วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

20/04/2556

...........................................................................................................................

มหากาพย์เขาพระวิหาร #6


ผ่านไปแล้วกับการให้การทางวาจาที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
ไทยแถลงปิดได้ดีทีเดียว (หรือใจผมเอนเอียงเพราะเชียร์อยู่ด้วยก็ไม่แน่ใจ)
ต่อไปก็รอดูคำตัดสินช่วงปลายปีว่าศาลท่านจะว่ายังไง

ในส่วนคำพิพากษาของศาลโลก ปีพ.ศ. 2505 ตอนหนึ่ง เกี่ยวกับแผนที่ภาคผนวก 1 มีข้อความว่า

เนื่องจากศาลฯไม่เห็นความจำเป็นตามแถลงสรุปคำขอของกัมพูชา
ที่ขอให้ศาลวินิจฉัยสถานภาพของแผนที่ผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา
หรือเส้นเขตแดนที่กำหนดในแผนที่ฉบับนั้นตามคำแถลงสุรปคำขอข้อ 1 และ 2
ของกัมพูชา จึงงดเว้นการวินิจฉัยความถูกต้องของเส้นเขตแดนตามที่ปรากฏ
ในแผนที่ผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา รวมทั้งสถานภาพของแผนที่ผนวก 1
หรืออีกนัยหนึ่ง ศาลฯ มิได้ทำหน้าที่กรรมการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา”

หมายความว่าศาลโลกท่านไม่รับรองสถานภาพของแผนที่ที่ประกอบในสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศสเมื่อปี 1907 ซึ่งเขมรเค้าใช้ประกอบคำฟ้องและหนำซ้ำยังไม่รับรองความถูกต้องตามที่เขมรร้องขออีก


เรื่องราวปราสาทเขาพระวิหารก็เงียบหายไปจนกระทั่ง
หลังจากที่ประเทศกัมพูชาสามารถจัดการปัญหา การเมืองภายในและมีการจัดตั้งรัฐบาล รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา ได้เริ่มเจรจาปัญหาเขตแดนอีกครั้ง เหตุผลหลักที่ประเทศไทยต้องการเจรจา ปัญหาเขตแดนกับกัมพูชา คือ 

1. หลังจากศาลโลกพิพากษาในปี 2505 ประเด็นปัญหาเรื่อง เขตแดนไทย - กัมพูชา ถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 30 ปี 

2. เหตุการณ์สู้รบระหว่างทหารไทยกับลาว บริเวณบ้านร่มเกล้า ชายแดนจังหวัดพิษณุโลก ทำให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา เขตแดนและนำไปสู่ความจำเป็นในการดำเนินการแก้ไขปัญหาเขตแดนกับ ประเทศเพื่อนบ้าน 

3. รัฐบาลมีนโยบายไม่ให้เรื่องเขตแดนกลายเป็นประเด็น ทางการเมือง แต่เป็นเรื่องของกฎหมายและเรื่องทางเทคนิค 

4. รัฐบาลตระหนักถึงความจำเป็นที่จะใช้กฎหมายระหว่าง ประเทศในการเจรจาเขตแดน 

ดังนั้น เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและกัมพูชา ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมเพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจัดทำ หลักเขตแดนสำหรับเขตแดนทางบก (Joint Statement on the Establishment of the Thai - Cambodian Joint Commission on the Demarcation for Land Boundary) ต่อมาในการประชุม คณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ 1 (30 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม 2542) ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดน ร่วมฯ ขึ้น
มีหลักฐานปรากฏว่าประเทศไทยกับกัมพูชาสามารถเจรจาและพูดคุยกันในเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาก่อนหน้านั้นด้วยคือ

"หนังสือด่วนที่สุด จากกระทรวงการต่างประเทศลงนามโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถึงนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี หนังสือเลขที่ กต. 063/1574 ลงวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2543 เรื่อง “ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 2"

เอกสารดังกล่าวได้ระบุที่ไปที่มาว่า นายชวน หลีกภัย ในสมัยเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ได้ไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12-14 มกราคม พ.ศ. 2537 ปรากฏว่าได้มีการออกแถลงการณ์ร่วมฉบับลงวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2537 ระบุว่าทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ขึ้นภายในระยะเวลาอันสมควรเพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดน อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชายังไม่มีความพร้อม

ตามเอกสารของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการต่างประเทศที่ทำถึงนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2543 ว่าได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC)  2 ครั้งไปแล้ว   โดยปรากฏข้อความในการเกริ่นนำว่า

“ตามที่รัฐบาลกัมพูชาได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Commission on Demarcation for Land Boundary หรือ Joint Boundary Commission :JBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 5-7 มิถุนายน 2543 นั้น กระทรวงการต่างประเทศใคร่ขอกราบเรียนรายงานผลการประชุมโดยสรุปดังนี้....”

หนังสือของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการต่างประเทศที่ทำถึงนายชวน หลีกภัย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2543 นั้น ยังมีสิ่งที่ส่งมาด้วยคือ “สำเนาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2” ด้วย

ข้อความนี้ย่อมแสดงว่าไทยและกัมพูชาต่างมีบันทึกการประชุมครั้งนี้เป็นหลักฐานอยู่ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ที่จะใช้สำหรับเป็นข้ออ้างได้ว่ามีการตกลงกันอย่างไรในการประชุม  

อีกทั้งในหนังสือดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ที่ประชุมสามารถตกลงกันได้ในเรื่องต่างๆ ในเรื่อง MOU 2543 จนถึงขั้นสามารถ “ลงนามย่อ (ad referendum)” บันทึกความเข้าใจฯ (ภาคผนวก 6 ของสิ่งที่ส่งมาด้วย) ซึ่งมีสาระสรุปสำคัญดังนี้

“พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและจัดทำ (ปัก) หลักเขตแดนทางบก จะดำเนินการโดยใช้บรรดาเอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 กับพิธีสารแนบท้าย และแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ (application) อนุสัญญาและสนธิสัญญาดังกล่าว”

กัมพูชาก็ต้องมีบันทึกผลการประชุมเช่นเดียวกับไทยที่ระบุสาระสำคัญ 2 ประการเป็นเอกสารประกอบที่มาของ MOU 2543


ในตอนท้ายของหนังสือฉบับนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้ทำเสนอไปยัง นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เพื่อทราบและพิจารณาเพื่อขออนุมัติเรื่องการลงนามใน MOU 2543 ความว่า:  “จึงกราบเรียนมาเพื่อกรุณาทราบและพิจารณา

1. อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่กรุงพนมเปญ ในระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายนศกนี้  โดยกระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาไทย เพื่อประโยชน์ในการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในโอกาสต่อไป

ต่อมาในวันที่ วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2543  นายวรากรณ์ สามโกเศส รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือกราบเรียน นายกรัฐมนนรี (นายชวน หลีกภัย) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมา ขออนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ในระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการของ นรม (14-16 มิถุนายน พ.ศ. 2543)
ซึ่งได้ระบุผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 ในข้อ 2 โดยมีข้อ

2.1 บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ที่ประชุมสามารถลงนามย่อ (ad referendum) บันทึกความเ้ข้าใจซึ่งมีสาระสรุปดังนี้

-พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและปักเขตแดนทางบก จะดำเนินการโดยใช้เอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยและกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คืออนุสัญญาฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1907 (พ.ศ. 2550) กับพิธีสารแนบท้าย และแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน


และลงท้ายด้วยข้อเสนอของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีว่า:

“เห็นควรอนุมัติข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศ และนำเรื่องเสนอเข้า ครม. เพื่อทราบต่อไป

นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ลงนายเซ็นเอาไว้ในวันที่ 12 มิถุนายน 2543 ด้วยข้อความสั้นๆว่า“อนุมัติ”

วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2543  ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายไทย จึงได้ไปลงนาม กับนายวาร์ คิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนกัมพูชา ใน บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 หรือ MOU 2543!!!

นี่เป็นที่มาของ MOU 43 ที่หลายๆคนกลัวความผิดก็พยายามบิดเบือนว่า มันดี มันช่วยอย่างโน้นอย่างนี้
ทนายกัมพูชายกขึ้นมาสู้ จนทนายฝ่ายไทยต้องพยายามแก้ต่าง ก็กลับบิดเบือนว่า ทนายฝ่ายไทยยกขึ้นมาสู้!!!

  • Paan Chutitorn ข้อความจากต้นฉบับ เพื่อความกระจ่างยิ่งขึ้นในข้อที่เป็นปัญหาตีความกันไปหลายความหมาย เกี่ยวกับ mou 43 ดังนี้
    (c) Maps which are the results of demarcation works of the commissions of Delimitation of the Boundary between Indo-China and Siam set up under t
    he convention of 1904 and the treaty of 1907 between Siam and France, and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907.
  • Paan Chutitorn โดยแผนที่ทั้งหมดมี 11 ฉบับ ทำในมาตราส่วน 1:200,000 ตามสนธิสัญญา 1904,1907 คือ ตามแนวสันปันน้ำ แต่ฉบับที่ 11 ระวางดงรักเป็นปัญหา ซึ่งคณะกรรมการฝ่ายไทยก็ปฏิเสธไม่รับ
  • Supapong Wanitpongpan อีกทั้งในหนังสือดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ที่ประชุมสามารถตกลงกันได้ในเรื่องต่างๆ ในเรื่อง MOU 2543 จนถึงขั้นสามารถ “ลงนามย่อ (ad referendum)” บันทึกความเข้าใจฯ (ภาคผนวก 6 ของสิ่งที่ส่งมาด้วย) ซึ่งมีสาระสรุปสำคัญดังนี้

    “พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและจัดทำ (
    ปัก) หลักเขตแดนทางบก จะดำเนินการโดยใช้บรรดาเอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 กับพิธีสารแนบท้าย และแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ (application) อนุสัญญาและสนธิสัญญาดังกล่าว”

    ซึ่งเป็นการประชุม JBC จนนำมาสู่ MOU 43 คืออะไรล่ะครับ?
  • Supapong Wanitpongpan ไทย Defend ในศาล ยังไงก็ต้องบอกว่าไม่รับครับ 
    ส่วนการปฏิบัติหลังจากเซ็น MOU 43 นั้นไทยทำอะไร? ถอนทหารออกจากพื้นที่นี้ ถอนทำไม?



  • Paan Chutitorn mou 43 บอกว่า ให้ปักปันเขตแดนร่วมกัน และต้องยอมรับทั้งคู่ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปฏิเสธ ณ จุดใด ก็ต้องไปเจรจาใหม่ ไม่สามารถบังคับให้อีกฝ่ายยอมรับได้
  • Supapong Wanitpongpan ใช่ครับ แต่การยอมรับแผนที่ของรัฐบาลไทย มันเป็นตอนประชุม JBC ก่อนมาจัดทำ MOU ครับ
  • Supapong Wanitpongpan ดังนั้น ถึงพยายามยกแต่ MOU 43 ขึ้นมา โดยไม่พูดถึงการประชุม JBC ที่นำมาสู่ MOU 43 
    เพราะมันชัดเจนมากๆ
  • Supapong Wanitpongpan และอีกอย่างครับ ถึงแม้ไทยจะบอกว่าเราไม่ยอมรับ แต่เรื่องการยอมรับหรือไม่ ศาลวินิจฉัยไปตั้งแต่ปี 2505 แล้วครับ 

    ศาลโลกไม่ได้ตัดสินให้เป็นคุณกับกัมพูชา แต่ได้พิจารณาประเด็นนี้เพื่อใช้รองรับการตัดสิน
    คือ 

    “ศาลจะสามารถวินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือบริเวณพระวิหารได้ก็ต่อเมื่อได้ตรวจสอบแล้วว่าเส้นเขตแดนนั้นคือเส้นใด” 

    “ศาลมีความเห็นว่าประเทศไทยใน ค.ศ.1908-09 ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1 ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้ จึงได้รับรองเส้นบนแผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา”

    “ศาลมีความเห็นว่าการยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 โดยคู่กรณี เป็นผลให้แผนที่นั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับความตกลงโดยสนธิสัญญาและกลายเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงนั้น” 

    “ไม่มีเหตุผลที่จะให้คิดว่าคู่กรณีได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่เส้นสันปันน้ำโดยเจาะจงเมื่อเปรียบเทียบกับความสำคัญที่เหนือกว่าของการยึดเส้นเขตแดนในแผนที่ซึ่งได้ปักปันกันในเวลาต่อมา และเป็นที่ยอมรับแก่คู่กรณี ทั้งนี้ เพื่อให้เรื่องได้เป็นที่ยุติกันไป ฉะนั้น อาศัยหลักในการตีความสนธิสัญญา ศาลจึงจำต้องลงความเห็นให้ถือเส้นเขตแดนตามแผนที่ของบริเวณพิพาท”


  • Paan Chutitorn นั่นเป็นคำพูดของ กพช. งั้นต้องฟังที่ทนายฝ่ายไทยตอบคำถามนี้ด้วยครับ
  • Paan Chutitorn ทั้งหมดคงเป็นเรื่องของ การวิเคราะห์คนละมุม จากเอกสารชิ้นเดียวกัน คงหาข้อสรุปไม่ได้ จนกว่าศาลจะวินิจฉัย เพราะผู้รู้แต่ละท่านก็วิเคราะห์ตามวิถีความคิดส่วนตัวครับ
    คงต้องรอกันอีกสักหน่อยนะครับ
  • Supapong Wanitpongpan ครับ ผมก็ได้ฟังที่ทนายไทยตอบคำถามนี้ครับ 
    และยังไม่เห็นว่า จะสามารถแก้ประเด็นนี้ได้ แต่กัมพูชา พูดถึงแต่ MOU 43 ซึ่งเป็นผลลัพธ์หลังจากนี้แล้ว 
    ทำให้ไทยก็แก้ที่ MOU 43 โดยไม่ได้พูดถึงที่มาของ MOU 43 ว่าประชุมกันว่าอย่างไรก่อนเกิด MOU 

    จากเอกสารที่เชื่อ
    มโยงกันมา ตั้งแต่ 9 มิถุนายน จนถึง 13 มิถุนายน 2543 ซึ่งเป็นการประชุมก่อนนำมาเขียนเป็น MOU 43 โดยเฉพาะการประชุมที่บอกว่า

    "ใช้บรรดาเอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 กับพิธีสารแนบท้าย และแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ (application) อนุสัญญาและสนธิสัญญาดังกล่าว"

    ตอนประชุมบอกอย่างนี้ ตอนเขียนบันทึกแก้ตัวว่าไม่ยอมรับบางส่วน โดยในบันทึกไม่ได้ระบุด้วยว่ายกเว้นส่วนไหน 
    จะให้เชื่อหรือครับว่า ไม่ยอมรับส่วนภาคผนวก 1 ซึ่งก็อยู่ในแผนที่ที่บอกว่าจะใช้จริง?

    แล้วงานนี้ ก็เพียงแต่กัมพูชาให้ศาลพิจารณาว่า พื้นที่ 4.6 นี้เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาครั้งกระโน้นหรือไม่ 
    ไทยสู้ว่า ศาลไม่มีสิทธิ์พิจารณา!!

    ถึงจะชนะ ไม่ได้แปลว่าพื้นที่นี้เป็นของไทยนะครับ! เพียงแต่ไม่ได้เป็นสิทธิ์ของกัมพูชาจากการพิจารณาคดีของศาลโลกเมื่อปี 2505 เท่านั้น

    *เำพิ่มเติม* คำพูดเรื่องความเห็นศาล เอามาจากคำแปลคำพิพากษาศาลโลกครับ ไม่ไ้ด้เอามาจากคำพูดของกัมพูชาครับ

................................................................................................................


"สรุปกรณีเขาพระวิหารแบบคนไม่ได้ตามข่าวเรื่องนี้มานานมากแล้ว

ขอข้ามเรื่องสมัยร.ห้าไปก่อน เก่าเกิน

เมื่อ 51 ปีก่อนศาลโลกตัดสินให้กัมพูชาชนะคดี ได้เขาพระวิหารไป แต่ไม่มีการตัดสินเรื่องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ไทยงอแงนิดหน่อย ปากบอกไม่ยอมรับคำตัดสิน แต่ทางพฤตินัยปราสาทมันเป็นของเขาตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านแถวนั้นเค้
าก็อยู่กันมาอย่างนี้ ส่วนพื้นที่ทับซ้อน ทั้งไทยทังเขมรก็ถือว่าเป็นของตัวเอง มันก็เลยเป็นพื้นที่ทับซ้อนต่อไป (ที่ทับซ้อนเพราะยึดแผนที่คนละฉบับ เขมรยึดฉบับ 1:200000 ที่ฝรั่งเศสร่าง ซึ่งร.ห้าส่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไปสังเกตการณ์ด้วยแล้วก็ไม่ได้ท้วงอะไร, ส่วนไทยยึดสันปันน้ำฝช้แผนที่ 1:50000)

สมัยคมช. เขมรจะเอาปราสาทเขาพระวิหารไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่ดันพ่วงพื้นที่ทับซ้อนไปด้วย พอถึงสมัยสมัคร นพดลก็ไปเจรจา บอก เฮ้ย มึงจะขึ้นทะเบียนตัวปราสาทก็ขึ้นไป กูหนับหนุน แต่พื้นที่ทับซ้อนนี่ไม่ได้เว้ย รอให้ปักเขตแดนแบบถาวรก่อนค่อยว่ากัน เขมรก็เออๆ ก็ได้(ว้า) เลยทำแถลงการณ์ร่วมกันว่าไทยสนับสนุนให้ขึ้นทะเบียน "เฉพาะตัวปราสาท" ส่วนที่เหลือนี่ทั้งสองประเทศบริหารร่วมกัน นั่นเป็นครั้งแรกที่เขมรยอมรับว่ามี "พื้นที่ทับซ้อน"

พันธมิตร-ประชาธิปัตย์ แม่งไม่มีเรื่องอะไรมาเล่นรัฐบาลคือจุดไม่ติดสักเรื่อง เห็นเรื่องนี้เข้า เอาเว้ย ไอ้แม้วขายชาติ จะยกปราสาทให้เขาเว้ย ไทยไม่เคยยอมรับว่าปราสาทเป็นของเขมรนาเว้ย ไปฟ้องศาลปกครองให้ตีความแถลงการณ์รว่มเป็นนิติกรรมระหว่างรัฐ(อะไรสักอย่างตามมาตรา 190) ต้องผ่านสภาก่อน ดังนั้นอันนี้ใช้ไม่ได้ ยกเลิกแม่ง คณะกรรมการมรดกโลกเลยไม่เอาแถลงการณ์นี้เข้าพิจารณาเพราะเป็นโมฆะไปแล้ว

จากนั้นทุกอย่างแม่งก็วุ่นวายฉิบหายวายป่วง พวกคลั่งก็ยืนยันจะเอาทั้งปราสาททั้งพื้นที่ทับซ้อน จะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางน้ิวเดียว(พ่อง ปีๆนึงดินแดนมึงโดนน้ำทะเลเซาะมากกว่าพื้นที่เขาพระวิหารอีก) ประท้วงจนเค้ารบกัน สุดท้ายเขมรก็มีช่องให้ฟ้องศาลโลกให้ตีความคำตัดสินใหม่ คราวนี้รวมเรื่องพื้นที่ทับซ้อนด้วย(ให้ตีความคำว่าพื้นที่โดยรอบในคำพิพากษาเดิมว่ากินความแร่ไหน) ซึ่งไทยเสียเปรียบมากๆ ไม่เสมอตัวก็เจ๊ง เพราะยังไงปราสาทก็เป็นของเค้าไปแล้วแต่พื้นที่ทับซ้อนที่ควรจะเจรจากันแบบทวิภาคีได้ดันบานปลายไปถึงศาลโลก ในขณะที่คนบางพวกก็บอกศาลโลกไม่มีอำนาจมาตัดสิน เรามีทหารก็รบแย่งดินแดนเอาสิ แม่งพูดยังกะอยู่ในสมัยเจ้าพระยาบดินทรเดชา 

................................................................................................................

......................................................................................................................



ผมรักแม่ครับ T^T //แอดม่อน

...................................................................................................................



ใครๆก็ชอบพูดพวกป๋มตื่นตูมตึงตังกันนัก ดูเอาเองดีกว่าครับว่าจริงไหม๊ ๆๆๆๆๆๆ วู้ย ไม่อยากจะพูด

คอมเม้นแม่ค้า : พ่อค้าก็ได้เลี้ยงกระต่างพันธ์หูตกไว้ 1 ตัว ซึ้งบอกตรงๆนะครับ ผมไม่รู็ว่ามันคิดอะไรอยู่ หรือมันต้องการอะไรกัน แต่ที่รู้เลยคือเวลามันหิวมันจะควัมจานข้าวกับน้ำ นั้นคือสัญญาณบงบอกว่า "ฉันหิวข้าวแล้วนะ" แต่หากในเวลาอื่นละก็ นิ่งมาก นั่งๆ นอนๆ กระโดดย้องแย้งๆ ไปมา บวกกับขี้ฉี่เต็มไปหมด ทุกๆ 5 นาทีำไม่รู้ขี้มากี่กองแล้ว O[]o พระเจ้า!! มันทำได้ มันเป็นสิ่งมีชีวิตอะไรกันนี่!? เข้าใจมันยากจริงๆครับนิสัยกระต่าย สำหรับผม บองตรงๆ

ภาพโดยพี่แหวนครับ

...........................................................................................................

...............................................................................................................



"..บางคนกินเนื้อ บ้างคนก็กินผัก พ่อไม่ได้คาดหวังให้ทุกคนเห็นด้วยกับทุกเรื่อง แต่พ่ออยากให้ลูกเชื่อในสิ่งที่พ่อไม่เห็นด้วยมากกว่ายอมรับทุกสิ่งทุกอย่างแบบมืดบอด และต้องเริ่มต้นจากการคิดแบบมีเหตุผล"
- Santosh Patel (แสดงโดย Adil Hussain)
พ่อของ Pi กล่าวกับ Pi ใน Life of Pi

................................................................................................................




เรื่องของเรื่องดันไปกล่าวหาว่า ริสะ นิงาคิ อดีตหัวหน้าวง Morning Musume ไปทำแท้ง และ มีปัญหาครอบครัว ทำให้มีวิญญาณเด็กตามมาหลอกหลอนนี่เอง!!

B FuckGhost >> ทีมครีเอทีฟ ไม่เช็คข้อมูลก่อนเลย ซวยเลยทีนี้ โดนไล่ออกแน่

แจ้งข้าวโดย MooMoo Aoddy

สาวก Morning Musume แฉรายการคนอวดผีแหกตา สร้างเรื่องสาวทำแท้ง
20 เม.ย.56

สาวก Morning Musume แฉผ่านเฟซบุ๊ก รายการคนอวดผีแหกตาประชาชน สร้างเรื่องร้ายแรง นำภาพศิลปินสาวมาตัดต่อสร้างเรื่องใหม่ ท้วงรายการไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่กลับโยนเรื่องให้ครีเอทีฟ ไม่ยอมชี้แจงข้อเท็จจริงใด ๆ

ในวันนี้ (20 เมษายน) ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในการนำเสนอข้อมูลของรายการคนอวดผีขึ้น หลังจากที่คุณ Tuk Attacus ได้ออกมาแฉผ่านเฟซบุ๊กว่า รายการคนอวดผีได้สร้างเรื่องตบตา หลอกลวงผู้ชม ในช่วงคลิปแบทเทิล ของเทปที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา โดยการนำภาพของ ริสะ นิงาคิ ศิลปินสาวชาวญี่ปุ่น อดีตหัวหน้าวง Morning Musume มาตัดต่อและแต่งเรื่องขึ้นใหม่

โดยคุณ Tuk Attacus ได้ระบุว่า ในช่วงคลิปแบทเทิลนั้น ทางรายการคนอวดผี ได้นำเสนอคลิปของผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยไปทำแท้งมา เพราะมีปัญหาครอบครัว ทำให้มีวิญญาณเด็กตามมาหลอกหลอน ซึ่งในคลิปจะสามารถมองเห็นภาพของวิญญาณเด็กที่ตามเธอมาได้ในกระจกที่อยู่ด้านหลัง และระบุว่าคลิปที่นำเสนอนี้เป็นการถ่ายเล่นกันเองระหว่างเดินทางโดยเครื่องบิน

แต่แท้ที่จริงแล้ว ผู้หญิงคนที่อยู่ในคลิปก็คือ ริสะ นิงาคิ อดีตหัวหน้าวง Morning Musume ที่เพิ่งจบการศึกษา (ความหมายของวงการบันเทิงญี่ปุ่นคือ การออกจากวง) ไปเมื่อปี ค.ศ. 2012 โดยคลิปนี้ถูกนำภาพมาจาก DVD Niigaki Risa Alo Hello! 2 ที่วางจำหน่ายในช่วงต้นปี ค.ศ. 2009 ซึ่งถ่ายไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008 และจากภาพต้นฉบับในดีวีดีดังกล่าวจะเห็นได้ว่าตรงกระจกด้านหลังมีเงาราง ๆ อยู่ ซึ่งน่าจะเป็นเงาของตัวริสะเอง แต่ทางรายการคนอวดผีกลับนำคลิปดังกล่าวไปแต่งภาพ จนมองเห็นเงาราง ๆ นั้นเป็นวิญญาณจริง ๆ

อย่างไรก็ตามตอนนี้ทางแฟน ๆ Morning Musume ก็ได้ร้องเรียนเรื่องที่เกิดกับทางรายการผ่านทางโทรศัพท์และทางเฟซบุ๊กแล้ว เพราะการที่สร้างเรื่องขึ้นว่าริสะไปทำแท้งนั้น ถือเป็นการสร้างเรื่องโกหกที่ร้ายแรงมาก แถมยังหลอกลวงผู้ชมรายการอีกด้วย ทว่าตอนที่แฟน ๆ ได้ติดต่อทางรายการทางโทรศัพท์นั้น ทางรายการก็บอกว่าทุกเรื่องที่เอามาออกอากาศนั้นทางรายการมีข้อมูลเบื้องต้นทั้งหมด แต่ก็ไม่สามารถตอบได้ และได้โยนหน้าที่ในการตอบคำถามให้แก่ครีเอทีฟ แต่สุดท้ายแล้วครีเอทีฟของรายการก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เพื่อชี้แจงเรื่องดังกล่าว

รายละเอียดตามลิงค์

http://www.nazitv.com/bbs/diary-ep.php?dibuid=12047

...............................................................................................................

...............................................................................................................




ความจริงอันโหดร้ายใน ประเทศกรุงเทพ

#ชนชั้นกลาง

...................................................................................................................



โต้กันไป โต้กันมา...."หมวดเจี๊ยบ" ส่งข่าววันหยุดถึงนักข่าวทุกสำนัก ตอบโต้ "ชวนนท์" เจ็บ ยันรัฐบาลไม่ต้องการได้หน้า เรื่องคดีพระวิหาร เพราะมันไม่ควรกลายเป็นคดีความ มาตั้งแต่ยุครัฐบาลอภิสิทธิ์แล้ว พร้อมสงสัยพรรคประชาธิปัตย์ป่วยทางจิต จึงแสดงความเห็นเรื่องคดีพระวิหารแบบเลอะเทอะ ย้อนถาม "ตอนเป็นฝ่ายค้านทำเป็นอวดฉลาด แต่ตอนเป็นรัฐบาลทำไมถึงได้โง่นัก".....

จากกรณีที่ นาย ชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โจมตีรัฐบาลเกาะชายกางเกงทีมทนายความสู้คดีปราสาทพระวิหารนั้น หมวดเจี๊ยบ ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ไม่น่าเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะมองโลกในแง่ร้ายได้ในทุก ๆ เรื่อง เรื่องนี้ไม่เห็นมีอะไรซับซ้อนเลย ในเมื่อทีมทนายความทำหน้าที่ได้ดี รัฐบาลก็ต้องแสดงความชื่นชมเป็นเรื่องธรรมดา...."ไม่สำคัญว่า ทูตวีรชัย พลาศรัย จะถูกแต่งตั้งโดยรัฐบาลไหน เพราะข้าราชการประจำนั้น มีหน้าที่ต้องทำงานเพื่อประเทศชาติอยู่แล้ว ไม่ว่ารัฐบาลจะมาจากพรรคไหน".. รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้ต้องการได้หน้าได้ตาจากคดีนี้เลย แต่รัฐบาลต้องทำตามหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ อันที่จริง มันไม่ควรจะมีคดีนี้มาตั้งแต่ต้น ถ้าหากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไม่เอาแต่ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ประเทศไทยคงไม่ต้องมีคดีความในศาลโลก และไม่ต้องมาสุ่มเสี่ยงที่จะต้องเสียดินแดนแบบนี้ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ทำให้บ้านเมืองเสียหายแล้วยังมีหน้าจะมาขอความดีความชอบเรื่องนี้อีกหรือ และขอให้พรรคประชาธิปัตย์เลิกโทษรัฐบาลในอดีตได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไทยรักไทยหรือพลังประชาชนว่าไปยกดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชา เพราะถ้ากัมพูชาได้ดินแดนดังกล่าวไปแล้วจริง กัมพูชาจะมาขอให้ศาลโลกตีความคดีเก่าอีกครั้งทำไม
ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์โจมตีว่า 3 รัฐมนตรีของรัฐบาล ไปนั่งเกะกะที่ศาลโลกนั้น ก็เป็นการแสดงท่าทีที่แปลกประหลาด ทั้ง ๆ ที่ ใคร ๆ ก็เห็นด้วยและชื่นชม ที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการต่อสู้คดีิ ซึ่งตอนแรก พรรคประชาธิปัตย์ก็พูดเองไม่ใช่หรือ ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์สู้คดีไม่เต็มที่ พอมาตอนนี้ เห็นแล้วว่ารัฐบาลสู้คดีเต็มที่จริง ๆ พรรคประชาธิปัตย์ กลับพลิกลิ้น เปลี่ยนเป็นพูดว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องการทำงานเอาหน้า จะแย่งผลงานทีมทนายความ ทั้ง ๆ ที่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมทนายความมาถึง 2 ปีแล้ว ทั้งยังได้ตั้งคณะกรรมการระดับชาติในการประสานงานกับทีมทนายความ โดยที่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ให้ความใส่ใจและร่วมประชุมกับคณะกรรมการฯ มาโดยตลอด เพื่อร่วมหารือเกี่ยวกับแนวทางต่อสู้คดี..."ไม่ทราบว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเครียดอะไรนักหนา จ้องแต่จะหาเรื่องค้านจนป่วยทางจิตหรือเปล่า พอทนายกัมพูชาฟ้องโลกว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไปหาเรื่องรุกรานอธิปไตยเขา พรรคประชาธิปัตย์ก็มาสั่งให้รัฐบาลให้ช่วยแก้ตัวให้ แต่พอรัฐบาลกัมพูชาพูดพาดพิงรัฐบาลพรรคไทยรักไทยหรือ รัฐบาลพรรคพลังประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ก็รีบฉวยโอกาสเอาคำพูดทนายกัมพูชามาตัดต่อเพื่อบิดเบือนโจมตีรัฐบาล แบบนี้ เรียกว่าเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นใช่หรือเปล่า "น่าแปลกที่ตอนเป็นฝ่ายค้านทำเป็นอวดฉลาด แต่ตอนเป็นรัฐบาลทำไมถึงได้โง่นัก น่าตลกที่รัฐบาลอภิสิทธิ์สร้างเรื่องทิ้งไว้ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์แก้ปัญหา แล้วยังมาลอยหน้าลอยตาวิจารณ์รัฐบาลแบบเลอะเทอะบิดเบือน".........อูวว์ อืมมม์.... จบข่าว



  • Ice Nachai ไม่รับคำร้องไปขึ้นศาลโลกก็จบ ไม่ต้องมาตื่นเต้นขนาดนี่ นี่ดีนะว่าคุณวีรชัยเค้าทำได้ดี
  • Supapong Wanitpongpan มันโดนอันนี้อ่ะครับ ถ้าไม่ไป
    ในข้อ 53 ของธรรมนูญศาลฯ ระบุว่า เมื่อภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ปรากฏตัวต่อศาล ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถขอให้ศาลฯ ตัดสิน เข้าข้างตนได้
  • Ice Nachai สรุปคือต้องไป ใช่ไหม
  • Supapong Wanitpongpan ไม่ไปก็เสียเปรียบ อีกอย่าง คราวนี้เรามีทางชนะได้พอสมควร เพราะตั้งแต่ครั้้งก่อน ศาลก็ไม่รับพิจารณาเรื่องเขตดินแดน 
    แล้วคราวนี้กัมพูชาฟ้องให้ศาลพิจารณาว่า 4.6 เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาคราวที่แล้วหรือไม่ 
    ไทยสู้ว่า ศาลไม่มีสิทธิ์พิจารณา 
    ต่างจากคราวก่อนที่ไปสู้ว่า ปราสาทเป็นของไทยหรือกัมพูชา
  • Supapong Wanitpongpan ที่ขำคือ 
    ไอซ์รู้มั๊ยครับ ถ้าเราชนะครั้งนี้ ไม่ใช่ 4.6 เป็นของเรานะครับ
    แค่ยังไม่เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาเมื่อครั้งก่อน

    แปลว่าต้องกลับมาเจรจา และปักปันเขตแดน 


    สุดท้ายต้องกลับมาที่ MOU 43 - -"


....................................................................................................................




















































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น