วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

28/04/2556




ถึงคุณด.ร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง http://www.facebook.com/photo.php?fbid=443858172372071&set=a.207688522655705.48384.181318038626087&type=1&theater ......คุณเป็นผู้ใหญ่รุ่นคุณปู่นู๋ได้และยังเรียนจบเป็นถึง ดร.(แปลคือผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกหรือดุษฎีบัณฑิตที่คนอื่นเรียกว่าอาจารย์ แต่การกระทำและในความคิดของคุณมันมีแค่นี้เองเหรอคะ ทำไมความคิดคุณไม่ได้สูงตามที่จบมาเลยละคะ ความสุขของคุณคือวันๆมัวแต่หาเรื่องใสร้ายป้ายสีคนอื่น จับผิดคนอื่น ด่าว่าร้ายคนอื่นเพื่อผลประโยชน์แค่นั้น แล้วคุณไม่ทำงานเหรอคะ? หรือนี่คืองานของคุณ เพื่อจะเอาศักดิ์ศรีไปแลกกับเงิน รังแกได้แม้กระทั้งผู้หญิงตัวเล็กๆตาดำๆคนนึงได้ เพื่อกีฬาสีของคุณเนี่ยเหรอคะ นู๋จะบอกอะไรให้นะคะท่านด๊อก ไม่มีอะไรสามารถซื้อคนอย่างปางน้ำฟ้าได้หรอกคะ ถึงจะตัวเล็กกระจิ๋วหลิ๋วนิดเดียวนู๋ก็ทำงานทำการหาเงินใช้เองโดยสุจริตโดยใช้ความเพียรได้นะคะ อย่าเอาตนเองมาวัดค่าของคนกับผู้อื่นคะ เราไม่เหมือนกันคะ ...โดยที่ไม่ต้องวันๆมัวแต่หาเรื่องด่าคนอื่นใส่ร้ายคนอื่นใสเฟรสบุ๊กตนเองเพื่อให้นายหรือใครชื่นชมตนเองหรอกนะคะ ท่าน"ด๊อก"เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง.... ป.ล. ไม่ทราบว่านู๋ไปทำร้ายคุณตอนไหนเหรอคะ เสียด้ายโตซะเปล่าให้เด็กมาพูดแบบนี้กับคุณ บ่งตรง ไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอกเพราะคุณเองก็เป็นผู้ใหญ่มากๆนู๋รู้มันไม่ดีเลย แต่ถ้าผู้ใหญ่ทำแบบนี้ นู๋ก็เกินคำว่าอดทนนะคะ แน่จริง อย่าลบข้อความที่โพสไปนะคะท่านด๊อกเตอร์ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

..............................................................................................................




เรียนพุทธศาสนาในพริบตาเดีย

ถ้าเราจะเรียนในพริบตาเดียว ในชั่วอึดใจเดียวนี้ ก็เรียนเรื่อง “เช่นนั้นเอง” ถึงความเป็นเช่นนั้นเอง รู้เรื่องความเป็นเช่นนั้นเอง มันก็จบพุทธศาสนาทั้งหมด กล้าบอกกล้ายืนยันว่า ท่านทั้งหลายช่วยจำไว้ว่า หัวใจของพุทธศาสนา ถ้าจะเอาให้เข้มข้นกันที่สุด กว่าที่เคยพูดกันมาก่อน ๆ แล้ว ก็จะมาพูดใหม่เดี๋ยวนี้ว่า หัวใจของพุทธศาสนาคือคำว่า “เช่นนั้นเอง” ๓ พยางค์

ไม่มีอะไรที่จะไม่เป็นเช่นนั้นเอง ทางวัตถุก็เช่นนั้นเอง ทางจิตทางนามธรรมก็เช่นนั้นเอง กิริยาอาการของมันก็เช่นนั้นเอง การปรุงแต่งของมันก็เช่นนั้นเอง เกิดสุข เกิดทุกข์ ขึ้นมามันก็เช่นนั้นเอง จงพยายามศึกษาคำว่า “เช่นนั้นเอง” อยู่ ให้เป็นที่เข้าใจและแจ่มแจ้งอยู่เสมอ อะไรเกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เห็นชัดเหลือชัดเลยว่า “เช่นนั้นเอง” ก็ไม่หลงรัก - ไม่หลงเกลียด ไม่หลงยินดี - ไม่หลงยินร้าย กิเลสเกิดไม่ได้เพราะอำนาจของ "เช่นนั้นเอง"

พุทธทาสภิกขุ

.............................................................................................................




ถึงรัฐสภา ผู้ใช้อำนาจแทนปวงชนชาวไทย

"ถ้าคุณใจไม่ถึงอีก ก็แล้วแต่พวกคุณแล้วกัน"

วรเจตน์ ภาคีรัตน์
แถลงข้อเสนอทางวิชาการ
"การยุบเลิกศาลรัฐธรรมนูญ และการจัดตั้งคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ"
15-07-2555
ณ ห้อง LT 1 และ LT 2 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

.................................................................................................................

มหากาพย์เขาพระวิหาร #10


หลังจากหยุดไปหลายวัน วันนี้ก็ได้ฤกษ์เขียนบันทึกเรื่องเขาพระวิหารต่อ
คราวที่แล้วเป็นเรื่องของ MOU 44 ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเขาพระวิหาร แต่มีคนพยายามโยงมา
ต่อจากนั้น ก็เป็นปี พ.ศ. 2546

ในตอนต้นปี 2546 มีเหตุจราจลในเขมร
โดยก่อนการเลือกตั้งทั่วไปกัมพูชา ครั้งที่ ๒ พ.ศ. 2546 จู่ ๆ เกิดข่าวกระพือว่า กบ สุวนันท์ คงยิ่ง ดาราสาวช่อง 7 สีของไทย ด่ากัมพูชาขโมยปราสาทนครวัดไปจากไทย (คาดว่าน่าจะหมายถึงปราสาทพระวิหารมากกว่า)

ขณะเดียวกันก็ ข่าวเขมรทวงคืนกลุ่มปราสาทตาเมือน และและปราสาทสด็อกก็อกธม จ.สระแก้ว ซึ่งกรมศิลปากรขึ้นเป็นโบราณสถานของไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2478
เริ่มจาก 18 มกราคม พ.ศ. 2546 "รัศมีอังกอร์" ลงข่าว กบ สุวนันท์ คงยิ่ง เหยียดหยามชาวเขมร ต่อมาอีก 7 วัน  “เกาะสันติภาพ เดลี่” นำไปกระพืออีก และ "กัมพูชาใหม่" รับลูกอีก กลายเป็นข่าวใหญ่ เมื่อนักศึกษาในพนมเปญ ออกแถลงการณ์ประณาม กบสุวนันท์

แทนที่ ฮุนเซนจะแก้ไข กลับนำประเด็นนี้ไปหาเสียงที่กัมปงจาม คนยิ่งโกรธแค้น โดยสั่งงดถ่ายทอดละครไทย “ลูกไม้หล่นไกลต้น” สถานีโทรทัศน์เขมรขานรับงดถ่าย กระทั่งนำไปสู่เผาสถานทูตไทย โรงแรม ห้างร้านของคนไทย ในพนมเปญ และของเขมรเองด้วย

(เช่นเดียวกับช่วงเลือกตั้งกัมพูชา ๒๕๕๑ ฮุนเซน ก็ปลุกกระแสรักชาติ ทวงปราสาทเขาพระวิหาร เรียกคะแนนนิยมอีกอย่างได้ผล ได้ครองเสียงข้างมากเกือบเด็ดขาด)

นั่นแสดงให้เห็นว่า ประเด็นความคลั่งชาติ ดินแดน และปราสาทพระวิหาร ยังคงถูกใช้เป็นประเด็นทางการเมืองอยู่เรื่อยมา

วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 - 1 มิถุนายน พ.ศ. 2546 ได้มีมติคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-กัมพูชา  

ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเห็นชอบในหลักการให้ร่วมมือกันพัฒนาเขาพระวิหารเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันทั้งในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว การศึกษาทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี การพัฒนาพื้นที่ในปริมณฑลรอบปราสาทเขาพระวิหารเพื่อยกสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศ รวมทั้งเพื่อให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็น
สัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและยั่งยืนระหว่างไทยและกัมพูชา 

หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-กัมพูชาดังกล่าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและกัมพูชาต่างได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อร่วมมือกันในการดำเนินการเรื่องนี้ โดยในส่วนของฝ่ายไทย คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาเขาพระวิหาร มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน กรรมการประกอบด้วยผู้แทนส่วนราชการต่าง ๆ โดยภายใต้กรรมการดังกล่าว ยังมีอนุกรรมการอีก 2 ชุด คือ (1) คณะอนุกรรมการบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทเขาพระวิหาร มีนายเตช บุนนาค เป็นประธาน และ (2) คณะอนุกรรมการวางแผนพัฒนาร่วมเขาพระวิหาร มีนายบัณฑิต โสตถิพลาฤทธิ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการทั้งสองดังกล่าวได้ดำเนินการตามความรับผิดชอบ เพื่อศึกษาแนวทางและนำเสนอข้อมูลสำหรับการพัฒนาเขาพระวิหารให้บรรลุผลตามความมุ่งหมาย

เพื่อเปิดเขาพระวิหารเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกครั้ง


จากนั้นก็เกิด TOR 2546 ขึ้นมา

ความเห็นดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษา บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา รวม 3 ฉบับ ที่แสดงไว้ในรายงานที่นำเสนอต่อคณะกรรมาธิการฯ

JBC เป็นผู้อนุมัติ TOR 2546
"..TOR 2546  ได้ถูกจัดทำขึ้นตามข้อกำหนด ข้อ 2  3.(ข)  และ  ข้อ 3  2.(ข)  ของ  MOU 2543   โดย JBC ได้อนุมัติ  TOR 2546  เมื่อวันที่  25 สิงหาคม 2546.."

แผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ของการสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2546 (TOR 2546)

Terms of Reference - TOR คือ แผนแม่บทและข้อกำหนด อำนาจหน้าที่ที่จัดทำขึ้นตาม MOU 2543 ข้อ 2 และ 3 สำหรับการสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ (JBC) โดย เฉพาะในกระบวนการทางเทคนิคที่มีความซับซ้อนสูง มี 5 ขั้นตอน คือ

ขั้นตอนที่ 1 การค้นหาตำแหน่งที่ตั้งของหลักเขตแดนทั้ง 73 หลัก ที่ได้จัดทำไว้ในอดีต โดยเมื่อสามารถตกลงเห็นชอบกับ ตำแหน่งที่ตั้งของหลักเขตแดนแต่ละหลักได้แล้วก็จะซ่อมแซม (ในกรณีที่ ชำรุดหรือถูกเคลื่อนย้าย) หรือสร้างขึ้นใหม่ (ในกรณีที่สูญหายหรือถูก ทำลาย)

ขั้นตอนที่ 2 การจัดทำแผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto Map) คือ การจัดทำแผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศแสดง ลักษณะภูมิประเทศตามแนวเขตแดนทางบกตลอดแนว และได้ตกลงกันว่า จะจ้างประเทศที่สามเป็นผู้ดำเนินการ

ขั้นตอนที่ 3 การกำหนดแนวที่จะเดินสำรวจลงบนแผนที่จาก ภาพถ่ายทางอากาศ โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันกำหนดแนวที่จะเดินสำรวจ ตามหลักฐานทางกฎหมายลงบนแผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อใช้เป็น แนวทางให้การเดินสำรวจหาแนวเขตแดนในภูมิประเทศจริงเป็นไปโดย สะดวกและมีความถูกต้อง หากทั้งสองฝ่ายมีความเห็นแตกต่างกัน เกี่ยวกับแนวที่จะเดินสำรวจ ก็ให้จัดทำแนวของทั้งสองฝ่ายลงบน แผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศ

ขั้นตอนที่ 4 การเดินสำรวจหาแนวเขตในภูมิประเทศ โดยทั้ง สองฝ่ายจะร่วมกันเดินสำรวจสภาพภูมิประเทศจริงตามแนวที่จะเดินสำรวจ ตามขั้นตอนที่ 3 เพื่อกำหนดแนวเขตแดนในภูมิประเทศที่มีทั้งสันปันน้ำ แนวเส้นตรง และลำคลอง พร้อมทั้งกำหนดจุดที่จะก่อสร้างหลักเขตแดน ไปด้วย (ทุกระยะไม่เกิน 5 กิโลเมตร)

ขั้นตอนที่ 5 การก่อสร้างหลักเขตแดน ซึ่งจะก่อสร้างใน ภูมิประเทศสำคัญ ทั้งนี้ ได้ตกลงกันด้วยว่าขั้นตอนเหล่านี้เป็นเพียงการ วางแผนแม่บทในการปฏิบัติงานไว้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการ ไปทีละขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำแผนที่จากภาพถ่ายทาง อากาศนั้น สามารถดำเนินการควบคู่กันไปกับการค้นหาที่ตั้งหลักเขตแดนได้


เนื่องจาก MOU 43 ได้อ้างอิงแผนที่ 1:200,000 ทำให้ TOR 46 ต้องยึดแผนที่นี้ตามไปด้วย!!!
(จึงเกิดกระแสเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 43 ขึ้นมาในภายหลัง)


หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2547 ก็ได้มีการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวเขาพระวิหารให้นักท่องเที่ยวชมปราสาทอีกครั้ง


25 มีนาคม 2547 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือข้อราชการกับนายสก อัน รัฐมนตรีอาวุโสประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และเป็นประธานการประชุมร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการพัฒนาร่วมเขาพระวิหาร ที่กระทรวงการต่างประเทศ ภูมิหลังการพัฒนาร่วมเขาพระวิหาร

การดำเนินงานมีความคืบหน้ามาตามลำดับ

ในส่วนของกัมพูชาได้จัดตั้ง “คณะกรรมการระหว่างกระทรวงเพื่อพัฒนาพื้นที่ตาเฒ่าและปราสาทเขาพระวิหาร” มีนายสก อัน รัฐมนตรีอาวุโสประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะร่วมมือกับคณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาเขาพระวิหาร (ฝ่ายไทย) เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาร่วมเขาพระวิหารและปริมณฑลต่อไป ผลการประชุมทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันในเรื่องสำคัญ ๆ ได้แก่

1. ให้การพัฒนาร่วมเขาพระวิหารเป็นโครงการความร่วมมือที่เป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันที่แท้จริง

2. ดำเนินการเพื่ออนุรักษ์ปราสาทเขาพระวิหารให้คงคุณค่าด้านความงาม ศิลปะ ประวัติศาสตร์และโบราณคดี เพื่อเป็นมรดกของมนุษยชาติสืบไป โดยเป็นการดำเนินการร่วมกับองค์การ UNESCO หลังจากที่มีการจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว

3. ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสำคัญ ๆ ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะที่มีผลกระทบต่อสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองฝ่าย เช่น สิ่งแวดล้อม การเก็บกู้กับระเบิด ฯลฯ

4. ดำเนินการให้โครงการพัฒนาร่วมนี้ เกื้อหนุนและสอดคล้องกับโครงการพัฒนาอื่น ๆ อาทิ ACMECS สามเหลี่ยมมรกต ฯลฯ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

5. ยินดีต้อนรับการเข้ามีส่วนร่วมให้การช่วยเหลือและร่วมมือของประเทศที่สาม องค์การระว่างประเทศ และภาคเอกชน ในการร่วมพัฒนาเขาพระวิหาร

6. เกี่ยวกับเรื่องเส้นเขตแดน ได้ตกลงกันในหลักการที่จะให้มีการสำรวจสภาพภูมิประเทศร่วมกันเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการปักปันหลักเขตแดนในอนาคต โดยจะไม่ให้ปัญหาด้านเขตแดนมาเป็นอุปสรรคต่อโครงการร่วมพัฒนานี้ 

ทั้งนี้ ในการดำเนินการตามหลักการดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในการกำหนดแผนพัฒนาเขาพระวิหารอย่างเป็นระบบ โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการ/คณะทำงานที่เกี่ยวข้อง และอาจจำเป็นต้องตั้งขึ้นใหม่ ทำงานร่วมกัน และเสนอแนวความคิดและแนวทางดำเนินการให้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายให้ความความเห็นชอบเพื่อดำเนินการต่อไป โดยที่นายสก อัน รัฐมนตรีอาวุโสประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา รับผิดชอบหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือระหว่างไทย-กัมพูชา ในการเยือนประเทศไทยครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจึงได้หารือกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทวิภาคีในเรื่องอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะที่เป็นเรื่องสำคัญและมีผลต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา อาทิ ในเรื่องความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ความร่วมมือด้านแรงงาน ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมในกรอบคณะกรรมการร่วมสมาคมวัฒนธรรมไทย-กัมพูชา และการพัฒนาเส้นทางหมายเลข 67 (สะงำ-อันลองเวง-เสียมราฐ) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการติดต่อไปมาหาสู่กันระหว่างประชาชน รวมทั้งได้หารือกันเกี่ยวกับโครงการที่จะมีส่วนช่วยเชื่อมโยงด้านคมนาคมในภูมิภาค ได้แก่ โครงการพัฒนาเส้นทางหมายเลข 48(เกาะกง-สแรอัมเบิล) โดยความช่วยเหลือของรัฐบาลไทยด้วย 

จนกระทั่งปี พ.ศ. 2548.....

....................................................................................................


ผู้พิพากษามีอคติ อยู่ก็เหมือนตาย


http://www.youtube.com/watch?v=2zAoSQar45g&feature=share

อดีตผู้พิพากษา สถิตย์ ไพเราะ อภิปรายถึงผู้พิพากษาที่ตัดสินด้วยอคติ ยอมตนรับใช้ผู้มีอำนาจทางการเมือง ถึงมีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายไปแล้ว และถูกประณามไปชั่วกาลปาวสาน ในเสวนา"ตุลาการ -- มโนธรรมสำนึก -- ประชาธิปไตย"

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ห้อง แอลที ๑
วิทยากร
๑. พนัส ทัศนียานนท์ (อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.)
๒. สถิตย์ ไพเราะ (ผู้พิพากษาอาวุโส)
๓. พงศ์เทพ เทพกาญจนา (อดีตอาจารย์ผู้บรรยายวิชาหลักวิชาชีพนักก­ฎหมาย)
๔. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ (ผู้ร่วมก่อตั้งคณะนิติราษฎร์)

วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

..................................................................................................


..................................................................................................................




ไปให้ถึง!!!!!!!

........................................................................................................


เรื่องเจิืมศักดิ์ไปจาบจ้วงทักษิณและ"ปางน้ำฟ้า" มีเม้นท์กันทำนองว่า เจิมศักดิ์ตกเป็นเหยื่อความเกลียดชัง ความเกลียดทำให้คนระดับด็อกเตอร์เสียคนได้
มันเหมือนกับการคิดว่า ฆาตกรในเหตุการณ์ 6 ตุลาเป็นเหยื่อข่าวเท็จ เหยื่อการโฆษณาชวนเชื่อ
ผมว่าคนดีๆ น่ะ ถึงจะจงรักภักดีแค่ไหน เขาก็ไม่ฆ่าคนที่เป็นอริราชศัตรูอย่างอำมหิตขนาดนั้น ถึงจะเกลียดชังใครแค่ไหน เขาก็ไม่ชกใต้เข็มขัด ไม่ระบายอารมณ์แบบสกปรก
ความเลวร้ายที่เขาทำ ก็เพราะเขาเป็นคนอย่างนั้น เรื่องทรรศนะมันเป็นข้ออ้างเป็นเครื่องมือให้เขาสามารถแสดงความทรามออกมาได้ "อย่างมีเหตุผล" อย่างไม่ต้องอาย เ่ท่านั้นเอง

..........................................................................................................




เปลี่ยนกระถาง

นายไพศาล (นามสมมุติ) ทำงานที่บริษัทการเงินแห่งหนึ่งมาสามสิบปี วันหนึ่งเจ้านายบอกเขาว่า “คุณไพศาล เห็นคุณทำงานหนักแล้วเป็นห่วงจัง คงจะเหนื่อยแย่เลย คุณน่าจะพักซักหน่อยนะ”

อ่านระหว่างบรรทัดได้ความว่า คำว่า ‘พัก’ แปลว่าเลิกจ้าง อ่านใจเจ้านายได้ความว่า “ตอนนี้มีคนใหม่มาแทนคุณ จบจากนอก วิสัยทัศน์กว้างไกล ที่สำคัญคือราคาถูกกว่าคุณ!

นางสมละมัย (นามสมมุติ) ทำงานที่บริษัทการพิมพ์แห่งหนึ่งมายี่สิบห้าปี ขยันผิดปกติ ไปทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เลิกงานหลังคนอื่น แต่เธอก็ต้องไปขยันต่อที่อื่น เพราะเจ้านายบอกว่า “เราเข้าสู่ยุคใหม่ เราต้องปรับตัว...” อ่านระหว่างบรรทัดได้ความว่า บริษัทไม่มีนโยบายเลี้ยง ‘ไดโนเสาร์’ อ่านใจเจ้านายได้ความว่า “คุณไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์ ใช้อีเมลยังไม่เป็น ไม่สามารถปรับตัวกับยุคใหม่ได้”

นายรังสรรค์ (นามสมมุติ) ทำงานที่บริษัทผลิตรถยนต์แห่งหนึ่งนานยี่สิบห้าปี ตั้งแต่หนุ่มจนวัยกลางคน เขาไม่ได้เรียนจบปริญญา เริ่มจากงานเซลส์แมนระดับล่างในต่างจังหวัด ไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นหัวหน้าและผู้จัดการ นิสัยดี ลูกน้องรัก แต่วันหนึ่งก็ถูกลูกน้องที่เรียกเขาว่า ‘พี่’ ทุกคำเหยียบหัวขึ้นมาแทนเขา เหตุผลของเจ้านายคือ “เราต้องสร้างคนใหม่ขึ้นมา” เจ้านายไม่ได้บอกว่าจะทำอย่างไรกับคนเก่า แต่เดาไม่ยาก ในเมื่อคนใหม่มีปริญญาสองใบจากเมืองนอก พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าคนเก่าร้อยเท่า

นายสินชัย (นามสมมุติ) ทำงานในบริษัทอเมริกันแห่งหนึ่ง ขยัน นิสัยดี ซื่อสัตย์ แต่เมื่อผลผลิตไม่ถึงเป้า เขาก็ต้องจากไปตามปรัชญาการทำงานแบบฝรั่งคือ ถ้าชอบใจก็จ้างทันที เงินเดือนไม่อั้น ถ้าไม่ชอบใจก็ชี้ไปที่ประตูทางออกทันทีเหมือนกัน เจ้านายไม่พูดอ้อมค้อมให้ต้องตีความ บอกตรงๆ ว่า “คุณตามไม่ทันตลาดโลก วันๆ หมกหัวอยู่แต่ในรูเล็กๆ เดิมๆ ที่ปลอดภัย คิดแผนการตลาดแบบเดิมๆ ทำงานแบบเดิมๆ”

ตัวอย่างเหล่านี้ใช้นามสมมุติ แต่เนื้อเรื่องไม่สมมุติ มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นทุกวันทุกมุมโลก ในรอยต่อระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่ คนเหล่านี้มีนับล้านๆ คน เป็นพนักงานที่ขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์ ทำงานมานาน แต่ทำไมบริษัทจึงไล่พวกเขาออกง่ายๆ ?

คำตอบคือ องค์กรชอบคนซื่อสัตย์ ทำงานหนัก แต่ไม่ได้ใช้ความซื่อสัตย์-การทำงานหนักเป็นมาตรวัดผลงานและประเมินอนาคตของบริษัท บริษัทเหล่านี้อาจไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมด แต่เมื่อให้เลือกเอาระหว่างอนาคตของพนักงานคนหนึ่งกับอนาคตของบริษัท ก็ตอบได้ไม่ยาก

มองในมุมของคนที่ทำงานหนักอย่างซื่อสัตย์มานานปี “มันไม่แฟร์เลย!” แต่ในระบบทุนนิยม การว่าจ้างกับการเลิกจ้างเป็นของคู่กัน เป็นกระบวนการปกติของธุรกิจทุกวงการ คนที่ไม่เข้าใจ หรือลืมความจริงข้อนี้ มักจะทุกข์ร้อนเมื่อเวลาเลิกจ้างมาถึง หลังจากเผลอไปดาวน์รถ หรือจองคอนโดฯใหม่ได้สามวัน

คนส่วนใหญ่ชอบทึกทักเอาเองว่า หากซื่อสัตย์ต่อบริษัท ตั้งใจทำงาน จะไม่ถูกไล่ออก แต่ในยุคที่สนามแข่งขันคือโลกทั้งโลกและบริษัทส่วนใหญ่โอบรัดปรัชญา ‘กำไรสูงสุด’ ความคิดดังกล่าวไม่เป็นเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำดีแค่ไหน หากไม่สร้างกำไรสูงสุด ก็อาจอยู่ไม่ได้ แม้แต่ประธานกรรมการก็ถูกไล่ออกได้!

การถูกเลิกว่าจ้างเป็นผลรวมของลูกโซ่เหตุการณ์ที่สะสมมาถึงจุดจุดหนึ่ง คนที่มองไม่เห็นภาพรวมก็มักเดือดร้อนเมื่อถึงจุดจุดนั้น หรือมองแค่จุดจุดนั้น หลายคนชอบมองระยะสั้น ไม่ค่อยมองที่ภาพรวม แก้ปัญหาเฉพาะหน้าช่วงสั้นๆ

ยกตัวอย่างเช่น หากรู้สึกว่าเงินเดือนน้อยไป ก็ไปบอกเจ้านาย เมื่อเจ้านายขึ้นเงินเดือนให้ ก็เข้าใจว่าปัญหาของตนจบแล้ว ก้มหน้าทำงานต่อไปอย่างสบายใจ แต่ไม่มองภาพรวมว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน บริษัทอยู่ที่ไหน และโลกอยู่ตรงไหน การตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงภายนอก ก็เหมือนกบในหม้อน้ำที่ต้มด้วยไฟอ่อน ไม่รู้ความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในหม้อ กว่าจะรู้ว่าร้อน ก็กลายเป็นกบต้มสุกไปแล้ว

บางคนยึดเก้าอี้ไว้แน่น ไม่ยอมขยับตัวไปทำอะไรอย่างอื่นไม่ใช่เพราะรักงาน แต่เพราะความเคยชินกับองค์กร โดยไม่รู้หรือลืมไปว่า นโยบายองค์กรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และท้ายที่สุด บริษัทก็ยึดเอาผลประโยชน์ขององค์กรเป็นหลักเสมอ ถ้าพนักงานไม่พร้อม ไม่สามารถปรับตัวกับนโยบายใหม่ หรือมีภาพลักษณ์ว่าไม่สามารถปรับตัว ก็ต้องหลุดจากวงจรทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ผิดอย่างเดียวคือ ตามโลกไม่ทัน

ทุกๆ องค์กรประกอบด้วย ‘กระถาง’ หลายใบ กระถางหนึ่งใบต่อพนักงานหนึ่งคน จำนวนกระถางขึ้นกับขนาดบริษัท กระถางคือ พื้นที่เติบโตสูงสุดของพนักงานแต่ละคน

กระถางมีหลายขนาด หลายแบบ พนักงานบางคนเปลี่ยนกระถางทุกปีสองปี บางคนทำงานมายี่สิบปี ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนกระถางสักครั้ง เพราะไม่โตเต็มกระถางใบนั้นสักที ต้นไม้แบบนี้มักถูกคัดออก

บางครั้งบริษัทอาจลดจำนวนกระถาง บางครั้งก็ย้ายกระถางทั้งหมดไปที่ใหม่ เจอสภาพแวดล้อมใหม่ ดินฟ้าอากาศที่ต่างจากเดิม ต้นไม้ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ก็ต้องตายไปเช่นกัน

ต้นไม้ไม่ทุกต้นเหมาะกับกระถางใบหนึ่งๆ หากเป็นพันธุ์ไม้ที่ต้นใหญ่ รากโต งอกงามเร็ว ก็ต้องเปลี่ยนกระถางบ่อย ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นบอนไซ

นอกจากนี้ ไม่ทุกองค์กรมีกระถางใบใหญ่สำหรับต้นไม้ที่โตเร็ว บางต้นรากงอกทะลุออกนอกกระถางไชลงไปในดิน ขยับหรือย้ายไม่ได้ หากจะย้ายออกก็ต้องทุบกระถางทิ้ง หรือต้องตัดรากส่วนที่งอกนอกกระถางออก อาจส่งผลให้ต้นไม้นั้นตายได

ดังนั้น การประเมินขนาดกระถางและอัตราการเจริญเติบโตของตัวเราเป็นระยะๆ จึงสำคัญมาก ต้องรู้จักมองภาพกว้างไกลกว่าแค่ว่าที่ทำงานยุติธรรมหรือไม่ จ่ายดีกว่าที่อื่นหรือไม่ ควรมองไปไกลว่าเราจะทำอะไรในอีก 10-20 ปีข้างหน้า เราจะเป็นอะไร อยู่ในกระถางแบบไหน ควรวิเคราะห์สถานการณ์ในภาพรวมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ที่นี่ ที่นี่เป็นบันไดขั้นที่เท่าไรของเรา เราจะงอกรากที่นี่นานเท่าใด ถึงเวลาเปลี่ยนกระถางแล้วหรือไม่ ถึงเวลาใส่ปุ๋ยเพื่อให้โตพอดีกระถางหรือไม่ ฯลฯ

มายาอย่างหนึ่งของลูกจ้างคือ ความคิดว่าบริษัทที่ยุติธรรมกับลูกจ้างเป็นบริษัทที่เหมาะกับเขา ความจริงคือ บริษัทที่ยุติธรรมต่อลูกจ้าง ไม่แน่ว่าจะเป็นบริษัทที่เหมาะกับเขา

บริษัทที่ชั่วโมงทำงานสั้น เงินเดือนสูง ให้โบนัสปีละแปดเดือน ไม่ได้แปลว่าเป็นองค์กรที่เหมาะสมกับเรา เพราะหากในระยะยาว เราก้าวไปไม่เต็มศักยภาพของตัวเอง ไปไม่ถึงฝัน เงินเดือนสูง โบนัสสูงก็อาจไร้ประโยชน์ ในทางกลับกัน บางองค์กรทำงานชั่วโมงยาว ให้เงินเดือนต่ำ ไม่มีโบนัส แต่อาจเป็นบันไดขั้นสำคัญเพื่อไปถึงฝั่งฝัน เพราะบางอย่างซื้อด้วยเงินไม่ได้ เช่น ทักษะพิเศษ ประสบการณ์เฉพาะตัว บทเรียนการทำธุรกิจ เป็นต้น

เราควรรู้ หรือถ้าไม่รู้ก็หาทางรู้ว่า การไปถึงปลายฝันของเรานั้นต้องการปัจจัยอะไรบ้าง ต้องมีประสบการณ์อะไรบ้าง ต้องอัพเกรดตัวเองจุดไหนบ้าง ต้องเรียนต่อหรือเปล่า ต้องใช้เงินทุนหรือเปล่า ฯลฯ

ดังนั้น ระวัง! อย่า ‘งอกราก’ ไม่ขยับตัวไปจนวันเกษียณ พอถึงวันสุดท้ายเพิ่งนึกได้ว่ายังไปไม่ถึงจุดที่ฝัน หรือเพิ่งพบว่าตัวเองเป็นบอนไซ ก็อาจช้าเกินที่จะเปลี่ยนอะไรอย่างได้ผลแล้ว

ลองถามตัวเองด้วยคำถามต่อไปนี้ :

1.การดำรงอยู่ของเราในองค์กรนี้ สร้างความแตกต่างที่ดีต่อองค์กรหรือไม่?

2.การดำรงอยู่ของเราในองค์กรนี้ ช่วยพัฒนาตัวเราหรือไม่?

3.องค์กรที่เราอยู่ให้โอกาสเราใช้ศักยภาพเต็มที่หรือไม่ มีกระถางใบใหญ่กว่านี้รอให้เราเปลี่ยนหรือไม่?

4.เราสามารถเติบโตเต็มกระถางใหม่หรือไม่?

หากคำตอบส่วนใหญ่คือ “ไม่” บางทีได้เวลากระโดดออกจากหม้อน้ำที่ต้มด้วยไฟอ่อนได้แล้ว

ซุนหวู่เขียนไว้ใน ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่ ราวห้าร้อยปีก่อนคริสต์กาลว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”

รู้เขา รู้เรา ก็คือประเมินเขา ประเมินเรา

การประเมินตัวเอง, องค์กร และโลกทำให้เรารู้ตัวว่าเราเป็นใคร เก่งแค่ไหน สำคัญแค่ไหน มีโอกาสอะไรรอเราอยู่ จะได้ใช้เป็นข้อมูลประกอบการติดสินใจ ว่าจะทำอย่างไรกับอนาคตและความฝันของตนเอง

แน่ละ ไม่ทุกคนต้องการอยู่ในกระถางใบใหญ่ บางคนมีความสุขในกระถางใบเล็ก ทว่าหากไม่รู้จักประเมินตัวเองและสถานการณ์ บางทีแม้แต่กระถางใบเล็กก็อยู่ไม่ได้!

คนฉลาดรู้เขา รู้เรา มองข้ามชอร์ตก่อนคนอื่นสองสามก้าว และลงมือสร้างความแตกต่างให้ชีวิตตัวเอง ก่อนที่เจ้านายจะบอกว่า “เห็นคุณทำงานหนักแล้วเป็นห่วงจัง...”

วินทร์ เลียววาริณ, 27 เมษายน 2556
www.winbookclub.com

*Illustrated by Upside Down (2012)
 
..............................................................................................................


แด่สาวน้อย คนที่เขียนมาบอกกับฉันว่าโลกนี้น่าเบื่อ
...
ฉันคงต้องถามกับเธอ
เธอเคยเห็นโลกใบนี้สักหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่มันมีอยู่ไหม
ประเทศไทยของเราละเธอเคยเห็นสักกี่เปอร์เซ็นต์
รวงข้าวเล่า โคลนที่กระเด็นมาจากล้อรถเล่า เด็กน้อยที่เดินไปโรงเรียนด้วยเท้าเปล่าวันละสิบกิโลเล่า
เธอเคยเดินไปกับพวกเขาไหม
เธอเคยมองพระอาทิตย์จากที่ที่สูงกว่าหรือยัง
เธอกินผักที่กินยากๆหรือยัง อาหารกลิ่นแรงๆของชนพื้นถิ่นทั้งหลายด้วย
เธอเคยนั่งกินกับพวกเขาไหม
ภูเขาลูกเล็กๆ ที่เอามือจับก้อนหิน แล้วก็ดึงตัวขึ้นไปได้ทีละเนินทีละเนิน
ทะเลสีน้ำเงินเข้ม ที่แค่เอาหน้าจมลงไปก็เห็นหมู่ปลาว่ายไปมา
เธอเคยทำหรือยัง
เธอเคยเขียนจดหมายถึงใครที่ไม่รู้จักหรือถ่ายรูปอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่รูปตัวเองหรือรูปเพื่อนๆสักโหลสองโหลไหม
...
เธอกำลังสำคัญผิด บนโต๊ะและบนเตียงไม่ใช่โลกทั้งใบของเธอหรอก

.............................................................................................................


โรงแยกก๊าซธรรมชาติ




การแยกก๊าซธรรมชาติคือ อะไร             การแยกก๊าซธรรมชาติ คือ การแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนซึ่งปะปนกันหลายชนิดตามธรรมชาติออกจากก๊าซ ธรรมชาติมาเป็นก๊าซชนิดต่างๆ เพื่อนำไปใช้ไห้เกิดประโยชน์สูงสุดตามคุณค่าของก๊าซนั้นๆ
โรงแยกก๊าซธรรมชาติใน ประเทศไทย             โรงแยกก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยเกิดขึ้นหลักจากที่มีการนำก๊าซธรรมชาติซึ่ง คันพบในอ่าวไทยมาใช้ประโยชน์  เพื่อทดแทนการใช้น้ำมันดิบที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ปตท. ในฐานะผู้รับผิดชอบในด้านพลังงานของประเทศไทย  จึงก่อสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตในทะเลมาขึ้นฝั่งที่ ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง  และวางท่อส่งก๊าซฯ ไปยังโรงไฟฟ้าบางปะกงและพระนครใต้ของ กฟผ. เพื่อนำก๊าซฯไปใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า

             อย่างไรก็ตามก๊าซจากอ่าวไทยประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอนที่เป็นประโยชน์มากมายหลายชนิด ซึ่งสามารถแยกออกมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่านำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียว  โดยแยกสารประกอบของสารไฮโดรคาร์บอนที่มีคุณค่าออกมาก่อนส่งไปใช้เป็นเชื้อ เพลิง  นับเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก และบริเวณพื้นที่ซึ่งแนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติผ่าน  โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ

             ปตท. จึงขออนุมัติจากรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติขึ้น 2 หน่วยที่ ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง แต่ในระยะแรกได้ดำเนินการก่อสร้างเพียงหน่วยเดียวก่อน ใช้งบประมาณ 7360 ล้านบาท โดยได้ก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่1 ซึ่งมีกำลังการผลิต 350 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน  ตั้งแต่ พ.ศ. 2525 และก่อสร้างแล้วเสร็จในพ.ศ.2527 และเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการในพ.ศ. 2528 โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2528

             ต่อมาความต้องการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG หรือก๊าซหุงต้ม)ได้ขยายตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว คณะรัฐมนตรีจึงอนุมัติให้ ปตท. ก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 2 ขึ้นในบริเวณเดียวกับโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่1 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 2057 ล้านบาท มีกำลังการผลิต 250 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และสร้างแล้วเสร็จในต้น พ.ศ. 2534 และเนื่องจากความต้องการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง คณะรัฐมนตรีจึงอนุมัติการสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 3 ซึ่งมีกำลังการผลิต 350 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ที่ จ.ระยองในบริเวณเดียวกันกับหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 และโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 4 ซึ้งกำลังการผลิต 230 ล้านบาศก์ฟุตต่อวัน ที่ อ. ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2539 ทั้งสองหน่วย เพื่อสนองความต้องการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือก๊าซหุงต้มที่เพิ่มขึ้นมากจนต้องนำเข้ามาทดแทนรวมทั้งช่วยเสริมสร้าง ความมั่นคงให้แก่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก

             ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีโรงแยกก๊าซธรรมชาติแล้วถึง 4หน่วย แต้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ โดยเฉพาะความต้องการด้านวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตเคมี ดังนั้นเมื่อ พ.ศ. 2542 คณะกรรมการปตท. จึงมีมติเห็นชอบให้ก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่5 ขึ้นที่บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบาตรพุด อ.เมือง จ.ระยอง มีกำลังการผลิต 530 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยเปิดดำเนินการในเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 อีกทั้งใน พ.ศ. 2548 ได้ดำเนินการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่6 ขนาดกำลังการผลิต 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ภายในพื้นที่เดียวกันกับหน่วยที่ 1 2 3 และ 5 ใน จ.ระยอง โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงการเชิงพาณิชย์ได้ใน พ.ศ. 2553
วัตถุประสงค์ในการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติแต่ละหน่วยโรงแยก ก๊าซธรรม หน่วยที่ 1             เพื่อผลิตวัตถุตั้งต้นให้แก่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือก๊าซหุงต้มสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน
โรงแยก ก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 23 และ 4             เพื่อขยายตัวตามความต้องการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวก๊าซหุงต้มที่เพิ่มสูงขึ้นโรงแยก ก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 5             เพื่อรองรับการขยายตัวในการผลิตของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่มีความต้องการก๊าซอีเทน ก๊าซโพรเพน และก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือก๊าซหุงต้มเป็นวัตถุดิบตั้งต้น พร้อมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงในด้านการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์
ขนาดและกำลังการผลิต
             นอกจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ที่ จ. ระยอง และ จ.นครศรีธรรมราชแล้ว บริษัท ไทยเซลล์ เอ็กซพลอเรชั่นแอนด์โปรดักชั่น จำกัด ยังได้สร้างโรงแยกก๊าซพลังเพชรขึ้นในบริเวณแหล่งผติตน้ำมันสิริกิติ์ จ.กำแพงเพชร โรงแยกก๊าซพลังเพชรเปิดดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2533 เพื่อเพิ่มคุณค่าทางพลังงานของก๊าซธรรมชาติที่ผลิตขึ้นมาพร้อมกับน้ำมันดิบ เพชร โดยก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือก๊าซหุงต้นที่ผลิตได้จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งนี้ ปตท. เป็นผู้รับซื้อเพื่อจำหน่วยแก่ผู้บริโภค นอกจากนี้ ก๊าซธรรมชาติที่เหลือส่วนหนึ่งยังใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า สำหรับโรงไฟฟ้าลานกระบือของ กฟผ. อีกด้วย
ผัง แสดงการใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติ
C1 = ก๊าซมีเทน Methane
C2 = ก๊าซอีเทน Ethane
C3 = ก๊าซโพรเพน Prorane
C3+C4 = ก๊าซปิโตรเลียมเหลส LPG
C5+ = ก๊าซโซลีนธรรมชาติ Natural Gasoline
CO2 = ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide

ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับจากการแยกก๊าซธรรมชาติ             เพราะในตัวเนื้อก๊าซธรรมชาติที่มีสารประกอบที่เป็นประโยชน์อยู่หลายชนิด เมื่อผ่านกระบวนการแยกที่โรงแยกก๊าซฯแล้วก็จะได้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาใช้ประโยชน์ได้ ดังนี้

ก๊าซเทน  ประโยชน์             ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า และความร้อนในโรงงานอุตสาหกรรม
             ใช้เป็นเชื้อเพลิงยานพาหนะ
             ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยเคมี
             การขนส่ง   ผ่านระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติให้ลูกค้าในเขตจังหวัดระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา กรุงเทพฯ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี

ก๊าซอีเทน  ประโยชน์             ใช้ผลิตเอทีมลีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นสำหรับเม็ดพลาสติกโพลีเอทีลีน (PE) เพื่อใช้ผลิตถุงพลาสติกหลอดยาสีฟัน ขวดพลาสติกใส่แชมพู และเส้นใยพลาสติกชนิด ต่างๆ
             การขนส่ง  ผ่านระบบท่อส่งผลิตภัณฑ์ไปยังนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

ก๊าซโพรเพน  ประโยชน์             ใชเผลิตโพรพิลีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นในอุสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อใช้ในการผลิต  เม็ดพลาสติกโฑลีโพรพิลีน(PP) เช่น ยางงในห้องเครื่องรถยนต์ หม้อแบตเตอรี่ กาว และสารเพิ่มคุณกาพน้ำมันเครื่อง
             การขนส่ง   สามารถจัดส่งได้ทางรถบรรทุกสำหรับลูกค้าอุตสาหกรมม และขนส่งผ่านระบบท่อส่งผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าในนิคมอุตสาหรรมมาบตาพุด

ก๊าซบิวเทน  ประโยชน์             ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
             นำมาผสมกับโพรเพนเป็นก๊าซปิโตรเลียมเหลว (ก๊าซหุงต้ม)
             การขนส่ง   สามารถจัดส่งได้ทางรถบรรทุกสำหรับลูกค้าอุตสาหกรรม และการขนส่งผ่านระบบท่อส่งผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด

ก๊าซปิโตรเลียมเหลว  ประโยชน์             ใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือก๊าซหุงต้มในครัวเรือน และเชื้อเพลิงในรถยนต์
             ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้ความร้อนในโรงงานอุตสาหกรรม
             ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เช่นเดียวกับก๊าวอีเทนและก๊าซโพรเพน
             การขนส่ง  ดำเนินการโดยบริหารเครือข่ายไปสู่ลูกค้า  ครอบคลุมในทุกพื้นที่ของประเทศ อันได้แก่คลังปิโตรเลียมลำปาง คลังปิโตรเลียมขอนแก่น  คลังปิโตรเลียมนครสวรรค์ คลังปิโตรเลียมสุราษฏร์ธานีธานี คลังปิโตรเลียมสงขลา คลังปิโตรเลียมบางจาก คลังปิโตรเลียมเขาบ่อยา และคลังปิโตรเลียมบ้านโรงโป๊ะ
             จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง
                  ขนส่งระบบท่อส่งผลิตภัณฑ์เพื่อจ่ายให้ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และส่งไปที่คลังก๊าซเขาบ่อยา และคลังก๊าซโรงโป๊ะ เพื่อจ่ายให้ลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ
             จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติขนอม
                  ขนส่งทางงเรือนไปที่คลังปิโตรเลียมสุราษฏร์ธานี และคลังปิโตรเลียมสงขลา เพื่อจำหน่ายให้ลูกค้าในภาคใต้

ก๊าซโซลี นธรรมชาติ ประโยชน์             ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมตัวทำละลาย
             ใช้ผสมเป็นน้ำมันเบนซินสำเร็จรูป
             ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
             การขนส่ง :
             จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง
                จัดส่งผ่านท่อส่งผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
                จัดส่งผ่านท่อส่งผลิตภัณฑ์ไปที่คลังก๊าซเขาบ่อยา ด้วยท่อขนส่งผลิตภัณฑ์เพื่อ ส่งออก
                จ่ายให้รถบรรทุกที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง
             จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติขนอม
                จัดส่งให้ลูกค้าทางเรือ

ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับจากระบวนการแยกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากก๊าซธรรมชาติ ประโยชน์             ใช้ในอุตสาหกรรมหล่อเหล็ก อุตสาหกรรมถนอมอาหาร แลอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม
             ใช้ทำน้ำยาดับเพลิง ฝนเทียม ฯลฯ
             การขนส่ง  ผ่านระบบท่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบริเวณโรงแยกก๊าซธรรมชาติให้แก่ผู้ผลิต คาร์บอนไดออกไซด์เหลวและน้ำแข็งแห้ง

กระบวนการแยกก๊าซธรรมชาติ
โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 1 2 3 จังหวัดระยอง ประกอบด้วยกระบวนการต่างๆ แบ่งตามหน้าที่ ดังนี้
กระบวนการสำหรับแยกสารที่ไม่ใช้สารประกอบไฮโครคาร์บอน             ก๊าซธรรมชาติมักมีสิ่งเจือปนซึ่งไม่ใช่ไฮโครคาร์บอนปะปนมาด้วยได้แก่ ปรอท (Hg) ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) น้ำ (H2O) โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย สูงถึงร้อยละ 14-20 โยปริมาตร และในกระบวนการแยกก๊าซฯ ที่ต้องใช้อุณหภูมิที่ต่ำ (ประมาณ-1000C) ซึ่งจะทำให้น้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แข็งตัว และมีผลทำให้ระบบท่ออุดตัน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องจัดออกโดยผ่านกระบวนการ ดังนี้

             หน่วยกำจัดสารปรอท เนื่องจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมีสารปรอทปนเปื้อนอยู่ ดังนั้นโรงแยกก๊าซธรรมชาติจึงต้องกำจัดสารปรอทออกเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดกับอุปกรณ์ของโรงแยกก๊าซฯ และอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค

             หน่วยกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ (ยกเว้นโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่2) ใช้สารละลายโปตัสเซียมคาร์บอเนต (K2CO3) ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากก๊าซธรรมชาติ จากนั้นนำสารละลายโปตัสเซียมคาร์บอเนตที่อิ่มตัวด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มา ลดความดันและเพิ่มอุณหภูมิเพื่อแยกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่งจำหน่วยต่อไป และทำไห้สามารถนำสารละลายโปตัสเซียมคาร์บอเนตกลับมาใช้อีก

             หน่วยกำจัดความชื้น ใช้หลักการดูดซับโดยใช้ตัวดูดซับซึ่งเป็นสารรูพรุนสูงดูดซับน้ำออกจากก๊าซธรรมชาติ

กระบวนการสำหรับแยกสารประกอบไฮโครคาร์บอน             การแยกก๊าซธรรมชาติใช้หลักการเดียวกับการกลั่น โดยจะเปลี่ยนก๊าซธรรมชาติให้เป็นของเหลว และปรับอุณหภูมิของก๊าซธรรมชาติที่เป็นของเหลวให้มีอุณหภูมิเดียวกันกับจุด เดือดของกาซไฮโครคาร์บอนแต่ละชนิดที่ต้องการแยก แบ่งได้เป็น 2 กระบวนการ คือ

                หน่วยแยกก๊าซเหลวรวม ก๊าซธรรมชาติที่ปราศจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์และน้ำจะถูกส่งเข้าอุปกรณ์ลด ความดัน เพื่อลดความดันและอุณหภูมิจนทำให้ก๊าซธรรมชาติกลายเป็นของเหลว และส่งต่อไปยังหอแยกก๊าซมีเทน ซึ่งทำหน้าที่แยกก๊าซมีเทน(C1) ออกจากก๊าซธรรมชาติ เรียกผลิตภัณฑ์ส่วนนี้ว่า Sales Gas
                หน่วยแยกผลิตภัณฑ์ อาศัยหลักการกลั่นแยกสารเพื่อแยกก๊าซธรรมชาติ ให้อยู่ในรูปสารอินทรีย์บริสุทธิ์ ประกอบด้วย หอแยกก๊าซอีเทน ซึ่งทำหน้าที่แยกก๊าซอีเทน (C2) และหอแยกก๊าซโพรเพนซึ่งทำหน้าที่แยกก๊าซธรรมชาติเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆได้แก่ ก๊าซโพรเพน (C3) กาซปิโตรเลียมเหลว (C3+C4) และก๊าซธรรมชาติ (C5)

อุปกรณ์เสริมใช้ประกอบการแยกก๊าซธรรมชาติ             อุปกรณ์ต่างๆ ในส่วนนี้จะทำหน้าที่ผลิตพลังงานและผลิตความเย็นเพื่อใช้การแยกก๊าซธรรมชาติ เช่น อุปกรณ์ผลิตไอน้ำ อุปกรณ์ทำความเย็น ระบบน้ำหล่อเย็น ถังเก็บภัณฑ์ เป็นต้น

โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 4จังหวัดนครศรีธรรมราช             โรงแยกก๊าซธรรมชาติขนอม ใช้กระบวนการผลิตแบบลดความดัน โดยมีอุปกรณ์ลดความดันทำหน้าที่ลดความดันของก๊าซธรรมชาติ เพื่อลดอุณหภูมิของก๊าซธรรมชาติจนมีสภาวะเป็นของเหลว แล้วจึงส่งเข้าหอกลั่นเพ่อแยกเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยอาศัยคุณสมบัติจุดเดือดของก๊าซที่ต่างกัน ประกอบด้วยกระบวนกรและอุปกรณ์หลักดังนี้

กระบวนการสำหรับแยกสารที่มิใช่ไฮโครคาร์บอน             หน่วยกำจัดสารปรอท ทำหน้าที่จำกัดสารปรอทที่ปนเปื้อนมากับก๊าซธรรมชาติ
             หน่วยกำจัดความชื้น ใช้หลักการดูดซับ โดยใช้ตัวดูดซับซึ่งเป็นสารที่มีรูพรุนสูง ดูดซับน้ำออกจากก๊าซธรรมชาติ

กระบวนการสำหรับแยกสารประกอบไฮโครคาร์บอน             หน่วยแยกก๊าซมีเทน ก๊าซอีเทน และก๊าซไฮโครคาร์บอน ประกอบด้วย 2 หอกลั่นหลักที่เชื่อมต่อกัน คือ หอแยก โดยใช้การกลั่นตัวตามลำดับส่วน และหอแยกก๊าซอีเทน โดยก๊าซธรรมชาติที่ผ่านหน่วยกำจัดความชื้นแล้ว จะถูกลดความดันและอุณหภูมิลงจนมีสถานะเป็นของเหลวแล้วจะถูกส่งไปยังหอแยก โดยใช้การกลั่นตัวตามลำดับส่วน ซึ่งมีหน้าที่เพิ่มประสิทธิภาพในการแยกก๊าซมีเทนและก๊าซอีเทนให้มีความบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น โดยก๊าซอีเทนจะถูกแยกออกทางยอดหอส่งให้บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ส่วนก๊าซจากด้านล่างหอจะผ่านเข้าไปที่หอแยกก๊าซอีเทน เพื่อแยกก๊าซมมีเทนและก๊าซอีเทนออกจากอื่นๆ โดยก๊าซที่ได้จากยอดหอนี้จะถูกส่งกลับไปที่หอแยกโดยใช้การกลั่นตัวตามลำดับส่วน เพื่อแยกเป็นก๊าซมีเทนและก๊าซอีเทน และก๊าซที่ได้จากด้านล่างหอจะถูกปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้น จากนั้นจะส่งต่อไปยังหน่วยแยกผลิตภัณฑ์ก๊าซปิโตรเลียมเหลวและก๊าซโซลีนธรรมชาติ

หน่วยแยกผลิตภัณฑ์ปีโตรเลียมเหลวและก๊าซโซลีนธรรมชาติ             ทำหน้าที่แยกก๊าซปิโตรเลียมเหลว และก๊าซโซลีนธรรมชาติออกจากกันโดยก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ออกจากยอดหอจะถูกส่ง ไปหน่วยกำจัดสารไฮโครเจนซัลไฟด์ ส่วนก๊าซโซลีนธรรมชาติที่ออกทางด้านล่างของหอนั้นจะส่งไปยังถังเก็บผลิตภัณฑ์เพื่อรอการจัดจำหน่ายทางเรือหรือทางรถยนต์ต่อไป

กระบวนการเสริมประกอบการแยกก๊าซธรรมชาติ             หน่วยกำจัดสารไฮโครเจนซัลไฟด์ออก จากก๊าซปิโตรเลียมเหลว เป็นกระบวนการกำจัดสารกำมะถันที่อยู่ในก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อให้มีคุณสมบัติตามต้องการ และเมื่อผ่านการทดสอบแล้วจึงส่งไปยังถังเก็บผลิตภัณฑ์ เพื่อรอการจัดส่งทางเรือ หรือทางรถยนต์ต่อไป
                หน่วยเก็บผลิตภัณฑ์ก๊าซปิโตรเลียมเหลวและก๊าซโซลีนธรรมชาติ มีถังเก็บก๊าซปิโตรเลียมเหลว 2 ถัง ความจุถังละ 6000 ลูกบาศก์เมตร และถังเก็บก๊าซโซลีนธรรมชาติ 2ถัง ซึ่งมีความจุ 250 ลูกบาศก์เมตรและ 4000 ลูกบาศก์เมตร

โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 5 จังหวัดระยอง             โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่5 เริ่มดำเนินการเมื่อ พ.ศ. 2548 เป็นโรงแยกก๊าซฯ ที่มีขาดใหญ่ที่สุดและมีกระบวนการผลิตโดยรวมเหมือนกับโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 1 โดยใช้กระบวนการผลิตแบบระบบลดความดันแต่โรงแยกก๊าซฯหน่วยที่5 ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการออกแบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแยกก๊าซฯให้ได้ก๊าซอีเทนที่มีความบริสุทธิ์มาก ขึ้นตามความต้องการของลูกค้า ลดปริมาณการใช้พลังงานตามเทคโนโลยี PINCN ลดปริมาณน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิต โดยการใช้ Thermal Oil ในการให้ความร้อนแทนไอน้ำ และใช้กระบวนการดูดซับโดยสารละลายเอมีนในการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่ากระบวนการเบนฟิลด์ที่ใช้ในโรงแยกก๊าซฯหน่วยที่1

             นอกจากนั้น ปตท. ได้ปรับปรุงโรงแยกก๊าซ หน่วยที่ 2 และ3 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแยกก๊าซอีเทน เมื่อ พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2552 ตามลำดับ พร้อมดำเนินการก่อสร้างโรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 6 ที่ จ.ระยอง ซึ่งจะแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2553 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซอีเทนและก๊าซโพรเพน  ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจปิโตรเคมีของประเทศ และเพิ่มกำลังการผลิต ผลิตภัณฑ์ก๊าซปิโตรเลียมเหลวและก๊าซโซลีนธรมชาติ เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ

โรงแยกก๊าซธรรมชาติกับการพัฒนาประเทศผลประโยชน์ต่อส่วนรวมที่จะได้จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ สามารถจำแนกได้ดังนี้
             1.ช่วยเสริมสร่างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาด้านพลังงานจากต่างประเทศ และสามารถผลิตวัตถุดิบพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นการการประกันการเติบโตทางเศรษฐกิจของชาติและส่งผลให้เกิดความมั่นคงด้านอื่นๆ
             2.ช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศ ในการนำเข้าน้ำมันดิบ เป็นมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี
             3.ช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบทางอุตสาหกรรม ทำให้อุตสาหกรรมขนาดเล็กเกิดขึ้นได้ และมีโอกาสเติบโตพัฒนาต่อไปในอนาคต อาจขยายกำลังการผลิตจนสามารถส่งออกไปขายต่างประเทศ นำรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้นทางหนึ่ง
             4.ช่วยสงวนรักษาทรัพยากรของประเทศ ลดการตัดไม้ทำลายป่าลงได้อย่างมาก เมื่อประชากรหันมาใช้ก๊าซหุงต้มแทนฟืนและถ่านไม้ และแทนที่จะใช้ก๊าซธรรมชาติไปเผาไหม้แต่อย่างเดียว ก็แยกส่วนที่มีคุณค่ามาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
             5.ช่วยให้เกิดการจ้างแรงงานในท้องถิ่น ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ และลดการย้ายถิ่นฐานของประชาชนในการเข้ามาทำงานในเมือง

มาตรฐานการดูแลสิ่งแวดล้อม             โรงแยกก๊าซธรรมชาติ ทำหน้าที่แยกก๊าซไฮโครคาร์บอนชนิดต่างๆ โดยมีก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบป้อนเข้าสู่โรงงานรับพลังงานภายยอก และอาศัยพลังงานบางส่วนจากโรงงานในการแยกก๊าซไฮโครคาร์บอนออกจากก๊าซธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ไฮโครคาร์บอนจะถูกส่งเข้าสู่ถังเก็บและส่งต่อไปยังคลังเก็บผลิตภัณฑ์เพื่อรอการจำหน่วยต่อไปของเสียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะส่งต่อไปยังหน่วยกำจัดของเสีย และทำให้อยู่ในสภาพที่ไมสภาพที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมแล้วกำจัดทิ้งตามระบบ

             การควบคุมของเสียเพื่อลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมให้น้อยที่สุดหรือไม่มีเลยนั้น เริ่มตั้งแต่ควบคุมการออกแบบโรงงานให้ได้ตามแบบมาตรฐานสากล และตามเงื่อนไขของกรมโรงงานอุตสาหกรรม และยังต้องควบคุมการก่อสร้างเป็นตามแบบที่กำหนด เลือกใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน ตรวจสอบสภาพแวดล้อมตามจุดที่ปล่อยหรือเก็บกักของเสียรวมทั้งบริเวณชุมชนและ สภาพแวดล้อม โดยจะต้องดำเนินการตรวจสอบเป็นระยะและนำผลมาเปรียบเทียบอย่างสม่ำเสมอ

             ในการดำเนินการโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 123 และ 5 ที่ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง รวมถึงหน่วยที่ 4 ที่ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ปตท. ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ดังนั้น ปตท. จึงได้ติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด โดยในช่วงก่อนการก่อสร้างจะจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพื่อเสนอต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
 รายงานดังกล่าวระบุมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมปัจจุบัน ปตท. ยังคงติดตามตรวจสอบบันทึกผลและจัดทำรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อเสนอต่อ สผ. รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น อย่างสม่ำเสมอ โดยจากการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมของโรงแยกก๊าซธรรมชาติทั้ง 5 โรงตั้งแต่เปิดดำเนินการเป็นต้นมา รากฎว่าคุณภาพอากาศ  ๕ณภาพเสียง คุณภาพน้ำ และกากของเสียจากกระบวนการผลิตล้วนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่ามาตรฐานที่กำหนดมน ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงอุตสาหกรรม

             นอกจากนี้ที่ผ่านมา โรงงานก๊าซธรรมชาติระยองและโรงแยกก๊าซธรรมชาติขนอมยังได้รับรางวัล EIA Award โดยได้รับคัดเลือกให้เป็นสถานประกอบการที่มีการจัดการและรักษาสภาพแวดล้อม ตามมาตรการในรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมดีเด่นซึ่งจัดโดย สผ. ทั้งนี้ โรงแยกก๊าซธรรมชาติขนอมได้รับ EIA Award ใน พ.ศ. 2542-2545 ติต่อกัน 4 ปี และใน พ.ศ. 2548-2550 ติดต่อกัน 3 ปี นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัล EIA Monitoring Award ใน พ.ศ. 2551 นอกเหนือจากมาตรฐานระดับสากลด้านต่างๆและรางวัลอื่นๆ ที่ได้รับอย่างต่อเนื่อง

รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ             นอกจากการปฏิบัติตามกฎหมายข้างต้นแล้ว โรงแยกก๊าซธรรมชาติของ ปตท. มีการบริหารและดำเนินงาน โดยนำกิจกรรมเพิ่มผลผลิตมาใช้ อาทิ 5ส ข้อเสนอแนะ การบำรุงรักษาเครื่องจักรด้วยตนเอง QC Mini QC รวมทั้งยังให้ความสำคัญในเรื่องการประหยัดพลังงาน ความปลอดภัย อาชีวอนามัยคุณภาพ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อมของ ปตท.

ทั้งนี้ปัจจุบันโรงแยกก๊าซธรรมชาติทั้งโรง 5 โรง ได้รับการรับรองระดับมาตรฐานสากล และรับรางวัลต่างๆอาทิ             ISO/IEC 17025 มาตรฐานห้องปฏิบัติการทดสอบ
             ISO 9001 มาตรฐานระบบการบริหารงานคุณภาพ
             ISO 14001 มาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม
             มอก. /OHSAS 18001 มาตรฐานระบบการจักการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
             มรท. 8001 มาตรฐานแรงงานไทย
             มาตรฐานการแสดงความรับผิดชอบของโรงงานอุตสาหกรรมต่อสังคม(CSR-DIW)
             รางวัลคุณภาพแห่งชาติ(TQA)
             รางวัลบิหารสู่ความเป็นเลิศ(TQC)
             รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม
             รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น
             Award for Excellence in consistent TPM Commitment จากสถาบัน JIPM ประเทศญี่ปุ่น

ร่วมดูแลชุมชนและพัฒนาคุณภาพชีวิต             ภารกิจสำคัญประการหนึ่งของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ คือการร่วมพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชนในพื้นที่รวมทั้งการร่วมดูแลสังคมในด้านต่างๆ อาทิ

             
จัดสร้างสวนสมุนไพรสมเด็จพระ เทพรัตนสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จ.ระยอง
             
ร่วมปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ
             
โครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ และโครงการปันน้ำใจให้ชุมชน ออกบริการตรวจรักษาโรคโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
             
โครงการชุมชนปลอดภัย โดยนำช่างเทคนิคให้บริการตรวจความปลอดภัยอุปกรณ์ก๊าซหุงต้มในครัวเรือนของชุมชนและโรงเรียน
             
ให้การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ เพื่อการศึกษาและสาธารณประโยชน์
             
สนับสนุนกิจกรรมทางการศึกษาและศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่น

..................................................................................................................




อย่าไปหงุดหงิดกับความเห็นที่ต่างจากเรา
แต่ควรทบทวนเวลาที่ใครๆก็คิดเหมือนเรา

..................................................................................................................


ประเทศไทยเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยกฏเกณฑ์ซึ่งขัดขวางความเจริญของระบบเศรษฐกิจ

สองตัวอย่างง่าย ๆ ที่ ทุกวันนี้เวลาผมเซ็นต์สัญญากับบริษัทคู่ค้า ผมต้องแนบท้ายสัญญาด้วยเอกสารจดทะเบียนของบริษัทผม โดยที่ผมต้องเซ้นต์ชี่อรับรองในเอกสารดังกล่าวทุกหน้า เป็นกฏเกณฑ์ที่ไม่เข้าท่ามาก ทราบไหมครับว่าเดือนหนึ่งผมต้องเซ็นต์ชื่อรับรองเป็นเอกสารหลายร้อยแผ่น มันเป็น Unproductive work

ประเด็นของผมคือถ้าตัวสัญญาสมบูรณ์ พวกเอกสารที่เป็นไส้ติ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมี ผมเข้าใจว่าอย่างนี้นะครับ คนที่ออกแบบกฏเกณฑ์เหล่านี้คือพวกข้าราชการและนักกฏหมายที่ชาตินี้ท้ังชาติไม่เคยทำธุรกิจ เพราะฉนั้นไม่ได้ออกกฏตาม Commercial sense ทำให้เป็นภาระต่อพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจ

ตัวอย่างที่สองเพื่อนผมคนหนึ่งทำ iPad ลืมไว้ที่ Supermarket แห่งหนึ่ง พอรู้ตัวตอนกลับบ้าน เขาโทรไปแจ้งให้พนักงานของ Supermarket ช่วย Rewind ข้อมูลของกล้องวงจรปิด เพื่อดูว่ามีใครหยิบ iPad ของเขาไป ทราบไหมครับว่าเจ้าหน้าที่ของ Supermarket แห่งนั้นบอกเพื่อนผมว่า เพื่อนผมต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจก่อน เขาถึงจะนำข้อมูลของกล้องวงจรปิดมาให้ดู

เป็นเรื่องที่เสียสติมากที่สุดเรื่องหนึ่งที่ผมได้ยิน

พวกเราแกะดำทำธุรกิจมีความเชื่อว่า "Simplicity brings in productivity" ถ้าใครทำธุรกิจโดยที่ Operating system อยู่บนความเรียบง่ายคุณจะเปรียบเสมือน เรือแข่ง ในขณะที่คู่แข่งของคุณเปรียบเสมือน เรือเอี่ยมจุ้น

..................................................................................................




#.....ทุกวันนี้ มันหายากมากอ่ะ..

................................................................................................................




[แนะนำ] แท่นขุดเจาะ มีความสำคัญต่อการสำรวจปิโตรเลียม การเลือกใช้แท่นขุดเจาะขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ มีอะไรบ้าง เชิญอ่านบทความชุด ประสบการณ์การขุดหาน้ำมัน ตอน แท่นขุดเจาะ โดย วิศวกรขุดเจาะในอ่าวไทย

ลิงค์ http://geothai.net/gneiss/?p=2586



ขุดหาน้ำมันกันอย่างไร?: ตอนแท่นขุดเจาะ

by 
สวัสดีครับเพื่อนพี่น้องชาวนักธรณีและผู้เยี่ยมชมทุกท่าน ผมมีความรู้มาแบ่งปันในเรื่องวิชาชีพวิศวกรขุดเจาะเปลือกโลก บอกก่อนนะครับ ผมจะไม่เล่าแนววิชาการมากมายอะไร เพราะจะหลับปุ๋ยกันไปก่อนจะอ่านกันจบ และ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะให้เป็นวิศวกรขุดเจาะกัน … ว่าแต่เราจะมาเริ่มขบวนการเจาะเปลือกโลกกันตรงไหนดีล่ะ
ก่อนขึ้นชกมวยก็ต้องมีการไหว้ครู ก่อนขึ้นแสดงหรือเริ่มงานแสดงก็ต้องมีการครอบครู ก่อนผมจะเริ่มแบ่งปันความรู้อันน้อยนิดนี้จึงอยากจะกล่าวอุทิศแก่บุญคุณครูทุกท่านที่ประสิทธิ์ประศาสตร์วิชามาให้ใช้เลี้ยงตัวทำมาหากิน เพื่อเป็นกำลังใจและเป็นศิริมงคลแก่ตัวเอง
ความรู้ใดๆที่ข้าฯนำมาแบ่งปันอันเป็นประโยชน์แก่เพื่อนพี่น้องในเว็บนี้ เป็นคุณงามความดี เป็นบุญกุศลแก่ครูบาอาจารณ์ทุกท่านของข้าฯ หากจะมีข้อบกพร่อง ผิดพลาด คลาดเคลื่อนอันใด ให้ถือว่าเป็นความเขลา ประมาท และขาดปัญญาของข้าฯแต่เพียงผู้เดียว
เอาล่ะครับ ครบตามธรรมเนียมไทยที่ดีงามแล้ว เรามาโซโล่กันเลย

นักธรณีชี้เป้า วิศวกรออกแบบการขุดเจาะ

มาเริ่มเอาตรงที่ เมื่อนักธรณีวิทยาได้ชี้เป้ามาแล้วว่า เจ้าจะต้องทำให้เกิดรู เกิดหลุมร้อยลงไปให้ผ่านบรรดาเป้าเหล่านี้ ส่วนที่ว่าท่านๆนักธรณีไปปลุกปล้ำปลุกเสกเป้าเหล่านี้มาได้อย่างไรนั้น เกินปัญญาของวิศวกรขุดเจาะครับ เอาว่าพวกกระผมได้เป้ามาก็แล้วกัน
เป้า (target) คือตำแหน่งใต้พื้นดินหรือพื้นทะเลที่สนใจ ที่คาดว่าจะมีน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ
รูปทรงเป้าที่กำหนดโดยนักธรณีหลากหลายรูปแบบ กลมมั่ง รีมั่ง รวมไปถึงสารพัดเหลี่ยม ด้วยความยากของการขุดเจาะ ก็อาจจะมีการหยวนๆให้พวกวิศวกรเจาะแบบแถหรือแฉลบออกได้บ้าง บางครั้งนักธรณีก็ห้ามแถออกเด็ดขาด ด้วยเหตุผลทางธรณีวิทยา เช่น ถ้าหลุดเป้า หลุมจะไปอยู่ในชั้นน้ำแทนที่จะเป็นชั้นปิโตรเลียม หรือไปชนรอยเลื่อนและเกิดการแย่งดูดน้ำมันจากหลุมใกล้เคียง เป็นต้น แต่บางทีก็ห้ามหลุดเป้าด้วยเหตุผลส่วนตั๋วส่วนตัว
ผมทำเป้าสมมติให้ดู 4 เป้า สีแดงๆน่ะครับ
ภาพโครงสร้างชั้นหินใต้ดิน และตำแหน่งเป้า (สีแดง) ที่เป็นเป้าหมายของการขุดเจาะ
ภาพโครงสร้างชั้นหินใต้ดินแบบสามมิติ และตำแหน่งเป้าสมมติ (สีแดง) ที่เป็นเป้าหมายของการขุดเจาะจากด้านบน (เครดิตภาพ NETL.doe.gov)
สังเกตให้ดีจะพบว่า เป้าของนักธรณี เป็นเป้าใต้ดิน (subsurface targets) ล้วนๆ ไม่ได้บอกเลยว่า ตำแหน่งบนผิวดินผิวน้ำนั่นอยู่ตรงไหน เรื่องของตำแหน่งที่ตั้งของแท่นขุดเจาะนั้น เป็นเรื่องของเราคนขุดครับ นักธรณีไม่เกี่ยว เอาเป้ามาอย่างเดียวพอ

พี่เป้ามาแล้ว จะขุดยังไง?

พอได้เป้ามาแล้ว เราก็มาดูว่าตูจะขุดมันยังไง ตรงนั้นมันบนบก บนภูเขา ทับที่ชาวบ้านชาวช่อง ทับของสงวน เอ๊ยป่าสงวนหรือป่าไม่สงวนของใครหรือเปล่า หรือเป็นลุ่มน้ำเกรดเอ เกรดบี ของกระทรวงอะไรหรือเปล่า หรือเป็นที่วัดวาอาศรมอาราม และกฏหมายท้องถิ่นนั้นๆว่าไง จะซื้อที่ตรงนั้นหรือจะเช่า จะหอบผ้าหอบผ่อนขนหอบข้าวหอบของกันไปยังไง ขุดลึกแค่ไหน ขุดแนวไหน ตรงๆลงไปหรือ ยอกย้อนชอนไช ตะแคง จะเอียงกระเท่เร่ขนาดไหน ใช้แท่นแบบไหน ขนาดเท่าไร ฯลฯ
ส่วนถ้าเป้ามันอยู่ในน้ำ ก็ต้องมาดูว่า น้ำลึกแค่ไหน จะเอาแท่นแบบไหน เอาอะไรเข้าไปเจาะ ถ้าน้ำตื้นแล้วท้องน้ำไม่มีอะไรน่าสงวนนักหนาเช่น ไม่มีปะการัง ไม่มีถ้ำชาละวัน ไม่มีบัวบาดาลพันปี ก็ลาก jack up เข้าไปปักขาจึ๊กๆ ตั้งแท่นทะลวงเป้าได้สะดวกโยธินเลย แต่ถ้ามีปะการังที่รัฐบาลท้องถิ่นเขาหวง ก็ต้องเอาแท่นที่ตั้งอยู่บนแพที่กินน้ำตื้นๆ เข้าไป แล้วก็ต้องเข้าไปตอนน้ำขึ้น ไม่ใช้ลากถูลู่ถูกังเข้าไปตอนน้ำลง เดี๋ยวท้องแท่นก็แถกลุยถั่วพื้นทะเลแหกเป็นริ้วปลาแห้ง ประการังบ่นปี้หมด แบบนี้ก็ไม่ไหว
หรือไม่ก็หาเกาะแก่งแถวๆนั้นแล้วเอาแท่นบกไปตั้งเลยจะได้ไหม แล้วขุดเอียงๆทะแยงๆเอา ถ้าไม่มีเกาะธรรมชาติ เราถมดินเป็นเกาะเทียม แบบเสี่ยดูไบถมทะเลสร้างโรงแรม ซะเลยจะได้ไหม ถ้าน้ำลึกขึ้นมาอีก ก็ดูว่าลึกแค่ไหน ลึกเกินขาแท่นแบบ jack up ไหม ถ้าเกินก็ต้องเอาพี่ใหญ่แบบกึ่งจม (semisubmersible) หรือ แบบเรือ (drill ship) เข้าไปโซ้ยกันเลย
ทุกๆการตัดสินใจเลือก มีข้อดีข้อเสียทั้งนั้น (ชีวิตมันก็งี้แหละครับ) สุดท้ายก็ต้องเอา เวลา จำนวนเงิน ความเสี่ยง (ที่จะแห้วไม่เจออะไร) และเหตุผลทางการเมือง มาชั่งดูว่า จะทำไงกันดี
งั้นปฐมบท เรามารู้จักแท่นแบบต่างๆกันดีกว่าไหมครับ

รู้จักแท่นขุดเจาะ


  • แท่นขุดเจาะบนบก

แบบแรกที่ภูมิใจนำเสนอ คือแท่นบก (land rig) ครับแบบนี้
แท่นขุดเจาะบนบก (เครดิตภาพ RAPAD)
แท่นขุดเจาะบนบก (เครดิตภาพ RAPAD)

  • แท่นขุดเจาะแบบน้ำตื้น

ต่อมาอันนี้แบบน้ำตื้น หรือที่เรียกว่า swamp barge ก็เอาแท่นไปตั้งบนแพเราดีๆ นี่เอง พวกนี้จะกินน้ำตื้น น้ำหนักเบา เอาไปขุดแถวๆ หนองน้ำ อะไรพวกนั้น ลงทะเลก็ได้ แต่ต้องไม่มีคลื่นเยอะ ประมาณน้ำกร่อย หรือ ชายฝัง คงได้ประมาณนี้แหละครับ
แท่นขุดเจาะแบบน้ำตื้น (เครดิตภาพ newoctg.com)
แท่นขุดเจาะแบบน้ำตื้น (เครดิตภาพ newoctg.com)

  • แท่นขุดเจาะแบบยกขาตั้ง

ถ้าน้ำลึกหน่อยก็นี่ครับ แบบยกขาตั้ง (jack up rig) มีทั้งแบบ 3 ขา และ 4 ขา มีทั้งแบบมีเครื่องยนต์ และ ไม่มีต้องใช้เรือลากเอา พอเอาขาขึ้นก็ลอยไปลอยมาได้ พอไปถึงที่ก็เอาขาลง ยกตัวแท่นขึ้น พวกนี้เข้าประจำที่เร็ว ขุดเสร็จก็ย้ายออกเร็ว ไม่เสียเวลา เหมาะกับงาน สำรวจ (exploration) เจอก็เก็บข้อมมูลไว้ให้พี่นักธรณีวิเคราะห์ ไม่เจอก็กลบหลุม แล้วย้ายไปสำรวจที่อื่นต่อ
แท่นขุดเจาะแบบขายกตั้ง (เครดิตภาพ SISmarine.com)
แท่นขุดเจาะแบบยกขาตั้ง (เครดิตภาพ SISmarine.com)

  • แท่นขุดเจาะแบบเทนเดอร์

ต่อมาแบบนี้เรียกว่า tender rig (แบบขนแท่นไปบนแพ-ผมแปลเอง ถ้าผิดขออภัย แปลเอาความหมาย) ก็ใช้กับ platform คืองี้ครับ พอรู้แน่ๆว่าตรงไหนมีปิโตรเลียมก็จะตั้ง platform ขึ้นมาเป็นที่รวบรวมปากหลุมเข้าไว้ด้วยกัน patform หนึ่งจะมีกี่หลุมก็แล้วแต่ความคุ้มทุนในการสร้างกับผลผลิตปิโตรเลียม
แพ tender rig ที่ว่านี่ก็จะขนเอาแท่นที่ถอดออกเป็นชิ้นๆกองๆไปบนแพแล้วยกไปประกอบและตั้งบน platform เหมือน แท่นบนบก อย่างไงอย่างนั้นเลยครับ ข้อเสียคือยุ่งยาก พีธีรีตรองเยอะ กว่าจะประกอบเสร็จ ขุดเสร็จแล้วจะถอดเก็บของก็ใช้เวลาพอกัน ถ้าไม่มี platform สร้างไว้รอก็ขุดเองไม่ได้ แถม platform ที่สร้างก็ต้องคำนวนเผื่อนน.ของแท่นที่จะไปวางบนนั้นอีกต่างหาก ผลคือ platform ราคาแพง แต่ข้อดีคือ ค่าเช่าถูก ดังนั้นจึงมักให้ขุดไปเลย 15-20 หลุม ต่อ platform พอคำนวนเวลา กับค่าใช้จ่ายต่อหลุมแล้ว ค่อยคุ้มหน่อย
แท่นขุดเจาะแบบเทนเดอร์ (เครดิตภาพ offshore.no)
แท่นขุดเจาะแบบเทนเดอร์ (เครดิตภาพ offshore.no)

  • แท่นขุดเจาะแบบลอยตัวกึ่งจม

แล้วถ้าน้ำลึกเกินกว่านั้นล่ะครับ ต้องนี่เลยครับ semisubmersible (กึ่งจม – แปลเองอีก คือมันจมไปครึ่งนึงน่ะ) มันมีขาเบ้อเร่อเฮิ้ม วางบนทุ่นที่จมอยู่ใต้น้ำ มีทั้งแบบที่เครื่องยนต์ไปไหนมาไหนได้เอง กับแบบที่ต้องลากไป น้ำลึกแค่ไหนก็บ่ยั่นครับ ต้องมีคนสงสัยแน่ๆว่ามันจะอยู่กับที่นิ่งๆได้ไง ไม่โดนคลื่นซัดลอยไปลอยมาเหรอ
มี 2 วิธีครับ วิธีแรกคือมันมีอุปกรณ์ไฮเทคชิ้นนึ่งครับ เรียกว่า “สมอเรือ” จะกี่เส้นก็ว่าไป ขึงมันทุกมุมทุกทาง ใช้ระบบจีพีเอส ปรับดึงหรือหย่อนมอเตอร์สมอ ให้แท่นอยู่กับที่เมื่อเทียบกับพื้นโลก
อีกวิธีไฮเทคกว่าวิธีแรกหน่อย คือใช้เครื่องยนต์ใบพัดเรือนี่แหละครับ หลายๆตัว เดินเครื่องมัน 24 ชม. บังคับด้วย computer และ ระบบ จีพีเอส เลี้ยงตัวให้อยู่นิ่งๆ พูดง่ายๆว่า คล้ายวิธีแรก แต่ใช้เครื่องยนต์แทนที่จะใช้สมอเรือ
อ้าว แล้วแนวดิ่งล่ะ เพราะคลื่นมันก็ต้องทำให้ตัวแท่นเลื่อนขึ้นลงด้วย ไม่ใช่ไปซ้ายขวาอย่างเดียว ชิวๆครับ … มีอุปกรณ์ไฮเทคอีกชิ้น เรียกว่า “โช้ค” แบบที่อยู่ในรถยนต์ท่านๆนั่นแหละครับ แม่นอีหลี เพียงแต่มันมีหลายตัวและตัวมันเท่ากับห้องคอนโดเชียวล่ะครับ
แท่นขุดเจาะแบบลอยตัวกึ่งจม (เครดิตภาพ ซ้าย: enathisky.org ขวา: RWE.com)
แท่นขุดเจาะแบบลอยตัวกึ่งจม (เครดิตภาพ ซ้าย: enathisky.org ขวา: RWE.com)

  • เรือขุดเจาะน้ำลึก

แล้วถ้าน้ำลึกมากขึ้นไปอีก แถมยังต้องไปไหนมาไหนเองบ่อยๆ ไม่ต้องพึ่งเรือลากจูง (เพราะเรือลากจูงเนี้ยต้องเช่า วันล่ะหลายอัฐอยู่) ก็นี่เลยครับ drill ship อันนี้ภาษาอังกฤษระดับกรรมกรของผมแปลง่ายๆ แปลว่าเรือขุดครับ วิธีการคงตำแหน่ง (positioning) ก็ 2 วิธีเหมือนไอ้ลำตะกี้น่ะครับ
เรือขุดเจาะน้ำลึก (เครดิตภาพ drillingcontractor.org)
เรือขุดเจาะน้ำลึก (เครดิตภาพ drillingcontractor.org)

เปรียบเทียบแท่นขุดเจาะแต่ละชนิด

รูปนี้เปรียบเทียบระดับความลึกของแท่นขุดเจาะเหนือระดับน้ำ
เปรียบเทียบแท่นขุดเจาะที่ระดับความลึกแตกต่างกัน (เครดิตภาพ Maersk Drilling)
เปรียบเทียบแท่นขุดเจาะที่ระดับความลึกแตกต่างกัน (เครดิตภาพ Maersk Drilling)

อันนี้ รวมมิตร ครับ … ให้เห็นว่าแต่ล่ะช่วง ใช้แท่นแบบไหน ไล่กันจากแท่นบกไปยันแบบ tension leg (รูปขวาสุดที่คล้ายๆแบบ semisub แต่จะมีสายเคเบิ้ลดึงยึดติดกับก้นทะเล)
เปรียบเทียบการติดตั้งแท่นขุดเจาะชนิดต่างๆ (เครดิตภาพ drillingahead.com)
เปรียบเทียบการติดตั้งแท่นขุดเจาะชนิดต่างๆ (เครดิตภาพ drillingahead.com)

เอาล่ะครับ สำหรับตอนแรกเราขึ้นครูกัน เอ๊ยไหว้ครูกัน แค่นี้พอหอมปากหอมคอก่อนนะครับ ตอนนี้เราได้รูปจักประเภทแท่นต่างๆกันไปแล้ว ตอนต่อไปจะมาต่อว่า พวกเราจะลงไม้ลงมือขุดกันยังไง

































































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น