......................................................................................................................
คุณรู้หรือไม่ ทฤษฏีต้มกบเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ
http://pantip.com/topic/30334150
...................................................................................................................
.................................................................................................................................
.................................................................................................................................
...............................................................................................................................
ดร.โสภณ พรโชคชัย
ตามที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงปาฐกถาความตอนหนึ่งว ่า "ถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์ฮ ิตเลอร์ยังได้เป็นผู้นำที่ไ ด้มาจากการเลือกตั้ง เมื่อชนะการเลือกตั้งได้พรร คพวกมาในสภาก็ได้แก้ไขกฎหมา ยเพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง ในที่สุดผู้นำเสียงข้างมากก ็นำพาเยอรมันไปสู่หายนะก็คื อประเทศเยอรมัน" {1} ข้อความนี้ไม่สอดคล้องกับคว ามจริง
แม้ฮิตเลอร์จะมาจากการเลือก ตั้ง ก็เป็นการเลือกตั้งที่โกงมา รวมทั้งการทำลายคู่แข่ง และที่สำคัญไม่ได้ชนะด้วยเส ียงส่วนใหญ่ ในการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2476 ฮิตเลอร์ได้คะแนนเสียง 44% ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง และแม้ฮิตเลอร์จะชนะการเลือ กตั้งใน 33 จาก 35 เขตเลือกตั้ง ก็ไม่ใช่โดยเสียงส่วนใหญ่อย ู่ดี {2} ดังนั้นการที่ฮิตเลอร์นำเยอ รมนีเข้าสู่สงครามจึงไม่ใช่ มติของชาวเยอรมันส่วนใหญ่
บางคนเข้าใจว่าคนส่วนน้อยเห ็นได้ถูกต้องกว่าคนส่วนใหญ่ เช่น คดี Perry v. Schwarzenegger ซึ่งศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริ กาพิพากษาไปเมื่อ 4 สิงหาคม 2553 ว่า ผลการลงประชามติของชาวมลรัฐ แคลิฟอร์เนีย เมื่อ 8 พฤศจิกายน 2551 ที่มีมติห้ามคนเพศเดียวกันส มรสกันนั้น ขัดต่อหลักความเสมอภาคและขั ดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมร ิกา คำพิพากษานี้ดูประหนึ่งว่าศ าลตัดสินไปในทางที่ขัดต่อมต ิมหาชน (Anti-Majoritarian Decision) คล้ายกับว่า "เมื่อเสียงส่วนมากใช้ไปในท างที่ผิด ศาลซึ่งแม้เป็นเสียงข้างน้อ ยที่แสนจะน้อยก็มีหน้าที่ชี ้ถูกชี้ผิดให้เสียงข้างมากร ับรู้ไว้” {3}
ข้อนี้ก็เป็นความเข้าใจผิด ความจริงก็คือประชามติของชา วมลรัฐหนึ่ง จะไปขัดกับรัฐธรรมนูญของทั้ งประเทศ (ซึ่งมาจากฉันทามติของคนทั้ งประเทศ) ย่อมไม่ได้อยู่แล้ว ประชามติของคนกลุ่มย่อยเช่น นี้ย่อมไม่มีผล เช่น ชาวฮาวายจะลงประชามติแยกออก จากสหรัฐอเมริกาคงไม่ได้ หรือกรณีมติของคณะโจรว่าจะไ ปปล้นบ้านไหน ชุมชนไหน ย่อมใช้ไม่ได้เพราะโจรไม่ใช ่คนส่วนใหญ่ในสังคม
อย่างไรก็ตาม หากมีการลงประชามติกันทั่วป ระเทศห้ามการแต่งงานของคนเพ ศเดียวกัน สหรัฐอเมริกาก็ต้องแก้กฎหมา ยตามเสียงส่วนใหญ่ ผู้พิพากษาก็คงไม่อยู่ในวิส ัยที่จะออกมาพูดเป็นอื่นในท ี่สาธารณะหรือมาตัดสินเป็นอ ื่นได้ ดังนั้นมันจึงเป็นคนละเรื่อ งกัน จะกล่าวว่าศาล (ผู้พิพากษาไม่กี่คน) ซึ่งแม้เป็นเสียงข้างน้อยก็ มีหน้าที่ชี้ถูกชี้ผิดให้เส ียงข้างมากไม่ได้
เสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อ งนั้นเป็นสัจธรรม (แต่กฎทุกกฎก็มีข้อยกเว้น ในกรณีศิลปวิทยาการ เช่นจะสร้างจรวดไปดวงจันทร์ ก็ต้องถามผู้รู้ เป็นต้น) ทั้งนี้ยกเว้นกรณีถูกโฆษณาช วนเชื่อ หรืองมงายเอง ซึ่งไม่ใช่พบเห็นแต่ในหมู่ป ุถุชน แม้แต่อาจารย์ระดับดอกเตอร์ ชื่อดังยังหลงคารมเปรตกู้มา แล้ว หรือกรณีพวกคุณหญิงคุณนาย นายทหารใหญ่ ๆ ก็ไปหลงเคารพอลัชชี เป็นต้น
ยิ่งกว่านั้น นายวสันต์ยังกล่าวว่า "เยอรมันจึงมีศาลรัฐธรรมนูญ และมีอำนาจมาก และมีบทบัญญัติพิทักษ์รัฐธร รมนูญสำหรับประชาชน" การที่ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนี มีเกียรติภูมิสูงนั้นเป็นเพ ราะสภาเป็นผู้เลือกตั้งผู้พ ิพากษาที่สมัครเข้ามาตามคุณ สมบัติที่กำหนด {4} แต่กรณีศาลรัฐธรรมนูญของไทย กลับแตกต่างกัน โดยรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 204 ระบุที่มาของตุลาการศาลรัฐธ รรมนูญว่าเป็นผู้พิพากษาในศ าลฎีกา 3 คน ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด 2 คน โดยทั้งสองกลุ่มนี้ได้รับเล ือกโดยวิธีลงคะแนนลับ ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร ์ 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง อื่นอีก 2 คน {5}
อีกประเด็นหนึ่งที่พึงวิพาก ษ์การแสดงปาฐกถาของนายวสันต ์ก็คือ ความไม่สมควรในวิจารณ์หรือเ หน็บแนมการเมืองในฐานะที่เป ็นตุลาการ ทั้งนี้ตามประกาศศาลรัฐธรรม นูญ เรื่องจริยธรรมตุลาการศาลรั ฐธรรมนูญ ระบุว่าตุลาการต้อง "ระมัดระวังในการแสดงความคิ ดเห็นต่อสื่อมวลชนหรือสาธาร ณชนในเรื่องที่เกี่ยวกับประ เด็นปัญหาที่เสนอหรืออาจจะเ สนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา วินิจฉัย" {6}
นอกจากนั้นในประมวลจริยธรรม ข้าราชการตุลาการยังระบุว่า "ผู้พิพากษาไม่พึงแสดงปาฐกถ า บรรยาย สอน หรือเข้าร่วมสัมมนา อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็น ใด ๆ ต่อสาธารณชน ซึ่งอาจกระทบกระเทือนต่อการ ปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศ ักดิ์ของผู้พิพากษา" {7} ดังนั้นการแสดงปาฐกถาครั้งน ี้ซึ่งพาดพิงถึงบุคคลและพรร คการเมืองต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จึงไม่ควรทำ เว้นแต่จะลาออกจากสถานะตุลา การ
หากผู้เป็นตุลาการออกมาพูดก ารเมือง จะถูกติเตียนว่าเอนเอียงได้ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของปร ะชาชน โดยผลจากการสำรวจเมื่อปี 2554 {4} พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ (57%) ไม่เชื่อมั่นต่อศาลรัฐธรรมน ูญ (ร้อยละ 37.62 ไม่ค่อยเชื่อมั่น ส่วนร้อยละ 19.31 ไม่เชื่อมั่น) และมีส่วนน้อยที่เชื่อมั่น เหตุผลที่ไม่เชื่อมั่นก็เพร าะ “เพราะการตัดสินคดีที่ผ่านม า มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่ เห็นด้วย บางคดีมองว่าเป็นการตัดสินแ บบ 2 มาตรฐาน” {8}
ผู้เขียนเป็นห่วงใยต่อความม ั่นคงของสถาบันตุลาการจึงแส ดงความเห็นข้างต้นมาด้วยควา มเคารพและด้วยความบริสุทธิ์ ใจ
ตามที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงปาฐกถาความตอนหนึ่งว
แม้ฮิตเลอร์จะมาจากการเลือก
บางคนเข้าใจว่าคนส่วนน้อยเห
ข้อนี้ก็เป็นความเข้าใจผิด ความจริงก็คือประชามติของชา
อย่างไรก็ตาม หากมีการลงประชามติกันทั่วป
เสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อ
ยิ่งกว่านั้น นายวสันต์ยังกล่าวว่า "เยอรมันจึงมีศาลรัฐธรรมนูญ
อีกประเด็นหนึ่งที่พึงวิพาก
นอกจากนั้นในประมวลจริยธรรม
หากผู้เป็นตุลาการออกมาพูดก
ผู้เขียนเป็นห่วงใยต่อความม
.................................................................................................................................
...........................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น