....................................................................................................................
............................................................................................................................
.............................................................................................................................
....................................................................................................................................
.......................................................................................................................................
"ดร.ชาญวิทย์" ชี้จุดแข็ง-จุดอ่อน คดีปราสาทพระวิหาร มองคนไทยถูกหลอกอย่างไร
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึง การแถลงด้วยวาจาของฝ่ายกัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหาร ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ที่กรุงเฮก เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2556 ว่า จุดอ่อนของไทย และจุดแข็งของกัมพูชา ซึ่งนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา และ (ศาสตราจารย์ฌอง มาร์ก ซอเรล) ทนายความชาวฝรั่งเศส ผู้เป็นอาจารย์สอนอยู่มหาวิทยาลัยปารีส รุกหนัก ในการแถลงต่อศาล คือ เรื่อง แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งประเด็นนี้ มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้ผู้พิพากษาในปี 2505 ตัดสินให้กัมพูชาชนะ 9 ต่อ 3 เสียง
ดร.ชาญวิทย์ กล่าวว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน นี้ จัดทำขึ้นโดยการสำรวจร่วมกัน ระหว่าง สยามกับฝรั่งเศส โดยตัวแทนฝ่ายสยามคือ เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สะท้าน สนิทวงศ์) เป็นตัวแทนประชุมทุกครั้ง ฉะนั้น แม้จะเป็นแผนที่ ที่พิมพ์โดยฝรั่งเศส แต่ชนชั้นนำสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 รับรู้ โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการฯ (พระบิดาแห่งการทูตไทย) รับแผนที่มาใช้ 50 ชุด กรมพระยาดำรงราชานุภาพ รับไปใช้และขอเพิ่ม 15 ชุด นี่คือหลักฐาน ที่ นายถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ ทนายความ ไม่เคยบอกประชาชนชาวไทย และทำให้เข้าใจผิดมาจนทุกวันนี้
ดังนั้น ประชาชนชาวไทยไม่ทราบว่า กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการฯ และกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทำอะไร แม้แต่คนในยุคปัจจุบัน ก็ยังไม่ทราบ ส่วนรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็อึดอัด รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม ก็ ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ เพราะอาจจะถูกกล่าวหาว่า “ขายชาติ” หรือ “หนักแผ่นดิน” เนื่องจาก นี่คือ จุดอ่อนของไทย และ จุดแข็งของกัมพูชา ซึ่งฝ่ายกัมพูชา ตอกย้ำเรื่องนี้เยอะมาก
ดร.ชาญวิทย์ มองว่า ตราบใดที่รัฐบาล ฝ่ายค้าน ทหาร นักการเมือง นักวิชาการ และ สื่อมวลชน ไม่พูดเรื่องนี้ ประชาชน ก็จะถูกหลอก ว่าหลักฐานที่กัมพูชากล่าวถึง เป็นแผนที่ของฝรั่งเศส ขณะที่ความจริง คือ เป็นแผนที่ที่สำรวจร่วมกันระหว่างสยามและฝรั่งเศส
ตอนนี้สังคมไทยจึงมีสภาพที่“ผู้นำสยาม”ยอมรับแผนที่ แต่ “ผู้นำไทย” ไม่ยอมรับแผนที่ ซึ่งฝ่ายไทยจะแถลงอย่างไรยังคงเป็นเรื่อง ต้องจับตาดู
*หมายเหตุ โดย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
อนึ่ง ลัทธิชาตินิยมของประเทศเรานั้น ควรแยกแยะให้เห็นชัดเจน คือ สมัยก่อน 2475 นั้น เป็นเรื่องของสมัย “สยาม” และ “ราชาชาตินิยม” เป็นเวอร์ชั่นของรัชกาลที่ 5-6-7 กับสมเด็จกรมฯ เทววงศ์ และ กรมฯ ดำรงฯ สมัย “ราชาธิปไตย” ที่ต้องต่อสู้กับฝรั่งเศส เพื่อรักษา “เอกราช” ต้องยอม “สละ/เสียดินแดน” ให้ฝรั่งเศส ที่มีอำนาจมากกว่า แข็งแรงกว่า
ส่วนสมัยต่อมา กลายเป็น (เปลี่ยนนามประเทศ) เป็น “ไทย” จึงมีลัทธิชาตินิยมใหม่ กลายเป็น “อำมาตยาชาตินิยม” เป็นเวอร์ชั่นของ “เสนาอำมาตย์” เช่น พิบูลสงคราม/วิจิตรวาทการ/ธนิต ที่ต้องการ “ขยาย/ได้ดินแดน” ซึ่งลัทธินี้ถูกสืบทอดโดย สฤษด์/ถนอม/ถนัด รวมทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม อย่างเสนีย์/คึกฤทธิ์ ปราโมช หรือผู้นำ ปชป อย่างควง อภัยวงศ์ จนถึง อภิสิทธิ เวชชาชีวะ ในปัจจุบันนี้ กลุ่มนี้ต่อสู้กับเขมรกัมพูชา ซึ่งมีอำนาจน้อยกว่า และอ่อนแอกว่า
............................................................................................................................
จบการพิจารณาวันที่ 1 แม้ดูกัมพูชาจะเสมือนเป็นต่อ นั่นก็เพราะมาไฟท์นี้เป็นมวยบุก ถล่มอาวุธหนักตั้งแต่ลั่นระฆังย กแรก แต่ตั้งสติใช้วิจารณญาณให้ดีแล้ วจะพบว่าเขาก็จะวนเวียนอยู่กับเ รื่องเดิม เรื่อง the Annex I map เหมือนเมื่อ 50 ปีก่อน ที่ไม่ว่าศาลตะเห็นยังไงบรรยายย ังไงก็ไม่ได้กล่าวไว้ใน "บทปฏิบัติการ" ถ้าจะมีใหม่ก็คือแทคติก ที่พยายามผลักให้ศาลลงมาเป็นคู่ ต่อสู้กับไทย เพราะทางชนะของเขามีทางเดียว คือศาลจะต้องกล้าหาญในการวินิจฉ ัยที่เสี่ยงจะออกนอกกรอบคำพิพาก ษาเดิมมาก คือศาลจะต้องรับตีความ และตีความเลยส่วน "บทปฏิบัติการ" ไปถึงส่วน "เหตุผล" ซึ่งแม้พอมีช่องให้ทำได้ แต่ก็เป็นช่องที่เล็กมาก ศาลต้องกล้าหาญจริง ๆ
ทางรอดของไทยก็มีทางเดียว คือศาลต้องไม่กล้าหาญตีความในจุ ดที่เสี่ยงจะเข้าข่าย "นอกกรอบ" ศาลจะต้องตีความวินิจฉัยยืนเพีย งแค่ในกรอบคำพิพากษา 2505 ไม่ไปแตะ the Annex I map ที่อยู่ในส่วน "เหตุผล" ของพิพากษาเดิม
ข้อยากของไทยคือต้องพยายามชี้ให ้ศาลเห็นว่าศาลไม่มีอำนาจ ทั้งไม่มีอำนาจรับพิจารณา และไม่มีอำนาจตีความนอกกรอบคำพิ พากษาเดิม หากไม่ระวัง จะกลายเป็นต่อสู้กับศาล ไม่ใช่ต่อสู้กับกัมพูชา ซึ่งจะเสียเปรียบในเชิงจิตวิทยา เพราะศาลทั่วโลกเหมือนกัน คือเป็นผู้วินิจฉัยเขตอำนาจของต ัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาสอน
แต่จุดแข็งของไทยก็มี ถ้าใช้ให้เป็น
คือศาลต้องการมีภาพเป็นผดุงสันต ิภาพโลก หากการวินิจฉัยใดออกไปแล้วเสี่ย งต่อการทำให้สันติภาพหมดไป ศาลต้องชั่งน้ำหนักมาก ไทยต้องทำให้ศาลเห็นว่ากัมพูชาก ำลังใช้ "วิชามาร" ดึงศาลมาเป็นคู่ต่อสู้กับไทยแทน ตนเอง ซึ่งก็เสมือนเป็นการหมิ่นศาลอย่ างหนึ่ง และทำให้ศาลเห็นโดยนัยว่าหากยอม ให้กัมพูชาหมิ่นเช่นนี้ และตีความเกินกรอบอย่างที่กัมพู ชาต้องการ แทนที่จะเกิดสันติภาพ อาจได้ผลตรงข้ามในอนาคต
แต่การจะใช้ไม้นี้ได้ นอกจากคมวาทะของหัวหน้าคณะทนายแ ละตัวแทนรัฐบาลในศาลแล้ว บริบทของเหตุการณ์นอกศาลต้อง "ร่วมแสดงเป็นทิศทางเดียวกัน" ด้วย คือต้องออกอาการขึงขังไว้ก่อน
ประการนี้แหละที่ประเทศไทย ณ นาทีนี้ทำไม่ได้
ทางรอดของไทยก็มีทางเดียว คือศาลต้องไม่กล้าหาญตีความในจุ
ข้อยากของไทยคือต้องพยายามชี้ให
แต่จุดแข็งของไทยก็มี ถ้าใช้ให้เป็น
คือศาลต้องการมีภาพเป็นผดุงสันต
แต่การจะใช้ไม้นี้ได้ นอกจากคมวาทะของหัวหน้าคณะทนายแ
ประการนี้แหละที่ประเทศไทย ณ นาทีนี้ทำไม่ได้
................................................................................................................
..........................................................................................................................
ไว้อ่านยามว่างๆนะครับ ประเทืองสติปัญญาดีครับ
โยนิโสมนสิการ 10 วิธี
ของ พระราชวรมุนี
เพื่อให้ปรโตโฆสะ นำไปสู่โยนิโสมนสิการ ทำให้คนรู้จักคิด หรือคิดเองเป็นอันจุดเริ่มข องการศึกษา และจำเป็นสำหรับการที่จะมีก ารศึกษา จึงจะเสนอวิธีคิดที่เรียกว่ าโยนิโสมนสิการตามที่พระพุท ธเจ้าได้ทรงแนะนำไว้สัก 10 วิธี
คนทั่วไปซึ่งได้สั่งสมความเ คยชินให้จิตมีนิสัยแห่งการค ิดในแนวทางของการสนองตัณหาห รือคิดโดยมีความไม่ชอบใจเป็ นพื้นฐานมาเป็นเวลายาวนาน วิธีโยนิโสมนสิการแบบต่างๆน ี่จะเริ่มเป็นเครื่องฝึกในก ารสร้างนิสัยใหม่ให้แก่จิต การสร้างนิสัยใหม่นี้ อาจจะต้องการใช้เวลานานบ้าง เพราะนิสัยเดิมเป็นสิ่งที่ไ ด้สั่งสมมานานคนละเป็นสิบๆป ี แต่เมื่อได้ฝึกขึ้นบ้างแล้ว ก็ได้ผลคุ้มค่า เพราะเป็นการที่ทำให้เกิดปั ญญา ทำให้แก้ปัญหาดับความทุกข์ไ ด้แม้จะยังทำไม่ได้สมบูรณ์ ก็ยังพอเป็นเครื่องช่วยให้เ กิดความสมดุล และได้มีทางออกในยามที่ถูกค วามคิดตามแนวนิสัยเดิมชักนำ ไปสู่ความอับจน ความทุกข์ และปัญหาบีบคั้นต่างๆ
อนึ่ง พึงทราบว่าวิธีโยนิโสมนสิกา รแบบต่างๆถึงจะมีมากอย่าง ก็สรุปลงได้เป็น 2 ประเภทเท่านั้น คือ
1. โยนิโสมนสิการประเภทพัฒนาปั ญญาโดยตรง มุ่งให้เกิดความรู้เข้าใจตา มเป็นจริงตรงตามสภาวะแท้ๆ เน้นที่การ ขจัดอวิชชา เป็นเครื่องนำไปสู่โลกุตรสั มมาทิฏฐิอาจเรียกว่า โยนิโสมนสิการระดับสัจธรรม
2. โยนิโสมนสิการประเภทสร้างเส ริมคุณภาพจิต มุ่งปลุกเร้าให้เกิดคุณธรรม หรือกุศลธรรมต่างๆ เน้นที่การสกัดหรือข่มตัณหา เป็นเครื่องนำไปสู่โลกีย์สั มมาทิฏฐิ อาจเรียกว่า โยนิโสมนสิการระดับจริยธรรม
วิธีโยนิโสมนสิการต่อไปนี้ บางอย่างใช้ประโยชน์ประเภทเ ดียว บางอย่างใช้ประโยชน์ได้ทั้ง สองประเภท ในที่นี้จะยังไม่แยกกลุ่มไว ้ จะยกมาแสดงทีละอย่างตามลำดั บที่เห็นสมควร และชี้แจงประโยชน์เป็นข้อๆไ ปหรือให้ผู้อ่านพิจารณาดูเอ ง ซึ่งก็จะแยกได้โดยไม่ยาก
1. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย คือ พิจารณาปรากฏการณ์ต่างๆ ให้รู้จักสภาวะตามที่มันเป็ นจริง หรือพิจารณาปัญหา ค้นหาหนทางแก้ไข ด้วยการสืบสาวหาสาเหตุและปั จจัยต่างๆที่สัมพันธ์ส่งผลส ืบทอดกันมา จะเรียกว่า วิธีคิดแบบอิทัปปัจจยตา หรือวิธีคิกแบบปัจจยตาการก็ ได้ ในทางปฏิบัติ อาจแยกวิธีคิดนี้ได้ 2 อย่าง คือ
ก. คิดแบบปัจจัยสัมพันธ์ คือ เมื่อพบเหตุการณ์หรือเรื่อง ที่พิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใ ด ก็มองหยั่งย้อนและสืบสาวชัก โยงอกไปถึงปัจจัยต่างๆทั้งห ลายที่เข้ามาสัมพันธ์นั้น ก่อให้เกิดผลหรือปรากฏการณ์ นั้นๆขึ้น เช่น ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนบ่อยๆ ให้พระสาวกพิจารณาว่า “เมื่อสิ่งนั้นมี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ฯลฯ”
ข. คิดแบบสอบสวน หรือ ตั้งคำถาม คือ เมื่อประสบพบเห็นสิ่งใดๆที่ ควรพิจารณา ก็คอยตั้งคำถามแก่ตนว่า ทำไม เพราะอะไร เช่นที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งป ัญหาถามพระองค์เองก่อนตรัสร ู้ว่า “ตัณหาเกิดขึ้น เพราะอะไรเป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา เป็นต้น หรือคิดสืบสาวหาสาเหตุจิตใจ ต่อไป
2. วิธีคิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ หรือกระจายเนื้อหา เป็นวิธีคิดสำคัญอีกแบบหนึ่ งที่มุ่งเพื่อเข้าใจสิ่งต่า งๆตามสภาวะของมัน ตามธรรมดา สิ่งทั้งหลายก็ดี ปรากฏการณ์ต่างๆก็ดี เรื่องราวต่างๆที่อุบัติขึ้ นก็ดี เกิดจากส่วนประกอบย่อยๆมารว มกันเข้า เมื่อแยกแยะกระจายออกไปให้เ ห็นองค์ประกอบย่อยๆต่างๆได้ แล้ว จึงจะรู้จักสิ่งนั้น เรื่องราวนั้นๆได้ถูกต้องแท ้จริง จึงจับจุดที่เป็นปัญหาได้ และจึงจะแก้ปัญหาได้ ตัวอย่างของการคิดแบบนี้เช่ นที่พระพุทธศาสนาแยกแยะชีวิ ตออกเป็นส่วนประกอบย่อยต่าง ๆ เช่น เป็นขันธ์ 5 เป็นต้น
3. วิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา คือ มองเหตุการณ์ สถานการณ์ ความเป็ยไปของสิ่งทั้งหลายอ ย่างรู้เข้าใจธรรมดาธรรมชาต ิของมัน ซึ่งจะต้องเป็นไปอย่างนั้น ในฐานะที่มันเป็นสิ่งซึ่งเก ิดจากเหตุปัจจัยต่างๆปรุงแต ่งขึ้น จึงจะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจ ัยเหล่านั้น กล่าวคือ การที่มันเกิดขึ้นแล้วจะต้อ งดับไป ไม่เที่ยง ไม่คงที่ ไม่คงอยู่ตลอดไป มีภาวะที่ถูกปัจจัยต่างๆที่ ขัดแย้ง บีบคั้นได้ ไม่มีอยู่และไม่สามารถดำรงอ ยู่โดยไตรลักษณ์ หรือ สามัญลักษณ์ จึงเรียกความคิดแบบนี้ได้อี กอย่างหนึ่งว่า วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ วิธีคิดแบบนี้ที่ถูกต้องต้อ งดำเนินไปให้ครบ 2 ขั้นตอน คือ
ก. ขั้นที่หนึ่ง รู้เท่าทันและยอมรับความจริ ง เป็นขั้นวางใจวางท่าทีต่อสิ ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับคว ามเป็นจริงของธรรมชาติ เป็นท่าทีแห่งปัญญา เช่น เมื่อประสบสถานการณ์ที่ไม่ป รารถนาขึ้น ตั้งขึ้น สำนึกขึ้นในเวลานั้นว่า เราจะมองตามความเป็นจริง ไม่มองด้วยตามความอยากของเร าที่อยากให้เป็นหรืออยากไม่ ให้เป็น รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้ นตามเหตุปัจจัยของมันเปลื้อ งตัวอิสระได้ ไม่เอาตัวไปให้ถูกกดถูกบีบ
ข. ขั้นที่สอง แก้ไขและทำการไปตามเหตุปัจจ ัย เป็นขั้นปฏิบัติต่อสิ่งทั้ง หลายโดยสอดคล้องกับความเป็น จริงของธรรมชาติ เป็นท่าทีแห่งปัญญา คือรู้ว่าสิ่งทั้งหลายจะเป็ นอย่างไรก็ย่อมเป็นไปตามเหต ุปัจจัย ไม่ใช่ขึ้นต่อความอยากคามปร ารถนาของเราหรือใครๆ เมื่อเราต้องการให้มันเป็นอ ย่างนั้น ก็ต้องทำที่เหตุปัจจัยให้ได ้เป็นอย่างนั้น แล้วแก้ไขหรือจัดทำการที่ตั วเหตุปัจจัยนั้นๆ เมื่อทำเหตุปัจจัยได้พร้อมบ ริบูรณ์ที่จะให้เป็นอย่างนั ้น มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าเหตุปัจจัยไม่พร้อมที่จะ ให้เป็น มันก็ไม่เป็น แล้วก็รู้และแก้ไขกันที่เหต ุปัจจัยนั้นแหละ ไม่ใช่แก้ด้วยความอยาก เมื่อปฏิบัติได้อย่างนี้ ก็ดำรงตนอยู่เป็นอิสระ อยู่อย่างอิสระ ทำการได้ดีที่สุด พร้อมทั้งไม่มีความทุกข์
4. วิธีคิดแบบแก้ปัญหา หรือวิธีคิดแบบอริยสัจสี่ เป็นวิธีคิดที่ต่อเนื่องจาก วิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา ( แบบที่ 3 ) นั่นเอง คือ เมื่อเข้าใจคติธรรมดาของสิ่ งทั้งหลายวางใจได้และตกลงใจ ว่าจะแก้ปัญหาที่ตัวเหตุตัว ปัจจัย จากนั้นก็ดำเนินความคิดต่อไ ปตามวิธีคิดแบบอริยสัจสี่นี ้ วิธีคิดแบบนี้มีหลักการสำคั ญคือ การเริ่มต้นจากปัญหาหรือทุก ข์โดยกำหนดรู้ ทำความเข้าใจปัญหาหรือความท ุกข์ให้ชัดเจน แล้วสืบค้นหาสาเหตุเพื่อเตร ียมแก้ปัญหา พร้อมกันนั้นก็กำหนดเป้าหมา ยของตนให้แน่ชัดว่าคืออะไร จะเป็นไปได้หรือไม่ จะเป็นไปได้อย่างไร แล้วคิดวางวิธีปฏิบัติที่จะ กำจัดสาเหตุของปัญหาดดยสอดค ล้องกับการที่จะบรรลุจุดหมา ยที่ได้กำหนดไว้นั้น ทั้งนี้อาจจัดวางเป็นขั้นตอ นดังนี้
ขั้นที่ 1 กำหนดรู้ คือ แจกแจงแถลงปัญหา ทำความเข้าใจปัญหา สภาพและขอบเขตของปัญหาให้เข ้าใจชัดเจนว่าเป็นอะไร คืออะไร เป็นที่ตรงไหนเหมือนแพทย์ตร วจดูอาการของโรค ดูความผิดปกติของร่างกาย วินิจฉัยให้รู้ว่าเป็นอะไร ที่ตรงไหน รู้เข้าใจโรคและร่างกายเฉพา ะอย่างยิ่งส่วนซึ่งเป็นที่ต ั้งของโรคให้ชัดเจน ( ทุกข์ )
ขั้นที่ 2 สืบสวนเหตุแห่งทุกข์ที่จะพึ งละ คือ วิเคราะห์ค้นหามูลเหตุหรือต ้นตอของปัญหาซึ่งจะองแก้ไขก ำจัดหรือทำให้หมดสิ้นไป ตามปกติขั้นนี้ตรงกับวิธีคิ ดแบบที่ 1 คือ วิธีคิดแบบปัจจัยการนั่นเอง เหมือนแพทย์ค้นหาสมมุติฐานข องโรค หาสาเหตุของโรค ซึ่งจะนำไปสู่การรักษาที่ถู กต้องตรงจุด มิใช่รักษาแต่เพียงอาการ ( สมุทัย )
ขั้นที่ 3 เล็งหมายขัดซึ่งการดับทุกข์ ที่จะทำให้สำเร็จ คือ เล็งเห็นชัดเจนถึงภาวะปราศจ ากปัญาซึ่งมุ่งหมายว่าคืออะ ไร เป็นไปได้จริงหรือไม่ อย่างไร มีความชัดเจนเกี่ยวกับเป้าห มายและหลักการทั่วไป หรือตัวกระบวนการของการแก้ป ัญหาก่อนที่จะวางรายละเอียด และกลวิธีปลีกย่อยในขั้นดำเ นินการ เหมือนแพทย์รู้ว่าโรคนั้นๆร ักษาได้ มองเห็นกระบวนการของโรคชัดเ จนว่าจะหายไปได้อย่างไร ( นิโรธ )
ขั้นที่ 4 จัดวางวิธีการดับทุกข์ที่จะ ต้องปฏิบัติ คือ เมื่อมีความชัดเจนเกี่ยวกับ เป้าหมายและหลักการทั่วไปแล ้ว ก็กำหนดวางวิธีการ แผนการและรายการที่จะต้องทำ ในการที่จะแก้ไขกำจัดสาเหตุ ของปัญหาให้สำเร็จ โดยสอดคล้องกับเป้าหมายและห ลักการทั่วไปนั้นเพื่อเตรีย มแก้ไขปัญหาต่อไป ( มรรค )
5. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ หรือคิดตามหลักการและความมุ ่งหมาย เป็นวิธีคิดในระดับปฏิบัติก ารหรือลงมือทำ คือ การที่จะกระทำการต่างๆโดยรู ้และเข้าใจถึงหลักการและควา มุ่งหมายของเรื่องนั้นๆ จะดำเนินไปเพื่อจุดหมายอะไร เพื่อให้เป็นการปฏิบัติที่ไ ด้ผลตามความมุ่งหมายนั้น ไม่กลายเป็นการปฏิบัติที่คล าดเคลื่อนเลื่อนลอยงมงาย เช่น เมื่อจะลงมือทำงานอะไรนั้น ก็ตรวจสอบตนเองให้ชัดเจนว่า เข้าใจหลักการและความมุ่งหม ายของงานนั้นดีแล้วหรือไม่ โดยอาจคอยตั้งคำถามว่า อันนี้เพื่ออะไรๆ เป็นต้น
6. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก คือ มองให้ครบทั้งข้อดี ข้อเสีย และทางแก้ไขหาทางออกให้หลุด รอดปลอดพ้นจากข้อบกพร่องต่า งๆ เป็นวิธีมองสิ่งทั้งหลายตาม ความเป็นจริงอีกแบบหนึ่ง เน้นการศึกษาและยอมรับความจ ริงตามที่สิ่งนั้นๆเป็นอยู่ ทุกแง่ทุกมุมเพื่อให้รู้และ เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจร ิงทั้งด้านดี ด้านเสีย จุดอ่อน จุดแข็ง ศัพท์ทางธรรมดาเรียกว่า วิธีคิดโดยรู้อัสสาทะ อาทีนวะ และนิสสรณะ วิธีคิดแบบนี้พระพุทธเจ้าทร งเน้นมาก เพราะคนทั้งหลายมักจะตื่นตา มกันและเอนเอียงง่ายพอจับได ้อะไรดี ก็มองเห็นแต่ดีไปหมด พอจับได้ว่าอะไรไม่ดี ก็เห็นแต่เสียไปหมด ทำให้พลาดทั้งความรู้จริงแล ะการปฏิบัติที่ถูกต้อง อันที่จริงนั้นปกติของสิ่งท ั้งหลายย่อมมีทั้งส่วนดี ส่วนเสีย จุดอ่อน จุดแข็ง เป้นต้น อาจดีมาก หากอยู่ในกรณีแวดล้อมอย่างห นึ่ง หรืออาจจะดีน้อย หากได้อยู่ในกรณีแวดล้อมหรื อเงื่อนไขอีกอย่างหนึ่ง เมื่อได้ตระหนักและยอบรับถึ งข้อดี ข้อเสีย จุดอ่อน จุดแข็งแล้ว เราก็จะได้ระมัดระวัง ปิดกั้นทางเสียหรือหาสิ่งชด เชยทดแทนให้ประโยชน์ที่ได้ส มบูรณ์ต่อไป
7. วิธีคิดแบบรู้คุณค่าแท้ – คุณค่าเทียม หรือการพิจารณาเกี่ยวกับปฏิ เสวนา คือ การใช้สอยหรือบริโภค เป็นวิธีคิดแบบสกัดหรือบรรเ ทาตัณหา ตัดทางไม่ให้กิเลสเข้ามาครอ บงำจิตใจแล้วชักจูงพฤติกรรม ต่อไป วิธีคิดแบบนี้ใช้มากในชีวิต ประจำวัน เพราะเกี่ยวข้องกับการบริโภ คใช้สอยปัจจัยสี่ และวัสดุอุปกรณ์อำนวยความสะ ดวกต่างๆ ทางเทคโนโลยี มีหลักการโดยย่อว่า คนเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ ่งต่างๆเพราะเรามีความต้องก าร สิ่งใดที่สามารถสนองความต้อ งการของเราได้ สิ่งนั้นก็มีประโยชน์ มีคุณค่าแก่เรา คุณค่านี้จำแนกได้เป็น 2 ประเภท ตามชนิดของความต้องการ คือ
ก. คุณค่าแท้ หมายถึง ความหมาย คุณค่า หรือประโยชน์ของสิ่งที่สนอง ความต้องการของชีวิตโดยตรง มนุษย์นำมาใช้ในการแก้ปัญหา ของตน เพื่อประโยชน์สุขทั้งของตนเ องและผู้อื่น คุณค่านี้อาศัยปัญญาป็นเครื ่องตีค่า จะเรียกว่าคุณค่าที่สนองปัญ ญาก็ได้ เช่น อาหาร มีคุณค่าเป็นประโยชน์สำหรับ หล่อเลี้ยงร่างกายให้ดำรงชี วิตอยู่ต่อไปได้ มีสุขภาพดี มีกำลังเกื้อกูลแก่การปฏิบั ติหน้าที่ เป็นต้น ( คุณค่านี้เกี่ยวเนื่องด้วยธ รรมฉันทะ )
ข. คุณค่าเทียม หมายถึง ความหมาย คุณค่า หรือประโยชน์ของสิ่งที่มนุษ ย์พกให้แก่สิ่งนั้นเพื่อปรน เปรอการเสพเสวยเวทนา เพื่อเสริมความมั่งคั่งยิ่ง ใหญ่ของตัวตนที่ยึดถือไว้ คุณค่านี้อาศัยตัณหาป็นเครื ่องตีค่า จะเรียกว่าคุณค่าที่สนองตัณ หาก็ได้ เช่น อาหาร มีคุณค่าอยู่ที่ความเอร็ดอร ่อย เสริมความสนุกสนาน หรือความโก้หรูหราของรถยนต์ มีราคา ความสวยงามเป็นเครื่องแสดงห รือวัดฐานะ เป็นต้น
วิธีคิดแบบนี้ มุ่งให้เข้าใจและเลือกเสพคุ ณค่าแท้ที่เป็นประโยชน์ต่อช ีวิตอย่างแท้จริงเพื่อประโย ชน์สุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื ่น คุณค่าแท้นี้นอกจากจะเป็นปร ะโยชน์แก่ชีวิตอย่างแท้จริง แล้ว ยังเกื้อกูลต่อความเจริญงอก งามของกุศลธรรม เช่น ความมีสติ ทำให้พ้นจากความเป็นทาสของว ัตถุ เป็นต้น
8. วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณ ธรรม เรียกง่ายๆว่า วิธีคิดแบบเร้ากุศล หรือคิดแบบกุศลภาวนา เป็นวิธีคิดในแนวสกัดกั้นหร ือบรรเทาและขัดเกลาตัณหา ส่งเสริมความเจริญงอกงามแห่ งกุศลธรรมและสร้างเสริมสัมม าทิฏฐิที่เป็นโลกียะ
หลักการทั่วไปของวิธีคิดนี้ มีอยู่ว่า ประสบการณ์คือสิ่งที่ได้ประ สบหรือได้รับรู้อย่างดียวกั บบุคคลที่ประสบหรือรับรู้ต่ างกัน อาจมองเห็นและคิดนึกปรุงแต่ งไปคนละอย่าง สุดแต่โครงสร้าง แนวทางความเคยชินที่เป็นเคร ื่องปรุงของจิต คือ สังขาร ที่ผู้นั้นได้สั่งสมไว้หรือ ก็คือ สุดแต่การทำใจในขณะนั้นๆ คนหนึ่งมองแล้ว คิดปรุงแต่งไปในทางดีงาม แต่อีกคนหนึ่งมองแล้ว คิดปรุงแต่งไปในทางไม่ดีไม่ งาม เป็นโทษเป็นอกุศล รวมถึงเรื่องของเวลา คราวหนึ่งคิดดี คราวหนึ่งคิดร้าย การทำใจที่ช่วยตั้งต้นและชั กนำความคิดให้เดนไปในทางที่ ดีงามและเป็นประโยชน์ เรียกว่า วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณ ธรรม วิธีคิดในแบบนี้มีความสำคัญ ในแง่ที่ทำให้เกิดความคิดแล ะการกระทำที่ดีงามเป็นประโย ชน์ในขณะนั้นๆ และช่วยแก้ไขนิสัยความเคยชิ นร้ายๆของจิตที่ได้สั่งสมไว ้แต่เดิม พร้อมกับสร้างนิสัยความเคยช ินใหม่ที่ดีงามให้แก่จิตไปใ นเวลาเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น การคิดถึงความตาย เมื่อคิดถึงแล้วก็จะเกิดควา มสลดหดหู่ ความเศร้า ความเหี่ยวแห้งใจ ตลอดจนเกิดความดีใจเมื่อนึก ถึงความตายของคนที่เราเกลีย ดชัง แต่ถ้าในขณะที่เราคิดนั้น เรามีโยนิโสมนสิการอยู่ด้วย เราก็จะเกิดความรู้สึกตื่นต ัว เร้าใจไม่ประมาทเร่งขวนขวาย ปฏิบัติกิจหน้าที่ ทำสิ่งดีงามเป็นประโยชน์ ตลอดจนรู้เท่าทันความจริงที ่เป็นคติธรรมดาของสังขาร เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็นการคิดถึควา มตายที่ถูกวิธี
นอกจากหลักการข้างต้นแล้ว ควรย้ำถึงองค์ประกอบสำคัญที ่คอยพยุงความคิดให้อยู่ในโย นิโสมนสิการ อันได้แก่ สติ ซึ่งช่วยยับยั้งความคิดที่ห ลงลอยไปเป็นอโยนิโสมนสิการ
อนึ่ง โยนิโสมนสิการแบบต่างๆ สรุปได้เป็น 2 คือ โยนิโสมนสิการเพื่อความรู้ต ามสภาวะ ซึ่งมีลักษณะที่แน่นอนเป็นอ ย่างเดียว และโยนิโสมนสิการเพื่อเสริม สร้างกุศลธรรม ซึ่งมีลักษณะแผกผันไปได้หลา กหลายนั้น มีจุดแยกอยู่ที่ขณะตั้งต้นค วามคิด และสติอาจมีบทบาทสำคัญในการ เลือกทางแยกที่จุดตั้งระหว่ างโยนิโสมนสิการแบบต่างๆนี้ เช่นเดียวกับที่สติสามารถเล ือกระหว่างโยนิโสมนสิการกับ อโยนิโสมนสิการ
9. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจ จุบัน คือวิธีคิดแบบมีปัจจุบันธรร มดาเป็นอารมณ์ความจริง วิธีคิดแบบที่ 9 นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิ ธีคิดแบบที่ 8 ที่แยกแสดงออกมาเป็นอีกข้อห นึ่งต่างหากนั้นเป็นเพราะมี แง่ที่ควรทำความเข้าใจเป็นพ ิเศษ และเป็นวิธีคิดที่มีความสำค ัญโดยลำพังตัวของมัยเอง
ข้อที่จะต้องทำความเข้าใจเป ็นพิเศษนั้นคือ การที่ผู้เข้าใจผิดเกี่ยวกั บความหมายของการเป็นอยู่ในป ัจจุบัน โดยเข้าใจไปว่า พุทธศาสนาสอนให้คิดถึงสิ่งท ี่อยู่เฉพาะหน้ากำลังเป็นไป ในปัจจุบันเท่านั้น ไม่คิดพิจารณาเกี่ยวกับอดีต หรืออนาคต ตลอดจนไม่คิดเตรียมการวางแผ นเพื่อกาลภายหน้า
ลักษณะความคิดชนิดที่เป็นอย ู่ในปัจจุบัน เป็นการคิดที่อยู่ในแนวทางข องความรู้หรือคิดด้วยอำนาจป ัญญา เป็นการคิดที่สามารถรวมเอาเ รื่องที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เรื่องที่ล่วงผ่านมาแล้ว และเรื่องของกาลภายหน้าเข้า ในการเป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น การคิดพิจารณาเกี่ยวกับเรื่ องในอดีต ถือเป็นการคิดที่นำมาใช้เป็ นบทเรียน ก่อให้เกิดความไม่ประมาทระม ัดระวังป้องกันภัยในอนาคต เป็นต้น
คำว่าปัจจุบันในทางธรรม มิใช่เพ่งที่เหตุการณ์ที่กำ ลังเกิดขึ้น แต่หมายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้อ งในขณะนั้นๆเป็นสำคัญ ดังนั้น สิ่งที่ตามความหมายของคนทั่ วไป ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต ก็อาจกลายเป็นปัจจุบัน ตามความหมายของนามธรรมได้ สรุปง่ายๆว่า ความเป็นปัจจุบัน กำหนดเอาที่ความเกี่ยวข้อง ต้องรู้ ต้องทำเป็นสำคัญ สิ่งที่เป็นปัจจุบันคลุมถึง เรื่องราวทั้งหลายที่เชื่อม โยงต่อกันมา
วิธีคิดแบบนี้มุ่งที่จะช่วย แบ่งแยกความคิดถึงอดีตและอน าคตตามแนวทางของตัณหาที่เพ้ อฝันเลื่อนลอย ผลาญเวลาและคุณภาพของจิตใจใ ห้สูญเปล่า การคิดที่ถูกวิธีจะช่วยให้เ กิดประโยชน์ในการปฏิบัติในท างปัจจุบันให้ถูกต้องได้ผลด ียิ่งขึ้น เป็นการสนับสนุนให้มีการตระ เตรียมและวางเเผนในกิจการล่ วงหน้า
10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท คำว่าวิภัชชวาทแปลว่า การพูดแยกแยะจำเเนกเเจกเเจง แถลงความแบบวิเคราะห์ เป็นการมองและแสดงความจริง โดยเเยกเเยะออกให้เห็นเเต่ล ะเเง่เเต่ละด้านให้ครบทุกด้ าน ไม่ใช่จับเอาบางเเง่ขึ้นมาว ินิจฉัยตีคลุมลงไปอย่างนั้น ทั้งหมด ความจริงวิภัชชวาทเป็นชื่อเ รียกระบบความคิดของพระพุทธศ าสนาทั้งหมด มีความหมายครอบคลุมวิธีคิดท ี่ได้กล่าวมาเเล้วข้างต้นหล ายๆอย่าง
วิธีคิดแบบนี้ทำให้ความคิดแ ละการวินิจฉัยเรื่องราวต่าง ๆ ชัดเจนตรงไปตรงมาตามความเป็ นจริง เท่าความจริง พอดีกับความจริง เพื่อให้เข้าใจความหมายของว ิภัชชวาทชัดเจนยิ่งขึ้น ขอจำเเนกวิธีคิดเเบบวิภัชชว าทออกไปในลักษณะต่างๆดังนี้
ก. จำเเนกโดยเเง่ด้านของความจร ิง เเบ่งได้ 2 อย่างเป็น
- จำเเนกตามที่เป็นอยู่จริงขอ งสิ่งนั้นๆ คือ ของความจริงให้ตรงตามที่เป็ นอยู่ในเเง่นั้นด้านนั้น ไม่ใช่จับเอาความจริงเพียงเ เง่หนึ่งมาตีคลุมเป็นอย่างน ั้นไปหมด
- จำเเนกโดยมองความจริงของสิ่ งนั้นๆ ให้ครบทุกเเง่ทุกด้าน คือ ไม่มองเเคบๆ ไม่ติดอยู่กับส่วนเดียวเเง่ เดียวของสิ่งนั้น เเต่มองให้หลายเเง่หลายด้าน เช่น คนๆหนึ่งอาจจะดีในเเง่นั้น เเต่ไม่ดีในเเง่นี้ การคิดจำเเนกในเเง่นี้ เป็นส่วนเสริมกันกับข้อแรกใ ห้ได้ผลสมบูรณ์ และมีผลรวมไปถึงการเข้าใจใน ภาวะที่องค็ประกอบต่างๆมารว มกันโดยครบถ้วน จึงเกิดขึ้นเป็นสิ่งนั้น ๆ เป็นการเห็นที่กว้างไปถึงลั กษณะด้านต่างๆและองค์ประกอบ ต่างๆของมัน
ข. จำเเนกโดยส่วนประกอบ คือ วิเคราะห์แยกเเยะให้รู้ว่าส ิ่งนั้นเกิดขึ้นจากองค์ประก อบย่อย ๆ ต่าง ๆ มาชุมนุมกันเข้า ไม่ติดอยู่ภายนอกหรือถูกลวง โดยภาพรวมของสิ่งนั้น ๆ เช่น การเเยกเเยะคนออกเป็นนามและ รูปเป็นขันธ์ 5 เเบ่งซอยออกจนเห็นภาวะที่ไม ่เป็นอัตตา
ค. จำแนกโดยลำดับขณะ คือ แยกแยะวิเคราะห์ปรากฎการณ์ต ามลำดับแห่งเหตุปัจจัย ให้มองเห็นตัวเหตุปัจจัยที่ แท้จริงที่เกิดขึ้นในแต่ละข ณะ เป็นวิธีที่ใช้มากในฝ่ายอภิ ธรรม ตัวอย่างเช่น โจรปล้นบ้านและฆ่าเจ้าทรัพย ์ตาย หากคิดจำแนกโดยลำดับขณะแล้ว จะเห็นว่า โจรโลภอยากได้ทรัพย์ แต่เจ้าทรัพย์เป็นอุปสรรคต่ อการใช้ทรัพย์นั้น ความโลภทรัพย์จึงเป็นเหตุให ้โจรมีโทสะต่อเจ้าทรัพย์ โจรจึงฆ่าเจ้าทรัพย์ ตัวเหตุที่แท้ของการฆ่าคือโ ทสะ หาใช่โลภะไม่ โลภะเป็นเพียงเหตุให้ลักทรั พย์ และเป็นปัจจัยให้โทสะเกิดเท ่านั้น ในภาษาสามัญจะพูดว่า โจรฆ่าคนเพราะความโลภ แต่ถ้าพิจารณาตามขบวนธรรมที ่เป็นไปตามลำดับขณะ ความโลภเป็นเพียงตัวการเริ่ มต้นในเรื่องนั้นเท่านั้น
ง. จำแนกโดยความสัมพันธ์แห่งเห ตุปัจจัย คือ สืบสาวหาเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่สัมพันธ์สืบทอดกันมาของส ิ่งหรือปรากฎการณ์ต่าง ๆ ทำให้มองเห็นความจริงที่สิ่ งทั้งหลายไม่ได้ตั้งอยู่ลอย ๆ แต่เกิดขึ้นโดยอาศัยเหตุแห่ งปัจจัย การคิดจำแนกในแง่นี้ตรงกับว ิธีคิดแบบที่ 2 คือ วิธีคิดแบบสืบสาวหาเหตุปัจจ ัย
ตามแนวคิดนี้พระพุทธเจ้าจึง ทรงแสดงธรรมอย่างที่เรียกว่ า อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัชเณนธรรมเทศนา หรือ วิธีคิดแบบมัชเฌนธรรม
การจำแนกโดยสัมพันธ์แห่งเหต ุปัจจัย นอกจากช่วยไม่ให้เผลอ มองสิ่งต่าง ๆ อย่างโดดเดี่ยวขาดลอย แล้วยังครอบคลุมไปถึงการที่ จะให้รู้จักกับเหตุปัจจัยได ้ตรงกับผลของมัน ความขัดสนที่มักเกิดขึ้นแก่ คนทั่วไป 3 อย่าง คือ
1. การนำเอาเรื่องราวอื่น ๆ นอกกรณีมาปะปะสับสนกับเหตุป ัจจัยเฉพาะกรณี วิธีคิดแบบนี้ช่วยให้แยกเอา เรื่องราวหรือปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากเห ตุปัจจัยที่แท้จริง รวมถึงการจับผลให้ตรงกับเหต ุด้วย
2. ความไม่ตระหนักถึงภาวะที่ปร ากฎการณ์หรือผลที่คล้ายกัน ซึ่งอาจเกิดจากเหตุปัจจัยที ่ต่างกัน หรืออย่างเดียวกัน เช่น การได้ทรัพย์มาอาจเกิดจากขย ันทำการงาน จากการทำให้ผู้ให้ทรัพย์พอใ จ หรือจากการลักขโมยก็ได้ เป็นต้น
3. การไม่ตระหนักถึงเหตุปัจจัย ส่วนพิเศษนอกเหนือจากเหตุปั จจัยที่เหมือนกัน คือ คนมักมองเฉพาะแต่เหตุปัจจัย บางอย่างที่ตนมั่นหมายว่า จะให้เกิดผลอย่างนั้น ๆ ครั้นต่างบุคคลทำเหตุปัจจัย อย่างเดียวกันแล้ว คนหนึ่งได้รับผลที่ต้องการ อีกคนหนึ่งไม่ได้รับผลนั้น ก็เห็นว่าเหตุปัจจัยนั้นไม่ ได้ผลจริง
จ. จำแนกโดยเงื่อนไข คือ มองโดยพิจารณาเงื่อนไขประกอ บด้วย เช่น ถ้าถามว่าบุคคลนี้ควรคบหรือ ไม่ ถ้าพระภิกษุเป็นผู้ตอบก็อาจ กล่าวว่าถ้าคบแล้วอกุศลธรรม เจริญ กุศลธรรมเสื่อม ก็ไม่ควรคบ แต่ถ้าคบแล้วอกุศลเสื่อม กุศลธรรมเจริญ ก็ควรคบ
การตอบวิภัชชวาท จะวินิจฉัยโดยพิจารณาเงื่อน ไขต่าง ๆ คือ
1. ความโน้มเอียง ความพร้อม นิสัย ความเคยชินต่าง ๆ ซึ่งเด็กได้สั่งสมไว้โดยการ อบรมเลี้ยงดูและอิทธิพลทางว ัฒนธรรม เป็นต้น เท่าที่อยู่ในขณะนั้น (พูดด้วยภาษาทางธรรมว่า สังขารที่เป็นกุศลและอกุศล คือ แนวความคิดปรุงแต่งที่ได้สะ สมจนกลายเป็นความเคยชินเอาไ ว้) อาจเรียกง่าย ๆ ว่า พื้นของเด็กที่จะแล่นไป
2. โยนิโสมนสิการ คือ เด็กรู้จักใช้โยนิโสมนสิการ โดยปกติหรือไม่ และแค่ไหน เพียงไร
3. กัลยาณมิตร คือ บุคคลหรืออุปกรณ์ที่จะช่วยช ี้แนะแนวทางความคิดความเข้า ใจอย่างถูกต้องต่อสิ่งที่พบ เห็น หรือที่จะชักนำให้เด็กเกิดโ ยนิโสมนสิการ อย่างได้ผลหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นกัลยาณมิตรในคร อบครัว ในสื่อมวลชนนั้น ๆ หรือทั่ว ๆ ไป ในสังคมก็ตาม
4. ประสบการณ์ คือ สิ่งที่ปล่อยให้แพร่หรือให้ เด็กพบเห็นนั้น มีลักษณะหรือคุณสมบัติที่เร ้าหรือยั่วยุ เป็นต้น รุนแรงมากน้อยถึงระดับใด
ทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นตัวแปรได้ทั้งนั้น แต่ในกรณีนี้ ยกเอาข้อ 4. ขึ้นตั้งเป็นตัวยืนคำตอบจะเ ป็นไปได้โดยสัดส่วนซึ่งตอบไ ด้เอง เช่น ถ้าเด็กมีโยนิโสมนสิการดีจร ิง ๆ กำกับอยู่ หรือพื้นด้านแนวความคิดปรุง แต่งที่เป็นกุศลซึ่งได้สั่ง สมอบรมกันไว้โดยครอบครัวหรื อวัฒนธรรมมีมาก และเข้มแข็งจริง ๆ แม้ว่าสิ่งที่แพร่หรือปล่อย ให้เด็กพบเห็นจะล่อเร้ายั่ว มาก ก็ยากที่จะเป็นปัญหา และผลดีต่าง ๆ ก็เป็นอันหวังได้ แต่ถ้าพื้นความโน้มเอียงทาง ความคิดกุศลก็ไม่ได้สั่งสมอ บรมกันไว้โยนิโสมนสิการก็ไม ่เคยฝึกกันไว้ แล้วยังไม่จัดเตรียมให้มีกั ลยาณมิตรไว้ด้วยการปล่อยนั้ น ก็มีความหมายเท่ากันเป็นการ สร้างเสริมสนับสนุนปัญหาและ เป็นการตั้งใจทำลายเด็กโดยใ ช้ยาพิษเบื่อเสียนั่นเอง
ฉ. วิภัชชวาทในฐานะวิธีตอบปัญห าอย่างหนึ่ง วิภัชชวาทปรากฎอยู่บ่อย ๆ ในรูปของการตอบปัญหาและท่าน จัดเป็นวิธีตอบปัญหาอย่างหน ึ่ง ในบรรดาวิธีตอบปัญหา 4 อย่าง มีชื่อเฉพาะเรียกว่า วิภัชชวาทพยากรณ์ ซึ่งก็คือ การนำเอาวิภัชชวาทไปใช้ในกา รตอบปัญหา หรือ ตอบปัญหาตามแบบวิภัชชวาทนั่ นเอง
เพื่อความเข้าใจชัดเจนในเรื ่องนี้ ถึงทราบวิธีตอบปัญหา (ปัญหาพยากรณ์) 4 อย่าง คือ
1. เอกังสพยากรณ์ การตอบอย่างเดียวเด็ดขาด
2. วิภัชชพยากรณ์ การแยกแยะตอบ
3. ปฏิปจฉาพยากรณ์ การตอบโดยย้อนถาม
4. ฐปนะ การยั้งหรือหยุด พับปัญหาเสีย ไม่ตอบ
วิธีตอบ 4 อย่างนี้ แบ่งตามลักษณะของปัญหา ดังนั้น ปัญหาจึงแบ่งได้เป็น 4ประเภท ตรงกับวิธีตอบ
เหล่านั้น จะยกตัวอย่างปัญหาตามที่แสด งไว้ในคัมภีร์รุ่นหลังมาแสด งประกอบความเข้าใจดังนี้
1. เอกังสพยากรณียปัญหา ปัญหาที่ควรแยกแยะหรือจำแนก ตอบ เช่น ถามว่าสิ่งที่ไม่เที่ยง ได้แก่ จักษุใช่ไหม พึงตอบได้ทีเดียวแน่นอนลงไป ว่าใช่
2. วิภัชชพยากรณียปัญหา ปัญหาที่ควรแยกแยะหรือจำแนก ตอบ เช่น ถามว่าสิ่งที่ไม่เที่ยง ได้แก่ จักษุใช่ไหม พึงแยกแยะตอบว่า ไม่เฉพาะจักษุเท่านั้น แม้โสตะ ฆานะ เป็นต้น ก็ไม่เที่ยง
3. ปฏปจฉาพยากรณียปัญหา ปัญหาที่ไม่ควรตอบโดยย้อนถา ม เช่น ถามว่าจักษุฉันใด โสตะก็ฉันนั้น โสตะฉันใด จักษุก็ฉันนั้น ใช่ไหม พึงย้อนถามว่า มุ่งความหมายแง่ใด ถามใด หมายถึง แง่ใช้ดูหรือเห็น ก็ไม่ใช่ แต่ถ้ามุ่งความหมายแง่ว่าไม ่เที่ยงก็ใช่
4. ฐปนียปัญหา ปัญหาที่พึงยับยั้ง หรือพับเสีย ไม่ควรตอบ เช่น ถามว่า ชีวะกับสรีระ คือ สิ่งเดียวกันใช่ไหม พึงยับยั้งเสียไม่ต้องตอบ
นี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างสั้น ๆ ง่าย ๆ เพื่อความเข้าใจเบื้องต้น เมื่อว่าโดยใจความปัญหาแบบท ี่ 1 ได้แก่ ปัญหาซึ่งไม่มีแง่ที่จะต้อง ชี้แจงหรือไม่มีเงื่อนงำ จึงตอบแน่นอนลงไปอย่างใดอย่ างหนึ่งได้ทันที เช่น อีกตัวอย่างหนึ่งว่าคนทุกคน ต้องตายใช่ไหม ก็ตอบได้ทันทีว่าใช่ ปัญหาแบบที่ 2 ได้แก่ แง่ซึ่งจะต้องมีเรื่องที่จะ ต้องชี้แจง โดยใช้วิธีภัชชวาทต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ปัญหาแบบที่ 3 พึงย้อนถามความเข้าใจกันก่อ นจึงจะตอบ หรือตอบด้วยอาการย้อนถาม หรือสอบถามไปตอบไป อาจใช้ประกอบไปกับการตอบ แบบที่ 2 คือ ควบกับวิภัชชพยากรณ์ในบาลี พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีย้อนถ ามบ่อย ๆ และด้วยการทรงย้อนถามนั้น ผู้ถามจะค่อย ๆ เข้าใจสิ่งที่เขาถามไปเอง หรือช่วยให้เขาตอบปัญหาของเ ขาเอง โดยพระองค์เพียงทรงชี้แนะแง ่คิดต่อให้ ไม่ต้องทรงตอบ ส่วนปัญหาแบบที่ 4 ซึ่งควรยับยั้งไม่ตอบ ได้แก่ คำถามเหลวไหลไร้สาระจำพวกหน วดเต่าเขากระต่ายบ้าง ปัญหาที่เขายังไม่พร้อมที่จ ะเข้าใจ จึงยับยั้งไว้ก่อน หันไปทำความเข้าใจเรื่องอื่ นที่เป็นการเตรียมพื้นของเข าก่อน แล้วจึงค่อยมาพูดกันใหม่หรื อให้เข้าใจได้เองบ้างปัญหาท ี่ตั้งมาไม่ถูก โดยคิดขึ้นจากความเข้าใจผิด ไม่ตรงตามสภาวะหรือไม่มีตัว สภาวะอย่างนั้นจริง เช่น ตัวอย่างในบาลี มีผู้ถามว่า ใคร เป็นต้น ซึ่งไม่อาจตอบตามที่เขาอยาก ฟังได้ จึงต้องยับยั้งหรือพับเสีย อาจชี้แจงเหตุผลในการไม่ตอบ หรือให้เขาตั้งคำถามใหม่ให้ ถูกต้องตามสภาวะ
เรื่องโยนิโสมนสิการ ขอกล่าวไว้โดยย่อ เพียงเท่านี้ก่อน และขอสรุปโดยทวนหลักการทั่ว ไป เมื่อมีโยนิโสมนสิการสัมมาท ิฎฐิก็เกิดขึ้นได้ เมื่อสัมมาทิฎฐิเกิดขึ้นองค ์ประกอบมูลฐานของมรรควิธีแห ่งการแก้ปัญหา หรือมรรคาแห่งความดับทุกข์ จากนั้นกระบวนการแห่งการศึก ษาก็ดำเนินต่อไป
โยนิโสมนสิการ 10 วิธี
ของ พระราชวรมุนี
เพื่อให้ปรโตโฆสะ นำไปสู่โยนิโสมนสิการ ทำให้คนรู้จักคิด หรือคิดเองเป็นอันจุดเริ่มข
คนทั่วไปซึ่งได้สั่งสมความเ
อนึ่ง พึงทราบว่าวิธีโยนิโสมนสิกา
1. โยนิโสมนสิการประเภทพัฒนาปั
2. โยนิโสมนสิการประเภทสร้างเส
วิธีโยนิโสมนสิการต่อไปนี้ บางอย่างใช้ประโยชน์ประเภทเ
1. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย
ก. คิดแบบปัจจัยสัมพันธ์ คือ เมื่อพบเหตุการณ์หรือเรื่อง
ข. คิดแบบสอบสวน หรือ ตั้งคำถาม คือ เมื่อประสบพบเห็นสิ่งใดๆที่
2. วิธีคิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ
3. วิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา
ก. ขั้นที่หนึ่ง รู้เท่าทันและยอมรับความจริ
ข. ขั้นที่สอง แก้ไขและทำการไปตามเหตุปัจจ
4. วิธีคิดแบบแก้ปัญหา หรือวิธีคิดแบบอริยสัจสี่ เป็นวิธีคิดที่ต่อเนื่องจาก
ขั้นที่ 1 กำหนดรู้ คือ แจกแจงแถลงปัญหา ทำความเข้าใจปัญหา สภาพและขอบเขตของปัญหาให้เข
ขั้นที่ 2 สืบสวนเหตุแห่งทุกข์ที่จะพึ
ขั้นที่ 3 เล็งหมายขัดซึ่งการดับทุกข์
ขั้นที่ 4 จัดวางวิธีการดับทุกข์ที่จะ
5. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์
6. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก คือ มองให้ครบทั้งข้อดี ข้อเสีย และทางแก้ไขหาทางออกให้หลุด
7. วิธีคิดแบบรู้คุณค่าแท้ – คุณค่าเทียม หรือการพิจารณาเกี่ยวกับปฏิ
ก. คุณค่าแท้ หมายถึง ความหมาย คุณค่า หรือประโยชน์ของสิ่งที่สนอง
ข. คุณค่าเทียม หมายถึง ความหมาย คุณค่า หรือประโยชน์ของสิ่งที่มนุษ
วิธีคิดแบบนี้ มุ่งให้เข้าใจและเลือกเสพคุ
8. วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณ
หลักการทั่วไปของวิธีคิดนี้
ตัวอย่างเช่น การคิดถึงความตาย เมื่อคิดถึงแล้วก็จะเกิดควา
นอกจากหลักการข้างต้นแล้ว ควรย้ำถึงองค์ประกอบสำคัญที
อนึ่ง โยนิโสมนสิการแบบต่างๆ สรุปได้เป็น 2 คือ โยนิโสมนสิการเพื่อความรู้ต
9. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจ
ข้อที่จะต้องทำความเข้าใจเป
ลักษณะความคิดชนิดที่เป็นอย
คำว่าปัจจุบันในทางธรรม มิใช่เพ่งที่เหตุการณ์ที่กำ
วิธีคิดแบบนี้มุ่งที่จะช่วย
10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท คำว่าวิภัชชวาทแปลว่า การพูดแยกแยะจำเเนกเเจกเเจง
วิธีคิดแบบนี้ทำให้ความคิดแ
ก. จำเเนกโดยเเง่ด้านของความจร
- จำเเนกตามที่เป็นอยู่จริงขอ
- จำเเนกโดยมองความจริงของสิ่
ข. จำเเนกโดยส่วนประกอบ คือ วิเคราะห์แยกเเยะให้รู้ว่าส
ค. จำแนกโดยลำดับขณะ คือ แยกแยะวิเคราะห์ปรากฎการณ์ต
ง. จำแนกโดยความสัมพันธ์แห่งเห
ตามแนวคิดนี้พระพุทธเจ้าจึง
การจำแนกโดยสัมพันธ์แห่งเหต
1. การนำเอาเรื่องราวอื่น ๆ นอกกรณีมาปะปะสับสนกับเหตุป
2. ความไม่ตระหนักถึงภาวะที่ปร
3. การไม่ตระหนักถึงเหตุปัจจัย
จ. จำแนกโดยเงื่อนไข คือ มองโดยพิจารณาเงื่อนไขประกอ
การตอบวิภัชชวาท จะวินิจฉัยโดยพิจารณาเงื่อน
1. ความโน้มเอียง ความพร้อม นิสัย ความเคยชินต่าง ๆ ซึ่งเด็กได้สั่งสมไว้โดยการ
2. โยนิโสมนสิการ คือ เด็กรู้จักใช้โยนิโสมนสิการ
3. กัลยาณมิตร คือ บุคคลหรืออุปกรณ์ที่จะช่วยช
4. ประสบการณ์ คือ สิ่งที่ปล่อยให้แพร่หรือให้
ทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นตัวแปรได้ทั้งนั้น แต่ในกรณีนี้ ยกเอาข้อ 4. ขึ้นตั้งเป็นตัวยืนคำตอบจะเ
ฉ. วิภัชชวาทในฐานะวิธีตอบปัญห
เพื่อความเข้าใจชัดเจนในเรื
1. เอกังสพยากรณ์ การตอบอย่างเดียวเด็ดขาด
2. วิภัชชพยากรณ์ การแยกแยะตอบ
3. ปฏิปจฉาพยากรณ์ การตอบโดยย้อนถาม
4. ฐปนะ การยั้งหรือหยุด พับปัญหาเสีย ไม่ตอบ
วิธีตอบ 4 อย่างนี้ แบ่งตามลักษณะของปัญหา ดังนั้น ปัญหาจึงแบ่งได้เป็น 4ประเภท ตรงกับวิธีตอบ
เหล่านั้น จะยกตัวอย่างปัญหาตามที่แสด
1. เอกังสพยากรณียปัญหา ปัญหาที่ควรแยกแยะหรือจำแนก
2. วิภัชชพยากรณียปัญหา ปัญหาที่ควรแยกแยะหรือจำแนก
3. ปฏปจฉาพยากรณียปัญหา ปัญหาที่ไม่ควรตอบโดยย้อนถา
4. ฐปนียปัญหา ปัญหาที่พึงยับยั้ง หรือพับเสีย ไม่ควรตอบ เช่น ถามว่า ชีวะกับสรีระ คือ สิ่งเดียวกันใช่ไหม พึงยับยั้งเสียไม่ต้องตอบ
นี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างสั้น
เรื่องโยนิโสมนสิการ ขอกล่าวไว้โดยย่อ เพียงเท่านี้ก่อน และขอสรุปโดยทวนหลักการทั่ว
........................................................................................................................................
ภาพนี้สวย
-สวยที่การเน้นโฟกัส คนถ่ายคงใช้เครื่องมือได้ดี สมประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความสวยที่ระยะต่า งๆ ภาพอย่างนี้สวยที่ความชัดแล ะความเบลอ
-สวยด้วยสีของภาพ สีของลูกลิงกับนก ตัดกันอย่างเด่นชัด ส่วนอื่นๆของภาพก็เหมือนมีใ ครคุมโทนสีอยู่ แม้แต่สีชมพูของขานกก็เป็นส ีเดียวกับสีชมพูของจงอยปากน ก และที่สำคัญเป็นสีเดียวกับห น้าของลูกลิง
-สวยด้วยการจัดวางภาพ ไม่ว่าจะเป็นหางของนกที่ชี้ ไปตามความยาวของเฟรม หน้าของลิงและนกที่หันไปคนละทาง รวมไปถึงสายตาของตัวเอกทั้ง สองที่มองเหม่อมาทิศทางของก ล้อง ที่น่าสนใจที่สุดคือตำแหน่ง ที่สวยมากๆของมือลูกลิงที่จ ับบนตัวนก
ฯลฯ
...
แต่ส่วนที่ทำให้ภาพนี้สวยที ่สุด ไม่ใช่องค์ประกอบศิลป์ที่ผม พูดมาทั้งหมด
มีความงามที่งามมากๆอยู่ในภ าพนี้
ความงามของความรัก ความงามของการไม่แบ่งเขาแบ่ งเรา ไม่แบ่งแยกแม้แต่สายพันธุ์ข องสัตว์ทั้งสองตัวนี้
ความงามอย่างนี้ องค์ประกอบศิลป์ใดๆก็ไร้ควา มหมาย
.......................... ....
(ถ่ายภาพโดย Jennifer holland)
-สวยที่การเน้นโฟกัส คนถ่ายคงใช้เครื่องมือได้ดี
-สวยด้วยสีของภาพ สีของลูกลิงกับนก ตัดกันอย่างเด่นชัด ส่วนอื่นๆของภาพก็เหมือนมีใ
-สวยด้วยการจัดวางภาพ ไม่ว่าจะเป็นหางของนกที่ชี้
ฯลฯ
...
แต่ส่วนที่ทำให้ภาพนี้สวยที
มีความงามที่งามมากๆอยู่ในภ
ความงามของความรัก ความงามของการไม่แบ่งเขาแบ่
ความงามอย่างนี้ องค์ประกอบศิลป์ใดๆก็ไร้ควา
..........................
(ถ่ายภาพโดย Jennifer holland)
..............................................................................................................................
พวกที่ใช้ปัญญาคิดค้นทางวิท ยาศาสตร์ เค้าเรียกว่าพวกนอกคอกทั้งน ั้นในสมัยที่วิทยาศาสตร์กำล ังเริ่มเฟื่องฟู นักวิทยาศาสตร์ถูกจับเผาทั้ งเป็น ทางศาสนาจับเผาทั้งเป็นเพรา ะว่าเป็นคนคิดนอกลู่นอกทาง ไม่ใช่ทางของพระผู้เป็นเจ้า ขัดกับพระผู้เป็นเจ้า เค้าจับฝังจับเผาทั้งเป็น เพราะความเชื่ออย่างผิดๆ ไม่ให้ใช้ปัญญา ให้เชื่ออย่างเดียวไม่ต้องค ิด
ผิดกับหลักการของพระพุทธเจ้ า พระพุทธเจ้าของเราสอนให้คิด ให้พิจารณา ให้เห็นด้วยปัญญา ไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ เพราะฉะนั้นเวลาพระองค์จะเท ศน์กับใคร พระองค์มักจะเตือนว่าทำใจให ้ดีคิดให้แยบคายเราจะพูดให้ ฟัง พูดอย่างนี้ก่อนเสมอในคำบาล ีก็พูดอย่างนั้นแปลความว่าอ ย่างนั้น ไม่ได้พูดว่าฟังให้ดี ฟังแล้วต้องเชื่อฉันถ้าไม่เ ชื่อฉันแล้วจะเป็นบาปตกนรก ไม่มีคำพูดเช่นนั้นพระพุทธเ จ้าท่านไม่ใช้ ไม่บังคับไม่ขู่เข็ญอะไรกับ ใครทั้งนั้น แต่เปิดโอกาสให้รับฟังและใช ้ปัญญา ถ้าฟังแล้วไม่เชื่อ พระองค์ไม่ได้ติไม่ได้ว่าอะ ไร ไม่ได้หาว่าเป็นคนไม่เข้าเร ื่อง เป็นคนไม่มีสมอง พระองค์ไม่ได้พูดแบบนั้น
แต่ถ้าชอบแล้วบัณฑิตต้องไม่ เชื่ออะไรง่ายๆ เอาไปคิดดูก่อนให้เข้าใจแล้ วจึงค่อยเชื่อเพราะความเข้า ใจอันนั้น เปิดช่องให้เสรีภาพแก่คนฟัง เสรีภาพที่จะคิดจะค้นที่จะป ฏิบัติ
ไม่มีศาสนาใดในโลกนี้หรอกที ่เปิดโอกาสเช่นนั้นให้เสรีภ าพเช่นนั้นไม่มี มีแต่ว่าต้องเชื่อพระผู้เป็ นเจ้ามาจากสวรรค์อ้างเบื้อง บน คนกลัวพระเจ้าก็เชื่อ ไม่ต้องคิดเพราะฉะนั้นพื้นฐ านทางจิตใจจึงรับง่ายเชื่อง ่ายในเรื่องอะไรต่างๆ
แต่พวกที่นอกคอกเขาไม่ได้รั บอย่างนั้นเขามีความคิด มีความสงสัยและมีการวิตกวิจ ารณ์ในเรื่องอย่างนั้นจึงไม ่เชื่อ พวกไม่เชื่อทางศาสนาเรียกว่ าพวกนอกคอก พวกไม่มีพระเจ้า ไม่ถือศาสนา แต่คนพวกนั้นแหละทำโลกให้พั ฒนาให้ก้าวหน้าเพราะรู้จักใ ช้ปัญญารู้จักคิดรู้จักค้น ในเรื่องอะไรต่างๆต่อไปจึงไ ด้เกิดความรู้ความฉลาด
ดังนั้นพวกที่เจริญคือพวกที ่ไม่เชื่อตามที่เขาให้เชื่อ แต่ว่าคือพวกชอบใช้สมองชอบใ ช้ปัญญา ไม่เชื่อตามคำสอนที่มีอยู่ใ นตำราในคัมภีร์ตลอดไป เพราะมีความคิดความอ่านของเ ขาจึงทำให้เจริญก้าวหน้า จึงได้มีคนได้อ่านคำสอนของพ ระพุทธเจ้าจึงได้ชอบ เลื่อมใสตรงที่พระพุทธเจ้าไ ม่บังคับให้ใครเชื่อ แต่ว่าให้เสรีภาพทางปัญญาให ้รู้จักคิดรู้จักค้น
หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ เทศนาธรรม
..........................................................................................................................ผิดกับหลักการของพระพุทธเจ้
แต่ถ้าชอบแล้วบัณฑิตต้องไม่
ไม่มีศาสนาใดในโลกนี้หรอกที
แต่พวกที่นอกคอกเขาไม่ได้รั
ดังนั้นพวกที่เจริญคือพวกที
หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ เทศนาธรรม
มหากาพย์เขาพระวิหาร #2
ช่วงที่ 2 : เป็นช่วงที่สร้างความเจ็บปวดอย่างมาก เพราะความเขลาและวิสัยทัศน์ที่คับแคบ สาเหตุใหญ่ที่นำไปสู่การถูกฟ้องศาลโลกและการสูญเสียปราสาทเขาพระวิหาร
ปราสาทเขาพระวิหารที่ตั้งอยู่บนผาเป้ยตาดี กลายเป็นประเด็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2483
สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ปะทุขึ้น เยอรมันนีรบชนะฝรั่งเศสตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2483 จากนั้นฝรั่งเศส(ภายใต้การยึดครองของเยอรมัน)เรียกร้องให้ไทยลงสัตยาบันในสนธิสัญญาไม่รุกรานกันและกัน ที่ทำขึ้นระหว่างฝรั่งเศส-ไทย-ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2482 เกิดผลบังคับใช้
จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีตอบไปว่า จะให้สัตยาบัน แต่มีข้อแม้ 3 ข้อ คือ
1. ปรับปรุงพรมแดนด้านอินโดจีนให้เป็นไปตามหลักสากล
2. ขอไชยะบุรีและจำปาศักดิ์คืน
3. ถือแม่น้ำโขงเป็นพรมแดนระหว่างประเทศ
ฝรั่งเศสปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง!!
หลังจากนั้น เอกสารประวัติศาสตร์หลายชิ้นระบุตรงกันว่า รัฐบาลไทยปลุกกระแสการเีรียกร้องดินแดนคืนผ่านสื่อมวลชนหลายแขนง ประชาชนทั่วประเทศโดยเฉพาะนิสิตจุฬาฯ และนักศึกษา มธก. ต่างออกมาเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนอย่างคึกคัก
วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2483 จอมพล ป. กล่าวสุนทรพจน์ผ่านวิทยุกระจายเสียง(สื่อที่มีอิทธิพลที่สุดในสมัยนั้น)ว่า
"ได้รับความเห็นพ้องต้องใจ และสนับสนุนเป็นเอกฉันท์จากมวลชนชาวไทยทุกหมู่ ทุกคณะ ทุกเพศทุกวัย จะเห็นไ้ด้จากการอาสาสมัครพลีชีวิตเพื่อชาติ จากการสละทรัพย์สิน จากการเดินขบวนแห่ ฯลฯ เป็นองค์พะยาน... กล่าวได้ว่า ยังไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์พงศาวดารของชาติไทย จะได้มีพี่น้องร่วมชาติทั้งในและนอกประเทศ พร้อมใจกันสำแดงความสามัคคีเด็ดเดี่ยวสนับสนุนรัฐบาลเหมือนครั้งนี้"
ในระหว่างที่ความคลั่งชาติเรียกร้องดินแดนได้ถูกปลุกระดมขึ้นมา
คนที่คิดว่าตัวเองรักชาติก็ออกมาเดินขบวนเพื่อเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส
ยังมีรัฐบุรุษท่านหนึ่ง ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ได้แสดงทรรศนะต่อ จอมพล ป. ว่า "เป็นการสมควรที่รัฐบาลไทยจะนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกในสมัยนั้น ให้วินิจฉัยว่าดินแดนที่ฝรั่งเศสได้ไปจากไทยตั้งแต่ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436 ) เป็นต้นมา ต้องคืนมาเป็นของประเทศไทย"
ด้วยวิธีนี้ ไทยจะมีทางชนะมากกว่าทำสงคราม
แต่นายกรัฐมาตรีปฏิเสธ!!!
รัฐบุรุษท่านนั้นคือท่านปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น
การเดินขบวนเรียกร้องดินแดนในปี พ.ศ. 2483 จากบันทึกของคุณประจวบ อัมพะเศวต อดีตนักเรียนโรงเรียนเตรียมปริญญาแห่งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองรุ่นที่ 2 ซึ่งผ่านเหตุการณ์นี้ บันทึำกไว้ว่า
"เริ่มขึ้นจากการที่มีนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยส่งตัวแทนมาพบนักศึกษา มธก. ชักชวนให้ไปเดินขบวนเรียกร้องดินแดน การเคลื่อนไหวของนิสิตจุฬาฯดังกล่าวนี้ เป็นผลมาจากการผลักดันของกลุ่มทหาร "
และยังชี้ว่า ก่อนหน้านั้นที่ มธก. "ปรึกษาหารือกันว่า ขณะนี้มีนักเรียนโรงเรียนต่างๆหลายโรงเรียนจะเดินขบวนเรียกร้องดินแดนกัน และได้ข่าวว่าจุฬาฯก็จะเดินด้วย เราจะเดินขบวนด้วยจะดีไหม จะเหมาะสมหรือไม่ โดยพิจารณาว่าเราไม่รู้ข้อเท็จจริงว่ารัฐบาลจะเอาจริงหรือเปล่า"
บันทึกยังกล่าวถึง "นายผี" อัศนี พลจันทร์ นักศึกษา มธก. ที่คัดค้านการเดินขบวนอย่างแข็งขัน จนทำให้เพื่อนหลายคนไม่พอใจ แต่ในวันรุ่งขึ้น เมื่อนิสิตจุฬาฯเริ่มเดินขบวนตอนเช้า นักศึกษา มธก. ก็ตัดสินใจเดินขบวนในช่วงบ่ายทันที ซึ่งในบันทึกได้พูดถึงเหตุการณ์สำคัญว่า
"
ท่านผู้ประศาสน์การ(ดร.ปรีดี พนมยงค์) ได้มากล่าวต่อหน้านักศึกษาเกี่ยวกับการเดินขบวนเรียกร้องดินแดน ตอนหนึ่งใจความว่า
'...ที่มานี่ ไม่ได้มาห้ามไม่ให้เดิน การเดินหรือไม่เดินเป็นเรื่องของพวกคุณจะวินิจฉัย แต่ขอให้คิดให้ดี เวลานี้ฝรั่งเศสกำลังทรุดหนัก เยอรมันบุกฝรั่งเศสอย่างหนัก การที่เราจะไปซ้ำเติมคนที่กำลังแพ้ ไม่ใช่วิสัยที่ดี การเรียกร้องดินแดนนี้ ผมเชื่อว่าได้คืนแน่เพราะฝรั่งเศสกำลังแย่ แต่ผมขอพูดไว้ล่วงหน้าว่า ดินแดนที่ได้คืนมา จะต้องกลับคืนไป ในชีวิตผมอาจจะไม่ได้เห็น (การกลับคืนไป) แต่ในชีวิตของพวกคุณ จะต้องได้เห็นอย่างแน่นอน'
"
และในที่สุด สงครามอินโดจีนก็เปิดฉากขึ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483
กองทัพไทยได้เข้ายึดดินแดนข้อพิพาททั้งหมด
จนปลายเดือนมกราคม พ.ศ.2484 ญี่ปุ่นเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจา ส่งผลให้เกิด "อนุสัญญาโตกิโอ"หรือ"อนุสัญญาโตเกียว" ทำให้ไทยได้ไชยะบุรี จำปาศักดิ์ เสียมราฐ และพระตะบองคืน และได้เกาะคืนอีก 77 เกาะ
แต่รัฐบาลฝรั่งเศสพลัดถิ่นของนายพล ชาร์ลส์ เดอโกลล์ ที่แคนาดา แถลงทันทีว่า "ไม่รับรองข้อตกลงใดๆที่รัฐบาลวิชี(ภายในเยอรมัน) ได้ทำไว้เกี่ยวกับเรื่องดินแดน 4 จังหวัด"
ท่านปรีดีได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า "เมื่อทราบเรื่องนี้ ผมจึงไปเตือนท่านจอมพล ป. พิบูลสงครามว่าต้องพิจารณาท่าทีของเดอโกลล์กับสัมพันธมิตรในสมัยนั้นให้มาก เพราะถ้าสัมพันธมิตรในขณะนั้นเป็นฝ่ายชนะสงครามแล้ว ข้อตกลงที่ฝ่ายรัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลวิชีที่ญี่ปุ่นเป็นผู้ค้ำประกันนั้นก็จะต้องถูกยกเลิก และฝรั่งเศสก็จะได้ดินแดนกลับคืนไป ผมยังได้ชี้แจงว่า ถ้าได้ใช้วิธีที่ผมเสนอไว้ในครั้งแรก คือนำเรื่องขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว...เราชนะคดี เพราะเรามีทางชนะ ก็ย่อมเป็นการตัดสินผูกพันประเทศฝรั่งเศสทั้งมวล ต่างกับข้อตกลงที่ทำไว้กับรัฐบาลวิชี ที่ฝ่ายนายพลเดอโกลล์กับฝ่ายสัมพันธมิตรเขาไม่รับรอง...ถ้าญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม...ผลที่ตามมาคือประเทศไทยจะมิเพียงแต่ต้องคืนดินแดน 4 จังหวัดเท่านั้น ดินแดนของไทยเท่าที่มีเหลืออยู่จะต้องเปลี่ยนฐานะไปอย่างไร ก็เป็นเรื่องน่าวิตก"
ในที่สุด ญี่ปุ่นแพ้สงคราม นอกจากไทยจะต้องกู้สถานะไม่ให้"แพ้สงคราม"ด้วย"พระบรมราชโองการสันติภาพ" 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ของท่านปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และหัวหน้าเสรีไทยแล้ว ยังต้องคืนดินแดนให้ฝรั่งเศส เพื่อเปิดทางให้การเข้าเป็นสมาชิกองค์กรสหประชาชาติโดยไม่ถูกฝรั่งเศส หนึ่งในสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ "วีโต้" ด้วยถือว่าไทยนั้นเป็น"ผู้รุกราน" และเป็น"ผู้แพ้สงคราม" (การคัดค้านในคณะมนตรีความมั่นคงเพียงเสียงเดียว มีผลให้ที่ประชุมไม่สามารถออกมติได้) ปราสาทเขาพระวิหาร กลับไปอยู่ในเขตกัมพูชาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิับัติ รัฐบาลไทยไม่ได้คืนปราสาทเขาพระวิหาร โดยทางทหารถือว่านี่เป็นจุดยุทธศาสคร์ โดยในปี พ.ศ. 2497 มีการส่งกองทหารขึ้นไปบนเขาพระวิหารอีก แม้ระหว่างนั้นจะมีหนังสือทักท้วงจากฝรั่งเศส 3 ฉบับ แต่รัฐบาลไทยมิได้โต้ตอบกลับไปแต่อย่างใด
จะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ 2 นี้ ไทยอาศัยความคลั่งชาติและการทำสงครามเพื่อแสดงอำนาจในการยึดคืนดินแดน ทำให้แทนที่จะเป็นฝ่ายโจทย์ในการฟ้องร้องศาลโลก กลับต้องกลายเป็นฝ่ายจำเลยในช่วงต่อมาแทน
เป็นความรักชาติที่ขาดสมองและวิสัยทัศน์ !!!!!
.................................................................................................................
.........................................................................................................................
เมื่อไม่เลือกข้าง คุณก็ต้องใช้ข้อมูลเป็นหลัก
สำหรับคนที่เก็งกำไรหรือลงท
......................................................................................................................
» เฮฮา กับ ภาษา Marketing
วันนี้ Life 101 นำเสนอ...เทคนิคขั้นเทพ ของศาสตราจารย์ จาก Indian Institute of Management (IIMs) ในการอธิบาย concept การตลาดให้นักศึกษาเข้าใจอย ่างง่ายๆ :
1. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงาน ปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและพูดว่า “ผมรวย แต่งงานกับผมเถอะ!” - นี่คือ Direct Marketing
2. คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้กับพรร คพวกของคุณ และพบสาวสวยสุดเซ็กซี่คนหนึ ่ง เพื่อนของคุณคนหนึ่งเดินเข้ าไปหาเธอ ชี้มาที่คุณแล้วพูดว่า “เขารวยมาก แต่งงานกับเขาเถอะ!” - นี่คือการโฆษณา หรือ Advertising
3. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงาน ปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและขอเบอร์โท ร วันรุ่งขึ้นคุณจึงโทรไปหาแล ะพูดว่า “สวัสดีครับ ผมรวยมาก แต่งงานกันผมเถอะ” - นี่คือ Telemarketing
4. คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้และพบส าวสวยสุดเซ็กซี่คนหนึ่ง คุณยืนขึ้น จัดเนคไทให้เรียบร้อย เดินเข้าไปหาเธอ เลี้ยงเครื่องดื่มเธอ คุณเปิดประตู (รถยนต์) ให้เธอ ถือกระเป๋าให้เธอจนเธอนั่งเ รียบร้อย ช่วยขับรถให้เธอ แล้วพูดว่า “ผมรวย คุณจะแต่งงานกับผมไหม?” - นี่คือ PR หรือ Public Relations
5. คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้และพบส าวสวยสุดเซ็กซี่คนหนึ่ง เธอเดินเข้ามาหาคุณและพูดว่ า “คุณรวยมาก! แต่งงานกับฉันไหม?” - นี่คือ Brand Recognition
6. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงาน ปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและพูดว่า “ผมรวย แต่งงานกับผมเถอะ!” เธอตบหน้าคุณอย่างแรง - นี่คือ Customer Feedback
7. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงาน ปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและพูดว่า “ผมรวยมาก แต่งงานกับผมเถอะ!” แล้วเธอก็แนะนำให้คุณรู้จัก กับสามีของเธอ - นี่คือช่องว่างระหว่าง demand และ supply
8. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงาน ปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและก่อนที่จะ ได้พูดอะไร ก็มีผู้ชายอีกคนเดินเข้ามาแ ละพูดกับเธอว่า “ผมรวย คุณจะแต่งงานกับผมไหม?” แล้วเธอก็ไปกับผู้ชายคนนั้น - นี่คือ การแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งก ารตลาด
9. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงาน ปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและก่อนที่จะ ได้พูดว่า “ผมรวย แต่งงานกับผมเถอะ!” ภรรยาของคุณก็มาถึง - นี่คือ ข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดให ม่
◌◌◌◌◌◌◌◌
ฝาก คำคน-คำคม ท้ายบท :
"If you can't explain it simply, you don't understand it well enough."
#Albert Einstein
◌◌◌◌◌◌◌◌
Credit : Weerasak.com
วันนี้ Life 101 นำเสนอ...เทคนิคขั้นเทพ ของศาสตราจารย์ จาก Indian Institute of Management (IIMs) ในการอธิบาย concept การตลาดให้นักศึกษาเข้าใจอย
1. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงาน
2. คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้กับพรร
3. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงาน
4. คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้และพบส
5. คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้และพบส
6. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงาน
7. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงาน
8. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงาน
9. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงาน
◌◌◌◌◌◌◌◌
ฝาก คำคน-คำคม ท้ายบท :
"If you can't explain it simply, you don't understand it well enough."
#Albert Einstein
◌◌◌◌◌◌◌◌
Credit : Weerasak.com
.....................................................................................................................
เส้นทางสู่ความสำเร็จ ไม่ได้มีเพียงแค่ทางเดียว
...................................................................................................................
........................................................................................................................
เชี่ยได้ใจ....ขนาดรอง"พิชั
.....................................................................................................................
กูรู้ว่าพวกมึงรักชาติ(แบบโ
เพื่อความยุติธรรม ในเมื่อพวกมึงอยากให้เกิดสง
001
...........................................................................................................................
จงมุ่งมั่นและตั้งใจให้จริง
..........................................................................................................................
......................................................................................................................................
พี่มากขาาาาาาา...
ป.ล.ตอนแรกแอดมินนึกว่าโจทย
มุกวิทย์ เหี้ย เหี้ย จาก Sirinat ThePirate
https://www.facebook.com/
....................................................................................................................
.......................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น