วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

16/04/2556

Kasian Tejapira
ถ้าผมเป็นนักเศรษฐศาสตรที่ทำนายพลาด จะทำไงดี?
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ีมีปฏิกิริยา/คอมเมนต์ต่อสเตตัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจฟองสบู่เรื่อง "บทเรียนจากฝรั่งถึงจีนฯ" ที่ผมโพสต์เช้านี้น่าสนใจ (ดูภาพประกอบ) ผมใคร่ชวนคุยต่อดังนี้:

ผิดเป็นครูไม่ใช่หรือครับ? มี ๒ อย่างที่ทำได้และน่าทำสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำนายผิดนะผมว่า

๑) รับซะว่าผิด แล้วค้นหาว่าทำไม? ลืม factor in ปัจจัยอะไรเข้ามาบ้าง? โดยเฉพาะปัจจัยอันซับซ้อนของมนุษย์ที่ไม่ได้คิดแบบ rational being, economic animal มุ่ง maximize profit/utility อย่างเดียว

๒) เชื่อมั่นให้น้อยลง (โดยเฉพาะเชื่อมั่นตัวเองและความรู้/ทฤษฎีของตัวเองและสาขาวิชาตัวเอง) สงสัยให้มากขึ้น

ได้แค่นี้ก็ดีโขแล้วครับ เพราะถ้าทำได้ มันก็แปลว่า ต่อไปข้างหน้า ทุกครั้งที่ผิด นักเศรษฐศาสตร์จะฉลาดขึ้น และคนอื่นจะได้ประโยชน์จากความฉลาดนั้น

แทนที่จะเปฺ็นว่า แต่ละครั้งที่ผิด นักเศรษฐศาสตร์ (หรือนักอะไรอื่นใดก็ตามที่ไม่สรุปบทเรียน/ไม่รับผิด) ไม่ฉลาดขึ้นเลย และคนอื่นไม่ได้ประโยชน์อะไรงอกเงยออกมาจากพวกเขาเลย นอกจากคำแก้ต่างแก้ตัวและการยืนยันในมิจฉาทิฐิต่อไป

ส่วนอีกอันเป็นข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับฟองสบู่จีนของอ.สุวินัย ภรณวลัย นักเศรษฐศาสตร์การเมืองมือเก่าผู้นำความรู้เรื่องเศรษฐกิจฟองสบู่ (ญี่ปุ่น) มาสู่เมืองไทยเมื่อยี่สิบปีก่อน

....................................................................................................................


ถ้าใช้คำอย่าง "ชนะ-แพ้-เสมอ" ในกรณีเขาพระวิหารนะ ฝ่ายไทย อย่างดีที่สุดคือ "เสมอ" คือ ศาลตัดสินทีจะไม่ตัดสิน ปล่อยไว้อย่างเดิม แต่โอกาส "ชนะ" คือ ตัดสินกลับคำพิพากษาปี 2505 นี่ น่าจะเป็นไปไม่ได้เลย

อันที่จริง นี่เป็น ความ "โง่" อย่างหนึงของพวกที่ก่อกระแส "ชาตินิยม" ในไม่กี่ปีนี้

คืออันทีจริง การปล่อยให้เรืองนี้ มัน "คลุมเครือ" อย่างทีปล่อยไว้ 40-50 ปีน่ะ เป็นประโยชน์ฝ่ายไทย คือ ไทยสามารถ "โมเม" ว่า ปี 2505 ไม่มีการตัดสินเรืองเขตแดนโดยตรง ตัดสินเฉพาะพื้นที่ปราสาท ดังนั้น พื้นทีรอบๆ จึงถือเป็น "พื้นทีทับซ้อน" หรือ "คลุมเครือ" บอกไม่ได้ว่า เป็นของใคร

แต่อันทีจริง ในคำตัดสิน 2505 แม้ศาลจะไม่ได้ตัดสินเรืองเขตแดนโดยตรง แต่จริงๆแล้ว ศาล "วินิจฉัย" เรืองนี้ไปแล้ว เพราะถ้าไม่วินิจฉัยเรืองนี้ก่อน ก็ไม่สามารถตัดสินว่า พื้นที่ปราสาทเป็นของกัมพูชา อย่างทีตัดสินได้

พูดง่ายๆคือ คำตัดสินทีว่า พื้นทีตัวปราสาท เป็นอธิปไตยกัมพูชานั้น วางอยู่ "ฐาน" การ "วินิจฉัย" ที่ว่า แผนที่ผนวก 1 เป็นส่วนหนึงของสนธิสัญญา และดังนั้น จึงเป็นหลักเขตแดน (และดังนั้น พื้นที่ตัวปราสาท ซึงอยู่ในเขตกัมพูชาตาม แผนที่ผนวก 1 จึงเป็นของกัมพูชา)

ซึงเป็นไปไม่ได้เลยในปัจจุบัน ที่ ศาล จะกลับการวินิจฉันนั้น (ที่ถือเอา แผนทีผนวก 1 เป็นเกณฑ์) เพราะถ้ากลับ ก็หมายถึงว่า ต้องกลับการตัดสินเรือง พื้นทีปราสาทเป็นของกัมพูชาด้วย ซึง เป็นไปไม่ได้ เพราะหมดอายุความไปนานแล้ว

ทีฝ่ายกัมพูชา มั่นใจในคราวนี้ เป็นฝ่ายยื่นให้ตีความ ก็เพราะรู้หรือประเมินความจริงทีว่านี้ได้

ทีผ่านมาหลายสิบปี เอาเข้าจริง ฝ่ายไทยน่ะ ได้ประโยชน์ ที่ไม่ "รื้อฟื้น" เรืองนี้ขึ้นใหม่ (และเป็นเหตุผลว่า ทำไมรัฐบาลหลาย 10 รัฐบาล จึงไม่เคยคิดจะรื้อฟื้น เรืองนีขึ้นใหม่) เพราะรู้ว่า ไม่มีทางชนะ อย่างมากคือ "เสมอ" แต่เผลอๆ มีโอกาส "แพ้" คือ ศาลจะยืนยัน ตัดสินเรืองเขตแดนไปโดยตรงเลย (ในขณะทีคราวก่อน เป็นเพียงการวินิจฉัย เพื่อเป็น "ฐาน" ของการตัดสินเรืองพื้นทีปราสาท)

แต่ในหลายปีนี้ พวก "ชาตินิยมความรู้สึกช้า" (delayed nationalism) ที่เกิดและโตไม่ทัน แต่อยากจะแสดงความเป็น "คนรักชาติ" ขึ้นมา กลับจุดประเด็นนี้ขึ้นมา ทำให้ฝ่ายกัมพูชา ได้ที ยื่นเรืองให้ศาลตีความเสียเลย เพราะรู้ว่า ไม่มีทางแพ้

อย่างทีบอกว่า อย่างมาก ฝ่ายไทยอาจจะ "เสมอตัว" คือ ศาลตัดสินว่า ไม่ตัดสิน แต่โอกาส "แพ้" เลยก็มีสูง คือ ศาลยืนยันลงไปเลยว่า เขตแดนน้้น มีการวินิจฉัยไปแล้ว และคราวนี้ ก็จะกลายเป็นว่า มีการตัดสินเรืองเขตแดนโดยตรง ต่อไปนี้ ไทยก็อ้างไม่ได้อีกแล้วว่า มีความ "คลุมเครือ" ในคำตัดสินปี 2505

............................................................................................................................


ปัจจัยหนึง (แน่นอนมีหลายปัจจัย) ที่ทำให้ปัญหา ไอร์แลนด์เหนือ-สหราชอาณาจักร-สาธารณรัฐไอแลนด์ ลดความรุนแรงลง จนปัจจุบัน ไม่มีภาวะสงครามในไอร์แลนด์เหนืออีก

ก็เพราะว่า ในทีสุด ตอนนี้ ทั้งสหราชอาณาจักร และ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ (ที่พวกชาตินิยมไอริช อย่าง IRA ต้องการให้ไปรวมด้วย) ก็ล้วนรวมกันเข้าไปอยู่ใน EU และเศรษฐกิจก็ล้วนไปผูกอยุ่กับ EU มากขึ้นๆ

เมื่อวาน เห็นเพื่อนคนหนึงยกประเด็นเรือง AEC ขึ้นมาในกรณีเขาพระวิหารเหมือนกัน ผมขอพูดขยายความต่อนิดนึง

คือ ใครที่มองการณ์ไกล ต้องรู้ว่า ในอนาคต ความผสมผสานเข้าด้วยกันของประเทศแถบนี้ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ จะต้องมากขึ้นๆเรื่อยๆ (จริงๆแล้ว ทุกวันนี้ ไทยได้เปรียบกัมพูชาทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลอยู่แล้ว)

ปัญหา "ดินแดน" ที่อยู่ติดๆกัน (ว่าตรงไหนเป็นของใคร) โดยเฉพาะดินแดนที่มันไม่ได้มีทรัพยากรประเภทน้ำมัน อะไร อยู่ (อย่างเขาพระวิหาร) มันกลายเป็นปัญหาเล็ก ทีในระยะยาวแทบไม่มีความหมายอะไ

และอย่างทีบอกว่า หลายสิบปีทีผ่านมา ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แล้ว ที่ปล่อยให้เรื่องมัน "คลุมเครือ" ไม่จุดชนวนเรืองนี้ขึ้นมา (ดูกระทุ้ข้างล่าง 2-3 กระทู้)

ทิศทางทีฉลาดคือ พยายามทำเรือง JDA (เขตพัฒนาร่วม joint development areas) ซึงเราก็ได้เปรียบอีก เพราะจริงๆ ตามเกณฑ์การตัดสินปี 2505 น่ะ ที่ตรงนั้น ("4.6 ตร.กม." อะไรนั่นน่ะ) มันเป็นของกัมพูชาอยู่แล้ว ทำ JDA นี่ เรายังสามารถ "สอด" เข้าไปเอาผลประโยชน์ตรงนั้นได้ (ไม่ต้องพูดถึงว่า โดยกำลังการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทยปัจจุบัน ทีไกลกว่ากัมพูชาหลายขุม การทำในลักษณะ "ร่วม" อะไร เราก็ได้เปรียบกว่าแน่ๆ)

เรืองนี้ คนทีต้องบอกว่า "แย่" หรือ "ไม่เอาไหน" มากๆ คือ บรรดาผู้นำ ปชป โดยเฉพาะ อภิสิทธิ์ ซึง ในฐานะ "เด็กโต-จบนอก" ควรรู้เรืองพวกนี้ดี แต่ด้วยความเห็นแก่ประโยชน์การเมือง เลย "โหนกระแส" เรื่องนี้ ตั้งแต่สมัย รบ.สมัคร

เป็นอะไรที่ "โง่" และ "สายตาสั้น" มากๆ

.............................................................................................................................


ขออีกนิดเรื่องเขาพระวิหารนะ

คือบรรดาคนที่อยาก "รักชาติ" จุดกระแสเรื่องนี้ ในไม่กี่ปีนี้น่ะ ไม่เคยศึกษาเรื่องนี้จริงๆ (ดูกระทู้ข้างลาง ที่ผมเล่าเรือง เทพมนตรี ประกอบ)

แล้วก็โวยวายๆว่า "ศาลไม่เคยตัดสิน ไม่เคยตีความ วินิจฉัยเรื่องเขตแดน ดังน้้น พื้นที 4 ตร.กม.เศษ ถือว่ายังเป็นของเราๆๆ"

พวกนี้ ไม่เคยใช้สมองคิดเลยว่า แล้วปี 2505 น่ะ จู่ๆ ศาลตัดสินให้พื้นทีปราสาทเป็นของกัมพูชาได้ไง? จูๆ ศาลเกิดบอกว่า "ฉันอยากยกพื้นทีปราสาทให้กัมพูชา" โดยไม่มีเหตุผลประกอบอะไรเลยหรือ?

ความจริงคือ ในคำตัดสิน 2505 ศาลได้เริ่มจากการวินิจฉัย "ตีความ" เรืองเขตแดนก่อน โดยวินิจฉัยตีความให้ถือเอาตาม แผนที่ผนวก 1 เป็นเกณฑ์ (พื้นทีตัวปราสาทอยู่ในส่วนของกัมพูชาตาม แผนที นั้น ศาล จึงยกพื้นทีปราสาทให้กัมพูชา)

อย่างทีพูดหลายคร้งว่า ทีไม่มี รบ.ไทยชุดไหน ตลอด 40-50 ปีนี้ คิดจะจุดชนวน รื้อฟื้นเรืองนี้จริงจัง ก็เพราะรู้ว่า ปล่อยไว้แบบนี้ เราสามารถ "โมเม" อ้างได้ว่า พื้นทีตรงนั้น ยัง "คลุมเครือ" ยัง มีความ "ทับซ้อน" กันอยู่ เพราะศาล "ไม่ได้ตัดสิน" ได้ พูดง่ายๆคือ ปล่อยไว้แบบนี้ เราเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ ไม่ "เสีย" อะไรมากไปกว่านี้

งานนี้ เป็นเรือง "ความโง่" จริงๆ คือ การจุดชนวนเรืองนี้ขึ้นมาน่ะ ฝ่ายไทยมีแต่ อย่างมาก "เสมอตัว" คือ ศาลไม่วินิจฉัยอะไรเพิ่มเติม (อันนี้ไม่นับความเสียหายอืนๆในเรืองความสัมพันธ์หรือการค้านะ)หรือ ไม่ก็ยิ่ง "แพ้" หนักกว่าเดิม คือ ศาลยืนยันลงไปเลยว่า วินิจฉัยไปแล้วว่า ให้ใช้ตาม แผนที่ผนวก 1 (เพราะไม่มีทางทีศาลจะกลับคำตัดสิน ไมให้ใช้ แผนทีผนวก 1 ได้เลย ถ้ากลับแบบนี้ ก็ต้องยกพืนทีปราสาทกลับมาให้ไทย ซึงทำไม่ได้ เพราะหมดอายุความแล้ว)

....................................................................................................................................


นี่เป็นตัวอย่างชัดๆของความ "ไม่รู้" หรือ "รู้ไม่จริง" ของบรรดาคนอยากจะ "รักชาติ" ทีปลุกกระแสเขาพระวิหาร ในไม่กี่ปีนี้
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000045490

ขนาดคุณพี่ สว. คำนูณ สิทธิสมาน ยังพูดแบบนี้ (ผมเคยร่วมสัมมนากับคนเหล่านี้ ก็พูดทำนองนี้ แม้แต่คนทีอยากเป็น "นักวิชาการ" อย่าง เทพมนตรี)

"นายคำนูณกล่าวต่อว่า .... บทปฏิบัติการตามคำพิพากษาปี 2505 ทั้ง 3 ข้อไม่ได้บอกว่าเส้นเขตแดนตามแผนที่ในภาคผนวกที่ 1 เป็นเส้นเขตแดนที่ถูกต้อง โดยมีแค่สามข้อคือ 1.ปราสาทพระวิหารอยู่บนดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา 2.ให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และ 3.ให้ไทยคืนวัตถุโบราณ ...."

"นายคำนูณ กล่าวอีกว่า ถึงแม้ว่าศาลอาจจะตีความเพียง 2 ประเด็น คือเรื่อง อาณาบริเวณของปราสาทพระวิหาร และเรื่องการถอนทหาร โดยไม่ได้ตีความเรื่องแผนที่...."

ใครบอกครับว่า ปี 2505 "ศาล... ไม่ได้ตีความเรื่องแผนที่"??

ถ้างั้น จู่ๆ ศาล ตัดสินให้พื้นทีประสาทเป็นของกัมพูชาได้ยังไงครับ? ศาลอาศัยอะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินแบบนั้นครับ?

(ผมเคยตั้งคำถามต่อเทพมนตรีตรงๆเลย ปรากฏว่า ตอบไม่ได้ เอาเข้าจริง คนเหล่านี้ ไม่เคยอ่าน ตัวคำตัดสินจริงๆ)

ในคำพิพากษา 2505 น่ะ แม้ส่วนที่เป็นคำพิพากษาตัวคดีโดยตรง จะมีแค่ว่า ให้พื้นทีปราสาทเป็นของกัมพูชา ไม่ได้มีเรืองแผนที่ (เพราะฝ่ายกัมพูชายืนเรืองทีหลังไม่ทัน ตอนแรกยืนไปแค่เรืองพื้นทีปราสาท)

แต่ในคำพิพากษาเลย ศาลก็เริ่มต้นจากการวินิจฉัยก่อนว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินเรืองพื้นทีตัวปราสาท ซึงข้อสรุปของศาลคือ ให้ใช้ตาม แผนทีผนวก 1

หมายความว่า ปี 2505 น่ะ ศาล ได้ "ตีความเรื่องแผนที" ไปแล้ว(โว้ย)ครับ

ผมจึงบอกวา ทีผ่านมา 40-50 ปี ทีไม่มีรัฐบาลไทยชุดไหนหลาย 10 รัฐบาล คิดจะรื้อฟื้นเรืองนี้ขึ้นมา ก็เพราะรู้ว่า มันมีการวินิจฉัย "ตีความ" ไปแล้ว (และอย่าลืมว่า รัฐบาลหลายสิบชุดที่ว่า รวมถึง รบ.ฝ่ายเจ้า รบ.ทหาร รบ.ประชาธิปัตย์ ฯลฯ ตั้งแต่ก่อนทีประเทศไทยจะรู้จักชือ "ทักษิณ" นาน)

ทีพวกคนทีอยากจะ "รักชาติ" แบบ "ความรู้สึกช้า" (ตอนน้้นเกิดไม่ทัน และขี้เกียจเกินกว่าจะศึกษาประวัติศาสตร์) จุดชนวนเรืองนี้ขึ้นมาใหม่ จึงเป็น "ความโง่" (ขออภัยทีต้องใช้คำนี้ แต่เป็นเรื่อง "ความโง่" จริงๆ)

คือประเด็น เขตแดนจริงๆมัน "จบ" ไปพร้อมเรือง พืนทีปราสาทแล้ว เพราะตอนตัดสินเรืองพื้นทีปราสาท เขาวินิจฉัยตีความแผนทีไปแล้ว (จึงยกพื้นทีปราสาทให้เป็นของกัมพูชา ไมงั้น จู่ๆ ตัดสินยกให้ได้ไง)

ดูในกระทู้ข้างล่างทีผมเขียนอธิบายเรืองนี้ประกอบนะว่า ทำไม ทีผ่านมา การปล่อยให้เรืองนี้มัน "คลุมเครือ" ไม่จุดประเด็นขึ้นมาน่ะ เป็นประโยชน์กับฝ่ายไทย ทำให้ไทยสามารถ "โมเม" หรือ "ตีขลุม" เรือง "ไม่เคยตัดสินเรืองเชตแดน/แผนที่" ได้ และอ้างความเป็น "พื้นทีทับซ้อน" ได้ แล้วทำไม ครั้งนี้ กัมพูชา เลยได้ที จากการก่อกระแสเรืองนี้ ยื่นเรืองให้ศาลตีความยืนยันเสียเลย เพราะจริงๆ กัมพูชา ไม่มีทางแพ้ คือ ศาลไม่มีทางกลับการวินิจฉัยเรืองแผนทีได้เลย เพราะถ้ากลับคำวินิจฉัยส่วนนั้น ก็แปลว่า ต้องกลับคำตัดสินเรืองยกพืนทีปราสาทให้กัมพูชาด้วย ซึงทำไม่ได้ เพราะมันหมดอายุความไปแล้ว

.......................................................................................................................................

"ดร.ชาญวิทย์" ชี้จุดแข็ง-จุดอ่อน คดีปราสาทพระวิหาร มองคนไทยถูกหลอกอย่างไร



ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึง การแถลงด้วยวาจาของฝ่ายกัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหาร ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ที่กรุงเฮก เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2556 ว่า จุดอ่อนของไทย และจุดแข็งของกัมพูชา ซึ่งนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา และ (ศาสตราจารย์ฌอง มาร์ก ซอเรล) ทนายความชาวฝรั่งเศส  ผู้เป็นอาจารย์สอนอยู่มหาวิทยาลัยปารีส รุกหนัก ในการแถลงต่อศาล คือ เรื่อง แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งประเด็นนี้ มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้ผู้พิพากษาในปี 2505 ตัดสินให้กัมพูชาชนะ 9 ต่อ 3 เสียง


ดร.ชาญวิทย์ กล่าวว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน นี้ จัดทำขึ้นโดยการสำรวจร่วมกัน ระหว่าง สยามกับฝรั่งเศส โดยตัวแทนฝ่ายสยามคือ เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สะท้าน สนิทวงศ์) เป็นตัวแทนประชุมทุกครั้ง ฉะนั้น แม้จะเป็นแผนที่ ที่พิมพ์โดยฝรั่งเศส แต่ชนชั้นนำสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 รับรู้ โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการฯ (พระบิดาแห่งการทูตไทย) รับแผนที่มาใช้ 50 ชุด กรมพระยาดำรงราชานุภาพ รับไปใช้และขอเพิ่ม 15 ชุด นี่คือหลักฐาน ที่ นายถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ ทนายความ ไม่เคยบอกประชาชนชาวไทย และทำให้เข้าใจผิดมาจนทุกวันนี้


ดังนั้น ประชาชนชาวไทยไม่ทราบว่า กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการฯ และกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทำอะไร แม้แต่คนในยุคปัจจุบัน ก็ยังไม่ทราบ ส่วนรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็อึดอัด รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม ก็ ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ เพราะอาจจะถูกกล่าวหาว่า “ขายชาติ” หรือ “หนักแผ่นดิน” เนื่องจาก นี่คือ จุดอ่อนของไทย และ จุดแข็งของกัมพูชา ซึ่งฝ่ายกัมพูชา ตอกย้ำเรื่องนี้เยอะมาก


ดร.ชาญวิทย์ มองว่า ตราบใดที่รัฐบาล ฝ่ายค้าน ทหาร นักการเมือง นักวิชาการ และ สื่อมวลชน ไม่พูดเรื่องนี้ ประชาชน ก็จะถูกหลอก ว่าหลักฐานที่กัมพูชากล่าวถึง เป็นแผนที่ของฝรั่งเศส ขณะที่ความจริง คือ เป็นแผนที่ที่สำรวจร่วมกันระหว่างสยามและฝรั่งเศส


ตอนนี้สังคมไทยจึงมีสภาพที่“ผู้นำสยาม”ยอมรับแผนที่ แต่ “ผู้นำไทย” ไม่ยอมรับแผนที่ ซึ่งฝ่ายไทยจะแถลงอย่างไรยังคงเป็นเรื่อง ต้องจับตาดู

 
*หมายเหตุ โดย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
อนึ่ง ลัทธิชาตินิยมของประเทศเรานั้น ควรแยกแยะให้เห็นชัดเจน คือ สมัยก่อน 2475 นั้น เป็นเรื่องของสมัย “สยาม” และ “ราชาชาตินิยม” เป็นเวอร์ชั่นของรัชกาลที่ 5-6-7 กับสมเด็จกรมฯ เทววงศ์ และ กรมฯ ดำรงฯ สมัย “ราชาธิปไตย” ที่ต้องต่อสู้กับฝรั่งเศส เพื่อรักษา “เอกราช” ต้องยอม “สละ/เสียดินแดน” ให้ฝรั่งเศส ที่มีอำนาจมากกว่า แข็งแรงกว่า


ส่วนสมัยต่อมา กลายเป็น (เปลี่ยนนามประเทศ) เป็น “ไทย” จึงมีลัทธิชาตินิยมใหม่ กลายเป็น “อำมาตยาชาตินิยม” เป็นเวอร์ชั่นของ “เสนาอำมาตย์” เช่น พิบูลสงคราม/วิจิตรวาทการ/ธนิต ที่ต้องการ “ขยาย/ได้ดินแดน” ซึ่งลัทธินี้ถูกสืบทอดโดย สฤษด์/ถนอม/ถนัด รวมทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม อย่างเสนีย์/คึกฤทธิ์ ปราโมช หรือผู้นำ ปชป อย่างควง อภัยวงศ์ จนถึง อภิสิทธิ เวชชาชีวะ ในปัจจุบันนี้ กลุ่มนี้ต่อสู้กับเขมรกัมพูชา ซึ่งมีอำนาจน้อยกว่า และอ่อนแอกว่า


............................................................................................................................



จบการพิจารณาวันที่ 1 แม้ดูกัมพูชาจะเสมือนเป็นต่อ นั่นก็เพราะมาไฟท์นี้เป็นมวยบุก ถล่มอาวุธหนักตั้งแต่ลั่นระฆังยกแรก แต่ตั้งสติใช้วิจารณญาณให้ดีแล้วจะพบว่าเขาก็จะวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิม เรื่อง the Annex I map เหมือนเมื่อ 50 ปีก่อน ที่ไม่ว่าศาลตะเห็นยังไงบรรยายยังไงก็ไม่ได้กล่าวไว้ใน "บทปฏิบัติการ" ถ้าจะมีใหม่ก็คือแทคติก ที่พยายามผลักให้ศาลลงมาเป็นคู่ต่อสู้กับไทย เพราะทางชนะของเขามีทางเดียว คือศาลจะต้องกล้าหาญในการวินิจฉัยที่เสี่ยงจะออกนอกกรอบคำพิพากษาเดิมมาก คือศาลจะต้องรับตีความ และตีความเลยส่วน "บทปฏิบัติการ" ไปถึงส่วน "เหตุผล" ซึ่งแม้พอมีช่องให้ทำได้ แต่ก็เป็นช่องที่เล็กมาก ศาลต้องกล้าหาญจริง ๆ

ทางรอดของไทยก็มีทางเดียว คือศาลต้องไม่กล้าหาญตีความในจุดที่เสี่ยงจะเข้าข่าย "นอกกรอบ" ศาลจะต้องตีความวินิจฉัยยืนเพียงแค่ในกรอบคำพิพากษา 2505 ไม่ไปแตะ the Annex I map ที่อยู่ในส่วน "เหตุผล" ของพิพากษาเดิม

ข้อยากของไทยคือต้องพยายามชี้ให้ศาลเห็นว่าศาลไม่มีอำนาจ ทั้งไม่มีอำนาจรับพิจารณา และไม่มีอำนาจตีความนอกกรอบคำพิพากษาเดิม หากไม่ระวัง จะกลายเป็นต่อสู้กับศาล ไม่ใช่ต่อสู้กับกัมพูชา ซึ่งจะเสียเปรียบในเชิงจิตวิทยา เพราะศาลทั่วโลกเหมือนกัน คือเป็นผู้วินิจฉัยเขตอำนาจของตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาสอน

แต่จุดแข็งของไทยก็มี ถ้าใช้ให้เป็น

คือศาลต้องการมีภาพเป็นผดุงสันติภาพโลก หากการวินิจฉัยใดออกไปแล้วเสี่ยงต่อการทำให้สันติภาพหมดไป ศาลต้องชั่งน้ำหนักมาก ไทยต้องทำให้ศาลเห็นว่ากัมพูชากำลังใช้ "วิชามาร" ดึงศาลมาเป็นคู่ต่อสู้กับไทยแทนตนเอง ซึ่งก็เสมือนเป็นการหมิ่นศาลอย่างหนึ่ง และทำให้ศาลเห็นโดยนัยว่าหากยอมให้กัมพูชาหมิ่นเช่นนี้ และตีความเกินกรอบอย่างที่กัมพูชาต้องการ แทนที่จะเกิดสันติภาพ อาจได้ผลตรงข้ามในอนาคต

แต่การจะใช้ไม้นี้ได้ นอกจากคมวาทะของหัวหน้าคณะทนายและตัวแทนรัฐบาลในศาลแล้ว บริบทของเหตุการณ์นอกศาลต้อง "ร่วมแสดงเป็นทิศทางเดียวกัน" ด้วย คือต้องออกอาการขึงขังไว้ก่อน

ประการนี้แหละที่ประเทศไทย ณ นาทีนี้ทำไม่ได้


................................................................................................................



ขังนักโทษการเมืองระดับชาวบ้านธรรมดามาร่วม 3 ปี ถามว่าใน "ทางการเมือง" อำมาตย์ได้อะไร? ประชาธิปัตย์ได้อะไร? เพื่อไทยได้อะไร? คำตอบคือไม่มีฝ่ายไหนได้ประโยชน์อะไรเลยครับ ไม่มีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นสำหรับฝ่ายไหนทั้งสิ้น

แล้วมันช่วยรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายหรือ "ความยุติธรรม" ของสังคมงั้นหรือ?

เปล่าเลยครับ มันมีแต่ประจาน "ความอยุติธรรม" ของประเทศนี้ ที่บรรดาพวกแกนนำ นปช.ล้วนได้ประกันตัว มีตำแหน่งทางการเมือง และบรรดาแกนนำ พธม.ก็ไม่เคยถูกขังคุก มันคือการประจาน "สองมาตรฐาน" ของระบบยุติธรรมในประเทศนี้

และแน่นนอน มันคือการประจาน "การเล่มเกมชิงอำนาจ" ของทั้งฝ่ายอำมาตย์ ประชาธิปัตย์และเพื่อไทยอย่างไร้อุดมการณ์ประชาธิปไตย ละเลยการปกป้องสิทธิมนุษยชน ทุกฝ่ายจึงเสมือนร่วมกันผลักประชาชนให้กลายเป็น "เหยื่อ" ในเกมของพวกเขา

..........................................................................................................................



ไว้อ่านยามว่างๆนะครับ ประเทืองสติปัญญาดีครับ
โยนิโสมนสิการ 10 วิธี
ของ พระราชวรมุนี

เพื่อให้ปรโตโฆสะ นำไปสู่โยนิโสมนสิการ ทำให้คนรู้จักคิด หรือคิดเองเป็นอันจุดเริ่มของการศึกษา และจำเป็นสำหรับการที่จะมีการศึกษา จึงจะเสนอวิธีคิดที่เรียกว่าโยนิโสมนสิการตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำไว้สัก 10 วิธี

คนทั่วไปซึ่งได้สั่งสมความเคยชินให้จิตมีนิสัยแห่งการคิดในแนวทางของการสนองตัณหาหรือคิดโดยมีความไม่ชอบใจเป็นพื้นฐานมาเป็นเวลายาวนาน วิธีโยนิโสมนสิการแบบต่างๆนี่จะเริ่มเป็นเครื่องฝึกในการสร้างนิสัยใหม่ให้แก่จิต การสร้างนิสัยใหม่นี้ อาจจะต้องการใช้เวลานานบ้าง เพราะนิสัยเดิมเป็นสิ่งที่ได้สั่งสมมานานคนละเป็นสิบๆปี แต่เมื่อได้ฝึกขึ้นบ้างแล้วก็ได้ผลคุ้มค่า เพราะเป็นการที่ทำให้เกิดปัญญา ทำให้แก้ปัญหาดับความทุกข์ได้แม้จะยังทำไม่ได้สมบูรณ์ ก็ยังพอเป็นเครื่องช่วยให้เกิดความสมดุล และได้มีทางออกในยามที่ถูกความคิดตามแนวนิสัยเดิมชักนำไปสู่ความอับจน ความทุกข์ และปัญหาบีบคั้นต่างๆ

อนึ่ง พึงทราบว่าวิธีโยนิโสมนสิการแบบต่างๆถึงจะมีมากอย่าง ก็สรุปลงได้เป็น 2 ประเภทเท่านั้น คือ

1. โยนิโสมนสิการประเภทพัฒนาปัญญาโดยตรง มุ่งให้เกิดความรู้เข้าใจตามเป็นจริงตรงตามสภาวะแท้ๆ เน้นที่การ ขจัดอวิชชา เป็นเครื่องนำไปสู่โลกุตรสัมมาทิฏฐิอาจเรียกว่า โยนิโสมนสิการระดับสัจธรรม

2. โยนิโสมนสิการประเภทสร้างเสริมคุณภาพจิต มุ่งปลุกเร้าให้เกิดคุณธรรมหรือกุศลธรรมต่างๆ เน้นที่การสกัดหรือข่มตัณหา เป็นเครื่องนำไปสู่โลกีย์สัมมาทิฏฐิ อาจเรียกว่า โยนิโสมนสิการระดับจริยธรรม

วิธีโยนิโสมนสิการต่อไปนี้ บางอย่างใช้ประโยชน์ประเภทเดียว บางอย่างใช้ประโยชน์ได้ทั้งสองประเภท ในที่นี้จะยังไม่แยกกลุ่มไว้ จะยกมาแสดงทีละอย่างตามลำดับที่เห็นสมควร และชี้แจงประโยชน์เป็นข้อๆไปหรือให้ผู้อ่านพิจารณาดูเอง ซึ่งก็จะแยกได้โดยไม่ยาก

1. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย คือ พิจารณาปรากฏการณ์ต่างๆ ให้รู้จักสภาวะตามที่มันเป็นจริง หรือพิจารณาปัญหา ค้นหาหนทางแก้ไข ด้วยการสืบสาวหาสาเหตุและปัจจัยต่างๆที่สัมพันธ์ส่งผลสืบทอดกันมา จะเรียกว่า วิธีคิดแบบอิทัปปัจจยตา หรือวิธีคิกแบบปัจจยตาการก็ได้ ในทางปฏิบัติ อาจแยกวิธีคิดนี้ได้ 2 อย่าง คือ

ก. คิดแบบปัจจัยสัมพันธ์ คือ เมื่อพบเหตุการณ์หรือเรื่องที่พิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใด ก็มองหยั่งย้อนและสืบสาวชักโยงอกไปถึงปัจจัยต่างๆทั้งหลายที่เข้ามาสัมพันธ์นั้น ก่อให้เกิดผลหรือปรากฏการณ์นั้นๆขึ้น เช่น ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนบ่อยๆให้พระสาวกพิจารณาว่า “เมื่อสิ่งนั้นมี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ฯลฯ”

ข. คิดแบบสอบสวน หรือ ตั้งคำถาม คือ เมื่อประสบพบเห็นสิ่งใดๆที่ควรพิจารณา ก็คอยตั้งคำถามแก่ตนว่า ทำไม เพราะอะไร เช่นที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งปัญหาถามพระองค์เองก่อนตรัสรู้ว่า “ตัณหาเกิดขึ้น เพราะอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา เป็นต้น หรือคิดสืบสาวหาสาเหตุจิตใจต่อไป

2. วิธีคิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ หรือกระจายเนื้อหา เป็นวิธีคิดสำคัญอีกแบบหนึ่งที่มุ่งเพื่อเข้าใจสิ่งต่างๆตามสภาวะของมัน ตามธรรมดา สิ่งทั้งหลายก็ดี ปรากฏการณ์ต่างๆก็ดี เรื่องราวต่างๆที่อุบัติขึ้นก็ดี เกิดจากส่วนประกอบย่อยๆมารวมกันเข้า เมื่อแยกแยะกระจายออกไปให้เห็นองค์ประกอบย่อยๆต่างๆได้แล้ว จึงจะรู้จักสิ่งนั้น เรื่องราวนั้นๆได้ถูกต้องแท้จริง จึงจับจุดที่เป็นปัญหาได้ และจึงจะแก้ปัญหาได้ ตัวอย่างของการคิดแบบนี้เช่นที่พระพุทธศาสนาแยกแยะชีวิตออกเป็นส่วนประกอบย่อยต่างๆ เช่น เป็นขันธ์ 5 เป็นต้น

3. วิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา คือ มองเหตุการณ์ สถานการณ์ ความเป็ยไปของสิ่งทั้งหลายอย่างรู้เข้าใจธรรมดาธรรมชาติของมัน ซึ่งจะต้องเป็นไปอย่างนั้น ในฐานะที่มันเป็นสิ่งซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆปรุงแต่งขึ้น จึงจะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยเหล่านั้น กล่าวคือ การที่มันเกิดขึ้นแล้วจะต้องดับไป ไม่เที่ยง ไม่คงที่ ไม่คงอยู่ตลอดไป มีภาวะที่ถูกปัจจัยต่างๆที่ขัดแย้ง บีบคั้นได้ ไม่มีอยู่และไม่สามารถดำรงอยู่โดยไตรลักษณ์ หรือ สามัญลักษณ์ จึงเรียกความคิดแบบนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ วิธีคิดแบบนี้ที่ถูกต้องต้องดำเนินไปให้ครบ 2 ขั้นตอน คือ

ก. ขั้นที่หนึ่ง รู้เท่าทันและยอมรับความจริง เป็นขั้นวางใจวางท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ เป็นท่าทีแห่งปัญญา เช่น เมื่อประสบสถานการณ์ที่ไม่ปรารถนาขึ้น ตั้งขึ้น สำนึกขึ้นในเวลานั้นว่า เราจะมองตามความเป็นจริง ไม่มองด้วยตามความอยากของเราที่อยากให้เป็นหรืออยากไม่ให้เป็น รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นตามเหตุปัจจัยของมันเปลื้องตัวอิสระได้ ไม่เอาตัวไปให้ถูกกดถูกบีบ

ข. ขั้นที่สอง แก้ไขและทำการไปตามเหตุปัจจัย เป็นขั้นปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ เป็นท่าทีแห่งปัญญา คือรู้ว่าสิ่งทั้งหลายจะเป็นอย่างไรก็ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ขึ้นต่อความอยากคามปรารถนาของเราหรือใครๆ เมื่อเราต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น ก็ต้องทำที่เหตุปัจจัยให้ได้เป็นอย่างนั้น แล้วแก้ไขหรือจัดทำการที่ตัวเหตุปัจจัยนั้นๆ เมื่อทำเหตุปัจจัยได้พร้อมบริบูรณ์ที่จะให้เป็นอย่างนั้น มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าเหตุปัจจัยไม่พร้อมที่จะให้เป็น มันก็ไม่เป็น แล้วก็รู้และแก้ไขกันที่เหตุปัจจัยนั้นแหละ ไม่ใช่แก้ด้วยความอยาก เมื่อปฏิบัติได้อย่างนี้ ก็ดำรงตนอยู่เป็นอิสระ อยู่อย่างอิสระ ทำการได้ดีที่สุด พร้อมทั้งไม่มีความทุกข์

4. วิธีคิดแบบแก้ปัญหา หรือวิธีคิดแบบอริยสัจสี่ เป็นวิธีคิดที่ต่อเนื่องจากวิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา ( แบบที่ 3 ) นั่นเอง คือ เมื่อเข้าใจคติธรรมดาของสิ่งทั้งหลายวางใจได้และตกลงใจว่าจะแก้ปัญหาที่ตัวเหตุตัวปัจจัย จากนั้นก็ดำเนินความคิดต่อไปตามวิธีคิดแบบอริยสัจสี่นี้ วิธีคิดแบบนี้มีหลักการสำคัญคือ การเริ่มต้นจากปัญหาหรือทุกข์โดยกำหนดรู้ ทำความเข้าใจปัญหาหรือความทุกข์ให้ชัดเจน แล้วสืบค้นหาสาเหตุเพื่อเตรียมแก้ปัญหา พร้อมกันนั้นก็กำหนดเป้าหมายของตนให้แน่ชัดว่าคืออะไร จะเป็นไปได้หรือไม่ จะเป็นไปได้อย่างไร แล้วคิดวางวิธีปฏิบัติที่จะกำจัดสาเหตุของปัญหาดดยสอดคล้องกับการที่จะบรรลุจุดหมายที่ได้กำหนดไว้นั้น ทั้งนี้อาจจัดวางเป็นขั้นตอนดังนี้

ขั้นที่ 1 กำหนดรู้ คือ แจกแจงแถลงปัญหา ทำความเข้าใจปัญหา สภาพและขอบเขตของปัญหาให้เข้าใจชัดเจนว่าเป็นอะไร คืออะไร เป็นที่ตรงไหนเหมือนแพทย์ตรวจดูอาการของโรค ดูความผิดปกติของร่างกาย วินิจฉัยให้รู้ว่าเป็นอะไร ที่ตรงไหน รู้เข้าใจโรคและร่างกายเฉพาะอย่างยิ่งส่วนซึ่งเป็นที่ตั้งของโรคให้ชัดเจน ( ทุกข์ )

ขั้นที่ 2 สืบสวนเหตุแห่งทุกข์ที่จะพึงละ คือ วิเคราะห์ค้นหามูลเหตุหรือต้นตอของปัญหาซึ่งจะองแก้ไขกำจัดหรือทำให้หมดสิ้นไป ตามปกติขั้นนี้ตรงกับวิธีคิดแบบที่ 1 คือ วิธีคิดแบบปัจจัยการนั่นเอง เหมือนแพทย์ค้นหาสมมุติฐานของโรค หาสาเหตุของโรค ซึ่งจะนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้องตรงจุด มิใช่รักษาแต่เพียงอาการ ( สมุทัย )

ขั้นที่ 3 เล็งหมายขัดซึ่งการดับทุกข์ที่จะทำให้สำเร็จ คือ เล็งเห็นชัดเจนถึงภาวะปราศจากปัญาซึ่งมุ่งหมายว่าคืออะไร เป็นไปได้จริงหรือไม่ อย่างไร มีความชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายและหลักการทั่วไป หรือตัวกระบวนการของการแก้ปัญหาก่อนที่จะวางรายละเอียดและกลวิธีปลีกย่อยในขั้นดำเนินการ เหมือนแพทย์รู้ว่าโรคนั้นๆรักษาได้ มองเห็นกระบวนการของโรคชัดเจนว่าจะหายไปได้อย่างไร ( นิโรธ )

ขั้นที่ 4 จัดวางวิธีการดับทุกข์ที่จะต้องปฏิบัติ คือ เมื่อมีความชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายและหลักการทั่วไปแล้ว ก็กำหนดวางวิธีการ แผนการและรายการที่จะต้องทำในการที่จะแก้ไขกำจัดสาเหตุของปัญหาให้สำเร็จ โดยสอดคล้องกับเป้าหมายและหลักการทั่วไปนั้นเพื่อเตรียมแก้ไขปัญหาต่อไป ( มรรค )

5. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ หรือคิดตามหลักการและความมุ่งหมาย เป็นวิธีคิดในระดับปฏิบัติการหรือลงมือทำ คือ การที่จะกระทำการต่างๆโดยรู้และเข้าใจถึงหลักการและความุ่งหมายของเรื่องนั้นๆ จะดำเนินไปเพื่อจุดหมายอะไรเพื่อให้เป็นการปฏิบัติที่ได้ผลตามความมุ่งหมายนั้น ไม่กลายเป็นการปฏิบัติที่คลาดเคลื่อนเลื่อนลอยงมงาย เช่น เมื่อจะลงมือทำงานอะไรนั้น ก็ตรวจสอบตนเองให้ชัดเจนว่าเข้าใจหลักการและความมุ่งหมายของงานนั้นดีแล้วหรือไม่ โดยอาจคอยตั้งคำถามว่า อันนี้เพื่ออะไรๆ เป็นต้น

6. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก คือ มองให้ครบทั้งข้อดี ข้อเสีย และทางแก้ไขหาทางออกให้หลุดรอดปลอดพ้นจากข้อบกพร่องต่างๆ เป็นวิธีมองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงอีกแบบหนึ่ง เน้นการศึกษาและยอมรับความจริงตามที่สิ่งนั้นๆเป็นอยู่ทุกแง่ทุกมุมเพื่อให้รู้และเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งด้านดี ด้านเสีย จุดอ่อน จุดแข็ง ศัพท์ทางธรรมดาเรียกว่า วิธีคิดโดยรู้อัสสาทะ อาทีนวะ และนิสสรณะ วิธีคิดแบบนี้พระพุทธเจ้าทรงเน้นมาก เพราะคนทั้งหลายมักจะตื่นตามกันและเอนเอียงง่ายพอจับได้อะไรดี ก็มองเห็นแต่ดีไปหมด พอจับได้ว่าอะไรไม่ดี ก็เห็นแต่เสียไปหมด ทำให้พลาดทั้งความรู้จริงและการปฏิบัติที่ถูกต้อง อันที่จริงนั้นปกติของสิ่งทั้งหลายย่อมมีทั้งส่วนดี ส่วนเสีย จุดอ่อน จุดแข็ง เป้นต้น อาจดีมาก หากอยู่ในกรณีแวดล้อมอย่างหนึ่ง หรืออาจจะดีน้อย หากได้อยู่ในกรณีแวดล้อมหรือเงื่อนไขอีกอย่างหนึ่ง เมื่อได้ตระหนักและยอบรับถึงข้อดี ข้อเสีย จุดอ่อน จุดแข็งแล้ว เราก็จะได้ระมัดระวัง ปิดกั้นทางเสียหรือหาสิ่งชดเชยทดแทนให้ประโยชน์ที่ได้สมบูรณ์ต่อไป

7. วิธีคิดแบบรู้คุณค่าแท้ – คุณค่าเทียม หรือการพิจารณาเกี่ยวกับปฏิเสวนา คือ การใช้สอยหรือบริโภค เป็นวิธีคิดแบบสกัดหรือบรรเทาตัณหา ตัดทางไม่ให้กิเลสเข้ามาครอบงำจิตใจแล้วชักจูงพฤติกรรมต่อไป วิธีคิดแบบนี้ใช้มากในชีวิตประจำวัน เพราะเกี่ยวข้องกับการบริโภคใช้สอยปัจจัยสี่ และวัสดุอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ทางเทคโนโลยี มีหลักการโดยย่อว่า คนเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆเพราะเรามีความต้องการ สิ่งใดที่สามารถสนองความต้องการของเราได้ สิ่งนั้นก็มีประโยชน์ มีคุณค่าแก่เรา คุณค่านี้จำแนกได้เป็น 2 ประเภท ตามชนิดของความต้องการ คือ

ก. คุณค่าแท้ หมายถึง ความหมาย คุณค่า หรือประโยชน์ของสิ่งที่สนองความต้องการของชีวิตโดยตรง มนุษย์นำมาใช้ในการแก้ปัญหาของตน เพื่อประโยชน์สุขทั้งของตนเองและผู้อื่น คุณค่านี้อาศัยปัญญาป็นเครื่องตีค่า จะเรียกว่าคุณค่าที่สนองปัญญาก็ได้ เช่น อาหาร มีคุณค่าเป็นประโยชน์สำหรับหล่อเลี้ยงร่างกายให้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ มีสุขภาพดี มีกำลังเกื้อกูลแก่การปฏิบัติหน้าที่ เป็นต้น ( คุณค่านี้เกี่ยวเนื่องด้วยธรรมฉันทะ )

ข. คุณค่าเทียม หมายถึง ความหมาย คุณค่า หรือประโยชน์ของสิ่งที่มนุษย์พกให้แก่สิ่งนั้นเพื่อปรนเปรอการเสพเสวยเวทนา เพื่อเสริมความมั่งคั่งยิ่งใหญ่ของตัวตนที่ยึดถือไว้ คุณค่านี้อาศัยตัณหาป็นเครื่องตีค่า จะเรียกว่าคุณค่าที่สนองตัณหาก็ได้ เช่น อาหาร มีคุณค่าอยู่ที่ความเอร็ดอร่อย เสริมความสนุกสนาน หรือความโก้หรูหราของรถยนต์ มีราคา ความสวยงามเป็นเครื่องแสดงหรือวัดฐานะ เป็นต้น

วิธีคิดแบบนี้ มุ่งให้เข้าใจและเลือกเสพคุณค่าแท้ที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตอย่างแท้จริงเพื่อประโยชน์สุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น คุณค่าแท้นี้นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตอย่างแท้จริงแล้ว ยังเกื้อกูลต่อความเจริญงอกงามของกุศลธรรม เช่น ความมีสติ ทำให้พ้นจากความเป็นทาสของวัตถุ เป็นต้น

8. วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม เรียกง่ายๆว่า วิธีคิดแบบเร้ากุศล หรือคิดแบบกุศลภาวนา เป็นวิธีคิดในแนวสกัดกั้นหรือบรรเทาและขัดเกลาตัณหา ส่งเสริมความเจริญงอกงามแห่งกุศลธรรมและสร้างเสริมสัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกียะ

หลักการทั่วไปของวิธีคิดนี้มีอยู่ว่า ประสบการณ์คือสิ่งที่ได้ประสบหรือได้รับรู้อย่างดียวกับบุคคลที่ประสบหรือรับรู้ต่างกัน อาจมองเห็นและคิดนึกปรุงแต่งไปคนละอย่าง สุดแต่โครงสร้าง แนวทางความเคยชินที่เป็นเครื่องปรุงของจิต คือ สังขาร ที่ผู้นั้นได้สั่งสมไว้หรือก็คือ สุดแต่การทำใจในขณะนั้นๆ คนหนึ่งมองแล้ว คิดปรุงแต่งไปในทางดีงาม แต่อีกคนหนึ่งมองแล้ว คิดปรุงแต่งไปในทางไม่ดีไม่งาม เป็นโทษเป็นอกุศล รวมถึงเรื่องของเวลา คราวหนึ่งคิดดี คราวหนึ่งคิดร้าย การทำใจที่ช่วยตั้งต้นและชักนำความคิดให้เดนไปในทางที่ดีงามและเป็นประโยชน์ เรียกว่า วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม วิธีคิดในแบบนี้มีความสำคัญในแง่ที่ทำให้เกิดความคิดและการกระทำที่ดีงามเป็นประโยชน์ในขณะนั้นๆ และช่วยแก้ไขนิสัยความเคยชินร้ายๆของจิตที่ได้สั่งสมไว้แต่เดิม พร้อมกับสร้างนิสัยความเคยชินใหม่ที่ดีงามให้แก่จิตไปในเวลาเดียวกัน

ตัวอย่างเช่น การคิดถึงความตาย เมื่อคิดถึงแล้วก็จะเกิดความสลดหดหู่ ความเศร้า ความเหี่ยวแห้งใจ ตลอดจนเกิดความดีใจเมื่อนึกถึงความตายของคนที่เราเกลียดชัง แต่ถ้าในขณะที่เราคิดนั้น เรามีโยนิโสมนสิการอยู่ด้วย เราก็จะเกิดความรู้สึกตื่นตัว เร้าใจไม่ประมาทเร่งขวนขวายปฏิบัติกิจหน้าที่ ทำสิ่งดีงามเป็นประโยชน์ ตลอดจนรู้เท่าทันความจริงที่เป็นคติธรรมดาของสังขาร เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็นการคิดถึความตายที่ถูกวิธี

นอกจากหลักการข้างต้นแล้ว ควรย้ำถึงองค์ประกอบสำคัญที่คอยพยุงความคิดให้อยู่ในโยนิโสมนสิการ อันได้แก่ สติ ซึ่งช่วยยับยั้งความคิดที่หลงลอยไปเป็นอโยนิโสมนสิการ

อนึ่ง โยนิโสมนสิการแบบต่างๆ สรุปได้เป็น 2 คือ โยนิโสมนสิการเพื่อความรู้ตามสภาวะ ซึ่งมีลักษณะที่แน่นอนเป็นอย่างเดียว และโยนิโสมนสิการเพื่อเสริมสร้างกุศลธรรม ซึ่งมีลักษณะแผกผันไปได้หลากหลายนั้น มีจุดแยกอยู่ที่ขณะตั้งต้นความคิด และสติอาจมีบทบาทสำคัญในการเลือกทางแยกที่จุดตั้งระหว่างโยนิโสมนสิการแบบต่างๆนี้ เช่นเดียวกับที่สติสามารถเลือกระหว่างโยนิโสมนสิการกับอโยนิโสมนสิการ

9. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน คือวิธีคิดแบบมีปัจจุบันธรรมดาเป็นอารมณ์ความจริง วิธีคิดแบบที่ 9 นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิธีคิดแบบที่ 8 ที่แยกแสดงออกมาเป็นอีกข้อหนึ่งต่างหากนั้นเป็นเพราะมีแง่ที่ควรทำความเข้าใจเป็นพิเศษ และเป็นวิธีคิดที่มีความสำคัญโดยลำพังตัวของมัยเอง

ข้อที่จะต้องทำความเข้าใจเป็นพิเศษนั้นคือ การที่ผู้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของการเป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยเข้าใจไปว่า พุทธศาสนาสอนให้คิดถึงสิ่งที่อยู่เฉพาะหน้ากำลังเป็นไปในปัจจุบันเท่านั้น ไม่คิดพิจารณาเกี่ยวกับอดีตหรืออนาคต ตลอดจนไม่คิดเตรียมการวางแผนเพื่อกาลภายหน้า

ลักษณะความคิดชนิดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นการคิดที่อยู่ในแนวทางของความรู้หรือคิดด้วยอำนาจปัญญา เป็นการคิดที่สามารถรวมเอาเรื่องที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เรื่องที่ล่วงผ่านมาแล้ว และเรื่องของกาลภายหน้าเข้าในการเป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น การคิดพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องในอดีต ถือเป็นการคิดที่นำมาใช้เป็นบทเรียน ก่อให้เกิดความไม่ประมาทระมัดระวังป้องกันภัยในอนาคต เป็นต้น

คำว่าปัจจุบันในทางธรรม มิใช่เพ่งที่เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แต่หมายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องในขณะนั้นๆเป็นสำคัญ ดังนั้น สิ่งที่ตามความหมายของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต ก็อาจกลายเป็นปัจจุบัน ตามความหมายของนามธรรมได้ สรุปง่ายๆว่า ความเป็นปัจจุบัน กำหนดเอาที่ความเกี่ยวข้อง ต้องรู้ ต้องทำเป็นสำคัญ สิ่งที่เป็นปัจจุบันคลุมถึงเรื่องราวทั้งหลายที่เชื่อมโยงต่อกันมา

วิธีคิดแบบนี้มุ่งที่จะช่วยแบ่งแยกความคิดถึงอดีตและอนาคตตามแนวทางของตัณหาที่เพ้อฝันเลื่อนลอย ผลาญเวลาและคุณภาพของจิตใจให้สูญเปล่า การคิดที่ถูกวิธีจะช่วยให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติในทางปัจจุบันให้ถูกต้องได้ผลดียิ่งขึ้น เป็นการสนับสนุนให้มีการตระเตรียมและวางเเผนในกิจการล่วงหน้า

10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท คำว่าวิภัชชวาทแปลว่า การพูดแยกแยะจำเเนกเเจกเเจง แถลงความแบบวิเคราะห์ เป็นการมองและแสดงความจริง โดยเเยกเเยะออกให้เห็นเเต่ละเเง่เเต่ละด้านให้ครบทุกด้าน ไม่ใช่จับเอาบางเเง่ขึ้นมาวินิจฉัยตีคลุมลงไปอย่างนั้นทั้งหมด ความจริงวิภัชชวาทเป็นชื่อเรียกระบบความคิดของพระพุทธศาสนาทั้งหมด มีความหมายครอบคลุมวิธีคิดที่ได้กล่าวมาเเล้วข้างต้นหลายๆอย่าง

วิธีคิดแบบนี้ทำให้ความคิดและการวินิจฉัยเรื่องราวต่างๆ ชัดเจนตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เท่าความจริง พอดีกับความจริง เพื่อให้เข้าใจความหมายของวิภัชชวาทชัดเจนยิ่งขึ้น ขอจำเเนกวิธีคิดเเบบวิภัชชวาทออกไปในลักษณะต่างๆดังนี้

ก. จำเเนกโดยเเง่ด้านของความจริง เเบ่งได้ 2 อย่างเป็น
- จำเเนกตามที่เป็นอยู่จริงของสิ่งนั้นๆ คือ ของความจริงให้ตรงตามที่เป็นอยู่ในเเง่นั้นด้านนั้น ไม่ใช่จับเอาความจริงเพียงเเง่หนึ่งมาตีคลุมเป็นอย่างนั้นไปหมด
- จำเเนกโดยมองความจริงของสิ่งนั้นๆ ให้ครบทุกเเง่ทุกด้าน คือ ไม่มองเเคบๆ ไม่ติดอยู่กับส่วนเดียวเเง่เดียวของสิ่งนั้น เเต่มองให้หลายเเง่หลายด้าน เช่น คนๆหนึ่งอาจจะดีในเเง่นั้น เเต่ไม่ดีในเเง่นี้ การคิดจำเเนกในเเง่นี้ เป็นส่วนเสริมกันกับข้อแรกให้ได้ผลสมบูรณ์ และมีผลรวมไปถึงการเข้าใจในภาวะที่องค็ประกอบต่างๆมารวมกันโดยครบถ้วน จึงเกิดขึ้นเป็นสิ่งนั้น ๆ เป็นการเห็นที่กว้างไปถึงลักษณะด้านต่างๆและองค์ประกอบต่างๆของมัน

ข. จำเเนกโดยส่วนประกอบ คือ วิเคราะห์แยกเเยะให้รู้ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจากองค์ประกอบย่อย ๆ ต่าง ๆ มาชุมนุมกันเข้า ไม่ติดอยู่ภายนอกหรือถูกลวงโดยภาพรวมของสิ่งนั้น ๆ เช่น การเเยกเเยะคนออกเป็นนามและรูปเป็นขันธ์ 5 เเบ่งซอยออกจนเห็นภาวะที่ไม่เป็นอัตตา

ค. จำแนกโดยลำดับขณะ คือ แยกแยะวิเคราะห์ปรากฎการณ์ตามลำดับแห่งเหตุปัจจัย ให้มองเห็นตัวเหตุปัจจัยที่แท้จริงที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะ เป็นวิธีที่ใช้มากในฝ่ายอภิธรรม ตัวอย่างเช่น โจรปล้นบ้านและฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย หากคิดจำแนกโดยลำดับขณะแล้ว จะเห็นว่า โจรโลภอยากได้ทรัพย์ แต่เจ้าทรัพย์เป็นอุปสรรคต่อการใช้ทรัพย์นั้น ความโลภทรัพย์จึงเป็นเหตุให้โจรมีโทสะต่อเจ้าทรัพย์ โจรจึงฆ่าเจ้าทรัพย์ ตัวเหตุที่แท้ของการฆ่าคือโทสะ หาใช่โลภะไม่ โลภะเป็นเพียงเหตุให้ลักทรัพย์ และเป็นปัจจัยให้โทสะเกิดเท่านั้น ในภาษาสามัญจะพูดว่า โจรฆ่าคนเพราะความโลภ แต่ถ้าพิจารณาตามขบวนธรรมที่เป็นไปตามลำดับขณะ ความโลภเป็นเพียงตัวการเริ่มต้นในเรื่องนั้นเท่านั้น

ง. จำแนกโดยความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย คือ สืบสาวหาเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่สัมพันธ์สืบทอดกันมาของสิ่งหรือปรากฎการณ์ต่าง ๆ ทำให้มองเห็นความจริงที่สิ่งทั้งหลายไม่ได้ตั้งอยู่ลอย ๆ แต่เกิดขึ้นโดยอาศัยเหตุแห่งปัจจัย การคิดจำแนกในแง่นี้ตรงกับวิธีคิดแบบที่ 2 คือ วิธีคิดแบบสืบสาวหาเหตุปัจจัย

ตามแนวคิดนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมอย่างที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัชเณนธรรมเทศนา หรือ วิธีคิดแบบมัชเฌนธรรม

การจำแนกโดยสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย นอกจากช่วยไม่ให้เผลอ มองสิ่งต่าง ๆ อย่างโดดเดี่ยวขาดลอย แล้วยังครอบคลุมไปถึงการที่จะให้รู้จักกับเหตุปัจจัยได้ตรงกับผลของมัน ความขัดสนที่มักเกิดขึ้นแก่คนทั่วไป 3 อย่าง คือ

1. การนำเอาเรื่องราวอื่น ๆ นอกกรณีมาปะปะสับสนกับเหตุปัจจัยเฉพาะกรณี วิธีคิดแบบนี้ช่วยให้แยกเอาเรื่องราวหรือปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากเหตุปัจจัยที่แท้จริง รวมถึงการจับผลให้ตรงกับเหตุด้วย

2. ความไม่ตระหนักถึงภาวะที่ปรากฎการณ์หรือผลที่คล้ายกัน ซึ่งอาจเกิดจากเหตุปัจจัยที่ต่างกัน หรืออย่างเดียวกัน เช่น การได้ทรัพย์มาอาจเกิดจากขยันทำการงาน จากการทำให้ผู้ให้ทรัพย์พอใจ หรือจากการลักขโมยก็ได้ เป็นต้น

3. การไม่ตระหนักถึงเหตุปัจจัยส่วนพิเศษนอกเหนือจากเหตุปัจจัยที่เหมือนกัน คือ คนมักมองเฉพาะแต่เหตุปัจจัย บางอย่างที่ตนมั่นหมายว่า จะให้เกิดผลอย่างนั้น ๆ ครั้นต่างบุคคลทำเหตุปัจจัยอย่างเดียวกันแล้ว คนหนึ่งได้รับผลที่ต้องการ อีกคนหนึ่งไม่ได้รับผลนั้น ก็เห็นว่าเหตุปัจจัยนั้นไม่ได้ผลจริง

จ. จำแนกโดยเงื่อนไข คือ มองโดยพิจารณาเงื่อนไขประกอบด้วย เช่น ถ้าถามว่าบุคคลนี้ควรคบหรือไม่ ถ้าพระภิกษุเป็นผู้ตอบก็อาจกล่าวว่าถ้าคบแล้วอกุศลธรรมเจริญ กุศลธรรมเสื่อม ก็ไม่ควรคบ แต่ถ้าคบแล้วอกุศลเสื่อม กุศลธรรมเจริญ ก็ควรคบ

การตอบวิภัชชวาท จะวินิจฉัยโดยพิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ คือ

1. ความโน้มเอียง ความพร้อม นิสัย ความเคยชินต่าง ๆ ซึ่งเด็กได้สั่งสมไว้โดยการอบรมเลี้ยงดูและอิทธิพลทางวัฒนธรรม เป็นต้น เท่าที่อยู่ในขณะนั้น (พูดด้วยภาษาทางธรรมว่า สังขารที่เป็นกุศลและอกุศล คือ แนวความคิดปรุงแต่งที่ได้สะสมจนกลายเป็นความเคยชินเอาไว้) อาจเรียกง่าย ๆ ว่า พื้นของเด็กที่จะแล่นไป

2. โยนิโสมนสิการ คือ เด็กรู้จักใช้โยนิโสมนสิการโดยปกติหรือไม่ และแค่ไหน เพียงไร

3. กัลยาณมิตร คือ บุคคลหรืออุปกรณ์ที่จะช่วยชี้แนะแนวทางความคิดความเข้าใจอย่างถูกต้องต่อสิ่งที่พบเห็น หรือที่จะชักนำให้เด็กเกิดโยนิโสมนสิการ อย่างได้ผลหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นกัลยาณมิตรในครอบครัว ในสื่อมวลชนนั้น ๆ หรือทั่ว ๆ ไป ในสังคมก็ตาม

4. ประสบการณ์ คือ สิ่งที่ปล่อยให้แพร่หรือให้เด็กพบเห็นนั้น มีลักษณะหรือคุณสมบัติที่เร้าหรือยั่วยุ เป็นต้น รุนแรงมากน้อยถึงระดับใด

ทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นตัวแปรได้ทั้งนั้น แต่ในกรณีนี้ ยกเอาข้อ 4. ขึ้นตั้งเป็นตัวยืนคำตอบจะเป็นไปได้โดยสัดส่วนซึ่งตอบได้เอง เช่น ถ้าเด็กมีโยนิโสมนสิการดีจริง ๆ กำกับอยู่ หรือพื้นด้านแนวความคิดปรุงแต่งที่เป็นกุศลซึ่งได้สั่งสมอบรมกันไว้โดยครอบครัวหรือวัฒนธรรมมีมาก และเข้มแข็งจริง ๆ แม้ว่าสิ่งที่แพร่หรือปล่อยให้เด็กพบเห็นจะล่อเร้ายั่วมาก ก็ยากที่จะเป็นปัญหา และผลดีต่าง ๆ ก็เป็นอันหวังได้ แต่ถ้าพื้นความโน้มเอียงทางความคิดกุศลก็ไม่ได้สั่งสมอบรมกันไว้โยนิโสมนสิการก็ไม่เคยฝึกกันไว้ แล้วยังไม่จัดเตรียมให้มีกัลยาณมิตรไว้ด้วยการปล่อยนั้น ก็มีความหมายเท่ากันเป็นการสร้างเสริมสนับสนุนปัญหาและเป็นการตั้งใจทำลายเด็กโดยใช้ยาพิษเบื่อเสียนั่นเอง

ฉ. วิภัชชวาทในฐานะวิธีตอบปัญหาอย่างหนึ่ง วิภัชชวาทปรากฎอยู่บ่อย ๆ ในรูปของการตอบปัญหาและท่านจัดเป็นวิธีตอบปัญหาอย่างหนึ่ง ในบรรดาวิธีตอบปัญหา 4 อย่าง มีชื่อเฉพาะเรียกว่า วิภัชชวาทพยากรณ์ ซึ่งก็คือ การนำเอาวิภัชชวาทไปใช้ในการตอบปัญหา หรือ ตอบปัญหาตามแบบวิภัชชวาทนั่นเอง

เพื่อความเข้าใจชัดเจนในเรื่องนี้ ถึงทราบวิธีตอบปัญหา (ปัญหาพยากรณ์) 4 อย่าง คือ
1. เอกังสพยากรณ์ การตอบอย่างเดียวเด็ดขาด
2. วิภัชชพยากรณ์ การแยกแยะตอบ
3. ปฏิปจฉาพยากรณ์ การตอบโดยย้อนถาม
4. ฐปนะ การยั้งหรือหยุด พับปัญหาเสีย ไม่ตอบ
วิธีตอบ 4 อย่างนี้ แบ่งตามลักษณะของปัญหา ดังนั้น ปัญหาจึงแบ่งได้เป็น 4ประเภท ตรงกับวิธีตอบ
เหล่านั้น จะยกตัวอย่างปัญหาตามที่แสดงไว้ในคัมภีร์รุ่นหลังมาแสดงประกอบความเข้าใจดังนี้

1. เอกังสพยากรณียปัญหา ปัญหาที่ควรแยกแยะหรือจำแนกตอบ เช่น ถามว่าสิ่งที่ไม่เที่ยง ได้แก่ จักษุใช่ไหม พึงตอบได้ทีเดียวแน่นอนลงไปว่าใช่

2. วิภัชชพยากรณียปัญหา ปัญหาที่ควรแยกแยะหรือจำแนกตอบ เช่น ถามว่าสิ่งที่ไม่เที่ยง ได้แก่ จักษุใช่ไหม พึงแยกแยะตอบว่า ไม่เฉพาะจักษุเท่านั้น แม้โสตะ ฆานะ เป็นต้น ก็ไม่เที่ยง

3. ปฏปจฉาพยากรณียปัญหา ปัญหาที่ไม่ควรตอบโดยย้อนถาม เช่น ถามว่าจักษุฉันใด โสตะก็ฉันนั้น โสตะฉันใด จักษุก็ฉันนั้น ใช่ไหม พึงย้อนถามว่า มุ่งความหมายแง่ใด ถามใด หมายถึง แง่ใช้ดูหรือเห็น ก็ไม่ใช่ แต่ถ้ามุ่งความหมายแง่ว่าไม่เที่ยงก็ใช่

4. ฐปนียปัญหา ปัญหาที่พึงยับยั้ง หรือพับเสีย ไม่ควรตอบ เช่น ถามว่า ชีวะกับสรีระ คือ สิ่งเดียวกันใช่ไหม พึงยับยั้งเสียไม่ต้องตอบ

นี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างสั้น ๆ ง่าย ๆ เพื่อความเข้าใจเบื้องต้น เมื่อว่าโดยใจความปัญหาแบบที่ 1 ได้แก่ ปัญหาซึ่งไม่มีแง่ที่จะต้องชี้แจงหรือไม่มีเงื่อนงำ จึงตอบแน่นอนลงไปอย่างใดอย่างหนึ่งได้ทันที เช่น อีกตัวอย่างหนึ่งว่าคนทุกคนต้องตายใช่ไหม ก็ตอบได้ทันทีว่าใช่ ปัญหาแบบที่ 2 ได้แก่ แง่ซึ่งจะต้องมีเรื่องที่จะต้องชี้แจง โดยใช้วิธีภัชชวาทต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ปัญหาแบบที่ 3 พึงย้อนถามความเข้าใจกันก่อนจึงจะตอบ หรือตอบด้วยอาการย้อนถาม หรือสอบถามไปตอบไป อาจใช้ประกอบไปกับการตอบ แบบที่ 2 คือ ควบกับวิภัชชพยากรณ์ในบาลี พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีย้อนถามบ่อย ๆ และด้วยการทรงย้อนถามนั้น ผู้ถามจะค่อย ๆ เข้าใจสิ่งที่เขาถามไปเอง หรือช่วยให้เขาตอบปัญหาของเขาเอง โดยพระองค์เพียงทรงชี้แนะแง่คิดต่อให้ ไม่ต้องทรงตอบ ส่วนปัญหาแบบที่ 4 ซึ่งควรยับยั้งไม่ตอบ ได้แก่ คำถามเหลวไหลไร้สาระจำพวกหนวดเต่าเขากระต่ายบ้าง ปัญหาที่เขายังไม่พร้อมที่จะเข้าใจ จึงยับยั้งไว้ก่อน หันไปทำความเข้าใจเรื่องอื่นที่เป็นการเตรียมพื้นของเขาก่อน แล้วจึงค่อยมาพูดกันใหม่หรือให้เข้าใจได้เองบ้างปัญหาที่ตั้งมาไม่ถูก โดยคิดขึ้นจากความเข้าใจผิด ไม่ตรงตามสภาวะหรือไม่มีตัวสภาวะอย่างนั้นจริง เช่น ตัวอย่างในบาลี มีผู้ถามว่า ใคร เป็นต้น ซึ่งไม่อาจตอบตามที่เขาอยากฟังได้ จึงต้องยับยั้งหรือพับเสีย อาจชี้แจงเหตุผลในการไม่ตอบ หรือให้เขาตั้งคำถามใหม่ให้ถูกต้องตามสภาวะ

เรื่องโยนิโสมนสิการ ขอกล่าวไว้โดยย่อ เพียงเท่านี้ก่อน และขอสรุปโดยทวนหลักการทั่วไป เมื่อมีโยนิโสมนสิการสัมมาทิฎฐิก็เกิดขึ้นได้ เมื่อสัมมาทิฎฐิเกิดขึ้นองค์ประกอบมูลฐานของมรรควิธีแห่งการแก้ปัญหา หรือมรรคาแห่งความดับทุกข์ จากนั้นกระบวนการแห่งการศึกษาก็ดำเนินต่อไป

........................................................................................................................................




ภาพนี้สวย
-สวยที่การเน้นโฟกัส คนถ่ายคงใช้เครื่องมือได้ดีสมประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความสวยที่ระยะต่างๆ ภาพอย่างนี้สวยที่ความชัดและความเบลอ
-สวยด้วยสีของภาพ สีของลูกลิงกับนก ตัดกันอย่างเด่นชัด ส่วนอื่นๆของภาพก็เหมือนมีใครคุมโทนสีอยู่ แม้แต่สีชมพูของขานกก็เป็นสีเดียวกับสีชมพูของจงอยปากนก และที่สำคัญเป็นสีเดียวกับหน้าของลูกลิง
-สวยด้วยการจัดวางภาพ ไม่ว่าจะเป็นหางของนกที่ชี้ไปตามความยาวของเฟรม หน้าของลิงและนกที่หันไปคนละทาง รวมไปถึงสายตาของตัวเอกทั้งสองที่มองเหม่อมาทิศทางของกล้อง ที่น่าสนใจที่สุดคือตำแหน่งที่สวยมากๆของมือลูกลิงที่จับบนตัวนก
ฯลฯ
...
แต่ส่วนที่ทำให้ภาพนี้สวยที่สุด ไม่ใช่องค์ประกอบศิลป์ที่ผมพูดมาทั้งหมด
มีความงามที่งามมากๆอยู่ในภาพนี้
ความงามของความรัก ความงามของการไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ไม่แบ่งแยกแม้แต่สายพันธุ์ของสัตว์ทั้งสองตัวนี้
ความงามอย่างนี้ องค์ประกอบศิลป์ใดๆก็ไร้ความหมาย
..............................
(ถ่ายภาพโดย Jennifer holland)
 

..............................................................................................................................




พวกที่ใช้ปัญญาคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ เค้าเรียกว่าพวกนอกคอกทั้งนั้นในสมัยที่วิทยาศาสตร์กำลังเริ่มเฟื่องฟู นักวิทยาศาสตร์ถูกจับเผาทั้งเป็น ทางศาสนาจับเผาทั้งเป็นเพราะว่าเป็นคนคิดนอกลู่นอกทาง ไม่ใช่ทางของพระผู้เป็นเจ้าขัดกับพระผู้เป็นเจ้า เค้าจับฝังจับเผาทั้งเป็น เพราะความเชื่ออย่างผิดๆ ไม่ให้ใช้ปัญญา ให้เชื่ออย่างเดียวไม่ต้องคิด

ผิดกับหลักการของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าของเราสอนให้คิด ให้พิจารณา ให้เห็นด้วยปัญญา ไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ เพราะฉะนั้นเวลาพระองค์จะเทศน์กับใคร พระองค์มักจะเตือนว่าทำใจให้ดีคิดให้แยบคายเราจะพูดให้ฟัง พูดอย่างนี้ก่อนเสมอในคำบาลีก็พูดอย่างนั้นแปลความว่าอย่างนั้น ไม่ได้พูดว่าฟังให้ดี ฟังแล้วต้องเชื่อฉันถ้าไม่เชื่อฉันแล้วจะเป็นบาปตกนรก ไม่มีคำพูดเช่นนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่ใช้ ไม่บังคับไม่ขู่เข็ญอะไรกับใครทั้งนั้น แต่เปิดโอกาสให้รับฟังและใช้ปัญญา ถ้าฟังแล้วไม่เชื่อ พระองค์ไม่ได้ติไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้หาว่าเป็นคนไม่เข้าเรื่อง เป็นคนไม่มีสมอง พระองค์ไม่ได้พูดแบบนั้น

แต่ถ้าชอบแล้วบัณฑิตต้องไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เอาไปคิดดูก่อนให้เข้าใจแล้วจึงค่อยเชื่อเพราะความเข้าใจอันนั้น เปิดช่องให้เสรีภาพแก่คนฟัง เสรีภาพที่จะคิดจะค้นที่จะปฏิบัติ

ไม่มีศาสนาใดในโลกนี้หรอกที่เปิดโอกาสเช่นนั้นให้เสรีภาพเช่นนั้นไม่มี มีแต่ว่าต้องเชื่อพระผู้เป็นเจ้ามาจากสวรรค์อ้างเบื้องบน คนกลัวพระเจ้าก็เชื่อ ไม่ต้องคิดเพราะฉะนั้นพื้นฐานทางจิตใจจึงรับง่ายเชื่อง่ายในเรื่องอะไรต่างๆ

แต่พวกที่นอกคอกเขาไม่ได้รับอย่างนั้นเขามีความคิด มีความสงสัยและมีการวิตกวิจารณ์ในเรื่องอย่างนั้นจึงไม่เชื่อ พวกไม่เชื่อทางศาสนาเรียกว่าพวกนอกคอก พวกไม่มีพระเจ้า ไม่ถือศาสนา แต่คนพวกนั้นแหละทำโลกให้พัฒนาให้ก้าวหน้าเพราะรู้จักใช้ปัญญารู้จักคิดรู้จักค้น ในเรื่องอะไรต่างๆต่อไปจึงได้เกิดความรู้ความฉลาด

ดังนั้นพวกที่เจริญคือพวกที่ไม่เชื่อตามที่เขาให้เชื่อแต่ว่าคือพวกชอบใช้สมองชอบใช้ปัญญา ไม่เชื่อตามคำสอนที่มีอยู่ในตำราในคัมภีร์ตลอดไป เพราะมีความคิดความอ่านของเขาจึงทำให้เจริญก้าวหน้า จึงได้มีคนได้อ่านคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงได้ชอบ เลื่อมใสตรงที่พระพุทธเจ้าไม่บังคับให้ใครเชื่อ แต่ว่าให้เสรีภาพทางปัญญาให้รู้จักคิดรู้จักค้น

หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ เทศนาธรรม
..........................................................................................................................

มหากาพย์เขาพระวิหาร #2

ช่วงที่ 2  : เป็นช่วงที่สร้างความเจ็บปวดอย่างมาก เพราะความเขลาและวิสัยทัศน์ที่คับแคบ สาเหตุใหญ่ที่นำไปสู่การถูกฟ้องศาลโลกและการสูญเสียปราสาทเขาพระวิหาร


ปราสาทเขาพระวิหารที่ตั้งอยู่บนผาเป้ยตาดี กลายเป็นประเด็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2483

สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ปะทุขึ้น เยอรมันนีรบชนะฝรั่งเศสตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2483 จากนั้นฝรั่งเศส(ภายใต้การยึดครองของเยอรมัน)เรียกร้องให้ไทยลงสัตยาบันในสนธิสัญญาไม่รุกรานกันและกัน ที่ทำขึ้นระหว่างฝรั่งเศส-ไทย-ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2482 เกิดผลบังคับใช้

จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีตอบไปว่า จะให้สัตยาบัน แต่มีข้อแม้ 3 ข้อ คือ
1. ปรับปรุงพรมแดนด้านอินโดจีนให้เป็นไปตามหลักสากล
2. ขอไชยะบุรีและจำปาศักดิ์คืน
3. ถือแม่น้ำโขงเป็นพรมแดนระหว่างประเทศ

ฝรั่งเศสปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง!!

หลังจากนั้น เอกสารประวัติศาสตร์หลายชิ้นระบุตรงกันว่า รัฐบาลไทยปลุกกระแสการเีรียกร้องดินแดนคืนผ่านสื่อมวลชนหลายแขนง ประชาชนทั่วประเทศโดยเฉพาะนิสิตจุฬาฯ และนักศึกษา มธก. ต่างออกมาเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนอย่างคึกคัก

วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2483 จอมพล ป. กล่าวสุนทรพจน์ผ่านวิทยุกระจายเสียง(สื่อที่มีอิทธิพลที่สุดในสมัยนั้น)ว่า

"ได้รับความเห็นพ้องต้องใจ และสนับสนุนเป็นเอกฉันท์จากมวลชนชาวไทยทุกหมู่ ทุกคณะ ทุกเพศทุกวัย จะเห็นไ้ด้จากการอาสาสมัครพลีชีวิตเพื่อชาติ จากการสละทรัพย์สิน จากการเดินขบวนแห่ ฯลฯ เป็นองค์พะยาน... กล่าวได้ว่า ยังไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์พงศาวดารของชาติไทย จะได้มีพี่น้องร่วมชาติทั้งในและนอกประเทศ พร้อมใจกันสำแดงความสามัคคีเด็ดเดี่ยวสนับสนุนรัฐบาลเหมือนครั้งนี้"

ในระหว่างที่ความคลั่งชาติเรียกร้องดินแดนได้ถูกปลุกระดมขึ้นมา 
คนที่คิดว่าตัวเองรักชาติก็ออกมาเดินขบวนเพื่อเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส

ยังมีรัฐบุรุษท่านหนึ่ง ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ได้แสดงทรรศนะต่อ จอมพล ป. ว่า "เป็นการสมควรที่รัฐบาลไทยจะนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกในสมัยนั้น ให้วินิจฉัยว่าดินแดนที่ฝรั่งเศสได้ไปจากไทยตั้งแต่ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436 ) เป็นต้นมา ต้องคืนมาเป็นของประเทศไทย"

ด้วยวิธีนี้ ไทยจะมีทางชนะมากกว่าทำสงคราม 
แต่นายกรัฐมาตรีปฏิเสธ!!!

รัฐบุรุษท่านนั้นคือท่านปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น

การเดินขบวนเรียกร้องดินแดนในปี พ.ศ. 2483 จากบันทึกของคุณประจวบ อัมพะเศวต อดีตนักเรียนโรงเรียนเตรียมปริญญาแห่งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองรุ่นที่ 2 ซึ่งผ่านเหตุการณ์นี้ บันทึำกไว้ว่า
"เริ่มขึ้นจากการที่มีนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยส่งตัวแทนมาพบนักศึกษา มธก. ชักชวนให้ไปเดินขบวนเรียกร้องดินแดน การเคลื่อนไหวของนิสิตจุฬาฯดังกล่าวนี้ เป็นผลมาจากการผลักดันของกลุ่มทหาร "

และยังชี้ว่า ก่อนหน้านั้นที่ มธก. "ปรึกษาหารือกันว่า ขณะนี้มีนักเรียนโรงเรียนต่างๆหลายโรงเรียนจะเดินขบวนเรียกร้องดินแดนกัน และได้ข่าวว่าจุฬาฯก็จะเดินด้วย เราจะเดินขบวนด้วยจะดีไหม จะเหมาะสมหรือไม่ โดยพิจารณาว่าเราไม่รู้ข้อเท็จจริงว่ารัฐบาลจะเอาจริงหรือเปล่า"

บันทึกยังกล่าวถึง "นายผี" อัศนี พลจันทร์ นักศึกษา มธก. ที่คัดค้านการเดินขบวนอย่างแข็งขัน จนทำให้เพื่อนหลายคนไม่พอใจ แต่ในวันรุ่งขึ้น เมื่อนิสิตจุฬาฯเริ่มเดินขบวนตอนเช้า นักศึกษา มธก. ก็ตัดสินใจเดินขบวนในช่วงบ่ายทันที ซึ่งในบันทึกได้พูดถึงเหตุการณ์สำคัญว่า

"
ท่านผู้ประศาสน์การ(ดร.ปรีดี พนมยงค์) ได้มากล่าวต่อหน้านักศึกษาเกี่ยวกับการเดินขบวนเรียกร้องดินแดน ตอนหนึ่งใจความว่า

'...ที่มานี่ ไม่ได้มาห้ามไม่ให้เดิน การเดินหรือไม่เดินเป็นเรื่องของพวกคุณจะวินิจฉัย แต่ขอให้คิดให้ดี เวลานี้ฝรั่งเศสกำลังทรุดหนัก เยอรมันบุกฝรั่งเศสอย่างหนัก การที่เราจะไปซ้ำเติมคนที่กำลังแพ้ ไม่ใช่วิสัยที่ดี การเรียกร้องดินแดนนี้ ผมเชื่อว่าได้คืนแน่เพราะฝรั่งเศสกำลังแย่ แต่ผมขอพูดไว้ล่วงหน้าว่า ดินแดนที่ได้คืนมา จะต้องกลับคืนไป ในชีวิตผมอาจจะไม่ได้เห็น (การกลับคืนไป) แต่ในชีวิตของพวกคุณ จะต้องได้เห็นอย่างแน่นอน'
"

และในที่สุด สงครามอินโดจีนก็เปิดฉากขึ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483
กองทัพไทยได้เข้ายึดดินแดนข้อพิพาททั้งหมด
จนปลายเดือนมกราคม พ.ศ.2484 ญี่ปุ่นเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจา ส่งผลให้เกิด "อนุสัญญาโตกิโอ"หรือ"อนุสัญญาโตเกียว" ทำให้ไทยได้ไชยะบุรี จำปาศักดิ์ เสียมราฐ และพระตะบองคืน และได้เกาะคืนอีก 77 เกาะ

แต่รัฐบาลฝรั่งเศสพลัดถิ่นของนายพล ชาร์ลส์ เดอโกลล์ ที่แคนาดา แถลงทันทีว่า "ไม่รับรองข้อตกลงใดๆที่รัฐบาลวิชี(ภายในเยอรมัน) ได้ทำไว้เกี่ยวกับเรื่องดินแดน 4 จังหวัด"

ท่านปรีดีได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า "เมื่อทราบเรื่องนี้ ผมจึงไปเตือนท่านจอมพล ป. พิบูลสงครามว่าต้องพิจารณาท่าทีของเดอโกลล์กับสัมพันธมิตรในสมัยนั้นให้มาก เพราะถ้าสัมพันธมิตรในขณะนั้นเป็นฝ่ายชนะสงครามแล้ว ข้อตกลงที่ฝ่ายรัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลวิชีที่ญี่ปุ่นเป็นผู้ค้ำประกันนั้นก็จะต้องถูกยกเลิก และฝรั่งเศสก็จะได้ดินแดนกลับคืนไป ผมยังได้ชี้แจงว่า ถ้าได้ใช้วิธีที่ผมเสนอไว้ในครั้งแรก คือนำเรื่องขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว...เราชนะคดี เพราะเรามีทางชนะ ก็ย่อมเป็นการตัดสินผูกพันประเทศฝรั่งเศสทั้งมวล ต่างกับข้อตกลงที่ทำไว้กับรัฐบาลวิชี ที่ฝ่ายนายพลเดอโกลล์กับฝ่ายสัมพันธมิตรเขาไม่รับรอง...ถ้าญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม...ผลที่ตามมาคือประเทศไทยจะมิเพียงแต่ต้องคืนดินแดน 4 จังหวัดเท่านั้น ดินแดนของไทยเท่าที่มีเหลืออยู่จะต้องเปลี่ยนฐานะไปอย่างไร ก็เป็นเรื่องน่าวิตก"


ในที่สุด ญี่ปุ่นแพ้สงคราม นอกจากไทยจะต้องกู้สถานะไม่ให้"แพ้สงคราม"ด้วย"พระบรมราชโองการสันติภาพ" 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ของท่านปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และหัวหน้าเสรีไทยแล้ว ยังต้องคืนดินแดนให้ฝรั่งเศส เพื่อเปิดทางให้การเข้าเป็นสมาชิกองค์กรสหประชาชาติโดยไม่ถูกฝรั่งเศส หนึ่งในสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ "วีโต้" ด้วยถือว่าไทยนั้นเป็น"ผู้รุกราน" และเป็น"ผู้แพ้สงคราม" (การคัดค้านในคณะมนตรีความมั่นคงเพียงเสียงเดียว มีผลให้ที่ประชุมไม่สามารถออกมติได้) ปราสาทเขาพระวิหาร กลับไปอยู่ในเขตกัมพูชาอีกครั้ง


อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิับัติ รัฐบาลไทยไม่ได้คืนปราสาทเขาพระวิหาร โดยทางทหารถือว่านี่เป็นจุดยุทธศาสคร์ โดยในปี พ.ศ. 2497 มีการส่งกองทหารขึ้นไปบนเขาพระวิหารอีก แม้ระหว่างนั้นจะมีหนังสือทักท้วงจากฝรั่งเศส 3 ฉบับ แต่รัฐบาลไทยมิได้โต้ตอบกลับไปแต่อย่างใด


จะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ 2 นี้ ไทยอาศัยความคลั่งชาติและการทำสงครามเพื่อแสดงอำนาจในการยึดคืนดินแดน ทำให้แทนที่จะเป็นฝ่ายโจทย์ในการฟ้องร้องศาลโลก กลับต้องกลายเป็นฝ่ายจำเลยในช่วงต่อมาแทน

เป็นความรักชาติที่ขาดสมองและวิสัยทัศน์ !!!!!

.................................................................................................................


.........................................................................................................................




เมื่อไม่เลือกข้าง คุณก็ต้องใช้ข้อมูลเป็นหลัก เพราะจะปักใจเชื่อฝ่ายไหนก็ไม่ได้ กรณีที่ว่าน้ำมันบ้านเราแพงกว่าประเทศอื่น เลยต้องดูราคาน้ำมันเทียบกับทั้งโลก พอดีเว็บนี้เขาเก็บข้อมูลทางการจากทุกประเทศทำมาเป็นชาร์ตอัปเดตรายเดือน www.mytravelcost.com/petrol-prices/
..........................................................................................................................




สำหรับคนที่เก็งกำไรหรือลงทุนในทองคำ จากภาพนี้ คิดว่า เราอยู่เบอร์ไหนกันแล้วฮะ :D

......................................................................................................................




» เฮฮา กับ ภาษา Marketing

วันนี้ Life 101 นำเสนอ...เทคนิคขั้นเทพ ของศาสตราจารย์ จาก Indian Institute of Management (IIMs) ในการอธิบาย concept การตลาดให้นักศึกษาเข้าใจอย่างง่ายๆ :

1. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงานปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและพูดว่า “ผมรวย แต่งงานกับผมเถอะ!” - นี่คือ Direct Marketing

2. คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้กับพรรคพวกของคุณ และพบสาวสวยสุดเซ็กซี่คนหนึ่ง เพื่อนของคุณคนหนึ่งเดินเข้าไปหาเธอ ชี้มาที่คุณแล้วพูดว่า “เขารวยมาก แต่งงานกับเขาเถอะ!” - นี่คือการโฆษณา หรือ Advertising


3. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงานปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและขอเบอร์โทร วันรุ่งขึ้นคุณจึงโทรไปหาและพูดว่า “สวัสดีครับ ผมรวยมาก แต่งงานกันผมเถอะ” - นี่คือ Telemarketing


4. คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้และพบสาวสวยสุดเซ็กซี่คนหนึ่ง คุณยืนขึ้น จัดเนคไทให้เรียบร้อย เดินเข้าไปหาเธอ เลี้ยงเครื่องดื่มเธอ คุณเปิดประตู (รถยนต์) ให้เธอ ถือกระเป๋าให้เธอจนเธอนั่งเรียบร้อย ช่วยขับรถให้เธอ แล้วพูดว่า “ผมรวย คุณจะแต่งงานกับผมไหม?” - นี่คือ PR หรือ Public Relations


5. คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้และพบสาวสวยสุดเซ็กซี่คนหนึ่ง เธอเดินเข้ามาหาคุณและพูดว่า “คุณรวยมาก! แต่งงานกับฉันไหม?” - นี่คือ Brand Recognition


6. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงานปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและพูดว่า “ผมรวย แต่งงานกับผมเถอะ!” เธอตบหน้าคุณอย่างแรง - นี่คือ Customer Feedback


7. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงานปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและพูดว่า “ผมรวยมาก แต่งงานกับผมเถอะ!” แล้วเธอก็แนะนำให้คุณรู้จักกับสามีของเธอ - นี่คือช่องว่างระหว่าง demand และ supply


8. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงานปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและก่อนที่จะได้พูดอะไร ก็มีผู้ชายอีกคนเดินเข้ามาและพูดกับเธอว่า “ผมรวย คุณจะแต่งงานกับผมไหม?” แล้วเธอก็ไปกับผู้ชายคนนั้น - นี่คือ การแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด


9. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงานปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและก่อนที่จะได้พูดว่า “ผมรวย แต่งงานกับผมเถอะ!” ภรรยาของคุณก็มาถึง - นี่คือ ข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดใหม่


◌◌◌◌◌◌◌◌


ฝาก คำคน-คำคม ท้ายบท :


"If you can't explain it simply, you don't understand it well enough."

#Albert Einstein


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : Weerasak.com

.....................................................................................................................




เส้นทางสู่ความสำเร็จ ไม่ได้มีเพียงแค่ทางเดียว

...................................................................................................................


........................................................................................................................




เชี่ยได้ใจ....ขนาดรอง"พิชัย"ยังหลุด!!

.....................................................................................................................




กูรู้ว่าพวกมึงรักชาติ(แบบโง่ ๆ) แต่จะทำอะไร เกรงใจคนในพื้นที่บ้าง บ้านเขาอยู่ตรงนั้น เกิดสงครามขึ้นมา เขาก็ไม่รู้จะไปอยู่ไหน แต่พวกมึงเวลาเกิดสงครามขึ้นมาก็หนีจุกตูดกลับมาประเทศกรุงเทพอยู่อย่างสบาย รอดูข่าววีระกรรมของตัวเองในทีวี

เพื่อความยุติธรรม ในเมื่อพวกมึงอยากให้เกิดสงคราม กูแนะนำให้พวกมึงย้ายไปอยู่ที่โน้นเลย ปกป้องให้เต็มที่ เต็มความสามารถ กูจะเอาใจช่วยนะ (ส่วนบ้านทางนี้ก็ให้ชาวบ้านในพื้นที่เข้ามาดูแลให้แล้วกันนะ จะได้ไม่ทรุดโทรม)

001

...........................................................................................................................




จงมุ่งมั่นและตั้งใจให้จริง ทำในสิ่งที่คุณเชื่อ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคสักกี่ร้อยครั้ง จงอย่าหยุดเชื่อในสิ่งที่คุณกำลังทำ หากสิ่งนั้น คุณได้ตัดสินใจมาดีแล้ว
 — กับKannika Sompawong
..........................................................................................................................


บางทีชาวบ้านเสื้อแดงจริงๆ อาจเชียร์พรรครักทักษิณแบบ "คนละอาการ" กับแดงชนชั้นกลางในเฟซบุ๊ก

ลองพิจารณาบทสัมภาษณ์แม่ของนายวงศกร แปลงศรี 1 ในผู้เสียชีวิตเมื่อพฤษภาคม 2553 (สัมภาษณ์ไว้ตั้งแต่ปี 2554)

ช่วงหนึ่งของการสนทนา เราถามแม่ใหญ่หวังว่าทำไมคนที่นี่จึงชอบทักษิณ หญิงชราปฏิเสธเสียงสูง
“บ่แม่น บ่ได้ว่าซอบหรือหยัง มันเป็นจังซี่แนว อภิสิทธิ์มันบ่ถูกต้อง เป็นรัฐบาลบ่ถูกต้อง มันปล้นมันจี้มันจั้งเป๋น ก็เรียกร้องเอาประชาธิปไตย ผู้แทนบ่ออกมาจากราษฎร เฮาบ่ได้เลือก คั้นเลือกคือยิ่งลักษณ์จังซี่ เฮาสิว่าอีหยัง ถ้าเฮาแพ้เลือกตั้ง เฮาก็บ่ได้ว่า ภาคอีสานนี้เมิ้ดภาค บ่ไปอภิสิทธิ์ดอก นายกฯ บ่ได้เป็นมาจากราษฎร ปล้นเป็น ไผมันสิพอใจล่ะเจ้าว่า ฮู้อยู่แก่ใจ แต่มันเว้าออกไปบ่ได้ แล้วลูกแม่เสียชีวิตในความสลายการชุมนุม มันไผเป็นผู้เฮ็ด มันไผเป็นผู้ยิง มันไผเป็นผู้ฆ่า จนวันนี้ยังบ่ทันฮู้ว่าไผเฮ็ด เฮ็ดแล้วบ่รับผิดชอบ คั้นถูกลูกเขาเขาสิเสียใจบ่ บ่ถูกไผ ไผบ่ฮู้ดอก เป็นหยังจั้งสั่งฆ่า เสื้อแดงก่อการร้ายจั๋งใด เขาไปเฮ็ดหยัง เขาบ่ได้ไปเฮ็ดหยัง ก่อการร้าย บ่ๆๆ บ่ได้ไปเฮ็ดหยัง คั้นว่าไปฆ่าผู้นั้น ตีผู้นี้ แม่สิบ่ว่าดอก ปืนก็บ่เคยมี อีหยังก็บ่เคยมี ไปแต่ตัวยังฆ่า ฆ่าเฮ็ดหยัง ฆ่าแล้วมันได้อีหยัง เขาไปเรียกร้องประชาธิปไตยนา เรียกร้องความเป็นธรรมแม่นบ่ล่ะ นายกฯ มันบ่มาในความเป็นธรรม เสื้อเหลืองไปแนวใด มีผู้ตายบ่ มีตายผู้เดียว เป็นหยังมันจั้งตาย”

......................................................................................................................................




พี่มากขาาาาาาา...

ป.ล.ตอนแรกแอดมินนึกว่าโจทย์วันคริสต์มาส แหม่

มุกวิทย์ เหี้ย เหี้ย จาก Sirinat ThePirate
https://www.facebook.com/mingninja

....................................................................................................................


.......................................................................................................................

































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น