วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

28/03/2556




สวัสดีครับ..^_^


...............................................................................................................



....................................................................................................................




ทำไมคนดีจึงไม่มีความหมายทางการเมือง?

ทำไมคนดี/ความดี จึงไม่มีความหมายทางการเมือง? อันดับแรกแอดมินคิดว่า ความดีมันขึ้นอยู่กับนิยาม สิ่งที่ดีสำหรับแต่ละคนนี่ไม่เหมือนกันแน่ ๆ แหม่ ก็ถ้าเหมือนกันนี่จะทะเลาะกันจนถึงป่านนี้เหรอครับ อันดับต่อมา คนดี/ความดี มันใช้แก้ปัญหาอะไรในภาคปฏิบัติไม่ได้ครับ

ยกตัวอย่าง มีแม่น้ำอยู่หนึ่งสาย เราจะให้ใครตัดสินว่าจะใช้แม่น้ำนี่อย่างไร? ใช้สูบทรายเอามาก่อสร้าง เอาเขื่อนมากั้นปั่นไฟฟ้า หรือจะปล่อยไว้อย่างนี้ให้ชาวประมงได้จับปลา ฯลฯ คุณจะหา “คนดี” ที่ไหนมาตัดสินเอาทื่อๆ หละครับ ในทางปฏิบัติเรื่องพรรค์ยังงี้เราต้องการ “เวทีในการตกลง” กันครับ เราไม่ได้ต้องการคนดีมาช่วยฟันธงให้เรา เราต้องการพื้นที่ให้ทุกฝ่าย (ทั้งชาวประมง คนก่อสร้าง คนจะใช้ไฟฟ้า) ส่ง “ตัวแทน” ผลประโยชน์ของตัวเองมาตกลงกันครับ มันถึงจะไม่ตีหัวกัน ไม่ใช่จู่ๆ ยกอำนาจตัดสินใจไปให้คนดีตัดสิน เพราะจะถือศีลแปดกินเจทุกวันพระ มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

ว่ากันต่อเรื่อง “ความรู้” บางท่านอาจจะแย้งว่า เฮ้ย เรื่องบางเรื่องเราต้องให้ “ผู้รู้” ตัดสินใจสิ จะให้คนไม่รู้เรื่องมาร่วมตัดสินใจก็ยุ่งตายชัก ปัญหาคือ ไอ้ความรู้ที่จะบอกว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” มันเป็นความรู้แบบไหน เป็นความรู้สำหรับใคร เอากรณีแม่น้ำเหมือนเดิมก็ได้ ให้ “ผู้รู้” ด้านพลังงานบอก โอย เรากั้นแม่น้ำเลยปั่นไฟฟ้า มันเป็นพลังงานที่ยั่งยืน เป็นพลังงานที่ “คุ้ม” ฯลฯ มันจริงไหม คุ้มไหม ก็อาจจะจริงและคุ้ม แต่ปัญหาคือมันจริงและมันคุ้มสำหรับใคร? ที่แน่ๆ คือมันไม่คุ้มสำหรับชาวประมงอีกเป็นหมื่นครอบครัวที่ต้องอดจับปลาแน่ๆ (กรณีเขื่อนปากมูล คงเป็นตัวอย่างรูปธรรมที่ดีสำหรับเรื่องนี้)

ให้ยกตัวอย่างเรื่องอื่นอีกก็ได้ จำนำข้าวมันดีหรือมันเลว? ก็มันอาจจะดีสำหรับคนปลูกข้าวขาย แต่มันอาจจะแย่สำหรับคนที่รู้สึกว่าตัวเองต้องจ่ายภาษีไปอุ้มก็ได้ (ทั้งสองฝ่ายก็เป็นประชาชนทั้งคู่) รถคันแรกมันดีหรือมันเลว สำหรับคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ประดับยนต์นับแสนรายเขาจะรู้สึกว่าดีที่กระตุ้นกำลังซื้อ และสำหรับคนที่อยากมีรถใช้บ้างนี่คือโครงการในฝัน แต่สำหรับคนที่มีรถอยู่แล้วและต้องเผชิญรถติดเพิ่มขึ้นนี่อาจจะเป็นฝันร้ายก็ได้ (เช่นคุณมัลลิกาสุดที่รักของแอดมินเป็นต้น)

ก็ทุกเรื่องมันก็เป็นแบบนี้ มีคนได้มีคนเสีย ทั้งคนได้ทั้งคนเสีย ต่างก็เป็นประชาชนทั้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องระหว่างความดีกับความเลว ไม่ใช่เรื่องเทพกับมาร ก็หากนโยบายใดๆ มันเลวจนแทบไม่ให้ประโยชน์กับใครเลย จะมีชาวบ้านที่ไหนมาสนับสนุนหละครับ (ทุกนโยบายก็มีคนหนุนและค้านทุกเรื่องแหละครับ)
เมื่อไม่ใช่เรื่องความดีกับความเลว ไม่ใช่เรื่องเทพกับมาร ก็ดังนั้นทางออกเดียวคือมันต้องมาตกลงกันสิครับ จะตกลงกันผ่านการเลือกตัวแทนไปโหวตในสภาก็ได้ หรือจะหาทางอื่นๆ ในการมีส่วนร่วมก็ว่ามา

การให้ความสำคัญกับ “คนดี” “ความดี” เหนือสิ่งอื่นใด แอดมินมองว่าเป็นการมองเรื่องบ้านเมืองแบบค่อนข้างเพ้อฝันอยู่เป็นอันมาก ราวกับว่าเรื่องราวอันสลับซับซ้อนของบ้านเมืองนี้ถูกย่นย่อเป็นโรงลิเกที่ต้องมีเนื้อเรื่องชัดเจน ว่าใครเป็นพระเอกใครเป็นผู้ร้าย แล้วถ้าเราไม่สนับสนุนผู้ร้าย ยืนหยัดอยู่ข้างพระเอกเสียอย่าง ลิเกเรื่องนี้ก็จะแฮปปี้เอนดิ้งไปได้โดยปริยาย

หากเรามองการเมืองเป็นเรื่องของการประสานผลประโยชน์จากคนหลากหลายกลุ่มทั้งบนและล่าง สิ่งที่เราควรเอาใจใส่มากกว่า คือจะทำอย่างไรให้ “ตัวแทน” ที่เราเลือกไป “ตกลงกับคนอื่น” เป็นตัวแทนจากเราจริง ๆ เป็นตัวแทนที่จะ “พูดแทนเรา พูดแทนผลประโยชน์ของเรา” ไอ้ตัวแทนเรามันจะตีกระหรี่ทุกสุดสัปดาห์ แถมยังจบ แค่ ป.4 ก็ยังได้ ตราบเท่าที่เรายังแน่ใจว่ามันยัง “พูดแทนเรา” อยู่

ด้วยเหตุดังนี้ “ความดี” โดยเฉพาะความดีในเรื่องส่วนตัว มันจึงไม่มีความหมายทางการเมืองเท่ากับลักษณะความเป็น “ตัวแทน” ของเราหรอกครับ

แต่ก็อีกแหละทุกเรื่องก็ย่อมมีข้อยกเว้น หากท่านซีเรียสจริง ๆ ถือว่าตนเองเป็นกลุ่มคนดีมีศีลธรรมมากๆ แล้วอยากส่ง “ตัวแทนแห่งความดี” มาร่วมต่อรองกับตัวแทนของคนอื่นๆ เขา อันนี้ก็ไม่ว่ากัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มิได้แปลว่าความดีหรือตัวแทนความดีของท่าน จะมีความชอบธรรมเหนือกว่าตัวแทนของคนอื่นๆ เพียงเพราะมีความดีเปล่าๆ เท่านั้น ท่านยังต้องมาร่วมต่อรองเจรจา อภิปราย กับตัวแทนที่คนอื่นเขาส่งมาด้วย ไม่ใช่พอฉันมั่นใจว่า “ดี” ปุ๊บ แล้วตัวแทนคนอื่นนี้เลวไปหมดทุกคนต้องยอมฉัน เพราะฉันเป็นฝ่ายธรรมะและพวกแกเป็นฝ่ายอธรรม (ประทานโทษครับ นี่การเมืองหรือละครจักรๆวงศ์ๆที่ฉายช่องเจ็ดครับ)

หากเราเคารพกันและกันเช่นนี้ ไม่ยกความดีมาเหนือการมีส่วนร่วม แอดมินก็เชื่อว่าความขัดแย้งในสังคมบ้านเราก็น่าจะคลี่คลายไปได้ด้วยดี สาธุ

Admin Jo &PZ


........................................................................................................................


........................................................................................................................




ผม 002 001 003 004 005 เคยติดสินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจเหตุผลในตอนนั้นคือ เห็นแก่ตัวล้วนๆ . . . !!!!

แต่ทุกวันนี้(หลายปีแล้วด้วย) ยืดอกรับผิด ทำผิดก็ตามกติกา
รับใบสั่งตลอด เพราะไม่ชอบการซิกแซก ไอตำรวจที่ไม่ดีผมไม่พูดถึง ผมขอพูดถึงในกรณีที่ดำเนินตามกฎที่วางไว้

ยังมีคนที่มีค่านิยมผิดๆ อยู่ในบ้านเราอยู่ ผมขอต่อต้านครับ

002


.....................................................................................................................




ความในใจครับ
 

....................................................................................................................


ท่านคงเห็นข่าวปปช. ยื่นฟ้องผมต่อศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วนะครับ เรื่องของเรื่องคือเขากล่าวหาว่าสมัยผมเป็น รมต. ต่างประเทศ ผมเซ็นคำแถลงการณ์ร่วมโดยไม่ขอความเห็นชอบจากสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ความจริงเรื่องนี้อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องผมครับ ท่านเห็นว่าผมไม่ได้ทำผิด หลังจากนั้น ปปช.ขอตั้งกรรมการร่วม มาจาก ปปช. 5 คน มาจากสำนักงานอัยการสูงสุด 5 คน กรรมการก็ไม่ฟ้องอีก ท้ายที่สุด ปปช. ตัดสินใจฟ้องเอง โดยจ้างทนายจากสภาทนายดำเนินการ
ประเด็นของการฟ้องผม ไม่เกี่ยวกับเรื่องดินแดนนะครับ ปปช. ไม่ได้กล่าวหาว่าผมทำความเสียหายในเรื่องเขตแดน แต่กล่าวหาว่าผมไม่ได้ขอความเห็นชอบจากสภาก่อนลงนาม ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่าทำไมผมจึงไม่ทำเช่นนั้น คำตอบคือกระทรวงต่างประเทศโดยผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายเห็นว่าคำแถลงการณ์ร่วมไม่เป็นหนังสือสัญญา และไม่มีบทบัญญัติเปลี่ยนแปลงอาณาเขต จึงไม่ใช่หนังสือสัญญาตามมาตรา 190 ของ รธน ผมและรัฐบาลท่านสมัครจึงไม่เอาเข้าสภา นี่คือเหตุผลครับ
ยิ่งกว่านั้น ผมย้ำมาตลอดครับว่าคำแถลงการณ์ร่วมคือเอกสารที่ทำขึ้นเพื่อปกป้องพื้นที่ทับซ้อนไม่ให้กัมพูชานำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ คำแถลงการณ์ร่วมทำให้กัมพูชายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งตกเป็นของเขาตามคำตัดสินศาลโลกในปี พศ. 2505 น่าเสียดายที่คำแถลงการณ์ร่วมเป็นของดี ที่มีคนทำให้เป็นของเสียไปแล้ว
เป็นโอกาสดีครับที่ผมจะนำความจริงเสนอต่อศาล และจะต่อสู้ว่าสิ่งที่ผมทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อประเทศ เพราะผมปกป้องดินแดน ผมจะพิสูจน์ด้วยความจริง ด้วยเอกสาร ไม่เอาความเชื่อ เอาอคติ เอาความเขลาไปนำเสนอ ผมหวังผมจะพบกับความยุติธรรมตามข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ได้
ขอบคุณทุกกำลังใจครับ การทำความดีบางครั้งก็ต้องเผชิญกับความยากลำบาก ชีวิตต้องสู้ครับ และอย่างที่ฝรั่งพูด LIFE DOESN'T MEAN TO BE EASY. ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบครับ


.........................................................................................................................




ดินสอ-ปากกาอวกาศ

สวัสดีครับ น้าชาติ

เคยได้ยินเรื่องว่า องค์การนาซ่า สหรัฐ คิดวิธีทำปากกาให้เขียนในอวกาศได้จนเสียเงินไปมหาศาล แต่รัสเซียกลับหาหนทางออกง่ายๆ ด้วยการใช้ดินสอ อยากรู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ และอยากทราบประวัติของดินสอด้วยครับ ว่าเริ่มในสมัยใด ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบครับ ขอให้น้าชาติสุขภาพ แข็งแรง อายุยืนยาว

ด้วยความเคารพ, แมน

ตอบ แมน

แม้ว่าตอนนี้มนุษย์นิยมเขียนเรื่องราวผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าคอมพิวเตอร์ ไอแพด ไอโฟน ฯลฯ แต่ดินสอก็ยังไม่สูญพันธุ์แต่อย่างใด ทั้งยังเป็นเครื่องเขียนคลาสสิคที่ใช้ในงานขีดเขียนและวาดงานศิลปะ

ไส้ดินสอส่วนใหญ่เป็นกราไฟต์บดละเอียดผสมดินเหนียว (ดินขาวที่ละเอียดใช้ทำเครื่องกระเบื้อง) และปั้นเป็นแท่งยาวแล้วเผาที่อุณหภูมิประมาณ 1,200 องศาเซลเซียส จากนั้นจึงนำไปเคลือบด้วยขี้ผึ้ง ทำให้เขียนลื่น ลบได้ง่าย ทนต่อความชื้น เคมีอื่นๆ และรังสีอัลตราไวโอเลตจึงอยู่ได้นาน

ส่วนตัวดินสอส่วนใหญ่เป็นไม้เนื้ออ่อน ทำให้เหลาง่าย เช่น ไม้ซีดาร์ เป็นต้น เมื่อผนึกกับไส้ใช้กาวผนึกให้ติดแน่นกับปลอกไม้ที่ใช้หุ้ม

คำว่า ดินสอ สำหรับคำว่า Pencil (เพนซิล) มาจากคำฝรั่งเศสโบราณว่า pincel หมายถึงแปรงระบายสีขนาดเล็ก ส่วนภาษาละตินว่า pincellus แปรงชั้นดีของศิลปินที่ทำจากขนอูฐ ในสมัยโบราณ ชาวอียิปต์ กรีก และโรมัน ได้ใช้แผ่นตะกั่วในการเขียนแผ่นปาปิรุส ก่อนจะนำพู่กันจุ่มหมึกมาเขียนทับ

ต่อมาในศตวรรษที่ 14 จิตรกรชาวยุโรปส่วนมาก ใช้ดินสอที่มีแท่งตะกั่ว หรือสังกะสี หรือเงิน มาเขียนภาพและหนังสือ โดยนำไม้เนื้ออ่อนมาหุ้ม ทำเป็นปลอกสวมแท่งโลหะนั้นไว้ จนเป็นที่มาของคำว่า lead หมายถึงไส้ดินสอในภาษาอังกฤ

กระทั่งในศตวรรษที่ 16 มีการค้นพบกราไฟต์และใช้เป็นไส้ดินสอ จนเป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง คำว่า เพนซิลจึงหมายถึงแร่กราไฟต์ที่ใช้เขียนหนังสือ ส่วนคำไทย ดินสอ นั้นแปลตรงตัวว่า แร่ดินสอดำ หรือกราไฟต์นั่นเอง

ผู้ที่ได้ชื่อว่าประดิษฐ์ดินสอในรูปแบบกราไฟต์คือ คู่รักชาวอิตาลี ซิโมนิโอ และลีนเดียนา แบร์นาค็อตติ ใช้ไม้แท่งมาประกบแท่งกราไฟต์ไว้ข้างในแล้วเชื่อมกันไว้ เทคนิคที่เริ่มต้นในปีค.ศ.1560 นี้ ใช้ยาวต่อมาอีก 400 ปีเลยทีเดียว

การผลิตดินสอเป็นอุตสาหกรรม เริ่มในปีค.ศ.1662 ที่เมืองเนิร์นแบร์ก ประเทศเยอรมนี จากนั้นมีบริษัทผลิตดินสอเกิดขึ้นตามมาทั่วในยุโรปและอเมริกา เช่น เฟเบอร์-คาสเทล, ไลรา และ สเต็ดต์เลอร์ เฟื่องฟูมากในศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งมาถึงศตวรรษที่ 20 ที่ปากกาลูกลื่นแพร่หลายกว่

สำหรับปากกาที่ใช้เขียนในอวกาศที่ถามมา เกิดขึ้นในยุคสงครามเย็นที่มหาอำนาจสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต ชิงดีชิงเด่นกันโดยเฉพาะด้านอวกาศ

ปากกาที่เขียนในอวกาศของสหรัฐผลิตโดย บริษัทฟิเชอร์ เพน คอมปานี (Fisher Pen Company) โดยนายพอล ซี. ฟิเชอร์ ประดิษฐ์ปากกาลูกลื่น "บูลเล็ต เพน" เริ่มในยุคทศวรรษ 1940 จากนั้น 20 ปีต่อมาพัฒนาให้เขียนได้ทุกบรรยากาศ เวลาอยู่ในอวกาศจะตีลังกาเขียนก็ได้ หรืออยู่ในใต้น้ำก็เขียนได้

นาซ่ามาซื้อปากกาของฟิเชอร์ในปีค.ศ.1967 ให้นักบินอวกาศอพอลโลไปใช้ โดยซื้อไป 400 ด้าม และสองปีต่อมา สหภาพโซเวียตซื้อบ้าง 100 ด้าม

แต่การปล่อยข้อมูลแนวบลัฟ-หักเหลี่ยมเพราะศึกอวกาศดังกล่าว เล่ากันว่า นาซ่าเสียเงินลงทุนผลิตปากกานี้ถึง 12 ล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปี ในขณะที่โซเวียตใช้ดินสอราคาไม่กี่ตังค์ ก็เขียนในอวกาศได้เหมือนกัน ซึ่งความจริงแล้ว ผู้ผลิตปากกาเขียนในอวกาศคือ บริษัทฟิเชอร์ที่กล่าวมา และโซเวียตเองก็ใช้ปากกานี้ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงในการใช้ดินสอที่เป็นกราไฟต์ในอวกาศ จะทำให้เกิดฝุ่นในห้องนักบิน หรือไส้หัก ไม่ดีต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เรื่องก็เป็นด้วยประการฉะนี้...

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด, ข่าวสดออนไลน์
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


.....................................................................................................................


ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 เส้นทางสู่อหังการแห่งอำนาจ


http://www.sameskybooks.net/index.php/component/k2/item/47-1-3

น่าสนใจจาก Thanapol Eawsakul 

"เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมกับชัยธวัข Chaithawat Tulathon ในนามกองบก. ฟ้าเดียวกัน ได้ทำสกู๊ปปก“เส้นทางสู่อหังการแห่งอำนาจ” (ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2546) มีบทความหลักคือ ปาฐกถา“ 5 ปีรัฐธรรรมนูญไทยในมุมองมเศรษฐศาสร์รัฐธรรมนูญ” ของ
อ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์

"เราได้สัมภาษณ์นักวิชาการในหลากหลายมุมมอง ประกอบด้วย สุวินัย ภรณวลัย บรรเจิด สิงคะเนติ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ อนุสรณ ลิ่มมณี และคุณไพโรจน พลเพชร หลายคนคล้อยตามไปกับอ.รังสรรค์ ไม่มากก็น้อย มีคนเดียวในนั้นคือ สุวินัย ภรณวลัย เห็นต่างไปอีกทางคือ มองปรากฎการณ์ทักษิณ เป็น “ความหวัง” ในการขับเคลื่อนสังคมและทุนนิยมไทย

"บางส่วนในบทสัมภาษณ์ ผมคิดว่าน่าสนใจ เพราะนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกับผู้ที่สนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในขณะนี้

"ปล. คงไม่ต้องบอกว่าปัจจุบันสุวินัย ภรณวลัย คิดอย่างไร หรือด้านกลับคือ ใครในปัจจุบันคิดเหมือนสุวินัย ภรณวลัย เมื่อ 10 ปี ที่แล้ว"
...........................................................

"ที่บอกวา รัฐธรรมนูญทำให้การแสวงหาส่วนเกินทางเศรษฐกิจซับช้อนขึ้น อันนี้ผมเห็นด้วย แต่คุณต้องเข้าใจวิวัฒนาการว่าระบบมันจะพัฒนาไป สู่ระบบที่ซับช้อนขึ้น ตัวอยางเช่น ข่าวล่าสุดรัฐบาลจะพัฒนาเครือข่ายคมนาคมสามแสนล้าน ถามว่าได้ประโยชน์ไหม ได้ประโยชน์เพราะนี่ป็นนิยมโดยรัฐ คือคุณทักษิณใช้ทุนนิยมโดยรัฐชัดเจนมาก จะบอกวาเขาคอรัปชั่นเชิงนโยบายมันก็ไม่ใช่อยางนั้น แต่คุณต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของทุนนิยมโดยรัฐมันเป็นแบบนั้น พรรคไทยรักไทยก็เป็นพรรคที่ได้รับการสนับสนุนจากทุนใหญๆ มันก็เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน แต่ผลประโยชน์แบบนี้คุณต้องวิเคราะห์รัฐในฐานะเป็น ผู้คุ้มครองหรือเริ่มระบบทุนนิยม แล้วคุณบรรหาร คุณชวน สู้คุณทักษิณไม่ได้ ในฐานะเป็นผู้ปกป้องระบบทุนนิยมโดยรวม คือทักษิณเขาต้องการทำให้ประเทศไทยอยู่รอดได้ในระบบทุนนนิยมโลก แล้วเขาเหมาะสมแล้ว"

สุวินัย ภรณวลัย (2546)

........................................................................................................................


ไม่ว่าศาลจะตัดสินยืนยัน นอนยัน ยังไง ว่าคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นคนเผาห้าง CTW

สลิ่มไทยบอก "กูไม่สน กูไม่เลิก กูจะคิดแบบนั้นต่อไป กูจะพูด กูรักชาติ กูไม่ยอมรับ กูรับไม่ได้"

002


.......................................................................................................................




เราต้องระวังกู้มาโกงนะครับ อ้าวคนล่ะรัฐบาลนี่หว่า


Ahiru Ped แบ่งพื้นที่กันโกงให้เท่าเทียมกัน ประเทศไทยจะได้สงบสุข

....................................................................................................................


.....................................................................................................................




รู้ไปทำไมว่า โฮเวอร์คาร์ (Hover Car) เป็นรถต้นแบบของโฟล์คสวาเก้น เป็นรถยนต์ 2 ที่นั่งที่ไม่มีการปล่อยมลภาวะ รถจะวิ่งไปเหนือพื้นถนนตามโครงข่ายแม่เหล็กไฟฟ้า และตรวจจับการเคลื่อนที่ของยานพาหนะอื่นๆ บนท้องถนนได้ ทั้งยังเป็นรถขนาดเล็กซึ่งหาที่จอดได้ง่าย

โครงการนี้ได้นำไปแสดงในประเทศจีนซึ่งมีจำนวนรถยนต์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก รถติดอย่างหนัก และก่อมลภาวะสูง

ส่วนความเป็นไปได้ในการใช้รถโฮเวอร์คาร์นั้น ในปัจจุบันมีความพยายามออกแบบโครงข่ายถนนแม่เหล็กไฟฟ้าในหลายประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกา โดยนักวิจัยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เป็นต้น หากออกแบบสำเร็จ เราจะมีรถประเภทนี้ใช้งานกัน เป็นรถคันแรกของคนรุ่นลูกหลานในอนาคต

ข้อมูลจาก http://www.cbsnews.com/8301-505164_162-57431773-10391734/video-of-volkswagen-concept-hover-car/
ชมวิดีโอได้ใน http://www.youtube.com/watch?v=kbytE_FAZuA&feature=player_embedded#!


.................................................................................................................


......................................................................................................................

อยากให้ ปตท ให้ทุนท่านไปเรียน Fundamental Petroleum Economics สักคอร์สสองคอร์สหน่อยเถอะ จะได้เข้าใจโลกปิโตรเลียมหน่อยเถอะครับ ดูแต่ละคำถาม ถ้าไปถามใน conference นานาชาตินี่ ผมอายแทนคนไทยจริงๆ ...
http://www.facebook.com/siriwat.vitoonkijvanich/posts/493541510708897

....................................................................................................................

ประเด็นปัญหาอย่างหนึ่งของสังคมไทยที่เห็นในช่วงนี้คือ
ไม่รู้แล้วชอบชี้ 
ตัวเองไม่รู้จริง ไม่มีความรู้ ไม่หาข้อมูลหลักฐานที่แน่นอน ก็จะพยายามจะมาชี้ เหมือนว่าตัวเองเป็นเอตทัคคในด้านนั้น 

นอกจากนั้น ใน FB ก็ัยังมีพวกแชร์ข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบ 
โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นการกล่าวหาหรือปรักปรำ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือคนหนึ่งคนใด ว่าเป็นตามที่กล่าวหาจริงหรือไม่
ไม่ตรวจสอบให้ชัดแจ้งแล้วก็แชร์กัน 
ไม่ต่างกับการช่วยปล่อยข่าวเท็จ ช่วยกันกล่าวหาปรักปรำ!!! 
และหลังจากที่ข้อมูลออกมาชัดแจ้งว่าไม่เป็นตามข้อกล่าวหา 
ก็ไม่มีความรับผิดชอบต่อข่าวเท็จที่ตัวเอามาปล่อยต่อ
เงียบหายไปเหมือนที่สื่อมวลชนมาตรฐานต่ำ ชอบทำกัน
ไม่มีการออกมาขอโทษหรือแก้ข่าวใดๆทั้งสิ้น

เฮ้อ!

ปล. หากข้อมูลที่ผมแชร์ (โดยเฉพาะที่มีการกล่าวหา กล่าวโทษ คนหนึ่งคนใด หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด) เป็นข้อมูลเท็จ ขอให้ช่วยบอกกล่าวผมด้วย ผมพร้อมจะขอโทษและแก้ข่าวเท็จนั้น 
ขอบคุณล่วงหน้าครับ

'Theera Tangtirmthong อย่าแชร์มากครับ ไม่ใช่นักการเมืองแชร์ไปเป็นร้อยๆ ก็ไม่ได้เป็น สส

Ahiru Ped ผมว่าห้ามแชร์คงเป็นไปได้ยากครับ กว่าจะรู้ว่าข้อมูลที่บอกต่อๆกันมานั้นถูกหรือผิด จริงหรือเท็จ มันก็ถูกแชร์กันไปแล้วนับไม่ถ้วน ในฐานะคนรับสือควรไตร่ตรองแล้วเลือกที่จะ"เชื่อ" ตามเหตุและผลดีกว่า

Supapong Wanitpongpan พี่ก็ไม่ได้ว่าห้ามแชร์ครับ 
แต่แชร์แล้วก็ต้องรับผิดชอบ นั่นคือเมื่อมันชัดเจนแล้ว ก็ต้องยอมรับ และขอโทษ 
ไม่ใช่เงียบหายไปกับสายลมและแสงแดด

และใครก็ตามที่รับผิดชอบ ก็จะรอบคอบในการแชร์ครับ


...............................................................................................................


ใบตองแห้ง: 'หมอเจ็บ' กับ รมต.หมอ


http://www.prachatai.com/journal/2013/03/45949

.................................................................................................................


Ozone ZaZa น่ารัก

.................................................................................................................




I have probably posted this before but I just love it ♥


................................................................................................................


Ahiru Ped พี่แกยอมเหนื่อยเพื่อเล่นมุกนี้โดยเฉพาะ

...............................................................................................................




Ekkachai Hongkangwan, the CD seller who is sentenced to five years in jail for lèse majesté offence today said he was quite upset by the Court’s ruling. He simply wanted to spread neutral information produced by foreign media. Asking if he has anything to say to the ABC which produced the documentary that landed him in jail, he said nothing. He wanted to thank them anyway for producing very good documentaries on Thai politics. “It was an excellent news documentary” said Ekkachai. His octogenarian father and his attorney are busy getting him out on bail. It should be in late afternoon if he will be temporarily released.

เอกชัยกล่าวว่า เขารู้สึกผิดหวังที่ศาลตัดสินลงโทษเขาและไม่เข้าใจเจตนาของเขาที่ต้องการเผยแพร่ข่าวสารที่เป็นกลาง ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามว่ามีอะไรจะฝากถึงสำนักข่าวเอบีซีไหม เอกชัยตอบว่า ไม่มี แต่ก็ขอบคุณที่ผลิตสารคดีการเมืองไทยที่ดีๆ ออกมา "มันเป็นสารคดีที่ดีมาก"

ด้านทนายความและบิดาวัย 80 กว่าปีของเขากำลังทำเรื่องประกันตัวซึ่งน่าจะทราบผลภายในเย็นนี้


.................................................................................................................


ติดตามการเมืองไทยมาตั้งแต่อยู่ ป.4 ผมว่าเราทุกคนรู้กันดีว่ากระทรวงคมนาคมเป็นกระทรวง "เกรด A" เพราะมันคือกระทรวงทีีมีงบซ่อมบำรุงและงบโครงการขนาดใหญ่ทุกปี เราจึงมักได้เห็น รมว. คมนาคม เป็นพวก "หัวแถวกลุ่มการเมือง" อยู่เสมอ ชนิดที่มานั่งแล้วจะเงียบกริบ ไม่ให้มีแรงปะทะ ให้นั่งให้ยาวที่สุด นานที่สุด ..... อิ่มที่สุด

ด้วยเหตุนี้เราจึงมักได้ รมว. คมนาคม ที่เก่งการเมืองมากกว่าอย่างอื่น และไม่เคยมี รมว. คมนาคม ที่มี "วิสัยทัศน์" เลย

ดูการลุกขึ้นพูดวันนี้แค่ไม่กี่นาที ชัดเจน คมกริบ หลักแหลม เข้าประเด็น

.... ผมดีใจมากๆที่ประเทศไทยมี รมว. คมนาคม ชื่อ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์


...................................................................................................................




“Yesterday I was clever, so I wanted to change the world. Today I am wise, so I am changing Myself.” -Rumi ►


.......................................................................................................................


โครงการส่งเสริมภาษาอังกฤษกับงานวิศวกรรม


http://www.youtube.com/watch?v=1PfVI41yq-M

.......................................................................................................................


สิ่งที่พัฒนาขึ้นจากการอภิปรายงบ 2 ล้านล้านบาท

1.ปชป.โดยผู้นำฝ่ายค้านยอมรับแล้วไม่ค้านโครงการ เห็นด้วยกับการสร้างระบบ Logistics แต่สงสัยทำไมถึงกู้นอกงบประมาณ หลังจากเกือบหนึ่งเดือนเต็มๆถล่มเละ
2.มีบางคนพยายามอ้างเศรษฐกิจพอเพียงมาค้านการวางระบบ Logistics
3.หลายคนที่ไม่รู้จะค้านยังไง ก็ได้แต่แชร์ว่าเงิน 2 ล้านล้านหนักกี่ตัน วางไปบนถนนรอบโลกได้กี่รอบ เสร็จแล้วงง แล้วไง ส.ส.ธวัสชัย อนามพงษ์ ของ ปชป.อภิปรายได้แบนมาก
4.นายกฯ+รมว.คลัง+รมว.คมนาคม ได้โอกาสชี้แจง เต็มๆปากเสียที ถึงที่มาที่ไป ประโยชน์ การป้องกันคอรัปชั่น และวิสัยทัศน์มองอะไรให้ทะลุไปถึง 10 ปีข้างหน้า
5.ครป.ปรากฎโฉมครั้งใหม่ ด้วยการประกาศล้มโครงการนี้


.............................................................................................................................


ผมคิดว่าเรื่องโครงการ 2.2 ล้านล้านบาท นี่มันน่าสนใจมากๆ เพราะมันมีนัยยะสำคัญในสารพัดมิติ

1. นัยยะทางเศรษฐกิจ อันนี้ชัดเจน ไม่ต้องพูดแล้ว

2. นัยยะทางการเมือง อันนี้ก็ชัดว่าเป็นโครงการที่เพื่อไทย "ปั้น" มาเต็มที่ ฟังการอภิปรายแล้วรู้สึกได้ชัดเลยว่าเขาเตรียมข้อมูลมาหมดทั้งทางเทคนิคและ "แทกติก" ของระบบราชการ/กฎหมาย

นั่นแปลว่าเรื่องนี้ในทางการเมืองจะมีนัยยะที่สำคัญมากแน่นอน เราจึงเห็นทุกพรรคการเมือง "ดิ้น" กันอยู่ตอนนี้

ที่น่าสนใจคือมันจะผ่านไปได้ไหม และผ่านอย่างไร โดยได้ใครบ้างสนับสนุน

จะสนุกไปกว่านี้อีกหากเพื่อไทยยินดีเดิมพัน ประกาศเลยว่าถ้านโยบายนี้ดันไม่ผ่าน จะยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ให้ประชาชนทั่วประเทศตัดสิน -- อันนี้จะสนุกมากๆ และเป็นบททดสอบกระบวนการ "ประชาธิปไตย" ของประเทศไทยที่ดีมากๆอีกครั้งหนึ่ง

3. นัยยะทางประชาธิปไตย -- การที่เริ่มเห็นนักการเมืองบางขั้ว หรือประชาชนบางกลุ่ม ลากเรื่องนี้ไปถึงเรื่องพระราชดำรัสในหลวง หรือเศรษฐกิจพอเพียง มีนัยยะทางประชาธิปไตยสูงมาก ลึกไปถึงระดับแก่นแกน

พูดแค่นี้แหละ เชื่อว่าคนที่มีสติปัญญาดีน่าจะคิดได้ว่าอะไรเป็นอะไร


........................................................................................................................



วันหลังจะได้เลิกประชุมเร็วขึ้นนะครับ


......................................................................................................................


เรื่องกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ผมเป็นห่วงเรื่อง 'ศาลรัฐธรรมนูญ' จริงๆ

ล่าสุด ส.ว. 43 คน และ ส.ส. 33 คน รวม 76 คน ร่วมกันเสนอความเห็นต่อ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ให้ส่งความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐฯ (ย้ำว่าเป็นร่างกฎหมาย 'คนละฉบับ' การกรณีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท แต่มีความเกี่ยวเนื่องกัน) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 มาตรา 75 วรรค 1 มาตรา 78 วรรค 4 และ 5 มาตรา 84 วรรค 11 มาตรา 87 วรรค 1 2 และ 3 หรือไม่นั้น

สิ่งหนึ่งที่ผมกังวลมาก ก็คือ กรณีร่าง พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐฯ นั้น กลุ่ม 76 ส.ส. ส.ว. เห็นว่า มีบางมาตราที่ขัดแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ในหมวด "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญ จึงควรวินิจฉัยว่ามีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ดี นักนิติศาสตร์หลายคนมีความเห็นตรงกันว่า บทบัญญัติในหมวด "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" เป็นเพียง "เจตจำนงให้รัฐดำเนินการตรากฎหมายและกำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน" โดยบทบัญญัติเหล่านี้จะมีข้อความในเชิงนโยบายที่มีความหมายกว้างและเป็นการทั่วไป เช่น การใช้ถ้อยคำว่า

- “รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการดำเนินการตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”

- “สนับสนุนให้มีการใช้หลักคุณธรรม จริยธรรม และหลักธรรมาภิบาล ควบคู่กับการประกอบกิจการ”

- “ดำเนินการให้มีการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม”

ซึ่งไม่อาจชี้ได้ชัดในทางกฎหมายว่า สิ่งใดขัดแย้งต่อข้อความเหล่านี้หรือไม่

ดังนั้น การจะพิจารณาว่าสิ่งใดขัดแย้งต่อ "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" หรือไม่นั้น จึงต้องอาศัยกลไกการตรวจสอบทางการเมืองเป็นการเฉพาะ กล่าวคือ รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และชี้แจงให้ชัดแจ้งว่าจะดำเนินการใด ในระยะเวลาใด เพื่อบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และต้องจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินการ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคเสนอต่อรัฐสภาปีละหนึ่งครั้ง

แต่หากศาลสามารถนำบทบัญญัติในหมวด "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" มาเป็นประเด็นวินิจฉัยคดีได้ ก็จะทำให้ศาลมีอำนาจมหาศาล สามารถยกบทบัญญัติที่มีความกว้างและเป็นการทั่วไปมาวินิจฉัยได้จนรัฐสภาไม่อาจคาดการณ์ได้เลยว่า จะ 'เดาใจ' ศาลอย่างไร ว่ากฎหมายฉบับใด จะดีพอในสายตาของศาลหรือไม่ อันอาจจะทำให้เกิดการขยายอำนาจตุลาการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในที่สุด

และหากถึงเวลานั้น ใครจะอ้าง "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" มาฟ้องกรณี กู้เงิน 2 ล้านล้าน ด้วยละก็ ...นึกภาพแล้ว คงละเลงกันเต็มที่ครับ...


..............................................................................................................................




เปิดคำพิพากษา คดีขายซีดีสารคดีข่าว ABC-เอกสารวิกิลีกส์

"ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น จะต้องพิจารณาถึงฐานะที่ทรงดำรงอยู่ในความรู้สึกของประชาชนชาวไทยอันมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ประกอบข้อความดังกล่าวด้วย ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 2 บัญญัติว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มาตรา 8 บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ มาตรา 70 บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาตรา 77 บัญญัติว่า ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ประมวลกฎหมายอาญายังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดต่อสถาบันเป็นพิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไป ตามมาตรา 112 ด้วย

จึงย่อมเห็นได้โดยชัดแจ้งว่า องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงดำรงอยู่ในฐานะพระประมุขของประเทศ เป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดหรือใช้สิทธิเสรีภาพให้เป็นปฏิปักษ์ในทางหนึ่งทางใดมิได้ ทั้งรัฐและประชาชนต่างมีหน้าที่ต้องรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดำรงอยู่คู่ประเทศตลอดไป ไม่เพียงแต่ในกฎหมายแม้ในความรู้สึกนึกคิดของประชาชนชาวไทยอันมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ให้ความเคารพสักการะเทิดทูนไว้เหนือเกล้าตลอดมาตั้งแต่โบราณกาล”

ส่วนหนึ่งของคำพิพากษา

อ่านรายละเอียดได้ที่ http://prachatai.com/journal/2013/03/45995


........................................................................................................................




เห็นรูปภาพนี้ในPosttoday วันนี้ แล้วก็มีคนแสดงความเห็นว่า วิสัยทัศน์ของรัฐบาลที่ลงทุนเป็นเม็ดเงินมหาศาลนั้นเพื่อจะขนผักเท่านั้นหรือ ก่อนจะตามมาด้วยคำเยาะเย้ยถากถางอันพรั่งพรูว่าเสียดายที่เรามีผู้นำที่คิดได้แค่นี้

แน่ล่ะการจงใจโคว้ทข้อความนี้ลงในรูปนั้นเพื่อเสียดสีอย่างเห็นได้ชัด แต่คิดในมุมที่กว้าง นี่เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งจนนักเสียดสีทั้งหลายหลงลืม

หากจำได้ในอดีตนั้น ผลไม้ที่เรียกว่าลูกแอปเปิ้ลนั้นเป็นของแพง มีราคาสูง เด็กคนใดพกลูกแอปเปิ้ลไปโรงเรียน เพื่อนๆย่อมรู้ว่าเป็นลูกคนมีฐานะแน่นอน ทว่าชั่วเวลาไม่กี่สิบปีหลังจากที่จีนปรับกลยุทธ์ด้าน Logistics นำแอปเปิ้ลที่ขายในมณฑลห่างไกลออกสู่ตลาดโลกได้สำเร็จแทนที่จะปล่อยให้เน่าคาสวนในราคาต่ำ ผลแอปเปิ้ลของจีนก็ระบาดและเดินทางไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทยที่ชาวบ้านร้านตลาดก็สามารถมีสิทธิ์จะกินแอปเปิ้ลได้แบบกระเป๋าไม่ฉีก จนจีนก็กลายเป็นผู้ส่งออกแอปเปิ้ลระดับต้นของโลกแซงชิลีและหลายประเทศในยุโรปไปแล้

กลยุทธ์ด้าน Logistics นั้นจำต้องให้ค่ากับสินค้าที่เน่าเปื่อย หรือเสื่อมสลายได้ง่ายเป็นหลักสำคัญก่อน การมีช่วงชีวิตที่จำกัดของสินค้าการเกษตรนั้นบังคับให้เราต้องทำงานแข่งกับเวลา เว้นเสียแต่ว่าเราจะมองว่าอาชีพด้านเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่ต้องพึ่งพาโชคชะตาแต่ถ่ายเดียว และปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ถ้าเช่นนั้นแล้วก็อย่าพึ่งรถไฟความเร็วสูงหรืออะไรเลย อย่ามุ่งหวังจะแข่งขันในตลาดโลกเลย จงพึ่งศาลเพียงตาหน้าบ้านและพายเรือขายของต่อไปเถิด



จาก Status คุณ Sompop Ntv บรรณาธิการบริหาร Nation Channel

นายกฯพูดยืดยาว ถึงประโยชน์จากระบบ Logistics
แต่บางคน "โคว้ท"แค่นี้ เพื่อจะได้ดูถูกสติปัญญา
ของคน ด้วยความเกลียดชังไม่เลิก.........เฮ้ออออ


.....................................................................................................................

แดกทั่วไทย จัญไรทั่วทิศ!!!
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=419

Ice Nachai จะพรบ พรก เสียงเยอะขนาดนี่ ยังไงก็ผ่าน

.....................................................................................................................


การทำรถไฟไว้ขนผักไปขายให้จีน ไม่ใช่เรื่องใหม่นี่ครับ? เห็นพูดเรื่องนี้มซักระยะแล้ว หลังๆถ้าดูข่าวเศรษฐกิจจะพบว่าจีนมันอุดหนุนสินค้าทางการเกษตรและประมงจากไทยเยอะมาก แถมยังเน้นความสดใหม่สุดๆ อย่างกุ้งที่ชาวประมงจับได้ จีนต้องการกินแบบสดๆ ชาวประมงก็น๊อคกิ้งกุ้งแล้วส่งไปขายที่จีนทั้งเป็นๆ ราคากุ้งเป็นนี่ถีบตัวขึ้นจากราคากุ้งตายเยอะมาก ถ้าเรามีระบบโลจิสติคที่ดี ขนของไปจีนได้ไวขึ้น รายได้ก็เข้าประเทศเต็มๆ ไม่เข้าใจว่าการหยิบยกประโยคทำรถไฟขนผักไปขายจีนมาล้อเลียนมันเป็นเรื่องน่าตลกตรงไหน


.......................................................................................................................




"ทุกรัฐบาลที่ผ่านมา 27 คนของในประเทศไทยก่อหนี้ไว้ 8.6 แสนล้านบาท แต่นายกฯอภิสิทธิ์ กู้และก่อหนี้ 1.4 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย นายกฯ จะใช้หนี้อย่างไร เพราะมีแต่การกู้และการทุจริตเท่านั้น นอกจากนี้รัฐบาลยังสร้างหนี้นอกระบบ โดยผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง และตอนนี้ดอกเบี้ยทะลุ 2 แสนล้านบาทแล้ว ดังนั้นนายกฯ ไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้อีกต่อไปแล้ว"
มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ, 15 มี.ค.54
ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ใน อภิปรายภาพรวมของญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ กรณีกู้เงิน 1.4 ล้านล้านบาท

“ผมยืนยันว่าการที่เรากู้ มาและกระตุ้นเศรษฐกิจจนรายได้ฟื้น และขณะนี้ฐานะทางเงินคงคลังดีขึ้น และรัฐบาลก็ยืนยันในการเดินเข้าสู่การมีงบสมดุลในอีก 4-5 ปีข้างหน้า เป็นแนวทางที่ถูกต้องในการบริหารเศรษฐกิจ”

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, 15 มี.ค.54
นายกรัฐมนตรี ตอบในสภากรณีกู้เงิน 1.4 ล้านล้านบาท

ที่มา : อภิปรายไม่ไว้วางใจ: “มิ่งขวัญ” เปิด “อภิสิทธิ์” ชี้แจง
Wed, 2011-03-16 02:15 http://prachatai.com/journal/2011/03/33575


.................................................................................................................


















































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น