วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

11/04/2556

แฉความจริง ทวงคืนปตท.
"ส่งออกน้ำมันในประเทศไปขายถูกๆ นำเข้าน้ำมันนอกมาขายแพงๆให้คนไทย"

คนที่พูดคำพูดแบบเค้าไม่คิดบ้างเหรอครับว่าคำพูดนั้นมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

1.ทำไมต้องส่งออกไปขายถูกๆ ตลาดโลกกำลังซื้อมากกว่าในประเทศเยอะ ทำไมไม่ขายแพงๆ
2. ถ้า่ส่งออกไปขายถูกได้จริงแสดงว่าต้นทุนการผลิตต้องต่ำสิ ก็ไหนว่า "ปตท.เอาเปรียบคนไทย" งั้นทำไมไม่เอาน้ำมันที่ต้นทุนต่ำมาขายในประเทศแพงๆเพื่อฟันกำไรอย่างที่ด่ากันล่ะครับ
3.ถ้าอยากขายคนไทยแพงเพื่อเอากำไร จะนำเข้ามาขายทำไม นำเข้ามาก็ต้องอิงราคาตลาดโลก แถมบวกค่าขนส่งอีก เป็นต้นทุนของผู้ขายทั้งนั้น ต้นทุนมาก กำไรก็ต้องน้อยสิ ถ้าเค้าทำไปเพื่อขูดรีดกำไร แล้วเค้าจะทำไปทำไมครับ?

ที่แอดมิน "ขำ" มากก็คือถกเถียงกันเรื่องน้ำมันทีไรแอดมินต้องเจอคำพูดแบบนี้หลุดมาทุกทีครับ แล้วมาเป็น pattern ซ้ำๆ จากคนที่ไม่ซ้ำหน้าเสียด้วย แสดงให้เห็นชัดเลยครับว่าคนพวกนี้ไม่ได้ใช้ "ความเข้าใจ" เกี่ยวกับน้ำมันเลย ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้รู้เรื่องโครงสร้างราคา-ภาษี-กองทุนน้ำมัน-ราคาขายปลีก-ราคาตลาดโลก-ปริมาณน้ำเข้า/ส่งออก เลยแต่อย่างใด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ตนพูดออกมามันขัดแย้งกันเองในเชิงตรรกะ

ประหนึ่งว่า "ท่องจำ" มานั่นแหละครับ เจ้าลัทธิทวงคืนโปรแกรมมาแบบนั้นก็จำๆมาพ่นต่อ ไม่เคยตรวจสอบแม้แต่ความถูกต้องในทางตรรกะของคำพูดตัวเอง พูดถึงเรื่องการท่องจำแบบนี้แล้วแอดมินก็นึกตัวเจ้าตัวข้างล่างนี่ขึ้นมาทันทีเลยครับ :)

.............................................................................................................................


ชี้แจงมาเป็นปี เอกสารราชการก็มีให้เห็น หาได้ง่ายจากกระทรวงการต่างประเทศ ก็จะยังมีคนมาโพสต์ในเพจด่าหยาบคายว่าผมเซ็นรับรองแผนที่เขมรบ้างละ ผมเซ็นยกดินแดนปราสาทพระวิหารให้เขมรบ้างละ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนไม่รู้ความจริงแล้วเที่ยวด่าคนอื่นอย่างหยาบคาย และด่าแบบโชว์ความไม่รู้ พ่อผมสอนว่าอย่าไปเที่ยวด่าคนอื่นด้วยความเท็จ ผมอยากจะบอกคนที่ด่าผมว่า ผมนี่แหละคือผู้ปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อนไม่ให้ กัมพูชานำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก การทำคำแถลงการณ์ร่วมของผมเป็นประโยขน์ต่อประเทศไทย แม้แต่นักกฎหมายระหว่างประเทศชั้นนำระดับโลกยังเห็นว่าเป็นประโยชน์ ทำให้กัมพูชายอมรับว่ามีพื้นที่ทับซ้อน ที่มากล่าวหาว่าผมขายชาติ ผมคีอผู้ปกป้องดินแดนครับ ผมไม่เคยขายชาติ และคุณเตช บุนนาค อดีตนักการฑูตชั้นนำและอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศท่านก็พูดว่าไม่เคยเห็นว่ามีนักการเมืองหรือข้าราชการประจำคนใดขายชาติ ถามว่าผมรู้สึกอย่างไรที่มีคนมาด่าผมในเพจผม ผมขอตอบว่าผมไม่ยอมให้คนพาลชนะเด็ดขาด ผมจะสู้กับความเท็จและความถ่อยด้วยความจริงและความดี เพราะพระพุทธเจ้าสอนว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรมครับ สำหรับท่านที่ทราบความจริงและเข้าใจ ท่านคือบัณฑิตที่มีการศึกษาพร้อมครับ

............................................................................................................................


ศาสนาแห่งเหตุผล

พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรู้ เพราะเป็นศาสนาที่เกิดจากพระอัจฉริยภาพของพระพุทธองค์เอง จากปัญญาของพระองค์ ให้เสรีภาพในการพิจารณา ให้ใช้ปัญญาเหนือศรัทธา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการศึกษา และการแสวงหาความจริง และส่งเสริมให้ศาสนิกชน พิสูจน์ หลักธรรมนั้นด้วยปัญญาของตนเอง ไม่สอนให้เชื่อง่ายโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน เช่น หลักกาลามสูตร

ศาสนาแห่งอิสรภาพและเสรีภาพ

พุทธศาสนาไม่มีการบังคับ ให้คนศรัทธา หรือเชื่อ แต่ท้าทายให้เข้ามาเรียนรู้ และพิสูจน์หลักธรรม ด้วยตนเอง ศาสนาของพระพุทธเจ้าคือคำสอน ซึ่งทรงสอนให้ผู้ฟังใช้ปัญญาพิจารณาอย่างถ่องแท้ก่อนจะปลงใจเชื่อ พระสงฆ์หรือพุทธสาวกมีหน้าที่เพียงอธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ คนที่สนใจฟังเท่านั้น ทำให้ศาสนาพุทธได้รับการยอมรับจากวิญญูชนไปทั่วโลก นักปราชญ์ทั้งหลายทั้งในอดีต และปัจจุบันจึงกล่าวยกย่องว่าเป็นศาสนาที่ประกาศความเป็นอิสระของมนุษย์ให้ปรากฏแก่โลกยิ่งกว่าศาสนาใดๆที่มีมา ทั้งจุดมุ่งหมายเป็นอิสระจากกิเลสตัณหาและมายาสิ่งสมมุติทั้งปว

B >> เชื่อด้วยปัญญาศรัทธาด้วยเหตุผล อิสระจากกิเลสตัณหาสิ่งสมมุติทั้งปวง ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ นี่หละแนวทางของเพจ


....................................................................................................................


  • บางท่านอาจไม่ได้ตามคดีในศาลโลกที่จะมีการแถลงด้วยวาจาในวันที่ 15-19 เมษายน 56 นี้ใกล้ชิด ผมขอเรียนให้ทราบข้อมูลดังนี้ครับ
    1) คดีที่กำลังพิจารณาในศาลโลกในขณะนี้คือคดีตีความคำพิพากษาของศาลโลกที่ตัดสินเมื่อ 51 ปีที่แล้วครับ ไม่ใช่คดีใหม่ เรียกว่าคดีตีความคำตัดสินในอดีต คู่ความในคดีที่ศาลโลกตัดสินไปแล้ว ถ้าสงสัยว่าคำตัดสินมีความหมายอย่างไร ก็ยื่นตีความได้ตลอดเวลาครับ ไม่มีกำหนดเวลาว่าต้องยื่นภายในกี่ปี ผิดกับการรื้อฟื้นคดี ต้องกระทำภายใน 10 ปี ดังนั้นคดีปราสาทพระวิหารจึงรื้อฟื้นไม่ได้แล้วครับ
    2) ในคดีตีตวามนี้ กัมพูชา (กพช.) ยื่นขอให้ศาลโลกตีความว่าพื้นที่ปริเวณตัวปราสาทพระวิหาร ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า vicinity มีขอบเขตเพียงไรครับ
    3) คดีตีความนี้ไม่เกี่ยวกับตัวปราสาทพระวิหารนะครับ เพราะตัวปราสาทพระวิหารนั้นศาลโลกตัดสินเมื่อ 51 ปีก่อนคือในวันที่ 15 มิย 2505 ให้ตกเป็นของกัมพูชาไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนเข้าใจผิดว่าท่านสมัครกับผมเป็นคนยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาแล้วมาด่าพวกผม ความจริงก็คือเราแพ้คดีในศาลโลกเมื่อ 51 ปีก่อนและจำใจต้องยกตัวปราสาทให้กัมพูชาไปแล้ว
    4) ขอย้อนไป 51 ปีที่แล้วครับ หนึ่งในทีมทนายที่ว่าความในคดีศาลโลกคือ ท่านเสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผมว่าทนายทุกคนต่อสู้ดีที่สุดแล้วครับ คงไม่มีใครอยากแพ้คดี
    5) ดังนั้นเรื่องตัวปราสาทพระวิหารมันจบไปตั้งแต่ 51 ปีที่แล้วครับ เรารื้อฟื้นคดีไม่ได้แล้ว แต่ที่กัมพูชาและไทยยังถกเถียงกันไม่ใช่ใครเป็นเจ้าของตัวปราสาท แต่เป็นเรื่องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร เพราะไทยอ้างเป็นของไทย แต่กัมพูชาอ้างเป็นของกัมพูชาครับ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะต่างฝ่ายต่างยึดถือแผนที่คนละชุด และยึดถือเส้นเขตแดนคนละเส้น (ไทยยึดสันปันน้ำแต่กัมพูชายึดแผนที่ระวาง 1 ต่อ 200,000)
    6) สรุปอีกที่หนึ่งคือ ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่ทับซ้อนยังเถียงกันอยู่ ผมขออุปมาอุปมัยเหมือน ตัวปราสาทเป็นศาลพระภูมิ ส่วนพื้นที่่ทับซ้อนเปรียบเป็นสนามหญ้า
    7) ในปี 2549 กัมพูชายื่นคำขอเอาตัวปราสาทและพื้นที่ทับซ้อนไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก เปรียบเปรยคือ เอาตัวศาลพระภูมิและสนามหญ้าไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก ซึ่งในปี 2550 ไทยคัดค้านเพราะเขาจะผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อนด้วย
    8) รัฐบาลสมัครเข้าบริหารประเทศในเดือน กุมภาพันธ์ 51 เรารับเผือกร้อนมาจากรัฐบาลทหาร คมช. กัมพูชาเขายื่นเรื่องขึ้นทะเบียนตัวปราสาทและพื้นที่ทับซ้อนฝ่ายเดียวมาก่อนเราเข้ารับตำแหน่งแล้วครับ ดังนั้นที่มาเที่ยวด่าว่ารัฐบาลสมัครเป็นผู้ทำคำแถลงการณ์ร่วมจนทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียวจึงเป็นเท็จครับ
    9) ผมว่านายกทุกคน รมต.ต่างประเทศทุกคน ไม่มีใครชั่วพอที่จะทำให้ไทยเสียประโยชน์ด้านดินแดน ไม่มีใครขายชาติหรอกครับ นอกจากนั้นการทำงานต้องทำร่วมกับข้าราชการ ทหาร กองทัพ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ถ้าทำไม่ดี ข้าราชการเขาไม่เอาท่านไว้แน่ แต่กรณีของผม สิ่งที่ผมทำนั้นข้าราชการเห็นด้วย มีการปรึกษาหารือและเห็นชอบเป็นลำดับ จากระดับกระทรวงต่างประเทศ ก็ส่งเรื่องเข้าสภาความมั่นคงแห่งชาติ แล้วเสนอเข้า ครม. ทำเป็นขั้นเป็นตอนครับ
    10) เมื่อกัมพูชาเขาเอาทั้งตัวปราสาทและพื้นที่ทับซ้อน หรือเปรียบเปรยเป็น เอาศาลพระภูมิบวกสนามหญ้าไปขึ้นทะเบียน พวกผมจึงไปเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนหรือสนามหญ้าออก และสนับสนุนให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารที่เป็นของเขามา 51 ปีตามที่ศาลโลกตัดสิน เจรจายากมาก ท้ายที่สุดเขายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และยอมขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น นี่คือที่มาของคำแถลงการณ์ร่วมครับ เอกสารชิ้นนี้เป็นประโยชน์มากครับ เป็นครั้งแรกที่กัมพูชายอมรับว่ามีพื้นที่ทับซ้อน นักกฎหมายระหว่างประเทศชั้นนำของโลกและชั้นนำของไทย ต่างบอกว่าคำแถลงการณ์ร่วมเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย แต่ศาลปกครองตัดสินให้เป็นโมฆะไปแล้วครับตอนนี้
    11) รัฐบาลสมัครและผมเป็นผู้ปกป้องดินแดนครับ ผมมีเอกสารราชการและมติคณะกรรมการมรดกโลกยืนยัน ผมไม่ต้องการคำชมใดๆครับ เพราะคนไทยทุกคนมีหน้าที่ปกป้องดินแดน แต่ที่รับไม่ได้คือมาด่าว่าเราขายชาติทั้งๆที่เป็นความเท็จ พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ให้สิทธิ์ใครที่จะประณามคนอื่นด้วยความเท็จครับ มันเป็นบาป
    12) แนวทางของรัฐบาลท่านสมัครคืออะไรที่เป็นของเขาก็เป็นของเขา อะไรที่เป็นของเราต้องปกป้อง ตัวปราสาทเป็นของเขา แต่พื้นที่ทับซ้อนเราต้องปกป้องไม่ให้นำไปขึ้นทะเบียน ในระหว่างที่ยังเจรจาปักปันเขตแดนไม่เสร็จ ก็บริหารจัดการพี้นที่ทับซ้อนร่วมกันไปพลางๆก่อน จะได้ประโยชน์ทั้งชาวบ้านตามแนวชายแดนทั้งสองฝ่าย ไม่รบกัน
    13) ย้อนกลับมาคดีตีความที่อยู่ในศาลขณะนี้ครับ ไทยและกัมพูชาจะแถลงสรุปประเด็นด้วยวาจาในระหว่างวันที่ 15-19 เมษายนนี้ และหลังจากนั้นศาลสามารถตัดสินได้ตลอดเวลา แต่คาดว่าน่าจะตัดสินประมาณเดือนกันยายนปีนี้ครับ
    14) ผมขอเรียนเป็นประเด็นสุดท้ายครับ รัฐบาลท่านนายกฯยิ่ง
    ลักษณ์สู้คดีเต็มที่ครับ ทีมกฎหมายก็ใช้ทีมเดียวกันที่ตั้งโดยรัฐบาลท่านอภิสิทธิ์ เราเอาใจช่วยทีมกฎหมายของประเทศ ผลจะออกมาอย่างไรเราไม่ทราบ แต่ไม่ควรโทษกันไปมาครับ เพราะคนไทยทุกคนรักชาติเท่ากัน และขอร้องเถอะครับ จะด่าใครขอให้ด่าแบบมีข้อมูลและเอาความจริงมาพูดกันครับ ประเภทตั้งหน้าตั้งตาจะด่าเขาฝ่ายเดียวด้วยความเท็จ ระวังให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวนะครับ

...................................................................................................................................




ข้าวแช่ตำรับโบราณ อาหารดับร้อนสูตรชาววัง

เข้าสู่ฤดูร้อน หลายคนคงอยากจะหาอาหารดับร้อนเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย หลักๆ คงหนีไม่พ้นอาหารที่มีรากฐานมาจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น ไอศกรีม หรือน้ำแข็งเกล็ดหิมะ ที่จะช่วยดับร้อนในฤดูที่อุณหภูมิเพิ่งสูงขึ้นเช่นนี้ แต่ใช่ว่าจะมีแต่อาหารจากต่างประเทศเท่านั้นที่จะช่วยคลายร้อนได้ ยังมีอีกหนึ่งอาหารไทยอันเป็นเอกลักษณ์ที่จะช่วยดับร้อนในช่วงฤดูแบบนี้ได้ นั่นคือ “ข้าวแช่” ข้าวแช่อาหารดับร้อนในช่วงฤดูนี้ ถือเป็นอาหารประจำชาติของไทย ที่แสดงความละเมียดละไมในการทำ และเป็นอาหารที่แสดงถึงความสามัคคีของคนในครอบครัวได้อีกด้วย ซึ่งข้าวแช่แบบดั้งเดิมหนึ่งในสามวังที่สืบทอดมา นั่นคือ “ข้าวแช่วังเทวะเวสม์”

หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล หรือคุณป้อม ทายาทของวังเทวะเวสม์ ที่สืบสานวิธีการทำข้าวแช่ของวังเทวะเวสม์มาโดยตรง ได้กล่าวว่า “คุณย่า (ม.ร.ว.สอางค์ เทวกุล ) ทำกับข้าวเก่ง และคุณแม่ (ประเทือง เทวกุล ณ อยุธยา ) ก็เป็นคนชอบทำอาหาร ป้อมจึงซึมซับความรู้เรื่องอาหารมาจาก 2 ท่าน ธรรมเนียมการกินข้าวแช่ของวังเทวะเวสม์นั้นจะเริ่มในช่วงสงกรานต์เช่นกัน แต่เนื่องจาก “กับข้าว” ของข้าวแช่นั้นมีหลายอย่างและแต่ละอย่างทางวังจะต้องทำเองหมด ดังนั้นในครัวจึงต้องเริ่มเตรียมเครื่องตั้งแต่ย่างเข้าเดือนมกราคมทีเดียว ซึ่งข้าวแช่ของวังเทวะเวสม์ก็เป็นอีกสำรับหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขานเรื่องความอร่อย เนื่องเพราะเจ้าของวังเทวะเวสม์คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดี กระทรวงการต่างประเทศ ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ชื่อว่าเป็นนักชิมตัวยง"

โดยหม่อมหลวงป้อม ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้าวแช่ในปัจจุบันนั้น จะหาทานที่ไหนก็ได้ แต่สิ่งสำคัญที่จะบอกถึงเอกลักษณ์ ของข้าวแช่ว่าเป็นของที่ไหนนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเลียนแบบกันไม่ได้ สูตรข้าวแช่ของวังเทวะเวสม์นั้น จะโดดเด่นที่เครื่องเคียง ที่จะมีถึง 7 อย่างด้วยกันประกอบด้วย หัวหอมสอดไส้, พริกหยวกสอดไส้, หมูฝอยหรือเนื้อฝอย, ปลาแห้งหวาน, กะปิทอด, หัวไชโป๊ผัด, และผักแกะสลักเครื่องเคียง ทั้งนี้ เครื่องเคียงต่างๆ เราจะใช้ของสดและคัดเลือกอย่างได้มาตรฐาน ความต่างของข้าวแช่ของวังเทวะเวส์จึงอยู่ที่ตรงนี้ อย่างเนื้อปลาหวาน เราก็จะใช้ปลาช่อนอย่างดี แร่และฝานออกเป็นชิ้นบางๆ เอาไปตากจนแห้ง และจึงนำมาคลุกน้ำตาลแล้วทอด หรือพริกหยวกสอดไส้ เราก็จะใช้เนื้อหมูสดเป็นส่วนผสม และเทคนิคที่สำคัญอยู่ตรงที่การโรยฝอยห่อพริกหยวก ที่อื่นอาจจะใช้ ที่โรยฝอยทองเพื่อความรวดเร็ว แต่ของวังเทวะเวสม์ จะใช้มือในการทำ โดยต้องกางให้ได้องศา แล้วจึงโรยเป็นเส้นให้ได้ความสวยงาม ซึ่งถือเป็นเทคนิคเฉพาะของเรา

อีกทั้ง ตัวข้าวและน้ำอบ ก็เป็นเรื่องที่ลืมไม่ได้เช่นกัน โดยข้าวเมื่อเราหุงจนสุกแล้ว เราจะมีการขัดข้าว ให้ได้เม็ดสวยงาม เมื่อนำในแช่ในน้ำอบ จะไม่ขึ้นมัน และเรียงตัวกันสวยงามน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการรับประทานข้าวแช่ให้ได้รสชาตินั้น ควรจะต้องทานเครื่องเคียงเข้าไปก่อน แล้วตามด้วยข้าวแช่ จะทำให้ได้รับความอร่อย และเข้าถึงรสชาติมากยิ่งขึ้น การทำข้าวแช่นั้น คนทั่วไปอาจจะมองว่า ทำไมต้องมีราคาสูง แต่อยากจะบอกว่า ต้นทุนนั้นไม่ได้อยู่ที่วัตถุดิบ แต่อยู่ที่กำลังคน เพราะต้องเตรียมคนเยอะมาก และกรรมวิธีในการทำต้องใช้เวลา เพื่อให้รสชาติของข้าวแช่ออกมาอย่างสมบูรณ์ และไม่ผิดเพี้ยนไปจากต้นตำรับ จึงไม่อยากให้คนทั่วไปเปรียบเทียบ ว่ามีราคาแพง ไปซื้อข้าวแช่ถูกๆ ก็ได้ แต่ตนเองอยากจะบอกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างเกิดจากความบรรจงในการทำ และคำนึงถึงรสชาติดั้งเดิม จึงไม่อยากให้มีการเปรียบเทียบกันในเรื่องของราคา แต่อยากให้นึกถึงกรรมวิธีของการทำ และความเป็นรสชาติดั้งเดิม" หม่อมหลวงขวัญทิพย์พูดทิ้งท้าย

ที่มา : www.thairath.co.th
วันที่ 11 Apr 2013


...................................................................................................................




เดี๋ยวนี้ คนเราจะเชื่อด้วยเหตุแค่สักว่ามันเขียนอยู่ในใบลาน ท่านทั้งหลายจงเข้าใจกันเสียใหม่ให้ถูกต้อง ใบลานนั้นไม่ใช่พระไตรปิฎก; ใบลานบางแผ่นก็เขียนพระไตรปิฎก; แต่ว่าใบลานส่วนมากไม่ได้เขียนพระไตรปิฎก คือเขียนอะไรเพ้อเจ้อตามความเข้าใจของผู้เขียนก็ยังมีมาก

ดังนั้นถ้าไปเข้าใจเสียว่า มีอยู่ในใบลาน เป็นเชื่อได้อย่างนี้แล้วก็จะมีเมฆหมอกอย่างหนึ่ง คือความมืดสีขาว ดังที่กล่าวมานี่เอง แม้ สมัยนี้ไม่ได้เขียนในใบลาน แต่พิมพ์เป็นเล่มหนังสือ มันก็เหมือนกัน เล่มหนังสือที่เป็นพระไตรปิฎกก็มี ไม่เป็นพระไตรปิฎกก็มีมากมาย จะเชื่อเพียงสักว่า มันมีในคัมภีร์ ในตำรา ในหนังสือแล้ว มันก็ใช้ไม่ได้ คือกลายเป็นเมฆเป็นหมอกขึ้นมาได้โดยไม่รู้สึกตัว

ทีนี้ แม้ว่าจะมีอยู่ในพระไตรปิฎกจริงๆ คือว่าเราเปิดดูพระไตรปิฎกจะพบข้อความนี้ และในนั้นก็เขียนไว้ชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงข้อความนี้ แม้แต่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ยังตรัสสอนว่าอย่าไปเชื่อ คืออย่าเพ่อเชื่อ อย่างน้อยก็อย่าเพ่อเชื่อ ต้องมาทดสอบดูด้วยการปฏิบัติถ้าปฏิบัติแล้วมันดับกิเลสดับทุกข์ได้อย่างไรจึงจะค่อยเชื่อ อย่างนี้เป็นต้น
อย่างนี้ก็แปลว่า พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ดีที่สุดแล้ว คือ ได้ตรัสมอบหมายเครื่องมือให้แก่เรา สำหรับทำลายเมฆหมอกนั้นเสีย อย่าให้คำภีร์กลายเป็นเมฆหมอกขึ้นมา อย่าให้พระพุทธภาษิตแท้ๆ กลายเป็นเมฆหมอกขึ้นมา

พุทธทาสอินทปัญโญ (หนังสือ โลกนี้มีแต่คนบ้า หน้า ๘๗-๘๘)
b

...........................................................................................................................




สำหรับคนรักการอ่าน..ชั้นหนังสือ ช่วยจัดแบ่ง อ่านแล้ว และ จะอ่าน...http://www.iurban.in.th/inspiration/targetbooks-shelf-by-mebrure-oral/
 — กับ ภัสส์ วิริยะAnnie Patanit และ Pongidae Cotton Özil

....................................................................................................................


....................................................................................................................




รู้ไปทำไมว่า ในปี 2011 คลิปวิดีโอที่บันทึกพฤติกรรมของพนักงาน FedEx รายหนึ่งที่ได้โยนกล่องบรรจุจอมอนิเตอร์ข้ามรั้วของลูกค้า ถูกเผยแพร่ใน YouTube และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วภายใน 48 ชั่วโมงและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

FedEx ได้ออกมาขอโทษและพลิกวิกฤตเป็นโอกาส โดยนำคลิปวิดีโอนี้มาใช้ "อบรม" พนักงานในบริษัทเพื่อแสดงให้พนักงานเห็นว่าการส่งของที่ดีนั้นอะไรเป็นสิ่งที่ "ไม่ควรทำ"

ชมคลิปวีดีโอนี้ได้ที่: http://www.youtube.com/watch?v=--4U4BkulC0


.......................................................................................................................




การที่เรามีประสบการณ์มากกว่า บางทีมันก็เป็นตัวบอกเราว่าเราควรเปิดใจให้เข้าใจคนที่ผ่านมาน้อยกว่าเรา เพราะเค้าไม่เคยเจออะไรเหมือนๆเรา เราจะไปบังคับให้เค้าเข้าใจเราได้อย่างไร..


......................................................................................................................


นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์
เกมโชว์
...................
รายการเกมโชว์ที่มีรางวัลเป็น โลกทั้งใบให้ครอง ได้ผ่านมาถึงรอบสุดท้ายแล้ว พิธีกรประกาศเสียงลั่น

“คำถามรอบนี้ ถามเพียงสั้นๆ หากใครตอบแล้วเสียงของคนทั้งโลกโห่ร้องพอใจและตบมือเสียงดังยาวนานที่สุด คนผู้นั้นก็จะได้เป็นแชมป์และรับรางวัลโลกนี้ไปครอง และคำถามคือ...”

พิธีกรหยุดเสียงเพื่อให้ได้ยินคำถามชัดเจน
“1+1 เป็นเท่าไร”

ผู้แข่งขันคนที่หนึ่งซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดที่สุดกดปุ่มได้ก่อนแล้วตอบว่า “มันอยู่ที่ว่า 1 นั้นมีค่าเป็น 1 สัมบูรณ์ไหม”

ทนายความเป็นผู้แข่งขันคนที่สองกดปุ่มได้เป็นคนต่อมา “มันอยู่ที่ตัวบทกฎหมายว่าเขียนไว้อย่างไร หากเขียนไว้ว่า 1+1 เท่ากับ 2 เราก็ต้องมาตีความว่า 1+1 มันเป็นอย่างอื่นได้อีกไหม”

ผู้แข่งขันคนคนที่สามและสี่เป็นฝาแฝดกัน และมีอาชีพเป็นนักธุรกิจใหญ่ทั้งคู่ “คุณคิดว่ามันเป็นเท่าไรละ” แฝดคนแรกถามพิธีกรกลับ แฝดคนหลังพูดต่อ “คุณมีตัวเลือกให้เราเลือกไหมละ ว่ามันควรจะเป็นเท่าไร โจทย์แบบนี้มันน่าจะมีช้อยส์ให้เลือกนะ”นักธุรกิจต่อรองกลับ

มาถึงคนที่ห้าผู้แข่งขันคนนี้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ “ผมคิดว่า1+1 เท่ากับ 1000000 ผมเสนอตัวเลขกลมๆอย่างนี้ก่อน แต่ต้องดูบริบทอื่นประกอบด้วย การรวมกันในของสองสิ่งมันมักมีค่ามากกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ผมไม่ได้มองเป็นเครื่องหมายบวกอย่างเดียว”

ผู้แข่งขันคนที่หกกดปุ่มตอบต่อทันทีหลังจากที่นักเศรษฐศาสตร์เพิ่งตอบไป “1.00 บวกกับ 1.00 เท่ากับ 2.00” เธอเป็นนักสถิติ

ยังคงเหลือผู้แข่งขันอีกสี่คนที่ยังไม่ได้กดปุ่มตอบ นั่นคือ นักการเมือง กวี นักบวช และเด็กอนุบาล

“หากมิมีใครแก่งแย่งกันแล้ว ดอกไม้คงเผยความจริง” กวีกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ “หนึ่งผสานหนึ่ง คำตอบนั้นอยู่ในสายลม”

นักการเมืองหันไปทางนักบวชพนมมือนอบน้อม “นิมนต์ก่อนเลยขอรับ”
นักบวชแต่งชุดขาวซึ่งนับเป็นผู้แข่งขันคนที่แปดตอบว่า “ 1+ 1 เท่ากับ ศูนย์”
ความเงียบเข้าปกคลุมเวทีแข่งขันเกมโชว์ไปพักใหญ่ มีเสียงขานสาธุเบาๆมาจากกลุ่มคนดู อีกมุมหนึ่งมีคนได้ยินเสียงขานรับอาเมนดังขึ้้นด้วย

นักการเมืองขยับตัวมาด้านหน้าเพื่อตอบเป็นคนที่เก้า “สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประชาชน ผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อสิ่งนั้น”
พิธีกรทำหน้านิ่วเหมือนจะถามว่านี่คือคำตอบของคำถามที่ว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับเท่าไร แล้วใช่ไหม
“ให้ผมไปสาบานที่ไหนก็ได้” นักการเมืองย้ำ

แทบจะไม่มีใครสังเกตเลยว่าเด็กน้อยผู้แข่งขันคนที่สิบซึ่งยืนอยู่ตั้งนานแล้วนั้น มีอาการตัวสั่นเบาๆด้วยความตื่นเต้น เขาตอบเป็นคนสุดท้าย

“1 + 1 เท่ากับ 2 ครับ” เด็กน้อยตอบ
ดนตรีตื่นเต้นดังรับ พิธีกรเดินเข้ามาตรงกลาง
“คำตอบที่ผู้แข่งขันทั้งสิบ ตอบไปหมดแล้ว ท่านผู้ชมพร้อมหรือยังที่จะให้คะแนน ถ้าพร้อมแล้ว เครื่องตรวจรับเสียงตบมือทั่วโลกก็พร้อมแล้ว เมื่อสัญญาณไฟแดงสว่างขึ้นที่จอทีวีท่านตบมือเลยนะครับ ผมจะขานทีละหมายเลข พร้อมนะครับ....”
..................................................................................


.....................................................................................................................


Kraren Current ถ้าใช้ในทางที่ถูกที่ควรมันย่อมเกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นนั่นแหละนะ

................................................................................................................




มีประเด็นที่ผมสนใจอยู่ 2 ประเด็นครับคือ

1.คำกล่าวที่ว่า "วิทยาศาสตร์ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้/ยังอธิบายไม่ได้" ผมว่ามันเหมือนพูดอยู่บนฐานความคิดที่เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถพิสูจน์/อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์

2.สิ่งที่ "ไม่เป็นวิทยาศาสตร์" เช่น ไสยศาสตร์ ขูดเลขขอหวย ฯลฯ มันอาจจะไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลมาสนับสนุน เพื่อให้ตัวมันเองกลายเป็นวิทยาศาสตร์ หรือไม่จำเป็นต้องอธิบายแบบวิทยาศาสตร์ เพราะมันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่มันต้องอธิบายในแบบของมันเอง

...ณิศตะ

ตอบ...

ประเด็นของคุณน่าสนใจดีครับ

คนส่วนมากใช้คำว่า วิทยาศาสตร์ ในความหมายของเทคโนโลยี จรวด อวกาศ ห้องทดลอง ดีเอนเอ ฯลฯ ก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูก

ก็กลับมาสู่เรื่องที่ผมพูดบ่อยๆ นั่นคือ 'วิทยาศาสตร์' ไม่ใช่เทคโนโลยี ไม่ใช่วิชาต่างๆ ที่เราเรียนในชั่วโมงวิทยาศาสตร์ แต่เทคโนโลยีและวิชาต่างๆ เป็นผลจากวิทยาศาสตร์ อย่าเพิ่งงง ความหมายที่ผมจะบอกก็คือ

วิทยาศาสตร์คือ กระบวนการหรือหลักการคิด-ปฏิบัติ โดยอิงกับการหาเหตุผล ที่มาที่ไป ค้นหา-ทดลอง-ตรวจสอบจนพบ 'ความจริง'

เมื่อเข้าใจแบบนี้ ก็จะเห็นว่าศาสนาพุทธก็คือ วิทยาศาสตร์, การแก้ปัญหาโดยหาเหตุผลก็เป็นวิทยาศาสตร์ ดังนั้น ประโยค "ความคิดที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถพิสูจน์/อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์" ก็เป็นความจริง (เพียงแต่ว่ามีอีกล้านๆ เรื่องในโลกที่เรายังไม่สามารถพบวิธีอธิบายเท่านั้น)

การบอกว่า "วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ทุกสิ่ง" ก็เหมือนบอกว่า "ความจริงไม่ใช่ทุกสิ่ง" ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ทั้งสองข้อของคุณก็ไม่ต้องถามอีกเลย

คุยกับวินทร์, 22 พฤศจิกายน 2554


......................................................................................................................


น่าสงสารหม่อม
โดนผู้ว่าคนก่อนแม่งวางยา.. ตกปุ๊บท่วมปั๊บ


...............................................................................................................................


Natipong Sutanun ทางเลือกเยอะดีเนอะ ^^

.................................................................................................................................




ปลั๊กสามตาที่ยึดหยุ่นได้ราวกับมีชีวิต 555


....................................................................................................................................




รูปนี้แอดมินเห็นแชร์มาจากเพจเครือข่ายพวกทวงคืนฯครับ เห็นแล้วบอกตรงๆว่าปรี๊ดมาก เพราะนี่มันทั้งมั่วทั้งบิดเบือนจนเข้าขั้นโกหกคำโตไปแล้ว ขอแฉความมั่วดังนี้ครับ

1. ราคาขายปลีกวันที่ 28 ธ.ค. อยู่ที่ 48.60 บาทครับ ไม่ใช่ 48.85 อ้างอิงจาก http://www.eppo.go.th/petro/price/index.html แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่าสามข้อหลัง

2. รูปนี้จงใจเอาเบนซิน 95 มาแสดง เพราะน้ำมันชนิดนี้มีค่าการตลาดมาก เพราะคนไม่ค่อยเติม และรัฐอยากให้ใช้แก๊สโซฮอลมากกว่า ค่าการตลาดอยู่ที่ 4.53 แต่น้ำมันแก๊สโซฮอลที่คนใช้มากกว่านั้นค่าการตลาดอยู่แค่ 1.17-1.73 เท่านั้น กล่าวได้ว่ารูปนี้จงใจเอาน้ำมันที่ค่าการตลาดแพงมาทำให้คนเข้าใจตัวเลขสูงเกินจริง

3. ในภาพเอาราคาน้ำมันดิบ 110 $ มาตีเป็นต้นทุนน้ำมันดิบ แล้วหักลบรายการอื่นๆเหลือเท่าไหร่พี่แกเอาไปโยนใส่ให้เป็นค่าการกลั่นหมดเลย (8.47-4.53=3.94) ซึ่งคิดแบบนี้ไม่ได้ครับ เพราะน้ำมันดิบไม่ใช่ว่าจะกลั่นออกมาร้อยทั้งร้อยเป็นเบนซินหรือดีเซลหมด จึงไม่สามารถเอาต้นทุนน้ำมันดิบมาสะท้อนค่าการกลั่นแบบนี้ได้ จะทำให้ตัวเลขสูงเกินจริง แอดมินลองค้นตัวเลขค่าการกลั่น (GRM) ของบ.ไทยออยล์ พบว่า GRM ของผลิตภัณฑ์น้ำมันเบนซิน Q4/55 อยู่ที่ 13.4 $/Barrel ตกลิตรละ 2.52 บาทเท่านั้น ไม่ใช่ 3.94 อย่างที่รูปนี้มั่วขึ้นมา

4. ข้อนี้เลวร้ายที่สุด ตรงที่บอกว่าเงินกองทุนน้ำมันเอามาอุ้มราคาวัตถุดิบปิโตรเคมี เพราะเราทราบกันดีว่ากองทุนน้ำมันเอามาใช้อุดหนุนราคาให้ก๊าซหุงต้มในครัวเรือนและรถยนต์ ในเอกสารของกระทรวงพลังงานก็บอกไว้ว่าภาคปิโตรไม่ได้รับอุดหนุนและจ่ายแพงกว่ามาตลอด หรือถ้าไปดูหน้าที่กองทุนน้ำมัน (ข้อ4) ก็ไม่ได้บอกให้ชดเชยแก่ภาคปิโตร แต่ให้ชดเชยแก่ภาคครัวเรือนhttp://www.eppo.go.th/petro/pt-PM2546-02.html

ที่แย่ไปกว่านั้นคือบิดเบือนกันหน้าด้านๆว่า เงินกองทุน 8.50 นี้เข้าปตท.หรือเป็นของปตท. แบบนี้มันโกหกคำโตแล้วครับ เงินกองทุนก็อุดหนุน LPG ในครัวในรถอยู่ใครก็รู้ แล้วมาบิดเบือนโจมตีปตท.แบบนี้เพื่ออะไร? ไหนชอบด่าว่าปตท.หมกเม็ด รัฐหลอกลวงประชาชนในครับ แล้วพวกคุณทำโพสต์ทำภาพโกหกหน้าด้านๆแบบนี้ไม่อายตัวเองมั่งเหรอครับ หัดกระดากปากบ้างนะครับเวลาด่าคนอื่น

แอดมินวิเคราะห์ว่า พวกทวงคืนเริ่มเจอทางตันครับ ตอนแรกๆนั้นพวกเขาอาศัยความไม่รู้โครงสร้างราคา ก็หลอกลวงคนไปทั่วว่าราคาในประเทศแพงเพราะปตท. ต่อมาก็เริ่มมีคนแย้งมากขึ้นว่าโครงสร้างราคาเป็นยังไง คนทั่วไปก็เริ่มรู้ความจริง พวกทวงคืนก็เลยต้องแถ-ไถ-สไลเดอร์เอาโครงสร้างราคามาบิดเบือนกันอย่างที่เห็นนี่แหละครับ น่าสมเพชครับ บอกตรงๆ



Korn Supa เช็ครึยังครับ
แล้วถ้าข้อความด้านบนไม่จริง
ความจริงคืออะไร?
ทำไมถึงพยายามฝอยน้ำท่วมทุ่ง ทั้งๆที่แค่เอาสิ่งที่เขาคิดว่าจริงมาเผยแพร่แล้วก็ยันกันด้วยข้อเท็จจริงก็จบ
นี่เห็นเอาแต่หนี


สูตรการคำนวณก็ไม่บอก เล่นเกมจับผิดอยู่ได้ เอาข้อมูลมาแชร์สิครับโธ่ จะหนีทำไม
ได้ดูเวทีสาธารณะหรือเปล่า?



Supapong Wanitpongpan ข้อมูลและวิธีคิด เขาก็บอกอยู่แล้วนี่ครับ รวมทั้งฐานข้อมูลที่ใ้ห้ไปเช็คได้ 
เขาไม่เอามาเผยแพร่ตรงไหนครับ?
สูตรคำนวณเขาก็บอกตั้งแต่ตอนพูดถึงโครงสร้างน้ำมันตั้งหลาย post ก่อนหน้านี้น่ะครับ 

เขาไม่ได้หนีครับ คุณจับผิดเขาหรือเปล่า????



Supapong Wanitpongpan ถ้าคุณสงสัยอะไร ข้อมูลตรงไหน เข้าไปถามที่นี่ก็ได้
http://www.facebook.com/PTTreclaimtruth 
หรือ
ที่นี่ก็ได้ครับ
http://www.facebook.com/siriwat.vitoonkijvanich?fref=st

................................................................................................................................






































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น