มหากาพย์เขาพระวิหาร #3
วันนี้เป็นวันที่ฝ่ายไทยแถลงต่อศาลโลก ดูตามหลักฐานแล้ว ก็น่าสนใจเหมือนกัน
แต่สำหรับตอนนี้ผมขอพูดถึงการสู้คดีกับกัมพูชาในศาลโลกในครั้งก่อน (พ.ศ. 2505)
เมื่อกัมพูชาได้เอกราชในปี พ.ศ. 2496 คู่กรณีของไทยก็เปลี่ยนจากฝรั่งเศสซึ่งแข็งแรงกว่าไทย ไปเป็นกัมพูชาซึ่งถูกประเมินว่าอ่อนแอกว่าไทย (จริงหรือไม่ยังไม่รู้ เพราะที่สมรภูมิร่มเกล้า ก็เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ดีที่เดียว)
ช่วงต้นปี 2501 กัมพูชาเริ่มเรียกร้องเขาพระวิหารคืน โดย ซัม ซารี องคมนตรีและเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำกรุงลอนดอน เขียนบทความลงหนังสือกัมพูชาวันนี้ (Le Combodge d'au jour d' hui) มีเนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า "ไทยอ้างสิทธิเหนือเขาพระวิหารนี้โดยการใช้กำลังทหารเข้ายึดเอาพระวิหาร-อันเป็นการกระทำแบบฮิตเลอร์"
เขายังเขียนต่อว่า " ที่พระตะบองคืนมาเป็นของกัมพูชานั้น มิใช่เพราะกองทัพพันธมิตรมีชัยเท่านั้น แต่โดยอาศัยข้อตกลงที่วอชิงตัน ปี พ.ศ. 2507 ซึ่งประกาศยกเลิกสนธิสัญญาที่โตเกียว"
กระทรวงโฆษณาการและข่าวสารของกัมพูชานำบทความนี้ไปเผยแพร่ต่อจนเกิดกระแส "ทวงเขาพระวิหารคืนจากไทย" เกิดการประท้วงหน้าสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ หนังสือพิมพ์กัมพูชาเขียนโจมตีไทยอย่างต่อเนื่อง แม้มีความพยายามเจรจาระดับรัฐบาลในช่วงกลางปี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ การเมืองในไทย ก็เกิดรัฐประหารโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
เจ้านโรดมสีหนุประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2501 และในปีต่อมาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2502 เจ้านโรดมสีหนุได้ฟ้องร้องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court ofJustice) หรือศาลโลก ให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร
มีหลายคนสงสัยทำไมประเทศไทยต้องไปขึ้นต่อสู้คดีต่อศาลโลกที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีอธิปไตย มีเอกราช และบางคนถึงกับบอกว่า ไทยจะไม่แพ้เลยถ้าไม่ไปขึ้นศาลโลกแต่แรก
เราต้องรู้ก่อนว่า เรายอมรับอำนาจของศาลโลกหรือไม่อย่างไรการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกนั้นทำได้อยู่สามประการคือ
1. การยอมรับเขตอำนาจการพิจารณาคดีโดยการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาใดอนุสัญญาหนึ่ง ซึ่งกำหนดว่า หากมีปัญหาในการตีความสนธิสัญญา ให้ศาลโลกเป็นผู้พิจารณา
2. ประเทศคู่พิพาทตกลงทำความตกลงยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเป็นเฉพาะกรณีๆ ไป กล่าวคือ เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นมาแล้ว รัฐคู่พิพาทได้ทำสนธิสัญญายอมรับเขตอำนาจศาลเฉพาะข้อพิพาทนั้น
3. รัฐได้ทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาล ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐกำหนดไว้
และประเทศไทยได้ทำคำประกาศยอมรับเขตอำนาจของศาลโลก ทั้งหมด 3 ฉบับ ดังนี้
ฉบับที่ 1 ทำเมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ.1929 และเริ่มมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ในปี ค.ศ.1930(พ.ศ. 2473) โดยคำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเก่าซึ่งชื่ออย่างเป็นทางการคือ "ศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศ" (Permanent Court of International Justice : PCIJ) เป็นเวลา 10 ปี
ฉบับที่ 2 รัฐบาลไทยทำคำประกาศโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ "ต่ออายุ" (renew) เขตอำนาจศาลโลกเก่า โดยคำประกาศฉบับที่สองนี้ทำเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ.1940(พ.ศ. 2483) โดยคำประกาศที่สองนี้เริ่มมีผลใช้บังคับวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ.1940
ฉบับที่ 3 รัฐบาลไทยทำเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ.1950(พ.ศ. 2493) ซึ่งหลังจากที่คำประกาศฉบับที่สอง (ที่ต่ออายุคำประกาศฉบับแรก) หมดอายุเป็นเวลา 14 วัน
ที่ใช้คำว่าศาลโลกเก่าเพราะในปี ค.ศ. 1946 (พ.ศ. 2489) Permanent Court of International Justice ยุติบทบาทไปพร้อมกับสันนิบาตชาติ International Court of Justice หรือ ICJ เป็นศาลซึ่งตั้งขึ้นโดยกฎบัตรสหประชาชาติขึ้นมามีบทบาทแทน
ไทยเองได้ใช้ประเด็นนี้เข้าสู้กับศาลโลกเช่นกันว่า
ศาลโลกเก่านั้นได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ.1946 และตามธรรมนูญของศาลโลกใหม่ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ" (International Court of Justice : ICJ) นั้นมาตรา 36 วรรค 5 ได้กำหนดว่า ให้การยอมรับเขตอำนาจ "ศาลโลกเก่า" โอนถ่ายไปยัง "ศาลโลกใหม่" หากว่า คำประกาศนั้นยังมีผลใช้บังคับอยู่หรือกล่าวง่ายๆ คือ ยังไม่ขาดอายุนั่นเอง
ข้อต่อสู้เกี่ยวกับการคัดค้านเขตอำนาจศาลโลกใหม่ที่ทนายความฝ่ายไทยต่อ สู้ในชั้นของการคัดค้านเขตอำนาจของศาลโลกใหม่นั้นมีว่า คำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเก่าได้ยุติลงอันเป็นผลมาจากการสิ้นสุดของศาล โลกเก่า ดังนั้น คำประกาศต่ออายุเขตอำนาจศาลโลกเก่าเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1950 จึงไม่มีผลใช้บังคับอีกต่อไป
อีกทั้งคำประกาศดังกล่าวมิใช่คำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกใหม่ ดังนั้น ศาลโลกใหม่จึงไม่มีเขตอำนาจ
แต่ข้อต่อสู้นี้อ่อนมาก!!
ศาลโลกเห็นว่า คำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลฉบับที่สามที่รัฐบาลไทยทำเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1950 นั้น ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลในการต่ออายุยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเก่าได้ เพราะว่า คำประกาศฉบับที่สามนี้ ทำหลังจากที่คำประกาศฉบับที่สองหมดอายุแล้วสองอาทิตย์
ศาลโลกเห็นว่า สิ่งที่จะต่ออายุได้นั้น สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ยังมีอยู่ มิใช่เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งรัฐบาลไทยก็รู้ดีว่าขณะที่ทำคำประกาศฉบับที่สามนั้นทำหลังจากที่ศาล โลกเก่าได้สิ้นสุดลงแล้วกว่าสี่ปี ข้ออ้างของประเทศไทยจึงฟังไม่ขึ้น
ประเด็นต่อมา ในเมื่อคำประกาศฉบับที่สามฟังไม่ได้ว่าเป็นคำประกาศต่ออายุยอมรับเขตอำนาจ ศาลโลกเก่าแล้ว ผลในทางกฎหมายของคำประกาศฉบับที่สามคืออะไร ศาลโลกเห็นว่า คำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลฉบับที่สามเป็นคำประกาศใหม่ ที่แยกเป็นเอกเทศออกจากคำประกาศฉบับแรกและฉบับที่สอง
และหากพิจารณาเนื้อหาของคำประกาศที่สามแล้ว ศาลโลกเห็นว่า เป็นการประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกใหม่ โดยอิงเงื่อนไขจากคำประกาศฉบับแรก
ดังนั้น ศาลโลกจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ศาลโลกมีเขตอำนาจพิจารณาข้อพิพาทที่รัฐบาลกัมพูชาฟ้องรัฐบาลไทย ข้อต่อสู้ทางกฎหมายของฝ่ายไทยฟังไม่ขึ้น
และในฐานะที่ไทยเป็นรัฐสมาชิกของสหประชาชาติ และยอมรับเขตอำนาจพิจารณาคดีพิพาท ในคดีที่ตนเป็นรัฐภาคีคู่พิพาท จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ไป!!
นอกจากจะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิก UN ที่ท่านปรีดีแลกมาด้วย 4 จังหวัดคือ ไชยะบุรี เสียมราฐ จำปาศักดิ์และพระตะบอง เพื่อแลกกับพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่บอกว่าจะเสียไม่ได้อีกแล้ว!
**เดิมทีตั้งใจว่า ตอนที่ 3 จะพูดถึงการขึ้นศาลโลกในปี 2505 ทั้งหมด แต่พอเริ่มพิมพ์ข้อมูลก็พบว่า ข้อมูลค่อนข้างมาก และไม่สามารถจบในตอนเดียวได้
แต่สำหรับตอนนี้ผมขอพูดถึงการสู้คดีกับกัมพูชาในศาลโลกในครั้งก่อน (พ.ศ. 2505)
เมื่อกัมพูชาได้เอกราชในปี พ.ศ. 2496 คู่กรณีของไทยก็เปลี่ยนจากฝรั่งเศสซึ่งแข็งแรงกว่าไทย ไปเป็นกัมพูชาซึ่งถูกประเมินว่าอ่อนแอกว่าไทย (จริงหรือไม่ยังไม่รู้ เพราะที่สมรภูมิร่มเกล้า ก็เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ดีที่เดียว)
ช่วงต้นปี 2501 กัมพูชาเริ่มเรียกร้องเขาพระวิหารคืน โดย ซัม ซารี องคมนตรีและเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำกรุงลอนดอน เขียนบทความลงหนังสือกัมพูชาวันนี้ (Le Combodge d'au jour d' hui) มีเนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า "ไทยอ้างสิทธิเหนือเขาพระวิหารนี้โดยการใช้กำลังทหารเข้ายึดเอาพระวิหาร-อันเป็นการกระทำแบบฮิตเลอร์"
เขายังเขียนต่อว่า " ที่พระตะบองคืนมาเป็นของกัมพูชานั้น มิใช่เพราะกองทัพพันธมิตรมีชัยเท่านั้น แต่โดยอาศัยข้อตกลงที่วอชิงตัน ปี พ.ศ. 2507 ซึ่งประกาศยกเลิกสนธิสัญญาที่โตเกียว"
กระทรวงโฆษณาการและข่าวสารของกัมพูชานำบทความนี้ไปเผยแพร่ต่อจนเกิดกระแส "ทวงเขาพระวิหารคืนจากไทย" เกิดการประท้วงหน้าสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ หนังสือพิมพ์กัมพูชาเขียนโจมตีไทยอย่างต่อเนื่อง แม้มีความพยายามเจรจาระดับรัฐบาลในช่วงกลางปี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ การเมืองในไทย ก็เกิดรัฐประหารโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
เจ้านโรดมสีหนุประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2501 และในปีต่อมาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2502 เจ้านโรดมสีหนุได้ฟ้องร้องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court ofJustice) หรือศาลโลก ให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร
มีหลายคนสงสัยทำไมประเทศไทยต้องไปขึ้นต่อสู้คดีต่อศาลโลกที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีอธิปไตย มีเอกราช และบางคนถึงกับบอกว่า ไทยจะไม่แพ้เลยถ้าไม่ไปขึ้นศาลโลกแต่แรก
เราต้องรู้ก่อนว่า เรายอมรับอำนาจของศาลโลกหรือไม่อย่างไรการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกนั้นทำได้อยู่สามประการคือ
1. การยอมรับเขตอำนาจการพิจารณาคดีโดยการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาใดอนุสัญญาหนึ่ง ซึ่งกำหนดว่า หากมีปัญหาในการตีความสนธิสัญญา ให้ศาลโลกเป็นผู้พิจารณา
2. ประเทศคู่พิพาทตกลงทำความตกลงยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเป็นเฉพาะกรณีๆ ไป กล่าวคือ เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นมาแล้ว รัฐคู่พิพาทได้ทำสนธิสัญญายอมรับเขตอำนาจศาลเฉพาะข้อพิพาทนั้น
3. รัฐได้ทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาล ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐกำหนดไว้
และประเทศไทยได้ทำคำประกาศยอมรับเขตอำนาจของศาลโลก ทั้งหมด 3 ฉบับ ดังนี้
ฉบับที่ 1 ทำเมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ.1929 และเริ่มมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ในปี ค.ศ.1930(พ.ศ. 2473) โดยคำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเก่าซึ่งชื่ออย่างเป็นทางการคือ "ศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศ" (Permanent Court of International Justice : PCIJ) เป็นเวลา 10 ปี
ฉบับที่ 2 รัฐบาลไทยทำคำประกาศโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ "ต่ออายุ" (renew) เขตอำนาจศาลโลกเก่า โดยคำประกาศฉบับที่สองนี้ทำเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ.1940(พ.ศ. 2483) โดยคำประกาศที่สองนี้เริ่มมีผลใช้บังคับวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ.1940
ฉบับที่ 3 รัฐบาลไทยทำเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ.1950(พ.ศ. 2493) ซึ่งหลังจากที่คำประกาศฉบับที่สอง (ที่ต่ออายุคำประกาศฉบับแรก) หมดอายุเป็นเวลา 14 วัน
ที่ใช้คำว่าศาลโลกเก่าเพราะในปี ค.ศ. 1946 (พ.ศ. 2489) Permanent Court of International Justice ยุติบทบาทไปพร้อมกับสันนิบาตชาติ International Court of Justice หรือ ICJ เป็นศาลซึ่งตั้งขึ้นโดยกฎบัตรสหประชาชาติขึ้นมามีบทบาทแทน
ไทยเองได้ใช้ประเด็นนี้เข้าสู้กับศาลโลกเช่นกันว่า
ศาลโลกเก่านั้นได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ.1946 และตามธรรมนูญของศาลโลกใหม่ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ" (International Court of Justice : ICJ) นั้นมาตรา 36 วรรค 5 ได้กำหนดว่า ให้การยอมรับเขตอำนาจ "ศาลโลกเก่า" โอนถ่ายไปยัง "ศาลโลกใหม่" หากว่า คำประกาศนั้นยังมีผลใช้บังคับอยู่หรือกล่าวง่ายๆ คือ ยังไม่ขาดอายุนั่นเอง
ข้อต่อสู้เกี่ยวกับการคัดค้านเขตอำนาจศาลโลกใหม่ที่ทนายความฝ่ายไทยต่อ สู้ในชั้นของการคัดค้านเขตอำนาจของศาลโลกใหม่นั้นมีว่า คำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเก่าได้ยุติลงอันเป็นผลมาจากการสิ้นสุดของศาล โลกเก่า ดังนั้น คำประกาศต่ออายุเขตอำนาจศาลโลกเก่าเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1950 จึงไม่มีผลใช้บังคับอีกต่อไป
อีกทั้งคำประกาศดังกล่าวมิใช่คำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกใหม่ ดังนั้น ศาลโลกใหม่จึงไม่มีเขตอำนาจ
แต่ข้อต่อสู้นี้อ่อนมาก!!
ศาลโลกเห็นว่า คำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลฉบับที่สามที่รัฐบาลไทยทำเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1950 นั้น ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลในการต่ออายุยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเก่าได้ เพราะว่า คำประกาศฉบับที่สามนี้ ทำหลังจากที่คำประกาศฉบับที่สองหมดอายุแล้วสองอาทิตย์
ศาลโลกเห็นว่า สิ่งที่จะต่ออายุได้นั้น สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ยังมีอยู่ มิใช่เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งรัฐบาลไทยก็รู้ดีว่าขณะที่ทำคำประกาศฉบับที่สามนั้นทำหลังจากที่ศาล โลกเก่าได้สิ้นสุดลงแล้วกว่าสี่ปี ข้ออ้างของประเทศไทยจึงฟังไม่ขึ้น
ประเด็นต่อมา ในเมื่อคำประกาศฉบับที่สามฟังไม่ได้ว่าเป็นคำประกาศต่ออายุยอมรับเขตอำนาจ ศาลโลกเก่าแล้ว ผลในทางกฎหมายของคำประกาศฉบับที่สามคืออะไร ศาลโลกเห็นว่า คำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลฉบับที่สามเป็นคำประกาศใหม่ ที่แยกเป็นเอกเทศออกจากคำประกาศฉบับแรกและฉบับที่สอง
และหากพิจารณาเนื้อหาของคำประกาศที่สามแล้ว ศาลโลกเห็นว่า เป็นการประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกใหม่ โดยอิงเงื่อนไขจากคำประกาศฉบับแรก
ดังนั้น ศาลโลกจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ศาลโลกมีเขตอำนาจพิจารณาข้อพิพาทที่รัฐบาลกัมพูชาฟ้องรัฐบาลไทย ข้อต่อสู้ทางกฎหมายของฝ่ายไทยฟังไม่ขึ้น
และในฐานะที่ไทยเป็นรัฐสมาชิกของสหประชาชาติ และยอมรับเขตอำนาจพิจารณาคดีพิพาท ในคดีที่ตนเป็นรัฐภาคีคู่พิพาท จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ไป!!
นอกจากจะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิก UN ที่ท่านปรีดีแลกมาด้วย 4 จังหวัดคือ ไชยะบุรี เสียมราฐ จำปาศักดิ์และพระตะบอง เพื่อแลกกับพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่บอกว่าจะเสียไม่ได้อีกแล้ว!
**เดิมทีตั้งใจว่า ตอนที่ 3 จะพูดถึงการขึ้นศาลโลกในปี 2505 ทั้งหมด แต่พอเริ่มพิมพ์ข้อมูลก็พบว่า ข้อมูลค่อนข้างมาก และไม่สามารถจบในตอนเดียวได้
...............................................................................................................................
อุปสรรคที่เกินทนจะหลอมคนให
ความสบายที่ยาวนานจะรอนรานค
ไม่มีความสำเร็จใด ที่ได้มาฟรีๆ
ทุกป้ายความสำเร็จ มีป้ายราคาความพยายามเสมอ
วันนี้อยากมีวิถีชีวิตที่ดี
..................................................................................................................
..................................................................................................................
ขอต้อนรับทุกท่านกลับมาจากเ
.................................................................................................................
G1---ได้รับความนิยม จึงออกจ๊อบมาเพิ่ม ครานี้ได้มีสักอย่างที่เป็น
..............................................................................................................



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น