วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

13/04/2556





» เปิดตัว "สองแสบ" จอมขโมย...ความสุข

มีการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับ "รายได้ และ ความสุข" ของคนทั่วโลก เป็นเวลาหลายสิบปี พบว่า...ในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา รายได้ของประชากรเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า เช่น สหรัฐอเมริกา ที่รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นจาก 3,000 เหรียญเป็น 30,000 เหรียญ แต่ดัชนีความสุขของประชากรในช่วงเวลาเดียวกันไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย!

นั่นแสดงว่า...รายได้ที่มากขึ้นอาจไม่ได้มีผลกับความสุขอย่างแท้จริง

นักวิจัยพบว่าเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ความสุขของประชากรไม่ได้เพิ่มขึ้นตามรายได้นั้นมาจากสองสาเหตุหลัก...

หนึ่งคือ "ความเคยชิน"

สองคือ "การเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น"


◌◌◌◌◌◌◌◌


“ความเคยชิน” คือปัญหาทางจิตวิทยาของมนุษย์ จะสังเกตุเห็นว่าในช่วงแรกที่เราได้ของชิ้นใหม่ๆ มาไม่ว่าจะเป็นของเล่นใหม่ บ้านใหม่ หรือรถยนต์คันใหม่ เราจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจ และรู้สึกพออกพอใจในสิ่งของชิ้นนั้นอยู่ตลอดเวลา

ความรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของในช่วงแรกจะสูงมาก หลายคนอาจเห่อรถยนต์ใหม่จนต้องตั้งชื่อให้กับรถยนต์ของตนเอง หรือไม่ก็เช็ดล้างทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา รถยนต์มีร่องรอยนิดหน่อยก็อาจทำให้อารมณ์เสีย หรือพาลโกรธคนรอบข้าง

แต่เมื่อเวลาผ่านไป...ของเล่นชิ้นใหม่นั้นก็ไม่ใหม่อีกต่อไป รถยนต์ใหม่กลายเป็นรถยนต์เก่า ดูเหมือนความรู้สึกในช่วงแรกของการเป็นเจ้าของได้หายไป

รถยนต์คันเดิมที่เคยขับดีวิ่งเงียบดูเหมือนว่าจะเริ่มมีเสียงดังและไม่ทันสมัยเท่ารถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวขายรุ่นล่าสุด


“ความเคยชิน” ทำให้สิ่งที่เรามีกลายเป็น "เรื่องธรรมดา"

นักลงทุนหลายคนเริ่มต้นจากเงินไม่กี่แสนบาท...จนทำเงินได้หลายสิบหรือหลายร้อยล้าน ในช่วงแรก ดูเหมือนจะตื่นเต้นที่ทำเงินได้มาก แต่พอเวลาผ่านไปเงินที่มีก็ดูเหมือนจะเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก

หลายคนมีเงินล้านอยากมีเงินเป็นสิบล้าน พอมีสิบล้านก็อยากจะมีร้อยล้าน พันล้านต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดเพราะความเคยชินต่อเงินที่มีอยู่

เศรษฐีหลายคนไม่มีความสุขทั้งๆ ที่มีเงินมากมายเพราะปัญหาเรื่อง...ความเคยชิน


◌◌◌◌◌◌◌◌


ปัญหาที่สองคือ "การเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น"

มีการทำแบบสอบถามนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดถามว่าถ้าให้เลือกทางเลือกสองข้อ

ข้อแรก...จบมาแล้วนักศึกษามีรายได้ 5 หมื่นเหรียญต่อปี ขณะที่นักศึกษาคนอื่นมีรายได้ 3 หมื่นเหรียญ

หรือข้อสอง...จบมาแล้วนักศึกษาคนนั้นมีรายได้ 1 แสนเหรียญต่อปีขณะที่คนอื่นมีรายได้ 2 แสนเหรียญ จะเลือกข้อไหน

จากการทดลองพบว่านักศึกษาส่วนใหญ่เลือกข้อหนึ่งนั่นคือ..ยอมมีรายได้ลดลงครึ่งหนึ่งแต่ขอให้ได้เงินเดือนมากกว่าคนอื่น

แสดงว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ชอบเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น ถึงแม้จะมีเงินมากน้อยแค่ไหนก็ตามขอแค่มีมากกว่าคนอื่นก็จะพอใจ แต่ถ้ามีน้อยกว่าคนอื่นอาจทำให้ไม่มีความสุขได้

ถ้าดูรอบตัวจะพบว่า...ในความเป็นจริง เวลาเพื่อนบ้านหรือญาติสนิทออกรถยนต์คันใหม่ เรามักจะคิดว่ารถยนต์ที่เรามีนั้นดูเก่าไปในทันที

บางคนทำเงินจากตลาดหุ้นได้หลายแสนบาท แต่พออีกคนทำได้เป็นล้านดูเหมือนจะทำให้เราทำเงินได้น้อยลงเช่นกัน

มีนักลงทุนท่านหนึ่งบอกว่ามีเงินในพอร์ต 30 ล้านบาท บางคนอาจมองว่าโอ้โหเยอะมากเลยไม่รู้ว่าชาตินี้จะหาเงินจำนวนนี้ได้หรือไม่ ขณะที่อีกบางคนอาจมองว่ามีเงินในพอร์ตไม่กี่สิบล้านบาทแค่นี้น้อยมากๆ

ซึ่งในความเป็นจริง เงินจำนวนเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ามากหรือน้อยขึ้นกับมุมมองของแต่ละบุคคล



ดังนั้นถ้าอยากมีความสุขคงต้องเอาชนะปัญหาของมนุษย์ในสองเรื่องนี้ให้ได้นั่นคือเรื่องของ "ความเคยชิน" และ "การเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น"

ถ้าทำได้จะทำให้เรา "พอใจ" ในสิ่งที่มีอยู่และมีความสุขอยู่กับปัจจุบัน ไม่ว่าเราจะมีเงินมากหรือน้อยเพียงใดอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เพราะมีผู้รู้กล่าวว่าเมื่อไหร่ที่เรา "พอ" เมื่อนั้นเราก็จะมี "ความสุข"


◌◌◌◌◌◌◌◌


Life 101 ฝากทิ้งท้าย...'ภาวะฉุกคิด' ในวันหยุดสงกรานต์

สมมติว่า มีคน 6 คน เป็นเพื่อนกัน...

1) นาย A พาครอบครัว ออกไปทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่ร้านอาหารแถวๆ บ้าน

2) นาย B พาครอบครัว ไปพักผ่อนลั้ลลากัน ที่...หัวหิน

3) นาย C กลับไปหาครอบครัว ที่...จ.ตรัง

4) นาย D พาครอบครัว ไปเที่ยว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ ที่...ญี่ปุ่น

5) นาย E พาครอบครัว ไปล่องทะเลสาบ ลูกาโน ที่...สวิตเซอร์แลนด์

6) นาย F นั่งป้อนข้าวให้แม่ และอยู่เฝ้าท่านทั้งวัน ที่...โรงพยาบาล


สมาชิกครอบครัวของ A-F สามารถมีความสุข ด้วย score เต็ม 100 ได้ทุกๆ ครอบครัว

แต่ความสุข ของตัวนาย A, B, C, D, E, F เอง มีสิทธิ์ถูกขโมยไปทันที แค่เขาเข้า fb แล้วเริ่มปฏิบัติการ "เปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น"



ขอให้มี 'ความสุข' ด้วย score เต็ม 100 กันทุกคนนะครับ


จากใจ....

#ทีมงาน Life 101


◌◌◌◌◌◌◌◌

Credit : บทความ Value Way - "ความสุขอยู่ที่ไหน" | วิบูลย์ พึงประเสริฐ

.................................................................................................................................





มาตามคำเรียกร้องครับ ข้อโต้แย้งหลักให้ไปอ่านในรูปเก่านะครับhttps://www.facebook.com/photo.php?fbid=176006595889382&set=a.164688717021170.1073741826.164688133687895&type=1&relevant_count=1

รูปนี้พยายามนำเสนอประเด็น(แบบมั่วๆ)เพิ่มขึ้นมา ว่าเพราะการกดดันของพวกทวงคืน ทำให้ปตท.ยอมลดส่วนแบ่งตัวเองลง แล้วก็เอาตัวเลขค่าการกลั่นกับค่าการตลาดมาเทียบกับปีก่อน แต่ก็มั่วอยู่ดีครับ ขอแย้งดังนี้ครับ

1.ดังที่เขียนไปในรูปเก่า ว่าการเอาน้ำมันดิบ 1 บาร์เรล แล้วมาตีเป็นต้นทุนเบนซิน แบบ 1 ต่อหนึ่งมันใช้ไม่ได้ เพราะน้ำมันดิบ 1 บาร์เรลไม่ได้กลั่นออกมาเป็นเบนซินหมด ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆอีก หรือแม้แต่การสูญเสียในกระบวนการกลั่นก็ทำให้ต้นทุนส่วนน้ำมันดิบที่สะท้อนในราคาน้ำมันเบนซินจะสูงขึ้น ดังนั้นการที่หม่อมทวงคืนเอาต้นทุนน้ำมันดิบแบบมั่วมาคิดค่าการกลั่น ทำให้ได้ค่าการกลั่นสูงเกินจริง

2.ข้อนี้เด็ดครับ หม่อมบอกว่าเพราะพวกหม่อมกดดัน ปตท.เลยยอมลดค่าการตลาด จาก 4.53 เป็น 3.34 อันนี้เป็นของ 95 นะครับ แต่พอแอดมินไปเปิดโครงสร้างราคาน้ำมันตัวอื่นดูถึงกับขำก๊ากเลยครับ เพราะค่าการตลาดน้ำมันตัวอื่น "ขึ้นหมดทุกตัว" -โซฮอล 91 ขึ้นจาก 1.39 เป็น 2.28 โซฮอล 95 ขึ้นจาก 1.17 เป็น 2.26 ครับ

ข้อมูลนี้หมายความว่าค่าการตลาดนั้นจะเฉลี่ยๆกันไปในทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันครับ แล้วก็อย่างที่ในภาพของหม่อมนั่นแหละ ว่าช่วงที่ราคาน้ำมันดิบลดลงกองทุนน้ำมันก็อาจเก็บเงินเพิ่ม แล้วเฉลี่ยค่าการตลาดเพื่อชดเชยช่วงที่เคยต่ำสลับกันไป ทำให้ถ้าไปดูราคาขายปลีกกลุ่มแก๊สโซฮอลจริงๆจะพบว่าราคาไม่ได้ต่างจากปีก่อนมากนัก

สรุปแล้วหม่อมเล่นตลกใช่มั้ยที่บอกว่าปตท.ลดส่วนแบ่งเพราะพวกทวงคืนกดดัน หรือกำลังแสดงปาหี่หลอกลวงสาวกของตัวเองกันแน่ครับ

ปล.เชิญทุกท่านไปโหลดข้อมูลมาเทียบกันด้วยตัวท่านเองได้ที่http://www.eppo.go.th/petro/price/index.html

..........................................................................................................................


BBC defends Baroness Thatcher Ding Dong song decision


http://www.bbc.co.uk/news/uk-22126940



จาก Status คุณ Rood Thanarak


สนุกมากๆ!!

เรื่องมีอยู่ว่าหลังจาก มากาเร็ต แทตเชอร์ เสียชีวิต ก็มีทั้งคนที่เสียใจและ “ดีใจ”

พวกที่ดีใจนั้นถึงขั้นจัดปาร์ตี้เฉลิมฉลอง ดีใจออกสื่อกันอย่างกว้างขวาง และตามประสาสังคมที่เจริญแล้ว เหตุบ้านการเมืองล้วนได้รับการกล่าวถึงผ่านสื่อและศิลปะหลายๆแขนงซึ่ง “ดนตรี” ก็ส่วนสำคัญที่ใช้กันตั้งแต่สมัยที่แทตเชอร์ยังมีชีวิตอยู่ (นักร้องคนโปรดของผม -- Morrisey -- ถึงกับแต่งเพลง “มากาเร็ตบนกิโยติน” เลยทีเดียว)

ล่าสุด กลุ่ม “ดีใจที่แทตเชอร์ตาย”ได้รณรงค์ปลุกกระแส “ความดีใจ” ผ่าน social media โดยใช้เพลง Ding Dong! The Witch is Dead เป็นสัญลักษณ์ ให้ผู้คนนำไปฟัง ไปร้องเล่นกันอย่างแพร่หลาย

ผลปรากฎว่า ภายใน 24 ชั่วโมง เพลงนี้ติดอันดับ 2 ของเพลงที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดใน iTunes UK และขึ้นถึงอันดับ 1 ภายในวันเดียวกันนั่นเอง

อีกสองวันถัดไป เพลงนี้ติดอันดับ 10 ใน Official UK Single Chart

เรื่องราวจึงเป็นประเด็นใหญ่โตมากขึ้น เพราะเมื่อเพลง Ding Dong! ที่ว่านี่ติดชาร์ต เพราะมันทำให้รายการ Chart Show ในช่อง BBC Radio 1 ซึ่งปกติจะนำเสนอเพลงฮิตในชาร์ททุกสัปดาห์ ต้องตัดสินใจว่าจะเล่นเพลงนี้ออกอากาศหรือไม่

ล่าสุด BBC ออกมาแถลงว่าจะ “รอมชอม” โดยจะไม่เล่นเพลงนี้ทั้งเพลง แต่จะเปิดออกอากาศเป็นเวลา 5 วินาที

Ben Cooper ผู้จัดรายการให้เหตุผลว่าเขาไม่ต้องการเผยแพร่เพลงนี้ เพราะจัดว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพ (Disrespectful) ต่อผู้เสียชีวิต ครอบครัวของผู้เสียชีวิตยังเศร้าโศกกันอยู่ นอกจากนั้นเพลงนี้ยังเป็นการโจมตีตัวบุคคลโดยตรง ไม่ใช่การโจมตีประเด็นในทางการเมือง

ตัว BBC เองก็ออกแถลงการณ์ในนามองค์กรว่า พวกเขาคิดว่ากระแส “ดีใจ” ในเรื่องนี้ “ไร้รสนิยม” (Distasteful) และไม่เหมาะสม (Inappropriate) แต่อย่างไรเพลงนี้ก็ไม่ควรถูกแบน

BBC ยืนยันในเสรีภาพการแสดงออก (Freedom of Speech) จึงจะไม่ “แบน” เพลงนี้ ...เหมือนที่บางประเทศชอบทำ

ด้วยเหตุนี้ BBC จึงจะเสนอข่าว “ความดัง” ของเพลงนี้อย่างตรงตามข้อเท็จจริง เพียงแต่จะเปิดเพลงนี้ออนแอร์เพียง 5 วินาทีเท่านั้น

แน่นอนว่าเรื่องนี้ก่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่องยืดยาว

ฝ่าย “ล้มแท็ตเชอร์” หรืิอ “ไม่รักแท็ตเชอร์” ก็โวยวายว่าการเปิดเพลง 5 วินาทีก็คือการแบนอย่างนึงนั่นแหละ BBC จะคาดหวังให้สังคมเป็นอย่างไรได้เล่า ในเมื่อบุคคลสำคัญผู้เป็นแกนกลางของข้อขัดแย้งที่รุนแรงมากที่สุดคนหนึ่งในประเทศเพิ่งเสียชีวิตลง BBC จะไปหวังให้ทุกคนสรรเสริญย่อมเป็นไปไม่ได้ ... ที่นี่คืออังกฤษนะ ไม่ใช่ประเทศโลกที่ 3

ฝ่าย “รักแท็ตเชอร์” อย่าง สส.พรรคอนุรักษ์นิยมท่านหนึ่งได้กล่าวว่า BBC ตัดสินใจถูกแล้ว เพราะนี่คือรายการเพลงไม่ใช่รายการการเมือง BBC ไม่ควรยอมให้ “ถูกปล้นเวลา” (Hijacked) มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง (เหตุผลคุ้นๆนะ)

ที่น่าสนใจคือความเห็นของ Rob Wilson ผู้เป็นสส.พรรคอนุรักษ์นิยมอีกท่านหนึ่ง เขาบอกว่าถ้า มากาเร็ต แท็ตเชอร์ รู้เรื่องนี้คงตกใจมาก ในเมื่อเธอได้ช่วยปลดปล่อยให้ยุโรปตะวันออกมีเสรีภาพ และเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพสำหรับคนทั้งโลก แต่กลับต้องมีการเซ็นเซอร์เพลงๆเดียวในประเทศของเธอเอง

Jarvis Cocker นักร้องสุดเท่ของวง Pulp ให้ความเห็นไว้ว่า สำหรับนายกรัฐมนตรีที่ต่อสู้กับความขัดแย้งและการปะทะทางสังคมมามากมายอย่างแท็ตเชอร์ ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอคงเฉยๆกับเรื่องนี้

เป็นที่น่าสังเกตว่า (เท่าที่ตามข่าวดู) ไม่มียังไม่มีใครบอกว่า BBC ควรแบนเพลงนี้ ไกลที่สุดก็แค่เห็นด้วยกับการ “ออนแอร์ 5 วินาที” เท่านั้น

แทบทุกคนรู้ดีว่าเรื่องนี้มีเส้นแบ่งสำคัญอยู่ที่เรื่องเสรีภาพในการแสดงออก ในเมื่อคนที่ “รัก” มีสิทธิแสดงออก คนที่ “ไม่รัก” ก็ควรจะมีสิทธิเท่าเทียมกัน ส่วนเรื่องความเหมาะสม ไร้รสนิยมหรือไม่ ไม่ให้เกียรติต่อกันแค่ไหน เป็นเรื่องที่สังคมจะไปถกเถียงตัดสินกันเองอีกที ที่แน่ๆการ “แบน” ไม่ใช่คำตอบ และ Freedom of Speech คือหลักการที่สำคัญกว่าตัวบุคคลอย่างแท็ตเชอร์

ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นแย้ง มันเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันได้อย่างสนุกสนาน นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของประเด็น Free Speech ที่สนุกสนานมาก

........ ในสังคมนอกกะลา


.............................................................................................................................



เคยฟังนิทานเรื่องคนกับลาไหมครั

ถ้าคนมันจะมองให้เราผิด ไม่ว่าเราจะจูงลา ขี่ลา หรือแบกลา ยังไงเราก็ผิดครับ

ดังนั้นคุณอย่ามาบังคับให้ผมเป็นแบบที่คุณต้องการเลย เพราะยังไงผมก็ทำตามความคิดของผมอยู่แล้ว ไม่แคร์ด้วยว่า คุณจะต้องชอบพอกับผมไปทุกเรื่อง

001

............................................................................................................................




นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระ

ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องที่ของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะส.ว.สรรหาที่ขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 จากกรณีที่ นายวิรัตน์ กัลยาศิริกับคณะ และพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกระทำการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีการตัดสิทธิของบุคคลในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญหรือไม่ ว่า ประเด็นเรื่องมาตรา 68 คงไม่ใช้เรื่องที่จะว่าไปตามเหตุผลของกฎหมายอีกต่อไป เพราะว่า ศาลได้หลุดพ้นจากปริมณฑลแห่งเหตุผลทางกฎหมายไปแล้ว เนื่องจากศาลกลายเป็นผู้ใช้อำนาจตามดุลยพินิจส่วนตัวไปแล้วตั้งแต่ใช้อำนาจรับพิจารณาเมื่อครั้งกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ว่าขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ ดังนั้นไม่ว่าศาลจะรับหรือไม่ในกรณีมาตรา 68 ก็เป็นเรื่องผิดทั้งหมด แต่การที่ศาลไม่รับคำร้องของนายเรืองไกรก็ยิ่งทำให้ความผิดตรงนี้ปรากฏชัดขึ้นไปอีก เพราะศาลรับคำร้องของนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา คำร้องของนายบวร ยสินทร กับคณะ ที่ระบุว่า ส.ส. ส.ว.ร่วมเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 312 คนมีความผิดตามมาตรา 68 ไว้พิจารณา แต่คำร้องของนายเรืองไกร ที่ระบุว่า ประชาธิปัตย์ร่วมเสนอชื่อ ส.ส.เป็นกรรมาธิการญัตติเดียวกันนั้น ศาลกลับเห็นว่าไม่มีมูลที่จะไปพิจารณา

“ประเด็นของคำร้องของนายเรืองไกรกับคำร้องของนายสมชายและนายบวรเป็นคนละประเด็นกัน ซึ่งใครๆก็ทราบดี แต่ที่ปัญหาที่เป็นประเด็นน่าคิดในกรณีดังกล่าวก็คือว่า ศาลใช้มาตรฐานหรือหลักเกณฑ์ใดในการพิจารณามูลความผิดนี้ ซึ่งสาธารณชนไม่อาจทราบได้เลย อย่างดีศาลรัฐธรรมนูญก็จะแถลงข่าวหรือมีเอกสารข่าวอธิบายเหตุผลสั้นๆว่าทำไมถึงรับหรือไม่รับ ซึ่งอ่านดูก็ไม่ทราบได้ว่าศาลใช้หลักเกณฑ์อะไรในการพิจารณา ซึ่งโดยหลักการทั่วไปศาลควรจะต้องมีการทำคำสั่งที่อธิบายหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่ารับหรือไม่รับเพราะเหตุใดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรและมีเหตุผลประกอบให้กับประชาชนและสื่อมวลชนได้รับทราบด้วย” นายวีรพัฒน์ กล่าว

..........................................................................................................................



เรื่อง ปตท. เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยเขียนถึงเลย เพราะยังไม่มีโอกาส (จริงๆคือขี้เกียจ 55) ไปตามอ่านข้อมูลจริงๆจังๆ
แต่ก็ได้อ่านข้อมูลทั้ง 2 ฝ่ายที่โต้แย้งกันไปมาอยู่บ้าง โดยเฉพาะช่วงหลังๆที่ฝั่งเสื้อแดงออกมาโต้กันเอง

เบื้องต้นผมมีคำถามและข้อสังเกตุอย่างนี้ครับ (เนื่องจากไม่มีข้อมูลมากพอก็เลยไม่สามารถฟันธงได้)

อันแรกก็คือผมสงสัยว่าทำไมฝั่งเสื้อเหลืองหรือแอบเหลืองต้องเล่นประเด็นนี้ เขาเชื่ออย่างนั้นจริงๆหรือว่าแค่เกมส์การเมือง (อันนี้ก็เพราะเสื้อแดงบางส่วนบอกว่านี่มันเป็นแค่เกมส์การเมืองของฝั่งเสื้อเหลือง/แอบเหลือง)

สำหรับคำถามนี้ ผมเสนอให้ลองนึกดูครับว่าสมัยรัฐบาลขิงแก่หรือรัฐบาล ปชป. พวกเขาเอารณรงค์เรื่องนี้อย่างจริงจังหรือเปล่า เพราะ ปตท.ก็ขายน้ำมันแพงกว่าประเทศอื่นมาตั้งนานแล้ว แปรรูปมาตั้งนานแล้ว

ถ้าเปล่า, โอเค อาจจะมีคนบอกว่าตอนนั้นพวกเขาอาจจะยังไม่มี/ไม่เจอข้อมูล เพิ่งมาเจอเอาตอนนี้, เราก็มีวิธีพิสุจน์ได้อีกอย่างก็คือสมมุติเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองไปเป็นรัฐบาลจากทหารหรือรัฐาล ปชป.อีก พวกเขาจะยังโหมเล่นเรื่องนี้อยู่อีกหรือเปล่า (แน่นอน อันนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดหรือเปล่า แต่ถ้ามันเกิดนี่มันจะช่วยพิสูจน์ได้อย่างดี)


.............................................................................................................................




มาถูกทางแล้วครับ
ถ้าทำได้จริงมันไม่ได้เป็นผลดีเฉพาะกับ ปชป. แต่เป็นผลดีต่อประเทศโดยรวมด้วย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1365827836&grpid=00&catid=01&subcatid=0100


...............................................................................................................................





"แทตเชอร์" แบบอย่างผู้นำรุ่นหลัง

การจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยโรคเส้นเลือด ในสมองแตกในวัย 87 ปีของหญิงเหล็กหรือบางคนยกย่องเป็นนางสิงห์เหล็ก "มาร์กาเร็ต แทตเชอร์" อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและคนเดียวของอังกฤษ ได้ทิ้งตำนานอันเป็นแบบอย่างผู้นำทั้งสตรีและสุภาพบุรุษควรเอาเยี่ยงอย่าง เฉพาะอย่างยิ่งภาวะผู้นำที่มีความเด็ดขาดในการตัดสินใจดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแนว "ลัทธิเสรีนิยม" พร้อมแนวทางการปฏิรูประบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนนโยบายจากแบบ "เคนเชี่ยน" หันมาใช้วิธีการบริหารตามแนวคิด "ตลาดเสรี" และแนวคิด "การเงินนิยม" และเน้นจัดการอุปทาน หรือที่เรียกว่า "Supply Side" ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในช่วงนั้น

แนวทางหลักๆ ที่มาร์กาเร็ตใช้และเป็นที่ฮือฮาเรื่องความเด็ดขาดด้วยการใช้ "นโยบายแปรรูป" หรือ "Privatization" ซึ่งเป็นการแปรรูปองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐมาเป็นของเอกชน ซึ่งแนวคิดนี้รัฐบาลประชาธิปัตย์เคยคิดจะนำมาใช้หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่ถูกสหภาพแรงงานและพวกไม่เห็นด้วยลุกขึ้นมาต่อต้าน และประณามว่า "ขายชาติ" จนรัฐบาลสมัยนั้นต้องยกธงขา

สำหรับแทตเชอร์เธอไม่สนใจว่าสหภาพแรงงานจะประท้วง คัดค้านนโยบาย มุ่งมั่นเดินหน้าแปรรูปเศรษฐกิจอย่างกล้าหาญ

นอกจากนี้ แทตเชอร์ยังเดินหน้าเปิดทางเสรีการค้าและการเงินผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ เช่น ผ่อนคลายระเบียบแรงงานที่จะทำให้เกิดความคล่องตัว ยืดหยุ่นในการจ้างงานและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ รวมถึงกลไกรัฐสวัสดิการต่างๆ ถูกโอนไปให้เอกชนดูแล

บทบาทที่คนทั้งโลกได้จดจำเป็นอย่างดีไม่มีวันลืม นั่นคือ กรณีสงครามแย่งชิงหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ ระหว่างอังกฤษและอาร์เจนตินา ในปี 1982

ในด้านหนึ่งแทตเชอร์อาจจะได้รับการยกย่องถึงความสามารถ มีภาวะผู้นำสูง แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่เจ็บปวดกับการใช้นโยบายตัดลดงบประมาณรายจ่าย โครงการต่างๆ ที่คนยากจนเคยได้รับก็ลดลงหรือยุบทิ้ง จึงเป็นที่โกรธแค้นของคนที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก

ผู้นำที่เข้มแข็ง เด็ดขาดนำพาประเทศอยู่รอด ย่อมมีทั้งคนรักและคนเกลียดไม่ใช่บริหารแบบเบลอๆ อยู่ไปวันๆ ไม่กล้าตัดสินใจกลัวจะเสียคะแนน หรือกลัวคนเกลียด

นั่นไม่มีอยู่ในสมองของหญิงเหล็ก "มาร์กาเร็ต แทตเชอร์" คนนี้

คอลัมน์ เมืองไทย25น.
ทวี มีเงิน/ข่าวสดออนไลน์

................................................................................................................

...........................................................................................................................





เหตุใดโดมธรรมศาสตร์ต้องสร้างเป็น 6 เหลี่ยม ?

ท่านสังเกตและทราบความหมายแฝงหรือเปล่า
. . .

ตัวโดมที่เป็นรูป 6 เหลี่ยม เพราะจะได้สะท้อนถึง
"หลักที่หก" ในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร
คือ "จะต้องให้การศึกษาเต็มที่แก่ราษฎร"
โดยไม่มีการแบ่งแยกฐานะหรือชนชั้นใดๆ

(มธ. เป็น 'มหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของไทย' ที่ให้โอกาสประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาศึกษาระดับมหาวิทยาลัยได้ โดยไม่จำกัดเฉพาะเชื้อพระวงศ์ คนในวัง ข้าราชการ หรือชาวกรุงเทพฯ)

...

ส่วนที่ยอดตัวโดมแหลมขึ้นฟ้านั้น
เปรียบโดมเสมือนดินสอที่จดบันทึกวิชาความรู้
และเรื่องราวต่างๆ ไม่รู้จักจบสิ้น เอาไว้บนผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ ...

นายจิตรเสน (หมิว) อภัยวงศ์
สถาปนิกผู้มีชื่อเสียงเป็นผู้ออกแบบ ตึกโดม

------------------------------------------------
Photo: folkswaken

.......................................................................................................................




พุทธแบบญี่ปุ่น

ใครก็ตามที่เคยไปต่างประเทศและได้ไปเยี่ยมศาสนสถาน หรือว่า ศาลเจ้าของประเทศต่างๆ เคยลองตั้งคำถามไหมครับว่า พวกเขากำลังสื่อสารอะไรกับ พระผู้เป็นเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิที่พวกเขาเคารพบูชาศรัทธาสักการะกันอยู่บ้าง เห็นอยู่ชาติหนึ่งครับ จะพบว่าพวกเขาใช้เวลาในการไหว้เจ้าและไหว้พระสั้นมากๆ จนทำให้ผมต้องหันมามองตัวเองว่า หรือว่าพวกเขาไหว้พระนานไปหน่อย ชาติที่ผมว่าถึงก็คือ ญี่ปุ่นนั่นเองครับ ไม่ว่าจะไปที่ ศาลเจ้าชินโต หรือว่าวัดพุทธแบบเซน ก็จะพบว่าคนญี่ปุ่นไหว้เจ้าและพระ โดยการใช้เวลาสั้นๆ เพียงครู่เดียว

บังเอิญว่าผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมร้านพุทธศิลป์แบบญี่ปุ่น ร้านโมริตะ ที่ริเวอร์ซิตี้ ถนนเจริญกรุง และได้มีโอกาสพบกับ คุณสมชัย ว่องสกุลชัย เจ้าของร้านผู้สนใจในวัฒนธรรมญี่ปุ่น และเข้าถึงคนญี่ปุ่น (จากการที่อยู่ที่ญี่ปุ่นมายาวนานหลายสิบปี) จึงได้ความรู้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชาวญี่ปุ่นต่อศาสนาประจำชาติ หรือ “ชินโต” (ที่จะพบว่า วัดชินโตนั้นมีเอกลักษณ์นอกเหนือจากประตูแบบญี่ปุ่น ก็คือการไม่มีรูปปั้นประติมากรรมใดๆ) ชาวญี่ปุ่นเพียงตบมือสองครั้ง (เพื่อปลุกให้เทพเจ้าตื่น และจากนั้นก็พนมมือเพื่อขอบคุณเทพเจ้า) และต่อพุทธแบบมหายานเซน ที่ชาวญี่ปุ่นใช้เวลาในการไหว้พระสั้นมากๆ

ศาสนาพุทธนั้นเข้าสู่ญี่ปุ่นในช่วงราวศตวรรษที่ ๗ หรือหากเทียบกับประวัติศาสตร์จีนก็ช่วงสมัยราชวงศ์ถัง หรือพันสามร้อยกว่าปีที่แล้ว จากนั้นก็มีศูนย์กลางอยู่ที่นารา คามาคูระ เป็นที่น่าสังเกตว่า พุทธศิลป์ของญี่ปุ่นนั้นส่วนใหญ่ ทำด้วยไม้ ไม่ได้หล่อจากปูน หรือจากโลหะ และจะพบว่าประติมากรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นรูปพระโพธิสัตว์กวนอิม หากจะมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง ก็จะเป็นช่วงก่อนการตรัสรู้ ช่วงบำเพ็ญทุขกรกิริยา แต่หายากมากที่จะเป็นประติมากรรม พระพุทธองค์หลังการตรัสรู้ นอกจากนี้ ก็จะมีเหล่าเทพ เช่นท้าวจตุโลกบาลที่คอยพิทักษ์ทิศทั้งสี่ เป็นต้น

คุณสมชายได้อธิบายว่า คนญี่ปุ่นนั้นแตกต่างจากคนไทยคือ เมื่อยามที่ได้เช่าพุทธศิลป์ไปนั้น จะมีไว้เพื่อเป็น “กำลังใจ” มิได้มีไว้เพื่อ “ขอพร” ดังนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า เวลาชาวญี่ปุ่นไหว้พระ ไม่ว่าจะเป็นที่วัดหรือพุทธศิลป์หรืองานประติมากรรมพุทธที่บ้าน จะใช้เวลาสั้นมากๆ เพราะพวกเขา “ขอบคุณ” ที่ทำให้ตนเองมีชีวิต และเป็นกำลังใจในการเดินหน้า มากกว่าที่จะ “ขอ” พรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาจจะแตกต่างจากคนไทยเรา ที่ใช้เวลาในการไหว้พระนานมากเพราะว่ามีรายการที่จะขอพร หรือขอให้ความหวังของตนเองเป็นจริง อยู่จำนวนมากมายมหาศาล ว่าง่ายๆ คือทัศนคติเริ่มต้นในการไหว้พระของสองชาตินั้นแตกต่างกัน

คุณสมชายเล่าว่า คนญี่ปุ่นมีหลักการที่เชื่อกันว่า คนเราเกิดมาเบื้องบนให้กุญแจมาคนละหนึ่งดอก และนั่นคือชีวิตที่ให้เราได้ดำเนิน ส่วนจะเดินอย่างไร ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวคนถือกุญแจดอกนั้น แล้วมิได้ขึ้นกับเบื้องบนแล้ว ถ้าจะว่าไปแล้วก็สอดคล้องกับหลักพุทธเถรวาทที่เรานับถือกันอยู่ล่ะครับกล่าวคือ เกิดมาพร้อมกับกรรมเก่า ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับทิฐิ ของตนเองว่าจะเลือกทางที่เป็นสัมมา หรือมิจฉา ไม่มีใครสามารถที่จะมีอิทธิพลเหนือเราได้ แต่บางคนอาจมีฐานกรรมดีเดิมมากกว่าคนอื่น จนสามารถเดินทางสัมมาได้ง่ายกว่ามิจฉา เป็นต้น

ได้ฟังแล้วก็เลยอยากจะให้ลองเทียบกันดูถึงทัศนคติที่มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตนเอง ของชาติเขาและชาติเรา ที่แน่นอนว่าทุกรูปแบบล้วนแต่มีข้อดีในตัวเอง หากว่าแตกต่างกัน แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะไม่เคยเอ่ยปากขอให้คนอื่นช่วย เว้นแต่ว่าจะเข้าตาจนแล้วจริงๆ เพราะเชื่อว่าตนเองต้องช่วยเหลือตนเองให้สุดความสามารถเสียก่อน (และในทางตรงกันข้ามก็ยินดีช่วยเหลือผู้อื่นทันทีที่ได้รับการร้องขอเช่นเดียวกันอย่างสุดความสามารถเพราะรู้ว่าฝ่ายร้องขอคงไม่ไหวแล้วจริงๆ)

พูดกันเรื่องพุทธศิลป์แล้ว อยากจะอรรถาธิบายสักเล็กน้อยครับว่า ภาพที่เห็นคือ รูปจำลองของชิ้นงานศิลปะแห่งชาติของญี่ปุ่นที่จำลองมาจากองค์จริงที่ประดิษฐานอยู่ในเมืองต่างๆ ของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดทุกรายละเอียด หรือแม้แต่ร่องรอยความชำรุดอันเป็นเพราะผ่านกาลเวลามานับหลายร้อยหรือแม้แต่พันปี

แต่นอกเหนือไปจากความงดงามในทางประติมากรรม (ที่ผสมผสานด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยและความประณีตบรรจงของช่างญี่ปุ่นจากโมริตะ) แล้ว สิ่งที่สำคัญคือ ท่าทีของผู้ครอบครองที่มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในรูปของพุทธศิลป์เหล่านี้มากกว่า ว่าเราจะทำให้พุทธศิลป์เหล่านี้นำเราให้อยู่บนมรรคมีองค์ ๘ อย่างเหนียวแน่นอย่างไรต่างหาก

ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน, รู้โลกไม่สู้รู้ตน
เดลินิวส์, พุธที่ 3 เมษายน 2556
http://www.dailynews.co.th/article/630/194706

...............................................................................................................................

............................................................................................................................


ทำไม "ทักษิณ" ไม่กลับมาสู้คดี "นพดล ปัทมะ" มีคำตอบ?



วันนี้(13 เมษายน 2556) นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊คส่วนตัว (Noppadon Pattama) ดังนี้

มีคนถามผมว่าถ้า "ทักษิณ" ไม่ผิดจริง ทำไมไม่มาสู้คดี ผมคิดว่าคำถามนี้น่าสนใจ และอยากจะชี้แจงครับ ผมยินดีตอบคำถามที่สงสัยอย่างบริสุทธิ์ใจ ดังนี้

1)หลังยึดอำนาจ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งประกอบด้วยคนที่เป็นปฎิปักษ์กับทักษิณมาสอบสวนในหลายคดี เพราะจะเอาผิดให้ได้ เพื่อใช้สร้างความชอบธรรมในการรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากประชาชน การรัฐประหารนั้นถือว่าขัดหลักนิติธรรม การตั้งปฎิปักษ์มาสอบสวนเป็นการขัดหลักนิติธรรมแบบดับเบิล 

2) ผมขอยกตัวอย่างคดีที่ดินรัชดาที่ตัดสินว่า พตท ทักษิณผิดนั้นก็เป็นผลการสอบสวนของคตส. ครับ ข้อเท็จจริง ท่านเซ็นให้ภรรยาไปประมูลซื้อที่ดินที่เป็นทรัพย์สินเน่าจากกองทุนฟื้นฟู ภายใต้แบงค์ชาติ ท่านไม่ได้ใช้อำนาจนายกฯช่วยภรรยาตนเอง เพราะเป็นการประมูลซื้อ เปิดซองกันจะๆเลยครับ ใครเสนอราคาสูงสุดก็ได้ไป 

3) นอกจากนั้นก่อนประมูลก็ถามแบงค์ชาติว่าภรรยานายกประมูลได้ไหม เขาตอบว่าประมูลได้ คุณหญิงจึงเข้าประมูล และใช้ชื่อจริง ถ้าท่านไม่บริสุทธิ์ใจ ท่านคงไม่ใช้ชื่อตนเองเข้าประมูลหรอกครับ

4) การตัดสินของศาลไม่ถูกต้องตามกฎหมายในหลายประเด็นครับ ประเด็นแรกมาตรา 100 กฎหมายปปช.ห้ามคู่สมรสของเจ้าหน้าที่รัฐทำสัญญากับหน่วยงานที่ตนกำกับ ควบคุม หรือสั่งการ เช่น เมียของรัฐมนตรีคมนาคมไม่สามารถขายรถเมล์ให้ ขสมก. แต่สามารถขายยาแก้ปวดให้กระทรวงสาธารณสุขได้ เพราะสามีของตนไม่ได้กำกับดูแลกระทรวงสาธารณสุข 

5) โดยหลักการตีความกฎหมายนั้น กฎหมายจำกัดสิทธิ์ต้องตีความอย่างแคบ และกฎหมายให้สิทธิ์ต้องตีความอย่างกว้างกฎหมายมาตรา 100 นี้เป็นกฎหมายจำกัดสิทธิ์ครับ ต้องตีความอย่างแคบ แต่ในคดีนี้ศาลตีความอย่างกว้าง โดยตีความว่านายกฯมีอำนาจกำกับดูแลกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งตามกฎหมายแล้วแบงค์ชาติเป็นอิสระจากรัฐบาลนายกฯสั่งการไม่ได้ เห็นมั้ยครับรัฐบาลเห็นว่าดอกเบี้ยสูง ก็สั่งผู้ว่าแบงค์ชาติให้ลดดอกเบี้ยไม่ได้ กองทุนฟื้นฟูยิ่งเป็นอิสระจากรัฐบาลไกลออกไปอีกครับ 

6) ต้องยอมรับครับว่าในบรรยากาศบ้านเมืองเช่นนี้ เราอยากเห็นความเป็นกลางและความเที่ยงธรรมของการตัดสินครับ เราไม่อยากเห็นใครเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อทำลายกันทางการเมือง เราต้องไม่มีการบังคับและใช้กฎหมายอย่างสองมาตรฐาน ผมว่าถ้าเราใช้กระบวนการยุติธรรมปกติ สอบสวนปกติ ตัดสินปกติ ใครก็อยากพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน



7) ท่านใดที่ไม่ได้ได้รับความอยุติธรรมอาจไม่เข้าใจว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน การยุบพรรคเพียงเพราะกรรมการบริหารคนเดียวทำผิดแล้วตัดสิทธิ์กรรมการที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบเหมาเข่ง การเปิดพจนานุกรรมเพื่อหาความหมายของคำว่าลูกจ้างทั้งๆที่ต้องเอาความหมายจากประมวลกฎหมายแพ่งหรือกฎหมายแรงงานเท่านั้น และการตัดสินให้ท่านสมัครพ้นจากความเป็นนายกฯเพราะการไปทอดไข่เจียวออกทีวี หรือแม้กระทั่งการไปเติมคำว่า "อาจ" ไปในรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือการใช้กฎหมายที่ประกาศโดยคณะรัฐประหารย้อนหลังตัดสิทธิ์กรรมการพรรคการเมืองพรรคไทยรักไทย ก็ขัดหลักนิติธรรม เพราะกฎหมายใช้ย้อนหลังเป็นคุณได้ แต่ใช้ย้อนหลังเป็นโทษไม่ได้ครับ 

ดังนั้น ที่ถามว่าทำไม พันตำรวจโท ทักษิณไม่กลับมาต่อสู้คดี ผมคงต้องถามกลับละครับว่า เหยื่อของการรัฐประหาร จะได้รับความยุติธรรมจากคดีที่เริ่มต้นสอบสวนโดยคณะรัฐประหาร และโดยคนที่เป็นปฎิปักษ์ทางการเมืองของเหยื่อ ซึ่งล้วนละเมิดหลักนิติธรรมหรือไม่ ผมว่าคำตอบหาได้ไม่ยากเลยครับ


..........................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น