วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

11/03/2556


พลังงานไทย เพื่อคนไทย (จริงๆ) - ตอนที่ 1 การแบ่งปันผลประโยชน์ทรัพยากรปิโตรเลียมในไทย รัฐไทยเสียเปรียบจริงหรือ?

โดย Siriwat Whin Vitoonkijvanich เมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2013 เวลา 17:52 น. ·

จากลิงค์ข้างต้นเป็นการให้ข้อมูลของไทยพับลิก้าในเวปไซต์ของ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่ทำให้คนเข้าใจกันผิดว่า บริษัทผู้ได้รับสัมปทาน ได้เม็ดเงินจากทรัพยากรในประเทศไทยเป็นจำนวนมหาศาล ไม่ได้ว่าเค้าผิดนะครับ ผมก็ว่าเค้าพูดถูกแหละครับ แต่ยังพูดไม่หมด ผมจะอธิบายที่มาที่ไปของรายได้ปิโตรเลียมจากข้อมูลชุดนี้เป็นลำดับนะครับ

ข้อมูลจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ แหล่งอ้างอิงเดียวกันกับในลิงค์ข้างต้น


Quote:
ดังนั้นในปีที่ผ่านมารัฐมีรายได้จากการให้สัมปทานปิโตรเลียม (ค่าภาคหลวง+SRB+ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) เท่ากับ 136,808 ล้านบาทจากมูลค่าปิโตรเลียมจำนวน 421,627 ล้านบาท หรือรัฐมีรายได้คิดเป็น 32.4 เปอร์เซนต์จากมูลค่าปิโตรเลียมทั้งหมด
ส่วนเม็ดเงินที่เหลือกว่า 284,819 ล้านบาทเป็นของบริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานน้ำมัน
ไทยพับลิก้า
4 พ.ย. 55


ซึ่งเป็น Quote สรุปของลิงค์บนสุดจาก ไทยพับลิก้า จริงๆก็ให้ข้อมูลถูกทุกอย่างครับ แต่คนอ่านจะเข้าใจผิดครับ ทำให้คิดว่า บริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานน้ำมันได้กำไรมหาศาล ต้องคิดแบบนี้ครับ


1. ค่าภาคหลวง (Royalty)
เป็นรายได้ที่รัฐไทยจะได้ผลประโยชน์โดยตรงจากทรัพยากรปิโตรเลียมนั้น โดยหลักเกณฑ์ขึ้นอยู่กับว่าใช้กฎหมายฉบับไหนขณะได้สัมปทาน ซึ่งจะเก็บมีทั้งแบบคงที่ 12.5% Thailand I (ได้รับสัมปทานก่อนปี 2532) และขั้นบันได 5-15% Thailand III (ได้รับสัมปทานตั้งแต่ปี 2532 เป็นต้นไป) จากปริมาณการขายปิโตรเลียม ก่อนหักค่าใช้จ่าย โดยเฉลี่ยรัฐจะได้รายได้จากตรงนี้ประมาณ 12% จากปริมาณการขายปิโตรเลียม ก่อนหักค่าใช้จ่าย!!!! ปี 2554 รัฐเก็บได้ 51,044 ล้านบาท


2. เงินผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ (Special Remuneratory Benefits -SRB)
เป็นผลประโยชน์ของรัฐที่จัดเก็บเพิ่มเติมจากค่าภาคหลวง โดยจัดเก็บในเดือนพฤษภาคมของทุกปีจากผู้รับสัมปทานในระบบ Thailand III ที่มีผลกำไรเกิดขึ้นจากการผลิตปิโตรเลียมในรอบปีที่ผ่านมามากเกินกว่าที่ควรจะได้รับตามปกติหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการลงทุนหมดแล้ว ตามข้อกำหนดในหมวด 7 ทวิของพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติปิโตรเลียม(ฉบับที่4) พ.ศ.2532 ที่เอื้อให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นในกรณีที่ราคาปิโตรเลียมสูงขึ้นหรือพบแหล่งปิโตรเลียมที่มีสมรรถนะเชิงพาณิชย์สูงมาก การเรียกเก็บผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษจะเป็นแบบข้ันบันไดร้อยละ 0-75 ของรายได้ปิโตรเลียมรายปีก่อนหักภาษีซึ่งอัตราดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับสัดส่วนรายได้รายปีต่อความลึกหลุมเจาะสะสม อย่างไรก็ตามข้อกำหนดนี้ไม่สามารถบังคับใช้ย้อนหลังกับผู้รับสัมปทานในระบบ Thailand I ได้ ในส่วนนี้ ปี 2554 รัฐเก็บได้ 3,986 ล้านบาท


3. ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (Tax)
รัฐโดยกรมสรรพากรยังจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียมในอัตราร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ !!!! จากผลการประกอบกิจการปิโตรเลียมของผู้รับสัมปทานในเดือนพฤษภาคมของทุกปี ปี 2554 รัฐเก็บภาษีตรงนี้ได้ 81,778 ล้านบาท


จะเห็นได้ว่า ที่แท้จริงแล้ว บริษัทเอกชนผู้รับสัมปทาน มีกำไรเท่ากับ ภาษ๊เงินได้ปิโตรเลียมหลังหักค่าใช้จ่ายและภาษีแล้ว (เพราะต้องจ่ายภาษีครึ่งนึงของกำไรสุทธิก่อนหักภาษี) สรุปแล้ว บริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานจะมีกำไรหลังหักภาษี 81,778 ล้านบาท

ค่าใช้จ่ายของบริษัทผู้รับสัมปทานปี 2554 จำแนกเป็น ต้นทุนการสำรวจขุดเจาะ, การพัฒนาแหล่งผลิต, กระบวนการผลิต และการบริหารงาน (144,878 ล้านบาท) และหักค่าภาคหลวง + SRB, ค่าเสื่อมราคาของแท่นผลิตและหลุมผลิต, ค่าประกันภัย และค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกบานตะไท หลังจากนั้นก็ไปหักจากปริมาณการขายปิโตรเลียม 421,627 ล้านบาท จะเหลือกำไรสุทธิก่อนหักภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเป็นเงิน 163,556 ล้านบาท

ต้องเสียภาษีเงินได้ 50% เข้ารัฐ ก็คือโดนหั่นไปครึ่งต่อครึ่ง เป็นของรัฐ กับกำไรสุทธิหลังหักภาษี ฝ่ายละ 81,778 ล้านบาท


การคำนวณผลประโยชน์ที่แท้จริงต้องเอามูลค่าปิโตรเลียมหลังหักค่าใช้จ่ายและภาษี (กำไรสุทธิหลังหักภาษี) มาคำนวณการแบ่งปันผลประโยชน์ของทรัพยากรนี้ถึงจะถูกต้อง เพราะรัฐไม่ได้ร่วมลงทุนด้วย แต่เก็บกินผลประโยชน์ของรัฐไทยเองเต็มๆ (ก็ของๆเรานี่นา) ส่วนการลงทุนเป็นภาระของผู้ประกอบการ ถ้าขุดเจาะไม่เจอก็เสียเงินลงทุนไปฟรีๆ รัฐไม่เสียไปด้วย
ดังนั้นการเอาตัวเลขทั้ง 284,819 ล้านบาท (421,627 - 136,808 ล้านบาท) ที่เป็นรายได้ทั้งหมดก่อนหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาคิดมาสัดส่วนรายได้ของบริษัทผู้รับสัมปทาน และคำนวณส่วนของรัฐจากมูลค่าการขายทั้งหมดจึงไม่ยุติธรรม (ทำให้สัดส่วนของรัฐดูน้อยเกินจริง)

ถ้าจะใช้มูลค่าของปิโตรเลียมจำนวน 421,627 ล้านบาทมาคำนวณจริงๆ ต้องเอาส่วนของต้นทุนค่าใช้จ่ายจำนวน 203,041 ล้านบาท (421,627 - 136,808 - 81,778) มาสัดส่วนด้วยเพราะ เงินส่วนนี้ทั้งฝ่ายรัฐและบริษัทผู้รับสัมปทานไม่ได้ผลประโยชน์โดยตรง (ประโยชน์อยู่ที่ประชาชนเพราะทำให้เกิดการจ้างงาน และกระตุ้นอุตสาหกรรมในด้านต่างๆ เช่นการก่อสร้าง งานระบบ การขนส่ง Logistic ฯลฯ และรัฐก็มีรายได้ทางอ้อมจากภาษีเงินได้ที่เกิดจากการจ้างงานและกระบวนการสำรวจและผลิตจำพวกนี้อีก)

ถ้าคิดจากมูลค่าปิโตรเลียมทั้งหมดจริงๆจะเป็นดังนี้


กราฟที่ 1: สัดส่วนผลประโยชน์คิดจากมูลค่าปิโตรเลียมปี 2554



- รัฐไทยได้ (136,808/421,627) คิดเป็น 32.4%
- บริษัทผู้รับสัมปทานได้ (81,778/421,627) คิดเป็น 19.4%
- ต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะสำรวจผลิตปิโตรเลียมทั้งหมด (203,041/421,627) คิดเป็น 48.2%

จะเห็นได้ว่า ถ้าคิดสัดส่วนทุกอย่างจากมูลค่าปิโตรเลียม รัฐไทยก็ยังได้ผลประโยชน์มากกว่าบริษัทผู้รับสัมปทานอยู่ดี จะสังเกตว่า เงินลงทุนในการขุดเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย มีค่าใช้จ่ายสูงมากถึงเกือบครึ่งของมูลค่าปิโตรเลียม และบางหลุมเจาะแล้วไม่เจออีกต่างหาก โดยทั่วไปหลุมสำรวจในประเทศไทยมูลค่าสูงมากกว่า 20 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ถ้าเจาะไม่เจอก็ไม่ได้อะไรเลย จึงเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง รัฐไทยเลยไม่สามารถดำเนินการได้เองทั้งหมด จึงใช้ระบบสัมปทานขึ้นมา เพื่อให้บริษัทผู้รับสัมปทานแบกรับความเสี่ยงที่สูงเหล่านี้แทน โดยให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมจากการแบ่งปันผลประโยชน์แก่บริษัทเหล่านั้นดังที่กล่าวไว้ (เหมือนกับจ้างบริษัทน้ำมันมาช่วยขุดเจาะสำรวจให้)


การคิดสัดส่วนผลประโยชน์ในทรัพยากรปิโตรเลียมของทั้งฝ่ายรัฐและบริษัทผู้รับสัมปทานที่ถูกต้อง
โดยคิดผลประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายควรจะได้รับหลังหักต้นทุนและค่าใช้จ่ายแล้ว

ข้อมูลปิโตรเลียมปี 2554 (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ)


**รัฐไทย ได้รายได้จากการจัดเก็บค่าภาคหลวง+ผลตอบแทนพิเศษ+ภาษีเงินได้ รวม = 51,044+3,986+,81,778 = 136,808 ล้านบาท

**กำไรสุทธิของบริษัทผู้ได้รับสัมปทาน = 81,778 ล้านบาท

**ผลประโยชน์ปิโตรเลียมที่ทั้งสองฝ่ายได้รับทั้งหมด = 136,808+81,778 = 218,586 ล้านบาท
ลองมาดูกันว่ามูลค่าผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมของประเทศไทยจำนวนนี้ไปอยู่กับใครบ้าง


กราฟที่ 2: สัดส่วนผลประโยชน์คิดจากรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายปี 2554


****** คำนวณเป็นสัดส่วนผลประโยชน์จากสัมปทานปิโตรเลียมในปี 2554 จะกลายเป็น
-- รัฐไทยได้ผลประโยชน์ (136,808/218,586) คิดเป็น 62.6%
-- ขณะที่ บริษัทผู้ได้รับสัมปทานได้ (81,778/218,586) คิดเป็น 37.4%



(ไม่ใช่รัฐได้แค่เพียง 32.4% อย่างที่บางฝ่ายพยายามจะสื่อสาร โดยใช้มูลค่าก่อนหักเงินลงทุนค่าใช้จ่ายและภาษี) ******
และหากนับเฉพาะสัดส่วนรายได้รัฐต่อรายได้สุทธิของผู้รับสัมปทานที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2532 (Thailand III) ตั้งแต่ พ.ศ.2532 จนถึงสิ้นปี พ.ศ.2554 เท่ากับสัดส่วนของรัฐร้อยละ 74 ต่อสัดส่วนของบริษัทผู้รับสัมปทานร้อยละ 26 !!!!!!



รายได้นี้ ยังไม่นับรวมถึงรายได้ในรูปเงินปันผลที่กระทรวงการคลังและกองทุนวายุภักษ์ถือหุ้นผ่าน ปตท. และ ปตท.สผ. ที่มีส่วนถือหุ้นแปลงสัมปทานปิโตรเลียมทั้งที่ ปตท.สผ.ดำเนินการเอง และส่วนที่บริษัทต่างชาติดำเนินการในประเทศไทยอีกจำนวนมากเช่นกัน รวมส่วนที่รัฐได้รายได้ทางอ้อมจากภาษีที่เกิดขึ้นจากส่วนที่เป็นต้นทุนอีกด้วย (ซึ่งรวมๆแล้วทำให้รัฐไทยได้ผลประโยชน์มากกว่า 70% เลยทีเดียว !!!)



ส่วนนี้เป็นข้อมูลจากปี 2514-2554 กว่า 40 ปี จะเห็นได้ว่ารัฐได้ประโยชน์ประมาณ 60% บริษัทผู้รับสัมปทานได้ประมาณ 40%

ซึ่งไม่ใช่รัฐได้ผลประโยชน์แค่ 30% ตามที่บางฝ่ายได้เข้าใจผิดไป

18 กพ. 2556

ย้ำนะครับ ผมไม่ได้คาดหวังให้ทุกๆคนมาเชื่อผม ผมแค่นำข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ผมเคยศึกษาเอาไว้เป็นการส่วนตัวมาแชร์ ก่อนจะเชื่อผม ได้โปรดวิเคราะห์และใช้วิจารณญาณของตัวท่านเองและหาข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ และฟังข้อมูลอีกด้านอย่างมีสติด้วยครับ เพราะสิ่งที่ผมคิดก็อาจจะไม่ถูกต้อง 100% ก็ได้ ด้วยความหวังดีครับ 

...................................................................................................................................



..................................................................................................................................


เรื่องนึงที่ คงถูกใจ ครู อาจารย์ทั้งประเทศ ....
เรื่อง สมศ . และการประเมินครู ครับ
...... รัฐมนตรี พงศ์เทพ
ผมคิดว่าทุกวันนี้ สมศ. ไปเพิ่มภาระให้ครู
และสิ่งที่ได้มาก็เป็นเพียงแค่รายงาน ............
หลายท่านให้ความเห็นชัดเจนว่า สมศ ต้องเปลี่ยนวิธีประเมินครับ
อาจารย์ทำรายงานได้ครูเชี่ยวชาญ แต่นักเรียนสอบตก
สิ่งเหล่านี้ จะต้องเปลี่ยน
ครู ไม่ใช่จุดอ่อนของเรา
แต่ระบบวิธีพัฒนาครู
ข้อมูล และระบบช่วยพัฒนาครู นี่แหละคือจุดอ่อนครับ
จากนี้จะเป็นโอกาสของผู้บริหารที่มีความตั้งใจ
ครูที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง
เราจะส่งเสริมอุดหนุน ให้งบไปที่ครู เพื่อพัฒนาคน และระบบ
ไม่ใช่แค่พัฒนาวัตถุ
ถึงเราจะมีงบประมาณให้ทั้งประเทศได้
แต่สิ่งที่เราน่าจะทำคือ ส่งเสริมให้ผู้บริหารที่พร้อม
ครูที่มีจิตใจ สนใจที่จะเปลี่ยนแปลงครับ
ผมไม่อยากเห็นการกดปุ่มแล้วก็ฝันเอาว่าครูจะทำได้ทั้งประเทศ
เพราะสุดท้ายเราจะไม่ได้อะไรเลย
แต่เราจะทำเพื่อให้สำเร็จ แบบค่อยเป็นค่อยไป ครับ ..... อ.วิริยะ


...............................................................................................................


สุจิตต์:"อำนาจ"ของผี, พราหมณ์, พุทธ


http://www.youtube.com/watch?v=tP5iHZhrgxw

Supapong Wanitpongpan "ประเทศไทยนับถือศาสนาไทยไม่ใช่ศาสนาพุทธ ... พุทธในไทยไม่เคยเป็นพุทธ"

ประโยคเด็ด จากการสัมมนาเรื่อง "อำนาจ"ของผี, พราหมณ์, พุทธ ในสังคมไทย โดย อาจารย์ สุจิตต์ วงษ์เทศ ศิลปินแห่งชาติ ใครสนใจศึกษาศาสนาในฐานะสังคมวิทยา มานุษยวิทยา ดู clip นี้แล้วสนุกมากๆ

~Fedexfc Jjronnote~


..............................................................................................................


.............................................................................................................


Mission impossible


http://www.youtube.com/watch?v=NCagrxLO_uk

.............................................................................................................


.....................................................................................................................


นาย ก : คุณรู้อะไรไหมครับ
นาย ข : อะไรครับ ?
นาย ก : ประเทศไทยเนี่ย น้ำมันแพงมากเลยนะครับ
นาย ข : ฮึ่ย แต่ประเทศอื่นก็ราคาแพงกว่าเราเยอะแยะนะครับ
นาย ก : เอาประเทศพวกนั้นมาเทียบกับเราไม่ได้หรอกครับ
นาย ข : ทำไมครับ ?
นาย ก : ก็รายได้ประชากรมันต่างกันเยอะครับ ฝรั่งทำงานชั่วโมงละ 500 เราทำงานชั่วโมงละไม่เท่าไหร่
นาย ข : อืม.... ก็จริงครับ
นาย ก : ทางออกคือต้องร่วมกันเอาปตท.ออกจากตลาดหุ้นครับ
นาย ข : แต่รัฐบาลเขาก็พยายามเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ทั้งรายวัน รายเดือนนะครับ
นาย ก : ค่าแรง 300 บาทจะทำให้ผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้ครับ ระบบเศรษฐกิจไทย ถึงคราวล่มสลายแน่นอนครับ
นาย ข : เอ้า ค่าครองชีพมันจะได้สูงขึ้นไงครับ ??
นาย ก : ชิบหายหมดครับ บริษัทจะพากันปิดเป็นแถบๆ
นาย ข : แล้วค่าน้ำมัน ...
นาย ก : ต้องทวงคืนปตท.ครับ ทวงคืนปตท. ทวงคืนประเทศไทย มันขูดรีดเรามานาน ประเทศไทยน้ำมันแพงติดอันดับโลก เมื่อเทียบกับค่าแรง
นาย ข : แล้วไม่เพิ่มค่าแรงหรือครับ .....
นาย ก : เพิ่มค่าแรงจะทำให้เอกชนอยู่ไม่ได้ครับ จะสู้กับต่างชาติไม่ได้ ต่างชาติจะย้ายหนีครับ
นาย ข : แล้วค่าน้ำมัน ...
นาย ก : ต้องทวงคืนปตท.ครับ ทวงคืนปตท. ทวงคืนประเทศไทย มันขูดรีดเรามานาน ประเทศไทยน้ำมันแพงติดอันดับโลก เมื่อเทียบกับค่าแรง
นาย ข : แล้วไม่เพิ่มค่าแรงหรือครับ .....
นาย ก : เพิ่มค่าแรงจะทำให้เอกชนอยู่ไม่ได้ครับ จะสู้กับต่างชาติไม่ได้ ต่างชาติจะย้ายหนีครับ


............................................................................................................................




..............................................................................................................................


‎"การหลอกคนให้เชื่อง่ายกว่าการทำให้คนเชื่อว่าโดนหลอก"

--- มิตรสหายท่านหนึ่งว่าไว้


............................................................................................................................












































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น