วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556

04/04/2556


เส้นทางพรบ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน

ที่เป็นข้อถกเถียงคือ การออก พ.ร.บ.ที่ผ่านการอนุมัติครั้งเดียวแต่ผูกพันไปถึง 7 ปี การนำงบนี้ใส่ไว้ในงบประมาณทำให้มีการตรวจสอบได้ครั้งเดียว ทำไมไม่แยกทำรายปี

รัฐบาลชี้แจงว่ากลัวจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงการเมื่อรัฐบาลใหม่เข้ามาแล้วไม่ยอมสานต่อโครงการ ซึ่งไม่ใช่เหตุผลเพราะ พ.ร.บ. ยกเลิกได้ตลอดเวลา รัฐบาลใหม่เข้ามาใช้เสียงข้างมากก็ยกเลิกพ.ร.บ.ได้ ทำให้โครงการหยุดชะงักได้เช่นกั

แต่ปกติการออกกฎหมายก็จะออกเป็น พ.ร.บ. จะได้ช่วยกันดูได้หลายฝ่าย มีหลากหลายมุมมอง ช่วยดูกันหลายตา การออก พ.ร.บ.จึงเป็นการเริ่มที่ศูนย์ หนึ่ง สอง สาม สี่

ขณะที่การออกพ.ร.ก.มีแค่หนึ่งกับศูนย์ คือ ผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะ พ.ร.ก.ออกโดยฝ่ายบริหาร โดยที่สภาไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย รัฐบาลออกพ.ร.ก.ก็นำไปใช้ได้เลย ไม่ต้องแปรญัตติ ไม่ต้องถกเถียง

อีกทั้งการกู้เงินถึง 2 ล้านล้านบาท ออกเป็น พ.ร.ก.คงไม่มีใครกล้าทำ เพราะออกพ.ร.ก.ต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่การออก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน รัฐบาลเขียนชัดเจนว่า 7 ปี ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน

ประเด็นที่เราไม่ค่อยพูดถึงคือ โครงการใหญ่ๆ ไม่จำเป็นต้องลงทุนเอง ทั้งหมดแต่อาจเป็นลักษณะของการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลกับเอกชน หรือให้เอกชนลงทุน

ที่ต้องระวังคือ โครงการที่ทำจะกลายเป็นช้างเผือกที่นอนอยู่กลางแดด เหมือนกับการสร้างสเตเดี้ยมแข่งกีฬาโอลิมปิก จบการแข่งขันก็ไม่มีคนใช้งาน จึงอยากให้มองเรื่องของความคุ้มค่า

เช่น มีรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดินเท่าที่มีอยู่ตอนนี้คนแน่นเกือบทั้งวัน ถามว่าหากทำพร้อมกัน 10 สาย จะแน่นเฉพาะช่วงเย็นหรือเปล่า

และการใช้เงินของคนทั้งประเทศมาพัฒนาจุดเดียว ขณะที่เมืองอื่นๆ อาจจะอยากได้ระบบเขื่อน ระบบน้ำ หรือด้านสาธารณสุข แต่อย่างไรก็เห็นว่าควรออก เป็น พ.ร.บ.

ส่วนการยื่นตีความคงต้องรอให้สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.ออกมาก่อน เพราะต้องมีขั้นตอนการแปรญัตติ ต้องดูร่างที่ผ่านการโหวต 3 วาระออกมาแล้ว ถ้ารีบยื่นก็ดูผิดปกติ

อ.วรากรณ์ สามโกเศศ, นักเศรษฐศาสตร์
ข่าวสดออนไลน์, 4 เมษายน 2556

............................................................................................................................


ณ จุดๆนี้เห็นด้วยกับมาตราการเล่นสงกรานต์ของรัฐบาล เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้รถ และการจราจรเท่านั้น แต่ไอ้ที่ลามไปถึงเรื่องการแต่งตัว และเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง นี่เยอะไป ... เป็นรัฐบาลที่อ้างประชาธิปไตย สิ่งแรกที่ควรมีคือ ความไว้วางใจให้เกียรติประชาชน เรื่อง ที่ออกมารณรงค์เรื่องแต่งตัวย้อนแย้งในตัวเองสุดๆ เพราะมันคือการดูถูกประชาชนมาก คิดว่าประชาชนคิดเองไม่เป็น ผู้หญิงแต่งตัวโป๊โดนผู้ชายข่มขืน ผู้หญิงมีส่วนผิดอะไรเทือกนี้ เป็นแนวคิดแบบอำนาจนิยม อนุรักษ์นิยมตกขอบสุดๆ แนวคิดแบบนี้ไม่มีในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ... ยกตัวอย่าง ที่อเมริกาเมือง Seattle จะมี Summer Solstice Festival ที่คนจะออกมาเปลือยเปล่า paint ร่างกายตัวเองแล้วขี่จักรยานไปทั่วเมือง ที่ออสเตรเลียช่วง summer มีงาน Sydney Mardi Gras ก็แต่งตัวโป๊กันสุดๆ ซึ่งสองที่ที่กล่าวมา เค้าก็พาครอบครัวลูกเด็กเล็กแดงไปดู รัฐไม่มานั่งประสาทแดกก้าวก่ายบ้าบอถึงขนาดนี้ เพราะแนวคิดของรัฐเขา เน้นให้ประชาชนฝึกแยกแยะเองให้เป็นระหว่างอะไรคือ Festival อะไรไม่ใช่ ... ไม่ใช่ทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี คลั่งลัทธิอำนาจนิยม ไปกำหนดซะหมดว่าอะไรดีอะไรไม่ดี
http://www.youtube.com/watch?v=fq7lb0SnmxA

..................................................................................................................................





3 ปัจจัยที่คน(ไทย)โดนหลอกซ้ำๆจากปาฏิหาริย์จอมปลอม

1.‘ไม่เชื่ออย่าลบหลู่’

เมื่อใดก็ตามที่มีคนสงสัยใน ปาฏิหาริย์ มักจะถูกดักคอไว้ว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ชุดความคิดเช่นนี้ช่วยให้ มิจฉาชีพสบายใจมาหลายชั่วคน เพราะเพียงเขาอ้างอิง ศาสนา , ภูติผี หรือ คนที่น่าเคารพนับถือ มาอยู่ในการหลอกลวง เช่น เป็นยาที่หลวงพ่อมีส่วนร่วมให้พร , เป็นเหรียญที่ทางวัดเจิม , เป็นน้ำที่เจ้าแม่ตะเคียนเสกไว้ , เป็นหลักสูตรที่ด็อกเตอร์เซมเบ้ให้การรับรอง ฯลฯ

ก็จะทำให้ คนไทยไม่กล้าพิสูจน์ เพราะมีความเชื่อเดิมว่า ศาสนา , ภูตผี หรือ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ เป็นสิ่งที่ไม่ควรท้าทาย

ตรรกะที่ถูกมองข้ามมาตลอดคือ ‘การตรวจสอบหรือพิสูจน์ ไม่ใช่ การลบหลู่’

ยิ่งในยุคสมัยนี้ที่เราไม่ได้อยู่ในป่าในเขา เข้าถึงแหล่งความรู้มากมาย เรายิ่งควรร่วมกันส่งเสริมนโยบาย ‘ไม่เชื่อต้องพิสูจน์’

การพิสูจน์ไม่ใช่การลบหลู่ดูหมิ่น แต่คือ การกำจัดเหลือบไรที่หากินกับความสิ้นหวังและความกลัวของมนุษย์

2.‘ดีกว่าไม่มี’

การกินหรือใช้อะไรโดยไม่พิสูจน์เพราะเชื่อว่า ดีกว่าไม่มี เป็นวิธีคิดที่อันตราย โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ความเป็นความตาย ซึ่งต้องใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่ดันใช้ เหตุผลทางศรัทธามาอธิบาย

เช่น

ให้ทหารถือเครื่องดักจับระเบิดไปสำรวจระเบิด โดยไม่พิสูจน์ตามหลักฟิสิกส์หรือวิทยาศาสตร์ว่าอุปกรณ์นั้นใช้งานได้จริงหรือเปล่า แต่อาศัยความศรัทธาประมาณว่า ขอแค่เชื่อมั่น มีใช้ดีกว่าไม่มี ย่อมทำให้ ทหารที่เดินดุ่มๆฝ่าดงระเบิด เสี่ยงอันตรายมากขึ้น เพราะผู้ใช้ลดความระมัดระวังลง ฝากชีวิตไว้ที่เครื่องมือที่คิดว่าทำงานได้จริง

ให้คนไข้โรคมะเร็งกินยาสูตรหมักผสมเอง โดยไม่พิสูจน์ว่ายารักษาได้จริงหรือเปล่า แต่เชื่อว่า กินดีกว่าไม่กิน เพราะไม่กินก็ตายอยู่ดี อาจทำให้ คนไข้ตายเร็วกว่าเดิม

เพราะ ยาที่กินโดยไม่ได้มีการตรวจสอบ อาจมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ที่ช่วยให้รู้สึกดีกระปรี้กระเปร่าชั่วคราวแต่ทำลายไตให้พังเร็วขึ้น และ คนไข้แทนที่จะตายในหกเดือนจากมะเร็ง แต่ต้องสิ้นใจในสองอาทิตย์จากภาวะไตวาย

3.รายการโทรทัศน์

แทนที่รายการโทรทัศน์จะเป็นสื่อที่ทำให้คนดูรู้ทันโลกมากขึ้น ก็กลับกลายเป็นช่วยส่งเสริมความงมงายอย่างเป็นทางการ เมื่อ ทุกสิ่งที่เป็น ปาฏิหาริย์ ได้ออกหน้าจอ โดยไม่มีกระบวนการตรวจสอบจริงจัง

แม้จะมีคำออกตัวของพิธีกรทำนองว่า ‘โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม’ แต่การที่ พิธีกรช่วยอวยให้ บุคคลหรือสิ่งของ ที่มีความสามารถพิเศษเหนือธรรมชาติ เช่น มองเห็นอนาคต , ตรวจรักษาโรคโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือหรือความรู้ทางการแพทย์ , ค้นหา กรรม แล้วสามารถกำจัดทุกข์กำจัดโรคทั้งหลายทั้งปวง ฯลฯ โดยไม่คิดเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางนั้นๆ เช่น หมอ หรือ นักวิทยาศาสตร์ มาร่วมตรวจสอบ ก็เท่ากับ ให้การยอมรับอย่างกลายๆ

อานิสงส์จาก การได้ออกทีวี ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางการค้า และยกระดับ เรื่องเหลือเชื่อ ให้กลายเป็น ของดีที่พร้อมขายได้ในทันที


+++

... ... บางส่วนจาก 'ความสุขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้'

สุข - เศร้า - เหงา - คิด และ การใช้ชีวิตในโลกยุค 3G

รู้เท่าทันโลกยุคใหม่ หาคำตอบว่า social media (facebook/twitter) มีกลไกอย่างไร ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนใช้โดยที่เราไม่รู้ตัว , เรื่องของค่านิยมคนดี , กรณีไม่เชื่ออย่าลบหลู่ , คิดต่าง แล้วต่อยตี , ทำไมคนยุคนี้เปลี่ยนมือถือถี่กว่าแต่ก่อน , เซ็นเซอร์ เบลอนม ดีหรือไม่ ฯลฯ

พบได้ในงานหนังสือที่ == บูธ D2 โซนเพลนนารี่ฮอลล์ == เน้อ

......................................................................................................................





สวัสดีครับ พี่น้องคนไทยที่เคารพรักและคิดถึงครับ

ผมไม่ได้ใช้ Facebook เป็นช่องทางพูดคุยกับพี่น้องมานานเพราะไม่อยากให้รบกวนการเมืองของรัฐบาล แต่นับวัน การเดินทางที่มากขึ้น ได้พบเห็นอะไรมากขึ้น กลัวว่าความรู้เหล่านั้นจะหายไป ไม่ได้ share กับพี่น้องก็เลยปรึกษากับ Oak ว่าพ่อควรจะมีเกร็ดความรู้มาเล่าให้พี่น้องฟัง Oak ก็เลยบอกให้พี่น้องทราบผ่าน Facebook : Oak Panthongtae Shinawatra ผมจึงขอโอกาสใช้วันที่ 3/4/56 ให้เป็นวันดีที่ตัวเลขต่อเนื่อง กับเพื่อความก้าวหน้าของชีวิตของผู้สนับสนุนทุกท่าน ได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆวันนี้

ขอเริ่มเล่าเรื่องที่ผมได้รับเชิญจากประธานาธิบดี H. E. Mr. Emomalii Rahmon แห่งสาธารณรัฐทาจิกิสถาน ซึ่งเป็นประเทศในสหภาพโซเวียตสมัยก่อน ปีนี้เขาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศในกลุ่ม ACD ( Asia Cooperation Dialogue ) ได้เชิญผมในฐานะเป็นผู้ก่อตั้ง ACD ขึ้นมาครั้งผมเป็นนายกรัฐมนตรี ให้ผมมาพูดถึงความสำคัญของ ACD ว่าเราควรจะมีวิสัยทัศน์ต่อไปอย่างไร ให้รัฐมนตรีต่างประเทศของ 32 ประเทศสมาชิกฟัง ซึ่งผมจะแนบสุนทรพจน์ของผมไว้ให้ท่านอ่านในอีกโพสต์ครับ ผมคงไม่เล่าเรื่อง ACD ในตอนนี้นะครับ เกรงว่าจะยาวไป ประเทศทาจิกิสถานนี้ ผมมาเยือนเป็นทางการเมื่อ 9 ก.ย. 49 หลังจากนั้นก็เดินทางไปประชุม ASEM (Asia-Europe) ที่กรุง Helsinki, Finland, ประชุม NAM Summit (ประเทศผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด) ที่ Cuba และก็เดินทางต่อไปประชุม General Assembly ของ UN ที่ New York, USA จนเกิดรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย.49

ทาจิกิสถานวันนี้ยังดูยากจนมาก แต่ก็มีร่องรอยของตึกที่สร้างไว้สมัย Soviet Union อยู่พอสมควร แต่วันนี้เขาพัฒนาไปมาก มีทำเนียบฯใหม่ ที่ใหญ่และสวยงามมาก มีตึกรามขึ้นมาก เพราะเดิมทำแต่เกษตร วันนี้เขามีเหมืองเงินที่ใหญ่ระดับโลก มีเหมืองทองและแร่อื่นๆ ที่สำคัญกำลังพบแหล่งแก๊สที่เป็นโครงสร้างเดียวกับที่พบในเหมืองของอัฟกานิสถาน ความที่ประเทศเขาไม่ใหญ่ รายได้จึงนำมาพัฒนาประเทศได้เยอะ ความเป็นธรรมชาติยังมีอยู่มาก เพราะล้อมรอบด้วยภูเขา มีหิมะในหน้าหนาวและละลายเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญเพื่อการเกษตรและไฟฟ้าตอนหิมะละลาย

ผักผลไม้ที่นี่ค่อนข้างสวยและเป็น organic มาก ผมชอบมะเขือเทศที่นี่มาก ลูกใหญ่หวาน กรอบ ประธานาธิบดีจูงมือผมเดินชมสิ่งที่เขาสร้างขึ้นใหม่ๆ ด้วยความภูมิใจ ซึ่งผมก็ภูมิใจแทนเขาที่สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ผมก็เลยเชิญท่านมาเยือนไทยเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง และมาร่วมงาน Water Summit ที่เชียงใหม่ด้วย

วันนี้ขออนุญาตเล่าแค่นี้ครับ เพราะเดี๋ยวจะไปพบกับนักการเงินแถบนี้ เขาอยากพาเศรษฐีแถบนี้ไปลงทุน แล้วก็มาเล่าความคืบหน้าของการรื้อฟื้นความสำพันธ์กับซาอุดิอาระเบียให้ฟัง เพราะนักธุรกิจซาอุฯเริ่มคิดหา potential ในเมืองไทยแล้ว เพราะได้รับสัญญาณจากผู้ใหญ่ในประเทศว่า การรื้อฟื้นความสัมพันธ์จวนจะเป็นจริงแล้วครับ

ถ้าอ่านแล้วก็กรุณา share ช่วยให้ผมได้มีช่องทางพูดคุยกับคนไทยให้มากที่สุด อย่างสร้างสรรค์ แบบไม่มีการเมืองนะครับ

คิดถึงครับ
ทักษิณ ชินวัตร

...................................................................................................................





ปาฐกถาที่ประชุม ACD ปลุกเอเชียร่วมสร้างเส้นทางสายไหมยุคใหม่

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับเชิญจากนายเอมอมาลี ราห์มอน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐทาจิกิสถาน เป็นแขกเกียรติยศปาฐกถาในพิธีเปิดการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมืออาเซีย (ACD) ครั้งที่ 11 ณ กรุงดูชานเบ สาธารณรัฐทาจิกิสถาน เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2556

รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญมาร่วมการประชุม ACD ครั้งที่ 11 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรก ณ สาธารณรัฐทาจิกิสถาน ประเทศซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยแหล่งอารยธรรมและศิลปวัฒนธรรมอันเลอค่า และขอขอบคุณรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐทาจิกิสถานที่ให้เกียรติเชิญมาปาฐกถาในวันนี้ ซึ่งในโอกาสที่ได้กลับมาเมืองดูชานเบ ในครั้งนี้ทำให้อดหวนคิดถึงอดีตไม่ได้ โดยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2549 เป็นวันที่ผมเดินทางมาเยี่ยมเยียน สาธารณรัฐทาจิกิสถานอย่างเป็นทางการประเทศสุดท้าย ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งสิบวันหลังจากนั้นก็เกิดการรัฐประหารขึ้นในประเทศไทยขณะที่ผมยังปฏิบัติราชการในต่างประเทศ

ACD ถือกำเนิดที่ประเทศไทย ในเดือนมิถุนายน 2545 ซึ่งในครั้งนั้นมีประเทศผู้ร่วมก่อตั้ง ACD 18 ประเทศมาร่วมประชุมด้วยกัน ทำให้บรรยากาศอบอุ่นมากสำหรับความตั้งใจในการที่จะรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากมองย้อนกลับไปเกือบ 10 ปีก่อน ที่เป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันในภูมิภาคแห่งนี้ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ในเวลานั้นประเทศต่างๆ ในทวีปอื่นเริ่มมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มแล้ว แต่ประเทศในทวีปเอเชียยังไม่ได้คิดถึงการรวมตัว โชคดีที่ว่ากลุ่มประเทศอาเซียนมีการรวมศูนย์กันอยู่แล้ว ประกอบกับการยอมรับและได้รับการสนับสนุนจากมิตรประเทศในแถบเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกกลาง ทำให้เอเชียของเราสามารถหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้จากทุกมุมทวีป จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกจรดตะวันตก และนั่น จึงก่อเกิด ACD ขึ้นมา

นับตั้งแต่วันที่มีความหมายนั้นเป็นต้นมา ผมยินดีที่จะบอกว่าองค์กรของพวกเราเติบโตขึ้นด้วยความมั่นคงและทรงพลัง นับตั้งแต่ปี 2545 มีประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยในเวลานี้มีประเทศสมาชิกแล้ว 32 ประเทศ ซึ่งได้แก่ประเทศสมาชิกจากโซนเอเชียตะวันออกกลางและเอเชียใต้ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันเป็นกลุ่มที่มีขนาดครอบคลุมไปทั้งทวีป

ซึ่งการรวมตัวเป็นกลุ่มประเทศ อย่าง ACD มีความจำเป็น สำหรับภูมิภาคของเรา และผมเชื่อว่ามีความสำคัญไม่มากก็น้อยจึงขออนุญาตนำมาพูดซ้ำอีกครั้งในวันนี้

ทวีปเอเชีย มีประชากรมากกว่าสี่พันล้านคน นับเป็น 60% จากจำนวนประชากรทั้งโลก มีตลาดการค้าขายที่ใหญ่ มหึมาและเป็นแหล่งรวมทรัพยากรมนุษย์อันมีค่า ที่นี่คือที่ที่มีดินแดนกว้างใหญ่ ขนาดราว 30% ของเปลือกโลก และที่นี่มีความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติปริมาณมหาศาล และยังเป็นดินแดนที่เศรษฐกิจเติบโตสูงที่สุดในโลก เป็นภูมิภาคหลักที่ผลักดันความเจริญของโลกในตลอดหลายสิบปีมานี้ ปริมาณการส่งสินค้าของออกของภูมิภาคนี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายสิบปีมานี้ และปัจจุบันมูลค่าการค้าขายของเอเชียมีปริมาณ30% ของการค้าขายทั้งโลก

ในระยะเริ่มต้นของการก่อตั้ง ACD เอเชียมีทุนสำรอง สะสมรวมกันประมาณหนึ่งล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณครึ่งหนึ่งของทุนแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ แต่วันนี้เปอร์เซ็นต์ของจำนวนดังกล่าวสูงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ

ไม่เพียงแต่ขนาดของเศรษฐกิจในเอเชียที่มีการขยายตัวอย่างมาก แต่การขยายตัวยังรวมไปถึงการขยายตัวในมิติอื่นๆ เช่น ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม เอเชียเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาสำคัญ รวมไปถึงมีสิ่งมหัศจรรย์ของโลกโบราณ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่หลายสิ่ง และเอเชียก็ยังเป็นหนึ่งในดินแดนที่เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมโบราณนับย้อนหลังได้หลายพันปี

หากมองข้ามฉากหลังของความมั่งคั่ง เราก็ต้องยอมรับว่าในอีกหลายๆ พื้นที่ในเอเชีย ประชากรของเรายังคงมีฐานะยากจนอยู่ และมันรบกวนความรู้สึกของผมที่ว่าจำนวนประชากรที่ยากจนนั้นมีอยู่จำนวนมากและไม่ได้รับการเอาใจใส่ แม้ว่าเรามีการแลกเปลี่ยนอารยธรรมระหว่างกันและกันมาตั้งแต่โบราณกาล แต่เอเชียก็ยังคงแข่งขันระหว่างกัน และหลายครั้งที่พาให้ประเทศพัวพันกับความขัดแย้งระหว่างกัน ซึ่งน่าเสียดายเพราะเราน่าจะทำให้เกิดความพยายามที่จะร่วมมือกัน และนำพาความเข้มแข็งมาสู่ภูมิภาคนี้

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผมเล็งเห็นว่าการรวมตัวเป็นกลุ่มลักษณะนี้จะช่วยทำให้เกิดการเจรจาต่อรองและร่วมมือระหว่างกัน เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงความขัดแย้ง ความแตกต่างไปสู่ผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างยอมรับได้ ซึ่งจะเป็นหนทางสร้างความเข้มแข็งในหมู่ประเทศสมาชิกและขยายฐานพันธมิตรต่อไปยังภูมิภาคอื่น

ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ผมมีความภาคภูมิใจที่ได้เห็นการเติบโตก้าวหน้าและการเพิ่มจำนวนประเทศสมาชิกใน ACD ตลอดระยะเวลาที่ผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย อย่างไรก็ตามหลังจากที่พ้นตำแหน่งในปี 2549 ผมพบว่ามีความกระตือรือร้นลดลงและมีประเทศสมาชิกมาเพิ่มใหม่เพียง 2 ประเทศ ดังนั้นในวันนี้จึงขอให้พวกท่านทั้งหลายหันมาฟื้นฟู ACDให้เป็นพลวัตใหม่ให้กับทุกชีวิต

ในช่วงเวลานี้ จะเห็นว่าประเทศหลายๆ ประเทศในภูมิภาคอื่นของโลกประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเงินอย่างหนัก แต่เอเชียของเรายังคงมีความแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพดีอยู่มาก ดังที่เห็นว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นผลมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจจากเอเชีย แต่ถึงแม้ว่าการขยายตัวในภูมิภาคนี้ของเรายังเป็นไปด้วยดีอยู่ ก็ยิ่งควรที่จะรวมกลุ่มกัน เพราะช่วยกันเสริมสร้างความแข็งแกร่งระหว่างกัน จะได้เป็นการเพิ่มโอกาสในการแข่งขันต่อภูมิภาคอื่นด้วย

พวกเราส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ผลิตสินค้าหลักให้กับผู้บริโภคในภูมิภาคอื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรายังอ่อนด้อยเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าที่ส่งออก ดังนั้นแทนที่เราจะต้องมาแข่งขันตัดราคากันเอง การรวมตัวเป็น ACD จะช่วยทำให้ลดการแข่งขันและลดความขัดแย้งในหมู่ประเทศสมาชิกได้

เอกอัครราชทูต ผู้มีเกียรติ สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษทุกท่าน สองพันปีก่อน บรรพบุรุษของพวกเราได้ทำการค้าขายตามเส้นทางโบราณอันเลื่องชื่อ เส้นทางสายไหม บนถนนแห่งประวัติศาสตร์ที่มีความยาวกว่า 8,000 กิโลเมตรสายนี้ เริ่มต้นจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนทอดผ่านบางส่วนของสาธารณรัฐทาจิกิสถาน ไปสู่ตะวันออกกลาง เมดิเตอร์เรเนียน ยุโรป และแอฟริกา เส้นทางการค้านานาประเทศสายนี้เป็นถนนสำคัญของการแลกเปลี่ยนสินค้า ความรู้และเทคโนโลยี รวมไปถึงศาสนา ปรัชญาและศิลปวัฒนธรรม

การที่เรามีโอกาสพูดคุยเชื่อมโยงกันในภูมิภาคในวันนี้ เปรียบได้กับว่าพวกเรากำลังสร้างเส้นทางสายไหมยุคใหม่ โดยการเชื่อมโยงประเทศสมาชิก ACD แล้วโยงต่อไปยังภูมิภาคอื่น ผ่านระบบถนน ระบบทางรถไฟ การเดินเรือและการเดินทางทางอากาศ ซึ่งถือเป็นฮาร์ดแวร์หลัก อย่างไรก็ตาม ก็ต้องไม่ละเลย ซอฟต์แวร์ ซึ่งมีความสำคัญระดับเดียวกัน คำว่าซอฟต์แวร์ก็หมายถึง วัฒนธรรม ศาสนา อารยธรรมที่สืบเนื่องมาอย่างยาวนานของหมู่ประเทศสมาชิก ซึ่งทั้งสององค์ประกอบนี้จะช่วยสร้างให้เราได้เส้นไหมที่สุดพิเศษ ที่มีความยืดหยุ่นสูง สง่าและประเมินค่าได้ยาก

และขอถือโอกาสนี้เรียนเชิญทุกท่านร่วมเดินทางบนเส้นทางสายไหมยุคใหม่ ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งบนถนนแห่งความเกียรติยศ ยิ่งใหญ่ และเจริญรุ่งโรจน์ตลอดไป

...................................................................................................................





" ถูกนินทาว่าร้าย คิดอย่างไรจึงจะหายทุกข์ "

1. เป็นธรรมดาของโลก ให้คิดว่านี่เป็นธรรมดาของโลก ไม่เคยมีใครสักคนบนโลกนี้ที่รอดพ้นจากคำนินทา เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา ขนาดท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐบริสุทธิ์สูงสุด แต่ท่านก็ยังไม่พ้นถูกคนพาลกล่าวโจมตีว่าร้ายจนได้ แล้วนับประสาอะไรกับเราที่เป็นแค่คนธรรมดาสามัญที่ยังมีทั้งดีและชั่วจะรอดพ้นปากคนนินทาไปได้ คิดอย่างนี้แล้วจะได้สบายใจว่า การถูกนินทานี่เป็นแค่เรื่องธรรมดา เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลก (โลกธรรม) และ ยังคงมีอยู่ต่อไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย

2. ให้มีจิตใจมั่นคงดุจภูผา ถ้าเรามีความบริสุทธิ์ใจ ทำการงานด้วยความตั้งใจปรารถนาดี แต่แล้วก็ยังไม่พ้นถูกคนนินทา กล่าวร้ายว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ขอให้เรามีความมั่นใจในความดีของเรา อุปมาภูผาหินแท่งตันไม่หวั่นไหวในลมพายุฉันใด บัณฑิตผู้มีจิตใจหนักแน่นในความดี ย่อมไม่หวั่นไหวในคำสรรเสริญ และ คำนินทาแม้ฉันนั้น

3. ให้มีจิตเมตตาสงสารผู้นินทา ให้คิดด้วยความเมตตากรุณาว่า คนที่นินทาเรานั้น ย่อมกระทำไปด้วยความอิจฉาริษยา เขาจะต้องเผาลนจิตใจของเขาให้ร้อนรุ่มเสียก่อน จึงจะสามารถพูดนินทาว่าร้ายคนอื่นออกมาได้ ให้คิดเมตตาสงสาร แทนที่จะไปโกรธเคืองเขา
อนึ่ง คนที่ชอบกล่าววาจาส่อเสียด หรือ ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น โดยปรกติเขาย่อมเป็นผู้หามิตรสหายที่ใกล้ชิดไม่ค่อยได้ เพราะไม่เคยมีใครไว้วางใจคนที่ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น ให้คิดเห็นใจเขาในฐานะที่เขาต้องเป็นผู้อยู่ในโลกนี้ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเขาย่อมหาเพื่อนแท้ไม่ได้

4. คิดหาประโยชน์จากคำนินทา คนที่คิดกล่าวร้ายเรา บางทีเขาต้องไปนั่งคิดนอนคิดหาจุดอ่อนในตัวของเรา เพื่อเอามาพูดโจมตี บางทีจุดอ่อนเหล่านี้ตัวเราเองก็มีอยู่จริงแต่ทว่าเราไม่รู้ตัวมาก่อน นี้เป็นประโยชน์มาก เพราะเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาปรับปรุงตนเองได้ ดังนั้นเราจึงควรที่จะขอบคุณคนนินทาเรา เพราะเขาอุตส่าห์ไปนั่งคิดนอนคิดช่วยค้นหาข้อมูลมาช่วยให้เราปรับปรุงตนเอง

5. คิดวิเคราะห์ให้เห็นปัญหาสังคม สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง คือเน้นเรื่องการใช้อำนาจครอบงำกันและกัน จึงมีการปลูกฝังสอนให้คิดแข่งดีแข่งเด่น คิดเหนือผู้อื่น สอนให้อยากเป็นใหญ่เป็นโต (มานะ) มาตั้งแต่โบราณ (คาดว่าไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปี คือตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น) ทำให้คนไทยเรา เวลาเห็นใครทำดี ก็มักจะเกิดความริษยาโดยไม่รู้ตัว คือทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นดีกว่าตน สังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่งเช่นนี้ ผู้คนจึงมักจะชอบนินทาว่าร้ายกันและกันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคิดวิเคราะห์ได้เช่นนี้แล้วก็สบายใจ ไม่ต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมาก ให้ถือว่าการที่เราถูกนินทานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางสังคมก็แล้วกัน มันเป็นเช่นนั้นเอง
ในอนาคตไม่แน่ หากมีการศึกษาเรื่องพุทธธรรมกับสังคมไทยกันอย่างจริงจัง บางทีเราอาจจะสามารถเปลี่ยงแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมจาก "แนวดิ่ง" ให้เป็น "แนวราบ" คือ คนไทยมีความเสมอภาคกัน ไม่ถืออำนาจเป็นใหญ่ แต่ถือความถูกต้องดีงามเป็นใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นสังคมที่เต็มไปด้วยการนินทาว่าร้ายก็จะลดน้อยลงไปเองตามธรรมชาติ แล้วภาษิตยอดฮิตที่ว่า "สังคมเสื่อมถอยเพราะคนดีท้อแท้" หรือ "ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" จะได้เลิกใช้กันเสียที

.........................................................................................................................


ตอนลุกขึ้นมาเขียน ทำไมถึงไม่รักในหลวง เพื่อนบางคนที่รักถามว่า

"มันคุ้มกันหรือกับการลุกขึ้นมาเขียนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์เมื่อ ต้องเผชิญกับความกดดันต่างๆ ทำไมมุ่งหน้าทำงานที่สำคัญของคุณต่อไป โดยไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ถึงบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อการเมืองไทย"

และบางคนก็บอกว่า "รู้ว่าเธอไม่ได้รักทักษิณ แต่ทำไปแบบนี้ ทักษิณกลับมาแน่"

แน่นอน กูรู้ว่าทักษิณกลับมาแน่ และรู้ว่าคงจะต้องสู้กันหนักต่อไปไม่หยุด กัับรัฐบาลในเครือข่ายทักษิณ ในเรื่องเสรีภาพและการรวมตัวต่อรอง

แต่กูก็ไม่กลัวทักษิณเท่ากับกลัวทหารและอำมาตย์ร่วมมือกันทำลายระบอบประชาธิปไตยกันครั้งแล้วครั้งเล่า

กูว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ประเทศไทยเสียหายเพราะอำมาตย์-ทหาร-นายทุนฉ้อฉลกลุ่มต่างๆ มากกว่าเพราะทักษิณและเครือญาติหลายเท่า

แต่กระนั้น คนไทยก็จำเป็นต้องตรวจสอบทักษิณและเครือญาติ เช่นเดียวกับต้องตรวจสอบนายทุนทุกกลุ่ม และตรวจสอบสายสัมพันธ์ทหาร-วัง-ทุน-ชนชั้นสูง ด้วยเช่นกัน


.........................................................................................................................


ผมไปพบร้านทำลูกอมเล็กๆ ร้านหนึ่งในประเทศสเปน เป็นร้านที่ตั้งในปี 2004 มีปรัชญาในการทำลูกอมที่เป็นแกะดำขนานแท้ ภายในเวลาเก้าปี ตอนนี้ร้านนี้ขยายตัวไปทั่วโลก มีทั้งหมด 19 ร้าน วิธีทำธุรกิจของเขามีหลักการเพียงข้อเดียวคือขับเคลื่อนสู่ความเป็นเลิศ ทำงานแบบเต็มร้อยคือน้อยสุด

อ่านข่าวนี้และคุณจะเข้าใจว่ามีเงินน้อยนิดก็ก้าวสู่เวทีโลกได้ ขอแนะนำให้ดู Video clip วิธีการทำลูกอมของพวกเขา ผมรับประกันว่าคืนนี้คุณนอนหลับฝันดีแน่นอนครับ

http://www.blacksheep.co.th/news/business/great/


..........................................................................................................................



...............................................................................................................................




มันคือศิลปะ~


.........................................................................................................................




"5 coffees, 2 for us, 3 pending"
เนเปิ้ล อิตาลี, บัลแกเรีย และบางเมืองในยุโรป ได้เกิดวัฒนธรรม 'Pending Coffee' หรือการสั่งกาแฟเผื่อผู้ยากไร้ โดยจ่ายค่ากาแฟเกินจำนวน ทางร้านจะลงรายการไว้ และในวันอันนานเหน็บ คนยากจนหรือคนไร้บ้านจะเข้ามาถามว่า "มี pending coffee ไหม"

เป็นวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงการเชื่อในคุณความดีของมนุษย์ ทั้งการเผื่อแผ่ การยอมรับ ความซื่อสัตย์

เคยคิดมานานแล้วว่าเวลาทานข้าวข้างทางถ้าบอกว่าเอาเงินเก็บไว้เผื่อให้ร้านทำข้าวให้ใครที่ยากจนมาทานจะเป็นไปได้หรือไม่ (ถ้าไม่ถูกหาว่าเพี้ยนไปซะก่อน)

เราทุกคนสามารถทำสิ่งมีค่าให้เกิดขึ้นกับผู้อื่นได้เสม

#The Unsung Hero Series by Fire


...........................................................................................................................




มีคนถามเข้ามาเยอะมากเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่อง Saint Oniisan หรือ Saint Young Men

เนื้อเรื่องเป็นเหตุการณ์สมมุติว่าถ้าหากจีซัส(พระเยซู)และบุดด้า(พระพุทธเจ้า) ลงมาพักร้อนบนโลกมนุษย์ยุคปัจจุบันจะเกิดอะไรขึ้น

ตอนนี้มีข่าวดีฮะ คือมีคนอัพซับไทยขึ้นบนเว็บดูวิดีโอออนไลน์แล้ว (จริงๆคือหลายวันแล้วแต่ผมเพิ่งเห็น)
ใครที่รอซับไทยอยู่เชิญเสพได้เลยฮะ

Link: http://alive.in.th/watch_video.php?v=R9OHAS9RUG11

//002



ผมชอบนะเรื่องนี้ ^_^


Kraren Current - -!! มั่นใจ

Bordin Tik เคยอ่านเล่มแรก ฮาดีๆ 
ส่วนเรื่องอื่นอย่าไปคิดอะไรมาก คิดเยอะปวดหัว


จักรพงษ์ จำรูญ อยากกด share แต่คิดว่าอาจโดนด่ามากกว่าคนกด like

Supapong Wanitpongpan อย่าไปยึดติดครับกอล์ฟ 

........................................................................................................................


คัมภีร์ทุกคัมภีร์ ประวัติศาสตร์ทุกช่วงในโลก ล้วนผ่านการต่อเติมเสริมแต่งในระดับหนึ่งทั้งสิ้น ดังนั้น การอ่านจึงต้องคิด-วิเคราะห์เสมอ จะช่วยกรองส่วนที่ไม่ใช่สาระจริงออกไป

ยกตัวอย่างคัมภีร์พุทธ มีท่อนที่ว่าด้วยอภินิหารต่างๆ เราก็ต้องอ่านให้ออกว่ามันมีที่มาอย่างไร หมายความว่าอะไร เพราะหลายท่อนแย้งกับคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงไม่ให้เชื่อเรื่องอภินิหาร คัมภีร์คริสต์ก็มีเรื่องที่ขัดกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ การอ่านจึงต้องคิด ไม่ใช่เชื่อง่ายๆ โดยไม่ตั้งคำถาม

คุยกับวินทร์, 2 กันยายน 2554
www.winbookclub.com


...........................................................................................................................




อ้าว ซะงั้น !


.......................................................................................................................


Kung Witoon Think different way it will solve the problem.

..................................................................................................................


A male engineering student was crossing a road one
day when a frog called out to him and said, “If you kiss
me, I’ll turn into a beautiful princess.” He bent over,
picked up the frog, and put it in his pocket. The frog
spoke up again and said, “If you kiss me and turn me
back into a beautiful princess, I will stay with you for
one week.” The engineering student took the frog out
of his pocket, smiled at it; and returned it to his pocket.
The frog then cried out, “If you kiss me and turn me
back into a princess, I’ll stay with you and do ANYTHING you want.” Again the boy took the frog out,
smiled at it, and put it back into his pocket. Finally, the
frog asked, “What is the matter? I’ve told you I’m a
beautiful princess, that I’ll stay with you for a week and
do anything you want. Why won’t you kiss me?” The
boy said, “Look I’m an engineer. I don’t have time for a
girlfriend, but a talking frog is cool.”


......................................................................................................................


..........................................................................................................................

หลายๆครั้งที่ผมได้เห็นการถกกัน โดยเฉพาะที่เี่กี่ยวโยงกับพุทธ
ก็จะมีหลายๆคน นำเสนอกาลามสูตร (เกสปุตตสูตร) 
ซึ่งผมก็ยินดีอย่างยิ่งที่มีคนนำ concept นี้มาใช้
เพราะทำให้ใช้สติไตร่ตรองก่อน ไม่หูเบา ไม่หลงเชื่อง่ายๆ 

ผมขอพูดถึงที่มาของพระสูตรนี้สักหน่อยนะครับ 
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ถึงนิคมของพวกกาลามะ ชื่อว่าเกสปุตตะ 

ครั้งนั้น ชนกาลามโคตร ชาวเกสปุตตนิคมได้เข้าไปเฝ้าผู้มีพระภาคเจ้าจนถึงที่ประทับ

เมื่อต่างก็นั่งลงเรียบร้อยแล้ว จึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า มีสมณพราหมณ์ 2 พวก มาที่เกสปุตตนิคม แล้วทั้ง 2 พวก ก็พูดประกาศแต่เฉพาะวาทะของตัวเท่านั้น ส่วนวาทะของผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ ชนกาลาม จึงมีความเคลือบแคลงสงสัยในสมณพราหมณ์เหล่านั้น ว่า ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็ควรแล้วที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลงสงสัย มาเถิดท่านทั้งหลาย 
ท่านทั้งหลาย
1. มา อนุสฺสวเนน - อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
2. มา ปรมฺปราย - อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กัน
3. มา อิติกิราย - อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
4. มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
5. มา ตกฺกเหตุ - อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
6. มา นยเหตุ - อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
7. มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
8. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
9. มา ภพฺพรูปตา - อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
10. มา สมโณ โน ครูติ - อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ส่วนใหญ่จะยกขึ้นมาแต่ส่วน 10 ข้อนี้
และอ้างว่า จะเชื่อก็ต่อเมื่อได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว 

ผลก็คือ เกิดความสับสน! 
กลายเป็นว่า ต้องได้พิสูจน์ด้วยตัวเองทุกอย่างถึงจะเชื่อได้ 
หรือบางคนแย้งว่า งั้นถ้าบอกว่ายาบ้าไม่ดี ก็เชื่อไม่ได้ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองสินะ!!!
นอกจากนั้นบางคนยังบอกว่า ก็กาลามสูตรบอกว่าอย่าเชื่อ แล้วทำไมยังเชื่อกาลามสูตร

ทั้งนี้เนื่องจากใจความสำคัญใหญ่อีกส่วนหนึ่งหายไป

คือ

"เมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้ บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย"
และ
"เมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้ บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ "

ในพระสูตรยังมีการยกตัวอย่าง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง 
โดยตรัสถามประเด็นหลักๆคือ
1. ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล?
2. มีโทษหรือไม่มีโทษ? 
3. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ? 
4. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขหรือหาไม่ ในข้อนี้ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร?

ด้วยความชัดเจนดังนี้ ชาวกาลามะจึงถวายตัวเป็นพุทธบริษัทนับแต่นั้น

Kraren Current โอ้ว... กระจ่างแจ้งแล้วสำหรับคนที่อ้างถึงกาลามสูตรเพื่อไปใช้บิดเบียนข้อเท็จจริงให้เกิดความสับสน ขอแชร์นะครับท่าน

Supapong Wanitpongpan ด้วยความยินดีครับ 

...................................................................................................................


สิ่งที่เราต้องปลูกฝังเด็กคือ การอ่านที่หลากหลาย และอ่านระหว่างบรรทัดให้เป็น 'การอ่านระหว่างบรรทัด' แปลมาจากภาษาอังกฤษ read between the lines ทำให้หลายคนคิดว่ามันเป็นแนวคิดของฝรั่ง แต่ความจริงแล้วความหมายของมันเป็นสากล นั่นคือการอ่านอย่างระวัง อ่านอย่างวิเคราะห์ หากพูดแบบไทยๆ ก็คือ อ่านให้แตก หรืออ่านเอาเรื่อง

วินทร์ เลียววาริณ


.......................................................................................................................



......................................................................................................................

เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกตร. เปิดเผยกรณีในสังคมออนไลน์ แชร์เนื้อหาระบุข้อห้ามเล่นน้ำสงกรานต์ 11 ข้อ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่มีข้อห้ามในการเล่นสงกรานต์ตามที่ปรากฏ โดยเนื้อหาดังกล่าวทางตร.ไม่ได้จัดทำ! -_- 

สามารถตรวจสอบข้อมูลได้จากแหล่งข่าวต่างๆ...

ว่าแต่...ข้อห้ามที่กระจายอยู่ มันมาจากไหนกันล่ะ???!!


..........................................................................................................................



ไว้เตือนสติตัวเอง ^_^


........................................................................................................................


...............................................................................................................................


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น