วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

16/03/2556

แถลงการณ์กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยขอบคุณกลุ่ม “คนไทยผู้รักชาติ”
Sat, 2013-03-16 07:54
ประชาไท

จากเหตุการณ์ที่รายการตอบโจทย์ประเทศไทยแห่งสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสได้นำเสนอการพูดคุยว่าด้วยเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญยิ่งในสังคมและการเมืองไทย ในวันที่ 11-15 มีนาคม 2556 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 5 ตอน โดยได้เชิญบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิหลายฝ่าย ได้แก่ คุณสุรเกียรติ เสถียรไทย พล.ต.อ.วศิษฐ เดชกุญชร อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มาพูดคุยกันในเรื่องนี้ และได้ออกอากาศแล้ว 4 ตอน โดยในตอนล่าสุดเป็นการดีเบตกันระหว่างอาจารย์สมศักดิ์และอาจารย์สุลักษณ์ในรอบแรก มีเนื้อหากล่าวถึงการปฏิรูปสถาบันและแก้ไข ม 112 เป็นเหตุให้กลุ่ม “คนไทยผู้รักชาติ” เกิดความกังวลเป็นอย่างยิ่งว่ารายการนี้จะมีเจตนาจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักอย่างหาที่สุดมิได้ของปวงชนชาวไทย จึงได้ออกมาประท้วงกดดันสถานีโทรทัศน์ให้งดออกอากาศเทปบันทึกรายการตอนสุดท้าย เป็นการดีเบตระหว่างอาจารย์สมศักดิ์และอาจารย์สุลักษณ์ในรอบที่สอง ซึ่งจะออกอากาศในวันที่ 15 มีนาคม 2556 จนเป็นผลสำเร็จนั้น

กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยต้องขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อกลุ่ม “คนไทยผู้รักชาติ” ที่ได้ออกมาประท้วงกดดันในครั้งนี้ เนื่องจากการประท้วงของพวกท่านได้จุดกระแสให้เกิดการถกเถียงกันเป็นอันมากถึงการละเมิดเสรีภาพสื่อ เท่าที่เห็นได้ในระยะเวลาอันสั้นคือกระแสในสังคมออนไลน์ หลายๆ คนที่ไม่เคยพูดถึงก็อาจจะออกมาพูดกันมากขึ้น และก็ไม่วายจะต้องถูกนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน การกระทำของพวกท่านทำให้หลายๆ คนจะได้มีเรื่องพูดคุยเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสนุกสนานมากขึ้น และก็เป็นการตอกย้ำปัญหาของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมและการเมืองไทยยิ่งขึ้นไปอีก วันที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จะถูกแก้ไขหรือยกเลิกก็จะเร่งเข้ามาใกล้มากขึ้นเช่นกัน

กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยอยากจะขอเรียกร้องด้วยว่า ขอให้กลุ่ม “คนไทยผู้รักชาติ” กระทำการเช่นนี้ต่อไปในภายภาคหน้า ให้ปัญหาที่มีอยู่แหลมคมยิ่งขึ้นไป

ทางกลุ่มขอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง และจะขอจดจำคุณูปการครั้งนี้มิรู้ลืม


หมายเหตุ1 : ทางกลุ่มได้อ่านหนังสือข้อเรียกร้องต่อสถานีโทรทัศน์ของกลุ่มท่านแล้ว มีจุดที่ต้องท้วงติงอยู่ คือ อาจารย์สมศักดิ์เขามีนามสกุลว่า เจียมธีรสกุล ไม่ใช่ เจียมสกุน

หมายเหตุ 2 : ทางกลุ่มมีข้อสงสัยเล็กน้อยว่าเวลาเขียนชื่อกลุ่มของพวกท่านต้องใส่เครื่องหมายอัญประกาศ (“”) ด้วยทุกครั้งหรือเปล่า

หมายเหตุ 3 : ทางกลุ่มต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่ต้องพิมพ์ชื่อกลุ่มของท่านว่า “คนไทยผู้รักชาติ” เนื่องจากว่าคอมพิวเตอร์ที่พิมพ์แถลงการณ์ฉบับนี้เป็นรุ่นที่ค่อนข้างใหม่ แป้นพิมพ์จึงไม่มีตัว ค.คน แล้ว มีแค่ตัว ค.ควาย เท่านั้น

Phongsakorn Thavornan พงโพสนี่ต้องการจะสื่อว่า...

Supapong Wanitpongpan เก็บไว้เป็นข้อมูลครับ

เมื่อก่อนเวลา post หรือ Share ผมจะหวังให้เพื่อนผม คนที่ผมรู้จัก ได้อ่าน ได้ดู ได้รับข้อมูล
แต่เดี๋ยวนี้ ผม Post หรือ Share เพื่อเก็บเป็นข้อมูลของผมเองครับ 

ถ้ามีเพื่อนผมหรือคนที่ผมรู้ัจักเข้ามาแสดงความคิดเห็น ผมก็จะดีใจมาก
ยิ่งถ้าได้ถกกันยิ่งสนุกใหญ่
แต่ถ้าไมมี ก็ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหา ^^

หลังจากที่ post หรือ share แล้ว วันรุ่งขึ้นผมก็จะเอาข้อมูลพวกนี้ ไปใส่ไว้ใน blog ของผมน่ะครับ ไว้เป็นข้อมูลอ้างอิง พูดคุย ถกหรือวิเคราะห์ต่อไป


Phongsakorn Thavornan ผมอุดส่าอยากเหนความเหนพงเกี่ยวกีบเรื่องนี้นะ

Patchara Pongcharoenkul ผมก็ยังงงว่า มีตรงไหนของรายการที่หมิ่นสถาบันหรือจาบจ้วง
ตรงหมายเหตุนี้เหมือนประชดเลยนะครับนั่น 5555+


Supapong Wanitpongpan อ้าว! ก็แถลงการณ์นี้เขาประชดเต็มๆตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนี่ครับพี - -"

Patchara Pongcharoenkul ผมนึกว่าประชดเฉพาะตรงหมายเหตุซะอีก

..............................................................................................................................




"เอาละคร เหนือเมฆ มาฉายช่อง ไทยพีบีเอส ซิคะ
รัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็แบนไม่ได้ ใครเห็นด้วย ขอ 1 ไลค์ค่ะ"

แล้วรายการตอบโจทย์ล่ะ..??

ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้ดำเนินรายการ "เวทีสาธารณะ"
4 มกราคม 2556

ที่มา: https://www.facebook.com/wawtawan/posts/10151165575326167

by Admin BZ


..................................................................................................................................



ใครก็ไม่รู้บ่นขึ้นมาลอยๆว่า มนุษย์เราน่าจะแลกเปลี่ยนปัญหากันได้
ผมถามว่าทำไมละ เขาบอกว่าเพราะเรามองปัญหาของคนอื่นเล็กและมักบอกวิธีแก้ได้เสม


....................................................................................................................................



อ่านจดหมายของกลุ่มประท้วงรายการตอบโจทก์ เขาบอกว่ารายการเอา สศจ กับ ส.ศิวรักษ์ มาวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ในแง่มุมที่ไม่เหมาะสม ถ้ามองในมุมของคนที่รักสถาบันจะมองว่า สศจ พูดถึงสถาบันในแง่ที่ไม่เหมาะสมก็พอเข้าใจ แต่ ส.ศิวรักษ์เนี่ยนะพาดพิงสถาบันในแง่ไม่เหมาะสม? คนๆนี้รักสถาบันพระมหากษัตริย์โคตรๆ รักมาตั้งแต่หนุ่มยันแก่และวิจารณ์สถาบันเพื่อเป้าหมายเดียว เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่รอดจนถึงศตวรรษหน้าอย่างภาคภูมิ แต่ก็มีไอ้พวกโหนเจ้าฟ้องเขาในข้อหาหมิ่นบ่อยๆ ไอ้พวกที่ประท้วงให้แบนรายการนี้เพราะ ส.ศิวรักษ์พาดพิงสถาบันในแง่ที่ไม่เหมาะสมนี่เอาอะไรมาพูด ผมว่าเผลอๆ ส.ศิวรักษ์ยังรักสถาบันมากกว่าไอ้พวกที่ออกมาประท้วงเย้วๆกันด้วยซ้ำ ทำไหมไอ้พวกที่ออกมาประท้วงถึงไม่เข้าใจว่ายิ่งพวกมึงทำกันอย่างนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่ สศจ พูดมันมีเค้าความจริงมากยิ่งขึ้น ถ้าอยากแย้งว่าสิ่งที่ สศจ พูดมันไม่จริง มึงต้องไปดีเบทกับเขาเหมือน ส ศิวรักษ์ ไม่ใช่ไปก่อม๊อบประท้วงให้สื่องดแพร่ภาพรายการ

ปล1.ไม่เห็นด้วยกับการเซ็นเซอร์สื่อในกรณีเหนือเมฆ
ปล2.ไม่เห็นด้วยกับการเซ็นเซอร์สื่อในกรณีตอบโจทก์
ปล3. คนไทยควรมีมาตรฐานเดียวกันในการคัดค้านการเซ็นเซอร์สื่อ


...........................................................................................................................




"ความมั่งคั่งของระบบทุนนิยม ขึ้นกับการทำเพื่อคนอื่น ..ยังไง!!" ...เราทุกคนเริ่มต้นเรียนรู้จากโรงเรียนไปจนสู่มหาวิทยาลัย เราเรียนเพื่อพัฒนาตัวเอง ..แต่พอเข้าสู่ชีวิตและโลกแห่งการทำมาหากินจริงๆ มันเป็นการแข่งขันทำ "เพื่อคนอื่น ..โดยคนอื่น" -- ใช่!! ยิ่งคุณทำงานตำแหน่งสูงขึ้นในองค์กรหรืือในสังคม ..งานคุณคือ การกระตุ้นและการจัดการเพื่อคนอื่น ..เราคิดสินค้าและบริการเพื่อให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้น สบายขึ้น ..เราสร้างองค์กรและบริหารระบบเพื่อที่ว่าระบบนั้นจะเป็นตัวเชื่อมในการนำสินค้าและบริการของเราสู่คนอื่น ..ใช่!! มันคือ การคิดและทำเพื่อให้คนอื่นดีขึ้น สบายขึ้น โดยการจัดระบบ และ จัดการแรงงานของคนอื่น -- หลักความสำเร็จก็คือ การสร้างประโยชน์ สร้างงานให้คนอื่น ..ยิ่งเราคิดและทำเพื่อเปลี่ยนแปลงคนอื่นมากเท่าไหร่ งานของเราก็จะมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น -- "คนที่จะรวยและประสบความสำเร็จในปัจจุบันจึงไม่ใช่การเอาเงินเป็นที่ตั้งแล้ววิ่งเข้าหา เพราะคุณจะไปไม่ถึงไหน ..มันต้องเอา ประโยชน์ที่เราจะสร้างและเปลี่ยนแปลงชีวิตคนอื่นเป็นที่ตั้งถึงจะเป็นการเดินสู่ความสำเร็จและมั่งคั่งในชีวิตของโลกในปัจจุบันต่างหาก" ...อย่าหยุดที่จะคิดและสร้างประโยชน์ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตคนอื่นให้ดีขึ้น เพราะยิ่งคุณทำได้ดีเท่่าไหร่ มันก็จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราด้วยให้ดีเท่านั้น!!


............................................................................................................................




» “จงฟัง...ไม่เช่นนั้น...ลิ้นของท่าน จะทำให้ท่านหูหนวก !?”

ณเดชน์ กำลังเลือกรองเท้าในร้านรองเท้าแบรนด์ดังแห่งหนึ่ง กับพนักงานขายรองเท้าระดับเซียน

คนขายรองเท้า : “สวัสดีครับ คุณต้องการรองเท้าแบบไหนครับ”
ณเดชน์ : “ผมต้องการแบบที่..............”

คนขายรองเท้า : “ผมรู้...ว่าสุดหล่ออย่างคุณพี่ต้องการแบบไหน”
เขาขัดคอขึ้น แล้วหยิบรองเท้าแบบหนึ่งมาให้ดู
“เขากำลังนิยมแบบนี้กันครับ เชื่อผม ลองดูสิครับ”

ณเดชน์ : “แต่ผมไม่ชอบมันเลย มันคงไม่เหมาะกับผม”
คนขายรองเท้า “ใครๆ ก็ชอบนะครับ มันเป็นรุ่นยอดนิยมในขณะนี้เลยนะครับ”

ณเดชน์ : “ผมอยากได้แบบอื่น”
คนขายรองเท้า : “ผมสัญญานะครับว่า คุณซื้อไปแล้วคุณจะรักมันแน่ๆ”

ณเดชน์ : “แต่ผม”
คนขายรองเท้า : “คุณครับผมขายรองเท้ามาสิบปีนะครับ ผมสามารถบอกได้ว่ารองเท้าคู่ไหนดีหรือไม่ดีทันทีที่ได้เห็น ผมว่ามันเหมาะกับคุณมากจริงๆ นะครับ”


Q : เราคิดอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ หากเราคือณเดชน์ เราจะทำอย่างไรและจะเข้าร้านนี้เพื่อซื้อรองเท้าอีกหรือไม่ ??????


◌◌◌◌◌◌◌◌


วันนี้ Life 101 นำเสนอ...บทขยาย-ต่อยอด สำหรับ อุปนิสัยที่#5 "Seek First to understand, then to be understood : เข้าใจผู้อื่นก่อน แล้วจึงให้ผู้อื่นเข้าใจเรา"

(จากหนังสือ 7 Habits of Highly Effective People ของ STEPHEN R. COVEY ผู้นำในการพัฒนานักบริหารของสหรัฐอเมริกา ผู้ล่วงลับ)


มีคำสุภาษิตของชาวอินเดียนแดงกล่าวว่า “จงฟัง ไม่เช่นนั้นลิ้นของท่านจะทำให้ท่านหูหนวก”

“เข้าใจผู้อื่นก่อนแล้วจึงให้ผู้อื่นเข้าใจเรา” เป็นกุญแจแห่งการสื่อสาร การมีอำนาจ และมีอิทธิพลต่อผู้อื่น

เริ่มตั้งแต่วันนี้อย่างง่าย ๆ และทำได้ทันที คือ...

"หยุดเพื่อฟังก่อน แล้วจึงพูด"

ทุกคนต้องการการยอมรับ ความเข้าใจ ความเคารพนับถือ และเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาเป็น ซึ่งย่อมไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ไม่ว่าจากคนใกล้ชิดและคนรอบข้างเสมอ


◌◌◌◌◌◌◌◌


ลำดับถัดไป มาเรียนรู้ลักษณะ "การฟังที่ไม่ดี" ทั้ง 5 ระดับ...มาทำ self-audit กันหน่อย ว่าเราเผลอเข้าข่ายไปกี่ข้อ


Level #1. ไม่สนใจฟัง

เรามักจะไม่มีสมาธิในการฟังคนที่พูดกับเราอยู่ตรงหน้า เนื่องจากในสมองเรามีเรื่องอื่นที่มันมันส์กว่าเป็นไหน

ลองหยุดความคิดในสมอง...แล้วหันมาให้ความสำคัญกับคนที่เราสนทนาด้วยตรงหน้าสักไม่เกินห้านาที

เราจะทราบว่า เรามีค่ากับเขาเป็นไหน ๆ และเราจะได้ “ฝาก” บัญชีออมใจกันต่อไป แล้วเราค่อยมาโลดแล่นกับความคิดเราใหม่หลังจากนั้น ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เราทำอะไรช้าลงไปซะหน่อย


----


Level #2. แสร้งทำเป็นรับฟัง

เราพบว่า คนส่วนใหญ่ชอบใช้หน้าฟัง ไม่ได้ใช้ หูและใจ...ฟัง

หลายคนถูกฝึกบุคลิกมาให้ "เสมือน" รับฟัง แต่ในหัวกำลังรันโปรแกรม "What's next?" หรือ ...เดี๋ยวถ้าแกพูดเสร็จ..ฉันจะพูดอะไรต่อดี

เรามักจะใช้คำพูดทั่วๆ ไป ต่อบทสนทนาเช่น “แจ๋ว” “ใช่เลย” “อึ้ม แล้วไงต่อ” และเผลอแสดงภาษากายบางอย่าง ที่ทำให้ผู้พูดเดาอาการออก และทำให้เกิดการ “ถอน” บัญชีออมใจกัน เนื่องจากละเลยความสำคัญของคู่สนทนา


----


Level #3. เลือกที่จะรับฟัง

บางทีเรามักจะสนใจในบางส่วนของการสนทนาเฉพาะส่วนที่เราสนใจ เช่น เรามีพื้นฐานเรื่อง “ลูก”และรักเด็กมาก วันหนึ่งเพื่อนของเรามาขอคำปรึกษาเราว่าเขากำลังไปหลงรักพ่อหม้ายลูกติด

เราก็จะได้ยินแต่เรื่อง “ลูก” ของผู้ชายคนนั้น จึงพูดถึงและแนะนำให้เพื่อนเราเฉพาะแต่เรื่องรักเด็กเอาใจเด็ก โดยที่ไม่ได้สนใจถึงใจความสำคัญของเรื่องที่เพื่อนมาปรึกษาแม้แต่น้อย


----


Level #4. รับฟังเฉพาะคำพูด

ข้อนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเราตั้งใจรับฟังผู้อื่นจริงๆ แต่เราฟังเฉพาะคำพูด ไม่ใด้ใส่ใจภาษากาย ความรู้สึก ท่าทางของผู้พูดเลย บางครั้งผู้พูดมักพูดลอย ๆ เพื่อวัดใจผู้ฟัง หรือบางครั้งพูดไม่ตรงกับใจ ฯลฯ


----


Level #5. การรับฟังโดยถือตนเองเป็นใหญ่

ข้อนี้มักเกิดขึ้นเสมอๆ เมื่อเรามองทุกสิ่งทุกอย่างจากมุมมองของเรา และเมื่อเราคิดว่าเราเก่ง เราผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ เราประสบความสำเร็จ

เมื่อเรามีอัตตาเป็นที่ตั้ง ทำให้เรา “กลับต้องการให้เขาเอาใจเขามาใส่ใจเรา แทนที่เราจะเอาใจเราไปใส่ใจเขา”

เรามักจะทึกทักเอาเองว่าเขาน่าจะรู้สึกแบบเดียวกับเรา เช่นเดียวกับ คนขายรองเท้าในตัวอย่าง

การรับฟังโดยถือตนเองเป็นใหญ่มักเป็นเกมของผู้ที่พูดจาทับถมคนอื่น ซึ่งเรามักจะพูดทับถมกันไปมา ราวกับว่ากำลังแข่งขันอะไรกันอยู่สักอย่างหนึ่ง และต้องการผู้ชนะ

เรามักจะได้ยินคำพูดแบบนี้เสมอ “เธอคิดว่าได้เจอวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตแล้วอย่างนั้นหรือ นั่นหนะไม่เท่าไหร่เลย เธอลองฟังเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันก่อนนะ แล้วจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร


◌◌◌◌◌◌◌◌


• บทสรุป •

คนเรามักไม่ชอบฟังผู้อื่น มักคิดถึงแต่สิ่งที่ตนจะพูดเท่านั้น และมักด่วนสรุปตัดสินใครง่ายๆ จากการฟังไม่กี่ประโยคเพื่อที่จะให้คำแนะนำจากประสบการณ์ของเราเอง


ดังนั้น...เราควร "ฟังเพื่อให้เข้าใจ" ไม่ใช่ "ฟังเพื่อจะตอบ หรือเพื่อจะพูด"

การฟัง เป็นทักษะสำคัญที่จำเป็นต้องเรียนรู้ ทักษะการฟังที่ดีนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิต เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญของทักษะการเข้าสังคม สามารถลดความเข้าใจผิด ความขัดแย้งในการปฏิสัมพันธ์กับคน

นอกจากนี้...การพัฒนาทักษะการฟังยังส่งผลต่อการพัฒนาในด้านสติปัญญา ในแง่ของการฝึกใช้ความคิด การจับประเด็น ฝึกความจำ และฝึกฝนการจดจ่อแน่วแน่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือมีสมาธิที่ต้องการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : หนังสือ 7 Habits of Highly Effective People | STEPHEN R. COVEY


Supapong Wanitpongpan นอกจากการฟังแล้ว การอ่านก็เช่นกันครับ ควรอ่านให้เข้าใจ รวมทั้งอ่าน"ระหว่างบรรทัด" 
เมื่ออ่านคร่าวๆแล้วก็ควรอ่านเก็บรายละเอียดอีกรอบ รวมทั้งค้นคว้าในจุดที่สงสัยหรือเป็นประเด็นโต้แย้งในเรื่องที่อ่านด้วย ^^

.......................................................................................................................


Patchara Pongcharoenkul ผมไปเจอข้อความนี้ที่วัดพอดีเลยเมื่อวาน

.............................................................................................................................


.............................................................................................................................


ฉายเงา สังคม ขัดแย้ง และแตกแยก ทาง "ความคิด"
คอลัมน์ การเมือง มติชน 16 มีนาคม 2556


การออกโรงของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ประสานกับ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล และ นายสมชัย จิตสุธน ดับเครื่องชนรัฐบาลในเรื่อง "ประชานิยม"

มิได้เป็นเรื่องแปลก

เช่นเดียวกับ การค้านทุกเรื่องของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่าจะเป็นในกรณีประสาทพระวิหาร หรือการหาหนทางทำความตกลงในสันติภาพกับบีอาร์เอ็น

ก็มิได้เป็นเรื่องแปลก

หากใครติดตามอ่านบทความพิเศษของ วิรัตน์ แสงทองคำ ในนิตยสาร "มติชนสุดสัปดาห์" อันเกี่ยวกับการก่อตั้งบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย เมื่อปี 2456

ก็จะประจักษ์ในความเป็นจริง

ด้าน 1 มีความพยายามผลักดันโดย เจ้าพระยายมราช และพระยาอรรถการประสิทธิ์ ด้าน 1 มีการต้านจาก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช และ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมพระเทววงศ์วโรปการ

กระนั้น ด้วยสายพระเนตรและวิสัยทัศน์อันยาวไกลของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จึงได้วางเสาเข็มสำเร็จ

ปี 2556 เป็นเช่นนี้ เมื่อปี 2456 ก็เป็นเช่นนี้



คล้ายกับกำเนิดแห่งบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย คือการประสานระหว่างทุนแห่งพระคลังข้างที่กับทุนแห่งกลุ่มเดนมาร์ก อันมีพื้นฐานทางวิศวกรรม

แต่ก็ต้องยอมรับใน "วิสัยทัศน์" ของขุนนางรุ่นใหม่

ขณะเดียวกัน หากศึกษาบทความของ วิรัตน์ แสงทองคำ อย่างลงลึกในรายละเอียดก็จะสัมผัสได้ถึงความขัดแย้ง

การไม่เห็นด้วยจากบางส่วนในพระบรมวงศานุวงศ์

การไม่เห็นด้วยจากบางส่วนของตัวแทนกลุ่มทุนจากต่างประเทศ ซึ่งหากบริษัท ปูนซิเมนต์ไทยก่อตั้งสำเร็จฝ่ายตนจะสูญเสียประโยชน์

เหล่านี้สะท้อนปฏิมาในทางความคิด ปฏิมาในทางผลประโยชน์

ร่องรอยแห่งความขัดแย้งมิได้ปรากฏให้เห็นในเบื้องต้น เพราะหากปรากฏอย่างน้อยเมื่อ อรัญ พรหมชมพู เขียน "ไทยกึ่งเมืองขึ้น" ก็ย่อมได้รับการอ้างอิง

ต่อเมื่อ วิรัตน์ แสงทองคำ นำมาแผ่แบผ่าน "มติชนสุดสัปดาห์" จึงต้องร้องฮ้อ

แท้จริงแล้วการเข้ามาของปัจจัยทุนอันประเมินกันว่ามีการสะสมเบื้องต้นในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และเริ่มเติบใหญ่เป็นลำดับภายหลังจากการลงนามในสนธิสัญญาเบาริ่งในปี 2389 ใช่ว่าจะดำเนินไปด้วยความราบรื่น

แม้จะนำร่องโดย "ราชสำนัก" ก็ตาม



จากยุคแห่งการก่อตั้งบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย เมื่อปี 2456 มาถึงยุคแห่งการทวงคืนปตท.ในปี 2556 ริ้วรอยแห่งความ

ขัดแย้งแตกแยก ได้ขยายใหญ่ขึ้น

ทั้งในทางความคิด ทั้งในทางผลประโยชน์

มีการปะทะอย่างแหลมคมระหว่างโครงการประกันราคาข้าวกับโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ฝ่ายต่อต้านรวมศูนย์ปัญญาชน

นักวิชาการเข้ามาดับเครื่องชนอย่างคึกคัก

ไม่เพียงแต่จะดำเนินการวิพากษ์รายวัน หากแต่รุกคืบเข้าไปใช้กระบวนการตุลาการภิวัฒน์ผ่านศาลรัฐธรรมนูญ ผ่านศาลปกครอง ผ่านคณะกรรมการ ป.ป.ช.

ยิ่งโครงการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ยิ่งมากด้วยความแหลมคม

ขณะที่โครงการ 3 แสนล้านบาท เพื่อบริหารทรัพยากรน้ำ ยิ่งเป็นอาหารอันโอชะให้อีกฝ่ายติดตามวิพากษ์

ไม่เว้นแม้กระทั่งความพยายามหารือเพื่อสร้างบรรยากาศสันติภาพในภาคใต้

ด้วยการร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียโน้มน้าวให้กลุ่มอาร์บีเอ็น โคออดิเนต ยินยอมนั่งลงเพื่อพูดคุยกับตัวแทนฝ่ายไทย

ความเห็น "แย้ง" ปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด โต้กันทุกเม็ด ทุกประเด็น

ทั้งวาทกรรม ทั้งการเคลื่อนไหว



ไม่ว่าสถานการณ์เมื่อปี 2456 ที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย ไม่ว่าสถานการณ์ในปี 2556 ของรัฐบาลและฝ่ายค้าน

เป็นการปะทะทางความคิดอันมองต่างมุม เป็นการปะทะทางผลประโยชน์อันมีรากฐานและเป้าหมายไม่เหมือนกัน

เป็นไปตามกฎ นั่นคือ ใหม่ย่อมแทนที่เก่า


.................................................................................................................................



ระหว่างกำลังรอท่าทีของ "อนุกรรมการพิจารณาข้อร้องเรียน" ของ ไทยพีบีเอส เราลองมาฟังความเห็นของ "นักข่าว" ไทยพีบีเอส ท่านหนึ่งกันครับ :

เหตุผลการยกเลิกออกอากาศรายการตอบโจทย์ เมื่อคืนนี้(15มี.ค.56) ไม่ซับซ้อนและเหนืิอความคาดหมาย สรุปก็คือ คำนึงผลกระทบที่จะตามมา หลังประเมินสถาการณ์แล้ว..

สำหรับผมในฐานะผู้สื่อข่่าวภายใต้องค์กรแห่งนี้ มิอาจยอมรับเหตุผลนี้ได้ครับ แม้จะมีการอ้างอิงจริยธรรมวิชาชีพก็ตาม..

ผมขออนุญาตแจกแจงเหตุผลให้ฟังทีละประเด็นครับ

1.การที่รายการตอบโจทย์เลือกเป็นพื้นที่เรื่องนี้แล้วงดกลางคัน หลังออกอากาศไปถึง 4วัน จะอ้างว่ากองบรรณาธิการ ไม่รับรู้ไม่ได้ เว้นแต่การทำงานของทีมงานรายการและกองบก.มีระยะห่างเกินไป

2.การประเมินผลกระทบ ควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่การเลือกประเด็นและก่อนจะบันทึกเทปรายการ ไม่ใช่ออกอากาศไปแล้วถึง 4 ตอน จนเกิดกระแสคัดค้านและสนับสนุนอย่างกว้างขวาง แล้วกองบรรณาธิการและฝ่ายบริการค่อยมาอ้างสิทธิ์การทำหน้าที่

3.หากรายการเทปนี้ออกอากาศตามปกติ ผลกระทบในทางความขัดแย้งก็เป็นเรื่องปกติ สำหรับการทำข่่าวแทบทุกชิ้น หรือถ้ามากกว่านั้นคือการปะทะกันของคน2กลุ่ม จนเกิดความรุนแรง กองบรรณาธิการและฝ่ายบริหารประเมินจากอะไร ว่าจะเกิดขึ้นจริง จนยอมแลกกับจุดยืนและเสรีภาพ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ของคนข่าว

4.เมื่อตัดสินใจแล้ว มั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีผลกระทบตามข้อกังวลในข้อ3ตามมา จากคนอีกกลุ่ม ตามที่เกิดขึ้นในเพจเฟจบุ๊คของกลุ่มคนที่รอติดตามจำนวนมาก และเตรียมเคลื่อนไหวทวงคืนรายการ นอกจากนั้นยังบานปลายไปถึงการตั้งคำถามต่อเสรีภาพสื่อและข่าวลือถึงเบื้องหลังในเรื่องนี้ แล้วใครจะรับผิดชอบ?ในเมื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ขึ้นแล้ว ก็จงเตรียมรับผลที่จะตามมากันด้วยนะครับ

..ผมพิจารณาด้วยสติและปัญญาดีแล้วในการใช้เฟจบุ๊ค ตั้งคำถามเรื่องนี้ ก็เพราะรักThaiPBS"

หมายเหตุ:ไม่มีความไม่เหมาะสมจริงในโลก เว้นแต่มนุษย์สร้างขึ้น

(ความเห็น public status ของ Puttichat Jindawong)


..........................................................................................................................................



เอาเสรีภาพที่จะไม่ดูของกูคืนมา!
%%%%%%%%%%%%%%%%%

ไม่ได้เป็นความลับอะไร ผมเห็นต่างมากมายหลายเรื่องกับผู้ร่วมรายการสองท่านที่ได้รับเชิญมาสนทนาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในรายการ "ตอบโจทย์...ประเทศไทย" ทางทีวีไทยพีบีเอสเมื่อคืนวานนี

ยิ่งได้อ่านความเห็นของท่านหนึ่งก่อนการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ที่ผ่านไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมยิ่งรับไม่ได้กับการอ้างเจ้ามาเล่นการเมืองอย่างทิ้งหลักการ

แต่ถ้าผมไม่ชอบ รับไม่ได้ ผมต้องการเปลี่ยนช่องเอง ปิดเครื่องทีวีเอง หรือลุกไปนอนเอง

ผมไม่ต้องการให้ผู้กุมสื่อไม่กี่คนใช้อำนาจดุลพินิจอัตวิสัย หรือม็อบไม่กี่สิบคนใช้ท่าทีข่มขู่คุกคาม มาตัดสินใจหรือกดดันโดยพลการให้ปิดรายการทีวีที่เอาเงินภาษีของผมและคนไทยทั้งประเทศไปใช้ แทนผมและคนไทยทั้งประเทศ อย่างที่ทำกันเมื่อคืน

เอาเสรีภาพที่จะไม่ดูของกูคืนมา!


...........................................................................................................................................




มาสำรวจความคิดเห็นครับ!
แถ/ แหล/กลับกลอก/ปลิ้นปล้อน/กะล่อน/เล่นลิ้น
---------------


.........................................................................................................................................



..........................................................................................................................................




เรียนท่านผู้ชมที่รักทุกท่า

เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนต่อวิชาชีพสื่อสารมวลชน ต่อการข่มขู่ คุกคาม และการแทรกแซงการทำงานจากภายใน อย่างไม่เป็นมืออาชีพ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเพื่อแสดงออกต่อความไม่เห็นด้วยต่อการตัดสินใจยุติการออกอากาศรายการตอบโจทย์ประเทศไทย ตอนสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ 5

ผมและทีมงานทุกคนมีมติเป็นเอกฉันท์ ขอยุติการทำรายการตอบโจทย์ประเทศไทย นับจากบัดนี้เป็นต้นไป เนื่องจากไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป ว่าเรายังจะรักษาความเชื่อมั่นในเสรีภาพของสื่อสารมวลชน ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญไว้ได้อย่างไร

เรายินดีเลือกที่จะสละรายการ เพื่อรักษาหลักการ
เรายินดีที่จะถูกประนาม คุกคาม เพื่อจะจุดไฟท่ามกลางความมืดหวาดขลาดกลัวต่อการสนทนาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้สว่างไสว เพื่อนำการกล่าวร้ายโจมตีในที่มืดออกสู่ที่แจ้ง ให้คนได้ถกแถลงแสดงเหตุผลและหักล้างกันด้วยปัญญา มิใช่อารมณ์

ทั้งนี้ เพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้สถาวรสืบไปในระยะยาวอย่างยั่งยืน ด้วยความเชื่อมั่นในระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งดำรงอยู่คู่สังคมไทยมายาวนาน

น่าเสียดายที่หลักการและเหตุผล อันเป็นบทสรุปสุดท้ายของรายการที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งกรรมการนโยบายมีมติเป็นเอกฉันท์แล้วว่า สามารถออกอากาศได้ กลับมีชะตากรรมที่พลิกผันในนาทีสุดท้าย จนนำมาสู่การยุติการออกอากาศ ซึ่งได้สร้างความเสียหายต่อศรัทธาที่มีต่อไทยพีบีเอสในวงกว้าง

ทางทีมงาน จึงขอร้องเรียนต่อคณะกรรมการจริยธรรมขององค์การอย่างเป็นทางการ ให้มีการตรวจสอบกระบวนการในการตัดสินใจยุติการออกอากาศรายการอย่างโปร่งใส รวมทั้งตรวจสอบกระบวนการแทรกแซงรายการของผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อันเป็นการขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง รวมทั้งขอให้ฝ่ายบริหารชี้แจง เหตุและผลที่แท้จริงของการตัดสินใจต่อสาธารณะ มากกว่าจะยกข้อกฎหมายมาอธิบายความย้อนหลัง อันนำมาสู่คำถามและความเสียหายมากขึ้นในวงกว้าง

เพื่อเป็นการยุติข่าวลือทางร้าย ในนามรายการผมขอชี้แจงว่า การยุติการออกอากาศรายการนั้น มิได้เกิดจากการแทรกแซงของรัฐบาล ของบุคคลใกล้ชิดหรือเชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างที่มีความพยายามจะกล่าวร้าย อีกทั้งมิได้เป็นการกดดันในระดับนโยบาย แต่กระบวนการตรวจสอบภายในสู่ภายนอกอย่างโปร่งใสและไม่สมยอมเท่านั้น ที่จะทำให้ฝ่ายบริหารตอบสังคมได้อย่างตรงไปตรงมาว่า

เหตุผลที่แท้นั้นคืออะไร ในการตัดสินใจยุติการออกอากาศรายการตอบโจทย์ประเทศไทย

และนี่เป็นโจทย์ใหญ่ที่ไทยพีบีเอสต้องร่วมกันตอบ
ก่อนจะตอบโจทย์ประเทศไทยต่อไปได้

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
ในนามทีมงานทุกคน


.............................................................................................................................




ราคาน้ำมันที่ญี่ปุ่น ไม่ได้ถูกกว่าไทยมากอย่างที่ว่ากัน โดยเฉพาะดีเซลที่ยังแพงกว่าไทยด้วยซ้ำไป (ราคาที่กลุ่มนักทวงคืนอ้าง มักเป็นราคาที่ยังไม่บวกภาษี)

(ภาพราคาจากสถานีบริการน้ำมัน อาคาเนะบาจิ ใกล้โตเกียวทาวเวอร์)
159 เยนต่อลิตร เทียบราคาบาทไทยประมาณ 48 บาท
148 เยน ประมาณ 45 บาท
143 เยน ประมาณ 43 บาท


..............................................................................................................................



นาย ก : เอ้า จะไปไหนครับเนี่ย
นาย ข : ไปตามหาคนหายครับ
นาย ก : มันเกิดอะไรขึ้นละครับเนี่ย
นาย ข : คือเมื่อวานมีม๊อบไปประท้วง TPBS ให้แบน "ตอบโจทย์" ครับ
นาย ก : แล้วหายไปในการชุมนุมหรือครับ รัฐบาลอยู่เบื้องหลังแน่ๆ
นาย ข : เปล่าครับ ที่หายไม่ใช่ผู้ชุมนุมครับ
นาย ก : เอ้า เจ้าหน้าที่สถานีหายไปหรือครับ
นาย ข : สมาคมสื่อฯ ครับ หายหัวไปหมดเลย ตอนเหนือเมฆเห็นออกมาเหยงๆ


.........................................................................................................................



การสื่อสารมีข้อความหลากหลายรูปแบบ
(1) ข้อเท็จจริง อันนี้ใครพูดจาไม่ตรงกับข้อเท็จจริงโดยตั้งใจถือว่าโกหกหลอกลวงหรือบิดเบือน ถ้าพูดผิดโดยไม่ตั้งใจถือว่าไม่รู้จริงหรืเข้าใจผิด
(2) ทฤษฎีหรือหลักการ ถ้าอ้างผิดโดยตั้งใจก็หลอกลวง แต่ถ้าอ้างผิดโดยไม่ตั้งใจถือว่าไม่รู้จริง
(3) อัญพจน์หรือquotation อันนี้ถ้าใช้เครื่องหมายคำพูดเพื่อแสดงว่าเอามาจากคำพูดหรือข้อเขียนของใครบางคน จะต้องลอกมาให้ตรงทุกถ้อยคำ ถ้าเอามาไม่ตรงโดยตั้งใจแสดงว่าจงใจบิดเบือน เพื่อหลอกให้คนอื่นเชื่อความคิดของตนว่ามีผู้รู้ หรือผู้ทรงคุณวุฒิคนอื่นสนับสนุน การออกเอาคำพูดคนอื่นมาไม่ตรงทุกประโยชน์ด้วยความตั้งใจบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ของตนเองไม่ถูกต้อง เอาถ้อยคำออกจากบริบทจนความหมายเพี้ยนไปก็ไม่ถูกต้อง การดึงถ้อยคำออกจากบริบทด้วยความตั้งใจให้เกิดความเข้าใจผิดถือเป็นความเลวอย่างหนึ่ง เพราะมีเจตนาที่ไม่ดี
(4) ความคิดเห็น ทัศนคติ เป็นการแสดงตัวตนของคนพูดคนเขียนว่าคิดอย่างไร มองอย่างไร การแสดงความคิดเห็นและทัศนคติที่ดีนั้นจะต้อง
4.1พูดให้ชัดว่านี่คือความคิดเห็นนะไม่ใช่ข้อเท็จจริง
4.2จะต้องให้เหตุผลว่าทำไมคิดเช่นนั้น ทำไมมองอย่างนั้น ซึ่งจะ
เป็นแนวทางให้คนอื่นได้พิจารณาว่าความคิดเห็นดังกล่าวนั้น
สมเหตุสมผลหรือไม่ (logical)
เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาที่อ่านหรืฟังความคิดเห็นของใคร จะต้องพิจารณาให้ถูกตามคุณสมบัติของข้อความ ดังต่อไปนี้
(1) ไม่พอจารณาเรื่องผิดถูก
(2) ไม่พิจารณาว่าพูดจริงหรือเท็จ
(3) ไม่กล่าวหาคนที่ออกความเห็นว่าหลอกลวง
(4) ให้พิจารณาว่าเข้าท่าหรือไม่
(5) ให้พิจารณาว่ามีตรรกะหรือไม่
(6) ให้พิจารณาตัวผู้แสดงความคิดเห็นไดว่า
6.1เป็นคนฉลาดคิดหรือไม่
6.2 มีข้อมูลประกอบความคิดเห็นครบถ้วนหรืไม่
6.3 มีหลักคิด (mentality) ที่ใช้ได้หรือไม
6.4 มีอุดมการณ์ (ideology) อย่างไร
6.6 ความคิดเชิงปรัชญา (philosophical thinking)
เป็นเช่นไร
6.6 มโนทัศน์และกระบวนทัศน์ (perception and thinking
paradigm) เป็นเช่นไร
6.6 วุฒิภาวะทางอารมณ์และทางศีลธรรม (emotional
quotient-EQ and morality quotient-MQ)
เป็นเช่นไร
โดยสรุปการประเมินคนแสดงความคิดเห็นว่าโกหกหลอกลวงบิดเบือนความจริงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะ "ความคิดเห็น ทัศนคติ" ไม่มีคุณสมบัติเรื่องจริงหรือเท็จ ถูกหรือผิด โปรดเข้าใจกันให้ถูกต้อง จะทำให้ฉลาดอ่านฉลาดฟัง ความขัดแย้งที่เกิดจากการกล่าวหากันจะได้ลดลง ซึ่งก็จะเป็นเส้นทางสู่สมานฉันท์ปรองดองตามที่เราต้องการ แต่ที่ด่ากัน กล่าวหากัน ฟ้องร้องกันอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เราไม่ได้เข้าใกล้การสมานฉันท์ปรองดอง แต่เราจะออกห่างเป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆจนยากที่จะประสานรอยร้าว สยามของเราก็ไม่อาจเดินหน้าด้วยพลังแห่งสามัคคีของคนไทยที่รักกัน เข้าใจกัน ที่อาจจะแตกต่างทางความติดแต่ไม่แตกแยก คิดแต่จะเติมเต็มให้กันและกันด้วยความปรารถนาดีที่มีต่อกัน


......................................................................................................................................



‎"สิ่งที่น่ากลัวในยุคนี้ไม่ใช่การเชื่อข้อมูลจากขบวนการการเมืองอะไรโดยไม่วิเคราะห์

แต่เป็นความคิดที่ว่าตัวเองได้ใช้วิจารณญาณเป็นอย่างดีแล้วก่อนที่จะเชื่อข้อมูลนั่นแหละ

คุณเป็นคนทั่วๆ ไป คุณไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเหี้ยอะไรหรอก คุณต้องเริ่มความเข้าใจจากข้อจำกัดตรงนั้นแล้วสงสัยกับข้อมูลทุกอย่าง จากทุกแหล่ง ท่าทีพื้นฐานของคุณในทุกประเด็นการเมืองคือความสงสัย ไม่ใช่เชื่อ (ไอ้พวกทำราวกับเชื่อแต่ไม่เชื่อนี่ก็อีกเรื่องนะ)

กูเริ่มเชื่อจริงๆ ละว่าอินเทอร์เน็ตทำให้คนโง่ลงพร้อมๆ กับคิดว่าตัวเองฉลาดขึ้น"

มิตรสหายท่านหนึ่ง


..............................................................................................................................




ในที่สุด องค์กรสื่อฯก็ออกแถลงการณ์มาแล้วครับ...เย้ๆๆๆๆ


...........................................................................................................................


.........................................................................................................................


บทเรียนบางอย่างจากการถอดเทปรายการตอบโจทย์

- ม๊อบคนรักเจ้า 20 คน จะมีค่าเท่ากับม๊อบอื่นๆประมาณ 200 คนหรืออาจมากกว่านั้น
- การ "ปิดกั้นสื่อในเรื่องสถาบันฯ" มีความหายเดียวกับคำว่า "รักชาติ"
- การปกป้องสถาบันฯ ด้วยการออกมาประท้วงไม่กี่ชั่วโมงโดยคนไม่กี่คนมันง่ายกว่าการไปหาข้อมูล หลักฐาน และเหตุผล มาโต้กับคนที่เห็นต่างมากนัก
- ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถพิมพ์ชื่อ กลุ่ม "คนไทยผู้รักชาติ" ได้ตามต้นฉบับ เพราะคีย์บอร์ดรุ่นใหม่ไม่มี ค.คน แล้ว มีแต่ ค.ควาย เท่านั้น
- การพูดคุยเรื่องสถาบันฯในสื่อ แม้ "ไม่ผิดกฎหมาย" ก็พูดไม่ได้
- การพูดคุยเรื่องสถาบันฯในสื่อแบบ 2 มุมสามารถทำได้ดังนี้: ผู้ร่วมรายการนั่ง 2 มุมของโต๊ะสนทนา แล้วผลัดกันพูดสรรเสริญพระบารมี
- ม.112 มีความสำคัญกว่ารัฐธรรมนูญเพราะ เราสามารถพูดถึงความอัปลักษ์ของรัฐธรรมนูญในสื่อได้ แต่เราทำแบบนั้นกับ ม.112 ไม่ได้
- Thai PBS ตอกย้ำให้เห็นว่าแม้จะเป็นทีวี "สาธารณะ" แตกต่างจากช่องอื่น แต่ถ้าเป็นเรื่องสถาบันฯเขาก็จะใช้มาตรฐานเดียวกัน

สุดท้าย

- แม้เกลียดทักษิณ ด่าทักษิณ ประกาศตัวว่ารักสถาบันฯจนปากเปียกปากแฉะ ก็ยังไม่พอที่จะวิจารณ์สถาบันฯในทีวีได้

- Admin AC


............................................................................................................................



ชื่อผิดเล็กน้อย คุณควงนะครับ ไม่ใช่คุณกวง


............................................................................................................................
















































































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น