วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

01/04/2556



เห็นบ่นกันเยอะเรื่องสร้างรถไฟ ผมว่าพอสร้างเสร็จแม่งก็มาใช้กันอยู่ดี


................................................................................................................




[ Art ] Food Art: จับ 'นกฮูก' จัดใส่จานอาหาร

Via: redhongyi.com


......................................................................................................................



เจ็บยังไม่พอใช่หรือป่าวววว T_____T

........................................................................................................................




Make the lie big, make it simple, keep saying it, and eventually they will believe it.

“จงโกหกคำโต พูดจาเรียบง่าย พูดไปเรื่อย ๆ และในที่สุดพวกเขาก็จะเชื่อตามนั้น”

Adolf Hitler


..................................................................................................................


แปลกใจไหม.....ทำไมพระไทยถึงตอบได้ทุกคำถามในโลก


http://blogazine.in.th/blogs/buddhistcitizen/post/3854

................................................................................................................



...................................................................................................................




น่าจะติด top 3 ของสุดยอดคำไทยที่ได้ยินกันบ่อยที่สุด


....................................................................................................................


การขนส่งระบบราง มันควรจะเป็น "โครงสร้างพื้นฐาน" ของประเทศ
ทุกวันนี้รางรถไฟเมืองไทยเป็น "รางเดี่ยวแบบแคบ" ที่รถวิ่งสวนกันไม่ได้
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือการอัพเกรดให้มันเป็น "รางคู่" ไม่ใช่แค่เรื่องรถไฟความเร็วสูงอย่างที่เข้าใจกัน

มันก็เหมือนบอกว่าทุกวันนี้ทางหลวงประเทศมี 1 เลน นั่นแหละ
รถไฟรางคู่ ก็เหมือนการขยายถนนให้มี 2 เลน มี 4 เลน นั่นเอง

ทีนี้ถ้ามันเหมือนถนน มันก็ควรเป็นโครงสร้าง "พื้นฐาน" ที่บางทีมันไม่ต้องดูด้วยซ้ำว่าจะกำไรหรือขาดทุน

มีใครเคยถามไหมว่ากรมทางหลวงกำไร หรือ ขาดทุน? บริการของทหาร ตำรวจ นี่รัฐลงทุนทำเองแล้วได้กำไรไหม?

บางทีมันอาจควรมองเป็น public good หรือเปล่า คือเป็นสิ่งที่ทุกคนจ่ายกันแล้วทุกเดือนผ่านภาษี เพราะมันจะพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมในภาพใหญ่แทน

รถไฟความเร็วสูงนี่เป็นของพรีเมียมแน่นอน ไม่มีใครเถียง เหมือนทางด่วน เหมือนโทลล์เวย์

แต่รถไฟรางคู่ -- โดยเฉพาะตัวราง -- นี่ผมว่าควรมองมันเป็นเรื่องพื้นฐาน เหมือนทางหลวง มันไม่มีกำไรก็ไม่แปลก ไม่ต้องคุยกันเรื่องทำแล้วจะเจ๊งหรือเปล่า บางที KPI มันควรอยู่ที่ทำแล้วต้องมีคนใช้มากกว่า


.................................................................................................................................


เพื่อนๆมันถามในวงเหล้า

เพื่อน : เอาปล่าวเป็นหนี้ 50 ปีแลกระบบ Logistics
คุณ : ในฐานะประชาชน กูเอา ในฐานะสื่อ กูตรวจสอบวิธีกู้ วิธีดักทางการคอรัปชั่น วิธีใช้คืน ประสิทธิภาพของโครงการยันราคา
เพื่อน : มึงเอานครรัฐปัตตานีเปล่าวะ
คุณ : ในฐานะประชาชนไทย กูเอา เพราะถ้ามันจะเกิดสันติภาพ ทหาร พระ ครู ชาวบ้านพุทธ จะได้เลิกเสียชีวิต อีกอย่างเขามีสิทธิ์ที่จะเสนอทุกวิธีแก้ปัญหาถ้ามันแก้ได้จริงๆ ในฐานะสื่อกูต้องตรวจสอบวิธีการเจรจา ใครบ้างเจรจา โครงสร้างแบบไหนเหมาะสม รวมไปถึงการสอบถามจากเสียงคนในพื้นที่
เพื่อน : กูว่ามึงเป็นพวกล้มเจ้าแล้วแหล่
คุณ : อ้าว สัส เป็นงั้นไป เวรของกู


..............................................................................................................................


บิ๊กบอส ปตท. "ไพรินทร์" เคลียร์ปมร้อน "พลังงานไทย"


http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1364660292&grpid=09&catid=04&subcatid=0401

...........................................................................................................................



ก็เป็นซะอย่างนี้ จะให้ครูมีปิดเทอมกับเขาบ้างไม่ได้รึไง
ถามให้แบบคล้องจองเลยด้วยนะครับ แหม่
 

................................................................................................................................



ถ้าท่านจะกรุณาฟังความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ดูบ้าง...ก็จะดีไม่น้อยนะครับ
 

.............................................................................................................................


โครงการ 30 บาท ถึง พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้าน พิสูจน์ วิสัยทัศน์


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1364620334&grpid=01&catid&subcatid

Supapong Wanitpongpan จาก Status : คุณSompop Ntv
"ใครเอ่ย ค้านทุกเรื่อง ตั้งแต่ 30 บาทรักษาทุกโรค"
อ้างประชาชน แต่ไม่รับใช้ประชาชน


Supapong Wanitpongpan จาก Status เพจ : สมวารีพักตร์
เห็นบรรยากาศการอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 28 มีนาคม แล้ว ให้บังเกิดการระลึกชาติไปยังบรรยากาศการอภิปรายในที่ประชุมสภาเมื่อ 12 ปีก่อน
เพราะมีทั้ง "ความเหมือน" และ "ความต่าง"
ต่างตรงที่เมื่อ 12 ปีก่อนเป็นการ
อภิปรายในเรื่องอันเกี่ยวกับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ขณะที่ ณ วันนี้ เป็นการอภิปรายในเรื่องอันเกี่ยวกับร่างกฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ...

..เหมือนตรงที่ฝ่ายที่ลุกขึ้นมาคัดค้านต่อต้านอย่างชนิดหัวชนฝายังเป็นพรรคประชาธิปัตย์และยังเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เนื้อหายังเหมือนเดิม คือ จะเอาเงินมาจากไหน...

- พรรคห่านี่แม่งฉายเทปซ้ำนี่หว่า....


Supapong Wanitpongpan จาก Status เพจ : สหภาพเกลือเป็นหนอนแห่งประเทศไทย
ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์อันแตกต่างอย่างฟ้ากับเหว ยังสะท้อนถึงแนวคิดพื้นฐานของการพัฒนาและการไม่ยอมพัฒนา

อ้างประชาชน แต่ไม่รับใช้ประชาชน - #NO112


........................................................................................................................



มั่นใจว่าเฉลี่ยต่อวันก็ยังแจกมากกว่าดาราซะอีก แหม่
("เซ็นชื่อ" มาจากภาษาอังกฤษคือ sign ซึ่งไม่มีตัว t ดังนั้นจึงไม่มี ต์ นะครับ)


.......................................................................................................................


เรื่องมันเก่าไปแล้ว
แต่อย่าลืมก็ละกัน!
มาดูอภิสิทธิ์ คุยกันเองกันอีกซักรอบดีกว่าครับ...

อภิสิทธิ์ ปี 51 : เมื่อมีประชาชนออกมาเรียกร้อง จะหนึ่งเสียงหรือแสนเสียงรัฐบาลก็ต้องรับฟัง
อภิสิทธิ์ ปี 55 : ผู้ชุมนุมทำผิดกฎหมายครับ
อภิสิทธิ์ ปี 51 : ผู้ชุมนุมอาจจะทำผิด แต่รัฐไม่มีสิทธิ์ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม
อภิสิทธิ์ ปี 55 : เราอยู่ในสถานการณ์ผู้ชุมนุมมีอาวุธ
อภิสิทธิ์ ปี 51 : ผมไม่นึกเลยว่าเราจะมีรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชนแล้วยังโยนความผิดกลับไปให้ประชาชน เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้อย่างยิ่ง
อภิสิทธิ์ ปี 55 : เราไม่ได้ใช้ความรุนแรง เราแค่ไปตั้งด่าน แต่โชคร้ายที่มีคนเสียชีวิตเพราะโดนลูกหลง
อภิสิทธิ์ ปี 51 : ผมสนใจว่าต้องมีคนรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชนครับ
อภิสิทธิ์ ปี 55 : การชุมนุมทั่วโลกที่มีคนตาย ผมไม่เห็นต้องมีนายกรัฐมนตรีคนไหนต้องรับผิดชอบเลยครับ


........................................................................................................................


สลิ่มศรี : อีปูนี่แม่งปัญญาอ่อนจริงๆ
ควายแดง : ทำไมล่ะ
สลิ่มศรี : ก็คิดดูสิ กู้เงิน 2.2 ล้านล้าน เอามาทำรถไฟฟ้า เพื่อขนผักเนี่ยะนะ
ควายแดง : เออ คิดไปได้เน๊าะ
สลิ่มศรี: เห็นไหมล่ะ ตาสว่างแล้วไหมละมึง
ควายแดง: ไม่ พวกมึงเนี่ยะแหละที่คิดไปได้ ประเทศอื่นๆที่เขาพัฒนาแล้ว เขาสร้างรถไฟฟ้ามาไว้ขนผักอย่างเดียวหรือไง ...ไอ้สัส

แฟนเพจฝากมา


...........................................................................................................................


ต่อคิวทำไมอะ โง่ปล่าว


http://pantip.com/topic/30312007

........................................................................................................................




ขอบคุณคุณ @Bj Buhiran เจ้าของภาพนะครับ
แอดมินขอนำมารีโพสต์หน้าเพจเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นได้เห็นด้วยนะครับ


........................................................................................................................

แก้รัฐธรรมนูญ ‘เพื่อใคร’ หรือ ‘เพราะใคร’ ?



วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ 
นักกฎหมายอิสระ 
---


     ความพยายามล่าสุดในการแก้ไข 'รัฐธรรมนูญ' รายมาตราที่กำลังดำเนินการอยู่ แท้ที่จริงแล้ว เป็นเรื่องที่มีนัยเกี่ยวกับ ‘ฝ่ายตุลาการ’ ทั้งสิ้น

     ไม่ว่าจะเป็นกรณี มาตรา 68 ที่ให้ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ตรวจสอบผู้ใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครอง

     หรือ กรณี มาตรา 190 ที่ให้ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ตรวจสอบการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ

     หรือ กรณี มาตรา 237 ที่ให้ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ยุบพรรค-ตัดสิทธิ ทางการเมืองได้

     หรือแม้แต่กรณีสมาชิกวุฒิสภา ก็ไม่พ้นประเด็น ‘กระบวนการสรรหา’ ที่มี ‘ฝ่ายตุลาการ’ เกี่ยวข้องเช่นกัน

     ผู้เขียนเห็นว่า แม้มาตราเหล่านี้อาจมีปัญหาเชิงหลักการที่ถกเถียงกันได้ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจไม่จำเป็นเสมอไป ตราบใดที่เรายังพึ่งพา 'หลักคิด' และ 'คุณภาพ' ของ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ในฐานะ ‘ผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ’ ได้

     ศาลสามารถทำหน้าที่ ‘พิทักษ์รัฐธรรมนูญ' ได้โดยการตีความ 'รัฐธรรมนูญ' อย่างพอเพียงและไม่เกินตัว กล่าวคือ ตีความให้สมเจตนารมณ์ตามขอบเขตของดุลแห่งอำนาจ บนพื้นฐานของตรรกะเหตุผลที่ลึกซึ้งหนักแน่นจนแม้ไม่เห็นด้วยกับศาลแต่ก็พร้อมเคารพต่อการตีความของศาล

     คำถามคือ ที่ผ่านมา 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ได้ทำหน้าที่ ‘พิทักษ์รัฐธรรมนูญ' มากน้อยเพียงใด หรือ 'รัฐธรรมนูญ' กำลังมีปัญหาเพราะ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' เสียเองหรือไม่ ?

     ด้วยความเคารพต่อ 'รัฐธรรมนูญ' ผู้เขียนจำต้องกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมว่า การพยายามแก้ไข 'รัฐธรรมนูญรายมาตรา' ครั้งนี้ ในทางหนึ่ง ก็คือปรากฏการณ์ ‘แรงสะท้อนกลับ’ (backlash) ที่ฝ่ายการเมืองจำเป็นต้องแก้ปัญหาที่ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' เป็นผู้สร้างขึ้นมานั่้นเอง

     ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง ‘ปัญหา’ ที่เกิดจากการตีความ มาตรา 68 โดย 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ดังนี้

     กรณีการตีความ มาตรา 68  นั้น หลายฝ่ายหลงเข้าใจว่ามีปัญหาเฉพาะประเด็น ‘สิทธิการยื่นคำร้อง’ ว่าต้องฟ้องโดย ‘อัยการสูงสุด’ เท่านั้นหรือไม่ แต่ปัญหาเชิงหลักการที่หนักหนายิ่งกว่าก็คือ การบิดเบือนตัวบทรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มอำนาจให้ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' กลายเป็น ‘องค์กรอภิรัฐธรรมนูญ’ ที่มีอำนาจอยู่เหนือรัฐธรรมนูญและองค์กรอื่นใดทั้งปวง

     รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคแรก บัญญัติว่า
“บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้”  

     ผู้เขียนย้ำว่า ถ้อยคำของ มาตรา 68 ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเฉพาะการกระทำที่เป็นการ “ใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” เพื่อล้มล้างการปกครอง...ฯ เท่านั้น ซึ่ง “การใช้สิทธิเสรีภาพ” ย่อมเป็นคนละเรื่องกับ การใช้อำนาจหน้าที่ เช่น การลงมติสนับสนุนหรือเห็นชอบการแก้ไข มาตรา 291

     ลักษณะสำคัญของ “การใช้สิทธิเสรีภาพ” คือ ผู้กระทำได้อ้าง “สิทธิเสรีภาพ”  เพื่อประโยชน์ของตนตามที่ตนปราถนาโดยปลอดจากสภาพบังคับ และจะใช้หรืออ้าง “สิทธิเสรีภาพ” หรือไม่ก็ได้

     เช่น การที่พรรคการเมืองจัดกิจกรรมเพื่อยุยงให้ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือ การที่ประชาชนนัดชุมนุมเพื่อทำให้คณะรัฐมนตรี รัฐสภาหรือศาลไม่อาจทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น

     แต่ “การใช้อำนาจหน้าที่  นั้น หมายถึง ผู้กระทำมิอาจเลือกได้อย่างอิสระว่า ตนจะกระทำหรือไม่กระทำเพื่อประโยชน์ของตนตามที่ปรารถนาโดยปลอดจากสภาพบังคับ แต่เป็นกรณีที่ผู้กระทำถูกกำหนดให้กระทำไปเพราะมีอำนาจหน้าที่ต้องกระทำ หรือต้องใช้ดุลพินิจและกระทำไปตามกลไกตามรัฐธรรมนูญ

     เช่น การที่สมาชิกรัฐสภาจะเสนอญัตติ หรือออกเสียงลงคะแนน หรือกระทำการอื่นที่เกี่ยวกับการแก้ไข มาตรา 291  ก็ถือเป็น “การใช้อำนาจหน้าที่  ซึ่งการใช้ดุลพินิจย่อมไม่อิสระ แต่อยู่ภายใต้ มาตรา 122  กล่าวคือ จะอ้างว่ามีเสรีภาพใช้ดุลพินิจเพื่อตนเองหรือผู้ใดผู้หนึ่งไม่ได้ ส่วนผู้ที่ไม่ได้ร่วมเสนอญัตติ จะอ้างสิทธิเสรีภาพว่าขอละเว้น ไม่รับรู้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการประชุมพิจารณาญัตติในสภาก็ไม่ได้ เช่นกัน เป็นต้น

     ข้อที่สำคัญกว่านั้น คือ หากมี “การตีความปะปน” ว่า “การใช้อำนาจหน้าที่” ตามรัฐธรรมนูญ กลายเป็น “การใช้สิทธิเสรีภาพ” ตาม มาตรา 68 ไปเสียแล้ว ก็จะส่งผลแปลกประหลาดทำให้ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’  กลายเป็นองค์กรที่มีเขตอำนาจล้นพ้น สามารถรับเรื่อง ‘การใช้อำนาจหน้าที่’ ขององค์กรต่างๆ มาวินิจฉัย ได้มากมาย เช่น

- การใช้อำนาจของคณะองคมนตรีในการเสนอชื่อผู้สมควรเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตาม มาตรา 19

- การใช้อำนาจตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อยุบสภาตาม มาตรา 108

- การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีตาม มาตรา 158

- การใช้อำนาจของรัฐสภาในการเห็นชอบการประกาศสงครามตาม มาตรา 189

     กรณีเหล่านี้ ตลอดกรณี ‘การใช้อำนาจหน้าที่’ อื่นตามรัฐธรรมนูญนั้น ก็ล้วนอาจถูกตีความให้กลายเป็น ‘การใช้สิทธิเสรีภาพ’ ให้ศาลตรวจสอบได้

            หรือแม้แต่การเสนอร่างกฎหมายในระบบสภาก็ตาม หากมีผู้อ้างว่าเป็นการ “ใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” เพื่อล้มล้างการปกครอง...ฯ ก็จะกลายเป็นว่า การตรากฎหมายใดๆ ก็สามารถถูกตรวจสอบโดยศาลได้ โดยไม่ต้องรอให้มีการพิจารณาตามวาระของรัฐสภาเสียด้วยซ้ำ และอาจนำไปสู่การยุบพรรคหรือตัดสิทธิทางการเมืองได้อีกด้วย !

     การตีความเช่นนี้เอง ก็คือ การบิดเบือนตัวบท มาตรา 68 เพื่อเพิ่มอำนาจให้ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' กลายเป็น ‘องค์กรอภิรัฐธรรมนูญ’ ที่มีอำนาจอยู่เหนือรัฐธรรมนูญและองค์กรอื่นใด

     ส่วนข้ออ้างว่าเป็นการเพิ่มอำนาจหรือขยายสิทธิเสรีภาพให้ประชาชนนั้น ไม่อาจรับฟังได้ เพราะไม่มีการขยายสิทธิเสรีภาพใดที่เกิดขึ้นได้จากการบิดเบือนตัวบทรัฐธรรมนูญของประชาชนเสียเอง

     ส่วนเรื่อง ‘สิทธิการยื่นคำร้อง’ ที่ไม่ควรฟ้องโดยตรงไปยังศาลได้นั้น ก็สำคัญเช่นกัน สมควรย้ำว่าเหตุที่ ‘อัยการสูงสุด’ มีบทบาทจำเป็นในการกรองคดี เป็นเพราะศาลไม่มีทรัพยากรที่จะไปตรวจสอบหรือสืบสวนการ ‘ล้มล้างการปกครองฯ...’ ซึ่งอาจมีข้อเท็จจริงและพฤติกรรมที่ต้องอาศัยพยานหลักฐานจำนวนมาก การแบ่งหน้าที่การทำงานเช่นนี้ คือ หลักการถ่วงดุลสำคัญในกระบวนการยุติธรรมมิให้ศาลเป็นผู้เลือกคดีมาตัดสินได้เอง

     เห็นได้จากคดีอื่นในทางมหาชน เช่น คดีทุจริต หรือ คดีพรรคการเมือง ก็จะมี อัยการ ป.ป.ช. หรือ กกต. เป็นผู้นำคดีมาสู่ศาล หรือ หากเป็นคดีที่ฟ้องตรงได้ต่อศาล ก็จะต้องเป็นกรณีที่วินิจฉัยข้อกฎหมายและมีข้อจำกัดในเรื่องผู้มีสิทธินำคดีมาสู่ศาล อีกทั้งป้องกันการกล่าวอ้างสารพัดมาเพื่อสร้างภาระคดีต่อศาลโดยตรง

     ยิ่งไปกว่านั้น การที่ มาตรา 68 ให้ศาลมีอำนาจ ‘ยุบพรรคการเมือง’ หรือ ‘ตัดสิทธิทางการเมือง’ ก็คือการให้ตุลาการถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมี ‘อัยการ’ เป็นกลไกในการกรองคดี แต่หากศาลตีความเพิ่มอำนาจให้ตนเองได้อย่างกว้างขวางแล้ว ก็จะเป็นช่องทางให้มีผู้ใช้ตุลาการเป็นอาวุธทางการเมือง ซึ่งก็จะกลับมาทำร้ายตุลาการในที่สุด

     ที่น่าหนักใจที่สุดก็คือ หาก ‘สิทธิการยื่นคำร้อง’ ตามมาตรา 68 ถูกตีความอย่างพร่ำเพรื่อ เช่น อ้างอำนาจตุลาการมายับยั้งการใช้ดุลพินิจของผู้แทนปวงชนได้ทุกกรณีแล้วไซร้ สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ นี้เองอาจกลับกลายมาถูกนำมาใช้ในทางที่เป็น ‘ปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ’ ทำลายหลักการแบ่งแยกอำนาจ ละเมิดประชาธิปไตย ดูถูกเจตจำนงและสติปัญญาทางการเมืองของประชาชน ส่งผลให้เป็นการตัดโอกาสการเรียนรู้ที่ประชาชนและองค์กรอื่นจะตรวจสอบผู้ใช้อำนาจตามครรลองรัฐธรรมนูญ อันล้วนขัดต่อหลักการใช้สิทธิตาม มาตรา 28 ในที่สุด

     แต่เมื่อ ‘รัฐสภา’ ทราบดีว่าตนไม่มีอาจแก้ต้นเหตุแห่งปัญหาได้ ‘รัฐสภา’ จึงต้องร่วมพิทักษ์รัฐธรรมนูญเท่าที่ทำได้ โดยการแก้ไข ‘รัฐธรรมนูญ’ เช่น มาตรา 68 ซึ่งชัดเจนอยู่แล้ว ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเสียจนไม่อาจถูกนำไปบิดเบือนได้ แม้จะไม่มีสิ่งใดประกันผลแห่งเจตนานี้ได้ก็ตาม.


.............................................................................................................



บางทีผมก็อยากโกหกดูนะ อยากรู้ว่าจะเป็นยังไง


...................................................................................................................


.......................................................................................................................




รู้หรือไม่ครับว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 "ทรงประกาศเลิกทาส" ในวันที่ 1 เมษายน

Credit : EDTguide.com


..........................................................................................................................


.............................................................................................................................




กดแชร์กันหน่อยนะคะ ได้บุญเยอะๆค่ะ สาธุ -/l\-


555++

........................................................................................................................







































































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น