่บีบีซี ควรกล้าหาญทางจริยธรรมมากกว ่าที่เป็นอยู่ และยิ่งอ้างว่ามีคนมาประท้ว งนี่คือประชาธิปไตย แต่หากมีคนกระซิบหรือมีใครโ ทรศัพท์มาตนรับไม่ได้ จะให้พวกนี้มีอำนาจเหนือสื่ อกระแสหลักซึ่งเป็นภาษีประช าชนและมีจุดยืนทางจริยธรรมถ ือว่าล้มเหลวอย่างน่าเสียดา ย
"ถ้าผู้บริหารมีจิตสำนึกน่า จะเชิญนายภิญโญมาพูดดีๆหาทา งออกหวังว่าไทยพีบีเอส จะยอมรับความผิดพลาดและแก้ต ัว ซึ่งผมพร้อมให้อภัย"นายสุลั กษณ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การถอดรายการครั้งนี้มีแรงก กดดันหรือไม่ นายสุลักษณ์กล่าวว่า หากมีแรงกดดันจากภายใน ซึ่งไทยพีบีเอสเองก็มีคณะกร รมการน่าจะนำเรื่องเข้าคณะก รรมการบริหาร แต่ที่ตนทราบคือตัดสินก่อนอ อกอากาศ 5 นาทีแสดงว่าฉุกเฉินว่าจึงไม ่รู้ว่ามีใบสั่งจากใคร ตนไม่รู้ แต่ระบบใบสั่งควรเลิกได้แล้ ว
ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังจากรา ยการถูกถอดได้คุยกับนายภิญโ ญ หรือไม่ นายสุลักษณ์ กล่าวว่าได้คุยกับเลขาฯ ซึ่งบอกว่าจะเดินทางมาร่วมง านในวันนี้ ตนก็จะมาคุยกัน แต่เขาก็เปลี่ยนใจ ตนเข้าใจ เขาคงเสียใจและไม่พร้อมที่จ ะพูดคุย
นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ กล่าวถึงกรณีที่สถานีโทรทัศ
"ถ้าผู้บริหารมีจิตสำนึกน่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า การถอดรายการครั้งนี้มีแรงก
ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังจากรา
...........................................................................................................................
..................................................................................................................................
.................................................................................................................................
~"วีรพัฒน์ ปริยวงศ์"~
จาก 'ไทยพีบีเอส' ถึง 'ตุลาการไทย' และ 'คดีเพชรซาอุ' ... หนังเรื่องนี้ มันม้วนเดียวกันหรือเปล่าหนอ ?
ก่อนอื่น ขอย้ำว่า การที่เรา 'วิจารณ์' ใคร หรือ 'เรียกร้อง' ให้ใครต้องดีขึ้น มันไม่ได้แปลว่าเรามี 'อคติ' หรือ 'เกลียดชัง' นะครับ แต่เป็นเพราะว่า เรา 'ให้ความสำคัญ' กับ 'ใครคนนั้น' ครับ ถ้าไม่สำคัญ เราคงไม่ไปสนใจหรอกครับ
ผมจึงขอฝากคำขอบคุณไปยังผู้จัดมหกรรม 'วิจารณ์ตุลาการ' วันนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์มาก หวังว่า 'ตุลาการ' ฟังแล้ว จะรู้ว่าท่านนั้นสำคัญต่อ 'ประชาธิปไตย' ของเรามากแค่ไหน
วันนี้ เราได้เห็นประชาชน นักวิชาการ และอดีตตุลาการ มาวิจารณ์ 'ศาลไทย' มากขึ้น
แต่เรายังไม่ค่อยเห็น 'ศาล วิจารณ์ ศาล' เสียเท่าไหร่...แต่ผมว่าเริ่มมีเค้าแล้วนะ
คือมันสืบเนื่องจากคดี "อัลรูไวลี่" นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ที่เงื่อนงำโยงไปถึง 'คดีเพชรซาอุ' (ที่ยัง 'ตอบโจทย์' ไม่ได้)
ล่าสุด 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ไปตีความกฎหมายมาตราหนึ่ง ที่ "อาจ" ทำให้ 'ศาลอาญา' ไม่สามารถรับฟังพยานปากเด็ดที่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ และอาจทำให้คดี "อัลรูไวลี่" หาคำตอบยากมากขึ้น
ที่สำคัญ ในทางกฎหมาย การตีความดังกล่าว อาจเป็นการที่ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ตีความกฎหมายไปกระทบการทำงานของ 'ศาลอาญา' ซึ่งในทางหนึ่ง ฟังเหมือนว่า 'ศาลรัฐธรรมนูญ' กำลัง 'ไม่มั่นใจ' ว่า 'ศาลอาญา' จะให้ความเป็นธรรมจำเลยได้ดีพอหรือไม่ และ อาจเป็นการตีความที่มีผลโดยปริยายต่อกฎหมายพยานอย่างน่าฉงนอีกด้วย จนอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ใช้ ข้อพิจารณาทางการเมือง (เหมือนที่ประธานศาลยอมรับกับมติชนในคดียุบพรรค) หรือไม่ ?
คนที่ได้ยินแล้วน่าจะตกใจ น่าจะเป็น "ศาลอาญา" นะครับ
สัญญาณความเห็นล่าสุดจาก 'ท่านอธิบดีศาลอาญา' ก็ฟังดูดีนะครับ คือ ฟังเหมือนท่านเก็บอาการกังวลไว้ และพร้อมจะน้อมรับตามศาลรัฐธรรมนูญ แต่หากงานนี้ทำให้ 'ศาล วิจารณ์ ศาล' ได้ด้วย ก็จะเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจะสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
ก็น่าสนใจเหมือนกัน ว่า 'ศาลอาญา' จะเดินต่ออย่างไร
คลิปด้านล่างนี้ เป็นการวิจารณ์เบื้องต้นต่อ "ข่าว" คำวินิจฉัยของ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' (เพราะท่านเล่นออกข่าวว่ามีคำวินิจฉัย แต่ยังไม่ยอมให้เราอ่านฉบับเต็ม ทั้งๆที่ตามหลักแล้ว ควรเผยแพร่ทันที)
ผมขอฝากคลิปนี้ เพื่อร่วม 'วิจารณ์ตุลาการ' ด้วยคน แต่เอ็ะ ความจริงผมก็วิจารณ์แบบไร้สังกัดไม่พึ่งพากลุ่มก้อนใดมานานแล้วนะครับ แต่ดันไปวิจารณ์ 'คนที่วิจารณ์ศาล' ด้วยนี่สิ เลยต้องทนเหงาหน่อย (ฮา)
(เรื่อง 'ปฏิรูปศาลไทย' และการให้ 'สภา' รับรอง 'ศาล' นั้น ผมแสดงความเห็นล่าสุดไว้ในวารสาร จุลนิติ ของวุฒิสภา ฉบับล่าสุดที่กำลังจะออกเร็วๆนี้ หากมาแล้ว จะมาบอกครับ)
http://youtu.be/u0b1XoM__ZI
.............................................................................................................................
............................................................................................................................
..........................................................................................................................
..............................................................................................................................
มีการสัมภาษณ์ชาวอเมริกันที ่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไปมากกว่า 1,200 คน โดยตั้งคำถามว่า “จากประสบการณ์ชั่วชีวิตคุณ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดท ี่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน” ผลการสัมภาษณ์ได้ถูกนำมาเขี ยนเป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living ครับ
ลองคัดเลือกบทเรียนสำคัญ 10 ประการที่โดดเด่น ประกอบด้วย
1. ให้เลือกอาชีพโดยดูจากความต ้องการภายในมากกว่าผลตอบแทน ด้านการเงิน โดยบรรดาผู้สูงวัยกล่าวว่าค วามผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพของเขา คือ การเลือกอาชีพโดยดูจากผลตอบ แทนมากกว่าสิ่งที่ชอบและคุณ ค่าของอาชีพ
...
2. ให้ปฏิบัติต่อร่างกายเหมือน กับต้องใช้งานไปอีกร้อยปี โดยให้ลดและเลิกพฤติกรรมที่ ทำร้ายร่างกายเราไม่ว่าจะเป ็นการสูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่ดี หรือไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ทำให ้เราเสียชีวิตในฉับพลัน แต่ทำให้เราเกิดความทรมานเม ื่อสูงวัย
3. ตอบตกลงต่อโอกาสที่เข้ามา โดยเมื่อมีโอกาสหรือความท้า ทายเข้ามา ต้องอย่าปฏิเสธครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะมาเสียใจ หรือเสียดายในภายหลัง
4. เลือกคู่ด้วยความระมัดระวัง อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ใช้เวลาในการดูและทำความรู้ จักคนที่เราจะอยู่ด้วย อย่ารีบด่วนตัดสินใจที่จะอย ู่ด้วยกันจนกว่าจะรู้จักอีก ฝ่ายหนึ่งอย่างถ่องแท้
5. เที่ยวให้มากไว้ เมื่อมีโอกาสให้เดินทาง คนสูงวัยส่วนใหญ่จะมองย้อนก ลับมายังโอกาสต่างๆ ที่ได้ท่องเที่ยวเดินทาง และมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สำ คัญ และมีคุณค่าของชีวิตเลยทีเด ียว
6. ให้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดเด ี๋ยวนี้ เนื่องจากเรามักจะเสียใจและ เสียดาย ว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอย ากจะพูดกับหลายๆ คน เมื่อไม่มีโอกาส เราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึก ที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีช ีวิตอยู่เท่านั้น
7. เวลาเป็นของมีค่า ชีวิตของเรานั้นแสนสั้นแต่ไ ม่ใช่ให้มานั่งเศร้า แต่ให้ทำในสิ่งที่สำคัญและม ีค่าเดี๋ยวนี้ เนื่องจากยิ่งเราอายุมากขึ้ น เราจะพบว่าเวลายิ่งผ่านไปอย ่างรวดเร็วขึ้น
8. ความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือก เอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากเง ื่อนไขต่างๆ คำแนะนำหนึ่ง ก็คือ จงรับผิดชอบต่อความสุขของตั วเราเองตลอดชีวิตเรา
9. การใช้เวลามานั่งกังวลต่อสิ ่งต่างๆ นั้นเป็นการเสียเวลา ดังนั้น ให้หยุดกังวล หรือไม่ก็พยายามลดความกังวล ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวล ในสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น
10. คิดเล็ก-อย่าคิดใหญ่ ค่อยๆ ซึมซับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตเรา และมีความสุขกับสิ่งเหล่านั ้น
Cr.@AmuAkara
ลองคัดเลือกบทเรียนสำคัญ 10 ประการที่โดดเด่น ประกอบด้วย
1. ให้เลือกอาชีพโดยดูจากความต
...
2. ให้ปฏิบัติต่อร่างกายเหมือน
3. ตอบตกลงต่อโอกาสที่เข้ามา โดยเมื่อมีโอกาสหรือความท้า
4. เลือกคู่ด้วยความระมัดระวัง
5. เที่ยวให้มากไว้ เมื่อมีโอกาสให้เดินทาง คนสูงวัยส่วนใหญ่จะมองย้อนก
6. ให้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดเด
7. เวลาเป็นของมีค่า ชีวิตของเรานั้นแสนสั้นแต่ไ
8. ความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือก
9. การใช้เวลามานั่งกังวลต่อสิ
10. คิดเล็ก-อย่าคิดใหญ่ ค่อยๆ ซึมซับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตเรา
Cr.@AmuAkara
....................................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น