มหากาพย์เขาพระวิหาร #6
ผ่านไปแล้วกับการให้การทางวาจาที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
ไทยแถลงปิดได้ดีทีเดียว (หรือใจผมเอนเอียงเพราะเชียร์อยู่ด้วยก็ไม่แน่ใจ)
ต่อไปก็รอดูคำตัดสินช่วงปลายปีว่าศาลท่านจะว่ายังไง
ในส่วนคำพิพากษาของศาลโลก ปีพ.ศ. 2505 ตอนหนึ่ง เกี่ยวกับแผนที่ภาคผนวก 1 มีข้อความว่า
“เนื่องจากศาลฯไม่เห็นความจำเป็นตามแถลงสรุปคำขอของกัมพูชา
ที่ขอให้ศาลวินิจฉัยสถานภาพของแผนที่ผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา
หรือเส้นเขตแดนที่กำหนดในแผนที่ฉบับนั้นตามคำแถลงสุรปคำขอข้อ 1 และ 2
ของกัมพูชา จึงงดเว้นการวินิจฉัยความถูกต้องของเส้นเขตแดนตามที่ปรากฏ
ในแผนที่ผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา รวมทั้งสถานภาพของแผนที่ผนวก 1
หรืออีกนัยหนึ่ง ศาลฯ มิได้ทำหน้าที่กรรมการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา”
หมายความว่าศาลโลกท่านไม่รับรองสถานภาพของแผนที่ที่ประกอบในสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศสเมื่อปี 1907 ซึ่งเขมรเค้าใช้ประกอบคำฟ้องและหนำซ้ำยังไม่รับรองความถูกต้องตามที่เขมรร้องขออีก
เรื่องราวปราสาทเขาพระวิหารก็เงียบหายไปจนกระทั่ง
ไทยแถลงปิดได้ดีทีเดียว (หรือใจผมเอนเอียงเพราะเชียร์อยู่ด้วยก็ไม่แน่ใจ)
ต่อไปก็รอดูคำตัดสินช่วงปลายปีว่าศาลท่านจะว่ายังไง
ในส่วนคำพิพากษาของศาลโลก ปีพ.ศ. 2505 ตอนหนึ่ง เกี่ยวกับแผนที่ภาคผนวก 1 มีข้อความว่า
“เนื่องจากศาลฯไม่เห็นความจำเป็นตามแถลงสรุปคำขอของกัมพูชา
ที่ขอให้ศาลวินิจฉัยสถานภาพของแผนที่ผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา
หรือเส้นเขตแดนที่กำหนดในแผนที่ฉบับนั้นตามคำแถลงสุรปคำขอข้อ 1 และ 2
ของกัมพูชา จึงงดเว้นการวินิจฉัยความถูกต้องของเส้นเขตแดนตามที่ปรากฏ
ในแผนที่ผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา รวมทั้งสถานภาพของแผนที่ผนวก 1
หรืออีกนัยหนึ่ง ศาลฯ มิได้ทำหน้าที่กรรมการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา”
หมายความว่าศาลโลกท่านไม่รับรองสถานภาพของแผนที่ที่ประกอบในสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศสเมื่อปี 1907 ซึ่งเขมรเค้าใช้ประกอบคำฟ้องและหนำซ้ำยังไม่รับรองความถูกต้องตามที่เขมรร้องขออีก
เรื่องราวปราสาทเขาพระวิหารก็เงียบหายไปจนกระทั่ง
หลังจากที่ประเทศกัมพูชาสามารถจัดการปัญหา การเมืองภายในและมีการจัดตั้งรัฐบาล รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา ได้เริ่มเจรจาปัญหาเขตแดนอีกครั้ง เหตุผลหลักที่ประเทศไทยต้องการเจรจา ปัญหาเขตแดนกับกัมพูชา คือ
1. หลังจากศาลโลกพิพากษาในปี 2505 ประเด็นปัญหาเรื่อง เขตแดนไทย - กัมพูชา ถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 30 ปี
2. เหตุการณ์สู้รบระหว่างทหารไทยกับลาว บริเวณบ้านร่มเกล้า ชายแดนจังหวัดพิษณุโลก ทำให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา เขตแดนและนำไปสู่ความจำเป็นในการดำเนินการแก้ไขปัญหาเขตแดนกับ ประเทศเพื่อนบ้าน
3. รัฐบาลมีนโยบายไม่ให้เรื่องเขตแดนกลายเป็นประเด็น ทางการเมือง แต่เป็นเรื่องของกฎหมายและเรื่องทางเทคนิค
4. รัฐบาลตระหนักถึงความจำเป็นที่จะใช้กฎหมายระหว่าง ประเทศในการเจรจาเขตแดน
ดังนั้น เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและกัมพูชา ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมเพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจัดทำ หลักเขตแดนสำหรับเขตแดนทางบก (Joint Statement on the Establishment of the Thai - Cambodian Joint Commission on the Demarcation for Land Boundary) ต่อมาในการประชุม คณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ 1 (30 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม 2542) ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดน ร่วมฯ ขึ้น
มีหลักฐานปรากฏว่าประเทศไทยกับกัมพูชาสามารถเจรจาและพูดคุยกันในเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาก่อนหน้านั้นด้วยคือ
"หนังสือด่วนที่สุด จากกระทรวงการต่างประเทศลงนามโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถึงนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี หนังสือเลขที่ กต. 063/1574 ลงวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2543 เรื่อง “ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 2"
เอกสารดังกล่าวได้ระบุที่ไปที่มาว่า นายชวน หลีกภัย ในสมัยเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ได้ไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12-14 มกราคม พ.ศ. 2537 ปรากฏว่าได้มีการออกแถลงการณ์ร่วมฉบับลงวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2537 ระบุว่าทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ขึ้นภายในระยะเวลาอันสมควรเพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดน อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชายังไม่มีความพร้อม
ตามเอกสารของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการต่างประเทศที่ทำถึงนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2543 ว่าได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) 2 ครั้งไปแล้ว โดยปรากฏข้อความในการเกริ่นนำว่า
“ตามที่รัฐบาลกัมพูชาได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Commission on Demarcation for Land Boundary หรือ Joint Boundary Commission :JBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 5-7 มิถุนายน 2543 นั้น กระทรวงการต่างประเทศใคร่ขอกราบเรียนรายงานผลการประชุมโดยสรุปดังนี้....”
หนังสือของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการต่างประเทศที่ทำถึงนายชวน หลีกภัย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2543 นั้น ยังมีสิ่งที่ส่งมาด้วยคือ “สำเนาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2” ด้วย
ข้อความนี้ย่อมแสดงว่าไทยและกัมพูชาต่างมีบันทึกการประชุมครั้งนี้เป็นหลักฐานอยู่ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ที่จะใช้สำหรับเป็นข้ออ้างได้ว่ามีการตกลงกันอย่างไรในการประชุม
อีกทั้งในหนังสือดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ที่ประชุมสามารถตกลงกันได้ในเรื่องต่างๆ ในเรื่อง MOU 2543 จนถึงขั้นสามารถ “ลงนามย่อ (ad referendum)” บันทึกความเข้าใจฯ (ภาคผนวก 6 ของสิ่งที่ส่งมาด้วย) ซึ่งมีสาระสรุปสำคัญดังนี้
“พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและจัดทำ (ปัก) หลักเขตแดนทางบก จะดำเนินการโดยใช้บรรดาเอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 กับพิธีสารแนบท้าย และแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ (application) อนุสัญญาและสนธิสัญญาดังกล่าว”
กัมพูชาก็ต้องมีบันทึกผลการประชุมเช่นเดียวกับไทยที่ระบุสาระสำคัญ 2 ประการเป็นเอกสารประกอบที่มาของ MOU 2543
ในตอนท้ายของหนังสือฉบับนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้ทำเสนอไปยัง นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เพื่อทราบและพิจารณาเพื่อขออนุมัติเรื่องการลงนามใน MOU 2543 ความว่า: “จึงกราบเรียนมาเพื่อกรุณาทราบและพิจารณา
1. อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่กรุงพนมเปญ ในระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายนศกนี้ โดยกระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาไทย เพื่อประโยชน์ในการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในโอกาสต่อไป”
ต่อมาในวันที่ วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2543 นายวรากรณ์ สามโกเศส รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือกราบเรียน นายกรัฐมนนรี (นายชวน หลีกภัย) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมา ขออนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ในระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการของ นรม (14-16 มิถุนายน พ.ศ. 2543)
ซึ่งได้ระบุผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 ในข้อ 2 โดยมีข้อ
2.1 บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ที่ประชุมสามารถลงนามย่อ (ad referendum) บันทึกความเ้ข้าใจซึ่งมีสาระสรุปดังนี้
-พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและปักเขตแดนทางบก จะดำเนินการโดยใช้เอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยและกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คืออนุสัญญาฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1907 (พ.ศ. 2550) กับพิธีสารแนบท้าย และแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน
และลงท้ายด้วยข้อเสนอของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีว่า:
“เห็นควรอนุมัติข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศ และนำเรื่องเสนอเข้า ครม. เพื่อทราบต่อไป”
นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ลงนายเซ็นเอาไว้ในวันที่ 12 มิถุนายน 2543 ด้วยข้อความสั้นๆว่า“อนุมัติ”
วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายไทย จึงได้ไปลงนาม กับนายวาร์ คิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนกัมพูชา ใน บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 หรือ MOU 2543!!!
นี่เป็นที่มาของ MOU 43 ที่หลายๆคนกลัวความผิดก็พยายามบิดเบือนว่า มันดี มันช่วยอย่างโน้นอย่างนี้
ทนายกัมพูชายกขึ้นมาสู้ จนทนายฝ่ายไทยต้องพยายามแก้ต่าง ก็กลับบิดเบือนว่า ทนายฝ่ายไทยยกขึ้นมาสู้!!!
นี่เป็นที่มาของ MOU 43 ที่หลายๆคนกลัวความผิดก็พยายามบิดเบือนว่า มันดี มันช่วยอย่างโน้นอย่างนี้
ทนายกัมพูชายกขึ้นมาสู้ จนทนายฝ่ายไทยต้องพยายามแก้ต่าง ก็กลับบิดเบือนว่า ทนายฝ่ายไทยยกขึ้นมาสู้!!!
- Paan Chutitorn ข้อความจากต้นฉบับ เพื่อความกระจ่างยิ่งขึ้นในข้อที่เป็นปัญหาตีความกันไปหลายความหมาย เกี่ยวกับ mou 43 ดังนี้
(c) Maps which are the results of demarcation works of the commissions of Delimitation of the Boundary between Indo-China and Siam set up under the convention of 1904 and the treaty of 1907 between Siam and France, and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907. - Paan Chutitorn โดยแผนที่ทั้งหมดมี 11 ฉบับ ทำในมาตราส่วน 1:200,000 ตามสนธิสัญญา 1904,1907 คือ ตามแนวสันปันน้ำ แต่ฉบับที่ 11 ระวางดงรักเป็นปัญหา ซึ่งคณะกรรมการฝ่ายไทยก็ปฏิเสธไม่รับ
- Supapong Wanitpongpan อีกทั้งในหนังสือดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ที่ประชุมสามารถตกลงกันได้ในเรื่องต่างๆ ในเรื่อง MOU 2543 จนถึงขั้นสามารถ “ลงนามย่อ (ad referendum)” บันทึกความเข้าใจฯ (ภาคผนวก 6 ของสิ่งที่ส่งมาด้วย) ซึ่งมีสาระสรุปสำคัญดังนี้
“พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและจัดทำ (ปัก) หลักเขตแดนทางบก จะดำเนินการโดยใช้บรรดาเอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 กับพิธีสารแนบท้าย และแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ (application) อนุสัญญาและสนธิสัญญาดังกล่าว”
ซึ่งเป็นการประชุม JBC จนนำมาสู่ MOU 43 คืออะไรล่ะครับ? - Supapong Wanitpongpan ไทย Defend ในศาล ยังไงก็ต้องบอกว่าไม่รับครับ
ส่วนการปฏิบัติหลังจากเซ็น MOU 43 นั้นไทยทำอะไร? ถอนทหารออกจากพื้นที่นี้ ถอนทำไม?
- Paan Chutitorn mou 43 บอกว่า ให้ปักปันเขตแดนร่วมกัน และต้องยอมรับทั้งคู่ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปฏิเสธ ณ จุดใด ก็ต้องไปเจรจาใหม่ ไม่สามารถบังคับให้อีกฝ่ายยอมรับได้
- Supapong Wanitpongpan ใช่ครับ แต่การยอมรับแผนที่ของรัฐบาลไทย มันเป็นตอนประชุม JBC ก่อนมาจัดทำ MOU ครับ
- Supapong Wanitpongpan ดังนั้น ถึงพยายามยกแต่ MOU 43 ขึ้นมา โดยไม่พูดถึงการประชุม JBC ที่นำมาสู่ MOU 43
เพราะมันชัดเจนมากๆ - Supapong Wanitpongpan และอีกอย่างครับ ถึงแม้ไทยจะบอกว่าเราไม่ยอมรับ แต่เรื่องการยอมรับหรือไม่ ศาลวินิจฉัยไปตั้งแต่ปี 2505 แล้วครับ
ศาลโลกไม่ได้ตัดสินให้เป็นคุณกับกัมพูชา แต่ได้พิจารณาประเด็นนี้เพื่อใช้รองรับการตัดสิน
คือ
“ศาลจะสามารถวินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือบริเวณพระวิหารได้ก็ต่อเมื่อได้ตรวจสอบแล้วว่าเส้นเขตแดนนั้นคือเส้นใด”
“ศาลมีความเห็นว่าประเทศไทยใน ค.ศ.1908-09 ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1 ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้ จึงได้รับรองเส้นบนแผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา”
“ศาลมีความเห็นว่าการยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 โดยคู่กรณี เป็นผลให้แผนที่นั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับความตกลงโดยสนธิสัญญาและกลายเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงนั้น”
“ไม่มีเหตุผลที่จะให้คิดว่าคู่กรณีได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่เส้นสันปันน้ำโดยเจาะจงเมื่อเปรียบเทียบกับความสำคัญที่เหนือกว่าของการยึดเส้นเขตแดนในแผนที่ซึ่งได้ปักปันกันในเวลาต่อมา และเป็นที่ยอมรับแก่คู่กรณี ทั้งนี้ เพื่อให้เรื่องได้เป็นที่ยุติกันไป ฉะนั้น อาศัยหลักในการตีความสนธิสัญญา ศาลจึงจำต้องลงความเห็นให้ถือเส้นเขตแดนตามแผนที่ของบริเวณพิพาท”
- Paan Chutitorn ทั้งหมดคงเป็นเรื่องของ การวิเคราะห์คนละมุม จากเอกสารชิ้นเดียวกัน คงหาข้อสรุปไม่ได้ จนกว่าศาลจะวินิจฉัย เพราะผู้รู้แต่ละท่านก็วิเคราะห์ตามวิถีความคิดส่วนตัวครับ
คงต้องรอกันอีกสักหน่อยนะครับ - Supapong Wanitpongpan ครับ ผมก็ได้ฟังที่ทนายไทยตอบคำถามนี้ครับ
และยังไม่เห็นว่า จะสามารถแก้ประเด็นนี้ได้ แต่กัมพูชา พูดถึงแต่ MOU 43 ซึ่งเป็นผลลัพธ์หลังจากนี้แล้ว
ทำให้ไทยก็แก้ที่ MOU 43 โดยไม่ได้พูดถึงที่มาของ MOU 43 ว่าประชุมกันว่าอย่างไรก่อนเกิด MOU
จากเอกสารที่เชื่อมโยงกันมา ตั้งแต่ 9 มิถุนายน จนถึง 13 มิถุนายน 2543 ซึ่งเป็นการประชุมก่อนนำมาเขียนเป็น MOU 43 โดยเฉพาะการประชุมที่บอกว่า
"ใช้บรรดาเอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 กับพิธีสารแนบท้าย และแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ (application) อนุสัญญาและสนธิสัญญาดังกล่าว"
ตอนประชุมบอกอย่างนี้ ตอนเขียนบันทึกแก้ตัวว่าไม่ยอมรับบางส่วน โดยในบันทึกไม่ได้ระบุด้วยว่ายกเว้นส่วนไหน
จะให้เชื่อหรือครับว่า ไม่ยอมรับส่วนภาคผนวก 1 ซึ่งก็อยู่ในแผนที่ที่บอกว่าจะใช้จริง?
แล้วงานนี้ ก็เพียงแต่กัมพูชาให้ศาลพิจารณาว่า พื้นที่ 4.6 นี้เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาครั้งกระโน้นหรือไม่
ไทยสู้ว่า ศาลไม่มีสิทธิ์พิจารณา!!
ถึงจะชนะ ไม่ได้แปลว่าพื้นที่นี้เป็นของไทยนะครับ! เพียงแต่ไม่ได้เป็นสิทธิ์ของกัมพูชาจากการพิจารณาคดีของศาลโลกเมื่อปี 2505 เท่านั้น
*เำพิ่มเติม* คำพูดเรื่องความเห็นศาล เอามาจากคำแปลคำพิพากษาศาลโลกครับ ไม่ไ้ด้เอามาจากคำพูดของกัมพูชาครับ
................................................................................................................
................................................................................................................
......................................................................................................................
ผมรักแม่ครับ T^T //แอดม่อน
...................................................................................................................
ใครๆก็ชอบพูดพวกป๋มตื่นตูมต
คอมเม้นแม่ค้า : พ่อค้าก็ได้เลี้ยงกระต่างพั
ภาพโดยพี่แหวนครับ
...........................................................................................................
...............................................................................................................
"..บางคนกินเนื้อ บ้างคนก็กินผัก พ่อไม่ได้คาดหวังให้ทุกคนเห
- Santosh Patel (แสดงโดย Adil Hussain)
พ่อของ Pi กล่าวกับ Pi ใน Life of Pi
................................................................................................................
เรื่องของเรื่องดันไปกล่าวห าว่า ริสะ นิงาคิ อดีตหัวหน้าวง Morning Musume ไปทำแท้ง และ มีปัญหาครอบครัว ทำให้มีวิญญาณเด็กตามมาหลอก หลอนนี่เอง!!
B FuckGhost >> ทีมครีเอทีฟ ไม่เช็คข้อมูลก่อนเลย ซวยเลยทีนี้ โดนไล่ออกแน่
แจ้งข้าวโดย MooMoo Aoddy
สาวก Morning Musume แฉรายการคนอวดผีแหกตา สร้างเรื่องสาวทำแท้ง
20 เม.ย.56
สาวก Morning Musume แฉผ่านเฟซบุ๊ก รายการคนอวดผีแหกตาประชาชน สร้างเรื่องร้ายแรง นำภาพศิลปินสาวมาตัดต่อสร้า งเรื่องใหม่ ท้วงรายการไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่กลับโยนเรื่อ งให้ครีเอทีฟ ไม่ยอมชี้แจงข้อเท็จจริงใด ๆ
ในวันนี้ (20 เมษายน) ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ในการนำเสนอข้อมูลของรายการ คนอวดผีขึ้น หลังจากที่คุณ Tuk Attacus ได้ออกมาแฉผ่านเฟซบุ๊กว่า รายการคนอวดผีได้สร้างเรื่อ งตบตา หลอกลวงผู้ชม ในช่วงคลิปแบทเทิล ของเทปที่ออกอากาศเมื่อวันท ี่ 17 เมษายนที่ผ่านมา โดยการนำภาพของ ริสะ นิงาคิ ศิลปินสาวชาวญี่ปุ่น อดีตหัวหน้าวง Morning Musume มาตัดต่อและแต่งเรื่องขึ้นใ หม่
โดยคุณ Tuk Attacus ได้ระบุว่า ในช่วงคลิปแบทเทิลนั้น ทางรายการคนอวดผี ได้นำเสนอคลิปของผู้หญิงคนห นึ่งที่เคยไปทำแท้งมา เพราะมีปัญหาครอบครัว ทำให้มีวิญญาณเด็กตามมาหลอก หลอน ซึ่งในคลิปจะสามารถมองเห็นภ าพของวิญญาณเด็กที่ตามเธอมา ได้ในกระจกที่อยู่ด้านหลัง และระบุว่าคลิปที่นำเสนอนี้ เป็นการถ่ายเล่นกันเองระหว่ างเดินทางโดยเครื่องบิน
แต่แท้ที่จริงแล้ว ผู้หญิงคนที่อยู่ในคลิปก็คื อ ริสะ นิงาคิ อดีตหัวหน้าวง Morning Musume ที่เพิ่งจบการศึกษา (ความหมายของวงการบันเทิงญี ่ปุ่นคือ การออกจากวง) ไปเมื่อปี ค.ศ. 2012 โดยคลิปนี้ถูกนำภาพมาจาก DVD Niigaki Risa Alo Hello! 2 ที่วางจำหน่ายในช่วงต้นปี ค.ศ. 2009 ซึ่งถ่ายไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008 และจากภาพต้นฉบับในดีวีดีดั งกล่าวจะเห็นได้ว่าตรงกระจก ด้านหลังมีเงาราง ๆ อยู่ ซึ่งน่าจะเป็นเงาของตัวริสะ เอง แต่ทางรายการคนอวดผีกลับนำค ลิปดังกล่าวไปแต่งภาพ จนมองเห็นเงาราง ๆ นั้นเป็นวิญญาณจริง ๆ
อย่างไรก็ตามตอนนี้ทางแฟน ๆ Morning Musume ก็ได้ร้องเรียนเรื่องที่เกิ ดกับทางรายการผ่านทางโทรศัพ ท์และทางเฟซบุ๊กแล้ว เพราะการที่สร้างเรื่องขึ้น ว่าริสะไปทำแท้งนั้น ถือเป็นการสร้างเรื่องโกหกท ี่ร้ายแรงมาก แถมยังหลอกลวงผู้ชมรายการอี กด้วย ทว่าตอนที่แฟน ๆ ได้ติดต่อทางรายการทางโทรศั พท์นั้น ทางรายการก็บอกว่าทุกเรื่อง ที่เอามาออกอากาศนั้นทางราย การมีข้อมูลเบื้องต้นทั้งหม ด แต่ก็ไม่สามารถตอบได้ และได้โยนหน้าที่ในการตอบคำ ถามให้แก่ครีเอทีฟ แต่สุดท้ายแล้วครีเอทีฟของร ายการก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เพ ื่อชี้แจงเรื่องดังกล่าว
รายละเอียดตามลิงค์
http://www.nazitv.com/bbs/ diary-ep.php?dibuid=12047
B FuckGhost >> ทีมครีเอทีฟ ไม่เช็คข้อมูลก่อนเลย ซวยเลยทีนี้ โดนไล่ออกแน่
แจ้งข้าวโดย MooMoo Aoddy
สาวก Morning Musume แฉรายการคนอวดผีแหกตา สร้างเรื่องสาวทำแท้ง
20 เม.ย.56
สาวก Morning Musume แฉผ่านเฟซบุ๊ก รายการคนอวดผีแหกตาประชาชน สร้างเรื่องร้ายแรง นำภาพศิลปินสาวมาตัดต่อสร้า
ในวันนี้ (20 เมษายน) ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์
โดยคุณ Tuk Attacus ได้ระบุว่า ในช่วงคลิปแบทเทิลนั้น ทางรายการคนอวดผี ได้นำเสนอคลิปของผู้หญิงคนห
แต่แท้ที่จริงแล้ว ผู้หญิงคนที่อยู่ในคลิปก็คื
อย่างไรก็ตามตอนนี้ทางแฟน ๆ Morning Musume ก็ได้ร้องเรียนเรื่องที่เกิ
รายละเอียดตามลิงค์
http://www.nazitv.com/bbs/
...............................................................................................................
...............................................................................................................
ความจริงอันโหดร้ายใน ประเทศกรุงเทพ
#ชนชั้นกลาง
...................................................................................................................
โต้กันไป โต้กันมา...."หมวดเจี๊ยบ" ส่งข่าววันหยุดถึงนักข่าวทุ กสำนัก ตอบโต้ "ชวนนท์" เจ็บ ยันรัฐบาลไม่ต้องการได้หน้า เรื่องคดีพระวิหาร เพราะมันไม่ควรกลายเป็นคดีค วาม มาตั้งแต่ยุครัฐบาลอภิสิทธิ ์แล้ว พร้อมสงสัยพรรคประชาธิปัตย์ ป่วยทางจิต จึงแสดงความเห็นเรื่องคดีพร ะวิหารแบบเลอะเทอะ ย้อนถาม "ตอนเป็นฝ่ายค้านทำเป็นอวดฉ ลาด แต่ตอนเป็นรัฐบาลทำไมถึงได้ โง่นัก".....
จากกรณีที่ นาย ชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โจมตีรัฐบาลเกาะชายกางเกงที มทนายความสู้คดีปราสาทพระวิ หารนั้น หมวดเจี๊ยบ ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ไม่น่าเชื่อว่าพรรคประชาธิป ัตย์จะมองโลกในแง่ร้ายได้ใน ทุก ๆ เรื่อง เรื่องนี้ไม่เห็นมีอะไรซับซ ้อนเลย ในเมื่อทีมทนายความทำหน้าที ่ได้ดี รัฐบาลก็ต้องแสดงความชื่นชม เป็นเรื่องธรรมดา...."ไม่สำ คัญว่า ทูตวีรชัย พลาศรัย จะถูกแต่งตั้งโดยรัฐบาลไหน เพราะข้าราชการประจำนั้น มีหน้าที่ต้องทำงานเพื่อประ เทศชาติอยู่แล้ว ไม่ว่ารัฐบาลจะมาจากพรรคไหน ".. รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้ต้อง การได้หน้าได้ตาจากคดีนี้เล ย แต่รัฐบาลต้องทำตามหน้าที่ใ นการปกป้องอธิปไตยของประเทศ อันที่จริง มันไม่ควรจะมีคดีนี้มาตั้งแ ต่ต้น ถ้าหากรัฐบาลพรรคประชาธิปัต ย์ไม่เอาแต่ทะเลาะกับเพื่อน บ้าน ประเทศไทยคงไม่ต้องมีคดีควา มในศาลโลก และไม่ต้องมาสุ่มเสี่ยงที่จ ะต้องเสียดินแดนแบบนี้ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ทำให ้บ้านเมืองเสียหายแล้วยังมี หน้าจะมาขอความดีความชอบเรื ่องนี้อีกหรือ และขอให้พรรคประชาธิปัตย์เล ิกโทษรัฐบาลในอดีตได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไทยรักไท ยหรือพลังประชาชนว่าไปยกดิน แดน 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชา เพราะถ้ากัมพูชาได้ดินแดนดั งกล่าวไปแล้วจริง กัมพูชาจะมาขอให้ศาลโลกตีคว ามคดีเก่าอีกครั้งทำไม
ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์โจม ตีว่า 3 รัฐมนตรีของรัฐบาล ไปนั่งเกะกะที่ศาลโลกนั้น ก็เป็นการแสดงท่าทีที่แปลกป ระหลาด ทั้ง ๆ ที่ ใคร ๆ ก็เห็นด้วยและชื่นชม ที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับกา รต่อสู้คดีิ ซึ่งตอนแรก พรรคประชาธิปัตย์ก็พูดเองไม ่ใช่หรือ ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์สู้คดีไ ม่เต็มที่ พอมาตอนนี้ เห็นแล้วว่ารัฐบาลสู้คดีเต็ มที่จริง ๆ พรรคประชาธิปัตย์ กลับพลิกลิ้น เปลี่ยนเป็นพูดว่ารัฐบาลยิ่ งลักษณ์ต้องการทำงานเอาหน้า จะแย่งผลงานทีมทนายความ ทั้ง ๆ ที่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ทำงานอย ่างใกล้ชิดกับทีมทนายความมา ถึง 2 ปีแล้ว ทั้งยังได้ตั้งคณะกรรมการระ ดับชาติในการประสานงานกับที มทนายความ โดยที่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ให้ความใส่ใจและร่วมประชุ มกับคณะกรรมการฯ มาโดยตลอด เพื่อร่วมหารือเกี่ยวกับแนว ทางต่อสู้คดี..."ไม่ทราบว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเครียดอะ ไรนักหนา จ้องแต่จะหาเรื่องค้านจนป่ว ยทางจิตหรือเปล่า พอทนายกัมพูชาฟ้องโลกว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไปหาเรื่ องรุกรานอธิปไตยเขา พรรคประชาธิปัตย์ก็มาสั่งให ้รัฐบาลให้ช่วยแก้ตัวให้ แต่พอรัฐบาลกัมพูชาพูดพาดพิ งรัฐบาลพรรคไทยรักไทยหรือ รัฐบาลพรรคพลังประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ก็รีบฉวยโอ กาสเอาคำพูดทนายกัมพูชามาตั ดต่อเพื่อบิดเบือนโจมตีรัฐบ าล แบบนี้ เรียกว่าเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นใช่หรือเปล ่า "น่าแปลกที่ตอนเป็นฝ่ายค้าน ทำเป็นอวดฉลาด แต่ตอนเป็นรัฐบาลทำไมถึงได้ โง่นัก น่าตลกที่รัฐบาลอภิสิทธิ์สร ้างเรื่องทิ้งไว้ให้รัฐบาลย ิ่งลักษณ์แก้ปัญหา แล้วยังมาลอยหน้าลอยตาวิจาร ณ์รัฐบาลแบบเลอะเทอะบิดเบือ น".........อูวว์ อืมมม์.... จบข่าว
จากกรณีที่ นาย ชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โจมตีรัฐบาลเกาะชายกางเกงที
ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์โจม
- Supapong Wanitpongpan มันโดนอันนี้อ่ะครับ ถ้าไม่ไป
ในข้อ 53 ของธรรมนูญศาลฯ ระบุว่า เมื่อภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ปรากฏตัวต่อศาล ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถขอให้ศาลฯ ตัดสิน เข้าข้างตนได้ - Supapong Wanitpongpan ไม่ไปก็เสียเปรียบ อีกอย่าง คราวนี้เรามีทางชนะได้พอสมควร เพราะตั้งแต่ครั้้งก่อน ศาลก็ไม่รับพิจารณาเรื่องเขตดินแดน
แล้วคราวนี้กัมพูชาฟ้องให้ศาลพิจารณาว่า 4.6 เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาคราวที่แล้วหรือไม่
ไทยสู้ว่า ศาลไม่มีสิทธิ์พิจารณา
ต่างจากคราวก่อนที่ไปสู้ว่า ปราสาทเป็นของไทยหรือกัมพูชา - Supapong Wanitpongpan ที่ขำคือ
ไอซ์รู้มั๊ยครับ ถ้าเราชนะครั้งนี้ ไม่ใช่ 4.6 เป็นของเรานะครับ
แค่ยังไม่เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาเมื่อครั้งก่อน
แปลว่าต้องกลับมาเจรจา และปักปันเขตแดน
สุดท้ายต้องกลับมาที่ MOU 43 - -"
....................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น