วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556

19/04/2556

Noppadon Pattama
คำแถลงนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบโต้โฆษกพรรค ปชป เรียกร้องให้ตอบคำถามให้ตรงประเด็นและอย่าแถไปเรื่องอื่น

นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว่า ตามที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โจมตีตนเองเรื่อง ปปช. ฟ้องต่อศาลฎีกา ตนรู้สึกผิดหวังในตัวโฆษกพรรคประชาธิปปัตย์ที่ตอบไม่ตรงประเด็น เพราะไปยืมปากทนายเขมรมาด่าพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนว่า ไปรับรองแผนที่ 1: 200,000 พอตนปฏิเสธไปว่าพวกเราไม่เคยรับรองแผนที่นี้ ตามที่นายชวนนท์กล่าวหา นายชวนนท์ก็แถไปเรื่องอื่นว่าให้ตนไปต่อสู้คดีที่ ปปช. ฟ้องต่อศาลฎีกา ตนอยากจะบอกนายชวนนท์ ว่า คดีนี้ ปปช. กล่าวหาว่าตนละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ซึ่งข้อหาไม่ได้รุนแรงเหมือนข้อหาสั่งให้ฆ่าประชน 96 ศพ ตนไปสู้คดีแน่ เพราะตนเป็นผู้ปกป้องดินแดนพื้นทีทับซ้อน เป็นผู้บริสุทธิ์ คดีนี้อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องตนแล้ว แต่ ปปช. ก็อยากจะฟ้องให้ได้ และไปขอให้สภาทนายความยื่นฟ้องตน และคำฟ้องก็เลอะเทอะไร้สาระ เข้าข่ายฟ้องเท็จหลายตอน เช่น กล่าวหาเท็จว่าตนมีพฤติกรรมฝักใฝ่กัมพูชา และตนจะฟ้องกลับ ปปช เพราะตนเป็นผู้ป้องกันไม่ให้กัมพูชาฮุบที่ดินพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร แล้วจะไปฝักใฝ่กัมพูขาได้อย่างไ

ตนขอย้ำว่า ถ้าไม่มีคำแถลงการณ์ร่วม กัมพูชาเอาพื้นที่ 4.6 ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกไปแล้ว แต่เพราะเอกสารชิ้นนี้เขาจึงยอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น นี่คือผลงานของพรรคพลังประชาชนและนายสมัคร ที่ปกป้องดินแดนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเอาไว้ แม้แต่ท่านทูตวีรชัย และศาสตราจารย์เปลเล่ ทนายของไทยชาวฝรั่งเศส ก็กล่าวแถลงด้วยว่าจาต่อศาลโลก ถึงผลลัพธ์ของคำแถลงการณ์ร่วม ว่ากัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น ซึ่งน่าเสียดายที่ความดีของคำแถลงการณ์ร่วม พรรคประชาธิปปัตย์ลำบากใจที่จะยอมรับ

ส่วนที่นายชวนนท์กล่าวหาว่าตนย้ายทูตวีรชัย เพราะความเห็นแตกต่างกันเรื่องปราสาทเขาพระวิหารนั้น เป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง การย้ายหมุนเวียนข้าราชการเป็นเรื่องปกติ และเรื่องนี้เกิดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งนายชวนนท์จับแพะชนแกะมาโจมตีตน ตนขอย้ำว่าการย้ายทูตวีรชัย ไม่เกี่ยวกับประเด็นปราสาทพระวิหารแต่อย่างใด นายนพดล กล่าว
 
........................................................................................................................................................




ย้อนปมปัญหาเขาพระวิหาร คำอธิบายง่าย ๆ ฉบับ หมออั้ม อิราวัต
ประเด็นร้อนที่คนไทยติดตามมากที่สุดในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นการที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก เพื่อยุติข้อพิพาทในเรื่องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งประเทศไทย และกัมพูชา ถือแผนที่กันคนละฉบับ นำมาซึ่งความขัดแย้งเรื่องเขตแดนที่เป็นปัญหาคาราคาซังมาตั้งแต่อดีต แต่สถานการณ์ได้เริ่มทวีรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีให้หลังมานี้ แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างยืนยันว่า พื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวเป็นของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคนไทยหลายคนที่ติดตามข่าวนี้ก็ยังคงไม่ค่อยเข้าใจกับความเป็นมาของเรื่องนี้เท่าไรนัก เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว อีกทั้งยังมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง เพราะเป็นเรื่องในเชิงการเมือง ประวัติศาสตร์ ที่ยากต่อการเข้าใจ แม้แต่นักวิชาการ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงหลาย ๆ คน ยังให้สัมภาษณ์ออกมาในมุมมองที่ต่างกัน นั่นจึงทำให้คนธรรมดาอย่างเรา ๆ เมื่อได้ติดตามคดีนี้จึงเกิดความสงสัยในหลาย ๆ เรื่อง และก็คงอยากรู้ว่า เรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ปัญหาเกิดขึ้นจากตรงไหน

ลองมาไล่เรียงเหตุการณ์ความเป็นมาของปัญหาที่เกิดขึ้น จากคำอธิบายง่าย ๆ ในมุมมองของ หมออั้ม อิราวัต อารีกิจ ที่รวบรวมข้อมูลมาสรุปไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งก็น่าจะช่วยให้ผู้ที่สนใจคดีนี้เข้าใจได้มากขึ้น

ปี 2447-2451

"ฝรั่งเศส" มีฐานะเป็นรัฐผู้อารักขา "กัมพูชา" ได้เกิด "สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ. 122" (พรมแดนที่เป็นปัญหา ให้ถือเอา "สันปันน้ำ" เป็นเกณฑ์ในการแบ่งเขตแดน และให้แต่งตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดน เพื่อได้ทำการสำรวจบริเวณพื้นที่แถบนั้น...)

โดยฝรั่งเศส ได้เขียน "แผนที่" ขึ้นมา ในปี 2450 (เป็นปัญหามาจนปัจจุบัน) แต่....ไม่ได้รับการทักท้วงจาก "รัฐบาลไทย" ในเวลาอันควร (เกินกว่า 50 ปี) ซ้ำยังแสดงความขอบคุณ ชื่นชม "ฝรั่งเศส" ด้วยซ้ำ.. (เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ในขณะนั้น คือ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ)

ปี 2493

"กัมพูชา" ประกาศเอกราช โดยมี "ประเทศไทย" เป็นผู้รับรองลงนามให้เป็นประเทศแรก จากนั้น "กัมพูชา" เริ่มสนใจในเขตแดน และทรัพยากรของตน

ปี 2501

เริ่มมีข้อพิพาท "การอ้างสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหาร" ระหว่าง ไทย-กัมพูชา

ปี 2502

เรื่องเข้าสู่ "ศาลโลก" ณ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ และศาลฯ ได้รับเรื่องพิจารณาคดี

ปี 2505

"ศาลโลก" ณ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ตัดสิน ให้ไทย ตัด "ปราสาทพระวิหาร" เป็นของ "กัมพูชา" โดยมติ "ไม่เอกฉันท์" 9:3 เสียง ทั้งนี้ไม่ได้กล่าวถึง "พื้นที่ทับซ้อน" และยังไม่ชัดเจนในการบริหารจัดการ

ปี 2540

พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย และกัมพูชา ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมเพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจัดทำหลักเขตแดนสำหรับเขตแดนทางบก (Joint Statement on the Establishment of the Thai - Cambodian Joint Commission on the Demarcation for Land Boundary)

ปี 2542

มีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ 1 (30 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม 2542) จากนั้น ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ ขึ้น

ปี 2543

14 มิถุนายน 2543 ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ ของทั้งสองฝ่าย คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายวาร์ กิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดน ได้ลงนามใน...."MOU 2543"

ปี 2549

"กัมพูชา" ยื่นขอขึ้นทะเบียน "ปราสาท" เป็นมรดกโลก (ฝ่ายเดียว) ครั้งแรก และจะเนียน..จดรวบพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. โดยอ้างว่า "ไม่ทราบว่ามี" (คือจะเหมาไปหมด ว่างั้น....) เรื่องราวต่อเนื่อง ยืดเยื้อมาถึงปี 2551

ปี 2551

"รัฐบาลไทย" นำโดย นายกรัฐมนตรี "นายสมัคร สุนทรเวช" และ รมว.ต่างประเทศ คือ "นายนพดล ปัทมะ" ได้ยื่น "แถลงการณ์ร่วม 2551" โดยมี ใจความสำคัญในแถลงการณ์ เพื่อ "คัดค้าน" กัมพูชา 2 ข้อสำคัญ

1. เป็นการบังคับให้กัมพูชา "ตัดพื้นที่ทับซ้อนออก" ไม่ให้นำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก
2. เป็นหลักฐานให้เห็นว่ากัมพูชายอมรับว่า "มีพื้นที่ทับซ้อน" ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยยอมรับเลย ว่ามีพื้นที่ทับซ้อนมาก่อน

โดย "รัฐบาลสมัคร" ขอให้ทางกัมพูชา ยื่นขึ้นทะเบียนเฉพาะ "ตัวปราสาท" ให้ "ระงับการยื่นจดพื้นที่ทับซ้อน" ไว้ก่อน เพื่อนำเข้าสู่การเจรจาเพื่อความสงบเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่าย และ "สันติภาพ" ต่อไป

เหตุการณ์ ปี 2551 หลังจาก "แถลงการณ์ร่วม" ของไทยครั้งนั้น ทำให้ "กัมพูชา" ไม่สามารถยื่นขึ้นทะเบียนมรดกโลก แบบ "เหมาหมด" ได้ จนนำมาสู่การตัดสินคดีความ อันเป็นที่น่าสนใจในปัจจุบัน คือ ในเดือนเมษายน ปี 2556 นี้...

ติดตามกันอย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุผล และความเป็นจริง
สิ่งสำคัญที่สุด คือ "วิถีชีวิต" ของประชาชนพื้นถิ่นและ "ชีวิต" ของคนด้วยกัน
------------------
หมออั้ม อิราวัต
๑๘ เมษายน ๒๕๕๖
.....................................................................................................................................................




อลินา มิรอง ทำลายแผนที่ภาคผนวก 1 ของเขมร ยึดถือได้แค่ในโลกแห่งจินตนาการ ใช้ในโลกแห่งความจริงไม่ได้ ถามกัมพูชา ยอมเสียดินแดนหรือไม่ เพราะถ้าถ่ายทอดลงภูมิศาสตร์จริง จะกินพื้นที่ของเขมร แถมคลาดเคลื่อนจากสันปันน้ำ สวน เขมร คำพิพากษาไม่ยึดสันปันน้ำ เฉพาะบริเวณปราสาทพระวิหาร ไม่รวมเส้นเขตแดนอื่น ชี้ ถ้าไม่ยึดสันปันน้ำ เท่ากับไม่ยึดสนธิสัญญา 1904 ที่ให้ใช้สันปันน้ำกำหนดเขตแดน ยัน 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นข้อพิพาทใหม่ ยก อีบลู แนะ เส้นแบ่งเขตแดนต้องยึดสันปันน้ำ เพราะเป็นเส้นจากธรรมชาติ

อลินา มิรอง ผู้ช่วย ศาสตราจารย์ แอลง แปลเล่ต์

ย้ำว่าแผนที่ภาคผนวก 1 ที่กัมพูชายึดถือความจริงมีหลายฉบับ แต่กัมพูชาอ้างว่าฉบับที่สำคัญคือปี 1959 เป็นฉบับที่ถูกต้อง โดยกัมพูชานำป้ายมาให้ดู แต่เป็นแค่ป้ายบ่งชี้ถึงเอกสารที่อยู่ในศาลเท่านั้น

กัมพูชามีการบิดเบือนแผนที่ โดยนำแผนที่ภาคผนวก 1 มาขยาย เพื่อกำหนดเส้นเขตแดน ทั้งนี้หากดูจากความพยายามของกัมพูชาที่ให้ผู้เชี่ยวชาญทำแผนที่โดยพยายามหาเส้นสันปันน้ำ แต่ไม่สนใจพื้นที่ด้านตะวันออกหรือตะวันตกของตัวปราสาทพระวิหาร ดังนั้นกรณีพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรจึงเป็นข้อพิพาทใหม่ ไม่ใช่ข้อพิพาทจากคำพิพากษาในปี 2505

ยืนยันว่าแผนที่แผ่นใหญ่ที่ไทยนำมาแสดงต่อศาลนั้น มีการใช้พิจารณาในคดีที่ศาลตัดสินปี 2505 โดยกัมพูชาไม่ได้อธิบายว่าศาลได้สั่งให้มีการตัดแผนที่นี้ออกมาเพื่อตีพิมพ์ประกอบคำพิพากษา เพราะต้องการให้มีภาพประกอบขอบเขตของบริเวณปราสาทพระวิหาร

ส่วนที่บอกว่าเส่นสันปันน้ำไม่สำคัญนั้นก็เป็นเฉพาะบริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเขตแดนส่วนอื่น เพราะแม้แต่แผนที่ภาคผนวก 1 กัมพูชายังพยายามที่จะหาเส้นสันปันน้ำ แต่เราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ใช่โลกแห่งจินตนาการ เพราะการถ่ายทอดเส้นจากแผนที่ภาคผนวก 1 ลงสภาพภูมิประเทศจริง ๆ จะถ่ายทอดอย่างไร ซึ่งผู้พิพากษายูซูปก็ได้ตั้งคำถามนี้ ซึ่งกัมพูชาได้ให้ดูภาพขยายของแผนที่โดยตีความบริเวณใกล้เคียงปราสาทว่าเป็้นเส่นเดียวกับแผนที่ภาคผนวก 1 แต่กัมพูชาใช้แผนที่ที่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามีความแม่นยำน้อยที่สุด และคลาดเคลื่อนจากภูมิประเทศที่แท้จริง

กัมพูชาจึงทำแผนที่ขึ้นมาอีกชุดหนึ่งด้วยการขยายแผนที่แต่ก็ไม่สามารถแสดงภูมิประเทศที่แท้จริงได้ และไม่ได้พูดถึงการถ่ายทอดเส้นลงมาบนโลกแห่งความเป็นจริง รวมถึงการไม่คำนึงถึงสันปันน้ำก็เท่ากับไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญา 1904 ที่ใช้เรื่องสันปันน้ำในการปักปันเขตแดน

ขณะเดียวกันไม่สามารถบอกได้ว่ากัมพูชาทำอย่างไรในการกำหนดเส้นในแผนที่ของตัวเองโดยผู้เชี่ยวชาญพยายามกำหนดจุดร่วมระหว่างแผนที่ปัจจุบันกับแผนที่ภาคผนวก 1 มีสองปัญหาคือมีจุดร่วมน้อยมาก ส่วนใหญ่คลาดเคลื่อนหมด และเมื่อใช้พิกัดมาเป็นตัวถ่ายทอดก็ได้ผลออกมาว่าจุดร่วมบางครั้งไกลกันมาก และบิดเบือนไปจากความเป็นจริงแสดงถึงความคลาดเคลื่อนของแผนที่ภาคผนวก 1

ถ้าพยายามนำจุดร่วมจากปราสาทพระวิหารมาถ่ายทอดก็ต้องถามว่าเป็นสิ่งที่กัมพูชาต้องการหรือไม่ เพราะที่ราบบางส่วนจะอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย กัมพูชาจะยินยอมหรือไม่ อย่างไรก็ตามหากใช้แผนที่ภาคผนวก 1 มาถ่ายทอดจะพบว่าเบี่ยงเบนไปจากเส้นสันปันน้ำค่อนข้างมาก อีบลู แนะนำว่า วิธีธรรมชาติเท่านั้นที่จะเป็นเส้นเขตแดนที่มั่นคง ดังนั้นการใช้สันปันน้ำไม่ใช่เรื่องสมมติแต่เป็นเส้นที่มีอยู่จริงและควรใช้เป็นเส้นแบ่งเขตแดน
..............................................................................................................................................



» งานสำคัญสามประการ ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า... "ผู้นำ"

รูดอล์ฟ สไตเนอร์ ผู้ให้กำเนิดโรงเรียนวอลดอร์ฟ มีปณิธานที่จะปลุกให้มนุษย์ตื่นรู้ถึงพลังที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคน เขาใช้คำว่า “ขอให้ข้าได้เป็นผู้จุดเปลวไฟในหมู่มวลมนุษย์”

การที่เขาได้บรรยายเพื่อให้คนได้ตระหนักถึงศักยภาพในการรู้แจ้งของตน ไม่ต่างจากปณิธานของพระโพธิสัตว์ ในวัตรปฏิบัติของเขาจึงแสดงถึงการศิโรราบอย่างไร้ตัวตน ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง

มีการยกตัวอย่างการปฏิบัติต่อผู้คนของสไตเนอร์ที่น้อมตนเองเพื่อรับใช้ความต้องการของผู้อื่นอยู่มากมาย เป็นการนำผู้คนผ่านการรับใช้โดยไม่นำความต้องการของตนเองมาบิดเบือน

วิถีปฏิบัติของสไตเนอร์แสดงถึงเป้าหมายสูงสุดของการเป็นผู้นำ นั่นคือนำมนุษย์ไปสู่การตื่นรู้ในศักยภาพของตนเอง จุดเปลวไฟในหมู่ผู้คนให้พวกเขาเห็นความสามารถที่จะจารึกการกระทำอันสร้างสรรค์ของตนเองให้กับโลก

ผู้นำมองเห็นเมล็ดพันธุ์ที่มีอยู่ในตัวคน การนำด้วยการรับใช้ พวกเขาเป็นเหมือนดั่งชาวสวนที่ทะนุถนอม หว่านเพาะเมล็ดพันธุ์ลงในแปลงเพาะ ดูแลให้เมล็ดพันธุ์ได้เติบโตเต็มศักยภาพ


ดังนั้น...


◌◌◌◌◌◌◌◌


1


งานสำคัญประการแรกของผู้นำ คือการมองเห็นศักยภาพที่จะเติบโตทางจิตวิญญาณของผู้คน

ทุกคนมีความปรารถนาที่จะมีดุลยภาพของการได้รับสนองความต้องการพื้นฐาน กับความต้องการที่จะสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งดีงามตามคุณค่าที่แต่ละคนยึดถือ

งานของผู้นำที่จะช่วยผู้คนให้มองเห็นศักยภาพในตนเองนั้น ต้องเริ่มต้นที่ตัวผู้นำเองมองเห็นสิ่งนี้ก่อน ทั้งในตัวเอง และผู้อื่น เหมือนกับชาวสวนมองเห็นต้นมะม่วงในเมล็ดมะม่วง

ความสามารถหลักในการเป็นผู้นำ คือสามารถพิจารณาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง จนมองเห็นศักยภาพในตนเองและผู้อื่นที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อน ต้องเฝ้าดูตนเอง และผู้อื่นอย่างเนิ่นนานพอที่จะมองเห็นสิ่งนี้

เช่นเดียวกับที่เกอเธ่บอกไว้ว่า เมื่อเราเฝ้าดูสิ่งใดอย่างเนิ่นนานพอจนเกิดเป็นอวัยวะใหม่ในการรับรู้สิ่งนั้น


◌◌◌◌◌◌◌◌


2


งานของผู้นำในประการที่สองคือ การเตรียมการเพื่อให้เกิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้

ผมชอบที่ ออตโต ชาร์มเมอร์ เขียนใน Theory U ถึงการเตรียมพื้นที่นาของตระกูลเขาว่า เป็นส่วนสำคัญของการเพาะปลูก พื้นที่ในการเรียนรู้ไม่ต่างจากที่นาสำหรับการเพาะปลูก

คือต้องมีที่ว่างให้เมล็ดพันธุ์แห่งความรู้ได้งอกงาม และมีแร่ธาตุ ความชุ่มชื้นที่จะทำนุบำรุงให้เกิดการเรียนรู้

ผู้นำมีงานที่จะต้องสร้างให้สิ่งแวดล้อมในองค์กรมีโอกาสให้ศักยภาพของแต่ละคนเติบโต ให้พื้นที่แก่ผู้อื่นที่จะเรียนรู้ผ่านการทดลอง บำรุงพื้นที่นี้ด้วยข้อมูลข่าวสารและความสัมพันธ์ระหว่างกันในองค์กร

งานในการเตรียมองค์กรให้พร้อมต่อการเติบโต เป็นการสร้าง “สนาม” ให้องค์กรด้วยการทำให้ข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ใครๆ ก็เข้าถึงข่าวสารได้

ในขณะเดียวกันก็สามารถสื่อสารความสนใจต่อข่าวสารนั้นแก่ใครก็ตามที่เห็นความสำคัญร่วมกัน ซึ่งสิ่งนี้เองที่จะสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ในองค์กร นำความมีชีวิตมาสู่องค์กร


◌◌◌◌◌◌◌◌


3


งานของผู้นำในประการที่สาม เป็นงานที่สำคัญที่สุดของผู้นำคือ การสร้างแรงบันดาลใจให้กับองค์กร

แรงบันดาลใจที่จะทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับองค์กรลุกขึ้นมาฟันฝ่าอุปสรรคใดๆ เพื่อทำให้การดำรงอยู่ร่วมกันเป็นองค์กรของพวกเขาเป็นสิ่งซึ่งมีความหมาย

ผู้นำมีภารกิจในการทำให้ชีวิตของคนในองค์กรเป็นชีวิตที่มีความหมายผ่านการทำงานร่วมกัน การทำงานเป็นการเพิ่มพูนความหมายให้กับชีวิตของคนในองค์กร

หาใช่เป็นเพียงการเพิ่มผลกำไรให้กับผู้ถือหุ้น แต่เป็นการเพิ่มผลกำไรให้กับทุกชีวิตที่มีส่วนเกี่ยวพันกับองค์กร

ผู้นำต่างจากนักบริหารตรงนี้เอง ผู้นำรับใช้ต่อมนุษย์เพื่อทำให้สิ่งที่มีความหมายต่อมนุษย์เป็นจริงขึ้นมา เพิ่มพูนขึ้น และแบ่งปันซึ่งกันและกัน

แต่นักบริหารส่วนมากเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ต่อกฎเกณฑ์ระเบียบ ต่อดัชนีชี้วัด และผลกำไร ต่อผู้มีอำนาจเหนือเขา และต่อผลประโยชน์ทั้งในส่วนของตนเองและองค์กร


◌◌◌◌◌◌◌◌


ไม่ว่านักบริหารจะนำองค์กรประสบผลสำเร็จตามดัชนีชี้วัดซึ่งท้าทายมากเพียงใด หากว่าล้มเหลวในงานของผู้นำทั้งสามประการแล้ว องค์กรก็มีสภาพไม่ต่างจากม้าที่ถูกเฆี่ยนให้วิ่งสุดกำลังตลอดเวลา

...ในไม่ช้าองค์กรหากไม่ล่มสลาย ก็จะมีสภาพอ่อนล้าจนไม่สามารถทำให้เกิดคุณค่าต่อผู้ใดได้อีกในที่สุด


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : นพ.กิจจา เจียรวัฒนกนก
...........................................................................................................................................................

ชัดเจนดี
ปันไปให้ได้เห็นกันเยอะๆเลยครับ
จุดที่น่าสนใจคือปากขวดอยู่ระดับดิน ความแตกต่างระหว่างน้ำที่ไหลบนผิวดินที่มีต้นไม้กับน้ำที่ไหลบนผิวดินที่ไร้ต้นไม้
 
.......................................................................................................................................................


www.amazinginteriordesign.com
............................................................................................................................................................

อัพเดทราคาน้ำมันประจำวันที่ 19 เมษายน 2556
........................................................................................................................................................


สรุปเรื่อง 4.6 ให้ฟังง่ายๆ บ้านๆ ดังนี้

ก่อนอื่นจากรูป ไอ้ประแดงๆ นั่นละ MOU43 (แผนที่ 1:200000)
ส่วนไอ้ทึบดำๆ นั่นละ MOU51 ของนพดล (แผนที่ L7017)

MOU43 (สุขุมพันธุ์) เราไปยอมรับแผนที่ของฝรั่งเศส ปี 1907 เอง (1:200000) ทั้งๆที่ศาลโลกยังไม่ได้ตัดสินในเรื่องพื้นที่เขตแดน โดยที่ศาลอ้างว่า "มิได้ทำหน้าที่กรรมการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา"

MOU51 (นพดล) ใช้แผนที่ L7017 โดยใช้สันปันน้ำกำหนด แต่ยกเว้นปริเวณปราสาทพระวิหาร เป็นแผนที่ที่ไทยใช้ยึดถือเป็นหลัก ทหารไทยก็ใช้ กระทรวงต่างประเทศก็ใช้

หมายเหตุ ที่ MOU51 ถูกยกเลิกไป ก็เพราะเขาอ้างว่าขัดมาตรา 190 เลยต้องกลับไปใช้ MOU43

ที่นี้มึงก็รู้แล้วละนะอันไหนเสีย 4.6 อันไหนไม่เสีย เลิกบิดเบือนกันได้ละนะ ไอ้สัส!!

ก็ในเมื่อเรื่องแม่งมาถึงขั้นนี้แล้ว กูไม่ว่าที่พวกมึงเคยหลงผิด กูขอแค่มึงเอาใจช่วยนิ่งๆพอ ไม่ต้องมาโวยวาย ห่าจิกอะไรอีก

ปล. ถ้าจะให้กูเขียนรายละเอียดมากกว่านี้ กูขี้เกียจ เพราะเขียนไป มึงก็ไม่อ่าน

Paan Chutitorn คำอธิบายกับภาพแผนที่นี้ไม่ตรงกับความจริง
ควรตรวจสอบก่อนแชร์นะครับ

Supapong Wanitpongpan ผมตรวจสอบก่อนแล้วนะครับ 
แต่ผมอาจจะเข้าใจผิดได้ ช่วยชี้จุดที่ไม่ตรงกับความจริงด้วยครับ
ขอบพระคุณมากครับพี่หมอ
.............................................................................................................................................
สนใจติดตามศึกษานโยบายต่างประเทศใกล้ชิดมาตลอด ส่วนตัวไม่ได้ปลื้มวิธีการดำเนินนโยบายต่างประเทศของพรรคแบรนด์ทักษิณท่าไหร่ โดยเฉพาะช่วงเทอมแรกที่มีลักษณะแข็งกร้าว anti-humanism และละเลย regional supranational มากๆ แต่สำหรับกรณีเขาพระวิหาร ยึดตามข้อเท็จจริงตามที่ศึกษา นพดล ไม่ได้เอาชาติไปขายตามที่สื่อคลั่งชาติพยายามจะปั่นกระแส (ตรงนี้ อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล ภาควิชาประวัติศาสตร์ Madison-Wisconsin U ประธาน Asian Studies ในสหรัฐ , อาจารย์พวงทอง รัฐศาสตร์ จุฬาฯ และนักประวัติศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ อีกหลายๆคน ก็เคยอธิบายไว้เช่นกัน)

อธิบายคร่าวๆคือ

- MOU43 ที่นายชวน เคยทำ ถือตาม 1:200,000 ซึ่ง พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม ในแผนที่จะเป็นของกัมพูชา
และทางกัมพูชา ก็ยึดถือแผนที่ 1:200,000 นั่น และถือว่า พื้นที่นั้นเป็นของกัมพูชา มาตลอด

- จนเมื่อ กัมพูชา จะขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียว ก็ได้รวมพื้นที่ตาม แผนที่ 1:200,000 นั่นด้วย

- รัฐบาลสมัคร โดยนพดล ทักท้วงการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชา เนื่องจากครอบคลุมพื้นที่ทับซ้อนนั้น ศาลจึงให้ทำข้อตกลงกันใหม่
เกิดเป็น MOU51 ซึ่ง ใช้ แผนที่ 1:50,000 ที่ไทยกับสหรัฐทำ อ้างอิง ซึ่งแผนที่นั้นถือว่า 4.6 ตร.กม. เป็นพื้นที่ทับซ้อน รอการปักเขตแดน และยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ โดยบริหารพื้นที่นั้นร่วมกัน (ถือว่า กัมพูชายอมรับว่า พื้นที่นั้นทับซ้อน)

- พธม. ปชป. โจมตี นพดล ทำให้ ศาลยกเลิก MOU51 ทำให้ กัมพูชา กลับไปยึดตาม MOU43 ซึ่งถือว่า พื้นที่นั้น เป็นของกัมพูชา.

- กัมพูชา ยื่นเรื่องให้ศาลโลกพิจารณาตีความ ถ้าตาม MOU43 (โดยรัฐบาลนายชวน) ซึ่ง ศาลไม่ได้ตัดสินเรื่องพื้นที่ในตอนนั้นเพราะไม่รับรอง 1:200,000 แต่ MOU43 ถือว่า รัฐบาลไทย (นายชวน) รับรอง 1:200,000.

สรุป นพดลได้แบ่งการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้นเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนตัวปราสาท กับ พื้นที่โดยรอบปราสาทเขาพระวิหาร นพดลได้สนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวได้ เฉพาะส่วนตัวปราสาท ส่วนพื้นที่โดยรอบเราขอมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ เพราะเป็นพื้นทีทับซ้อนที่ลึกๆ แล้วกัมพูชาเข้าใจมาตลอดว่าเป็นของเขาเพียงฝ่ายเดียว สิ่งนี้นับเป็นนิมิตหมายดี หรือพูดง่ายๆ ก็คือ กัมพูชายินยอมให้เราเข้าไปยุ่งในพื้นที่ทับซ้อนได้นั่นเอง อันจะทำให้ เราไม่เสียอธิปไตยบนพื้นทีทับซ้อนนี้ไปเหมือนในปัจจุบันที่ได้เสียไปแล้ว ตั้งแต่ มีการยกเลิกแถลงการณ์ร่วมของนพดล เพียงแต่ ทางรัฐบาลหนีทหารได้ปกปิดและซุกปัญหานี้เข้าใต้พรมไว้ จนเกิดเรื่องราวกระทบกระทั่งทางทหารกันหลายครั้งที่ผ่านมา
.................................................................................................................................................

มหากาพย์เขาพระวิหาร #5

เมื่อวานฝ่ายกัมพูชาได้ให้การกับศาลอีกรอบหนึ่ง แต่ดูไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติม วนไปมาอยู่ที่แผนที่
ต้องรอดูว่าวันนี้ฝ่ายไทยจะว่าอย่างไร

เรื่องราวในตอนที่แล้ว ก็พูดถึงคำพิพากษาของศาลเมื่อปี พ.ศ. 2505 ไป
คุณวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระที่ผมชื่นชอบ ได้สรุปใจความไว้ว่า

ใจความคำพิพากษา

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศวินิจฉัยคดีนี้แค่เรื่องเดียว คือ กัมพูชาหรือไทยเป็นเจ้าของบริเวณปราสาทพระวิหาร. ข้ออ้างเรื่องแผนที่เป็นแค่เหตุผลประกอบการวินิจฉัยว่าปราสาทฯตั้งอยู่ในกัมพูชาหรือไทย. ศาลสรุปว่าคดีนี้เกิดจากการตกลงเขตแดนระหว่างไทยและฝรั่งเศส ซึ่งกัมพูชาสืบสิทธิฝรั่งเศสต่อมาภายหลัง ดังนั้นกฎหมายที่ศาลใช้วินิจฉัยก็คือ อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสฯ ค.ศ. ๑๙๐๔ ซึ่งเป็นข้อตกลงเขตแดนต่างๆซึ่งรวมถึงบริเวณที่ปราสาทฯตั้งอยู่. 

ศาลอธิบายข้อกฎหมายว่า (๑) เมื่ออนุสัญญาฯ มิได้ระบุที่ตั้งปราสาทฯไว้ ศาลจึงจำเป็นต้องตรวจสอบว่าเส้นพรมแดนคือเส้นใด (๒) แม้อนุสัญญาฯ จะกำหนดให้พรมแดนบริเวณปราสาทฯเป็นไปตามเส้นสันปันน้ำ แต่การกำหนดเส้นพรมแดนให้ชัดเจนนั้นเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการผสมฝรั่งเศส-ไทย (พหูพจน์) และ (๓) เส้นพรมแดนที่แท้จริงซึ่งกำหนดโดยคณะกรรมการผสมฯนั้น สำคัญกว่าเส้นสันปันน้ำ.

ศาลสรุปข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการผสมฯได้กำหนดเส้นพรมแดนบริเวณปราสาทฯเสร็จแล้ว แต่ไม่ได้บันทึกข้อสรุปไว้ว่าเส้นนั้นเป็นอย่างไร. ต่อมาไทยได้ขอให้ฝรั่งเศสทำแผนที่บริเวณพรมแดนต่างๆ ฝรั่งเศสจึงทำแผนที่ขึ้นทั้งสิ้น ๑๑ ฉบับ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือแผนที่ภาคผนวก ๑ ต่อท้ายคำฟ้องกัมพูชา หรือ Annex I Map (“แผนที่ฯ”) ซึ่งกัมพูชานำมาอ้างว่าปราสาทฯตั้งอยู่ในเขตกัมพูชา.

ศาลพิจารณาเกี่ยวกับแผนที่ฯ แบ่งเป็นสามช่วงเวลา ดังนี้

๑. ช่วงที่แผนที่ฯถูกทำขึ้น ศาลเห็นว่าแผนที่ฯไม่ผูกพันไทยเพราะฝรั่งเศสทำขึ้นฝ่ายเดียวและไม่ใช่ผลงานของคณะกรรมการผสมฯ.

๒. ช่วงไทยรับแผนที่ฯมา (ค.ศ. ๑๙๐๘ – ๑๙๐๙) ศาลเห็นว่า แม้แผนที่ฯจะแสดงชัดว่าปราสาทฯอยู่ในเขตกัมพูชา แต่ไทยก็ยอมรับแผนที่ฯมาโดยไม่สอบถามหรือทักท้วง. ไทยดูไม่ติดใจว่าฝรั่งเศสทำแผนที่ฯขึ้นฝ่ายเดียวแต่กลับมีท่าทียอมรับให้แผนที่ฯเป็นเสมือนผลงานของคณะกรรมการฯผสม เช่น ไทยได้อธิบายถึงแผนที่ฯว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคณะกรรมการผสมฯ (เอกพจน์) ตามที่กรรมการฝ่ายไทยขอให้กรรมการฝ่ายฝรั่งเศสทำขึ้น อีกทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงและกรรมการฝ่ายไทยในคณะกรรมการผสมฯก็ไม่ทักท้วงเกี่ยวกับแผนที่ฯ แม้บนหน้าแผนที่ฯจะมีคำว่า “คณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนและสยาม” (เอกพจน์) ปรากฏอยู่ชัด นอกจากนี้ไทยยังได้ขอให้ฝรั่งเศสทำสำเนาแผนที่ฯเพิ่มเติมอีก ๑๕ ฉบับเพื่อนำไปแจกจ่ายในประเทศ. ศาลจึงเห็นว่าไทยได้ยอมรับให้แผนที่ฯเป็นผลจากการกำหนดเส้นพรมแดนบริเวณปราสาทฯแล้ว. เมื่อแผนที่ฯลากเส้นชัดเจน ไทยจึงอ้างความเข้าใจผิดไม่ได้.

๓. ช่วง ค.ศ. ๑๙๐๙ – ๑๙๕๙ ศาลเห็นว่าเหตุการณ์ตลอด ๕๐ ปียืนยันว่าไทยเคยยอมรับแผนที่ฯไปแล้ว เช่น การที่เจ้านายระดับสูงของไทยเสด็จเยี่ยมปราสาทฯ และเมื่อฝรั่งเศสต้อนรับโดยชักธงฝรั่งเศสเหนือปราสาทฯ ไทยกลับไม่ทักท้วง หรือ การที่ไทยได้สำรวจดินแดนบริเวณปราสาทฯและทำแผนที่ใช้เองใน ค.ศ. ๑๙๓๗ แต่แผนที่ของไทยกลับระบุให้ปราสาทฯอยู่ในเขตกัมพูชา. ศาลเห็นว่าไทยย่อมเสียสิทธิที่จะปฏิเสธการประพฤติปฏิบัติตลอด ๕๐ ปี ซึ่งล้วนยืนยันว่าไทยได้ยอมรับแผนที่ฯ ไปก่อนหน้านั้น.

ศาลอธิบายว่า ไทยได้ยอมรับแผนที่ฯให้กลายมาเป็นส่วนเดียวกันกับอนุสัญญาฯ เส้นในแผนที่ฯจึงมีสถานะสูงกว่าเส้นสันปันน้ำ. อีกทั้งวัตถุประสงค์สำคัญของอนุสัญญาฯคือการตกลงให้พรมเแดนแน่นอนและยุติ. สันปันน้ำเป็นเพียงคำสะดวกที่ใช้อธิบายบริเวณที่ต้องการให้มีการกำหนดเส้นพรมแดนให้ชัดเจน ซึ่งในที่สุดไทยและฝรั่งเศสก็ได้ยอมรับนำเส้นตามแผนที่ฯมาเป็นเส้นพรมแดน. แผนที่ฯจึงไม่ขัดกับอนุสัญญาฯ.

ศาลจึงวินิจฉัยว่า ปราสาทฯตั้งอยู่ในเขตกัมพูชา ดังนั้นไทยจึงต้องถอนกำลังออกจากปราสาทฯหรือบริเวณใกล้เคียงตัวปราสาทฯบนอาณาเขตของกัมพูชา.

ศาลย้ำว่า
เรื่องแผนที่ฯและเส้นพรมแดนนั้นเป็นเพียงเหตุผลที่นำมาสู่ผลวินิจฉัย แต่ไม่ใช่เรื่องที่ศาลพิพากษาผูกพันไทย.

ภายหลังจากคำตัดสินของศาลโลก พิพากษาให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ให้ประกาศจุดยืนของประเทศไทยให้ทราบทั่วกันว่าไทยไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลฯ  แต่ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ  จึงได้ปฏิบัติตามพันธะข้อ ๙๔ แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ  ทั้งนี้โดยยื่นคำประท้วงคัดค้านไปยังสหประชาชาติและตั้งข้อสงวนอย่างชัดเจนว่าไทยสงวนสิทธิที่มีอยู่หรือพึงมีในอนาคตที่จะดำเนินการเรียกคืนซึ่งการครอบครองปราสาทพระวิหารโดยสันติวิธี
วันต่อมา (4 กรกฎาคม ) จอมพลสฤษดิ์กล่าวปราศรัยทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยถึงผลการไม่ปฏิบัติตามศาลโลกว่า อาจถูกอีกฝ่ายร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงได้ ดังนั้น "จำต้องยอมให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารนั้นตามพันธกรณีของกฎบัติแห่งสหประชาชาติ" แต่ "ขอตั้งข้อประท้วงและข้อสงวนสิทธิิที่จะดำเนินการทางกฎหมายที่จำเป็น ซึ่งอาจจะมีขึ้นในภายหน้า" ทั้งแสดงความรู้สึกว่า
"ข้าพเจ้ามาพูดกับท่านด้วยน้ำตา แต่น้ำตาของข้าพเ้จ้าเป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย ของเลือด ของความคั่งแค้น และการผูกใจเจ็บไปชั่วชีวิตทั้งชาตินี้และชาติหน้า"

รัฐบาลไทยดำเนินการโดยออกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 กำหนดพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเป็นสี่เหลี่ยมคางหมูด้วยการขีดเส้น 3 เส้น

เส้นนี้ถูกทำให้ชัดโดยรั้วลวดหนามรอบตัวปราสาทพร้อมป้าย 4 ป้าย ซึ่งด้านที่หันมาฝั่งไทย เขียนเป็นภาษาไทยว่า"เขตบริเวณปราสาทพระวิหาร" มีภาษาอังกฤษกำกับ ส่วนด้านที่หันไปทางกัมพูชา เขียนเป็นภาษากัมพูชาว่า "เขตนอกปราสาทพระวิหาร" มีภาษาฝรั่งเศสกำกับ

เมื่อเวลาผ่านไป การกำหนดพื้นที่นี้ เป็นประเด็นหลักที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่บริเวณนี้!!!

การกำหนดขอบเขตดังกล่าวนอกจากจะส่งเอกสารแจ้งไปยังเลขาธิการสหประชาชาติพร้อมหนังสือของ รมว.ต่างประเทศแล้ว ยังได้นำลงตีพิมพ์ใน Foreign Affairs Bulletin ที่กระทรวงต่างประเทศพิมพ์เผยแพร่ทุกๆ 2 เดือนด้วย

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 พลโท ประพาส จารุเสถียร ก็คุมตำรวจตระเวนชายแดน ชะลอธงชาติไทยจากหน้าผาเป้ยตาดีลงมาทั้งเสาโดยไม่ชักธงลง และนำไปติดตั้งไว้บริเวณฐานปฏิบัติการ ตชด. ที่ผามออีแดง และกัมพูชาก็ส่งเจ้าหน้าที่ขึ้นมาประจำการบนปราสาท

เอกสาร Airgram ที่บันทึกโดยรัฐบาลสหรัฐฯ มาต่อสู้ว่า เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2506 สมเด็จพระนโรดม สีหนุเสด็จทางพระบาทขึ้นไปยังปราสาทโดยบันไดโบราณด้านทิศ ตะวันออกจากดินแดนกัมพูชาด้านตีนของหน้าผา ในขณะที่ทรงประทับบนเขา พระองค์ก็ไม่เคย ย่างพระบาทล้ำรั้วลวดหนามหรือพื้นที่ซึ่งประเทศไทยพิจารณาว่าเป็นส่วนของดินแดนไทยแต่อย่างใด

เมื่อสมเด็จพระนโรดม สีหนุถูกสอบถามเกี่ยวกับรั้วลวดหนามที่เป็นเหตุให้เกิดความกังวลใจ ก่อนการแสวงบุญ การสนทนาเกิดขึ้นดังนี้ เมื่อพระองค์กล่าวถึงการก่อสร้างเขตรั้วลวดหนามของประเทศไทย พระองค์อธิบายสิ่งนี้ว่าเป็นการรุกล้ำของประเทศไทยเข้ามาหลายเมตร ในดินแดนของกัมพูชาซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินให้ พระองค์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม พระองค์จะไม่ทาให้เรื่องนี้เป็นประเด็น เนื่องจากระยะทางไม่กี่เมตรนี้ไม่มีความสาคัญ

ต่อมามีการสัมภาษณ์ซึ่งตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ ลา เวริเต เมื่อ วันที่ 9 มิถุนายน 2506 สมเด็จพระนโรดม สีหนุเน้นว่าการคืนปราสาทเป็นอันสมบูรณ์แล้ว ไม่มีเหตุพิพาทระหว่างกัมพูชาและประเทศไทยอีกต่อไป.

นับแต่นั้น เรื่องของประสาทพระวิหารก็ตกตะกอนอยู่ในใจคนไทย เพียงแต่ไม่ได้ถูกกวนขึ้นมา ด้วยหลังจากนั้นก็เกิดสงครามกลางเมืองในกัมพูชา ส่วนปราสาทพระวิหารนั้น ก็ได้ผลัดเปลี่ยนไปตกอยู่ใต้อิทธิพลของกองกำลังเขมรแต่ละฝ่ายที่สู้รบกันอยู่ ณ เวลานั้น

เวลาก็ผ่านมาจนถึงจุดต่อมาคือการเกิด MOU 43 และ MOU 44 ขึ้นมา...............................

....................................................................................................................................................



จะต่างความคิด ต่างภาษา หรือต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา แต่สิ่งเหล่านี้คงไม่ใช่ข้ออ้าง เพราะการสร้างมิตรภาพที่ดีเกิดขึ้นได้ เพียงแค่เรารู้จักเคารพซึ่งกันและกัน

..........................................................................................................................................


.........................................................................................................................................................

"นาซา"ค้นพบดาวเคราะห์"คล้ายโลก"ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1366361126&grpid=03&catid=06&subcatid=0600

.......................................................................................................................................................



กว่า 10 ปีที่อดหลับอดนอน !!
.........................................................................................................................................................


หน้าร้อนแบบนี้...ใช้ไฟยังไง ไม่ให้ค่าไฟบาน ?

Credit : Infographic Thailand
......................................................................................................................................................

เจาะทุกรายละเอียดรถไฟ ประเทศไทย 2020

โดย ธีรภัทร เจริญสุข (บันทึก) เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2013 เวลา 19:37 น.
หอประชุมประจักษ์ศิลปาคม ศาลากลางจังหวัดหนองคาย


19-21 เมษายน 2556 ทางรัฐบาลได้จัดนิทรรศการ ประเทศไทย 2020 ขึ้นในต่างจังหวัดครั้งแรกที่จังหวัดหนองคาย ภายหลังประสบความสำเร็จจากนิทรรศการในกรุงเทพมาแล้ว ซึ่งบรรยากาศในงาน ณ หอประชุมประจักษ์ศิลปาคม ศูนย์ราชการจังหวัดหนองคาย เป็นไปด้วยความคึกคัก มีทั้งการออกร้านขายของ OTOP และธงฟ้าราคาประหยัดด้วย ในส่วนตัวนิทรรศการ ก็ได้รับความสนใจจากข้าราชการ พ่อค้าคหบดี ประชาชนทั่วไป มาชมงานเป็นจำนวนมาก โดยมีหน่วยงานหลายส่วนเข้าร่วมมากกว่างานในกรุงเทพ เช่น กรมศุลกากร ที่มานำเสนอการจัดสร้างด่านศุลกากรชายแดน กรมสรรพสามิตในเรื่องภาษีสินค้าข้ามแดน กรมขนส่งทางบกกับการแนะนำรายละเอียดการเดินทางข้ามไปยัง สปป.ลาว และเวียดนาม ซึ่งประชาชนจำนวนมากได้เข้ามาสอบถามกับเจ้าหน้าที่ผู้แนะนำนิทรรศการในเรื่องต่างๆ อย่างหนาแน่น

ชาวหนองคายเข้าชมเนืองแน่น


ในงานประเทศไทย 2020 สัญจร จังหวัดหนองคายวันนี้ ผมได้รับเกียรติจากพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย 3 ท่าน มาให้ความรู้ ความกระจ่างเรื่องการลงทุน 2 ล้านล้าน เพื่อการพัฒนาระบบขนส่งของไทย โดยเฉพาะระบบรางครับ

ท่านแรกคือ คุณชาณถ์โชคชัย ไชยทิพย์ ห้วหน้ากองประจำการรถไฟ (ระดับ 10)
ท่านที่สองคือ คุณสมชัย ขุนไกรประเสริฐ พนักงานบริหารทั่วไป (ระดับ 8)
และท่านสุดท้ายคือ ดร. อรรถพล เก่าประเสริฐ วิศวกรกำกับการกองทางถาวร ศูนย์ทางถาวร ฝ่ายการช่างโยธา

ผม - รถไฟความเร็วสูงจะมาถึงหนองคายแน่นอนหรือเปล่าครับ และจะมาถึงเมื่อไร?

คุณสมชัย - ตามแผนแล้ว รถไฟความเร็วสูงสายอีสาน จะถึงโคราชในปี ค.ศ. 2017 และจะถึงหนองคายในปี 2020 ถ้าไม่มีเหตุขัดข้องอะไร อย่างรัฐประหารก่อน

ผม - แล้วสายที่ต่อมาถึงหนองคายนี้ ได้รวมอยู่ในงบ 2 ล้านล้านหรือเปล่า หรือต้องลงทุนเพิ่ม?

คุณสมชัย - ส่วนของที่มาถึงหนองคาย ได้รวมอยู่ใน 2 ล้านล้านแล้ว ซึ่งจะเป็นงบประมาณทำในเฟสที่ 2 ยังไม่ได้กู้รวมกันในงวดแรก แต่ไม่เกินงบที่ตั้งไว้

ผม - ตอนนี้การดำเนินการถึงขั้นไหนแล้ว?

คุณสมชัย - ขณะนี้อยู่ในขั้นจ้างบริษัทที่ปรึกษามาร่วมออกแบบและทำ EIA เพื่อรอมติรัฐสภาอนุมัติให้กู้เงิน

เส้นทางสายไหนที่น่าจะสร้างได้สำเร็จก่อน

คุณสมชัย - ทางรถไฟความเร็วสูงสายอีสานจากกรุงเทพ-โคราช น่าจะเสร็จก่อน เพื่อระบายปริมาณรถมหาศาล และลดอุบัติเหตุจากการเดินทาง ดูจากช่วงสงกรานต์ที่บริเวรแก่งคอยเป็นคอขวดแล้ว ทุกคนก็ต้องเข้าใจว่าทำไมรถไฟถึงจำเป็น ไม่งั้นรถจากทุกจังหวัดในอีสานก็ต้องถูกบีบตรงนี้เพื่อเข้ากรุงเทพ

ผม - แล้วเส้นทางของรถไฟรางคู่?

คุณสมชัย - อันนี้จะสร้างได้เร็วกว่ารถไฟความเร็วสูงแน่นอน

ประชาชนให้ความสนใจมาก


ผม - แล้วการรถไฟที่ขาดทุนอยู่ตอนนี้จะแก้ไขอย่างไร?

คุณชาณถ์โชคชัย - น้องต้องเข้าใจว่า ทางการรถไฟได้ขาดแคลนงบประมาณ และไม่ได้ขึ้นค่าโดยสารมาตั้งแต่ปี 2529 เพราะการเมืองผันผวน และเมื่อตั้งบอร์ดบริหารการรถไฟแล้ว ผู้ว่าการรถไฟก็ไม่มีปากมีเสียงจะทำอะไรได้ เนื่องจากเสียงโหวตในบอร์ดไม่พอ เราจึงขาดงบประมาณพัฒนา

ผม - แล้วทรัพย์สินและที่ดินของการรถไฟ ทำไมไม่เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์?

คุณชาณถ์โชคชัย - มันเป็นเรื่องการเมืองและผลประโยชน์ ซึ่งซับซ้อนมาก แต่ปัจจุบัน ท่านรัฐมนตรีชัชชาติ และท่านผู้ว่าการรถไฟประภัสร์ ได้เดินไปในแนวเดียวกัน ทำให้การรถไฟฯ มีความหวังที่จะได้พัฒนาดีขึ้น

ทางการรถไฟได้ใช้หัวรถจักรและรางรถไฟเก่ามายาวนาน ทำมให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง แต่ไม่ได้รับการอนุมัติให้ซื้อหัวรถจักรและตู้โดยสารใหม่ รวมถึงการนำที่ดินของการรถไฟไปสร้างให้เกิดประโยชน์ เพราะต้องผ่านมติ ครม. และบอร์ดการรถไฟร่วมกัน ถ้ารัฐมนตรีไม่ให้ผ่าน ก็ผ่านไม่ได้

ผม - แล้วถ้าจะสั่งซื้อหัวรถจักรใหม่ จะเลือกใช้ของประเทศไหนครับ ทั้งรถไฟธรรมดา และความเร็วสูง

คุณชาณถ์โชคชัย - อันนี้ผมไม่ค่อยถนัด แต่เราก็ต้องเลือกคุณภาพตามกำหนด แล้วเปิดประมูล ดูว่าของประเทศไหนเข้ากับที่เราต้องการ แล้วใช้

ผม - ถ้าความชอบส่วนตัวล่ะครับ?

คุณชาณถ์โชคชัย - ผมเรียก ดร. มาดีกว่า พอดีผมไม่ใช่ฝ่ายออกแบบด้านนี้

ดร. อรรถพล เก่าประเสริฐ วิศวกรกำกับการกองทางถาวร ศูนย์ทางถาวร ฝ่ายการช่างโยธา


ผม - ดร. ครับ รถไฟของประเทศไทย จะใช้ของประเทศไหนดีถึงจะเหมาะสมที่สุด

ดร. อรรถพล - คือทางเราก็ต้องดูว่าเหมาะสมในมิติไหน เพราะทางการรถไฟและรัฐบาล ต้องกำหนดสเป็ก คุณสมบัติที่ต้องการ ซึ่งบริาัทจากแต่ละประเทศก็ต้องมานำเสนอว่า ที่ไหนจะเหมาะสมที่สุดตามคุณสมบัตินั้น

ซึ่งถ้าคุณสมบัติผ่านเหมือนกันแล้ว น่าจะตัดสินที่ราคา ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีกว่าของประเทศไหนจะประหยัดที่สุด
ผม - แต่ว่า ดร. อยากนั่งของประเทศไหนครับ อันนี้เอาจริงๆ

ดร. อรรถพล - ผมก็ไม่เคยนั่งรถไฟของทุกประเทศที่จะมาร่วมเสนอ แต่ว่าความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ ระบบการบำรุงรักษาหลังจากที่เราซื้อมาแล้ว จะช่วยให้มีความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งแน่นอน...

ผม - ก็ต้องแพงเป็นธรรมดาใช่ไหมครับ

ดร. อรรถพล - นั่นล่ะ (หัวเราะ)

ผม - แล้วแผนการก่อสร้างนี่ จะเริ่มได้เมื่อไรครับ

ดร. อรรถพล - นี่ถ้าสภาผ่านวาระ 3 ก็เริ่มได้เลยในส่วนของรถไฟทางคู่ เพราะเราไม่ต้องเวนคืนที่ดินเพิ่ม โดยเฉพาะเส้นทางสายอีสาน ที่เป็นพื้นราบ อย่างส่วน จีระ-ขอนแก่น และขอนแก่น-หนองคาย นี่สร้างเสร็จได้ภายใน 2 ปี เพราะเราออกแบบไว้หมดแล้ว

ทุกวันนี้เราก็ได้ปรับปรุงทางเดี่ยวเก่าตามมติ ครม. ปี 2554 ปลายปี หลังน้ำท่วม คือปรับปรุงหมอนรองรางใหม่จากไม้เป็นซีเมนต์ เทกรวดใหม่ เปลี่ยนรางใหม่ ทุกวันนี้ถ้านั่งรถไฟ อย่างสายหนองคายนี่จะรู้เลยว่านิ่มขึ้น ไม่กระตุกเหมือนเดิม

ผม - พอดีหลังๆ ผมไม่ค่อยนั่งรถไฟน่ะครับ มันเสียเวลาบ่อย เสียงานเสียการ

ดร.อรรถพล - ใช่ คือเรากำลังพยายามให้คนกลับมานั่งรถไฟ เพราะการเสียเวลาทำให้คนหนีรถไฟ มีทัศนคติด้านลบกับรถไฟมากที่สุดเพราะรถไฟช้า เสียเวลา แต่ถ้าเราสามารถสร้างระบบทางคู่ ปรับปรุงรางเดิมได้ รถไฟก็จะตรงเวลามากกว่าเครื่องบิน ไม่ต้องลุ้นดีเลย์หรือสภาพอากาศ

ผม - แล้วเส้นทางทางเหนือซึ่งผ่านภูเขา จะทำอย่างไรครับ

ดร. อรรถพล - อันนี้เราแบ่งเป็นสองช่วง คือกรุงเทพถึงพิษณุโลกนี่จะไม่มีปัญหา เพราะใช้ตามแนวทางรถไฟเดิม และเป็นพื้นราบ ส่วนตั้งแต่พรหมพิรามขึ้นไปถึงเชียงใหม่ เส้นทางของรถไฟทางคู่กับรถไฟความเร็วสูงจะแยกออกจากกัน ต้องผ่าน ภูเขาและเหว 40 กว่าแห่ง แต่เราก็จะสร้างมันให้ได้ โดยเฉพาะทางคู่ที่จะเชื่อมไปถึงเชียงของ เพื่อขนส่งสินค้าจากจีนลงมา และส่งสินค้าจากไทยขึ้นไป

ผม - แล้วรถไฟสายใต้ ทำไมต้องถึงแค่หัวหิน

ดร.อรรถพล - ตามแผนก่อสร้างเราจะไปถึงปาดังเบซาร์ แต่ที่ต้องถึงหัวหินก่อน เพื่อระบายไม่ให้รถต้องมีติดอยู่ที่ถนนเพชรเกษมขาออกสายใต้ คือคุณสามารถนั่งรถโดยสารมาที่หัวหิน แล้วต่อเข้ากรุงเทพได้เลย เหมือนกับสถานีโคราชในเฟสแรก ที่รถจากทั่วอีสานไม่ต้องลงถึงกรุงเทพ มาต่อรถไฟจากโคราชยิงตรงเข้ากรุงเทพไม่ต้องไปติดที่แก่งคอยหรือปากช่องให้เสี่ยงอุบัติเหตุ

ผม - เท่าที่ดูแผนที่ จะเห็นทางรถไฟสายใหม่ คือสายออกจากบ้านไผ่ ไปมุกดาหาร-นครพนม

ดร.อรรถพล - ใช่ครับ เพราะเราต้องสร้างไว้รอรับการขนส่งของ East-west corridor ที่จะเชื่อมจากท่าเรือดานัง ผ่านลาว ผ่านไทย ไปที่ท่าเรือน้ำลึกทวาย และเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางเปิดใหม่ที่ทำให้จังหวัดภาคอีสานตอนกลางได้พัฒนา เพราะเส้นทางนี้ไม่เคยมีรถไฟมาก่อน ทำให้การขนส่งและการเดินทางลำบาก

ผม - แล้วส่วนนี้จะสร้างเมื่อไรครับ

คุณชาณถ์โชคชัย - อันนี้ผมขอเพิ่มเติม คือตรงนี้เป็นส่วนที่สร้างง่ายที่สุด เพราะเป็นที่ราบ แล้ง กว้าง ไม่มีภูเขา ไม่มีเหว ไม่มีป่า EIA ผ่านแน่นอน สร้างแบบ turnkey ออกแบบไปสร้างไปหลังประมูลยังได้

ดร. อรรถพล - ต่างจากสายเหนือที่มีภูเขา เหว และป่ามาก

ผม - อันนี้คือทางคู่?

ดร.อรรถพล - ครับ ทางคู่จนเชื่อมต่อกับทางรถไฟลาวที่สะหวันนะเขต

ผม - ที่ผมได้ข่าวมาคือ ลาวจะสร้างเชื่อมสะหวันนะเขต กับลาวบาว ชายแดนเวียดนาม แล้วประเด็นเรื่องขนาดรางล่ะครับ เพราะดูเหมือนว่าประเทศอื่นจะสร้างรางขนาด 1.435 เมตร แต่ทางคู่ของไทย จะใช้รางขนาด 1 เมตร?

คุณสมชัย - คือว่า รถไฟความเร็วสูง จะใช้รางขนาดสแตนดาร์ดเกจ 1.435 เมตร ส่วนทางคู่ จะใช้รางขนาด 1 เมตร ซึ่งแยกออกคนละระบบ

ดร. อรรถพล - ซึ่งที่เราจะเชื่อมกับเพื่อนบ้าน จะเป็นรางสแตนดาร์ดเกจอยู่แล้ว แต่ชนิดของหัวรถและขบวนรถอาจต้องสับเปลี่ยนกันขณะอยู่ในสถานี

ผม - แล้วทางรถไฟที่ออกข่าวว่าจะเชื่อมกับกัมพูชาถึงเสียมเรียบล่ะครับ?

ดร. อรรถพล - ตอนนี้เราสร้างไปแล้วถึงด่านคลองลึก ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับว่าเขมรจะสร้างเชื่อมต่อกับเราเมื่อไร

ผม - เป็นทางคู่?

ดร. อรรถพล - ไม่ครับ เป็นทางเดี่ยว เพราะเส้นทางนี้ไม่มีสินค้าขนส่ง เน้นการขนส่งผุ้โดยสารมากกว่า เป็นขบวนท่องเที่ยวไปถึงนครวัด นครธม หรือพาไปแวะกาสิโน ส่วนทางกัมพูชาก็มีคนนั่งมาทำงาน มาซื้อสินค้า

ผม - แล้วในส่วนรถไฟที่จะไปถึงระยอง

ดร. อรรถพล - แอร์พอร์ตลิงค์ที่จะต่อขยายไปถึงระยอง อาจจะมีความเร็วไม่สูงมาก แต่ก็จะไปถึงเขตนิคมอุตสาหกรรมได้จากบางซื่อในเวลาชั่วโมงเดียว ไม่ต้องเสี่ยงกับอุบัติเหตุรถตู้ (ยิ้ม) ส่วนทางคู่ก็จะเอาไว้ขนส่งสินค้าไปท่าเรือแหลมฉบัง

ผม - คงเจอม๊อบรถตู้ประท้วงแน่

ดร. อรรถพล - เราทำเพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ ก็ต้องมาดูกัน

ผม - ดูจากแผนที่ เห็นมีทางที่ไปถึงเกาะกง

ดร.อรรถพล - ตรงนั้นเป็นถนนสี่เลนครับ เราไม่มีทางรถไฟไปถึงเกาะกง

ผม - เห็นว่ามีเส้นทางรถไฟที่ลัดจากแก่งคอยลงมาระยองด้วย

ดร.อรรถพล - เป็นขบวนขนส่งสินค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปูนซีเมนต์ อย่าง SCG หรือปูนนก เคยมองข้ามรถไฟมานาน แต่ทุกวันนี้ น้ำมันแพง เขาเริ่มกลับมามองรถไฟอีกครั้ง ถ้าเราทำระบบรางสำเร็จ ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีคนใช้

ผม - แล้วในเขตกรุงเทพฯ มีรถไฟฟ้าส่วนไหนที่เป็นของการรถไฟฯ บ้าง?

ดร. อรรถพล - ก็มีสายสีแดงทั้งหมด บางซื่อ-ตลิ่งชัน-ศาลายา, บางซื่อ-ธรรมศาสตร์รังสิต แล้วก็แอร์พอร์ตลิงค์

ความจริงจะต้องเป็นกากบาทผ่ากลางกรุงเทพ แต่สายที่จะลงไปทางทิศใต้ของกรุงเทพมีปัญหามาก เพราะผ่านชุมชน ตลาดเยอะ สร้างยาก

ผม - สายสีแดงนี่ โครงการว่าจะเสร็จตั้งแต่ผมเรียนอยู่ธรรมศาสตร์รังสิต จนบัดนี้ยังไม่ได้สร้าง...

ดร. อรรถพล - ก็เพราะการเมืองอย่างที่เรารู้กัน

แต่สายบางซื่อ-ตลิ่งชัน สร้างเสร็จแล้ว ได้มีรถทดลองวิ่งแล้ว เราเอาดีเซลรางไปลองวิ่งฟรี เคยไปนั่งหรือยัง? ตอนนี้เหลือแค่เปลี่ยนระบบเป็นไฟฟ้า

ผม - ไม่เคยครับ แต่ไปสนพ. แถวนั้น เห็นทางใหม่ สถานีใหม่ สวยมาก

ดร. อรรถชัย - รถที่จะเอามาวิ่งก็สวยมาก สีน้ำเงินใหม่เอี่ยม คิดว่าอีก 2 ปี คงเสร็จไปถึงศาลายา และเปิดวิ่งได้จริงเร็วๆ นี้

ผม - ในกรุงเทพไม่มี loop-line

ดร.อรรถพล - Loop-Line จะเป็นของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (MRT) ต่อเชื่อสายสีน้ำเงิน สายสีเหลือง สายสีชมพู โดยจะออกจากบางซื่อทั้งหมด

ผม - แล้วต่อไปหัวลำโพงจะเป็นไงครับ?

คุณชาณถ์โชคชัย - ก็จะมีรถชานเมืองบางส่วนเข้าไปนิดหน่อย แต่รถเกือบทั้งหมดจะอยู่ที่บางซื่อ เป็นศูนย์กลางใหญ่ออกไปทุกสาย ยกเว้นสายตะวันออกที่จะเริ่มที่มักกะสัน

ดร. อรรถพล - เชื่อมต่อกันด้วยรถไฟฟ้าแทน แต่สายสีน้ำเงินของ MRT จะอ้อม ถ้าเป็นสายสีแดงของการรถไฟจะเข้าไปตรงๆ

ผม - โอย สาธุ ขอให้ได้ใช้ไวๆ

ดร. อรรถพล - ผมก็อยากให้คนไทยได้ใช้เร็วๆ ครับ

คุณสมชัย - ถ้ารัฐบาลไม่มีอันเป็นไปด้วยอะไรแปลกๆ ผมว่าได้ใช้แน่นอน

ผม - ท่านรัฐมนตรีชัชชาติเก่งมากนะครับ ทำเรื่องนี้ได้

คุณชาณถ์โชคชัย - เก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก รมต. คมนาคมมาเลยล่ะน้อง คือท่านรู้จริง ทำจริง ทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็นทุกวัน

ผม - ขอบคุณมากครับ ขออนุญาตถ่ายรูปเอาไปลงเผยแพร่นะครับ

คุณสมชัย/คุณชานถ์โชคชัย/ดร.อรรถพล - ยินดีครับ อยากให้คนไทยได้รู้เรื่องนี้มากๆ เพื่อช่วยกดดันรัฐบาลและสภา ให้ผ่านการพัฒนาก่อสร้างนี้ให้ได้ เพื่ออนาคตของลูกหลานเราทุกคน

ผู้บรรยายทั้งสามท่าน


................................

ธีรภัทร เจริญสุข รายงานจากหอประชุมประจักษ์ศิลปาคม ศูนย์ราชการ จังหวัดหนองคาย วันที่ 19 เมษายน 2556 14.35 น.
....................................................................................................................................

"ดร.พรสันต์" วิพากษ์ ปรากฎการณ์ ไม่ยอมรับอำนาจศาลรธน.

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1366373267&grpid=03&catid=01&subcatid=0100
................................................................................................................................


แอดมินแค่อยากรู้ว่าพวกเราอ่านหนังสือกันกี่กันบรรทัดน่ะ
..................................................................................................................................................



เมิงนี่มันใหญ่คับถนนเจงๆ?!!!!! 55555
...........................................................................................................................................



***บทเรียนชีวิตจากเด็กหญิง*** (ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย)

คิม ฟุค คือเด็กหญิงชาวเวียดนามใต้(ไม่ใส่เสื้อผ้า)คนนั้นซึ่งช่างภาพอเมริกันได้ถ่ายไว้ขณะที่เธอและเพื่อนบ้านกำลังแตกตื่นหนีภัย แม้เธอจะรอดตายจากระเบิดนาปาล์มที่ทิ้งลงหมู่บ้านของเธ
แต่ไฟก็ได้เผาลวกผิวหนังของเธอถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง 14 เดือน และผ่านการผ่าตัดถึง 17 ครั้ง กว่าจะหายเป็นปรกติ

เธอยังโชคดีเมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีก 2 คนซึ่งตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2515 เมื่อเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ 3 ปี ต่อมาก็ไม่มีข่าวคราวของเธอปรากฏสู่โลกภายนอกอีกเลย

แต่แล้ววันหนึ่งในปี 2539 คิม ฟุค ก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกันซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม เธอได้รับเชิญให้มาพูดเนื่องในโอกาสวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

การได้มาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนซึ่งครั้งหนึ่งเคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่ายนักแต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเรารู้ว่า สงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง

หลังจากที่เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้ว เธอก็ได้เผยความในใจว่า มีเรื่องหนึ่งที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ พูดมาถึงตรงนี้ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่าคนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ เธอจึงเผยความในใจออกมาว่า "ฉันอยากบอกเขาว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เราควรพยายามทำสิ่งดี ๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคต"

เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า "ผมขอโทษ ผมขอโทษจริง ๆ"

คิมเข้าไปโอบกอดเขาแล้วตอบว่า "ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย" ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัย โดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย

คิม ฟุค เล่าว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอทั้งกายและใจ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร แต่แล้วเธอก็พบว่าสิ่งที่ทำร้ายเธอจริง ๆ มิใช่ใครที่ไหน หากได้แก่ความเกลียดที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง

" ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้"

เธอพยายามสวดมนต์และแผ่เมตตาให้ศัตรู และแก่คนที่ก่อความทุกข์ให้เธอ แล้วเธอก็พบว่า

" หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้น เรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด"

เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คนให้ทำดีหรือไม่ทำชั่วกับเราได้ แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้ เราไม่อาจเลือกได้ว่ารอบตัวเราต้องมีแต่คนน่ารักพูดจาอ่อนหวาน แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะทำใจอย่างไรเมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา

คิม ฟุคได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า
"ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่งแล้วชีวิตของฉันก็ดีขึ้น"

บทเรียนของ คิม ฟุค คือ ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีตแต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำ ปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นได้ บทเรียนจากอดีตอย่างหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มา ก็คือ
"การอยู่กับความโกรธ ความเกลียด และความขมขื่นนั้น ทำให้ฉันเห็นคุณค่าของการให้อภัย"

ที่มา : board.agalico.com/by สาระแห่งสุขภาพ
 
........................................................................................................................................


"ควรเดินหน้า แต่..."
เปิดข้อเสนอ ปรับปรุงเพื่อความรอบคอบและโปร่งใส่ ของทีดีอาร์ไอที่มีต่อ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านเพื่อพัฒนาระบบรางคู่ รถไฟความเร็วสูงของรัฐบาลที่เพิ่งผ่านสภาไปเมื่อเร็วๆ นี้ พร้อมเหตุผลข้อกังวล

อ่านรายละเอียดที่ http://prachatai.com/journal/2013/04/46298
...............................................................................................................................................

จาก Status : คุณใบตองแห้ง ประชาไท

พวกคลั่งชาติบางคนฟังทนายฝ่ายไทยโชว์ฝีปากแล้วเพ้อเจ้อว่าไทยจะชนะ ได้ปราสาทพระวิหารคืนก็มี

เอาเข้าจริง ไม่ว่าคนสีไหนก็ฝ่าด่านชาตินิยมไม่พ้น เห็นเชียร์ทนายไทยยังกะเชียร์มวย สื่อบางฉบับ เช่น เดลินิวส์ กระพือข่าวแบบพระเอก-ผู้ร้ายเต็มที่ ไม่มีใครพูดความจริงให้คนไทยเตรียมใจเลยว่า คำพิพากษาปี 2505 คือเราแพ้! ถ้าศาลไม่รับตีความ ก็เสมอตัว ถ้าศาลรับตีความ ก็มีแต่เสียกับเสีย

เหตุทั้งหมดเกิดจากการฉวยความคลั่งชาติเป็นอาวุธทำลายรัฐบาลสมัคร ของพวกพันธมิตรและอำมาตย์ ทั้งที่แถลงการณ์ร่วมฯ ปี 51 ก็บอกชัดเจนว่า ส่วนที่เป็นของเขมร คือส่วนที่ ครม.เมื่อปี 2505 ล้อมรั้วให้ ส่วนที่เหลือเป็นพื้นที่ทับซ้อน ยังตกลงกันไม่ได้ก็ให้บริหารจัดการร่วมกัน แค่นั้น พวกคลั่งชาติก็หาว่าขายชาติ ทำให้ (อาจจะ) เสียดินแดน

ถึงตอนนี้เหตุการณ์ผ่านไป 5 ปี ความจริงพิสูจน์ว่าแถลงการณ์ร่วมถูกต้องแล้ว ทนายไทยก็ยอมรับเต็มปากในศาล แต่ผลของการปลุกกระแสคลั่งชาติจนทำให้ข้่อพิพาทกับเขมรบานปลาย อาจจะทำให้แพ้ เสียอีก 4.6 ตร.กม.ก็ได้ หรือถ้าไม่แพ้ ก็เท่ากับวนมาสู่ที่เดิม เสียเวลา เสียโอกาส เสียชีวิตเลือดเนื้อฟรี 5 ปี
..........................................................................................................................................


2 ความคิดเห็น:

  1. ใช้สำหรับเงินกู้ของคุณวันนี้ออนไลน์โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นของการใด ๆ และได้รับการ
      เงินกู้ของคุณในอัตรา 3%
    ติดต่อเราวันนี้ที่
    raphealjefferyfinance@gmail.com
    กรอกแบบฟอร์มการสมัครขอสินเชื่อ

    ชื่อ:
    ประเทศ:
    สถานะ:
    หมายเลขโทรศัพท์:
    อายุ:
    อาชีพ:
    จำนวนเงินกู้ที่จำเป็น:
    ระยะเวลา:
    เว็บไซต์: raphealjefferyfinance@gmail.com

    ผบ.: นายเจฟฟรีย์

    ตอบลบ
  2. วันที่ดีฉันเป็นผู้ให้กู้เงินส่วนตัวที่ลงทะเบียน เราให้ออกเงินให้กู้ยืมเพื่อช่วยคนที่ บริษัท จำเป็นต้องปรับปรุงฐานะการเงินของพวกเขาทั่วทุกมุมโลกที่มีน้อยมากประจำปีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็น 2% ภายในปีถึง 30 ปีระยะเวลาการชำระหนี้ระยะเวลาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของโลกใด ๆ เราให้ออกเงินให้สินเชื่ออยู่ในช่วง 20,000 บาทเป็น 100,000,000 บาท เงินให้สินเชื่อของเราเป็นผู้ประกันตนอย่างดีเพื่อความปลอดภัยสูงสุดคือความสำคัญของเรา ผู้สนใจควรติดต่อเราผ่านทาง email: (georgeanderson.loanfirm255@gmail.com)

    ข้อเสนอเงินกู้.

    ตอบลบ