วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

29/04/2556

โครงการปรับปรุงทางรถไฟ ระยะที่ 5 และระยะที่ 6 (Track  Rehabilitation  Project)
  • ความเป็นมา
           รางและหมอนรองรางเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของโครงสร้างทางรถไฟทำหน้าที่กำหนดทิศทางการเคลื่อนที่ของขบวนรถไฟและรับน้ำหนักโดยตรงจากขบวนรถ ซึ่งถ่ายทอดลงสู่ราง หมอนรองราง หินโรยทางและดินคันทางตามลำดับ รางและหมอนรองราง
จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความแข็งแรงของทาง ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยในการเดินรถ ดังนั้น การบำรุงรักษาทางรถไฟให้สามารถรองรับการเดินรถ ได้อย่างปลอดภัยตลอดเวลานั้น รางและหมอนรองรางจะต้องอยู่ในสภาพที่แข็งแรงเพียงพอ อีกทั้งมีขนาดและมีคุณสมบัติ ที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพการเดินรถไฟ
           การรถไฟฯ จึงได้ดำเนินโครงการปรับปรุงโครงสร้างทางรถไฟโดยเปลี่ยนมาใช้รางที่มีขนาดใหญ่ ขึ้นและใช้หมอนคอนกรีตแทนหมอนไม้เพื่อให้สอดรับกับ
จำนวนขบวนรถ น้ำหนักกดเพลาและความเร็วของขบวนรถที่เพิ่มขึ้น โดยได้ปรับปรุงทางรถไฟ (Track Rehabilitation) ระยะที่ 1, 2 และ 3 ในทางประธานสายเหนือจากลพบุรี – ชุมแสง - พิษณุโลก และสายใต้จากหัวหิน – บ้านกรูด – ไชยา - ทุ่งสง รวมระยะทางทั้งสิ้น 791 กิโลเมตร ซึ่งแล้วเสร็จเมื่อปี 2545
           เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินรถขนส่งอย่างต่อเนื่องการรถไฟฯ ได้วางแผนที่จะดำเนินโครงการปรับปรุงทางระยะที่ 4, 5 และ 6 ต่อไป แต่เนื่องจากสถานการณ์ในการดำเนินการขออนุมัติโครงการไม่เป็นไปตามแผน
ในขณะที่โครงสร้างทางมีสภาพเสื่อมโทรมลงโดยเฉพาะในทางประธานสายใต้ ช่วง ทุ่งสง – บ้านต้นโดน ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่การเดินรถ การรถไฟฯได้ดำเนินการเปลี่ยนราง เปลี่ยนหมอนภายใต้ชื่อโครงการเสริมความมั่นคงทางรถไฟ (Track Strengthening) แทนโครงการปรับปรุงทางระยะที่ 4 ในเส้นทางสายเหนือช่วงพิษณุโลก – บ้านด่าน และสายใต้ ช่วงชุมทางบางซื่อ – บ้านฉิมพลี และช่วง ชุมทางทุ่งสง – บ้านต้นโดน
           สำหรับโครงการปรับปรุงทางระยะที่ 5 ระยะทาง 308 กม. และระยะที่ 6 ระยะทาง 278 กม. รวมระยะทาง 586 กม. กำหนดดำเนินการในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเป็นโครงการตามแผน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟฯ ระยะเร่งด่วน (พ.ศ. 2553 – 2557) และได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการได้ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2554



  • วัตถุประสงค์
    • เพิ่มความแข็งแรงของทางรถไฟให้เหมาะสมกับสภาพการเดินรถในปัจจุบันและอนาคต
    • หยุดยั้งการเกิดรางหักรางร้าวในทางประธานอันเนื่องมาจากการใช้งานมานาน
    • เพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการเดินรถ
    • ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงทางรถไฟ  การซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน
    • เพิ่มความจุของทางเนื่องจากสามารถเพิ่มความเร็วสูงสุดขบวนรถจาก 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง        เป็น 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
    • เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารขณะใช้บริการการเดินรถ
  • ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
    Before
    After
    • เพิ่มความปลอดภัยในการเดินรถ  ลดอุบัติเหตุจากรางหัก/รางร้าว และขบวนรถตกราง
    • ลดปัญหาความล่าช้าของขบวนรถ  โดยสามารถรองรับการเพิ่มความเร็วของขบวนรถได้สูงสุดถึง      120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
    • สามารถรองรับน้ำหนักกดเพลาได้สูงขึ้นเป็น 20 ตันต่อเพลา เป็นผลให้สามารถเพิ่มน้ำหนักบรรทุก และสมรรถนะในการบรรทุกสินค้าได้ดีขึ้น รวมถึงสามารถลดการจัดหาจำนวนล้อเลื่อนได้ในอนาคต
    • ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษาทางรถไฟ
    • ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อนอันเนื่องมาจากสภาพทางรถไฟที่ดีขึ้น
    • เพิ่มความเร็วในการเดินรถเชิงพาณิชย์อันเป็นผลให้
      • ความจุของทางเพิ่มขึ้น  สามารถเพิ่มการเดินขบวนรถได้
      • เพิ่มประสิทธิภาพในการหมุนเวียนรถจักรและล้อเลื่อน
    • เพิ่มคุณภาพของการให้บริการและความสะดวก สบายให้แก่ผู้โดยสาร อันจะส่งผลให้จำนวนผู้โดย สาร  หันมาใช้บริการรถไฟมากขึ้น
    • สนับสนุนการพัฒนาระบบการจัดการขนส่งสินค้าและบริการ (Logistics) ทางรถไฟ
    • สนับสนุนให้มีการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง (Modal Shift)  มาใช้การขนส่งในระบบราง
       
  • ขอบเขตงานปรับปรุงทาง
    • งานโยธา  ประกอบด้วย
      • ปรับเปลี่ยนแนวทางโค้งแคบให้มีรัศมีอย่างต่ำ 1,000 เมตร เพื่อรองรับความเร็วขบวนรถที่เพิ่มขึ้น
      • ปรับปรุงคันทาง (Sub grade) และรางระบายน้ำ ในส่วนที่จำเป็น เพื่อให้การระบายน้ำดีขึ้น
      • เสริมความมั่นคงไหล่ทางและลาดตัดทาง ในส่วนที่จำเป็นโดยการตอกเข็ม
      • ปรับปรุงชานชาลาสถานีและหลังคาคลุมชานชาลาที่กำหนด เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับยกระดับรางใหม่
         
    ปรับเปลี่ยนรัศมีโค้งที่มีรัศมีต่ำกว่า 1,000 เมตร เป็นรัศมี 1,000 เมตรหรือมากกว่า

    เปลี่ยนหรือปรับปรุงดินคันทาง และรางระบายน้ำในจุดที่จำเป็น

    ป้องกันการกัดเซาะลาดคันทางและลาดดินตัด

    • งานทางรถไฟ  ประกอบด้วย
      • จัดหา และเปลี่ยนรางขนาดน้ำหนัก 100 ปอนด์/หลา แทนรางเดิมขนาดน้ำหนัก 70 ปอนด์/หลา
      • จัดหา และเปลี่ยนหมอนคอนกรีตอัดแรงพร้อมเครื่องยึดเหนี่ยวราง แบบสปริงแทนหมอนไม้เดิม
      • จัดหา และเปลี่ยนประแจทางหลีกให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้สัมพันธ์กับรางที่เปลี่ยนใหม่
      • ทำความสะอาดหินโรยทาง (Ballast)  และเปลี่ยน / เพิ่มความหนาหินโรยทางใหม่ให้ได้ตามมาตรฐานทางสายใหม่
      • ปรับปรุงทางหลีกในย่านสถานีให้สัมพันธ์กับระดับทางประธานใหม่ ปรับปรุงทางผ่านเสมอระดับให้ได้ตามมาตรฐานใหม่

    เปลี่ยนรางและประแจ เป็นขนาด ๑๐๐ ปอนด์/หลา

    เปลี่ยนหมอนไม้ในทางเป็นหมอนคอนกรีตชนิด โมโนบล็อก (Mono – Block)

    เปลี่ยนเครื่องยึดเหนี่ยวเป็นแบบสปริง

    เปลี่ยน/เพิ่มความหนาหินโรยทาง (Ballast) ใหม่  ให้ได้ตามมาตรฐานทางสายใหม่

    ปรับปรุงทางผ่านเสมอระดับทางรถไฟ

    • งานสะพาน  ประกอบด้วย
      • ยกระดับสะพานให้เสมอระดับทางใหม่
      • เสริมขอบกระบะสะพานคอนกรีต
      • เสริมความมั่นคงแข็งแรงสะพานเหล็กเพื่อรองรับน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา

    เพิ่มความแข็งแรงของสะพานและช่องน้ำ
               สำหรับงานเสริมความมั่นคงของทางรถไฟ (Track Strengthening)  จะมีการดำเนินการเฉพาะการ เปลี่ยนราง หมอนรองราง ประแจทางหลีก โดยไม่มีการปรับปรุงคันทาง เสริมความมั่นคงไหล่ทาง  รวมทั้งไม่มีการเปลี่ยน/เพิ่มความหนาของหินโรยทาง และการปรับปรุงทางหลีกในย่านสถานีให้สัมพันธ์กับรางประธานใหม่  ซึ่งมาตรฐานทางที่ได้จะไม่เทียบเท่าการดำเนินงานปรับปรุงทาง (Track Rehabilitation)

.............................................................................................................................


"ดอกเบี้ย" ต้องลดเท่าไหร่

ในที่สุดการหารือเรื่องค่าเงินบาทระหว่างคลัง แบงก์ชาติ สภาพัฒน์ ก็ยังไม่มีมาตรการอะไรออกมา เล่นเอาบรรดากองเชียร์ที่ลุ้นให้คลังบีบคอแบงก์ชาติ ลดดอกเบี้ย เกิดอาการฝันค้างไปตามๆ กัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้เห็นข้อมูลใหม่ หรือว่ายังคิดไม่ตกว่าจะใช้มาตรการใดก็ไม่ทราบได้

อันที่จริงคนที่ออกมาหนุนให้ "ลดดอกเบี้ย" ก็ไม่ได้มีข้อมูลมากมายว่า "ควรจะลดเท่าไหร่" จึงจะเหมาะ บอกแค่ว่าต้องลดดอกเบี้ยเพื่อสกัดไม่ให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้า เท่าที่ฟัง "กูรู" ในฟากนี้ส่วนใหญ่พูดตามทฤษฎีเดิมๆ และจากประสบการณ์เก่าๆ ส่วนกองเชียร์ก็เชียร์กันตามความรู้สึกชอบทางการเมืองเท่านั้นเอง

หากจะให้ดีต้องชัดเจนว่าควรจะลดเท่าไหร่ จึงจะได้ผล หากลดแค่ 25 สตางค์ จาก 2.75 บาท เหลือ 2.50 บาทจริง จะสกัดเงินทุนไหลเข้าได้อย่างไร ในเมื่ออัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่น 0% และอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 0.75%

แม้โดยส่วนตัวเคยเสนอให้ลองลดดอกเบี้ย แต่ก็ไม่เชื่อว่าจะได้ผล แค่ให้พวกเก็งกำไรทายใจเรายาก ขึ้นดีกว่าอยู่เฉยๆ

แต่หากลดดอกเบี้ยให้เห็นผลจริงๆ ต้องลดมากกว่า 25 สตางค์ อาจจะต้องถึง 1 บาทหรือมากกว่านั้นหรือไม่ แต่ถ้าลดลงนิดหน่อยหากลดไม่ได้ผลแล้ว กลับจะมีผลข้างเคียงตามมาเสียหายมากกว่า

เรื่องนี้จะต้องดูทั้งสองขาทั้งขานำเข้า ฝั่งผู้บริโภค และฝั่งผู้ส่งออกด้วยความรอบคอบและชอบธรรม

แต่ที่ผ่านมากระแสข่าวความเดือดร้อนของผู้ส่งออกมากลบกระแสอื่นๆ จนหมดสิ้นราวกับว่าบาทแข็งมีแต่เรื่องเลวร้าย ส่งออกมีแต่ให้ประโยชน์ จริงอยู่ส่งออกเป็นรายได้หลักตอนนี้ แต่อย่าลืมว่าทุกวันนี้กำลังซื้อในประเทศก็มีความสำคัญ และเกี่ยวข้องกับประชาชนทั้งประเทศ

หากลดดอกเบี้ยจริงๆ อย่างน้อยๆ คนที่มีเงินเก็บฝากเงิน กินดอกเบี้ยก็ได้รับผลกระทบ จะส่งผลให้การออมต่ำลง หรืออาจจะถอนเงินไปลงทุนในหุ้น ในทองคำ ที่ดิน เก็งกำไรบ้าน คอนโดฯ เสี่ยงที่จะไปทำให้เกิดฟองสบู่ได้ เป็นการไปสร้างปัญหาใหม่

หากรัฐมนตรีคลังจะให้ลดดอกเบี้ย ก็บอกให้ชัดเจนว่าลดเท่าไหร่ หากไม่ได้ผลก็ควรจะแสดงความรับผิดชอบ หากแบงก์ชาติไม่เชื่อ และไม่ปฏิบัติตามหากเกิดความเสียหาย ผู้ว่าฯแบงก์ชาติก็แสดงความรับผิดชอบเช่นกัน

มันต้องมีเดิมพันเล่นกันแบบแฟร์

เมืองไทย 25 น.
ทวี มีเงิน/ข่าวสดออนไลน์

..........................................................................................................


แนวคิดแบบ "ยิ่งอ่านยิ่งฉลาด" นี่อันตรายอย่างยิ่ง และไม่ควรปลูกฝังให้เด็กเชื่อเป็นอันขาด เพราะหนังสือจำนวนมากมายเข้าข่าย "ยิ่งอ่านแล้วยิ่งโง่" และหากอ่านไม่เป็นก็โง่ได้เช่นกัน

วินทร์ เลียววาริณ, 4 กรกฎาคม 2555

..........................................................................................................




เราต้องเอากองทัพเรือของ ประเทศกรุงเทพ เราไปยึดเกาะกงมาเป็นของเราให้ได้ ถ้าเรือมันสามารถแล่นบนบกได้นะครับ แหม่


#ชนชั้นกลาง

..............................................................................................................


สำหรับวันจันทร์ผู้มีแต่คนชิงชั
...
เมื่อเธอถามหาความสุข ทำไปเถิดในสิ่งที่เธอกำลังรักสุดหัวใจ
เมื่อเธอปรารถนาความสำเร็จ จงรักให้สุดหัวใจเถิดในสิ่งที่เธอกำลังทำ

.............................................................................................................




ตลกอเมริกันสำหรับวันจันทร์อันน่าสนุก
 
...........................................................................................................




คำแปลปาฐกถาพิเศษ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร การประชุมประชาคมประชาธิปไตย อูลัน บาตอ, มองโกเลีย 29 เมษายน 2013
โดย Yingluck Shinawatra (บันทึก) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2013 เวลา 8:47 น.

ท่านประธาน,
ท่านผู้มีเกียรติ,
ท่านผู้เข้าร่วมประชุม,

ดิฉันขอเริ่มด้วยการขอบคุณท่านประธานาธิบดีแห่งมองโกเลียที่ได้เชิญให้ดิฉันมาปาฐกถาณ การประชุมประชาคมประชาธิปไตยแห่งนี้

ดิฉันได้ตอบรับเชิญไม่เพียงเพราะดิฉันต้องการที่จะได้มีโอกาสเยือนมองโกเลียประเทศที่ประสบความสำเร็จในความเป็นประชาธิปไตย หรือไม่ได้มาเพียงที่จะได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยแต่ดิฉันเดินทางมาที่นี่เพราะความเป็นประชาธิปไตยมีความสำคัญต่อดิฉันอย่างมากและที่สำคัญยิ่งกว่าคือความไม่เป็นประชาธิปไตยมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศบ้านเกิดของดิฉันประเทศไทยที่ดิฉันรัก

ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่เป็นแนวคิดอุดมการณ์ใหม่ในช่วงเวลาที่ผ่านมายาวนานแนวทางประชาธิปไตยได้นำมาซึ่งความก้าวหน้าและความหวังสำหรับผู้คนจำนวนมากและในขณะเดียวกัน ผู้คนจำนวนมากได้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องรักษาและสร้างความเป็นประชาธิปไตย

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่ารัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ไม่ได้ได้มาฟรีๆ สิทธิ เสรีภาพและความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงมีความเท่าเทียมกันนั้นได้มาด้วยการต่อสู้และที่น่าเศร้าใจคือ ทำให้ต้องมีผู้เสียชีวิต

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นหรือ?ก็เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ที่ไม่เชื่อในแนวคิดประชาธิปไตย คนเหล่านี้พร้อมที่จะให้ได้มาด้วยอำนาจและด้วยการกดขี่การมีเสรีภาพนั่นหมายความว่าพวกเขาพร้อมที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น เขาไม่เคารพสิทธิมนุษยชนหรือความเสรีภาพพวกเขาพร้อมจะใช้กำลังเพื่อกดขี่ให้คนอยู่ใต้อำนาจ และยังใช้อำนาจในทางที่ผิด สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในอดีตและยังคงท้าทายเราทุกคนในปัจจุบัน

มีหลายประเทศที่ความเป็นประชาธิปไตยได้หยั่งรากลึกแล้วซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและเป็นความรู้สึกสดชื่นที่ได้เห็นกระแสประชาธิปไตยที่นำความเปลี่ยนแปลงสู่ประเทศต่างๆจากปรากฏการณ์อาหรับสปริงค์ถึงช่วงผ่านเปลี่ยนในเมียนมาร์ภายใต้ผลักดันของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศของดิฉัน ด้วยพลังของประชาชนคนไทยที่ทำให้ดิฉันมายืนอยู่ที่นี่ได้ในวันนี้

ในระดับภูมิภาคหลักการสำคัญๆในปฏิญญาอาเซียนก็ยึดมั่นในหลักนิติธรรม, ประชาธิปไตยและรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย แต่ในขณะเดียวกันเราทุกคนต้องระมัดระวังว่าแรงปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยไม่เคยที่จะถดถอยลดน้อยลงดิฉันขอยกเรื่องของดิฉันเองเป็นอุทาหรณ์

ในปี1997 ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งร่างขึ้นโดยที่ประชาชนมีส่วนร่วม เราทุกคนคิดว่ายุคใหม่ของประชาธิปไตยไทยมาถึงแล้วและจะเป็นยุคสมัยที่ไร้การรัฐประหาร

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี 2006 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ10 ปีกว่าที่จะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา

หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้รู้ว่ารัฐบาลที่ดิฉันพูดถึงคือรัฐบาลที่พี่ชายของดิฉันพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

หลายคนที่ไม่รู้จักดิฉันอาจบอกว่า เธอจะบ่นไปทำไม? เป็นเรื่องปกติในกระบวนการการเมืองที่รัฐบาลมาแล้วก็ไปซึ่งหากตัวดิฉันและครอบครัวของดิฉันต้องเจ็บปวดแต่ฝ่ายเดียว ดิฉันก็คงจะปล่อยวาง

แต่นั่นก็ไม่ใช่ความเป็นไปที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหารประเทศไทยต้องถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติหลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลาย โครงการและแผนงานที่พี่ชายของดิฉันริเริ่มตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิกประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของเขาถูกปล้นไป

คำว่า“ไทย” หมายความว่า “อิสระ” และประชาชนคนไทยก็ได้ลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้เสรีภาพคืนมาแต่ในเดือนพฤษภาคม 2553 มีการสลายการชุมนุมของผู้เรียกร้องกลุ่มคนเสื้อแดง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง91 คนในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ

คนบริสุทธิ์ถูกลอบยิงโดยสไนป์เปอร์แกนนำการชุมนุมต้องติดคุกหรือหลบหนีไปต่างประเทศ และแม้แต่ทุกวันนี้ยังคงมีเหยื่อทางการเมืองจากการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่ติดคุกอยู่

ประชาชนคนไทยไม่ท้อถอยและยืนยันที่จะเดินไปข้างหน้าจนในที่สุดรัฐบาลในขณะนั้นต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งก็มีฝ่ายปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยที่เชื่อว่าจะบริหารจัดการและบิดเบือนเจตนารมณ์ประชาธิปไตยได้ต่อแต่ในที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของประชาชนได้ดิฉันได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนใหญ่ขอประเทศ แต่เรื่องราวนั้นยังไม่จบ

มีความชัดเจนว่าผู้ที่มีปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยยังคงอยู่รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นในรัฐบาลภายใต้คณะรัฐประหารได้ใส่กลไกที่ตีกรอบเพื่อจำกัดความเป็นประชาธิปไตย

ตัวอย่างหนึ่งที่ดีในประเด็นนี้จะเห็นได้จากที่จำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาไทยมาจากการเลือกตั้ง แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มคนเล็กๆกลุ่มหนึ่งยิ่งกว่านั้น กลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริงเป็นการดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหนึ่งมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ของสังคม

นี่คือความท้ายทายของประชาธิปไตยไทยในปัจจุบันดิฉันนั้นต้องการเห็นความปรองดองเกิดขึ้นในประเทศไทยและประชาธิปไตยของไทยพัฒนาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยหลักนิติธรรมและกระบวนการทางกฎหมายที่แข็งแรงมีขั้นตอนที่ชัดเจนโปร่งใสและเมื่อนั้นทุกคนจะสามารถมั่นใจได้ว่าเขาจะได้รับการดูแลที่ยุติธรรมเจตจำนงนี้ ดิฉันได้แสดงออกโดยประกาศเป็นนโยบายต่อที่ประชุมของรัฐสภาก่อนการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล

ความมีประชาธิปไตยทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองเกิดสภาพแวดล้อมที่ดึงดูดการลงทุน นำมาสู่การสร้างงานสร้างรายได้ที่สำคัญดิฉันเชื่อว่าเสรีภาพทางการเมืองเป็นการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยการเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจและนำมาซึ่งการลดช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนจนคนรวย

นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นความสำคัญที่จะต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับประชาชนในระดับรากหญ้าเราจะต้องเดินหน้าปฏิรูปการศึกษา เพราะการศึกษาสร้างโอกาสด้วยความรู้ และปลูกฝังวัฒนธรรมทางประชาธิปไตยในวิถีชีวิตของประชาช

เมื่อประชาชนมีความรู้ประชาชนจะสามารถตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนและสามารถปกป้องความเชื่อของตนจากผู้ที่ต้องการกดขี่และนี่คือเหตุผลที่ประเทศไทยสนับสนุนข้อเสนอของมองโกเลียในที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติเกี่ยวกับการศึกษาและประชาธิปไตย

การลดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนก็สำคัญเช่นกันมนุษย์ทุกคนควรมีโอกาสที่เท่าเทียมกันเราต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สิ่งนี้จะทำให้ประชาชนเป็นผู้มีส่วนร่วมที่แท้จริงในการพัฒนาเศรษฐกิจและเสริมสร้างประชาธิปไตยของประเทศ

นี่คือเหตุผลที่รัฐบาลต้องริเริ่มนโยบายที่จะเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสร้างชีวิตที่ดีกว่าและมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม ดิฉันได้เริ่มต้นไว้หลายโครงการ รวมถึงการสร้างกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และวิสาหกิจขนดกลางขนาดย่อม ในขณะที่ได้กำหนดมาตรการยกระดับรายได้ของเกษตรกร

และดิฉันเชื่อว่าเราต้องการการนำที่มีประสิทธิภาพและมีความสร้างสรรค์ประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายและหลักนิติธรรมตลอดจนความสร้างสรรค์ในการหาทางออกที่สันติในการแก้ไขปัญหาของประชาชน

เราต้องการการนำที่ไม่จำกัดอยู่เฉพาะในซีกรัฐบาลแต่ในฝ่ายค้านและประชาชนทุกคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนต้องเคารพกฎหมายและช่วยกันสร้างประชาธิปไตย

ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ,

อีกบทเรียนที่ได้เรียนรู้คือเพื่อนในต่างประเทศมีความสำคัญการกดดันจากนานาชาติที่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยทำให้กระบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทยคงอยู่ได้การคว่ำบาตรและการไม่ยอมรับเป็นกลไกที่สำคัญที่จะหยุดกระบวนการปฏิกิริยาที่ต่อต้านประชาธิปไตย

เวทีนานาชาติอย่างประชาคมประชาธิปไตยแห่งนี้มีบทบาทที่จะช่วยให้ประชาธิปไตยยืนหยัดอยู่ได้การส่งเสริมและปกป้องประชาธิปไตยด้วยการหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นประสบการณ์และสร้างความร่วมมือหากประเทศใดก็ตาม ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย ทุกคนต้องร่วมกันกดกันเพื่อการเปลี่ยนแปลงและนำเสรีภาพกลับคืนสู่ประชาชน


ดิฉันขอยืนยันว่าจะให้การสนับสนุนเวที่นี้เวทีนี้และการดำเนินงานของสภาบริหาร( GoverningCouncil ) เพื่อจะได้ช่วยให้ประชาธิปไตยแข็งแกร่งขึ้นทั่วโลกนอกจากนี้ดิฉันขอชื่นชมประธานาธิบดีมองโกเลียสำหรับข้อริเริ่มความเป็นหุ้นส่วนเอเชียเพื่อประชาธิปไตย( Asian Partnership Initiative for Democracy ) และทางรัฐบาลไทยพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือในส่วนนี

ท่านผู้มีเกียรติ,

ดิฉันขอปิดท้ายด้วยการประกาศว่าดิฉันหวังว่าความเจ็บปวดที่ครอบครัวของดิฉันได้รับที่ครอบครัวของเหยื่อทางการเมืองไทย และครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 91 คนในเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม2553 ต้องเผชิญจะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายสำหรับประเทศไท

ขอให้เราทุกคนสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยเพื่อที่เสรีภาพและอิสรภาพของมนุษย์ได้รับการปกปักษ์รักษาเพื่อลูกหลานและคนรุ่นต่อๆไป

ขอบคุณค่ะ

เนื้อหาจากมติชนออนไลน์ - http://ow.ly/kvMK3

ภาพ - Yingluck Shinawatra

#NO112 #WTT #สกน #YingluckShinawatra #ComunitieofDemocracy #Mongolia

.........................................................................................................


วันนี้ มีอาจารย์ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพท่านหนึ่ง ได้กรุณาส่งข้อความมาถึงผมว่า :

"อาจารย์ครับการส่งเสริมให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องดี แต่การสนับสนุนการแสดงออกอย่างหยาบช้าด้วยการประกาศจับตัวตุลาการที่ทำหน้าที่ และด่าทออย่างชนิดที่คนดีเขาไม่ทำกัน เราไม่ควรส่งเสริมนะครับ ไม่ว่าเราจะไม่เห็นด้วยก้บตุลาการก็ตาม"

ผมต้องขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ผมเคารพท่านนี้ (รวมถึงอีกหลายท่านที่เคยแสดงความเห็นในลักษณะเดียวกัน) และขอย้ำว่า ผมเห็นด้วยกับที่ท่านอาจารย์ท่านนี้กล่าวมาอย่างยิ่ง โดยที่ผ่านมาผมเคยทั้งเขียนบทความและให้สัมภาษณ์แล้วว่าไม่เห็นด้วยกับการข่มขู่ทำร้ายตุลาการ ล่าสุดก็เพิ่งพูดไปที่สถานีช่อง 9 เช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หรือแม้แต่การไปเปิดเผยชื่อที่อยู่เบอร์โทรศัทพ์ ผมก็เขียนลงบทความไปอย่างน้อยสองครั้งแล้วว่าผมไม่เห็นด้วย และผมไม่เคยสนับสนุนการกระทำใดๆที่ผมเห็นว่าไปไกลเกินกว่าการวิจารณ์ตามสมควรในทางประชาธิปไตย

สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อสารมาตลอด ก็คือ ผมสนับสนุนการวิจารณ์ผู้ใช้อำนาจ เช่น ตุลาการ แม้การวิจารณ์นั้นจะเผ็ดร้อนกว่าการวิจารณ์คนทั่วไป แต่การวิจารณ์นั้นเป็นเงื่อนไขจำเป็นของระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นวิธีการมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองและเป็นการตรวจสอบการใช้อำนาจขั้นพื้นฐานที่สุด กฎหมายต้องประกันให้ทำได้ และกฎหมายไม่ควรทำให้ประชาชนกลัวโดยการไปยอมให้ศาลมาเป็นผู้ฟ้องผู้วิจารณ์เสียเอง

ความลำบากก็คือ ในการชุมนุมแต่ละครั้ง มีการแสดงความเห็นโดยหลายคน หลายระดับและลักษณะ ไม่อาจแยกแยะได้ง่ายเสมอไป ตรงนี้เป็นเรื่องที่ชั่งน้ำหนักไม่ง่าย ความลำบากตรงนี้ ทำให้ในบางครั้งมีผู้ฟังไปเข้าใจว่า ผมสนับสนุนการใช้กำลังหรือข่มขู่ตุลาการ ซึ่งผมขอย้ำว่าไม่เคยเห็นเช่นนั้นเลย ผู้ใดข่มขู่จะทำร้ายในลักษณะที่ทำผิดกฎหมาย ตำรวจก็ต้องดำเนินการ แต่จะเหมารวมให้ไม่มีการแสดงออกหรือวิจารณ์ใดๆเลยในคราวเดียวกัน ผมก็ไม่เห็นด้วย

ในประชาธิปไตยต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ นั้น ระบบกฎหมายสหรัฐฯ ได้ใช้เวลานานในการพัฒนาหลักเกณฑ์ที่ยอมให้ประชาชนมี free speech หรือเสรีภาพในการแสดงออกที่ข่มขู่ด่าทอผู้ใช้อำนาจรัฐได้ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้น เช่น การข่มขู่นั้นจะมีลักษณะ clear and present danger หรือ นำไปสู่ imminent lawless action คือปรากฏชัดการแสดงออกจะนำไปสู่ภัยอันตรายในขณะนั้น มิใช่การพูดอย่างคึกคะนองหรือระบายความรู้สึกทั่วไป

สำหรับประเทศไทย เรื่องนี้คงเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตยที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ แม้แต่ผู้ใช้กฎหมายเองก็ต้องพัฒนาหลักเกณฑ์ในการตีความและบังคับใช้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน

อันที่จริง กฎหมายไทยก็มีแนวทางที่สนับสนุนการตีความที่ไม่ต่างกับแนวคิดของต่างประเทศ มากนัก เช่น หากสังเกตถ้อยคำใน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๖

"ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต

(๑) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย
(๒) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(๓) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี"

จะเห็นได้ว่า แม้ผู้ใดจะแสดงความเห็นจนนำไปสู่ความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบ หรือล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ก็อาจไม่ผิดมาตรานี้ หากผู้นั้น "กระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ"

แต่เมื่อผมไม่มีอำนาจที่จะเป็นผู้เข้าไปแยกแยะความเห็นหรือการกระทำของรายบุคคลว่าผิดหรือไม่ผิดกฎหมายได้ ผมจึงต้องไตร่ตรองอย่างยาวนานกับความคิดที่ว่า ถ้าพูดไปแล้วในเชิงหลักการ แต่มีคนเข้าใจผิดหรือนำไปอ้างขยายอย่างผิดๆ ก็อย่างพูดเลยดีกว่า แต่สุดท้าย ผมคิดว่าความคิดเช่นนั้นอาจเป็นการดูถูกวิจารณญาณของประชาชนจนเกินไป ผมเชื่อว่าผู้คนที่แยกแยะได้ ก็มีอีกเป็นจำนวนมาก และผมเองก็ได้เน้นมาพอสมควรว่าไม่เห้นด้วยกับการข่มขู่ และเชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะไม่ปล่อยให้ใครมาคุกคามตุลาการในทางที่ผิดกฎหมายได้ ผมเชื่อว่าคนไทยทั่วไป มีวิจารณญาณเพียงพอที่จะแยกแยะในเบื้องต้นได้ว่า การแสดงออกเช่นใด ที่เกินเลยมาตรฐานที่ประชาธิปไตยควรยอมรับ

ผมต้องขออภัยหากผมทำให้ท่านใดไม่สบายใจ และขอน้อมรับทุกคำชี้แนะเสมอมา แต่โปรดสบายใจได้ว่า ผมไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนการข่มขู่คุกคามว่าจะไปละเมิดเสรีภาพหรือทำร้ายตุลาการ เช่นเดียวกับที่ผมไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนการนำกฎหมายไปข่มขู่คุกคามประชาชนที่ประสงค์จะใช้เสรีภาพในการวิจารณ์ตุลาการในกรอบของรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย

และแม้กรอบที่ว่านั้น มิอาจตีเส้นได้ชัดเสมอไป แต่พื้นที่แห่งเสรีภาพภายในกรอบนั้น หาได้ต้องเลือนมัวไปด้วยกันเสมอไปไม่.

.........................................................................................................




ปิดตลาดสิงคโปร์เมื่อวันศุกร์( 26 เมษา 56 ) เบนซินและดีเซลปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ
http://www.aip.com.au/pricing/marketwatch.htm



INTERNATIONAL MARKET WATCH
The charts below show recent movements in international benchmark prices relevant to the price of petrol and diesel in Australia. These market prices include the Singapore price of petrol (MOPS95 Petrol) and diesel (Gasoil 10ppm sulfur) and the market prices for Tapis and Dated Brent Crude Oil.

Australia's local oil refineries constantly compete with imported petroleum products from large highly efficient refineries in Asia, regardless of the cost of importing and refining crude oil. Consequently, the price of petrol at Australian refineries is based on international petrol prices. If local prices were higher than international prices, imports of petrol would displace local production.
The above charts show the market prices for unleaded petrol, diesel and crude oil. Crude oil, diesel and petrol prices are closely linked, as the price of crude oil accounts for the vast majority of the cost of producing a litre of petrol or diesel. Crude oil is purchased in US dollars, meaning that changes in the value of the Australian dollar against the US dollar have a direct impact on the relative price of crude oil in Australian dollar terms. Therefore, changes in the Australian dollar/US dollar exchange rate must be taken into account when looking at movements in crude oil prices.


General Note:AIP publishes the Platts crude oil and product quotes for the purpose of price transparency and to assist in demonstrating that the movements in product prices follow the medium term movements in crude oil prices. The Platts Tapis and Dated Brent quotes were chosen as representative regional crude oil price markers which are quoted daily. By utilising the Platts crude oil and product quotes, AIP does not intend to reflect the actual purchase prices of product or crude oil by individual AIP member companies. Consequently, appropriate care should be exercised when using this data to infer financial performance of individual companies.
Note 1:The Petrol, Diesel and Crude Oil prices are provided by Platts (The McGraw-Hill Companies, Inc), and represent the end of day assessment for the prices of these commodities. From 1 January 2009, the diesel price marker is 10ppm sulfur diesel, consistent with changes to Australian fuel standards.
Note 2:Brent blend is a light (low density) and sweet (low sulphur) crude oil which is suitable for production of gasoline and middle distillates like diesel and jet fuel. According to Platts "The Dated Brent market, which Platts assesses on a 7-15 day forward basis, generates prices which have become a key benchmark for contract pricing of crude oil worldwide. Dated Brent is used in spot and long-term contracts to value as much as 60% of the 85 million barrels of crude oil worldwide". Crude oil production from Europe, Africa and the Middle East tends to be priced relative to Brent, and crude oil from some of these regions is a significant (and increasing) source of crude for the Asia-Pacific market. According to Platts, "nearly 40% of Asia's petroleum consumption, or about 8 million barrels per day, is currently linked to Dated Brent or Brent proxies" and Australia's crude fields such as Vincent, Stybarrow, Enfield, Pyrenees and Van Gogh have in the past two years become priced off Dated Brent assessments, instead of Minas and Duri which would have been the expected benchmarks historically. Caltex Australia has also indicated in public statements a shift to Dated Brent crude pricing. For information on crude oil pricing and Dated Brent pricing in Asia see http://www.aip.com.au/pricing/crude.htm and the 2011 ACCC Formal Price Monitoring Report (page 60) athttp://www.accc.gov.au/content/index.phtml/itemId/1020827.
Note 3:This price data is Copyright © 2013 The McGraw-Hill Companies, Inc with all rights reserved. The McGraw-Hill Companies, Inc make no warranties as to the accuracy of information, or results to be obtained from use. No portion of the publication may be photocopied, reproduced, retransmitted, put into a computer system or otherwise redistributed, without prior written Authorisation from Platts. Platts is a trademark of The McGraw-Hill Companies, Inc.
Note 4:Exchange Rates are taken at close of business (4pm AEST) each day as published by the Reserve Bank of Australia.

.........................................................................................................




'โรบิน ฟาน เพอร์ซี่' ศูนย์หน้าของทีม 'ปีศาจแดง'
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปล่อยไก่ครั้งใหญ่ ด้วยการ
เดินเข้าห้องแต่งตัว ของนักเตะฝ่ายเจ้าบ้าน ก่อน
เกมระหว่างแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้ กับทีม
'ปืนใหญ่' อาร์เซน่อล จะเริ่มต้นขึ้น

เพอร์ซี่ ต้องโคจรกลับมาพบทีมเก่าอีกครั้ง ในเกม
เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่ลงรถของ
สโมสร เจ้าตัวก็รีบเดินเข้าไปที่ห้องแต่งตัวนักเตะ
ทันที แต่ห้องแต่งตัวที่เขาพยายามจะเข้าไปนั้น
เป็นห้องแต่งตัวของนักเตะทีมเจ้าบ้าน ทำให้เจ้า
ตัวหน้าแตกครั้งใหญ่ ส่งยิ้มแบบอายๆแล้วเดินเข้า
ไปโอบกอดกับเจ้าหน้าที่สโมสร หลังจากนั้นใช้มือ
ตีเข้าไปที่บริเวณหน้าผากของตนเอง ก่อนที่จะเดิน
กลับออกไป

[คลิปการปล่อยไก่] http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=VbV0TKPzObA

Cr. hikicker.com
Arsenal Magazines -

........................................................................................................


ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตอนที่ 2


http://www.youtube.com/watch?v=k4095iNv-gY&list=UU4J9FQ9lv0tRvknBV8Dz83w&feature=player_embedded


อัปโหลดเมื่อ 15 ต.ค. 2010
วิรัช ร่มเย็น สส. ระนอง ในฐานะตัวแทน ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปปัตย์นัดพบเลขาประธ­านตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ร้านอาหาร แห่งหนึ่ง เพื่อปรึกษาการเตรียมการให้กกต.ที่ให้การเ­ป็นคุณในการอ้างข้อกฎหมาย เพื่อให้พรรคไม่ถูกยุบ ตามการหารือของ เปรม และ ตุลาการรัฐธรรมนูญที่ได้ปรึกษากันอย่างเคร­่งเครียด เนื่องจากข้อเท็จจริงประชาธิปัตย์จนมุม

......................................................................................................


วลีที่ว่า "ยาวไปไม่อ่าน" เกิดมาจากการไม่รู้จักเทคนิคหรือจุดประสงค์ของการอ่าน? ร้ายที่สุดคือปลูกฝังนิสัยเกียจคร้าน! และสาระบางอย่างนั้นหากไม่อ่านให้จบ หรืออ่านให้ดีนั้นส่งผลโดยตรงต่อผู้อ่านเสมอ

.........................................................................................................




A lie can run around the world before the truth can get it's boots on.

“เรื่องโกหกสามารถวิ่งรอบโลกได้ก่อนที่ความจริงจะทันคว้ารองเท้ามาใส่เสียอีก”

James Watt

..........................................................................................................




ความน่าละอายของพวกทวงคืนฯ กล่าวหาว่ากระทรวงพลังงานโกหก หารู้ไม่ว่าตัวเองไปเอาข้อมูลเก่ามาใช้อย่างมั่วนิ่ม

พวกทวงคืนทำภาพมาตามลิงก์นี้ครับ http://tinyurl.com/d3golt5 กล่าวหาเป็นตุเป็นตะ โดยยกเอาเอกสารของบ.เชฟรอนประเทศไทยมาโจมตีว่าก.พลังงานโกหกตัวเลขการส่งออก เพราะในเอกสารเชฟรอนระบุว่าบริษัทส่งออกน้ำมันดิบได้ถึง 60,000 บาร์เรล/วัน แต่ก.พลังงานระบุว่าส่งออกแค่ 40,000 บาร์เรล/วัน

แต่ถ้าเราไปอ่านเอกสารดังกล่าวให้ละเอียดจะพบว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารของปี 2005-2006 เพราะในหน้า 9 ก็เขียนไว้หลายแห่งว่า "ในปี 2549 นี้" เมื่อเราไปดูตัวเลขการส่งออกน้ำมันดิบย้อนหลังตามตารางที่ 2.1-5 ในลิงก์http://www.eppo.go.th/info/2petroleum_stat.htm จะพบว่าช่วงปี 2005-6 ไทยส่งออกน้ำมันดิบได้ประมาณ 65,000 บาร์เรล/วัน ตัวเลขที่ก.พลังงานยกมาว่า 40,000 นั้นคือตัวเลขของปี 2012 ต่างหาก

สรุปได้ว่าพวกทวงคืนฯปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ เพราะตัวเลขมันเป็นคนละปีกัน เอามาอ้างไม่ได้ อ่านข้อมูลไม่ครบ พอเจอตัวเลขที่เข้าทางตัวเองก็รีบกระโดดงับ รีบออกมาโจมตีคนอื่นว่าโกหก แบบนี้มันน่าอายมั้ยครับ?

ทีนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมตัวเลขของเชฟรอนถึงสูงจัง ถ้าย้อนไปดูตัวเลขย้อนหลังในตารางที่ 1.1-3-2 ในลิงก์ http://www.eppo.go.th/info/1summary_stat.htm จะพบว่า ช่วงปี 2005-6 นั้น แหล่งเบญจมาศและแหล่งทานตะวันของเชฟรอนนั้นสามารถผลิตน้ำมันดิบได้สูงเป็นประวัติการณ์ มากกว่าปัจจุับันเกือบเท่าตัว เช่น เบญจมาศปี 06 ผลิตได้ 50,000 BBL/D แต่ปีล่าสุดผลิตได้ 25,000 ทานตะวันปี 06 ผลิตได้ 8,000 แต่ปีล่าสุดผลิตได้ 3,700 เป็นต้น

นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมตัวเลขของเชฟรอนในเอกสารจึงสูงมาก ทำให้ตัวเลขการส่งออกในปีนั้นสูงมากด้วย แต่มาดูในปัจจุบันก็ลดต่ำลงมากแล้ว และเราอย่าลืมว่าไม่ว่าปี 2006 หรือปีปัจจุบัน ตัวเลขการนำเข้าน้ำมันดิบก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด

อย่าหลงประเด็นกันครับ...

..............................................................................................................

.............................................................................................................












































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น