วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

21/04/2556




Mati Tajaroensuk กว่าะเข้าใจ


.....................................................................................................................


มุดครัว′ทีมทนายไทย′ เบื้องหลังจาก′ศาลโลก′ รู้จัก"อลินา มิรอง"ให้มากขึ้น


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1366513230&grpid=03&catid=01&subcatid=0100

....................................................................................................................

มหากาพย์เขาพระวิหาร #7


เมื่อตอนที่แล้วพูดถึงที่มาของ MOU 43 ซึ่งมาจากการประชุม JBC ครั้งที่ 2
โดยมีเอกสารหลายฉบับยืนยันตรงกันว่า

พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและปักเขตแดนทางบกจะดำเนินการโดยใช้เอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยและกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศคืออนุสัญญาฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1907 (พ.ศ. 2550) กับพิธีสารแนบท้ายและแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน
แล้วจึงลงนาม MOu โดยมีเนื้อหาดังนี้
.............................................................................................................................

บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก

รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา ปรารสนาที่จะกระชับความผูกพันแห่งมิตรภาพที่มีอยู่ระหว่างประเทศทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เชื่อว่าการปักปันเขติแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาจะช่วยระงับความขัดแย้งตามชายแดนที่เกิดจากปัญหาเขตแดนและจะกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรที่มีอยู่ระหว่างประเทศทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและเอื้ออำนวยต่อการเดินทางแะความร่วมมือของประชาชนของประเทศทั้งสองตามแนวชายแดน ระลึงถึงแถลงการณ์ร่วมของนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยกับนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาฉบับลงวันที่13 มกราคม 2537 (ปี ค.ศ. 1994) ซึ่งไดตกลงกันจะจัดตั้งคณะกรรมาธิการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมไทย-กัมพูชาที่จะได้รับมอบหมายภารกิจให้จัดทำหลักเพื่อชี้แนวเขตแดนทางบกระหว่างประเทศทั้งสอง ได้ตกลงกันดังต่อไปนี่

ข้อ 1
จะร่วมกันดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไททยกับราชอาณาจักรกัมพูชาให้เป็นไปตามเอกสารต่อไปนี้

(ก)อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแก้ไขเพื่มเติมข้อบทแห่งสนธิสัญญา ฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112 (ปีค.ศ. 1893) ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่นๆ ฉบับลงนาม ณ.กรุงปารีส เมื่อวันที่  13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก 122(ปี ค.ศ. 1904)
(ข)สนธิสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสฉบับลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคมรัตนโกสินทรศก 125 (ปี ค.ศ. 1907) กับพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดนแนบท้ายสนธิสัญญาฉบับลงวันที่23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ปี ค.ศ. 1907)และ
(ค)แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระห่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส

ข้อ 2
1. ให้มีคณะกรรมาธิการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมไทย-กัมพูชาซึ่งต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า “คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม”ประกอบด้วยประธานร่วม 2 คนและกรรมาธิการอื่นๆซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลของแต่ละฝ่ายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาเป้นประธานร่วมรัฐบาลของประเทศทั้งสองจะแจ้งการแต่งตั้งดังกล่าวต่อกันภายในหนึ่งเดือนหลังจากบันทึกความเข้าใจฉบับนี้เริ่มบังคับใช้
2. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมจะประชุมกันปีละครั้งในประเทศไทยและประเ?สกัมพูชาสลับกัน ในกรณีที่จำเป็นคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมอาจประชุมกันสมัยพิเศษเพื่อหารือเรื่องเร่งด่วนที่อยู่ในขอบข่ายของอำนาจหน้าที่
3. ให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมมีอำนาจหน้าที่ต่อไปนี้
(ก)รับผิดชอบให้การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมเป็นไปตามข้อ 1
(ข)พิจารณาและรังรองแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วม
(ค)กำนหดความเร่งด่วนของพื้นที่ที่จะสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
(ง) มอบหมายงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนให้คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมซึ่งจะกล่าวถึงในข้อ3 ต่อไปและควบคุมดูแลและติดตามการดำเนินการให้เป็นผลตามที่ได้รับมอบหมาย
(จ)พิจารณารายงานหรือข้อเสนอแนะต่างๆ ที่เสนอโดยอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม
(ฉ)ผลิตแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก และ
(ช)แต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการใดๆ เพื่อปฏิบัติงานเฉพาะรายใด ๆที่อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม
ข้อ 3

1. ให้มีคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมประกอบด้วยประธานร่วม2 คนและอนุกรรมาธิการอื่นๆ ซึ่งจะได้รับการแต่งตั้งจากประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมของแต่ละฝ่าย
2. ให้คระอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมมีอำนาจหน้าที่ต่อไปนี้
(ก)พิสูจน์ทราบตำแหน่งที่แน่ชัดของหลักเขตแดน 73 หลักซึ่งจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการปักกปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโอจีนเมื่อปี ค.ศ. 1909และ ค.ศ. 1919 และรายงานผลการพิสูจน์ทราบต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมเพื่อพิจารณา
(ข)จัดทำแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางปกร่วม (ค)แต่งตั้งชุกสำรวจร่วมเพื่อปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมธิการเขตแดนร่วม
(ง)เสนอรายงานหรือข้อเสนอแนะต่างๆเกี่ยวกับงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนต่อคณะกรรมธิิการเขตแดนร่วม
(จ)จัดทำแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกแล้ว
(ฉ)แต่งตั้งผู้แทนผุ้ได้รับมอบอำนาจ ในกรณีที่จำเป็นเพื่อควบคุมดูแลงานสนามแทนประธานอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม
(ช)แต่งตั้งคณะทำงานของเทคนิคใด ๆ เพื่อช่วยงานเฉพาะรายใด ๆที่อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม
3. ในการปฏิบัตงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ใดๆ ชุดสำรวจร่วมจะได้รับการบืนยันความปลอดภัยจากกับระเบิดเสียก่อน
ข้อ 4
1. เพื่อความมุ่งประสงค์ของงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนให้แบ่งเขตแดนทางบกร่วมกันตลอดแนวออกเป็นหลายตอนตามที่คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมจะได้ตกลงกัน
2. เมื่อดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนแล้วเสร็จแต่ละตอนให้ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจและแผนที่ที่จะแนบบันทึกความเข้าใจดังกล่าวซึ่งแสดงตอนที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จไว้
ข้อ 5
เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างประสิทธิผลหน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดนเว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
ข้อ 6
1. รัฐบาลแต่ละฝ่ายรับผิดชอบค่าใช่จ่ายของฝ่ายตนในการปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
2. รัฐบาลทั้งสองจะรับผิดชอบค่าวัสดุสำหรับหลักเขตแดนหรือมุดหมายพยานกับการจัดทำและผลิตแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกแล้วอย่างเท่าเทียมกัน
ข้อ 
1. รัฐบาลของประเทสทั้งสองจะเตรียมการที่จำเป็นเกี่ยวกับการเข้าเมืองการกักกันโรคติดต่อ และพิธีการศุลการกรเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
2. โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์ วัสดุและเสบียงในปริมาณที่สมควรและสำหรับชุดสำรวจร่วมใช้เฉพาะในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกแม้ว่าได้นำข้ามแดน จะไม่ถือเป็นการส่งออกจากประเทสหนึ่งหรือนำเข้าอีกประเทสหนึ่งและจะไม่ต้องชำระอากรศุลกากรหรือภาษีอื่น ๆเกี่ยวเนื่องกับการส่งออกหรือนำเข้าซึ่งสินค้า
ข้อ 8
ให้ระงับข้อพิพาทใด ๆที่เกิดจากการตีความหรือบังคับใช้ความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาและการเจรจา
ข้อ 9
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะเร่ิมใช้บังคับในวันลงนามบันทึกความเข้าใจโดยผู้แทนผู้ได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อเป็นพยายานแก่การนี้ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องเพื่อการนี้จากรัฐบาลของแต่ละฝ่ายได้ลงนามบันทึกความเข้าใจนี้ไว้เป็นสำคัญ
ทำขึ้นเป็นคู่ฉบับ ณกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน2543 เป็นภาษาไทย ภาษาเขมร และภาษาอังกฤษตัวบททุกฉบับใช้เป็นหลักฐานเท่าเทียมกันในกรณีที่มีการตีความแตกต่างกันระหว่างตัวบทใด ๆ ให้ใช้ตัวบทฉบับภาษาอังกฤษ
...................................................................................................................

หลายๆคนมองว่า ปัญหาที่ต้องตีความคือข้อ 1. (ค)ซึ่งมีเนื้อหาว่า

(ค)แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระห่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส

หรือในภาษาอังกฤษคือ

(c) Maps which are the results of demarcationworks of the commissions of Delimitation of the Boundary between Indo-China andSiam set up under the convention of 1904 and the treaty of 1907 between Siamand France, and other documents relating to the application of the Conventionof 1904 and the Treaty of 1907

โดยอ้างเหตุผลว่า
แผนที่ทั้งหมดมี 11 ฉบับ ทำในมาตราส่วน 1:200,000ตามสนธิสัญญา 1904,1907 คือ ตามแนวสันปันน้ำแต่ฉบับที่ 11 ระวางดงรักเป็นปัญหาซึ่งคณะกรรมการฝ่ายไทยก็ปฏิเสธไม่รับ

หรือ

mou43 บอกว่า ให้ปักปันเขตแดนร่วมกัน และต้องยอมรับทั้งคู่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปฏิเสธ ณ จุดใด ก็ต้องไปเจรจาใหม่ไม่สามารถบังคับให้อีกฝ่ายยอมรับได้

แต่ที่จริงแล้ว ปัญหาไม่ใช่การไม่ยอมรับหรือบังคับให้รับจุดที่ปักปันแต่มันคือคือการยอมรับแผนที่ตั้งแต่การประชุม JBC ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลไทยสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปฏิเสธไม่ยอมรับแผนที่นี้ทั้งชุด! (อย่างน้อยก็ระหว่างขึ้นศาลโลกปี พ.ศ. 2505)

ทีนี้ในที่ประชุมคุณบอกว่ายึดแผนที่ 1: 200,000 จนมาลงนามในบันทึกความเข้าใจ
ในบันทึก ก็ไม่ได้ระบุว่ามีส่วนไหนของแผนที่ ที่คุณไม่ยอมรับหรือยกเว้น
คุณจะให้หมายความว่า คุณยอมรับระวางบางระวาง ไม่ยอมรับบางระวาง อย่างนั้นหรือครับ?
และในเมื่อไม่ระบุไว้ จะรู้ได้อย่างไร ว่าระวางไหนรับ ระวางไหนไม่รับ?
ละไว้ในฐานที่ไทยเข้าใจหรือครับ?
แล้วกัมพูชาจะเข้าใจมั๊ย? นานาชาติจะเข้าใจมั๊ย?


ดังนั้นการบอกว่า MOU 2543 ไม่ได้ยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 ระวางดงรัก (รับระวางอื่นหมด) ตาม "ตรรกะตัว s" 
ใครที่ไหนในโลก(นอกจากประเทศไทย) จะยอมรับครับ?

มาพิจารณาชื่อเรียกแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับแผนที่ที่กัมพูชาได้พยายามยื่นร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหารว่า:

 “แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และ สนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส”


โปรดสังเกตว่าแผนที่นี้ได้อ้างถึงแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันของคณะกรรมการปักปันเขตแดนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904

คณะกรรมการปักปันเขตแดนซึ่งจัดตั้งตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904  ก็คือชุดที่สยาม-ฝรั่งเศสเดินสำรวจ "ทิวเขาดงรักและเขาพระวิหาร" และตกลงกันว่าให้ใช้สันปันน้ำและหน้าผาเป็นเส้นเขตแดน  แต่คณะกรรมการสยาม-ฝรั่งเศสชุดดังกล่าวไม่เคยจัดทำแผนที่ร่วมกันหลังจากตกลงกันแล้วแต่ประการใด


ซึ่ง “ชื่อเรียกแผนที่” นี้ก็คือแผนที่หนึ่งใน 11 ระวาง ซึ่งถูกอ้างโดยกัมพูชาในคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งได้รวมระวางดงรักและปราสาทพระวิหารเข้าไปด้วย แต่ฝ่ายไทยไม่เคยยอมรับนับถือเพราะถือว่าเป็นการลากเส้นโดยฝรั่งเศสตามอำเภอใจ แต่กลับปรากฏข้อความนี้ใน MOU 2543 อย่างชัดเจน


เพราะถ้าเว้นบางระวางเช่นระวางดงรักจริง ต้องไม่ปรากฏข้อความ “ชื่อแผนที่” ดังกล่าว เพราะแท้ที่จริงแล้วไม่เคยมีแผนที่ใดๆซึ่งเป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 เลย คงมีแต่แผนที่ซึ่งฝรั่งเศสจัดทำขึ้นฝ่ายเดียวเท่านั้น ข้อความนี้จึงเป็นความเท็จให้นานาชาติเข้าใจผิดต่อแผนที่ดังกล่าวมากขึ้นไปอีก

  
ทั้งนี้เพราะความจริงแล้วคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศสที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 ไม่เคยลงนามเห็นชอบกับแผนที่ดังกล่าวเลยแม้แต่น้อยไม่ว่าจะเป็นระวางใดใน 11 ระวางนั้น
  
ด้วยชื่อเรียกของแผนที่ฉบับนี้จึงย่อมทำให้นานาชาติเข้าใจว่า แผนที่ดังกล่าวเป็นแผนที่ซึ่งเป็นผลงานต่อเนื่องต่อจาก สนธิสัญญา และเป็นผลงานต่อเนื่องที่มาจากการเดินสำรวจของคณะกรรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส  แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 จึงเป็นผลลัพธ์สุดท้ายที่ไทยกับกัมพูชายึดถือ ทั้งๆที่เป็นความเท็จทั้งสิ้น

  

 ดังนั้นจึงมีโอกาสอย่างมากที่จะทำให้เข้าใจไปว่าไทยและกัมพูชาตกลงยึดแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 เป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาเพียงเส้นเดียว  และในเวทีคณะกรรมการมรดกโลกและยูเนสโกต่างก็เข้าใจเช่นนั้นเช่นกัน



นอกจากนั้นแล้วในประโยคแรกของ MOU 2543 ข้อ 5 เขียนว่า “เพื่ออำนวยความสะดวกให้สำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างประสิทธิผล” ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าแท้ที่จริงแล้ว MOU 2543 ไม่ได้มีความหมายนัยยะว่าจะให้มีการยกเว้นในระวางใดๆทั้งสิ้น

และทางปฏิบัติเป็นอย่างไร?
หลังจากลงนามใน MOU 43  
ทางปฏิบัติ ไทยถอนทหารและอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ เปิดโอกาสให้ทหารและประชาชนกัมพูชาเข้ามายึดครองแทน!

พื้นที่ที่ไทยมั่นใจมาตลอดว่าเป็นของไทย ทหารและประชาชนก็ยึดครอง 100% มาโดยตลอด อยู่ๆก็ไปทำ MOU 43 ให้กลายเป็นพื้นที่ที่เป็นของใครยังไม่รู้ ต้องมาปักปันกันใหม่
ส่วนกัมพูชาก็ทึกทักว่าเป็นของกัมพูชาตามแผนที่และอพยพคนเข้ามา

นอกจากนั้น สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็ยังส่งหนังสือถึงประธานการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ(ยูเอ็น)และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็น)ประท้วงท่าทีของไทยที่จะยกเลิกเอ็มโอยู2543

แสดงให้เห็นว่า MOU 43 มีประโยชน์และทำให้ไทยได้เปรียบกัมพูชาอย่างยิ่งยวด อย่างนั้นใ่ช่มั๊ยครับ?

........................................................................................................................

...........................................................................................................


เดอะดรีมเมอร์ พันศักดิ์ ..ชีวิตผมเผชิญความจริงมากกว่าพวกคุณเสียอีก


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1366520316&grpid=03&catid=01&subcatid=0100

..........................................................................................................


นี่คือคำวินิจฉัยและเหตุผลของศาลโลกที่ทนายฝ่ายกัมพูชาหยิบยกขึ้นมาตอบโต้ถ้อยแถลงของทนายฝ่ายไทยที่อ้างว่าศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยด้วยเหตุผลอื่นอีกหลายอย่าง ไม่ใช่โดยอาศัยแผนที่ภาคผนวก 1และเส้นเขตแดนบนแผนที่ นั้นเพียงเหตุเดียว ฟังและอ่านคำแถลงตอบโต้ของฝ่ายกัมพูชาแล้วรู้สึกว่า ฐานะทางคดีของฝ่ายไทยเราน่าเป็นห่วงจริง ๆ
“The Court considers that the acceptance of the Annex I map by the Parties
caused the map to enter the treaty settlement and to become an integral part of it. It
cannot be said that this process involved a departure from, and even a violation of, the
terms of the Treaty of 1904, wherever the map line diverged from the line of the
watershed, for, as the Court sees the matter, the map (whether in all respects accurate by reference to the true watershed line or not) was accepted by the Parties in 1908 and thereafter as constituting the result of the interpretation given by the two Governments to the delimitation [note delimitation again] which the Treaty itself required. In other words, the Parties at that time adopted an interpretation of the treaty settlement which caused the map line, in so far as it may have departed from the line of the watershed, to prevail over the relevant clause of the treaty.” (Temple of Preah Vihear, Merits, Judgment, I.C.J. Reports 1962, pp. 33-34.)
ส่วนเรื่องแผนที่ที่ทนายหญิงของไทยเรานำเสนอไปในคำแถลงครั้งแรกของเธอ ซึ่งทำให้คนไทย(รวมทั้งผมด้วย)ได้เฮกันสนั่นและชื่นชมเธอกันมาก ก็ดูเหมือนว่า จะถูกสวนกลับว่าฝ่ายเราต่างหากที่เป็นฝ่ายบิดเบือนเรื่องแผนที่เสียเอง ทำให้รู้สึกหวาดเสียวเป็นอย่างมากว่า ศาลจะรับตีความให้ตามที่กัมพูชาขอ และที่หนักยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ การที่ผู้พิพากษายูซุปจากโซมาเลียถามและเสนอให้ทั้งสองฝ่ายทำแผนที่มาแสดงต่อศาลว่า ขอบเขตของ "vicinity" ที่สองฝ่ายเห็นไม่ตรงกันนั้นมีพิกัดอยู่ที่เส้นรุ้งเส้นแวงอะไรบ้าง ซึ่งประธานศาลโลกก็รับลูกทันทีโดยออกคำสั่งกำหนดวันให้คู่กรณีทำการบ้านตามที่ผู้พิพากษายูซุปเสนอนำส่งศาล ซึ่งก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาศให้ฝ่ายกัมพูชานำหลักฐานเรื่องแผนที่มาหักล้างฝ่ายไทยได้เต็มที่นั้นเอง น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่งจริงๆ!!!

...................................................................................................................




จากเฮียแป้ง ถึงแฟนๆกันเนอร์ส !!!

[Captain Focus]

.................................................................................................................




Latte Coffee Art งานศิลปะที่สามารถดื่มได้ Latte Art นั้นมีต้นกำเนิดจากประเทศอิตาลี เทคนิคการทำ Latte Art มี 2 แบบ คือ free pouring เป็นเทคนิคการเทโฟมนมลงในน้ำกาแฟ ให้เกิดลวดลายรูปต่างๆ และ etching คือการเทโฟมนมลงในถ้วยกาแฟ แล้วแต่งหน้าด้วยน้ำเชื่อม
..รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ กับ http://www.nextsteptv.com/

......................................................................................................................




การวางแผนที่ดีก่อนจะเริ่มต้น ย่อมมองเห็นภาพในปลายทางได้ชัดเจนมากขึ้น

..................................................................................................................


คนไทยต้องดูครับ สาระ เน้น ๆ สุดยอด *


http://www.facebook.com/photo.php?v=544500462260590


Ahiru Ped ผมว่าคลิปนี้ จุดประเด็นได้ดีนะ อ้างประวัติศาสตร์ ชี้ความอ่อนแอของ"ระบอบ"การปกครองสมัยนั้น แต่ตอนเชื่อมโยงดูเหมือนตอนแรกจะโยงมาที่การปกครองปัจจุบันได้ดี แต่ก็มาหยุดอยู่ที่เปรียบเทียบกับความขัดแย้งทางการเมืองได้อย่างเดียวน่ะสิ



Supapong Wanitpongpan เหมือนเป้าหมายจะโยงมาที่ตรงนั้นอยู่แล้วนะ 




Ahiru Ped ผมว่าคลิปมันทำให้สื่อได้ดีกว่านี้นะ คนไทยถนัดการบริโภคสื่อแบบนี้อยู่แล้ว เข้าใจง่ายตรงไปตรงมา ซับซ้อนมากๆคนคิดน้อยไม่เข้าใจตีความผิดไปซะงั้น





.....................................................................................................................


ความจริงเรื่องราคาแอลพีจี (อีกครั้ง)

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน 2556 เวลา 00:00 น.
ถึงแม้ว่ากระทรวงพลังงานจะเลื่อนการปรับโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจีออกไปเรื่อยๆทีละเดือนๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียงคัดค้านในเรื่องนี้จากบุคคลกลุ่มหนึ่งลดลงไปแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับมีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางสื่อสังคม (social media) และเวทีเสวนาต่างๆว่า ประชาชนถูกเอาเปรียบจากนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมาแย่งใช้ก๊าซจากประชาชนในราคาที่ถูกกว่า
ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวหามี 3 ประเด็นด้วยกันคือ
1. ภาคปิโตรเคมีมีการขยายตัวสูงมากและใช้ก๊าซจากโรงแยกก๊าซเป็นวัตถุดิบในการผลิต จึงได้สิทธิ์นำก๊าซไปใช้ก่อน ที่เหลือจึงนำมาให้ภาคครัวเรือน ขนส่งและ อุตสาหกรรมใช้ เมื่อก๊าซจากโรงแยกก๊าซมีไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าในราคาตลาดโลก ก็จะมาขึ้นราคากับประชาชน ดังนั้นก๊าซจากโรงแยกก๊าซควรจัดสรรให้ประชาชนใช้ให้เพียงพอเสียก่อน ส่วนภาคปิโตรเคมีนั้นถ้าก๊าซในประเทศมีไม่พียงพอ ก็ให้ไปนำเข้ามาจากต่างประเทศ
2. ราคาที่ภาคปิโตรเคมีซื้อจากโรงแยกก๊าซนั้นอยู่ที่ 16.20 บาท/ก.ก. ซึ่งถูกกว่าราคาที่ภาคครัวเรือนใช้อยู่ในปัจจุบันที่ 18.13 บาท/ก.ก.
3. ภาคปิโตรเคมีจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯน้อยกว่าภาคอื่นๆ โดยจ่ายเข้ากองทุนเพียง 1 บาท/ก.ก. ในขณะที่ภาคครัวเรือน ขนส่งและอุตสาหกรรม จ่ายสูงถึง 1.43, 4.47 และ 12.12 บาท/ก.ก.ตามลำดับ
ข้อกล่าวหาทั้งสามประการฟังดูแล้วก็มีเหตุผล น่ารับฟัง แต่จริงๆแล้วในแต่ละประเด็นนั้น ยังมีข้อมูลทางเทคนิคและตัวเลขที่ไม่ตรงกันหรือไม่ได้นำมาวิเคราะห์ในภาพรวม แต่เวลาหยิบยกไปพูดหรือนำไปใช้ประโยชน์ กลับตัดตอนเอาไปใช้เป็นข้อๆ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและยากต่อการทำความเข้าใจ ถ้าไม่พูดถึงภาพรวมทั้งหมด
ในที่นี้ผมจะพยายามทำความเข้าใจเป็นข้อๆดังนี้
1. ที่บอกว่าภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมาแย่งใช้ก๊าซจากประชาชนนั้น ต้องมองในภาพรวมของการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของประเทศให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ ถ้ายึดหลักการนี้แล้วจะเข้าใจว่าทำไมรัฐถึงให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นลำดับแรก
ประเทศไทยโชคดีมากที่แหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นแบบก๊าซเปียก (Wet Gas) ซึ่งสามารถแยกก๊าซมีค่าออกมาเป็นวัตถุดิบป้อนโรงงานปิโตรเคมีได้ การทำเช่นนี้ทำให้เราสามารถเพิ่มมูลค่าของก๊าซได้มากขึ้นถึง 5.3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับการนำเอาก๊าซไปเผาเป็นเชื้อเพลิงซึ่งจะเพิ่มมูลค่าได้เพียง 1.8 เท่าเท่านั้น
บางท่านอาจจะบอกว่าถึงแม้จะเพิ่มมูลค่าได้มากมาย แต่ผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับนายทุนเท่านั้น ผมคิดว่าเราต้องมองผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก อุตสาหกรรมปิโตรเคมีสร้างรายได้ให้กับประเทศปีละ 7 แสนล้านบาท มีการจ้างงาน 3 แสนคน ผลิตสินค้าทดแทนการนำเข้าปีละหลายแสนล้านบาท
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกวันนี้ มีที่มาจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแทบทั้งสิ้น ถ้าวัตถุดิบ (ก๊าซธรรมชาติ) ในบ้านเราหมดไปหรือต้องนำเข้ามาผลิตตามข้อเสนอของกลุ่มที่คัดค้านการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจี คิดดูแล้วกันว่าต้นทุนสินค้าทุกชนิดในบ้านเราจะต้องแพงขึ้นขนาดไหน
2. เรื่องราคาที่ภาคปิโตรเคมีซื้อจากโรงแยกก๊าซนั้น ทั้งกระทรวงพลังงานและปตท.ยืนยันว่าการซื้อขายเป็นไปตามสูตรราคา โดยอ้างอิงราคาเม็ดพลาสติกในตลาดโลก ดังนั้นราคาจึงมีการขึ้นลงตลอดทั้งปี ราคาเฉลี่ยของปี 2555 อยู่ที่ 720 เหรียญสหรัฐ/ตัน หรือประมาณ 21.60 บาท/ก.ก.
ส่วนราคาที่กลุ่มผู้คัดค้านอ้างว่าภาคปิโตรเคมีซื้ออยู่ที่ 16.20 บาท/ก.ก.นั้น อาจเป็น    ราคาในบางช่วงที่ราคาเม็ดพลาสติกในตลาดโลกลดลง แต่ไม่ใช่เป็นราคาที่ซื้อขายกันเช่นนี้ตลอดทั้งปี
อย่างไรก็ตาม ถ้าเอาราคาที่ภาคปิโตรเคมีซื้อจากโรงแยกก๊าซมาเทียบกับราคาที่ภาคอื่นๆซื้อจากโรงแยกก๊าซช่นเดียวกัน ภาคปิโตรเคมีก็ยังซื้อแพงกว่าอยู่ดี เพราะภาคอื่นๆซื้อได้ในราคาที่รัฐกำหนดคือ 333 เหรียญสหรัฐ/ตัน หรือ 9.99  บาท/ก.ก. ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนของโรงแยกก๊าซที่อยู่ที่ 550 เหรียญสหรัฐ/ตัน หรือ 16.50 บาท/ก.ก.
ส่วนราคาของภาคครัวเรือนที่ 18.13 บาท/ก.ก. ที่กลุ่มผู้คัดค้านเอามาเปรียบเทียบนั้นไม่ใช่ราคาที่ซื้อจากโรงแยกก๊าซ แต่เป็นราคาขายปลีกที่รวมเอา ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมัน และค่การตลาดของผู้ค้าก๊าซเข้าไปด้วยแล้ว จึงนำมาเปรียบเทียบกันราคาของภาคปิโตรเคมีไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน
3. เรื่องการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันที่บอกว่าเก็บไม่เท่ากัน โดยภาคปิโตรเคมีจ่ายน้อยที่สุดนั้น จะพิจารณาแต่การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูโครงสร้างราคาทั้งระบบ
จะเห็นว่าในการซื้อก๊าซจากโรงแยกก๊าซนั้น ภาคปิโตรเคมีเป็นภาคเดียวที่ซื้อก๊าซตามราคาในตลาด และซื้อในราคาที่แพงที่สุด ในขณะที่ภาคอื่นๆซื้อได้ในราคาที่รัฐกำหนด ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริงของโรงแยกก๊าซ
ดังนั้นเมื่อรัฐบาลต้องการปรับราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจีให้สูงขึ้นเพื่อลดการอุดหนุนโดยใช้กองทุนน้ำมันฯเป็นเครื่องมือ รัฐก็ย่อมต้องมุ่งไปเก็บจากกลุ่มที่ได้รับการอุดหนุนตั้งแต่ต้นทางเป็นธรรมดา นั่นก็คือที่มาของการเก็บเงินเข้ากองทุนฯจากภาคครัวเรือนและขนส่งสูงกว่าภาคปิโตรเคมี
อย่างไรก็ตามถึงแม้ทั้งสองภาคนี้จะจ่ายเงินเข้ากองทุนฯสูงกว่าภาคปิโตรเคมี แต่เมื่อรวมต้นทุนทุกอย่างแล้ว ราคาขายปลีกของก๊าซในสองภาคนี้ก็ยังต่ำกว่าราคาต้นทุนที่ภาคปิโตรเคมีต้องจ่ายอยู่ดี ตามรายละเอียดในตารางด้านล่างนี้
ราคาหน้าโรงแยกก๊าซ (10 เม.ย. 56)เหรียญ/ตันบาท/ก.ก.
ครัวเรือน/ขนส่ง/อุตสาหกรรม3339.99
ปิโตรเคมี(เฉลี่ยปี 55)72021.60
(สูตรราคาอ้างอิงราคาเม็ดพลาสติกในตลาดโลก)  
ราคาขายส่ง
ภาษี+กองทุน 1+VATขายส่ง
ครัวเรือน/ขนส่ง/อุตสาหกรรม2.38+1.43+0.9614.64
ปิโตรเคมี0+1.00+1.6324.23
ราคาขายปลีก
กองทุน 2ค่าการตลาด+VATขายปลีก
ครัวเรือน03.26+0.2318.13
ขนส่ง3.043.26+0.4421.38
อุตสาหกรรม10.713.26+0.9829.59

ส่วนภาคอุตสาหกรรมที่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนฯแพงที่สุดนั้น เป็นเพราะรัฐบาลต้องการให้ภาคอุตสาหกรรมลดการใช้แอลพีจีเป็นเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดการนำเข้าแอลพีจี และส่ง่เสริมให้หันมาใช้ก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในประเทศแทน จึงตั้งราคาแอลพีจีในภาคอุตสาหกรรมโดยไปอิงราคานำเข้าทั้งหมด ส่งผลให้ต้องเก็บเงินเข้ากองทุนแพงที่สุด
จะเห็นว่าเบื้องหลังนโยบายทุกนโยบายมีที่มาที่ไปทั้งนั้นแหละครับ จะถูกหรือผิด จะชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์กันได้ ข้อสำคัญคืออย่าบิดเบือนข้อมูล หรือพูดความจริงแต่เพียงบางส่วน แล้วปลุกระดมประชาชนให้เข้าใจผิด คิดว่าถูกรัฐและผู้ประกอบการสุมหัวกันเอาเปรียบอยู่ร่ำไป
เปิดใจให้กว้างแล้วอย่ามองคนอื่นในแง่ลบไปเสียทั้งหมด ประเทศไทยจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลยครับ !!!

มนูญ ศิริวรรณ
...............................................................................................................


พลังงานไทย เพื่อคนไทย (จริงๆ) - ตอนที่ 5 ทำไมราคาซื้อขายน้ำมันสำเร็จรูปต้่องอ้างอิงราคาตลาดสิงคโปร์

โดย Siriwat Whin Vitoonkijvanich (บันทึก) เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2013 เวลา 20:23 น.
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่เราถกเถียงกันว่าทำไมต้องอ้างอิงราคาน้ำมันตลาดฯสิงคโปร์ด้วย ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจคำว่าตลาดกลางคืออะไรครับ


ทำไมต้องมีตลาดซื้อขายสินค้ากลางหรือต้องอ้างอิงราคาซื้อขายจากตลาดกลาง

สินค้าอุปโภคบริโภค หรือ Commodities นั้น จะมีการแข่งขันสูง และความต้องการสูง เพราะเป็นสินค้าที่คนเราจำเป็นต้องกินต้องใช้กัน หรือเป็นสินค้าที่มีการซื้อขายกันเป็นประจำ เช่น น้ำมัน สินค้าการเกษตร ข้าว อาหาร ผลไม้ ทองคำ แร่ หรือแม้แต่ หุ้น ก็ต้องมีตลาดกลางในการรองรับการซื้อขาย ราคาที่มาจากตลาดกลางนี้ จะเป็นราคาอ้างอิง หรือบรรทัดฐานในการซื้อขายสินค้าชนิดเดียวกันในภูมิภาคเดียวกันโดยปริยาย 

ตัวอย่างที่จะกล่าวดังต่อไปนี้ ผมสมมติว่าทุกกรณีไม่มีค่าเดินทางและค่าขนส่งครับ


ตัวอย่างที่ 1: หุ้น

ผมถือใบหุ้นบริษัท A อยู่แล้วมีนาย ก. ต้องการซื้อใบหุ้นนี้ต่อจากผม ผมต้องคิดราคาหุ้นตัวนี้เท่าไร? ผมแน่ใจว่าทุกคนมีคำตอบอยู่แล้ว ราคาที่ที่ทั้งผมและนาย ก. จะตกลงซื้อขายกันได้ ก็ต้องเป็นราคาที่อ้างอิงมาจาก "ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" ที่เป็นตลาดการซื้อขายกลางที่มีนักลงทุนเข้ามาซื้อขายเป็นจำนวนมากเป็นการสะท้อนถึงราคาหุ้นที่แท้จริงตามปัจจัยการลงทุน ณ ปัจจุบันนั่นเอง แต่ถ้าไม่อิงตามราคาใน "ตลาดหลักทรัพย์" จะมีผลดังต่อไปนี้

ถ้า นาย ก. เสนอซื้อราคา "ถูกกว่า" ในตลาดหลักทรัพย์ >>> ผมก็จะไม่ขายให้นาย ก. แต่ผมจะไปขายในตลาดหลักทรัพย์แทน ซึ่งผมก็ได้ราคามากกว่า 

ถ้า ผมเสนอขาย "แพงกว่า" ราคาในตลาดหลักทรัพย์ >>> นาย ก. ก็จะไปซื้อในตลาดหลักทรัพย์ที่มีราคาถูกกว่าแทน น่ันเอง

ถ้า ผมถูกบังคับให้ขาย "ถูกกว่า" ราคาในตลาดหลักทรัพย์ >>> นาย ก. ก็จะรีบซื้อใบหุ้นจากผมไปทันที และไปขายในตลาดหลักทรัพย์ ทำกำไรแบบไร้ความเสี่ยง เรียกว่า"Arbitrage" ทันที เป็นกำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาใบหุ้นที่ซื้อจากผมไปกับราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมต่อผม ทำให้ผมขาดโอกาสในการได้รายได้จากส่วนต่างนี้

รูปที่ 1: ตลาดหลักทรัพท์แห่งประเทศไทย


ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 



ตัวอย่างที่ 2: ผลไม้
ถ้าผมมีธุรกิจค้าขายส่งผลไม้อยู่ในตลาดแห่งหนึ่ง สมมติว่าผมขายส่งส้มอยู่ในตลาดแห่งนี้ ผมควรจะขายส้มในราคาขายส่งเท่าไร? ทุกคนก็น่าจะมีคำตอบอยู่ในใจเช่นเดียวกัน ราคาที่ผมควรจะขายควรจะเป็นราคาที่อ้างอิงมาจาก "ตลาดกลางสินค้าการเกษตรแห่งประเทศไทย" หรือที่เรารู้จักในนาม "ตลาดไท" ซึ่งเป็นตลาดการซื้อขายสินค้าการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่ใหญ่และสมบูรณ์แบบที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นตลาดที่ผู้ค้าสินค้าการเกษตรจะมาทำการซื้อขายเป็นจำนวนมากเป็นการสะท้อนถึง อุปสงค์และอุปทาน (Demand และ Supply) ของสินค้าการเกษตรแต่ละชนิดอย่างแท้จริง แต่ถ้าผมจะตั้งราคาโดยไม่อิงตามราคาของ "ตลาดไท" จะมีผลดังต่อไปนี้

ถ้าลูกค้าเสนอราคา "ถูกกว่า" ในตลาดไท >>> ผมก็จะไม่ขาย แต่ผมจะขนไปขายในตลาดไทแทน ซึ่งผมจะได้ราคามากกว่า

ถ้าผมเสนอขาย "แพงกว่า" ในตลาดไท >>> ลูกค้าก็จะไปซื้อในตลาดไทที่มีราคาถูกกว่าแทน ผมก็จะขายไม่ออก

ถ้าผมเสนอขาย "ถูกกว่า" ในตลาดไท >>> จะมีนักลงทุนมาขนผลไม้ของผมไปทั้งร้าน แล้วไปขายที่ตลาดไท ทำกำไรแบบไร้ความเสียง (Arbitrage) ทันที เป็นกำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาผลไม้ที่ซื้อจากผมไปกับราคาผลไม้ในตลาดไท ทำให้สินค้าของผมไม่เหลือขายให้ลูกค้าประจำที่ต้องการผลไม้ของผมจริงๆ

รูปที่ 2: ตลาดกลางสินค้าการเกษตรแห่งประเทศไทย หรือ ตลาดไท


รูปที่ 3: ภายในตลาดไท

ตลาดกลางสินค้าการเกษตรแห่งประเทศไทย หรือ ตลาดไท


เห็น 2 ตัวอย่างแล้วพอเห็นภาพแล้วใช่มั้ยครับ เดี๋ยวมีตัวอย่างที่ 3 แต่ขอเข้าเรื่องตลาดซื้อขายน้ำมันสำเร็จรูปของโลกก่อนครับ



ตลาดการซื้อขายน้ำมันสำเร็จรูปของโลก

รูปที่ 4: ที่ตั้งของตลาดกลางการซื้อขายน้ำมันสำเร็จรูป 3 แห่งของโลก


น้ำมันก็เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคชนิดหนึ่ง (Commodities) ซี่งมีการแข่งขันสูง การเปลี่ยนราคาหรือนโยบายการผลิตและการขายของผู้ค้าน้ำมันรายหนึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดน้ำมัน จึงทำให้ผู้ค้าน้ำมันต้องปรับราคาให้สามารถแข่งขันกันได้ ดังนั้น ราคาน้ำมันที่เหมาะสมเพื่อใช้ “อ้างอิง” จึงควรจะกำหนดมาจากความต้องการและความสามารถในการผลิต ภายใต้กลไกระบบการค้าเสรีของกลุ่มตลาดซื้อขายน้ำมันที่อยู่ใกล้เคียงกัน ศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันของโลกกระจายอยู่ใน 3 ภูมิภาค ก็คือ

1. ทวีปอเมริกา โดยตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ตั้งอยู่ที่ นครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา
2. ทวีปยุโรป โดยตลาด ICE (InterContinental Exchange) ตั้งอยู่ที่ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
3. ทวีปเอเชีย โดยตลาดสิงคโปร์ หรือ SIMEX (Singapore International Monetary Exchange) ตั้งอยู่ที่ ประเทศสิงคโปร์



"ตลาดสิงคโปร์" (The Singapore International Monetary Exchange หรือ SIMEX)

ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งคำว่า “ราคาสิงคโปร์” นั้นไม่ใช่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ประกาศโดยรัฐบาลหรือโรงกลั่นของประเทศสิงคโปร์ หรือราคาขายปลีกในประเทศสิงคโปร์ แต่เป็นราคาซื้อขายน้ำมันระหว่างผู้ค้าน้ำมันมากกว่า 300 รายในภูมิภาคเอเชียที่ตกลงกันผ่านตลาดกลางฯที่ประเทศสิงคโปร์เป็นปริมาณมหาศาล ประเทศไทยอยู่ในภูมิภาคเอเชียและตั้งอยู่ใกล้กับประเทศสิงคโปร์ จึงเลือกที่จะอ้างอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปจากตลาดสิงคโปร์ ซึ่งสะท้อนระดับราคาที่สมดุลกับกลไกระบบการค้าเสรีของตลาดในภูมิภาคนี้ ซึ่งยากต่อการปั่นราคา อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของราคาก็สอดคล้องอย่างเป็นสากลกับตลาดซื้อขายน้ำมันอื่นๆทั่วโลก

รูปที่ 5: ภายในตลาด SIMEX ประเทศสิงคโปร์





ทำไมต้องอ้างอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปของตลาดกลางสิงคโปร์ (SIMEX)

ตัวอย่างที่ 3: น้ำมัน

ถ้าผมมีโรงกลั่นที่นำน้ำมันดิบมากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปได้ น้ำมันสำเร็จรูปนี้ ผมควรตั้งราคาขายไว้ที่เท่าไร??? ผมเชื่อว่า พอเป็นน้ำมัน หลายๆคนอาจจะคิดว่า ก็ต้องคิดราคาถูกๆสิ ไปอ้างอิงราคาน้ำมันจากตลาดกลางสิงคโปร์ทำไม ต้องคิดราคาที่เป็นธรรม ฯลฯ ผมขออธิบายแบบนี้ครับ สำหรับน้ำมันก็เหมือนกับสินค้าอุปโภคชนิดอื่น ที่มีความต้องการใช้สูง มีการซื้อขายตลอดเวลาเป็นจำนวนมากทั่วโลกจึงสินค้าสากล ซึ่งสะท้อนถึง อุปสงค์และอุปทาน (Demand และ Supply) ที่รวมต้นทุนน้ำมันดิบที่แท้จริงของภูมิภาคนั้นด้วย ดังนั้น ราคาที่เหมาะสมหรือราคาที่เป็นธรรมต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจำเป็นต้องตั้งราคาที่อ้างอิงมาจากตลาดกลางที่ซื้อขายน้ำมันในแต่ละภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยอ้างอิงราคาน้ำมันจากราคาตลาดกลางสิงคโปร์ แต่ถ้าผมจะไม่ตั้งตามราคาอ้างอิงจากตลาดกลางสิงคโปร์ จะมีผลดังนี้


ถ้าราคาขายน้ำมันหน้าโรงกลั่น "แพงกว่า" ในตลาดกลางสิงคโปร์ >>> ผู้ประกอบการขายปลีกน้ำมัน ก็จะนำเข้าน้ำมันจากตลาดกลางสิงคโปร์ที่มีราคาถูกกว่าแทนการซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นในประเทศ และก็จะมีผู้ค้าน้ำมันนำน้ำมันสำเร็จรูปเข้ามาขายแข่งเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันภายในประเทศและการจ้างงาน 


ถ้าราคาขายน้ำมันหน้าโรงกลั่น "ถูกกว่า" ในตลาดกลางสิงคโปร์
 >>> เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดตลาดเสรี ผู้ประกอบการโรงกลั่นก็จะสามารถนำน้ำมันส่งออกไปขายต่างประเทศที่ได้ราคาดีกว่าทันที ทำให้ในประเทศขาดแคลนน้ำมัน ผู้บริโภคในประเทศก็จะไม่ได้ใช้น้ำมัน ยิ่งทำให้ราคาขายปลีกในประเทศเพิ่มสูงขึ้นหนักเพราะ อุปทาน (Supply) น้อยกว่า อุปสงค์ (Demand) หรืออาจจะทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันก็จะประสบภาวะขาดทุน ถึงขั้นเจ๊งได้ (เพราะปริมาณการขายน้อย กำไรน้อยลง) และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศอย่างวงกว้าง เพราะขาดแคลนพลังงาน


ถ้าบังคับให้โรงกลั่นขายน้ำมันหน้าโรงกลั่น "ถูกกว่า" ในตลาดกลางสิงคโปร์ >>> ผู้ประกอบการโรงกลั่นจะขาดแรงจูงใจในการลงทุนเพราะลงทุนสร้างโรงกลั่นหรือค่าซ่อมบำรุงค่าดำเนินการโรงกลั่นในประเทศไทยมีต้นทุนสูงกว่า สาเหตุดังต่อไปนี้

1. ต้นทุนขนส่งการนำเข้าน้ำมันดิบสูงกว่า เพราะประเทศไทยอยู่ห่างจากแหล่งน้ำมันดิบตะวันออกกลางไกลกว่าประเทศสิงคโปร์ รวมถึงประเทศสิงคโปร์เป็นเมืองท่า มีระบบการขนส่งและท่าเรือขนาดใหญ่และครบวงจร ทำให้ต้นทุนการขนส่งต่อหน่วยของประเทศสิงคโปร์มีต้นทุนต่ำกว่าของประเทศไทย
2. ต้นทุนการกลั่นต่อหน่วยของประเทศไทยสูงกว่า เพราะกำลังการกลั่นของประเทศไทยมีขนาดน้อยกว่า (Economies of Scale)
3. ต้นทุนการผลิตน้ำมันสูงกว่า เพราะโรงกลั่นในประเทศไทยผลิตน้ำมันคุณภาพสูงกว่าหรือยูโร 4-5 เพื่อมีความสามารถในการแข่งขันกับการนำเข้าน้ำมันจากโรงกลั่นสิงคโปร์
พอต้นทุนโรงกลั่นในประเทศไทยสูงกว่าแต่กลับขายได้ราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันจากโรงกลั่นสิงคโปร์หรือราคาที่ควรจะเป็น อาจจะถึงขั้นขาดทุน ผู้ประกอบการจะย้ายเงินลงทุนไปลงทุนที่ต่างประเทศแทน ทำให้โรงกลั่นในประเทศต้องปิดตัวลง ทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปแทน ส่งผลกระทบต่อการการจ้างงานสร้างรายได้และกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศอย่างวงกว้าง และขาดความมั่นคงทางพลังงาน !!!
รูปที่ 6: โรงกลั่นน้ำมันของ Singapore Refining Co. (SRC) ประเทศสิงคโปร์



ดังนั้นการอ้างอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปจากตลาดสิงคโปร์ จะทำให้โรงกลั่นภายในประเทศต้องพัฒนาศักยภาพและปรับปรุงการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนการกลั่นน้ำมันให้สามารถแข่งขันกับโรงกลั่นอื่นๆ ในภูมิภาคหรือของโลกอยู่เสมอ ซึ่งจะเป็นผลดีกับผู้บริโภคและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

ซึ่งปัจจุบัน โรงกลั่นในประเทศไทยสามารถกลั่นได้นำ้มันที่มีคุณภาพสูงกว่าประเทศสิงคโปร์ ในมาตราฐาน Euro 4 (E20 เป็น Euro 5 แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว) โรงกลั่นไทยจึงสามารถแข่งขันกับโรงกลั่นสิงคโปร์ที่กลั่นน้ำมันมาตราฐาน Euro 2 ได้  อย่างไรก็ตามจากข่าว โรงกลั่นในสิงคโปร์ของบริษัท Singapore Refining Co. (SRC) เตรียมลงทุนกว่า $500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯเพื่ออัพเกรดโรงกลั่นให้กลั่นน้ำมันตามมาตารฐานยูโร 4
ในปัจจุบันนี้เหล่าโรงกลั่นในไทยจะมีค่าการกลั่นโดยเฉลี่ยอยู่ราวๆลิตรละ 2 บาท ค่าการกลั่นนี้ไม่ใช่ผลกำไรแต่เป็นส่วนต่างระหว่างน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นกับต้นทุนราคาน้ำมันดิบที่นำเข้ามา ถ้าหักต้นทุนและภาษีเงินได้เข้ารัฐแล้วกำไรน่าจะไม่ถึงลิตรละบาท เต็มที่ก็บาทนึง ดังนั้นการตั้งราคาที่ต่ำกว่าราคาอ้างอิงตลาดกลางสิงคโปร์จะมีความเสี่ยงการขาดทุนสูง ค่าการกลั่นนั้นขึ้นอยู่กับบางช่วงเวลาเรียกว่า Gross Refinery Margin ดูข้อมูลได้จาก http://www.eppo.go.th/petro/price/index.html 

คำอธิบายค่าการกลั่น

อ้างอิงข่าวการอัพเกรดโรงกลั่นในสิงคโปร์
http://fuelsandlubes.com/flw/src-soon-to-embark-on-us500-million-refinery-upgrade/#!prettyPhoto

ราคาน้ำมันตลาดกลางสิงคโปร์ กับ ราคาน้ำมันขายปลีกหน้าปั๊มสิงคโปร์ เป็นราคาเดียวกันหรือเปล่า?

หลายๆคนยังคงสับสนกับราคาสิงคโปร์ว่า มันเป็นราคาหน้าปั๊มน้ำมันของประเทศสิงคโปร์หรือเปล่า ผมบอกเลยว่า "ไม่ใช่" ครับ อย่างที่อธิบายไว้แล้วว่าราคาที่เราอ้างอิงนั้นเป็นราคาที่เกิดจากตลาดการซื้อขายน้ำมันของภูมิภาคนี้ พอดีตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ แต่ทีนี้เรามาดูราคาขายปลีกหน้าปั๊มของประเทศสิงคโปร์กันดีกว่าครับ ซึ่งเป็นราคาที่รัฐบาลสิงคโปร์มีการกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตต่างๆเหมือนบ้านเรานั่นเอง มาดูกันว่าราคาเป็นอย่างไร

รูปที่ 7: ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตลาดกลางสิงคโปร์ วันที่ 21 มีนาคม - 18 เมษายน 2556
รูปที่ 8: ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2556


ราคาล่าสุดตั้งแต่ วันที่ 16 เมษายน 2556 จะเห็นได้่ว่า

ราคาเบนซิน 95 ขายปลีกในประเทศสิงคโปร์อยู่ที่ลิตรละ S$2.080 หรือ 48.12 บาท
ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ตลาดสิงคโปร์ (Unleaded Petrol = MOPS95 หรือ Mean Of Platts Singapore) เฉลี่ย 3 วัน (16-18 เมษายน 2556) อยู่ที่บาร์เรลละ $109 หรือลิตรละ 19.88 บาท

จะเห็นว่าราคานั้นคนละราคาเลย เพราะทางประเทศสิงคโปร์ ก็เก็บภาษีสรรพสามิต บริษัทน้ำมันก็เก็บค่าการตลาดเช่นเดียวกับประเทศไทยเหมือนกัน แถมโดยรวมแล้วยังเก็บมากกว่าประเทศไทยอีกด้วยประมาณลิตรละ 3.50 บาท ทั้งที่ราคาหน้าโรงกลั่นไม่มีค่าขนส่งเพิ่มเติมอีกด้วยเพราะตลาดซื้อขายกลางอยู่ในประเทศ (ราคาขายปลีกในไทยล่าสุดตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2556 ราคาเบนซิน 95 ลิตรละ 44.35 บาท ราคาหน้าโรงกลั่นอยู่ที่ลิตรละ 20.73 บาท รวมต้นทุนค่าขนส่ง ค่าประกัน ฯลฯ ประมาณลิตรละ 85 สตางค์)

(1 ดอลล่าร์สิงคโปร์ = 23.14 บาท, 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ = 29 บาท, 1 บาร์เรล = 159 ลิตร)

อ้างอิงราคาขายปลีกปั๊มคาลเท๊กซ์ในประเทศสิงคโปร์
http://www.caltex.com/sg/resources/fuel-price/

อ้างอิงราคาน้ำมันตลาดกลางสิงคโปร์
http://www.aip.com.au/pricing/marketwatch.htm



ประเทศมาเลเซียอ้างอิงราคาตลาดกลางสิงคโปร์ด้วยหรือไม่?

ประเด็นนี้ก็เป็นอีกประเด็นที่มีความสับสนอย่างมากมายในหมู่ประชาชนคนไทย ที่มักจะอ้างราคาน้ำมันประเทศมาเลเซียเสมอ เพราะที่นั่นขายถูกกว่าบ้านเราครึ่งต่อครึ่ง แต่น้อยคนนักที่จะเข้าใจว่า โครงสร้างราคาน้ำมันที่แท้จริงของประเทศมาเลเซียเป็นเช่นไร ก็เลยเข้าใจไปต่างๆนานาว่า "ประเทศมาเลเซียสามารถกำหนดราคาน้ำมันได้เอง" ความเข้าใจนี้เป็นความจริงแค่ครึ่งเดียวครับ ประเทศมาเลเซียนั้นสามารถกำหนดราคาน้ำมันขายปลีกหน้าปั๊มได้ด้วยการกำหนดโครงสร้างภาษีและการอุดหนุนราคา แต่ไม่สามารถกำหนดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นได้ครับ ทุกๆวันนี้ประเทศมาเลเซียเองก็อ้างอิงราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามตลาดกลางสิงคโปร์เช่นเดียวกัน ถ้าไม่อ้างอิงละก็ ก็จะเกิดเหตุการณ์เดียวกับที่ผมอธิบายไว้ในหัวข้อก่อนหน้านี้

แล้วทำไมราคาน้ำมันขายปลีกของประเทศมาเลเซียถึงถูกกว่าเรามาก? ก็เพราะประเทศมาเลเซียเค้ากำลังควบคุมราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศอยู่ ด้วยการงดเว้นการจัดเก็บภาษีและใช้เงินภาษีไปอุดหนุนราคาน้ำมัน ซึ่งงบประมาณส่วนนี้ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในรูป LNG (ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศส่งออกพลังงานสุทธิ)
ราคาน้ำมันขายปลีกประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน
PETROL RON95 หรือเบนซิน 95 อยู่ที่ ~ 19 บาท (RM1.9) ส่วนดีเซลอยู่ที่ 18 บาท (RM1.80) ครับจากข้อมูลวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

รูปที่ 9: โครงสร้างราคาน้ำมันของประเทศมาเลเซีย จากปั๊มน้ำมัน SHELL ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ วันที่ 16 มี.ค.2556


ราคาซ้ายคือ PETROL RON 95 หรือ เบนซิน 95 (กระดาษลอกๆหน่อย)
ราคาขวามือคือ DIESEL (ดีเซล)
Harga sebenar termasuk cukai ราคาที่แท้จริงรวมภาษี
Harga kawalan ราคาขายปลีกที่ถูกควบคุมราคาแล้ว (ราคาที่ประชาชนซื้อ)
Pelepasan Cukai oleh Kerajaan งดเว้นภาษีโดยรัฐบาล
Subsidi oleh Kerajaan เงินอุดหนุนจากรัฐบาล
RM 1  ประมาณ 10 บาท

จะเห็นได้ว่า ราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซิน 95 ที่แท้จริงอยู่ที่ 35.40 บาท ถ้าไม่รวมภาษีจะเป็น 29.50 บาท  (ภาษีทั้งหมด 5.90 บาท) ซึ่งราคา 29.50 บาทนี้ คือราคาหน้าโรงกลั่นที่อ้างอิงตามตลาดสิงคโปร์ + ค่าการตลาด น่าเสียดายที่รูปนี้ไม่ได้ถอดค่าการตลาดออกมาให้ดู (รูปนี้ผมถ่ายเองกับมือตอนไปประเทศมาเลเซียเมื่อเดือนที่แล้ว)

รูปที่ 10: ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตลาดกลางสิงคโปร์ วันที่ 7 มีนาคม - 4 เมษายน 2556


รูปที่ 11: โครงสร้างราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศไทย วันที่ 15 มีนาคม 2556


เอาเป็นว่า ราคาหน้าโรงกลั่นอ้างอิงราคาสิงคโปร์ ในวันที่ 15 มีนาคม 2556 นั้น บาร์เรลละ $123 หรือลิตรละ 22.43 บาท สมมติว่ามีค่าขนส่งจากสิงคโปร์ประมาณลิตรละ 50 สต. (ให้น้อยกว่าขนส่งไปไทยนิดหน่อย) จะตกลิตรละประมาณ 23 บาท แต่ป้ายนี้อาจจะติดมาตั้งแต่ต้นปีแล้วก็ได้ (สังเกตกระดาษเปื่อยๆ) ผมลองย้อนไปดูว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 ตลาดสิงคโปร์สูงสุดตั้งแต่ต้นปีราคาเท่าไร อยู่ราวๆ บาร์เรลละ $130 หรือตกละลิตรละ 24 บาท (บวกให้อีกลิตรละ 50 สต. สำหรับค่าขนส่งไปมาเลเซีย) ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์และต้นเดือนมีนาคม 2556 ที่ราคาเบนซิน 95 ในประเทศไทย อยู่ลิตรละ 48.75 บาท (วันที่ 1 มีนาคม 2556) แสดงว่าค่าการตลาดที่ปั๊มน้ำมันในประเทศมาเลเซียได้ไป ตกลิตรละ 5.00 - 6.50 บาท (ณ วันที่ 1 มีนาคม 2556 และวันที่ 15 มีนาคม 2556 ตามลำดับ) ถ้าราคาน้ำมันตลาดกลางสิงคโปร์น้อยกว่านี้แปลว่าค่าการตลาดจะยิ่งสูงกว่า ถ้ามาเลเซีย fix ราคาขายปลีกก่อนภาษีอยู่ที่ลิตรละ 29.50 บาท

เข้าใจแล้วว่าทำไมปั๊มนอกในไทยถึงเจ๊งกันบ่อยๆเพราะค่าการตลาดต่ำเตี้ยจริงๆเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ในวันนั้นค่าการตลาดเบนซิน 95 ในประเทศไทยอยู่ที่ลิตรละ 2.96 - 3.59 บาทเท่านั้น(ณ วันที่ 15 มีนาคม 2556 และวันที่ 1 มีนาคม 2556 ตามลำดับ) แบบว่ารายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายในปั๊มน้ำมันของไทยอยู่ประมาณครึ่งนึงของปั๊มน้ำมันในประเทศมาเลเซีย

และท้ายสุด รัฐบาลประเทศมาเลเซียก็อุดหนุนราคาให้ลิตรละ 10.50 บาท (งบประมาณนี้คือรัฐบาลช่วยประชาชนจ่ายให้บริษัทน้ำมันนะครับ ไม่ใช่ไปบังคับให้ปั๊มน้ำมันขายในราคาที่กำหนด เหมือน LPG หรือ ดีเซล ในประเทศไทยนี่เอง) ทำให้ ราคาขายปลีกอยู่ที่ ลิตรละ 19 บาท นั่นเอง

ส่วนน้ำมันดีเซลก็ใช้หลักการงดเว้นภาษีและการอุดหนุนราคาแบบเดียวกันครับ

(1 ดอลล่าร์สิงคโปร์ = 23.14 บาท, 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ = 29 บาท, 1 บาร์เรล = 159 ลิตร)
ข่าวรัฐบาลมาเลเซียจ่ายเงินอุดหนุนพลังงานกว่า 2 หมื่นล้านริงกิต หรือ 2 แสนล้านบาท
http://www.mcot.net/site/content?id=4ff6741d0b01dabf3c0345f0#.UXOZSJiJmJU



โรงกลั่นในประเทศไทย และกำลังการกลั่นในประเทศไทย


ปัจจุบันในประเทศไทยมีโรงกลั่นอยู่ทั้งหมด 7 แห่ง คือ
1. ไทยออยล์
2. เอสโซ่ ศรีราชา รีไฟเนอรี่
3. บางจาก ปิโตรเลียม
4. ระยองเพียวรีไฟเออร์
5. สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟนิ่ง
6. ไออาร์พีซี
7. พีทีที โกลบอล เคมิคอล

โดยมีข้อมูลกำลังการผลิตและสัดส่วนผู้ถือหุ้นดังต่อไปนี้


รูปที่ 12: ข้อมูลกำลังการกลั่นและผู้ถือหุ้นของโรงกลั่นในประเทศไทย รวมถึงส่วนแบ่งการตลาดของ ปตท.



ซึ่งขณะนี้ประชาชนได้รับข้อมูลได้ไม่ครบถ้วนจึงเกิดความสับสนขึ้นมาว่า "แท้จริงแล้ว บริษัทคนไทยอย่าง ปตท. เป็นเจ้าของโรงกลั่นทั้งหมดยกเว้นเอสโซ่แต่เพียงแห่งเดียว ทำให้ ปตท. มีสิทธิ์กำหนดราคาได้ " แต่ความจริงแล้ว จากข้อมูลในปัจจุบัน จะพบว่า ปตท. มีส่วนในการถือหุ้นโรงกลั่นทั้งหมด 5 โรงกลั่นจาก 7 โรงกลั่น ดูเหมือนเยอะเลยนะครับ (บางทีเค้าไม่นับ โรงกลั่นระยองเพียว RPC จะกลายเป็น 5 โรงจาก 6 โรง ทำให้สัดส่วนเหมือนราวๆ 83% ของกำลังการกลั่นในประเทศเลยทีเดียว)

แต่ถ้าลองถอดสัดส่วนผู้ถือหุ้นดู จะพบกว่า ปตท.ถือหุ้นใหญ่เหลือเพียง 4 โรงกลั่นจาก 7 โรงกลั่น เพราะ โรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม นั้น เชฟรอนถือหุ้นใหญ่ 64% เกินครึ่งด้วย ซึ่ง ปตท. ไม่มีสิทธิ์หรือมีสิทธิ์จำกัดในการกำหนดนโยบายใดๆ

แล้วพอดูให้ลึกลงไป ปรากฎว่า ไม่มีโรงกลั่นไหนเลยที่ ปตท. ถือหุ้นใหญ่เกินครึ่ง ที่จะกำหนดทิศทางราคาได้แต่เพียงผู้เดียว ถ้าผู้ถือหุ้นรายอื่นๆไม่เห็นด้วยทั้งหมด ผมก็ได้ถอดสัดส่วนต่างๆให้ดูดังต่อไปนี้

1. ส่วนแบ่งการตลาดหรือสัดส่วนผู้ถือหุ้นที่แท้จริงของ ปตท. ทั้งหมด อยู่ที่ 34% ของกำลังการกลั่นในประเทศเท่านั้น
2. กำลังการกลั่นของโรงกลั่น ที่ ปตท.ถือหุ้นใหญ่ที่สุด อยู่ที่ 69% ของกำลังการกลั่นในประเทศ
3. กำลังการกลั่นของโรงกลั่นที่ ปตท. ถือหุ้นเกินครึ่งนึง ไม่มีเลย

หมายความว่า ถ้ารัฐบาลกำหนดให้ขายน้ำมันหน้าโรงกลั่นต่ำกว่าราคาสิงคโปร์ อย่างน้อย โรงกลั่นที่ ปตท.ไม่ได้ถือหุ้นใหญ่อยู่ราวๆ 31% ของกำลังการกลั่นในประเทศจะถูกส่งออกทันที (ประเทศไทยเป็นประเทศการค้าเสรี ทุกบริษัทมีสิทธิ์จะเลือกที่จะขายในประเทศหรือส่งออก) จะทำให้ประเทศไทยขาดแคลนน้ำมัน เพราะจะมีน้ำมันเหลือ 755,000 บาร์เรลต่อวันขณะที่ประเทศไทยบริโภคอยู่ราวๆ 850,000 - 900,000 บาร์เรลต่อวัน (ซึ่งยังไม่ลงไปในรายละเอียดน้ำมันคงเหลือของน้ำมันแต่ละชนิดนะครับ)

แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า ปตท. จะเป็นเจ้าของโรงกลั่นทั้งหมด 100% แต่ถ้าไม่อ้างอิงราคาตลาดสิงคโปร์ สุดท้ายแล้ว โรงกลั่นของ ปตท. ก็จะไม่สามารถแข่งขันกับโรงกลั่นในสิงคโปร์ ทำให้ธุรกิจโรงกลั่นขาดทุนและแข่งขันกับการนำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์ไม่ได้อยู่ดี ดังที่กล่าวไว้แล้ว สุดท้ายถ้าจะให้แข่งขันได้ ก็ต้องเอาภาษีของคนไทยไปอุ้มช่วยเหลืออยู่ดี ซึ่งสุดท้ายจะเป็นผลเสียต่อคนไทยโดยรวมมากกว่า


เรื่องพลังงานต้องใช้ความรู้ ไม่ใช่ความรู้สึก

สิริวัต
21 เม.ย. 2556
อ้างอิงความหมายของมาตราฐานน้ำมันยูโร
http://www.doeb.go.th/knowledge/data/uro_4.pdf

ข่าวการขายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ด้วยมาตราฐานยูโร 5 ของ บมจ.บางจาก
http://www.mcot.net/site/content?id=50c07e6b150ba0ab6500041f#.UXLkDpiJmJU

อ้างอิงคำอธิบายราคาสิงคโปร์ http://esso-th.listedcompany.com/faq.html#01
http://www.eppo.go.th/petro/pt-SingPrice.html
ข้อมูลราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศไทยย้อนหลังจากกระทรวงพลังงาน

อ้างอิง ข้อมูลผู้ถือหุ้นโรงกลั่นอื่นๆที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

อ้างอิง ข้อมูลผู้ถือหุ้นในโรงกลั่น Star Petroleum Refining Co. จากรายงานประจำปีของ บริษัท เชฟรอน ประเทศไทย

อ้างอิง ข้อมูลกำลังการกลั่นของโรงกลั่นในประเทศไทย
http://www.vcharkarn.com/vblog/37277/3

..............................................................................................................



















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น