วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

26/04/2556

..............................................................................................................




เรื่องนี้ต้องแชร์ - คุณว่าใบสั่ง2ใบนี้ต่างกันตรงไหน? คุณเคยสังเกตุไหมว่าตำรวจจราจรทำไมต้องพกใบสั่ง2เล่ม? ใบซ้ายคือใบสั่งจริงเข้าหลวงแต่ใบขวาคือพวกตำรวจทำขึ้นมาเองโดยรู้กันใน สน. เพราะฉะนั้นคุณจะสั่งเกตุง่ายๆก็คือถ้าใบสั่งของคุณไม่มีตรายางปั๊มว่าท้องที่ไหนแล้วก็เขียนจำนวนเงินให้(พนักงานจราจรจะไม่มีสิทธิ์เขียนราคา) คุณไม่ต้องไปจ่ายเลยขย่ำทิ้งได้เลย(กรณีไม่ถูกยืดใบขับขี่นะคับเช่นจอดรถไว้แล้วมีกระดาษมาติดหน้ารถ)..... ที่น้องอายุ 23 ปีนำมาโพสไว้
 
...............................................................................................................




» “ความรู้” ที่มาจาก...อนาคต

ในการสัมมนาหรืออบรมทั่วๆ ไปนั้น ผู้เข้าร่วมสัมมนามักจะคิดว่า เพียงเข้าไปนั่งฟังผู้บรรยายก็จะได้รับความรู้จากการสัมมนาครั้งนั้นๆ แล้ว หรืออย่างน้อยๆ ที่สุดก็เข้าไปเซ็นชื่อรับเอกสารประกอบคำบรรยาย แล้วบางท่านก็อาจจะ “โดด” การประชุม ไปเที่ยวเล่นหรือไปทำธุระอย่างอื่น ประชุมกันประมาณนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการได้มาซึ่ง “ความรู้”

ผมชอบใจที่ ออตโต ชาร์มเมอร์ กูรูด้านการเรียนรู้ของมนุษย์ ผู้เขียนหนังสือ “Theory U” ได้พูดถึงเรื่องราวของ “ความรู้” ไว้อย่างน่าสนใจมาก ชาร์มเมอร์ได้แบ่งความรู้ออกเป็นสองแบบเท่านั้น คือ

“ความรู้ที่มาจากอดีต” กับ “ความรู้ที่มาจากอนาคต”


◌◌◌◌◌◌◌◌


“ความรู้” ที่ได้มาจากคนอื่นๆ ไม่ว่าจะมาจากการบรรยายหรือจากการอ่านหนังสือ รวมถึงเพื่อนๆ ที่กำลังอ่านบทความนี้ก็ตาม กำลังอยู่กับ “ความรู้ในอดีต” ทั้งสิ้น อาจจะเรียกว่าเป็น “ความรู้มือสอง” หรือ “ความรู้มือสามมือสี่มือห้ามือหก” ก็ได้

ส่วนความรู้อีกแบบนั้น เป็นความรู้แบบที่เราปิ๊งขึ้นมาเอง เป็นความรู้ “ที่ก่อเกิดขึ้นมาใหม่” ชาร์มเมอร์เรียกว่า เป็น “ความรู้ที่มาจากอนาคต”

เพราะจะต้องถึงเวลานั้นจริงๆ เราถึงจะคิดขึ้นมาได้ เป็น “ความรู้มือหนึ่ง” หรือผมอยากจะเรียกว่าเป็น “ความรู้ไพรมารี่” (Primary Knowledge)

ความรู้ชนิดนี้จะเป็นความรู้ที่มีความยั่งยืน คนที่คิดจะรู้สึกภาคภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองคิดค้นขึ้นมาได้อย่างแท้จริง และไม่มีวันลืมความรู้ชนิดนี้

นักวิทยาศาสตร์ชื่อเสียงโด่งดังทั้งหลายที่คิดค้นทฤษฎีหรือสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ขึ้นมาเอื้อประโยชน์ให้กับโลกใบนี้ ต่างก็ใช้ “ความรู้ที่มาจากอนาคต” นี้เองทั้งสิ้น

แต่คนส่วนใหญ่มักจะ “ไม่ได้ไว้วางใจตัวเอง” มากเพียงพอที่จะเชื่อว่า “ตัวเองมีความรู้ชนิดนี้” ได้ และประเด็นสำคัญของบทความนี้ก็คือ ผมอยากจะเรียนว่า “ความรู้ที่มาจากอนาคต” นี้ สามารถสร้างขึ้นมาได้เสมอๆ และต่อเนื่องไม่รู้จบ


◌◌◌◌◌◌◌◌


วิธีการ #1

คือการสร้างจากความรู้ในอดีต หรือ เรียนรู้จากความรู้มือสอง

ซึ่งเป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่ชอบใช้ ตัวอย่างเช่น การไปนั่งฟังบรรยาย ถ้าเราสนใจกับการรับฟังและเรียนรู้อย่างแท้จริง เราก็ “อาจจะ” ก่อเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาในตัวเรา เช่น คำพูดบางคำของผู้บรรยาย “อาจจะ” มาโดนใจเรา ทำให้เราเกิดความคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ

ถ้าเรามั่นใจและลองเชื่อ “ความรู้ที่เกิดใหม่” นี้ ก็นับได้ว่าความรู้มือสองที่ได้ยินได้ฟังมานั้นได้กลับมา “ก่อรูป” ในตัวเรากลายมาเป็นความรู้แบบไพรมารี่ได้

Ex : พยาบาลคนหนึ่งเมื่อเรียนวิชาแทงน้ำเกลือไปสักพักหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องอาศัยความรู้แบบมือสองมือสามจากอาจารย์ของเธอก่อน ในจังหวะนี้เธอมีทางเลือกสองทางคือ เลือกที่จะเลียนแบบความรู้มือสองมือสามที่ได้รับมาไปตลอดชีวิต

หรือเมื่อเธอฝึกฝนไปเรื่อยๆ หรือให้ความสนใจในเรื่องการแทงน้ำเกลืออย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเธอก็จะ “ก่อเกิดทักษะ” การแทงน้ำเกลือบางอย่างที่เป็น “วิธีการของเธอเอง” เป็นสไตล์ของเธอเองที่ไม่เหมือนใคร

สิ่งที่เกิดใหม่นี้ก็นับได้ว่าเป็น “ความรู้แบบไพรมารี่” หรือ “ความรู้ที่มาจากอนาคต” ได้เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม วิธีการแรกที่เรียนรู้การสร้างความรู้จากความรู้มือสองมือสามนั้น เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเรามีความตั้งอกตั้งใจสนใจกับเรื่องราวนั้นๆ จริงๆ ออกจะต้องใช้ “ความพยายามสูง” ในการเข้าไปได้มาซึ่ง “ความรู้ไพรมารี่” จาก “ความรู้มือสอง” เหล่านั้น

คนส่วนใหญ่จึงเลือกเพียงแค่ “เลียนแบบความรู้เก่าๆ เหล่านั้น”


◌◌◌◌◌◌◌◌


วิธีการ #2

ออตโต ชาร์มเมอร์ เชื่อว่า “ความรู้แบบไพรมารี่หรือความรู้ที่มาจากอนาคต” นั้น สามารถสร้างขึ้นด้วยการเริ่มฝึกฝน “ทักษะ” ง่ายๆ ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์เราอยู่แล้ว ด้วยการ “ช้าลง” และลองกล้าที่จะหยุดการใช้ความรู้เก่า

ชุดความรู้เก่าแบบเดิมๆ ก็เปรียบเหมือนกับการเดินทางจากจุด ก. ไปยังจุด ข. ระยะทางที่รวดเร็วที่สุดก็คือ “เส้นตรง” จาก ก. ไปยัง ข. ความรู้ที่รวดเร็วแบบนี้เป็นความรู้เก่าๆ ที่เก็บเอาไว้ในสมองของเรา และออกมาเป็นอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรใหม่

หากว่าเราจะลองยืดระยะระหว่าง ก. ถึง ข. ให้ยาวขึ้น เราอาจจะได้ “อะไรใหม่ๆ” เพราะเป็นเส้นทางใหม่ และเมื่อหน่วงระยะ ก. ถึง ข. ให้ยาวขึ้นเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ กลายเป็น “ตัวยู” ในภาษาอังกฤษ

ซึ่งถ้าเราดูตัวอักษรยู ในภาษาอังกฤษ เราจะเห็นได้ว่า

ตัวยูจะประกอบด้วย “ขาลง” “ก้นตัวยู” และ “ขาขึ้น” ของตัวยู

ที่ “ก้นตัวยู” หรือ ที่ซึ่ง “ความรู้ในอนาคตจะปรากฏ” เราต้องนำพาตัวเราลงไปตาม “ขาลง” ของตัวยู เพื่อที่จะเดินทางไปถึง “ก้นตัวยู”


◌◌◌◌◌◌◌◌


น่าสนใจมากครับว่า ขาลงของตัวยูจะเริ่มต้นด้วย “การฝึกทักษะการสังเกต” และ “รับรู้” สิ่งที่เห็นสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง โดยที่ยังไม่ด่วนตัดสินว่าเรื่องราวจะดีจะเลวจะถูกจะผิ

เมื่อใจของเรา “นิ่งพอ” และ “เริ่มเปิดหัวใจออก” เราจะเชื่อมโยงกับสิ่งที่อยู่รอบตัวได้อย่างเป็นเนื้อเนียนเนื้อเดียวกัน » เรากับสรรพสิ่งรอบตัวนั้นเชื่อมโยงเป็นสิ่งเดียวกัน

“การรับรู้” ของเราแจ่มชัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น “ความรู้สึกที่ใสกระจ่าง” ต่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวเรา

และเมื่อสภาวะดำเนินไปถึง “ก้นตัวยู” ได้ ณ ที่ตรงนั้น ท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสี ได้กรุณาช่วยแปลความหมายว่าเป็น “มหาสติแห่งการดำรงอยู่” ของเราก็จะค่อยๆ เผยให้เห็นถึง “สิ่งที่เป็นไปได้” ในอนาคตอันใกล้นั้นได้เอง

ณ ตรงก้นตัวยูนี้เองที่ “ความรู้แบบไพรมารี่” สามารถ “ก่อเกิดขึ้นได้เอง” จากอนาคตที่อยู่ตรงข้างหน้าของเรานั่นเอง



“การช้าลงบ้าง” เพื่อมองหา “ความรู้มือหนึ่ง” แบบนี้จึงน่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่จะสามารถช่วยให้เราสามารถก้าวทัน “การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว” เหล่านั้นได้


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์

..............................................................................................................




เค้าเรียกความน่าจะเป็นนะครับ แหม่

...............................................................................................................

สัมปทานขุดเจาะน้ำมันให้อะไรกับประเทศ ตอนที่ ๑


วันก่อนได้ประชุมผู้บริหาร บรรยากาศค่อนข้างเครียด มีดราม่าเล็กน้อย กับ กระแสทวงคืนพลังงานทำเอาข้าราชการในกระทรวงพลังงานต้องชี้แจง แถลงข่าว ข้อเท็จจริงต่างๆ วุ่นวายกันไปหมด เพราะถ้านิ่งเสียก็จะเป็นการยอมรับในข้อมูลที่ฝ่ายจัดตั้ง (มากันเป็นทีม ทั้งเดินสาย และในสภา รวมถึงสร้างเวปเพจมากมาย) นำมากล่าวหา บิดเบือน เชื่อมโยงกันไปทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพลังงาน ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ราคาพลังงานในปัจจุบันมีราคาแพงทำให้ประชาชนสับสนเข้าใจผิดไปตามกระแสดังกล่าวได้โดยง่าย ฟังข้อกล่าวหาต่างๆ แล้วเหนื่อยที่จะต้องตามชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้อง สมัยนี้ข่าวสาร ข้อมูล มันไปไวมากๆ ... เลยอยากแชร์ข้อมูลที่มีอยู่ซึ่งได้มาจากหน่วยงานภาครัฐ คงจะช่วยให้เพื่อนๆ ที่ไม่ได้อยู่ในวงการ เข้าใจได้บ้าง และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
ผมคิดว่า กระแสทวงคืนพลังงาน มันเริ่มต้นด้วยตรรกะความคิดที่ผิด ที่ฝ่ายจัดตั้ง พยายามโหมโรงทำให้ประชาชนคิดว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ใต้พื้นดินมีปิโตรเลียมมากมายมหาศาล ซึ่งผู้กล่าวอ้างก็มิได้เป็น นักวิชาการที่มีความรู้ด้านนี้โดยตรง (นักธรณีวิทยาและวิศวกรปิโตรเลียม) อาศัยเพียงข้อมูลอ้างอิงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ แต่นำมายำรวม แล้วบิดเบือนความหมาย สร้างเรื่องทำให้น่าเชื่อว่าประเทศไทย มีทรัพยากรปิโตรเลียมมากมายมหาศาลติดอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อกระแสนี้จุดติดด้วยความเชื่อเช่นนี้แล้ว ต่อไปก็จะง่าย ถ้าจะตั้งข้อสงสัยต่างๆ เช่น
"เราผลิตได้เยอะมากจนต้องส่งออกไปขายให้ประเทศอเมริกา น่าตกใจมั้ยละครับ แต่ทำไมประชาชนที่ส่วนใหญ่ยากจนยังต้องใช้น้ำมันราคาแพง แถมประเทศอเมริกาที่เป็นผู้นำเข้าน้ำมันจากประเทศเรายังขายน้ำมันเบนซินถูกกว่าบ้านเราซึ่งเป็นผู้ส่งออกเสียอีก" หรือที่กล่าวว่า "ไทยได้ชื่อว่าเป็นซาอุดิอาระเบียแห่งตะวันออกไกล ผลิตน้ำมันและก๊าซได้ 758,205 บาร์เรลต่อวัน เราใช้เพียง 100 ล้านลิตรต่อวัน ทำไมต้องนำเข้า ทำไมเราต้องใช้น้ำมันราคาแพง ถ้าเป็นเช่นนี้ จะขุดกันไปทำไม เก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ไม่ดีกว่าหรือ" "ค่าสัมปทานขุดเจาะก็ต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเก็บค่าภาคหลวงเพียงร้อยละ 12.5 เท่านั้น กฎหมายปิโตรเลียมก็ล้าสมัย ชักจูงต่างชาติเข้ามาสูบ กอบโกยน้ำมันออกไป ถ้าจะเปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 จะต้องแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมเสียก่อน ให้ส่วนแบ่งรายได้รัฐเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 80 และต้องให้ภาคประชาชนมีส่วนรวมมากกว่านี้" (ที่กล่าวมานี้ไม่ต้องอินนะครับ เพราะมันไม่จริง แต่ต้องพยายามทำความเข้าใจเรื่องข้อมูล ซึ่งจะนำมาแชร์ในภายหลังครับ)

ประเทศไทยมีปิโตรเลียมมากมายมหาศาล ติดอันดับโลกจริงหรือ?
จากข้อมูลของ BP Statistical Review of World Energy Outlook 2012 ผมนำข้อมูลมาจัดเรียงลำดับเชิงปริมาณเปรียบเทียบให้ดูง่ายๆ ดังรูป (ผมนำข้อมูลที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติรายงาน มาเทียบให้ดูด้วยแล้วครับ)
ปริมาณสำรอง การผลิต และปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติ

จากรูป ข้อมูลของ BP ในปี 2554 พบว่า ทั่วโลกมีปริมาณสำรองก๊าซอยู่ประมาณ 7,360 ล้านล้าน ลบ.ฟุต ประเทศรัสเซียเป็นประเทศที่มีปริมาณสำรองก๊าซมากที่สุดประมาณ 1,575 ล้านล้าน ลบ.ฟุต แต่ประเทศที่ผลิตและใช้มากที่สุดเป็นประเทศอเมริกา โดยประเทศไทยมีปริมาณสำรองก๊าซประมาณ 9.9 ล้านล้าน ลบ.ฟุต ติดอันดับที่ 41 ของโลกครับ คิดเชิงปริมาณแล้วมีประมาณร้อยละ 0.14 ของโลก มีการผลิตก๊าซประมาณ 3,600 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน ติดอันดับที่ 25 ครับ หรือผลิตได้ประมาณร้อยละ 1.1 ของโลก โดยมีความต้องการใช้ก๊าซประมาณ 4,500 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน จากตัวเลขของ BP สรุปได้ว่า ประเทศไทยผลิตก๊าซได้น้อยกว่าความต้องการใช้

ปริมาณสำรองน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว(คอนเดนเสท)

ทั่วโลกมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบอยู่ประมาณ 1,653 พันล้านบาร์เรล ประเทศเวเนลซุเอรา มีมากที่สุดประมาณ 300 พันล้านบาร์เรล ประเทศซาอุผลิตได้มากที่สุด และประเทศอเมริกามีการใช้มากที่สุด โดยประเทศไทยมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบประมาณ 400 ล้านบาร์เรล ติดอันดับที่ 47 มีอยู่ประมาณร้อยละ 0.03 ของโลก มีการผลิตประมาณ 350,000 บาร์เรลต่อวัน (ตัวเลขของทาง BP สูงเกินไป และเป็นทำนองเดียวกันกับตัวเลขของ EIA และ CIA ที่ฝ่ายจัดตั้งนำไปเป็นประเด็น) แต่ถึงจะใช้ตัวเลข BP เรายังติดอันดับที่ 32 โดยผลิตได้ร้อยละ 0.4 โดยมีความต้องการใช้น้ำมันดิบประมาณ 1,080,000 บาร์เรลต่อวัน ติดอันดับที่ 19 ซึ่งจากตัวเลขของ BP สรุปได้ว่า ผลิตได้น้อยกว่าความต้องการใช้
ในภาพรวมแล้ว ประเทศไทยมีทรัพยากรปิโตรเลียมที่ขุดได้จากแปลงสัมปทานภายในประเทศ ไม่ถึงร้อยละ 1 ของโลก และ มีไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องนำเข้าทั้งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ โดยตัวเลขประมาณการเฉลี่ยในปี 2555 เราต้องนำเข้าก๊าซประมาณร้อยละ 23 ซึ่งมีราคาแพงกว่าก๊าซที่ขุดได้จากแปลงสัมปทานในบ้านเราครับโดยเฉพาะ ก๊าซ LNG มีราคาแพงกว่า 2 เท่า และยังต้องนำเข้าน้ำมันดิบอีกประมาณร้อยละ 80 หรือประมาณ 860,000 บาร์เรล ซึ่งราคาเป็นไปตามตลาดโลก ดังนั้นในอนาคตจะเห็นได้ว่า ถ้าเราไม่สามารถสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจากบ้านเราได้ การผลิตภายในประเทศลดลง ก็ต้องนำเข้ามากขึ้นตามความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นทุกปี และแนวโน้มราคาปิโตรเลียมก็จะสูงขึ้นตามสัดส่วนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นครับ

ปริมาณการผลิตและความต้องการใช้ปิโตรเลียมเฉลี่ยในปี 2555

การจัดหาและการใช้น้ำมันดิบ
ครั้งต่อไปจะนำเรื่อง สัมปทานปิโตรเลียม มาแชร์ครับ (ตอน ๒ และ ตอน ๓ ตามลิงค์ข้างล่างครับ)
* ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัว ข้อมูลต่างๆ ผมนำมาจาก
ตอนที่ ๒

.......................................................................................................

สัมปทานขุดเจาะน้ำมันให้อะไรกับประเทศ ตอนที่ ๒


  พลังงานเป็นสิ่งจำเป็นมากถึงมากที่สุด โดยเฉพาะตอนนี้ ร้อนสุดๆ ขอแอร์หน่อย....เปิดแอร์ ต้องใช้ไฟฟ้า ไฟฟ้าส่วนใหญ่ผลิตมาจากไหนครับ ...ก๊าซธรรมชาติ...สูงถึงร้อยละ 65-70 ที่เหลือได้มาจากเชื้อเพลิงถ่านหิน พลังน้ำจากเขื่อน และซื้อจากเพื่อนบ้านครับ(สปป ลาว) พลังงานที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ผลิตมาจากเชื้อเพลิงอะไรบ้างครับ...จากข้อมูลสถิติของ สำนักนโยบายและแผนพลังงาน ตามลิงค์ที่ผมเคยโพสไว้ พบว่า พลังงานขั้นต้นในเชิงพาณิชย์ ผลิตได้จากเชื้อเพลิงตามสัดส่วนแยกได้ตามรูปนี้ครับ 
 

       ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยใช้พลังงานขั้นต้นในเชิงพาณิชย์สูงถึง 2 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 พลังงานส่วนใหญ่ผลิตมาจากปิโตรเลียมทั้งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันรวมกันมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 80 ถ้าเราต้องนำเข้าทั้งหมด จะเป็นอย่างไรครับ... ราคาพลังงานในบ้านเราคงสูงกว่าปัจจุบันนี้มาก แต่โชคดีที่เรามีสัมปทานขุดเจาะของเราเอง และเริ่มต้นผลิตก๊าซใช้เองตั้งแต่ปี 2524 ทำให้ประเทศมีการพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ก๊าซส่วนใหญ่ถูกนำมาผลิตไฟฟ้า ใช้เป็นก๊าซหุงต้ม ใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ทั้ง LPG และ NGV ส่วนที่เหลือใช้เป็นวัตถุดิบปิโตรเคมีที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้มากมาย ถุง ถัง กาละมัง ขวด อุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ มากมาย ถ้าเราไม่มีก๊าซจากสัมปทานในอ่าวไทย ประเทศเราก็คงต้องใช้น้ำมันเตาหรือ ลิกไนท์(ลำปาง) ผลิตไฟฟ้าแทน การดำเนินชีวิตของเราคงไม่สะดวกสบายเหมือนเช่นทุกวันนี้
       อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเราต้องนำเข้าพลังงานเกือบครึ่งหนึ่งของความต้องการใช้ สัดส่วนการนำเข้าเชื้อเพลิงแสดงดังรูปนี้ครับ
       พลังน้ำและอื่นๆ (พลังน้ำจากเขื่อน พลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทนต่างๆ ไฟฟ้าจากเพื่อนบ้าน) หมายถึงการซื้อไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านครับ  ก๊าซเทียบตามค่าความร้อน(บีทียู) ส่วนน้ำมันดิบนั้นสมมุติให้เราผลิตเองและใช้เองทั้งหมดและได้บวกลบน้ำมันสำเร็จรูปที่ส่งออกและนำเข้าแล้ว       
      จากที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อจะชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของสัมปทานขุดเจาะน้ำมันในบ้านเรา ที่ดำเนินการมากว่า 40 ปี มีเม็ดเงินลงทุนในกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกว่า 1.6 ล้านล้านบาท เป็นต้นทางให้เกิดอุตสาหกรรมต่างๆ มากมายสร้างงาน สร้างเงิน ให้ประเทศและคนในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง  ปัจจุบันได้เปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมไปแล้ว 20 ครั้ง ผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร ค่าสัมปทานถูกมากและไม่ทันสมัย ตามที่เป็นประเด็นอยู่หรือไม่นั้น ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า สัมปทานขุดเจาะน้ำมัน หรือสัมปทานปิโตรเลียม ที่ท่านเข้าใจนั้น เป็นอย่างไร เหมือนหรือแตกต่างอย่างไร กับสัมปทานที่เคยได้ยิน เช่น สัมปทานรถไฟฟ้า สัมปทานทางด่วน สัมปทานมือถือ สัมปทานป่าไม้ เป็นต้น
       นิยามความหมายของคำว่า "สัมปทาน" ตามพจนานุกรมของราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ดังนี้สัมปทาน (น.) การที่รัฐอนุญาตให้เอกชนจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดทำประโยชน์เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ภายในระยะเวลาและตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนด เช่น สัมปทานการเดินรถประจำทาง สัมปทานทำไม้ในป่าสัมปทาน  สรุปความได้ว่า "สัมปทาน" คือ "สัญญา" ที่ทำระหว่างรัฐกับเอกชน เพื่อให้เอกชนนำ "ทรัพยากรธรรมชาติ" ไปใช้ประโยชน์ได้ โดยอยู่ในเงื่อนไขระยะเวลาตามที่รัฐกำหนด
       ผมไม่แน่ใจว่า สัมปทานอื่นๆ มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน การที่เอกชน นำทรัพยากรธรรมชาติ ไปใช้ประโยชน์ หมายถึงทรัพยากรธรรมชาตินั้น มีอยู่แล้ว เช่น ป่าไม้ คลื่นความถี่ เหมืองแร่ต่างๆ ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ผมคิดว่ามันมีความแตกต่างกัน ตรงการมีอยู่ของทรัพยากรปิโตรเลียมที่รัฐเองไม่ได้รับประกันว่าสัมปทานปิโตรเลียมที่ออกให้ไปนั้น จะมีปิโตรเลียมอยู่จริง การออกสัมปทานปิโตรเลียม เพื่อให้สิทธิผู้รับสัมปทานลงทุนสำรวจภายในพื้นที่แปลงสำรวจนั้ืน โดยรับความเสี่ยงฝ่ายเดียว ถ้าสำรวจแล้วไม่พบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ ตามเวลาที่กำหนด ก็ต้องคืนสัมปทานกลับมาให้รัฐ รัฐจะนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจมาวิเคราะห์ประเมินศักยภาพปิโตรเลียมในพื้นที่นั้นๆ แล้วกำหนดพื้นที่แปลงสัมปทานที่คาดว่าจะมีศักยภาพนำกลับมาเปิดสัมปทานใหม่ เป็นเช่นนี้มา 20 ครั้ง แล้วครับ ถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า รัฐไม่ได้เสียเงินงบประมาณแผ่นดิน ในการสำรวจเพื่อให้ได้ข้อมูลมาประมวลผลด้านศักยภาพปิโตรเลียมของประเทศ (ฝ่่ายจัดตั้งกำลังเรียกร้องให้รัฐจ้างบริษัทต่างชาติมาประเมินศักยภาพปิโตรเลียมให้รู้ผลก่อนเปิดสัมปทาน โดยอ้างอิงประเทศกัมพูชา) แต่เป็นการเปิดให้บริษัทน้ำมันทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนสำรวจแทน ซึ่งการสำรวจโดยเฉพาะการเจาะหลุมสำรวจต้องใช้เงินลงทุนสูง จึงเป็นเหตุให้ผู้รับสัมปทานส่วนใหญ่เป็นบริษัทต่างชาติเพราะมีทุนมากกว่า โดยการประมูลเพื่อให้ได้สัมปทานปิโตรเลียม แข่งขันกัน ด้วยวิธีใด....ง่ายๆ ครับ ใครเสนอปริมาณงานสำรวจ และปริมาณเงินลงทุนสำรวจ มากกว่า จะเป็นผู้ชนะส่วนรายละเอียดในการพิจารณาผมจะไม่กล่าวถึงนะครับ
       ในกรณีที่สำรวจพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ จะเป็นอย่างไร คงต้องยกไปครั้งหน้า เพราะครั้งนี้ตัวอักษรมันเยอะแล้ว ใครที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้ได้ ก็น่าจะเข้าใจ สัมปทานปิโตรเลียมมากขึ้น .... การให้สัมปทานปิโตรเลียมไม่ได้เป็นการยกสมบัติของชาติให้ต่างชาติเข้ามากอบโกย สูบน้ำมันออกไป ดังที่ได้กล่าวหากัน

* ข้อมูลตัวเลข ที่ผมนำมาวิเคราะห์ เป็นมุมมองส่วนตัว ถ้าผิดพลาดผมขอรับไว้พิจารณานะครับ   
ตอนที่ ๓

.....................................................................................................

สัมปทานขุดเจาะน้ำมันให้อะไรกับประเทศ ตอนที่ ๓


  พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิตนอกเหนือจากปัจจัยสี่ตามที่ได้เรียนมาสมัยเด็ก ปิโตรเลียมเป็นแหล่งกำเนิดของพลังงานที่สำคัญโดยมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 80 ของเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ ที่แปลงเป็นพลังงานได้รวมกัน และ ในจำนวนนี้ร้อยละ 54 ผลิตได้ภายในประเทศจากส้มปทานขุดเจาะน้ำมันที่เขากล่าวหาว่ามีค่าสัมปทานต่ำที่สุดในอาเซียน
       ปิโตรเลียมที่อยู่ภายใต้พื้นดิน ไม่ได้เป็นสมบัติของใครคนใดคนหนึ่ง แม้ว่าจะพบอยู่ภายในสวนหลังบ้านเรา แต่เราไม่มีสิทธิในการนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ ผู้ที่จะนำปิโตรเลียมมาใช้ประโยชน์ได้ ต้องได้รับสัมปทานปิโตรเลียมจากรัฐ ซึ่งมันไม่ได้พบเจอกันง่ายๆ ต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ใช้เงินลงทุนจำนวนมาก กว่าจะนำปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ มีความเสี่ยง ธุรกิจนี้จึงเป็นธุรกิจที่มีกำไรสูงเมื่อประสบความสำเร็จ 
        ระบบบริหารจัดการปิโตรเลียมและการจัดเก็บรายได้       
        ในธุรกิจปิโตรเลียม มีระบบบริหารจัดการปิโตรเลียมหลักอยู่ 2 ระบบ คือ ระบบสัมปทานและระบบสัญญา โดยประเทศไทยได้นำระบบสัมปทานมาใช้ (ในแผนที่อยู่ในกลุ่มสีแดง) ที่ต้องนำเรื่องนี้มาเขียนไว้ เพราะอยากให้ผู้ที่ชอบกล่าวหาได้เข้าใจ เพราะชอบนำทั้งสองระบบมาเปรียบเทียบกันตรงๆ และชอบจับบวกเปอร์เซ็นรายได้รัฐแล้วมาเทียบกันโดยไม่รู้ว่าแต่ละตัวนั้นมันมาจากอะไรบ้าง ทำให้สับสนเข้าใจผิดได้ง่าย ซึ่งเป็นต้นเหตุของการกล่าวหาว่า สัมปทานของไทยมีค่าสัมปทานต่ำสุดนั่นเอง




        หลักการและรายละเอียดของระบบ ผมขอไม่กล่าวถึง แต่จะเน้นไปที่ ระบบการจัดเก็บรายได้ เพราะเป็นเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างผู้ลงทุนและรัฐ โดยจะเปรียบเทียบระบบสัมปทานและระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตซึ่งเป็นระบบที่ประเทศเพื่อนบ้านเราใช้กัน ดังรูป


       ในระบบสัมปทานรัฐมีรายได้จากค่าภาคหลวง (Royalty) คือ เมื่อผู้รับสัมปทานมีรายได้ จะต้องจ่ายค่าภาคหลวงให้รัฐในทันที โดยไม่คำนึงถึงผลกำไรหรือขาดทุน และเมื่อโครงการมีกำไรจะต้องจ่ายภาษี (Tax) ให้รัฐ (ในกฎหมายปัจจุบัน ประเทศไทยได้เรียกเก็บภาษีอีกตัวหนึ่ง คือ ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ SRB) ส่วนระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตรัฐมีรายได้จากค่าภาคหลวง กำไรปิโตรเลียม (Profit sharing) และภาษี ตัวอย่างการคิดแสดงดังตัวเลขนะครับ ซึ่งรัฐหรือประเทศใดอยากได้ส่วนแบ่งมากหรือน้อยสามารถกำหนดที่ตัวเปอร์เซ็นได้เลยครับ...แล้วเจ้าของประเทศหรือรัฐจะใช้เกณฑ์หรือปัจจัยอะไรในการพิจารณาเพื่อความเหมาะสมและเป็นที่ยอมรับของรัฐและผู้ลงทุนครับ ...ตามภาพนี้เลยครับ

        การแบ่งผลประโยชน์ระหว่างรัฐและผู้ลงทุนในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับนโยบายและจำนวนทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น ประเทศที่เป็นผู้ส่งออกปิโตรเลียม มีปิโตรเลียมอยู่มาก รัฐจะเก็บส่วนแบ่งสูง ซึ่งผู้ลงทุนยอมรับได้ เพราะความเสี่ยงน้อย ผลิตได้มาก ทำกำไรได้มาก ส่วนประเทศที่ต้องนำเข้าปิโตรเลียม หรือมีปิโตรเลียมอยู่ไม่มาก และต้องการสำรวจหาปิโตรเลียมภายในประเทศ รัฐอาจไม่ต้องการส่วนแบ่งมากนัก เนื่องจากต้องการเชิญชวนให้ผู้ลงทุนนำเทคโนโลยี เงินลงทุน เข้ามาภายในประเทศ ซึ่งถ้ากำหนดสูงไป ก็จะไม่มีใครเข้ามาลงทุน เป็นต้น แล้ว ระบบสัมปทานปิโตรเลียมในบ้านเรา มีส่วนแบ่งรายได้เหมาะสมหรือยัง....ถ้าบอกว่าเหมาะสมแล้ว ก็คงไม่เชื่อ ผมขอเอาผลการวิเคราะห์ของต่างประเทศมาอ้างอิงบ้าง ซึ่งผลการวิเคราะห์ ระบบจัดเก็บของบ้านเรา รัฐมีส่วนแบ่งรายได้อยู่ระหว่างร้อยละ 50-75 ของกำไรหลังหักค่าใช้จ่าย ดังรูป


       สัมปทานปิโตรเลียมดำเนินงานภายใต้พระราชบัญญัติ 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 (Thailand I) ซึ่งต่อมาได้รับการแก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสมในปี 2532 (Thailand III)  และพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514  เนื้อหาที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการปิโตรเลียม และการจัดเก็บรายได้ จะกำหนดไว้ใน พ.ร.บ. ปิโตรเลียม ส่วนสัญญาสัมปทานหรือแบบสัมปทานจะอยู่ในกฎกระทรวง มีคนส่งสัยว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในสัญญาสัมปทานหรือไม่ ตอบตรงนี้ว่าไม่มีหรอกครับ มันเป็นแบบฟอร์มเดียวกันสำหรับผู้รับสัมปทานทุกราย ให้ลงรายละเอียด เช่น เลขที่สัมปทาน จำนวนแปลงสำรวจ ขนาดพื้นที่ ระยะเวลาสำรวจ ข้อผูกพัน ปริมาณงาน ปริมาณเงินรายปี ที่เสนอตอนประมูล สิทธิและหน้าที่ เป็นต้น   
        สัมปทานปิโตรเลียมแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงระยะเวลาสำรวจ (3+3+3 ปี) และช่วงระยะเวลาผลิต (20+10 ปี) พูดให้ง่ายคือ ผู้ลงทุนที่ชนะการประมูล (คราวก่อนไม่ได้พูดถึงเงินค้ำประกัน ในกรณีที่ผู้ชนะไม่ทำตาม ปริมาณงาน ปริมาณเงิน ที่เสนอ จะถูกยึดเงินเข้ารัฐด้วยนะครับ) จะได้สิทธิสำรวจและเมื่อสำรวจพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ก็จะได้สิทธิในการผลิตไปด้วยโดยจะต้องปฎิบัติตาม ข้อกำหนดต่างๆ ใน พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และ กฎกระทรวง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยข้องด้วย     


        จากรูปจะพบว่า สัมปทานปิโตรเลียมที่ออกให้ไปทั้งหมด 157 แปลง (20 รอบ) ประสบความสำเร็จ คือ สำรวจพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ และพัฒนาจนผลิตปิโตรเลียมได้ มีอยู่ 30 แปลง อยู่ในช่วงระยะเวลาสำรวจ 46 แปลง (รอบที่ 18 19 20) และมีแปลงที่สำรวจไม่พบปิโตรเลียมหรือพบแต่ไม่สามารถพัฒนาได้ต้องคืนแปลงกลับมาให้รัฐสูงถึง 81 แปลง
ตอนสุดท้าย

............................................................................................................


สัมปทานขุดเจาะน้ำมันให้อะไรกับประเทศ สุดท้ายละ

 ปัจจุบันผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 (Thailand I) และกลุ่มที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 แก้ไขเพิ่มเติมในปี 2532 (Thailand III) เนื่องจากกฎหมายไม่มีผลบังคับย้อนหลังทำให้สัมปทานปิโตรเลียมที่ออกก่อนปี 2532 ยังคงอยู่ภายใต้ระบบ Thailand I 
      ตัวอย่างการจัดเก็บรายได้
      ระบบ Thailand I (รอบที่ 1-12) จะแบ่งผลกำไรกันกึ่งหนึ่ง ทั้งนี้เพราะในสมัยนั้น เป็นช่วงเริ่มต้น ประเทศเราขาดทั้งความรู้ เทคโนโลยี และแหล่งเงินทุน นโยบายรัฐต้องการสนับสนุนให้เกิดการลงทุนสำรวจหาปิโตรเลียมเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ โดยการจัดเก็บรายได้คิดง่ายๆ คือ เมื่อผู้รับสัมปทานผลิตและขายปิโตรเลียมได้ จะเสียค่าภาคหลวงในอัตราคงที่ร้อยละ 12.5 และเมื่อโครงการเริ่มมีกำไรจะเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียมในอัตราร้อยละ 50 แต่ทั้งนี้ ถ้าผู้รับสัมปทานขายปิโตรเลียมภายในประเทศ สามารถนำค่าภาคหลวงที่เกิดจากการขายภายในประเทศ มาหักออกจากภาษีได้ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้ภายในประเทศ ผลการดำเนินงานของโครงการ 10 โครงการ ที่มีการผลิตปิโตรเลียม ภายใต้ระบบนี้รัฐมีส่วนแบ่งรายได้อยู่ที่ร้อยละ 55 
      ระบบ Thailand III เป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน (รอบที่ 13-20) ได้รับการแก้ไขเพิ่มเติม ให้มีความเหมาะสมกับสภาพแหล่งผลิตโดยเก็บค่าภาคหลวงเป็นอัตราขั้นบันได ร้อยละ 5-15 กล่าวคือ ถ้าพบแหล่งใหญ่ผลิตได้มากจะเสียค่าภาคหลวงในอัตราสูง และถ้าพบแหล่งเล็กผลิตน้อยก็จะเสียค่าภาคหลวงในอัตราต่ำเพื่อให้โครงการสามารถพัฒนาได้ และเมื่อโครงการมีกำไรต้องเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียมในอัตราร้อยละ 50 นอกจากนั้นยังได้เพิ่มการจัดเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษ(SRB) ในกรณีที่ได้กำไรเกินควร ซึ่งจากผลการดำเนินงานของโครงการจำนวน 16 โครงการ ที่มีการผลิตปิโตรเลียม ภายใต้ระบบนี้รัฐมีส่วนแบ่งรายได้อยู่ที่ร้อยละ73

        ผลการดำเนินงานข้างต้น ยืนยัน ผลการวิเคราะห์ของต่างประเทศที่ผมได้นำมาอ้างอิงเมื่อครั้งก่อนได้เป็นอย่างดี
        ผลการเปิดสัมปทานในรอบที่ 18-20 เป็นอย่างไร...

        รอบที่ 18

        จากภาพสังเกตุได้ว่า พื้นที่ที่เปิดให้สัมปทานเพื่อการสำรวจ มีผู้มายื่นขอไม่ครบทุกแปลง และเมื่อเวลาผ่านไป 12 ปี เหลือพื้นที่ถือครองอยู่ไม่มาก บางส่วนเป็นพื้นที่ที่ได้รับอนุมัติให้เป็นพื้นที่ผลิต และบางส่วนเป็นพื้นที่สงวน ที่ผู้รับสัมปทานขอสงวนไว้เพื่อการสำรวจต่อ (รัฐได้เงินค่าสงวนพื้นที่ด้วยนะครับ)
         รอบที่ 19 

         รอบที่ 20 

     นับแต่ปี 2543 รัฐได้เปิดให้มีการยื่นขอสัมปทานปิโตรเลียม 3 รอบ คือ รอบที่ 18 19 และ 20 ผ่านไป 12 ปี มีการลงทุุนรวมกันเกือบ 8 หมื่นล้านบาท พบปิโตรเลียมรวมกันแล้วประมาณ 200 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 3 ของปิโตรเลียมที่ค้นพบทั้งหมด โดยรัฐมีส่วนแบ่งรายได้จากสัมปทานทั้ง 3 รอบ ในขณะที่ผู้รับสัมปทาน(ทุกรายรวมกัน)ยังขาดทุนอยู่ สรุปผลการดำเนินงานตามภาพครับ...


     ผลจากการดำเนินงานในการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมทั้ง 3 รอบ พอจะสรุปได้ว่า ศักยภาพปิโตรเลียมของประเทศ มีแนวโน้มลดลง คือ สำรวจพบได้ยากขึ้น แม้เมื่อพบก็เป็นเพียงแหล่งขนาดเล็ก แทบจะไม่คุ้มค่าในการพัฒนา สวนทางกับความต้องการใช้ปิโตรเลียมภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้การผลิตภายในประเทศมีแนวโน้มลดลงและต้องนำเข้ามากขึ้นโดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลต่อราคาปิโตรเลียม ราคาไฟฟ้า รัฐจึงต้องเร่งให้มีการสำรวจหาเพิ่มขึ้น ด้วยการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ได้เข้ามาลงทุนสำรวจมากขึ้น (ในพื้นที่ที่เคยเปิดไปแล้ว) เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมผู้ที่คัดค้านการเปิดสัมปทาน จึงไม่ยอมเข้าใจสถานการณ์ความจำเป็นดังกล่าว ทั้งที่ได้ชี้แจงไปแล้วหลายครั้งหลายเวที กลับเรียกร้องให้รัฐแก้ไขกฎหมายให้มีการเก็บส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 80 ของมูลค่าปิโตรเลียมที่ขาย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ขณะนี้ประเทศต้องการผู้กล้ามาลงทุนสำรวจให้เราซึ่งไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน เมื่อสำรวจพบ ประเทศได้ใช้ปิโตรเลียม สร้างมูลค่าต่อยอดได้มากมาย ส่วนแบ่งรายได้ก็นำมาแบ่งกันตามระบบ ซึ่งกฎหมายปัจจุบัน รัฐได้ส่วนแบ่งรายได้ร้อยละ 73 อยู่แล้ว ผมจึงมีความคิดว่า ถ้าผู้คัดค้านเห็นว่า รัฐจัดเก็บรายได้น้อยไป ก็ขอให้พวกท่าน แทนที่จะมาคัดค้านไม่ให้เปิดสัมปทานฯ ผมขอให้ท่านไปจัดตั้งบริษัทฯ ระดมทุน แล้วมาประมูลแข่งเสียเองจะดีกว่ามั้ย
      สุดท้ายขอย้ำว่า ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่มีทรัพยากรปิโตรเลียมอยู่มากมายมหาศาล จะอยู่อันดับไหนของโลก อย่าได้ไปใสใจ แต่จงรู้ไว้ว่าประเทศไทย ผลิตปิโตรเลียมไม่พอกับความต้องการใช้ ยังต้องการการสำรวจหาอย่างต่อเนื่อง ยังต้องนำเข้าทั้งน้ำม้นและก๊าซธรรมชาติมากขึ้นทุกปี และยังต้องขาดดุลน้ำมันมหาศาลต่อไปอีกนาน แม้ว่าน้ำมันดิบส่วนหนึ่งจะถูกส่งออกไปขายนำเงินเข้าประเทศก็ตาม (กำลังเป็นประเด็น) 

*ทั้งหมดเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว อาจจะอ่านยากเนื่องจากเป็นเรื่องซับซ้อนมีรายละเอียดมาก

Supapong Wanitpongpan จาก Status คุณ Siriwat Whin Vitoonkijvanich 
ใครว่ารัฐเสียเปรียบ ระบบสัมปทานปิโตรเลียมในไทย หรือ Fiscal Regime ปัจจุบันคือ Thailand III 
รัฐได้ 74% เอกชนได้ 26% หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว

คนที่รู้ไม่จริงก็อย่ามามั่วออกสื่อครับ... 


พวกที่อยากได้ 80% ของมูลค่าปิโตรเลียมลองคิดดูเองนะครับ ต้นทุนก็ปาไป 43% ของมูลค่าปิโตรเลียมไปแล้วจะเก็บยังไงให้ได้ 80% ครับ มีเหลือให้แบ่งกันแค่ 57% เวลาพูดให้พูดด้วยพื้นฐานความจริง ไม่ใช่พูดเอามันส์ครับผม
...................................................................................................................





ลองมองย้อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่ฉบับแรกถึงปัจจุบัน เกิดอะไรขึ้นบ้างในปีต่างๆ

..................................................................................................................




Starbucks สาขา Porto Chino พระราม2..ร้านกาแฟสีเขียว แห่งแรกในเอเซีย จากการรับรองของ LEED ที่เป็นมาตรฐานการออกแบบและสร้างอาคารอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมระดับโลก.. ทุกตารางนิ้วของพื้นที่ใช้สอยจึงประหยัดพลังงาน และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไปดูรายละเอียดกันค่ะhttp://www.iurban.in.th/highlight/starbucks-porto-chino/

................................................................................................................




อินเดียปิดคลองด้วยแผงโซลาร์เซลล์ เพิ่มพลังงาน ลดการสูญเสียน้ำให้กับประชากร

ทางตอนเหนือของแคว้นคุชราต ในพื้นที่รกร้างทางเหนือของเมือง มีโครงการนำร่องที่แก้ปัญหาทั้งการขาดแคลนพลังงาน และขาดน้ำใช้ในละแวกคลองนามาด้า ด้วยวีธีง่ายๆ แต่ได้ผลไม่น่าเชื่อ

ทางออกของปัญหา คือการวางเหล่าดงแผงโซลาร์เซลล์เหล่านี้ คร่อมคลองนามาด้าเสียเลย เพราะสามารถลดการเสียน้ำไปจากการระเหยด้วยความร้อนจากแสงอาทิตย์

ซึ่งใน 1 ปีจะลดการระเหยของน้ำได้ถึง 9 ล้านลิตร จากระยะทางของการคลุมคลองความยาวกว่า 19,000 กิโลเมตร ผลลัพธ์เหล่านี้สามารถนำน้ำที่เคยหายไปมาช่วยชาวคุชราตได้มากเลยทีเดียว และยังผลิตไฟฟ้ากว่า 600 เมกกะวัตต์ให้กับ 11 ตำบลในคุชราตอีกด้วย

Read more : http://bit.ly/11oCBHs
Credit : Creative MOVE

.................................................................................................................




เป็นผู้ให้บริการนี่ รู้สึกว่าภาระจะเพิ่มมากขึ้นเยอะเลยแฮะ *w*
ยิ่งมีผู้ใช้บริการเยอะ ก็ยิ่งตามจัดการยาก ไปจนถึงขั้นเป็นไปไม่ได้

แต่รายละเอียดร่าง พ.ร.บ. นี้ก็ยังดูกำกวมอยู่ในหลายจุด ก็รอเขาสรุปอีกทีก็แล้วกัน

ที่มา - iLaw: ร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับ สพธอ.2556:http://prachatai.com/journal/2013/04/46240

ปล.อีกข้อสังเกตคือสื่อลามก ผมอ่านได้ใจความว่าเขาจับแต่โป๊เด็ก โป๊ผู้ใหญ่ไม่จับละ :v (ว่าแต่ 2D เขานับรวมด้วยมั้ยเนี่ย)

...................................................................................................................




ธรรมะ(ทำมะ) คือ หน้าที่

ส้มตำเจ๊ก้อย ซ.เพชรบุรี14
Credit : @Ann Sasawan Chirayus

.............................................................................................................


การเมืองว่าด้วย “พลังงานไทย” (4): ห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป?

ในปี 2555 ประเทศไทยกลั่นน้ำมันดิบนำเข้าและน้ำมันดิบ (รวมคอนเดนเสท) ที่ผลิตในประเทศ ออกมาเป็นน้ำมันสำเร็จรูป ประกอบด้วยผลผลิตหลัก เช่น ก๊าซแอลพีจี เบนซิน ดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันเครื่องบิน เป็นต้น รวม 988,964 บาร์เรลต่อวัน แต่ในปีเดียวกัน ประเทศไทยบริโภคน้ำมันสำเร็จรูปเป็นจำนวน 767,612 บาร์เรลต่อวัน จึงมีเหลือส่งออกไปต่างประเทศจำนวน 199,304 บาร์เรลต่อวัน นัยหนึ่ง ประเทศไทยบริโภคน้ำมันสำเร็จรูปประมาณร้อยละ 80 ของปริมาณที่กลั่นได้ ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 20 จึงต้องส่งออก
“กลุ่มทวงคืนพลังงานไทย” โจมตีอีกว่า โรงกลั่นน้ำมันได้กำไรมหาศาลจากการขายน้ำมันสำเร็จรูปในต่างประเทศ ดังจะเห็นได้ว่า มูลค่าการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในปี 2555 สูงถึง 270,000 ล้านบาท สูงกว่ามูลค่าการส่งออกข้าวไทยที่ 140,000 ล้านบาทเสียอีก!
คนพวกนี้บิดเบือนด้วยการพูดถึงกำไรมหาศาล แต่กลับอ้างตัวเลขยอดขายรวมแทน!
น้ำมันสำเร็จรูปที่ส่งออกไม่ได้เกิดมาจากอากาศธาตุ แต่ต้องใช้น้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบ เรามีสถิติทั้งมูลค่าและปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบตลอดปี 2555 สามารถคำนวณราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบนำเข้าต่อบาร์เรลได้เท่ากับ 114 ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้อมูลเดียวกันสำหรับน้ำมันสำเร็จรูปส่งออกได้เท่ากับบาร์เรลละ 118 ดอลลาร์สหรัฐฯ คือมีส่วนต่างเพียง 4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือลิตรละ 0.75 บาทเท่านั้น ทั้งที่ยังไม่ได้หักต้นทุนค่าใช้จ่ายของโรงกลั่นแต่อย่างใด
เหตุใดโรงกลั่นจึงผลิตน้ำมันสำเร็จรูปล้นเกินและส่งออกในส่วนต่างราคาอันน้อยนิดเช่นนี้? คำตอบคือ การกลั่นน้ำมันเป็นอุตสาหกรรมหนัก เช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติ เหล็กและเหล็กกล้า ไฟฟ้า เป็นต้น คือต้องเดินโรงงานและเครื่องจักรให้เต็มหรือใกล้เต็มสมรรถนะร้อยละ 80-100 เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงและได้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ หากเดินเครื่องจักรต่ำกว่าสมรรถนะอย่างมาก ก็จะไม่มีประสิทธิภาพ สิ้นเปลืองพลังงาน และมีต้นทุนต่อหน่วยสูง
แต่ข้อวิจารณ์ที่ว่า น้ำมันสำเร็จรูปส่งออกไปขายในตลาดโลกมีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นในประเทศไทยนั้นมีส่วนจริง เพราะน้ำมันสำเร็จรูปเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ มีการซื้อขายในตลาดโลกเป็นปริมาณมหาศาล มีผู้ซื้อผู้ขายจำนวนมาก ผู้ที่ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปชนิดใดก็ต้องขายในราคาเดียวกันในตลาดกลางของภูมิภาค ราคาหน้าโรงกลั่นในประเทศไทยยึดราคาอ้างอิงในตลาดกลางสิงคโปร์โดยมีส่วนต่างไม่เกินกว่าค่าขนส่ง ฉะนั้น โรงกลั่นจะส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปได้ ก็ต้องยอมขายต่ำกว่าราคาหน้าโรงกลั่น เพราะถ้าไม่กระทำเช่นนั้น ก็ต้องยอมจัดเก็บน้ำมันสำเร็จรูปส่วนเกินไว้ในคลังและจะมียอดเก็บกักสะสมเพิ่มทุกปี เป็นภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่คุ้มค่า
นัยหนึ่ง โรงกลั่นจะต้องเลือกระหว่างเดินเครื่องใกล้เต็มสมรรถนะให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด แล้วมีผลผลิตส่วนเกินที่ต้องส่งออกในราคาต่ำกว่าราคาหน้าโรงกลั่น แต่ก็ยังได้ส่วนต่างราคาจากต้นทุนน้ำมันดิบอยู่บ้างดังตัวเลขข้างต้น หรือเดินเครื่องต่ำกว่าสมรรถนะ แล้วมีต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้น แต่มีผลผลิตส่วนเกินน้อยลง ไม่มีปัญหาต้องส่งออกหรือจัดเก็บจำนวนมาก ที่ผ่านมา โรงกลั่นไทยเลือกหนทางแรกเพราะมีความสมเหตุสมผลทางธุรกิจมากกว่า
จากการที่ประเทศไทยผลิตน้ำมันสำเร็จรูปล้นเกินจนต้องส่งออกไปต่างประเทศ ได้นำไปสู่ข้อเรียกร้องของ “กลุ่มทวงคืนพลังงานไทย” ให้ “งดส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปทั้งหมด เก็บไว้ในประเทศเพื่อให้คนไทยได้ใช้ในราคาถูก”
นี่เป็นข้อเสนออันตรายที่จะทำลายอุตสาหกรรมน้ำมันของไทยทั้งหมด เพราะจะงดส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปได้ รัฐบาลต้องออกกฎหมายห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปข้ามแดนเท่านั้น ปัจจุบัน อุตสาหกรรมน้ำมันเป็นอุตสาหกรรมเปิดเสรี หากรัฐบาลประกาศห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป แน่นอนว่า จะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศลดต่ำลงเพราะมีอุปทานล้นเกินในประเทศ ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดการลักลอบส่งออกน้ำมันข้ามแดนแล้ว ยังเป็นการทำลายธุรกิจโรงกลั่น เพราะหากรัฐบาลยังคงจัดเก็บภาษีน้ำมันในอัตราเดิม ราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นจะต้องลดลงอย่างมากด้วย
ถ้าประเทศไทยเป็นเศรษฐีพลังงาน มีน้ำมันดิบราคาถูกจำนวนมหาศาลอย่างที่ “พวกทวงคืนฯ” แอบอ้าง ด้วยต้นทุนน้ำมันดิบต่ำ โรงกลั่นก็อาจจะยังมีกำไรอยู่ได้ แต่ความจริงคือ ประเทศไทยไม่ใช่เศรษฐีน้ำมัน จึงยังต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศจำนวนมากในราคาตลาดโลก และด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันดิบนำเข้า-น้ำมันสำเร็จรูปส่งออกข้างต้นที่เพียงลิตรละ 0.75 บาท การกดราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นให้ต่ำลง จะทำให้โรงกลั่นประสบภาวะขาดทุนอย่างแน่นอน ซึ่งหากรัฐบาลดำเนินการดังกล่าวเป็นนโยบายถาวรจริง โรงกลั่นก็จะต้องเลิกกิจการไปในที่สุด
ยิ่งกว่านั้น การห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป นอกจากจะทำให้โรงกลั่นไม่มีแรงจูงใจขยายการผลิตแล้วยังจะลดการผลิตลงอีกด้วย ส่วนการบริโภคน้ำมันก็จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาที่ต่ำลง ในที่สุด การบริโภคจะเกินกว่าการผลิต ประเทศไทยที่เคยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปก็จะกลับกลายเป็นประเทศนำเข้าทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป ดังเช่นที่ประเทศไทยเคยเป็นในอดีต เมื่อถึงเวลานั้น คนไทยก็ต้องกลับมาบริโภคน้ำมันราคาแพงอีกอยู่ดี
การให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงด้วยการห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป หมายความว่า ในแต่ละปี รัฐบาลจะต้องวางแผนล่วงหน้าว่า โรงกลั่นจะผลิตน้ำมันสำเร็จรูปเท่าใด ปริมาณบริโภคในประเทศเป็นเท่าใด และต้องนำเข้ามาให้พอเพียงอีกจำนวนเท่าใด หากรัฐบาลคาดการณ์ผิด อาจเกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันสำเร็จรูป เป็นภาพรถยนต์เข้าคิวยาวเหยียดแย่งกันเติมน้ำมันที่สถานีจำหน่าย ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกันกับสินค้าเกษตรหลายชนิด ที่รัฐบาลแทรกแซงด้วยการห้ามนำเข้า แต่ให้ส่งออกได้ เช่น น้ำตาล น้ำมันปาล์ม ซึ่งเมื่อรัฐบาลคาดการณ์ผิด ก็จะเกิดปัญหาขาดแคลน ผู้บริโภคหาซื้อในตลาดเปิดไม่ได้ ต้องไปซื้อในตลาดมืดในราคาสูง ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
นอกจากนั้น ธุรกิจน้ำมันของไทยเป็นธุรกิจเสรี มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามามีบทบาทมาก ตั้งแต่สัมปทานสำรวจผลิต กลั่น ไปจนถึงการลงทุนในบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทย การเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลจากการเปิดเสรีมาเป็นการห้ามส่งออกจะกระทบกระเทือนต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยในสายตานักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติอย่างมาก
ข้อเรียกร้องที่ให้รัฐบาลห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปก็คือ ข้อเสนอให้ทำลายอุตสาหกรรมน้ำมันทั้งระบบนั่นเอง

.............................................................................................................

....................................................................................................................


อำนาจของ 'ประชาชน' ที่จะมายกป้าย ตะโกนต่อว่าที่หน้าศาล มันเทียบไม่ได้เลยกับอำนาจที่ 'ประชาชน' ได้มอบให้แก่ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ในการตวัดปลายปากกาในแต่ละคดี

ตำแหน่ง 'ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' จึงไม่เหมาะกับคนกระหายอำนาจที่ 'หน้าบาง' หรือ 'ขวัญอ่อน' แต่เหมาะสำหรับคนพอเพียงที่ 'หนักแน่น' และ 'พร้อมเสียสละ'

ศาลรัฐธรรมนูญ หากมองในอุดมคติ ต้องถือเป็นศาลที่สูงส่ง เพราะเป็นผู้มีอำนาจตีความกฎหมายสูงสุด ตีความกฎหมายแล้วมีผลผูกพันทุกองค์กร แม้แต่รัฐสภา หรือศาลฎีกา ก็ไปกลับคำวินิจฉัยไม่ได้

เมื่อ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' มีอำนาจที่สำคัญและมากมายเพียงนี้ กฎหมายจึงต้องประกันความเป็นอิสระของศาลจากการกดดันคุกคามใดๆที่จะมาแทรกแซงการทำงานของศาล เห็นได้จาก การเป็นศาลชั้นเดียว ไม่มีอุทธรณ์ ไม่มีฎีกา ไม่มีคณะกรรมการตุลาการมาตรวจสอบถอดถอน มีวาระดำรงตำแหน่งนานพอควร มีงบประมาณไม่ขาดมือ ได้รับการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเพียงพอ มีช่องทางให้ศาลสื่อสารเหตุผลการใช้อำนาจของตนให้กระจ่างชัดและทั่วถึงโดยไม่ถูกปิดกั้น และองค์กรการเมืองหรือองค์กรอื่นจะมาถอดถอนหรือแทรกแซงศาลก็ทำได้ยาก

แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยเหตุที่ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' มีอำนาจมาก และเป็นอิสระมาก กฎหมายจึงต้องเปิดช่องทางให้ 'ประชาชน' ตรวจสอบ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และช่องทางหนึ่ง ก็คือ การสามารถใช้เสรีภาพแสดงความเห็นต่อ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ได้อย่างเต็มที่ โดยมีกฎหมายจำกัดการแสดงความเห็นให้น้อยที่สุด และ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' เอง ก็ต้องงดเว้นการกระทำใดๆ ที่อาจจะกดดันแทรกแซงหรือสร้างความกลัวในการแสดงความเห็นดัวกล่าว เช่นกัน

กล่าวในอีกทางหนึ่ง เมื่อ 'ประชาชน' ได้มอบความไว้วางใจให้ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' มีอำนาจและมีความเป็นอิสระที่สูงมากเป็นพิเศษฉันใด 'ศาลรัฐธรรมนูญ' จึงต้องพร้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์จาก 'ประชาชน' มากเป็นพิเศษ ฉันนั้น

มิเช่นนั้น 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ก็จะกลายเป็น 'ผู้มีอำนาจ' มากที่สุด ที่เมื่อได้อำนาจไปแล้ว ก็นำอำนาจตนเองไปข่มเหงผู้อื่นเพื่อทำให้ตนเอง 'ถูกแตะต้อง' ได้น้อยที่สุด และสิ่งนี้เอง ก็จะทำให้ 'ศาลรัฐธรรมนูญ' กลายเป็น 'ขุมทรัพย์' อันหอมหวานสำหรับนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจใดๆ ที่จะทุจริตหรือคิดชั่ว เพราะต่อไปนี้ ขอเพียงทุ่มทุนให้ควบคุมคนได้สัก 5 เสียง ก็คุมได้ทั้งประเทศ คุมรัฐธรรมนูญได้ ปิดปากประชาชนได้ และไม่มีใครมาต่อกรได้

ดังนั้น ท่านตำรวจ อัยการ และศาลยุติธรรม หรือใครก็ตามที่หวงแหนในประชาธิปไตย และหวังจะปกป้องรักษา 'ศาลรัฐธรรมนูญ' โปรดอย่าได้ลงมือช่วย 'ศาลรัฐธรรมนูญ' ทำลายตัวเองไปมากกว่านี้เลย.

cc: สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

..............................................................................................................




Creative Table Design! Dripping Paint ♥ designed by John Nouanesing

I love creative designs and unusual ideas

follow us on pinterest ==> http://pinterest.com/lovedesigncreat/

..................................................................................................................





................................................................................................................


นิทานล้านบรรทัด
ได้ยินว่างานเขียนเรื่องนี้ของผมได้กลายไปเป็นแบบฝึกหัดทดสอบการอ่านไปอย่างไม่มีการบอกกล่าวกันเรียบร้อยแล้ว และกำลังแพร่กระจายอยู่ในเน็ต
อย่ากระนั้นเลย คนสนิทชิดเชื้อแถวนี้เอาแบบฉบับเต็มไปอ่านเล่นให้ตาแข็งกันเถิด

นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์
“โลกที่ขาดสระหมดวรรณยุกต์และงดวรรค”

ฝนปรอยกรกนกคนตลกชวนดวงกมลคนผอมรอชมภมรดมดอมดอกขจรสองคนชอบจอดรถตรงตรอกยอมทนอดนอนอดกรนรอยลภมรดมดอกหอมบนขอนตรงคลองมอญลมบนหวนสอบจนปอยผมปรกคอสองสมร
สมพรคนจรพบสองอรชรสมพรปองสองสมรยอมลงคลองลอยคอมองสองอรชรมองอกมองคอมองผมมองจนสองคนฉงนสมพรบอกชวนสองคนถอนสมอลงชลลองวอนสองหนสองอรชรถอยหลบสมพรวอนจนพลพรรคสดสวยหมดสนกรกนกชวนดวงกมลชงนมผงรอชมภมรบนดอน
ฝนตกตลอดจนถนนปอนจอมปลวกตรงตรอกจอดรถถลอกปอกลงสองสมรมองนกปรอทจกมดจกปลวกจกหนอนลงคอสมพรคงลอยคอลอยวนบอกสอพลอคนสวยผสมบทสวดของขอม
คนหนอคนสมพรสวดวนจนอรชรสองคนฉงนฉงวยงวยงงคอตกยอมนอนลงบนบกสมพรยกซองผงทองปลอมผสมลงนมชงของสองสมรสมพรถอนผมนวลลออสองคนปนผสม ตอนหลอมรวมนมชงสมพรสวดบทขอมถอยวกวนหกหน
ขอวรรคตอนวอนผองชนจงอวยพรสองดวงสมรรอดปลอดนรกคนคนจรหมอนสกปรก
ฝนตกจนจอมปลวกยวบลงมดปลวกหนอนออกซอกซอนลงผสมนมชงจนบทสวดหมดผลสมพรคนสกปรกคงหลงยกนมชงซดลงคอรอครอบครองสองคนสวยปลวกมดหนอนอลวนซอกซอนจนสมพรปวดคองอลงหอนนอนครวญนอนหงอซมบนกองหนอนกองปลวกรอหมอตรวจ
ลมฝนสงบลงผองปวงชนพลพรรคครบคนของสองอรชรยกพลสมทบชกถองหวดตบสมพรจนถดถอยตกตมจมลงคลอง
จบตอน
.............................................................................................................

(เป็นงานเขียนทดลองที่เน้นรูปแบบมากกว่าเนื้อหา ด้วยรูปแบบที่สร้างกฎในการเขียนขึ้นมาเองว่านิทานเรื่องนี้ห้ามใช้สระห้ามใช้วรรณยุกต์และห้ามใช้การเว้นวรรค จะเกิดอะไรขึ้นกับคนอ่านที่มองเห็นตัวหนังสือเป็นแถวเดียวยาวพรืดไม่มีข้างบนข้างล่างไม่มีเว้นวรรค ภาษาไทยของเรานั้นหากไม่นับการเว้นวรรคเราอาจใช้ความเคยชินของสระและวรรณยุกต์มาช่วยแบ่งคำให้อ่านง่ายขึ้นได้ ซึ่งต่างจากภาษาอังกฤษที่แต่ละคำจะมีเว้นวรรคอยู่แล้ว....ผู้เขียน)

.................................................................................................................

จาก Status: จ่าพิชิต ขจัดพาลชน
เรื่องที่ศาสดาไม่รู้คือหลังจากอภิสิทธิ์แจงต่อสังคมเรื่อง GT200 ตามที่ที่ปรึกษาแนะนำ
ดูเหมือนแกจะฉุกคิดว่ามีอะไรทะแม่งๆเกี่ยวกับ GT200
ก็เลยสายตรงไปที่อาจารย์เจษฎาเพื่อขอข้อมูล และสนับสนุนให้มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง
ถึงมาร์คจะไม่กล้าแตะต้องทหาร แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้สังคมรู้ความจริงเรื่อง GT200 นะครับ

ปล. _(:3 j L)_ ไม่ต้องพูดว่ามาร์คซื้อจ่าไปแล้วนะครัฟ
http://www.facebook.com/photo.php?v=446896218738138
................................................................................................................



ช่วยกันแก้ข่าวหน่อยครับ ประกาศใช้ ดังกล่าวนี้ เฉพาะห้องน้ำสาธารณะนะครับ ตอนนี้ในอินเตอร์เน็ต เข้าใจผิดกันเพียบ ยังไงช่วยกันแชร์ด้วยนะครับ

อ่านรายละเอียด : http://www.banidea.com/?p=32497

................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น