...........................................................................................................................
มหากาพย์เขาพระวิหาร #4
เมื่อวานฝ่ายไทยนำเสนอข้อมูลได้แจ่มมาก ^_^
คราวนี้ก็รอดูกัมพูชาตอบโต้วันนี้ และไทยตอบโต้วันพรุ่งนี้
ดูแล้วคราวนี้ ไทยเตรียมตัวมาดี
และที่ยอดเยี่ยมคือ มีชาวฝรั่งเศสอยู่ในทีมทนาย ทำให้เอกสารทางกฎหมายส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส มีบุคคลที่มีความเข้าใจภาษาฝรั่งเศสและแนวคิดทางกฎหมายฝรั่งเศสเป็นอย่างดีอยู่ด้วย
ข้อมูลชัดเจนและสามารถอธิบายได้เข้าใจง่าย ซึ่งจะได้พูดถึงในตอนหลังของมหากาพย์นี้
เรามาต่อจากตอนที่แล้ว
เมื่อกัมพูชาฟ้องต่อศาลโลก ไทยจำเป็นต้องไปสู้คดี ด้วยสาเหตุสำคัญอีกประการคือ
ในข้อ 53 ของธรรมนูญศาลฯ ระบุว่า เมื่อภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ปรากฏตัวต่อศาล ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถขอให้ศาลฯ ตัดสิน เข้าข้างตนได้
ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล คนไทยไม่กี่คนที่เคยอยู่ในห้องพิจารณาคดีปราสาทเขาพระวิหารที่ศาลโลกเมื่อ 51 กว่าปีก่อน พูดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า
"ตอนจะไปสู้คดี หม่อมเสนีย์ท่านว่า ชนะ 300%"
คราวนี้ก็รอดูกัมพูชาตอบโต้วันนี้ และไทยตอบโต้วันพรุ่งนี้
ดูแล้วคราวนี้ ไทยเตรียมตัวมาดี
และที่ยอดเยี่ยมคือ มีชาวฝรั่งเศสอยู่ในทีมทนาย ทำให้เอกสารทางกฎหมายส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส มีบุคคลที่มีความเข้าใจภาษาฝรั่งเศสและแนวคิดทางกฎหมายฝรั่งเศสเป็นอย่างดีอยู่ด้วย
ข้อมูลชัดเจนและสามารถอธิบายได้เข้าใจง่าย ซึ่งจะได้พูดถึงในตอนหลังของมหากาพย์นี้
เรามาต่อจากตอนที่แล้ว
เมื่อกัมพูชาฟ้องต่อศาลโลก ไทยจำเป็นต้องไปสู้คดี ด้วยสาเหตุสำคัญอีกประการคือ
ในข้อ 53 ของธรรมนูญศาลฯ ระบุว่า เมื่อภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ปรากฏตัวต่อศาล ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถขอให้ศาลฯ ตัดสิน เข้าข้างตนได้
ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล คนไทยไม่กี่คนที่เคยอยู่ในห้องพิจารณาคดีปราสาทเขาพระวิหารที่ศาลโลกเมื่อ 51 กว่าปีก่อน พูดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า
"ตอนจะไปสู้คดี หม่อมเสนีย์ท่านว่า ชนะ 300%"
จาก ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ต่อกรณีเขาพระวิหาร
“…ข้าพเจ้ารู้จัก ท่านพลโทบุศรินทร์ ภักดีกุล เมื่อยังเป็นนักเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ... นับแต่นั้นมาเราก็ไม่ได้พบกันอีก จนถึง พ.ศ. 2502 เกิดคดีปราสาทหินบนเขาพระวิหาร ซึ่งประเทศไทยตกเป็นจำเลย ถูกเขมรฟ้องที่ศาลยุติธรรมนานาชาติ กรุงเฮ้ก ประเทศฮอลันดา เรียกสั้นๆ ว่าศาลโลก...
ส่วนคดีที่ศาลโลกนั้น โดยรู้ระแคะระคายมาก่อนว่าไทยจะถูกฟ้อง รัฐบาลได้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เป็นกรรมการเตรียมคดี และกำกับคดีระหว่างเป็นความ มีพระยาอรรถการีย์นิพนธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน กรรมการประกอบด้วยข้าพเจ้า นายทหารกรมพระธรรมนูญทหารบก (พลเอก สุข เปรุนาวิน) นายทหารกรมแผนที่ทหารบก ซึ่งพลโทบุศรินทร์ ภักดีกุล เป็นเจ้ากรม และผู้แทนกระทรวงต่างประเทศ ทนายแก้คดีในชั้นเป็นความ
รัฐบาลแต่งตั้งฝรั่งผู้เชี่ยวชาญคดีศาลโลก 3 ท่าน กับข้าพเจ้าเป็นหัวหน้า ชั่วเวลาเกีอบหนึ่งปี กรรมการทำหน้าที่ค้นหาเอกสารที่จะส่งศาล ได้มาประมาณร้อยชุด ส่วนใหญ่เป็นภาษาไทยที่ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษส่งศาล การเตรียมคดีมีส่วนสำคัญพัวพันไปถึงที่แสดงเขตแดน ระหว่างไทยกับเขมรที่เขาพระวิหาร ซึ่งท่านเจ้ากรมแผนที่กับผู้ช่วยคือ นายพันโท พูนพล อาสนะจินดา เป็นผู้ค้นคว้าได้มาแสดงตลอดจนให้หลักเกณฑ์ในทางวิชาการแผนที่
ปี พ.ศ. 2503 เขมรยื่นฟ้องอ้างว่า เขตแดนระหว่างไทยกับเขมรที่เขาพระวิหาร มีสนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ให้ถือตามเส้นสันปันน้ำ ปราสาทหินบนเขาอยู่ในเขตแดนเขมร ดังมีแผนที่ของฝรั่งเศสแสดงไว้
ไทยให้การปฏิเสธต่อสู้ว่า ถือตามเส้นสันปันน้ำ ปราสาทอยู่ในเขตแดนไทย แผนที่ของฝรั่งเศสวาดเส้นสันปันน้ำไม่ถูกต้องตามความจริง ประเด็นจึงมีให้ศ่าลพิจารณาว่า เส้นสันปันน้ำอยู่ตรงไหน และแผนที่ของฝรั่งเศสที่ลากเส้นสันปันน้ำนั้น ถูกต้องหรือไม่
สันปันน้ำคือยอดเขา ซึ่งเมื่อฝนตกลงมา จะแบ่งน้ำฝนให้ไหลลงไปคนละทาง เมื่อฝนตก น้ำฝนไหลจากยอดเขาไปทางใต้สู่ประเทศหนึ่ง ทางเหนือสู่อีกประเทศหนึ่ง ยอดเขาหรือสันเขาที่ปันน้ำฝนนี้ถือเป็นเขตแดน
ยอดเขาพระวิหารที่เป็นสันปันน้ำ ไม่เหมือนยอดเขาธรรมดา เพราะตรงที่ปราสาทหินตั้งอยู่ ยอดเขาทางทิศใต้เป็นหน้าผาเขาชะโงกหักดิ่งลงไป สู่แผ่นดินเขมร ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง จะตั้งอยู่ได้แต่ทางเหนือ เขาลาดจากยอดเขาสันปันน้ำลงไปสู่แผ่นดินไทย ตัวปราสาทหินตั้งอยู่ห่างจากสันปันน้ำลงมาทางเหนือ เมื่อฝนตก น้ำฝนไหลจากยอดเขาผ่านปราสาทตามลาดลงไปสู่แผ่นดินไทย ปราสาทจึงตั้งอยู่ในเขตแดนไทย แผนที่ฝรั่งเศสไม่วาดตามเส้นสันปันน้ำนี้ แต่วาดล้อมปราสาทไปไว้ทางทิศใต้ จึงไม่ถูกต้องตามความจริงแห่งภูมิประเทศ"
เมื่อ ค.ศ. 1959(พ.ศ.2502) กัมพูชายื่นคำขอต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ให้วินิจฉัยเขตแดนไทย - กัมพูชา 2 ประเด็น
- อธิปไตยแห่งดินแดนเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา
- ให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากบริเวณปราสาทพระวิหาร
ต่อมาใน ค.ศ. 1962(พ.ศ. 2505) กัมพูชาขอให้ศาลโลกวินิจฉัยเพิ่มเติม อีก 3 ประเด็น คือ
1. ขอให้ตัดสินชี้ขาดเขตแดนไทย - กัมพูชา
2. สถานะของแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรักที่ ผนวกท้ายคำฟ้องของกัมพูชา (ภาคผนวกแนบท้ายคำฟ้อง) มีผลผูกพัน ประเทศไทย
3. ขอให้รัฐบาลไทยส่งคืน สิ่งประติมากรรม แผ่นศิลา ส่วน สลักหักพังของสิ่งก่อสร้างโบราณสถาน รูปหินทราย และเครื่องปั้นดินเผา โบราณ ซึ่งได้ถูกโยกย้ายไปจากปราสาทพระวิหารโดยเจ้าหน้าที่ไทย นับแต่ ค.ศ. 1954 ให้แก่รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
ศาลปฏิเสธที่จะตัดสิน 2 ข้อแรกที่กัมพูชาขอให้วินิจฉัยเพิ่มเติม โดยศาลบอกว่าตนจะจำกัดขอบเขตการพิจารณาไว้ที่เรื่อง “อำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเท่านั้น” จะไม่พิจารณาเรื่องเส้นเขตแดน
ฝ่ายไทยเสนอว่า หากพิจารณาตามสนธิสัญญาที่สยามทำกับประเทศฝรั่งเศส (ขณะนั้นประเทศฝรั่งเศสปกครองกัมพูชา) เมื่อปีค.ศ.1904 ซึ่งตามสนธิสัญญาจะใช้ "สันปันน้ำ" (watershed)ปราสาทพระวิหารจะอยู่ฝั่งไทยแต่หากพิจารณาตามแผนที่ ปราสาทพระวิหารจะอยู่ฝั่งกัมพูชา
กฎหมายที่ศาลใช้วินิจฉัยก็คือ อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสฯ ค.ศ. ๑๙๐๔ ซึ่งเป็นข้อตกลงเขตแดนต่างๆซึ่งรวมถึงบริเวณที่ปราสาทฯตั้งอยู่
กฎหมายที่ศาลใช้วินิจฉัยก็คือ อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสฯ ค.ศ. ๑๙๐๔ ซึ่งเป็นข้อตกลงเขตแดนต่างๆซึ่งรวมถึงบริเวณที่ปราสาทฯตั้งอยู่
ประเด็นที่ศาลโลกจะต้องพิจารณาคือ
1. การจัดพิมพ์แผนที่ดังกล่าวโดยการกระทำฝ่ายเดียวของฝรั่งเศสมีผลผูกพันทางกฎหมายต่อรัฐภาคีหรือไม่ เพียงใด
2. กัมพูชาจะมีอธิปไตยเหนือดินแดนที่เป็นที่ตั้งของปราสาทพระวิหารหรือไม่
ศาลได้ลงความเห็นว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดน ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระวิหาร โดยอาศัยเหตุผล 2 ประการ ดังต่อไปนี้
1.1 คุณค่าในตัวเองของแผนที่
1.2 ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในแผนที่
1.3 คุณค่าของแผนที่ที่ได้รับการยอมรับจากรัฐภาคี
1.2 ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในแผนที่
1.3 คุณค่าของแผนที่ที่ได้รับการยอมรับจากรัฐภาคี
ในส่วนคุณค่าของแผนที่ในตัวเองนั้น มีการตั้งคณะกรรมการปักปันเส้นเขตแดนผสม ชุดที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่จะต้องปักปันเส้นเขตแดนในเทือกเขาดงรักด้านตะวันออกรวมทั้งเขา พระวิหารด้วย แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการชุดที่ 2 นี้ไม่เล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องปักปันเส้นเขตแดนในบริเวณเขาพระวิหารอีก การกระทำนี้อาจจะตีความในทางกลับได้ว่า คณะกรรมการผสมชุที่ 2 เห็นว่าเส้นเขตแดนที่ถูกปักปันขึ้นตามอนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 นั้นมีความชัดเจนอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องปักปันซ้ำอีก ศาลเห็นว่าแผนที่ของภาคผนวกที่ 1 เป็นเพียงคณะกรรมการชุดที่ 1 มีการปักปันเช่นกันแต่ยังไม่เสร็จซึ่งยังไม่ได้รับการรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรจากคณะกรรมการชุดที่ 1 และไม่มีเอกสารทางราชการอื่นใดที่อาจพิสูจน์ได้ ว่าแผนที่ภาคผนวกที่ 1 นั้น เป็นผลงานโดยชอบของคณะกรรมการผสมชุดที่ 1 ศาลจึงสรุปว่าในระยะเริ่มแรกในขณะที่แผนที่ได้ทำขึ้น (ค.ศ. 1907) แผนที่นั้นไม่มีลักษณะที่จะผูกมัดรัฐภาคี
ในส่วนความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในแผนที่นั้้น ศาลโลกยอมรับว่า แผนที่ภาคผนวกที่ 1 คลาดเคลื่อนไปจากแนวเส้นสันปันน้ำที่อนุสัญญา ค.ศ. 1904 กำหนดเอาไว้ อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าการปักปันเส้นเขตแดนตามแผนที่ภาคผนวกที่ 1 จะมิได้เป็นผลงานของคณะกรรมการผสมชุดที่ 1 ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็คือ "รัฐบาล มีอำนาจที่จะรับรองผลของการปักปันเส้นเขตแดนที่คลาดเคลื่อนจากแนวสันปันน้ำ" (ซึ่งอนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 บัญญัติไว้) กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือการรับรองแผนที่ภาคผนวก 1 โดยรัฐบาลคู่พิพาทเป็นความตกลงระหว่างประเทศฉบับใหม่ ซึ่งมีผลลบล้างข้อความที่ภาคีคู่สัญญาได้ตกลงกันไว้แต่เดิมในอนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 นั่นเอง รัฐบาลสยามมิได้ทักท้วงข้อผิดพลาดดังกล่าว ขณะที่และภายหลังที่ฝรั่งเศสได้ส่งแผนที่ภาคผนวกที่ 1 มาให้สยามพิจารณา จึงไม่อาจอ้างเรื่องการทำแผนที่ผิดพลาด โดยนิ่งเฉย และไม่แสดงท่าทีคัดค้านเส้นเขตแดนทั้งที่ไทยสามารถหลีกเลี่ยงได้ การนิ่งเฉยของไทยนั้นเป็นการกระทำที่มีส่วนก่อให้เกิดความผิดพลาดนี้ขึ้นมา
ในส่วนคุณค่าของแผนที่ที่ได้รับการยอมรับจากรัฐภาคีนั้น ไทยอ้างว่าไทยไม่เคยให้การรับรองเป็นลายลักษณ์อักษร แก่แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นข้ออ้างที่รับฟังไม่ได้ เพราะไทย รับแผนที่มา 50 ชุด และยังขอเพิ่มเติมอีก 15 ชุดจากฝรั่งเศส เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ข้าหลวงประจำจังหวัด ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1909 คณะกรรมการจัดทำแผนที่ประเทศสยามก็ยังได้ประชุมกันที่กรุงเทพฯ เพื่อจัดทำแผนที่ประเทศสยามฉบับย่อขึ้น โดยใช้แผนที่ภาคผนวกที่ 1 เป็นแม่แบบ ดังนั้น แม้ว่าฝ่ายจะไม่ได้ให้คำรับรองที่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม แต่การประพฤติปฏิบัติของฝ่ายไทยก็ส่อเจตนาที่จะยอมรับโดยพฤตินัยต่อเส้นเขตแดนในบริเวณเขาพระวิหารที่ตีพิมพ์ลงในแผนที่ฉบับนี้มาโดยตลอด ฝ่ายไทยไม่เคยมีปฏิกริยา โต้ตอบเรื่องนี้ภายในระยะเวลาอันสมควรด้วยเหตุนี้ศาลจึงเล็งเห็นว่าฝ่ายไทย "ได้ให้ความยินยอมโดยการนิ่งเฉยแล้ว" ดังภาษิตลาตินที่ว่า "ผู้ที่เงียบเฉยอยู่ย่อมถือเสมือนได้ว่ายินยอม ถ้าเขามีหน้าที่ที่จะพูดและสามารถที่จะพูดได้"
2. เหตุผลอันดับรองคือ ท่าทีที่ขัดแย้งกันเองในข้อต่อสู้ของฝ่ายไทย เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของไทยได้ค้นพบว่ามีความผิดพลาดในการเขียนตำแหน่งของลำน้ำเสนลงในแผนที่ แต่มิได้ทำการประท้วงในระดับระหว่างประเทศ ต่อมามีความตกลงระหว่างสยามกับฝรั่งเศส จัดตั้งคณะกรรมการประนอม ทบทวนเส้นเขตแดนหลายจุด ยกเว้นในส่วนที่เป็นข้อพิพาทนี้ อีกประการหนึ่งเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของฝ่ายไทยคือกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เสด็จไปสำรวจทางโบราณคดีในเขตของเขาพระวิหาร ฝรั่งเศสได้ตั้งกองทหารรับเสด็จแต่ฝ่ายไทย ก็มิได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบเพื่อคัดค้านอธิปไตยของฝรั่งเศสเหนือเขาพระวิหาร แม้ไทยจะอ้างว่ารัฐบาลของตนมิได้ทักท้วงแต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ครอบครองดินแดนส่วนนี้อย่างบริสุทธิ์ใจ คือครอบครองด้วยความเชื่อมั่นว่าดินแดนนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยของตนมาโดยตลอดแต่ ศาลโลกเห็นว่า "เป็นการยากที่ศาลจะยอมรับว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะสามารถ ลบล้างท่าทีของรัฐบาลไทยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง"
ในที่สุด วันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลโลกตัดสินโดยคะแนนเสียง 9 : 3 ว่า
"ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา" และ "ประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือดูแลซึ่งประเทศไทยส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา
และลงมติโดยคะแนนเสียง 7 : 5 ว่าประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องคืนให้แก่กัมพูชา บรรดาวัตถุชนิดที่ได้ระบุไว้ในแถลงสรุปข้อห้าของกัมพูชา ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยอาจจะได้โยกย้ายออกไปจากปราสาทหรือบริเวณพระวิหาร นับแต่วันที่ประเทศไทยเข้าครอบครองพระวิหารเมื่อ ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497)
"ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา" และ "ประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือดูแลซึ่งประเทศไทยส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา
และลงมติโดยคะแนนเสียง 7 : 5 ว่าประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องคืนให้แก่กัมพูชา บรรดาวัตถุชนิดที่ได้ระบุไว้ในแถลงสรุปข้อห้าของกัมพูชา ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยอาจจะได้โยกย้ายออกไปจากปราสาทหรือบริเวณพระวิหาร นับแต่วันที่ประเทศไทยเข้าครอบครองพระวิหารเมื่อ ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497)
ส่วนประเด็นที่กัมพูชาขอให้ศาลโลกวินิจฉัยและชี้ขาดว่า เส้นเขตแดนระหว่างกัมพูชากับไทยในเขตพิพาทกัน คือเส้นเขตแดนที่ลากไว้บนแผนที่ภาคผนวก 1 นั้น
ศาลโลกไม่ได้ตัดสินให้เป็นคุณกับกัมพูชา แต่ได้พิจารณาประเด็นนี้เพื่อใช้รองรับการตัดสิน
คือ
“ศาลจะสามารถวินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือบริเวณพระวิหารได้ก็ต่อเมื่อได้ตรวจสอบแล้วว่าเส้นเขตแดนนั้นคือเส้นใด”
“ศาลมีความเห็นว่าประเทศไทยใน ค.ศ.1908-09 ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1 ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้ จึงได้รับรองเส้นบนแผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา”
“ศาลมีความเห็นว่าการยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 โดยคู่กรณี เป็นผลให้แผนที่นั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับความตกลงโดยสนธิสัญญาและกลายเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงนั้น”
“ไม่มีเหตุผลที่จะให้คิดว่าคู่กรณีได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่เส้นสันปันน้ำโดยเจาะจงเมื่อเปรียบเทียบกับความสำคัญที่เหนือกว่าของการยึดเส้นเขตแดนในแผนที่ซึ่งได้ปักปันกันในเวลาต่อมา และเป็นที่ยอมรับแก่คู่กรณี ทั้งนี้ เพื่อให้เรื่องได้เป็นที่ยุติกันไป ฉะนั้น อาศัยหลักในการตีความสนธิสัญญา ศาลจึงจำต้องลงความเห็นให้ถือเส้นเขตแดนตามแผนที่ของบริเวณพิพาท”
ในกรณีนี้ อาจารย์ชาญวิทย์วิเคราะห์ว่า เหตุที่ไทยแพ้คดีเพราะ
"รัฐบาสฤษดิ์และประชาชนชาวไทย เชื่อ และ ถูกทำให้เชื่อ ว่า จะชนะคดีด้วยหลักฐานทางภูมิศาสตร์ ด้วยสันปันน้ำ ด้วยทางขึ้น แต่ผู้พิพากษาส่วนใหญ่ตัดสินด้วยหลักฐานด้านกฎหมาย ด้านนิติศาสตร์ ด้านประวัติศาสตร์ และหลักฐานจดหมายเหตุว่าด้วยแผนที่และรูปถ่าย ทำให้ทนายไทยที่นำโดย ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมทย์ ที่อ่อนหลักฐานด้านเอกสารและจดหมายเหตุต้องพ่ายแพ้คดี"
ความเชื่อนั้นส่งผลให้การตั้งรูปคดีที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น!!!
(ยิ่งกว่านั้น คือการส่งกองกำลังเข้าไปยึดแทนที่จะฟ้องศาลโลกแต่แรกตามคำแนะนำของท่านปรีดี ก็ส่งผลให้เห็นอย่างชัดเจน)
(ยิ่งกว่านั้น คือการส่งกองกำลังเข้าไปยึดแทนที่จะฟ้องศาลโลกแต่แรกตามคำแนะนำของท่านปรีดี ก็ส่งผลให้เห็นอย่างชัดเจน)
..........................................................................................................................
แอดมินก็ไม่เข้าใจนะว่าถ้าม
แต่นี่กลับต้องอยู่แบบแอบๆ ซ่อนๆ ต้องให้คนนั้นคนนี้พาไปหา ยังกับนั่งทำเควสต์ใน RPG เฮ่ย! รักษาโรคนะเว่ย ไม่ได้จะเก็บไอเทม +10
สุดท้ายพูดยังไงก็ยังมีคนหล
....................................................................................................................
แอดมินก็ไม่เข้าใจนะว่าถ้าม
แต่นี่กลับต้องอยู่แบบแอบๆ ซ่อนๆ ต้องให้คนนั้นคนนี้พาไปหา ยังกับนั่งทำเควสต์ใน RPG เฮ่ย! รักษาโรคนะเว่ย ไม่ได้จะเก็บไอเทม +10
สุดท้ายพูดยังไงก็ยังมีคนหล
......................................................................................................................
ฮาตามกระแส 5555
Cr.ภาพ: Pet Lover
..........................................................................................................................
.......................................................................................................................
สิ่งมหัศจรรย์หลายสิ่งบนโลก
.......................................................................................................................
ไม่มีใครพูด
ชื่อ “ไอ้เหี้ย”
คำนวนทางโหรศาสตร์ ความเป็นมงคล มีค่าเท่ากับ 10 เต็ม 10
| http://ow.ly/kbnr1
via atheist thai
.....................................................................................................................
+ + + การคำนวณปริมาณการผลิตปิโตร
........................................................................................................................
เมื่อทุกคนซ้อมรับปริญญา แต่พระองค์ท่านซ้อมแจกใบปริ
ทราบหรือไม่ ว่า ??
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จลงฝึกซ้อมการพระราชทาน
เครดิตภาพ : อ.เกิดศิริ นกน้อย คณะศิลปกรรมศาสตร์ ม.มหาสารคาม
........................................................................................................................
มาดูกันว่างานนี้ใคร "ดัง" กว่ากัน
..........................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น