วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

12/03/2556


................................................................................................................................


ถ้าไม่ทวงคืนปตท. แล้วจะทำอย่างไรให้ ปตท. มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่บิดเบือนการใช้ก๊าซธรรมชาติ หรือทำลายสิ่งแวดล้อม? (ย้ำ ไม่ใช่น้ำมัน เพราะธุรกิจน้ำมันไม่ใช่ธุรกิจที่สร้างกำไรให้ ปตท.)

ทุกท่านสามารถรวบรวมหลักฐานข้อมูลที่เชื่อว่าเป็นจริง หาก ปตท. มีการบริหารไม่โปร่งใส กระทำมิชอบ หรือเอื้อประโยชน์ต่อผู้ใดผู้หนึ่ง หรือทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ส่งต่อผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เพื่อให้ฟ้องศาลปกครอง (ปตท. มีสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ กำกับควบคุมโดยกระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงาน ดังนั้นการกระทำของ ปตท. ถือว่าเป็นหน่วยงานของรัฐ) ดังที่ทางมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค และส.ว. รสนาเคยทำมาจนพิพากษาจบไปแล้วในปี 2550

ท่านอาจรวมกลุ่มกันเป็นคณะบุคคล องค์กร จัดทำข้อมูลคดี โดยร่วมมือกันยื่นเอกสารหลักฐานให้แก่คณะกรรมาธิการด้านพลังงานของสภาผู้แทนราษฎรหรือรัฐสภา เพื่อเรียกผู้เกี่ยวข้องมาตรวจสอบ

แน่นอนว่า ทุกอย่างต้องเริ่มต้นด้วยข้อมูลที่ครบถ้วน ไม่บิดเบือนบางส่วนเพื่อหลอกลวงประชาชน


.................................................................................................................................




รู้ไปทำไมว่า นี่คือทางลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ในเมือง
แฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมันนี เปิดใช้ในปี 1986 เป็นการออกแบบทางลงให้เป็นสัญญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิทัศน์จากการใช้รถรางที่มีรางวางอยู่บนท้องถนน ตัดผ่านใจกลางเมือง เปลี่ยนไปเป็นการใช้รถไฟฟ้าใต้ดินที่ไม่ต้องมีรางให้เห็นบนท้องถนน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการของเมืองนี้ใช้ชื่อว่า "Projekt Schienenfreie Innenstadt"

ทางลงนี้ไปยังสถานี Bockenheimer Warte ส่วนตึกที่อยู่ด้านหลังคือโรงอาหารเก่าของวิทยาเขต Bockenheim มหาวิทยาลัยแฟรงค์เฟิร์ต


...........................................................................................................................




สืบเนื่องจากมีการกล่าวอ้างกันมาเกี่ยวกับเรื่องแหล่งพลังงานและการให้สัมปทานในประเทศไทย ทางเพจประเทศไทย 101 จึงขอนำเสนอข้อมูลจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงานที่ได้ออกมาชี้แจงข้อกล่าวหาเหล่านี้กันครับ

[เจาะลึกทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ : ถาม-ตอบยอดฮิตจากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย]

โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน

ส่วนข้างหลังนี้คัดลอกจาก บทสรุปผู้บริหาร

สาระสำคัญของคำชี้แจงในเนื้อหาหลัก จากเอกสารเรื่อง ถาม-ตอบยอดฮิตจากการ
สำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย ซึ่งเป็นข้อสงสัยหรือข้อห่วงกังวลของสาธารณชน สามารถสรุปได้ 4 ประเด็นที่สำคัญดังต่อไปนี้

ประเด็นที่ 1 : ตามที่กล่าวอ้างว่า ประเทศไทยรวมถึงอาณาเขตทางทะเลของประเทศไทยเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทั้งน้ำมันและก๊าซที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีแหล่งข้อมูลทั้งในและต่างประเทศได้ประมาณว่า ประเทศไทยมีปริมาณปิโตรเลียมจำนวนมากเป็นอันดับค่อนข้างสูงของโลกและส่งออกได้ในปริมาณที่มากกว่าประเทศในกลุ่มโอเปคบางประเทศ นั้น

ในประเด็นนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติใคร่ขอเรียนชี้แจงเรื่องดังกล่าวดังนี้
1.1 ประเทศไทยไม่ได้มีปิโตรเลียมเป็นจำนวนมากมายมหาศาลดังที่กล่าวอ้าง และ
ไม่ได้เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบ แต่เป็นประเทศที่ต้องนำเข้าน้ำมันดิบเกือบทั้งหมด ดังจะเห็นได้จากปี 2554 ประเทศไทยมีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วประมาณ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หรือร้อยละ 0.1 ของปริมาณสำรองทั่วโลก สำหรับปริมาณสำรองน้ำมันดิบมีประมาณ 4 ร้อยล้านบาร์เรล คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 0.02 ของปริมาณสำรองทั่วโลก

จากข้อมูลในรายงาน BP Statistical Review of World Energy Outlook
2012 แสดงข้อมูลปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้วทั่วโลก ณ ปี 2554 โดยจำแนกเป็นปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติประมาณ 7,361 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และปริมาณสำรองน้ำมันดิบประมาณ1.65 ล้านล้านบาร์เรล ในปัจจุบัน (ปีพ.ศ. 2555) ทั่วโลกมีปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติรวมวันละ 311,800 ล้านลูกบาศก์ฟุต หากปริมาณสำรองไม่เพิ่มขึ้นและยังคงมีการใช้ในระดับนี้ต่อไป โลกจะมีก๊าซธรรมชาติเหลือใช้ต่อไปอีก 64 ปี สำหรับประเทศไทยนั้น มีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วประมาณ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หรือร้อยละ 0.1 ของปริมาณสำรองทั่วโลก ขณะที่อัตราการผลิตจากพื้นที่สัมปทานในประเทศอยู่ที่ 2,794 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หากมีอัตราการผลิตคงที่อยู่ในระดับนี้ ประเทศไทยจะมีก๊าซเหลือใช้ต่อไปอีกไม่ถึง 10 ปี (ค่า R/P ratio แสดงจำนวนปีที่ผลิตปิโตรเลียมได้ได้มาจากการนำปริมาณสำรองปิโตรเลียม (Reserves) หารด้วยอัตราการผลิตปิโตรเลียมต่อปี (Production)) รายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 1 สำหรับปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่พิสูจน์แล้วทั่วโลก ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ตะวันออก
กลางและอเมริกา โดยประเทศเวเนซุเอลา ซาอุดิอาระเบีย และแคนาดา มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่พิสูจน์แล้วมากที่สุดเป็นสามอันดับแรก คือ 0.296 0.265 และ 0.175 ล้านล้านบาร์เรล ตามลำดับเมื่อพิจารณาว่าทั่วโลกมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบรวม 1.65 ล้านล้านบาร์เรลและมีการใช้น้ำมันดิบประมาณวันละ 88 ล้านบาร์เรล ดังนั้น หากยังมีปริมาณการใช้อยู่ในระดับนี้ก็จะมีน้ำมันดิบใช้ไปอีกประมาณ 54 ปี สำหรับปริมาณสำรองน้ำมันดิบของประเทศไทยมีประมาณ 4 ร้อยล้านบาร์เรล

คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 0.02 ของปริมาณสำรองทั่วโลก (ค่า R/P ratio น้ำมันดิบของประเทศไทยไม่สามารถนำมาใช้วิเคราะห์ว่าประเทศไทยยังมีน้ำมันดิบเหลือใช้อีก 5 ปี เพราะประเทศไทยใช้น้ำมันดิบมากกว่าที่ผลิตมาก ประเทศไทยใช้น้ำมันดิบวันละประมาณ 1 ล้านบาร์เรล แต่สามารถผลิตได้เพียงวันละประมาณ 2 แสนบาร์เรล จึงต้องนำเข้าอีกประมาณวันละ 8 แสนบาร์เรล) รายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 2

ตารางที่ 1 : ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว อัตราการผลิต จำนวนปีที่ผลิตก๊าซธรรมชาติได้ และอัตราการบริโภคก๊าซธรรมชาติของประเทศที่มีแหล่งก๊าซธรรมชาติสำคัญและประเทศเพื่อนบ้านของไทย

ตารางที่ 2 : ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว อัตราการผลิต จำนวนปีที่ผลิตน้ำมันดิบได้ และ อัตราการบริโภคน้ำมันดิบของประเทศที่มีแหล่งน้ำมันดิบสำคัญและประเทศเพื่อนบ้านของไทย

1.2 ประเทศไทยไม่ได้ผลิตปิโตรเลียมได้มากและส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ของโลกดังจะ
เห็นได้จากปีพ.ศ. 2554 ประเทศไทยผลิตก๊าซธรรมชาติวันละประมาณ 2.8 พันล้านลูกบาศก์ฟุต (ไม่รวมส่วนที่ผลิตจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย) หรือร้อยละ 0.9 ของอัตราการผลิตทั่วโลก สำหรับอัตราการผลิตน้ำมันดิบรวมกับก๊าซธรรมชาติเหลว (หรือ Condensate) นั้น ผลิตวันละประมาณ 2 แสนบาร์เรล คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.3 ของอัตราการผลิตทั่วโลก แต่การวิเคราะห์อัตราการผลิตเพียงอย่างเดียวอาจทำให้เข้าใจผิดได้ การจะชี้ว่าประเทศใดผลิตปิโตรเลียมได้มากหรือน้อยจึงควรต้องเปรียบเทียบกับอัตราการบริโภคหรือใช้พลังงานด้วย ตัวอย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติได้มากที่สุดในโลก 63 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แต่ไม่พอเพียงกับความต้องการใช้ในประเทศ ที่ 66.8 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทั้งนี้เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศขนาดใหญ่ที่มีประชากรมากและมีอุตสาหกรรมต่างๆมากมาย อีกตัวอย่างคือประเทศกาตาร์ที่ผลิตก๊าซธรรมชาติได้ 14.2 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน น้อยกว่าประเทศอเมริกาถึง 4 เท่า แต่สามารถเป็นผู้นำการส่งออกก๊าซธรรมชาติของโลก เพราะความต้องการใช้ในประเทศมีเพียง 2.3 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อ
วัน สำหรับประเทศไทยผลิตก๊าซธรรมชาติวันละประมาณ 2.8 พันล้านลูกบาศก์ฟุต หรือร้อยละ 0.9ของอัตราการผลิตทั่วโลก แต่บริโภค 4.5 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือร้อยละ 1.4 ของอัตราการบริโภคของโลก สำหรับอัตราการผลิตน้ำมันดิบรวมก๊าซธรรมชาติเหลวผลิตวันละประมาณ 2 แสนบาร์เรล คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.3 ของอัตราการผลิตทั่วโลก แต่บริโภค 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือร้อยละ 1 ของอัตราการบริโภคของโลก ซึ่งจากอัตราการบริโภคน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติแสดงให้เห็นได้ว่าประเทศไทยมีการบริโภคหรือใช้ปิโตรเลียมมากกว่าปิโตรเลียมที่ผลิตได้เองในประเทศ

1.3 ในด้านการส่งออกปิโตรเลียมในปีพ.ศ. 2554 ประเทศไทยมีการส่งออกปิโตรเลียม
ทั้งสิ้นวันละ 256,731 บาร์เรล คิดเป็นมูลค่า 319,064 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1) น้ำมันดิบในปริมาณวันละ 33,321 บาร์เรล (ร้อยละ 4 ของความต้องการใช้ของประเทศ) ทั้งนี้ปริมาณที่ส่งออกทั้งหมดเป็นน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากแหล่งในอ่าวไทย สำหรับน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากแหล่งบนบก และคอนเดนเสทจากแหล่งผลิตในประเทศไม่มีการส่งออกแต่อย่างใด 2) น้ำมันสำเร็จรูปในปริมาณวันละ 181,486 บาร์เรล คิดเป็นร้อยละ 70 ของการส่งออกปิโตรเลียมทั้งหมด หรือคิดเป็นมูลค่า 231,615 ล้านบาท เนื่องจากประเทศไทยมีกำลังกลั่นมากเกินกว่าความต้องการของประเทศและ 3) น้ำมันองค์ประกอบในปริมาณวันละ 41,924 บาร์เรล หรือคิดเป็นมูลค่า 47,534 ล้านบาท
(รายละเอียดตามตารางที่ 3) จะเห็นได้ว่าการส่งออกปิโตรเลียมส่วนใหญ่เป็นการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปส่วนเกินจากความต้องการใช้ของประเทศ ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้ประเทศอีกทางหนึ่งด้วย

สำหรับสาเหตุสำคัญของการส่งออกน้ำมันดิบบางส่วนที่ผลิตได้จากแหล่งผลิตใน
อ่าวไทยมีดังนี้

1) คุณภาพของน้ำมันดิบไม่เป็นที่ต้องการของโรงกลั่นภายในประเทศ น้ำมันดิบจากบางแหล่งในอ่าวไทย จัดเป็นประเภท Light Crude ซึ่งเมื่อกลั่นแล้วจะให้ผลผลิตเป็นน้ำมันเบนซินในสัดส่วนที่สูง จึงไม่เหมาะกับตลาดผู้ใช้น้ำมันภายในประเทศ ที่มีความต้องการใช้ดีเซลสูง การส่งออกน้ำมันดิบที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมกับโรงกลั่นจะสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ให้กับประเทศสูงกว่า

2) น้ำมันดิบมีสารเจือปน เช่น ปรอท มากเกินกว่าความสามารถของโรงกลั่นที่จะรับได้ โรงกลั่นภายในประเทศจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติม และใช้ระยะเวลาดำเนินการ เพื่อสร้างความพร้อมที่จะกลั่นน้ำมันดิบที่มีสารเจือปนดังกล่าวโดยไม่สร้างความเสียหายแก่อุปกรณ์การกลั่น

ประเด็นที่ 2 : ตามที่อ้างว่า การเปิดประมูลสัมปทานสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมในประเทศไทยทั้งบนบกและอ่าวไทย จำนวน 22 แปลง รวมพื้นที่กว่า 45,000 ตารางกิโลเมตร เป็นการเปิดโอกาสให้กับบริษัทข้ามชาติจัดเก็บผลประโยชน์จากการให้สัมปทาน ทำให้ประเทศเสียเปรียบ นั้นในประเด็นนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติใคร่ขอเรียนชี้แจงเรื่องดังกล่าวดังนี้

การเปิดให้ยื่นขอสัมปทานปิโตรเลียมจะประกาศเป็นการทั่วไป ซึ่งทั้งบริษัทน้ำมัน
ของคนไทยและ/หรือบริษัทจากต่างประเทศที่มีคุณสมบัติของผู้รับสัมปทานตามมาตรา 24 แห่งพ.ร.บ. ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 สามารถยื่นขอได้เท่าเทียมกันโดยไม่จำกัดสัญชาติ แต่ในอดีตที่ผ่านมามีบริษัทไทยยื่นขอน้อยรายเนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูง มีความเสี่ยงสูง ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นนำ ใช้ความรู้ความเข้าใจในระบบปิโตรเลียมและประสบการณ์สูง ปัจจุบันมีบริษัทไทยเพียง 6 บริษัท จากบริษัทผู้รับสัมปทานทั้งหมด 72 บริษัท

ประเด็นที่ 3 : ตามที่อ้างว่า หน่วยงานไทยสามารถสร้างหน่วยธุรกิจด้านการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมได้ทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพและสมรรถนะในการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมในประเทศได้เอง อีกทั้งเสนอแนะให้หน่วยงานคนไทยมีสิทธิและหน้าที่หลักในการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมในประเทศ นั้นในประเด็นนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติใคร่ขอเรียนชี้แจงเรื่องดังกล่าวดังนี้

ตามที่ได้ชี้แจงในประเด็นที่ 2 แล้วว่า การเปิดให้ยื่นขอสัมปทานปิโตรเลียมจะประกาศ
เป็นการทั่วไป ผู้ที่มีคุณสมบัติของผู้รับสัมปทานตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ. ปิโตรเลียมพ.ศ. 2514สามารถยื่นขอได้เท่าเทียมกันโดยไม่จำกัดสัญชาติ แต่โดยที่ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และมีความเสี่ยงสูง ทำให้ปัจจุบันมีผู้รับสัมปทานซึ่งเป็นบริษัทคนไทย 6 บริษัท โดยกลุ่มบริษัท ปตท.สผ. สามารถผลิตปิโตรเลียมได้ถึงประมาณร้อยละ 30 ของปิโตรเลียมทั้งหมดที่ผลิตในประเทศและพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย สำหรับผู้รับสัมปทานซึ่งเป็นบริษัทต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทยต่างเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ มีเทคโนโลยีนำสมัย มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้คนไทย และมีความรู้ความเข้าใจในระบบปิโตรเลียมของประเทศไทยเป็นอย่างดีอีกด้วย

กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจึงเห็นว่าการเปิดกว้างให้มีบริษัทต่างประเทศอยู่ในประเทศไทยเพื่อให้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาใหม่ในต่างประเทศให้เหมาะสมกับสภาพแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาพลังงานของประเทศ และที่ผ่านมาเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น แหล่งก๊าซบงกชของบริษัทปตท.สผ.หยุดผลิต หรือท่อก๊าซของบริษัทปตท.
รั่ว เป็นต้น บริษัทผู้รับสัมปทานรายอื่นที่ไม่ได้เป็นบริษัทคนไทยได้เป็นกำลังสำคัญในการช่วยผลิตก๊าซทดแทนส่วนที่หายไป นอกจากนี้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติยังมีนโยบายให้บริษัทต่างประเทศเร่งพัฒนาบุคลากรไทย ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้บุคลากรไทย ทำให้มีการพัฒนาและจ้างแรงงานไทยจำนวนมากและบุคลากรเหล่านี้ยังมีโอกาสไปทำงานในต่างประเทศอีกด้วย อีกทั้งมีการจ้างงานคนไทยในระดับฝีมือ (Professional) ถึงมากกว่าร้อยละ 98 ของพนักงานทั้งหมดที่ปฏิบัติงานอยู่ในประเทศไทยอีกด้วย

อนึ่ง แม้ในประเทศผู้นำด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เช่น ซาอุดิอาระเบีย
อเมริกา นอรเวย์ เป็นต้น ต่างก็เปิดให้บริษัทต่างประเทศดำเนินการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมโดยไม่เลือกปฏิบัติ ดังนั้นการเปิดให้บริษัทต่างประเทศดำเนินการจึงเป็นมาตรฐานในทางปฏิบัติทั่วโลก

ประเด็นที่ 4 : ตามที่อ้างว่า ประเทศไทยเก็บค่าภาคหลวงปิโตรเลียมในอัตราค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ อีกทั้งเสนอแนะให้ทบทวนอัตราค่าภาคหลวง โดยเปรียบเทียบกับประเทศเวเนซูเอลา โบลิเวีย เป็นต้น ซึ่งเป็นประเทศที่เก็บค่าภาคหลวงในระดับสูง นั้น ในประเด็นนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติใคร่ขอเรียนชี้แจงเรื่องดังกล่าวดังนี้

ค่าภาคหลวงเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นของรายได้ทางตรงที่รัฐเรียกเก็บจากการ
ประกอบกิจการปิโตรเลียม ดังนั้นในการวิเคราะห์รายได้ของรัฐจำเป็นต้องดูองค์ประกอบทุกส่วนของรายได้รัฐทั้งหมดซึ่งประกอบด้วย (1) ค่าภาคหลวง (2) ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ และ (3) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ซึ่งในปีพ.ศ. 2554 ประเทศสามารถจัดเก็บรายได้จากการประกอบกิจการปิโตรเลียมในพื้นที่สัมปทานในประเทศได้เป็นจำนวน 133,617 ล้านบาท และจากข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2554 มีมูลค่าการขายปิโตรเลียมที่ผลิตจากแหล่งในประเทศโดยผู้รับสัมปทานรวมเป็นเงินประมาณ 3.415 ล้านล้านบาท มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวมเป็นเงินประมาณ 1.461 ล้านล้านบาท และค่าใช้จ่ายที่ผู้รับสัมปทานจ่ายให้รัฐได้แก่ ค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ รวมเป็นเงินประมาณ 1.074 ล้านล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิของผู้รับสัมปทานเท่ากับ 0.88 ล้านล้านบาท ดังนั้นสัดส่วนรายได้รัฐ (1.074 ล้านล้านบาท) ต่อรายได้สุทธิของผู้รับสัมปทาน (0.88 ล้านล้านบาท) เท่ากับร้อยละ 55 : ร้อยละ 45 (รายละเอียดตามตารางที่ 4)

ตารางที่ 4 : สัดส่วนผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับผู้รับสัมปทานในการประกอบกิจการปิโตรเลียม

หากนับเฉพาะสัดส่วนรายได้รัฐต่อรายได้สุทธิของผู้รับสัมปทานที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.
ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2532 (Thailand III) ตั้งแต่ พ.ศ. 2532 จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2554 เท่ากับร้อยละ 74 : ร้อยละ 26 ทั้งนี้ในการเปิดให้ยื่นขอสัมปทานปิโตรเลียม ครั้งที่ 21 ผู้รับสัมปทานทุกรายจะอยู่ภายใต้ Thailand III

สัมปทานปิโตรเลียมในระบบ Thailand III เป็นระบบที่เกิดขึ้นเพื่อให้ความเป็นธรรม
กับภาคเอกชนมากยิ่งขึ้น โดยเก็บค่าภาคหลวงแบบขั้นบันได (ร้อยละ 5-15) เก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียมจ่ายเมื่อมีผลกำไรจากการประกอบกิจการปิโตรเลียมร้อยละ 50 และผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษรายปีแบบขั้นบันไดร้อยละ 0-75 ขึ้นอยู่กับสัดส่วนรายได้กับความพยายามในการสำรวจและลงทุนเพิ่มเติมของผู้รับสัมปทานในปีนั้น ซึ่งหากเป็นแหล่งปิโตรเลียมขนาดเล็กก็เก็บค่าภาคหลวงในอัตราที่น้อย หากเป็นแหล่งขนาดใหญ่ก็เก็บในอัตราที่มากขึ้น
-----------------------------------------------
อ่านฉบับเติมได้ที่ (URL : http://www.dmf.go.th/file/QA_EPThai.pdf) มี 83 หน้า

-----------------------------------------------
เพิ่มเติม

ความจริงเรื่องการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย

(URL : http://www.dmf.go.th/truth_file/truth.php)


...............................................................................................................................




" ประเทศไทยเป็นเศรษฐีน้ำมัน "

ผมเอาข้อมูลอีกด้านจาก CIA World Factbook ที่ลัทธิเศรษฐีน้ำมันชอบนำมาอ้างมาฝาก

- ประเทศไทยมีการผลิตน้ำมันดิบ 378,200 บาเรลต่อวัน ติดอันดับ 32 ใกล้เคียงกับ OPEC บางประเทศจริง
- แต่ยอดการนำเข้าน้ำมันดิบของเราสูงถึง 807,400 บาเรลต่อวัน เป็นอันดับ 25 ของโลก เพราะเราผลิตได้ไม่พอใช้
- ในขณะที่ประเทศในกลุ่ม OPEC ที่อยู่ใกล้เราที่สุดคือเอกวาดอ 500,700 บาเรลต่อวัน (อันดับที่ 30) เราผลิตได้มากกว่าจริง แต่ยอดการนำเข้าน้ำมันดิบของเอกวาดอ == 0 รวมถึงประเทศในกลุ่ม OPEC ทั้งหมดไม่มีใครต้องนำเข้าน้ำมันดิบ เพราะเค้ามีน้ำมันดิบมากพอสำหรับการใช้งานในประเทศและส่งออก
- ประเทศบรูไน ผลิตน้ำมันดิบ 141,300 บาเรลต่อวัน อันดับ 44 น้อยกว่าประเทศไทย แต่เค้าก็ไม่ต้องนำเข้าน้ำมันดิบเช่นกัน
- ส่วนประเทศซาอุ ผลิตได้วันละ 10 ล้านบาเรล ห่างจากไทยไปไกล
- การผลิตและบริโภคแก๊ซธรรมชาติ เรายังมีไม่พอใช้เช่นกัน แต่ประเทศที่มั่งคั่งพลังงานเค้ามีกันเหลือเฟือ

---

คราวนี้ลองมาดูยอดการผลิตน้ำมันดิบในประเทศและยอดการนำเข้าน้ำมันดิบ (บาเรล/วัน) เปรียบเทียบราคาน้ำมันที่ปั๋มกันบ้าง (บาท/ลิตร) (ข้อมูลจาก Bloomberg)

ตัวอย่างประเทศที่ผลิตน้ำมันดิบได้มากกว่านำเข้า
- อินโดนีเซียผลิตได้วันละ 982,900 บาเรล นำเข้า 324,900 บาเรลต่อวัน ราคาน้ำมันลิตรละ 31 บาท
- อเมริกาผลิตได้วันละ 9.2 ล้านบาเรลต่อวัน นำเข้า 9.0 ล้านบาเรลต่อวัน ลิตรละ 29 บาท
- มาเลย์เซียผลิตได้ 603,400 บาเรลต่อวัน นำเข้า 199,100 บาเรลต่อวัน ลิตรละ 25 บาท
- พม่าผลิตผลิตได้ 20,200 บาเรลต่อวัน แต่ไม่ต้องนำเข้าน้ำมันดิบเลย ลิตรละ 24 บาท

ตัวอย่างประเทศที่ผลิตน้ำมันดิบได้น้อยกว่านำเข้า และราคาน้ำมันหน้าปั๊ม
- อิตาลีผลิตได้วันละ 99,200 นำเข้า 1.5 ล้าน ลิตรละ 66 บาท
- ฝรั่งเศสผลิตได้วันละ 49,530 นำเข้า 1.4 ล้าน ลิตรละ 63 บาท
- เยอรมันผลิตได้วันละ 165,300 นำเข้า 1.96 ล้าน ลิตรละ 62 บาท
- ฮ่องกง นำเข้าน้ำมันสุก 100% ลิตรละ 63 บาท
- ญี่ปุ่นผลิตได้วันละ 17,480 นำเข้า 3.3 ล้าน ลิตรละ 56 บาท
- เกาหลีใต้ผลิตได้วันละ 19,990 นำเข้า 2.3 ล้าน ลิตรละ 57 บาท
- ออสเตรเลียผลิตได้วันละ 19,900 นำเข้า 2.3 ล้าน ลิตรละ 51 บาท
- สิงค์โปรผลิตได้ 0 นำเข้า 883,500 น้ำมันหน้าปั๊มลิตรละ 49 บาท
* ประเทศไทย ผลิตได้ 378,200 นำเข้า 807,400 ราคาน้ำมัน 45-48 บาท

---

ปล. มีประเทศน่าสนใจที่ผลิตน้ำมันดิบได้มากกว่านำเข้า แต่ราคาน้ำมันสูงมากอย่าง
- อังกฤษ 1.09 ล้าน นำเข้า 942,100 ลิตรละ 63 บาท
- นอร์เวย์ 1.99 ล้าน นำเข้า 19,960 ลิตรละ 82 บาท (แพงที่สุดในโลก)

ประเทศกลุ่มนี้ราคาน้ำมันแพงด้วยเหตุผลหลายอย่างเช่นต้องการลดการใช้พลังงาน หรือเอารายได้จากภาษีไปบำรุงระบบการศึกษาและโครงส้รางพื้นฐานของประเทศ

ด้านบนนี้ เป็นข้อมูลที่มาจากเว็บที่ลัทธิรวยน้ำมันชอบนำมา(เลือก)อ้าง(ด้านเดียว)ล้วน ๆ

จริง ๆ ไม่มีอะไร (ความเกลียด)ทักษินอยู่เบื้องหลังทุกเหตุการณ์

อ้างอิง:
http://1.usa.gov/XwpXDu
http://bloom.bg/MUYyf3


...........................................................................................................................


นักวิทย์ให้กำเนิด oxygen microparticle อนุภาคที่จะทำให้คุณ ” มีชีวิตอยู่ได้ ” แม้ ” ไม่หายใจ ” !!
oxygen microparticle - มนุษย์สามารถดำรงชีพอยู่ได้ ด้วยกระบวนการหายใจ ( breathing ) ที่ทำหน้าที่ ในการลำเลียงออกซิเจน เข้าสู่ปอด ก่อนเมตาบอลิซึ่มระดับเซลล์ ขึ้นไปตามอวัยวะต่างๆ ถ้าคุณไม่สามารถหายใจได้ จะทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดออกซิเจน มีโอกาสตายหรือเป็นอัมพาฒได้อย่างง่ายดาย และจะเป็นยังไงถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ได้แม้ ” ไม่หายใจ “ ด้วยความสำเร็จของไมโครออกซิเจน oxygen microparticle ที่ฉีดเข้าสู่กระแสเลือด !!

ผลงานวิทยาศาสตร์การแพททย์ชิ้นโบว์แดง oxygen microparticle นี้ถูกรายงานขึ้นบน ScienceDaily โดย Dr. John Khier แห่ง Boston Children’s Hospital ใช้เวลาคิดค้นและออกแบบมันขึ้นมากว่า 6 ปี เพื่อช่วยให้ทีมแพทย์มีเวลาในการช่วยเหลือผู้ป่วยซึ่งอยู่ในภาวะระบบหายใจล้มเหลว โดยที่พวกเค้าไม่จำเป็นต้องหายใจใน 15 – 30 นาที หลังจากฉีด oxygen microparticle

oxygen microparticle สร้างขึ้นด้วยอุปกรณ์ sonicator ซึ่งใช้คลื่นความถี่สูง ในการผสมก๊าสออกซิเจนเข้าไปในโมเลกุลไขมัน ( fatty molecules ) ได้อนุภาคออกซิเจนที่รอบล้อมไปด้วยไขมันที่ทั้งเล็กและยืดหยุ่น มันจึงสามารถแทรกสู่เส้นเลือดฝอยได้อย่างง่ายดาย โดยเข้าไปเพิ่มระดับออกซิเจนในเม็ดเลือดแดง และป้องกันภาวะ embolisms อากาศหลุดเข้าสู่ หลอดเลือดดำ ทำให้การผ่าตัดปลอดภัยมากขึ้น

โซลูชั่น oxygen microparticle ตัวนี้ ประสบความสำเร็จ หลังจากทดลองโดยสัตว์ที่ภาวะปอดล้มเหลว และทีมแพทย์ระบุว่า เมื่อมันได้ถูกฉีดเข้าสู่หลอดเลือดดำของผู้ป่วย จะทำให้ออกซิเจนในเลือดเข้าสู่ระดับปกติ เมื่อนั้นเองที่คุณจะพบว่าชีวิตเป็นสิ่งมหัศจรรย์ และนาทีนั้นมีค่ามากมายขนาดไหน !!!!

ที่มา.www.tech.mthai.com


.................................................................................................................................


มีที่นารกร้างแปลงหนึ่ง เจ้าของเพิกเฉย ทำนา นาก็ล่ม เพราะไม่ใส่ใจดูแล

เราเป็นชาวนา เราไปเช่านาเขาทำ สัญญาว่าจะแบ่งผลกำไรให้เจ้าของนา ให้เขามากกว่าให้ตัวเองเก็บไว้ทำทุน

ลงทุนลงแรงมากมาย ปลูกข้าวจนงาม ข้าวราคาดี มีผลกำไร ส่งให้เจ้าของนา จ่ายภาษี จ่ายหนี้ที่ยืมมาซื้อเมล็ดพันธุ์ ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย จ่ายเงินให้เพื่อนฝูงที่มาร่วมลงแขกทำนา ชุมชนเจริญก้าวหน้าเพราะเราทำนาดี

จู่ๆ มีลูกน้องเจ้าของนา ยุเจ้าของนาว่า ไอ้นี่ขายข้าวได้กำไรดี ท่านเป็นเจ้าของที่ดินผืนนา ไอ้นี่มันขูดรีดท่าน ท่านต้องยึดนากลับมาทำเอง

เจ้าของนายึดที่นากลับไปให้ลุกน้องคนยุบริหาร นาล่ม นาแล้งแห้งตาย เพราะลุกน้องเจ้าของนาทำนาไม่เป็น ไม่รู้จักไล่เพลี้ยกระโดดที่สูบกินข้าวในนา ไม่รู้จักใส่ปุ๋ยพรวนดิน ไม่รู้จักตอบแทนคนงานที่จ้างมาช่วยทำนา

ชุมชนยากจน ล้าหลัง เจ้าของนาต้องจ่ายเงินให้ลุกน้องไปทำนาใหม่เพิ่มทุกปีจนเจ้าของนาไม่มีเงินทำอย่างอื่น

...............................................

นิทานเรื่องนี้อาจเป็นจริงได้ ถ้าเราไม่ช่วยกันตั้งแต่วันนี้...


.................................................................................................................................




:3 ต้องพูดช้าาๆชัดๆ

5555

via "ตะกอนความคิด"


...............................................................................................................................


...............................................................................................................................







































































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น