วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

06/04/2556


ปาฏิหาริย์ "เอสโคล่า"

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สินค้า "แบรนด์ไทย" จะพลิกแซงแชมป์เก่าแบรนด์ระดับโลกได้ จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ "เอสโคล่า" ของค่ายเสริมสุขใช้เวลาแค่ 2 เดือนขึ้นแท่นอันดับ 2 ของธุรกิจน้ำดำสำเร็จเขี่ย "เป๊ปซี่" ที่เป็นแชมป์ตลอดกาลร่วงมาอยู่อันดับ 3 อย่างน่าเจ็บใจ พลาดให้ใครไม่พลาดแต่ดันมาพลาดท่าให้กับ "พันธมิตร" คนไทยที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ในสมรภูมิน้ำดำมูลค่า 38,000 ล้านบาท มาอย่างยาวนาน

เบื้องหน้าเบื้องหลังการขึ้นแท่นอันดับ 2 ของเอสโคล่าย่อมมิได้มาเพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะ "จุดแข็ง" ที่กุมสภาพช่องทางการจัดจำหน่ายไว้ได้ทั้งหมด ด้วยจำนวนร้านค้ากว่า 2 แสนราย พร้อมกับไลน์การผลิตขวดบรรจุน้ำดำอยู่ในมือของเสริมสุขแต่เพียงผู้เดียว

นี่คืออาวุธลับของ "เอสโคล่า" อย่าคิดว่าขวดไม่สำคัญเคยมีเรื่องเล่าสู่กันฟังว่า ในสมัยที่ธุรกิจน้ำเมายังไม่ได้ผูกขาดอย่างปัจจุบันนี้ มียักษ์ใหญ่เป็นคู่แข่งกันอยู่สองราย กลยุทธ์ตัดขาคู่แข่งให้ได้ผลชะงัดคือ การทำให้ขวดของคู่แข่งหายไปจากตลาด จึงกว้านซื้อมาเก็บไว้ทำเพื่อให้ขวดขาดตลาด เมื่อไม่มีขวดบรรจุเหล้าก็ไม่มีสินค้าวางในตลาด

การที่ "เสริมสุข" กุมโรงงานผลิตขวดไว้ในมือเท่ากับกุมสภาพได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่ต้องพูดถึงช่องทางจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งย่อมมีความสำคัญไม่แพ้กัน ยิ่งมาอยู่ร่วมเครือเดียวกับไทยเบฟของ "เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี" ที่มีเครือข่ายอันทรงพลัง มีร้านอาหารในมือ 300 ร้าน รถขนวิ่งส่งสินค้าได้ทุกหมู่บ้านในประเทศไทย

ผนวกกับความใจถึงของเสริมสุขให้ "กำไร" ร้านค้าโดยตรงไม่ใช่แจกเป็นของชำร่วยเหมือนคนอื่นๆ เป็นกลยุทธ์ที่ "โดนใจ" คู่ค้ามากกว่าจึงกลายเป็นแรงส่งให้เอสโคล่า เข้าสู่ช่องทางจัดจำหน่ายได้ง่ายขึ้น แม้ตัวโปรดักส์จะใหม่รสชาติช่วงแรกๆ อาจไม่โดนแต่หลังๆ ก็ปรับจนเข้าที่เข้าทาง

ความสำเร็จของเอสโคล่าที่สร้างความตื่นตะลึง เพราะคู่แข่งถูกตัดแข้งตัดขาไม่มีสินค้าจำหน่าย ทำให้นึกถึงคำพูด "สันติ ภิรมย์ภักดี" เคยให้สัมภาษณ์ไว้นานแล้ว ได้อย่างขึ้นใจว่า สินค้าจะดีแค่ไหนหากไม่ถึงมือลูกค้า ลูกค้าไม่เห็นสินค้าของเรา ก็ยากจะประสบความสำเร็จ

คอลัมน์ เมืองไทย25น.
ทวี มีเงิน/ข่าวสดออนไลน์

......................................................................................................................


คุณรู้หรือไม่ ทฤษฏีต้มกบเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ


http://pantip.com/topic/30334150

...................................................................................................................


ได้ไปดูคลิปของหม่อมคนเก่งที่พูดถึงเรื่องพลังงานไฟฟ้ามา แอดมินมีความรู้สึกว่าคนของฝ่ายทวงคืนปตท.รวมถึงสื่อในเครือข่ายมีวิธีการอธิบายปัญหาต่างๆ (ทั้งเรื่องพลังงานและเรื่องการเมือง) ในกรอบของทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy theory) ไปเสียหมด

คือตั้งธงไว้ว่าปัญหาต่างๆมันเกิดจาก "ไอ้โม่ง" บางกลุ่มชักไยใ้ห้เกิดปัญหาขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ปตท.หรือนักการเมืองก็ตาม จากนั้นก็จะพยายามเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ให้ชี้เป้าไปยังไอ้โม่งให้ได้มากที่สุด อย่างกรณีเรื่องวิกฤติพลัีงงานไฟฟ้าที่ฝ่ายทวงคืนออกมาให้ความเห็นจะพบกรณีแบบนี้ได้ชัดมากเลยครับ คือพยายามโยงไปจนได้ว่าเป็นแผนของปตท. เป็นแผนของนักการเมืองที่จะทำให้ไฟฟ้าขาดแคลน คือเขียนพล็อตขึ้นมาให้คนเข้าใจไปแบบนั้น

ทฤษฎีสมคบคิดนั้นมันง่ายและเร้าใจครับ เพราะมีพล็อตแบบเดียวกับนิยาย และมีผู้ร้ายที่ชัดเจน แอดมินจึงไม่แปลกใจที่ฝ่ายนั้นจะเน้นสร้าง "เรื่องเล่า" เหล่านี้ออกมากระตุ้นเหล่าสาวกของตนอย่างสม่ำเสมอ แต่วิธีคิดแบบนี้ละครับมันทำให้เราหลงไปจากความจริงอย่างร้ายกาจ เพราะมันให้คำตอบที่สำเร็จรูปและให้ผู้ร้ายแก่คนฟังอย่างชัดเจน จึงไม่ต้องไปทำความเข้าใจอะไรที่ยุ่งยากและซับซ้อน ในกรณีพลังงานก็ไม่ต้องเข้าใจว่าโครงสร้างราคาคืออะไร ราคาตลาดโลกคืออะไร ความอ่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์คืออะไร นโยบายภาครัฐคืออะไร

นอกจากนั้นแล้วในโลกความเป็นจริงไม่มีอะไรที่เป็นขาวดำอย่างชัดเจน "ผู้ร้าย" ในโลกสมัยใหม่ก็เป็นผู้ร้ายที่จับต้องได้ยากและซับซ้อน เพราะถูกกำหนดจากทั้งโครงสร้างทางเศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง ปัญหาในโลกสมัยใหม่หลายปัญหาจึงเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างที่หลายๆอย่างผูกโยงเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออก

เราจึงต้องชี้ให้เหล่าสาวกนักทวงคืนได้เห็นว่า ปัญหามันซับซ้อนกว่านั้น และผู้ร้ายที่คุณกำลังด่าอยู่นั้นอาจไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริงก็ได้ ข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆจึงต้องถูกนำเสนอให้กระจ่าง แม้ว่ามันจะไม่ง่ายและไม่เร้าอารมณ์(ดราม่า)เหมือนเรื่องแต่งโจมตีที่ชอบโพสต์กันก็ตาม

.................................................................................................................................


OK จะบอกว่าอย่าไปเชื่อข้อมูล ปตท เพราะจะถูกหลอก
คำถามคือ แล้วข้อมูลของคุณที่แตกต่างจาก ปตท คืออะไร อ้างอิงอะไร แล้วรู้ได้ไงไม่ถูกหลอก


.................................................................................................................................


...............................................................................................................................



ดร.โสภณ พรโชคชัย
ตามที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงปาฐกถาความตอนหนึ่งว่า "ถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์ฮิตเลอร์ยังได้เป็นผู้นำที่ได้มาจากการเลือกตั้ง เมื่อชนะการเลือกตั้งได้พรรคพวกมาในสภาก็ได้แก้ไขกฎหมายเพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง ในที่สุดผู้นำเสียงข้างมากก็นำพาเยอรมันไปสู่หายนะก็คือประเทศเยอรมัน" {1} ข้อความนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง
แม้ฮิตเลอร์จะมาจากการเลือกตั้ง ก็เป็นการเลือกตั้งที่โกงมา รวมทั้งการทำลายคู่แข่ง และที่สำคัญไม่ได้ชนะด้วยเสียงส่วนใหญ่ ในการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2476 ฮิตเลอร์ได้คะแนนเสียง 44% ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง และแม้ฮิตเลอร์จะชนะการเลือกตั้งใน 33 จาก 35 เขตเลือกตั้ง ก็ไม่ใช่โดยเสียงส่วนใหญ่อยู่ดี {2} ดังนั้นการที่ฮิตเลอร์นำเยอรมนีเข้าสู่สงครามจึงไม่ใช่มติของชาวเยอรมันส่วนใหญ่
บางคนเข้าใจว่าคนส่วนน้อยเห็นได้ถูกต้องกว่าคนส่วนใหญ่ เช่น คดี Perry v. Schwarzenegger ซึ่งศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาพิพากษาไปเมื่อ 4 สิงหาคม 2553 ว่า ผลการลงประชามติของชาวมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อ 8 พฤศจิกายน 2551 ที่มีมติห้ามคนเพศเดียวกันสมรสกันนั้น ขัดต่อหลักความเสมอภาคและขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา คำพิพากษานี้ดูประหนึ่งว่าศาลตัดสินไปในทางที่ขัดต่อมติมหาชน (Anti-Majoritarian Decision) คล้ายกับว่า "เมื่อเสียงส่วนมากใช้ไปในทางที่ผิด ศาลซึ่งแม้เป็นเสียงข้างน้อยที่แสนจะน้อยก็มีหน้าที่ชี้ถูกชี้ผิดให้เสียงข้างมากรับรู้ไว้” {3}
ข้อนี้ก็เป็นความเข้าใจผิด ความจริงก็คือประชามติของชาวมลรัฐหนึ่ง จะไปขัดกับรัฐธรรมนูญของทั้งประเทศ (ซึ่งมาจากฉันทามติของคนทั้งประเทศ) ย่อมไม่ได้อยู่แล้ว ประชามติของคนกลุ่มย่อยเช่นนี้ย่อมไม่มีผล เช่น ชาวฮาวายจะลงประชามติแยกออกจากสหรัฐอเมริกาคงไม่ได้ หรือกรณีมติของคณะโจรว่าจะไปปล้นบ้านไหน ชุมชนไหน ย่อมใช้ไม่ได้เพราะโจรไม่ใช่คนส่วนใหญ่ในสังคม
อย่างไรก็ตาม หากมีการลงประชามติกันทั่วประเทศห้ามการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน สหรัฐอเมริกาก็ต้องแก้กฎหมายตามเสียงส่วนใหญ่ ผู้พิพากษาก็คงไม่อยู่ในวิสัยที่จะออกมาพูดเป็นอื่นในที่สาธารณะหรือมาตัดสินเป็นอื่นได้ ดังนั้นมันจึงเป็นคนละเรื่องกัน จะกล่าวว่าศาล (ผู้พิพากษาไม่กี่คน) ซึ่งแม้เป็นเสียงข้างน้อยก็มีหน้าที่ชี้ถูกชี้ผิดให้เสียงข้างมากไม่ได้
เสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้องนั้นเป็นสัจธรรม (แต่กฎทุกกฎก็มีข้อยกเว้น ในกรณีศิลปวิทยาการ เช่นจะสร้างจรวดไปดวงจันทร์ ก็ต้องถามผู้รู้ เป็นต้น) ทั้งนี้ยกเว้นกรณีถูกโฆษณาชวนเชื่อ หรืองมงายเอง ซึ่งไม่ใช่พบเห็นแต่ในหมู่ปุถุชน แม้แต่อาจารย์ระดับดอกเตอร์ชื่อดังยังหลงคารมเปรตกู้มาแล้ว หรือกรณีพวกคุณหญิงคุณนาย นายทหารใหญ่ ๆ ก็ไปหลงเคารพอลัชชี เป็นต้น
ยิ่งกว่านั้น นายวสันต์ยังกล่าวว่า "เยอรมันจึงมีศาลรัฐธรรมนูญและมีอำนาจมาก และมีบทบัญญัติพิทักษ์รัฐธรรมนูญสำหรับประชาชน" การที่ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีมีเกียรติภูมิสูงนั้นเป็นเพราะสภาเป็นผู้เลือกตั้งผู้พิพากษาที่สมัครเข้ามาตามคุณสมบัติที่กำหนด {4} แต่กรณีศาลรัฐธรรมนูญของไทย กลับแตกต่างกัน โดยรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 204 ระบุที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นผู้พิพากษาในศาลฎีกา 3 คน ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด 2 คน โดยทั้งสองกลุ่มนี้ได้รับเลือกโดยวิธีลงคะแนนลับ ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องอื่นอีก 2 คน {5}
อีกประเด็นหนึ่งที่พึงวิพากษ์การแสดงปาฐกถาของนายวสันต์ก็คือ ความไม่สมควรในวิจารณ์หรือเหน็บแนมการเมืองในฐานะที่เป็นตุลาการ ทั้งนี้ตามประกาศศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องจริยธรรมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่าตุลาการต้อง "ระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นต่อสื่อมวลชนหรือสาธารณชนในเรื่องที่เกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่เสนอหรืออาจจะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย" {6}
นอกจากนั้นในประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการยังระบุว่า "ผู้พิพากษาไม่พึงแสดงปาฐกถา บรรยาย สอน หรือเข้าร่วมสัมมนา อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต่อสาธารณชน ซึ่งอาจกระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา" {7} ดังนั้นการแสดงปาฐกถาครั้งนี้ซึ่งพาดพิงถึงบุคคลและพรรคการเมืองต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จึงไม่ควรทำ เว้นแต่จะลาออกจากสถานะตุลาการ
หากผู้เป็นตุลาการออกมาพูดการเมือง จะถูกติเตียนว่าเอนเอียงได้ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน โดยผลจากการสำรวจเมื่อปี 2554 {4} พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ (57%) ไม่เชื่อมั่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ (ร้อยละ 37.62 ไม่ค่อยเชื่อมั่น ส่วนร้อยละ 19.31 ไม่เชื่อมั่น) และมีส่วนน้อยที่เชื่อมั่น เหตุผลที่ไม่เชื่อมั่นก็เพราะ “เพราะการตัดสินคดีที่ผ่านมา มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางคดีมองว่าเป็นการตัดสินแบบ 2 มาตรฐาน” {8}
ผู้เขียนเป็นห่วงใยต่อความมั่นคงของสถาบันตุลาการจึงแสดงความเห็นข้างต้นมาด้วยความเคารพและด้วยความบริสุทธิ์ใจ


.................................................................................................................................




...........................................................................................................................














































































































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น