วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

09/04/2556


เชิญมาเป็นชาว "คิด"


ราชวงศ์ญี่ปุ่นมีการสืบสันตติวงศ์ต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก

ลองอ่าน และฟังจากลิงค์ดูครับ 
จะพบว่ากษัตริย์ญี่ปุ่นนั้น Humble มากๆ 
และความเป็นกษัตริย์ใต้ รัฐธรรมนูญนั้นมีบทบาทอย่างไร 

หากอยากอ่านเรื่องสถาับันกษัตริย์ก็อ่านโพสท์ก่อนหน้าได้ 
อ่าน ฟัง และคิดวิเคราะห์ด้วยตัวท่านเองเถิด 

สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ ทรงเป็นพระประมุขของประเทศญี่ปุ่น และทรงเป็นเพียงสถาบันกษัตริย์ในเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งไม่มีบทบาททางการเมืองใดๆ โดยพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น มีเพียงการให้การต้อนรับแขกระดับสูงของประเทศ และเสด็จไปต่างประเทศเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี 

ความรู้ทั่วไปเรื่องจักรพรรดิญี่ปุ่น 

http://www.marumura.com/talkative/?id=3180
http://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ
http://prachatai.com/journal/2011/11/38092
http://th.wikipedia.org/wiki/ราชวงศ์ญี่ปุ่น (ควรหาอ้างอิงเพิ่มเติม)
http://th.wikipedia.org/wiki/รายพระนามจักรพรรดิญี่ปุ่น (ควรหาอ้างอิงเพิ่มเติม)
http://www.japankiku.com/tour/royalfamily.html
- จักรพรรดิญี่ปุ่น: เส้นทางพลิกผันสู่การเป็น "สัญลักษณ์"http://news.voicetv.co.th/global/34035.html
http://www.chaoprayanews.com/2012/05/30/3-12-ระบอบประชาธิปไตยอันมี/
http://th.wikipedia.org//wiki/ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
- จักรพรรดิญี่ปุ่นกับประชาธิปไตย (มีอ้างอิงบางส่วน) จากhttp://prachatai.com/journal/2012/02/39218
- th.wikipedia.org/wiki/ประกาศความเป็นมนุษย์

..........................................................................................................................


มีผู้บริหารที่มีความรุ่งเรืองเติบโตในองค์กรอย่างมากท่านหนึ่งเล่าว่า เมื่อตอนที่ยังไม่มีตำแหน่งสูงในองค์กรนั้น ในการเสนองานที่มีงบประมาณสูงมากให้แก่ผู้บริหารฟัง ผู้บริหารถามเขาว่า "ถ้าหากการทำงานนี้ต้องใช้เงินของคุณเองคุณจะทำไหม" เขาตอบไปว่าเขาจะทำเพราะเขามั่นใจมาก และตั้งแต่นั้นมาเขาก็เข้าใจว่า แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงลูกจ้าง เขาต้องทำงานใช้งบประมาณเหมือนเขาเป็นเจ้าของเงิน ไม่ใช่คิดว่าเงินเป็นของผู้ถือหุ้น อยากทำอะไรก็ทำ ขาดทุนไปก็ไม่ใช่เงินตัวเอง และเขายึดหลักนี้ทำงานเสมอมา

ปัจจุบันเขาได้เป็นผู้บริหารระดับสูงมากในบริษัทนั้น เขาประสบความสำเร็จสูงในบทบาทหน้าที่การงาน เขาเป็นคนที่เจ้านายรักและไว้วางใจเพราะเป็นคนคิดดีทำดี เขาเป็นคนที่ลูกน้องรัก เพราะเขาเป็นเจ้านายที่มีความเมตตา ให้โอกาสลูกน้องและสอนลูกน้องเป็น เขาเป็นคนอ่อนนเอมถ่อมตน ไม่เคยยโสในความสำเร็จ เขาเป็นศิษย์มีครู เขาพร้อมที่จะฟังคำแนะนำดีๆจากคนที่เขายกย่องในความรู้ความสามารถ

อยากให้คนในรัฐบาลทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติคิดเช่นนี้บ้าง
1. นโยบายต่างๆ โครงการต่างๆ ถ้าหากเรามีเงินขนาดนั้น เป็นเงินเราเอง เราจะลงทุนไหม
2. แม้จะใช้เงินงบประมาณ ก็ต้องคิดถึงความคุ้มค่า ต้องใส่ใจการขาดทุนและกำไร อย่าคิดว่าเป็นเงินงบประมาณเสียหายไปก็ไม่ใช่เงินตัวเอง
3. คิดถึงประชาชนผู้เสียภาษีด้วย เขาเปรียบเสมือนผู้ถือหุ้นที่อยากเห็นบริษัทประเทศไทยเจริญก้าวหน้าด้วยการใช้ทุนที่มีอย่างคุ้มค่า
4. กรรมการบริหารบริษัทยังต้องให้ความสำคัญกับการท้วงติงของผู้ถือหุ้นรายย่อย รัฐบาลก็ควรจะฟังประชาชนผู้เสียภาษีที่ไม่มีตำแหน่งในรัฐบาลบ้า
5. บริษัทยังมีกรรมการอิสระอยู่ในบอร์ดและมีกรรมการตรวจสอบ รัฐบาลก็น่าจะคิดว่าประชาชนที่รัฐบาลกำกับไม่ได้เป็นเหมือนกรรมการอิาระ เป็นผู้ตรวจสอบที่มีสิทธิ์ท้วงติงได้ ปรามๆพวกลิ่วล้อทั้งหลายบ้างว่าอย่าขัดขวางการทำหน้าที่แสดงคใามคิดเห็นท้วงติงรัฐบาล อย่ามองว่าเขาขัดขวางความเจริญ

รัฐบาลควรเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ทำให้ประชาชนผู้ถือหุ้นไว้วางใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่รัฐบาลจะทำ ให้ปราศจากความเคลือบแคลงเรื่องวาระซ่อนเร้น รัฐบาลจะได้ทำงานสะดวก และได้รับการสนับสนุนให้เป็นรัฐบาลที่ก้าวหน้าก้าวไกล

ถ้ารัฐบาลยังอ้ำอึ้งในการให้ข้อมูล ตอบคำถามอย่างกำกวม ไม่ยอมตอบบางคำถาม หรือจนปัญญาที่จะอธิบายนโนบายและโครงการต่างๆให้ประชาชนมั่นใจว่าคิดดีแล้ว ไตร่ตรองดีแล้ว เป็นวาระประชาชน ไม่มีวาระส่วนตัวซ่อนเร้น มีหรือรัฐบาลจะไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน แม้จะเป็นรัฐบาลที่เคยทำผิดพลาด หากคิดได้และยอมแก้ไข ประชาชนไม่ได้คิดแค้นอะไรนักหนา ปรารถนาอยากให้ประเทศเจริญก้าวหน้า รัฐบาลคิดดีทำดีมีจริยธรรม ทำไมเราจะไม่สนับสนุน

แต่ที่รัฐบาลโดนด่าโดนว่าอยู่ทุกวันนี้ เพราะประชาชนมีอคติ เกลียดรัฐบาลนี้จนมองอะไรไม่ดีไปหมด หรือการกระทำของรัฐบาลน่าเคลือบแคลง รัฐบาลลองคิดทบทวนดู คนที่รักรัฐบาลนี้จนไล่ฟัดทุกคนที่วิจารณ์รัฐบาลก็ควรลองคิดทบทวนดูบ้างก็ดีนะ

ไม่มีใครอยากให้ประเทศล้าหลัง
ไม่มีใครอยากยับยั้งการทำงานดีๆที่รัฐบาลคิดที่จะทำด้วยคสลวามตั้งใจดีต่อประเทศชาติ
ไม่มีใครอยากมีศัตรูโดยเฉพาะกับคนที่มีความรุนแรวทั้งวาจาและการกระทำ
แต่ทำไมทุกวันนี้จึงต้องเสี่ยงถูกด่าถูกว่าหรืออาจจะถูกฟ้องกันมากมายหลายคน ก็เพราะทนไม่ได้กับนโยบายและโครงการที่อาจจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติระยะยาว

....................................................................................................................




"ผมเห็นของผมอย่างนี้ ลูกหลานจะด่าก็ตามใจ" - วีระพงษ์ รามางกูร

#NO112 #WTT #สกน #โกร่งคนเดินตรอก

อ่านประชาชาติธุรกิจ - http://ow.ly/jSpNS

........................................................................................................................




The โกร่ง เลคเชอร์ - #NO112 #WTT #สกน #โกร่งคนเดินตรอก

อ่านประชาชาติธุรกิจ - http://ow.ly/jSpNS

......................................................................................................................


เมื่อวานนี้ บารัค โอบามา ขึ้นปราศัยเรียกร้องให้ “รัฐสภา” สหรัฐโหวตสนับสนุนกฏหมายควบคุมปืน (gun control bill) ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาอาชญากรรมที่เกิดจากปืน (เช่น กราดยิงนักเรียนในโรงเรียน) ได้ไม่มากก็น้อย

แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็เหมือนเรื่องการเมืองอื่นๆที่มีทั้งคน “เห็นด้วย” และ “ไม่เห็นด้วย”

ฝ่ายไม่เห็นด้วยก็วิ่งล็อบบี้ สส. และ สว. ในสภาเพื่อไม่ให้ผ่านร่างกฎหมาย

ส่วนฝ่ายบริหารซึ่งมีหน้าที่ผลักดันกฎหมาย ก็เดินเกมการเมืองกดดัน สภา อีกทีหนึ่ง

การปราศัยครั้งนี้ของโอบามาจะมองเป็นอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากต้องการใช้ “เสียงประชาชน” มาช่วยกดดันสภา

เมื่อการปราศัยจบลง โอบามา พาพ่อแม่ที่สูญเสียลูกไปในเหตุการณ์กราดยิงเมื่อ 4 เดือนก่อนขึ้นเครื่อง Air Force One “อย่างเป็นทางการ” กลับไปวอชิงตันพร้อมกับเขาเพื่อให้ไปช่วยล็อบบี้ สว. และ สส.ที่ยังคัดค้านกฎหมายฉบับนี้

เล่นกันซึ่งๆหน้า ตรงๆ แบบนี้แหละ!

ไม่ต้องสงสัยว่าหากกฎหมายควบคุมปืนฉบับนี้ผ่านสภาออกมาได้ ย่อมเป็นเครดิตทางการเมืองของโอบามาโดยตรง ก็ไม่เห็นใครจะด่าว่าโอบามาเกาะกระแสการเมืองเพื่อประโยชน์ของตัวเอง เพราะในเวลาเดียวกันมันก็เป็นผลประโยชน์ของคนอเมริกันที่สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ด้วยเช่นกัน

เราจะเห็นว่าแม้ “เสียงส่วนใหญ่” ในสภาจะไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้ (ด้วยข้ออ้างสารพัด) แถมยังเป็นการไม่เห็นด้วยที่ขัดกับพื้นฐานทาง “จริยธรรม” พอสมควร (เช่น ฟังแต่เสียงล็อบบี้ยิสต์ที่มีผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมปืนเป็นใหญ่) แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรอกว่า “เสียงส่วนใหญ่พาชาติล่มจม” เพราะทุกคนต้องเคารพกติกา

การเมืองคือเรื่องของผลประโยชน์ มันจึงต้องใช้เสียงส่วนใหญ่มาตัดสินกันเสมอ

คนอเมริกัน “เลือกแล้ว” ว่าจะให้ นาย ก. นาย ข. เหล่านั้นไปทำหน้าที่ตัดสินใจใช้อำนาจแทนตนเองในรัฐสภา ดังนั้นไม่ว่า นาย ก. นาย ข. จะตัดสินใจอย่างไร ใช้เกณฑ์ไหนมาตัดสิน จะฟังสื่อ หรือฟังล็อบบี้ยิสต์ (หรือจะฟังทักษิณ!) มันก็คือ judgement ของเขาที่คนอเมริกัน “เลือกมาแล้ว” ว่าจะให้ทำงานแทน

ดังนั้นสังคมต้องเคารพการตัดสินใจของพวกเขา แม้ว่ามันจะขัดกับกระแสสังคมขนาดไหนก็ตาม

ทางออกของเรื่องนี้จึงอยู่ที่การพยายาม “โน้มน้าว” ให้ สส. สว. เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้ หากทำได้กฎหมายก็จะผ่านสภา แต่หากทำไม่ได้ ก็ไปว่ากันในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า และงาน “โน้มน้าว” นี้ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตร

กลไกประชาธิปไตยมันก็ง่ายๆแค่นี้ ไม่มีอะไรยาก ซับซ้อน ไม่ต้องประดิษฐ์ประดอยคำบ้าๆบอๆให้มากความ ใครอยากได้อะไร ก็มีหน้าที่โน้มน้าว “เสียงส่วนใหญ่” ให้คล้อยตามสิ่งที่ตนเองอยากได้

ไม่ใช่พอไม่ได้อย่างใจก็มาโวยวายว่าเสียงส่วนใหญ่เป็นปีศาจ เลวทราม ยกศีลธรรมความดีมาอ้าง เอาอำนาจนอกระบบสารพัดมาขู่

เหมือนเด็กเอาแต่ใจ

..................................................................................................................................





ดีเอสไอง้างดาบฟันคุณชายหมู กางประกาศคณะ ปฏิวัติ 58 จัดการ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นัดหมาย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ฐานประกอบกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภค (กิจการรถราง) โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือได้รับสัมปทานจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามประกาศคณะปฏิบัติฉบับที่ 58 ข้อ 4 และข้อ 11 กรณีการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอส ในส่วนต่อขยายสายสีลม และสายสุขุมวิท ตอน 1 (ซอยสุขุมวิท 85-107) วันที่ 10 เมษายน โดยดีเอสไอจัดทำสรุปข้อเท็จจริง ดังนี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกับผู้บริหารกรุงเทพมหานครและเอกชนผู้เกี่ยวข้อง ร่วมกัน

ก่อให้เกิดสัญญาจ้างบริหาร หรือสัญญาจ้างเดินรถซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ในส่วนต่อขยายอีก 2 เส้นทาง รวม 4 สัญญาในช่วงปี พ.ศ.2552 และ พ.ศ.2553 ต่อไปนี้ คือ
1.สัญญาจ้างบริหารจัดการเดินรถโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ส่วนต่อขยายสายสีลม จากสถานีสะพานตากสิน ถึง สถานีวงเวียนใหญ่ ทำขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2552 ระหว่างกรุงเทพมหานคร หรือ กทม. กับ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด โดยเริ่มทำงานที่รับจ้างภายในวันที่ 8 พฤษภาคม 2552 จนถึงวันที่ 7 พฤษภาคม 2555 หรือภายในวงเงิน 850,582,539.52 บาท
2.สัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง ส่วนต่อขยายสายสีลม จากสถานีสะพานตากสิน ถึง สถานีวงเวียนใหญ่ ทำขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2552 ระหว่างบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี สัญญาฉบับนี้จะสิ้นสุดลงภายในระยะเวลา 28 เดือนหลังจากวันเริ่มเดินรถเชิงพาณิชย์
3.สัญญาจ้างบริหารจัดการเดินรถโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท ตอน 1 (ซอยสุขุมวิท 85 - สุขุมวิท 107) ทำขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2553 ระหว่างกรุงเทพมหานคร กับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด โดยเริ่มทำงานเตรียมความพร้อมก่อนเปิดให้บริการวันที่ 20 พฤศจิกายน 2553 ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2554 และงานรับจ้างบริหารจัดการเดินรถเป็นระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันเปิดให้บริการเดินรถ
4.สัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท ตอนที่ 1 ทำขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ระหว่างบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สัญญาฉบับนี้จะสิ้นสุดภายในเวลา 1 ปี หลังจากวันเริ่มเดินรถเชิงพาณิชย์
โดยการร่วมกันก่อให้เกิดสัญญาทั้ง 4 ฉบับ เป็นสัญญาที่มีความเกี่ยวพันกับกิจการรถรางตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเคยอนุญาตหรืออนุมัติให้สัมปทานไว้ก่อนแล้ว แต่ผู้บริหาร กทม. ได้อนุญาตหรือให้สิทธิแก่เอกชนประกอบกิจกรรมรถราง โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย กล่าวคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไม่ได้มอบหมาย อนุญาตหรืออนุมัติให้ กทม.ดำเนินการแทนแต่อย่างใด

นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบหนังสือลงวันที่ 26 มีนาคม 2556 ยืนยันชัดเจนว่า 1.สัญญาทั้ง 4 ฉบับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไม่เคยมอบหมายอนุญาต หรืออนุมัติให้กรุงเทพมหานคร หรือเอกชนดำเนินการแต่อย่างใด 2.ผลของสัญญาทั้ง 4 ฉบับดังกล่าว มีความเกี่ยวพันกับกิจการรถรางส่วนต่อขยายและไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรุงเทพมหานครหรือเอกชนทำได้ ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ลงวันที่ 26 มกราคม 2515 ข้อ 4 และข้อ 11
3.สัญญาทั้ง 4 ฉบับ มีลักษณะเป็นการประกอบกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภค (รถราง) รัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทยไม่เคยอนุญาต หรืออนุมัติสัมปทานเส้นทางใหม่ในส่วนต่อขยายรถรางดังกล่าว ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 มาก่อน 4.การลงนามในสัญญาทั้ง 4 ฉบับ หากไม่ได้รับมอบหมาย อนุญาต หรืออนุมัติสัมปทานจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก่อน เป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และ 5.กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับกิจกรรมรถรางตามข้อ 11 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 23 ซึ่งยังมิได้มีการตรากฎหมายมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครได้ตอบหนังสือลงวันที่ 20 มีนาคม 2556 โดยยืนยันว่า มีผู้บริหารกรุงเทพมหานคร และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมกันทำสัญญาจ้างบริหาร และจ้างเดินรถหรือซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร 2 เส้นทาง โดยอาศัยคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยงบประมาณที่ใช้ในส่วนต่อขยายสายสีลม ปีงบประมาณ 2552-2555 จำนวน 1,705 ล้านบาท และ ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท ตอนที่ 1 จำนวน 1,953 ล้านบาท รวม 3,658 ล้านบาท
กรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นว่า ในการประกอบกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภค (กิจการรถราง) กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะว่า เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพราะเป็นสาธารณูปโภคที่มีผล กระทบต่อความปลอดภัยและความผาสุกของประชาชนโดยรวม องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นหรือ กทม. จึงไม่อาจกระทำโดยลำพังได้

ดังนั้น ไม่ว่า กทม.จะระบุข้อความในสัญญาว่าเป็นสัญญาประเภทใด หากในสัญญาเป็นการแก้ไข หลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในสัญญา อันมีผลกระทบให้สัมปทานเดิม มีการเปลี่ยนแปลงไปโดยทำสัญญาส่วนต่อขยายสายสีลมและส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทไปอีก รวมระยะเวลา 1 ปี หรือ 2 ปี ตามลำดับ โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ลักษณะสัญญาที่ทำขึ้นใหม่เพื่อให้มีผลเป็นการให้สัมปทานล่วงหน้า ในการให้สิทธิขาดระยะยาวในการครอบครองหรือใช้ประโยชน์จากทรัพยากรหรือทรัพย์สินใดๆ ของรัฐบาลที่ต้องการจัดสรรให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ โดยอาจมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามแต่ตกลง
กล่าวโดยสรุปแม้ กทม.จะกล่าวอ้างว่ามีลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำก็ตาม ก็เป็นการอ้างชื่อสัญญาดังกล่าวบังหน้าแต่เนื้อหาของสัญญาและผลของสัญญา คือ การอนุญาตหรือให้สัมปทานกับเอกชนโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมา

การกระทำของผู้เกี่ยวข้องในสัญญาโดยไม่มีอำนาจ จึงไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ราชการแต่เป็นการกระทำการนอกเหนืออำนาจหน้าที่ โดยไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้องเสียก่อน เพราะเป็นข้อกฎหมายที่ กทม.ได้รู้หรือควรรู้อยู่ก่อนแล้ว แม้ กทม.จะอ้างความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า สามารถกระทำได้ก็ยังไม่มีเหตุผลหรือน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังให้ปราศจากข้อสงสัยได้ เพราะตามประเด็นที่ กทม.หารือไปนั้นเป็นการขอความเห็นกรณีต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 หรือไม่เท่านั้น ไม่ได้หารือว่าการดำเนินการดังกล่าวต้องปฏิบัติตาม ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 หรือไม่ อย่างไร การขออนุมัติให้สัมปทานในครั้งแรกในปี 2535 กทม.เคยขออนุมัติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้ความเห็นชอบอนุมัติสัมปทานมาก่อนแล้ว

เมื่อมีการขยายเส้นทางรถรางต่อจากเส้นทางสัมปทานเดิมขึ้นใหม่ ก็ควรปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อน การหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตาม จึงเป็นการอนุญาตให้เอกชนมีสิทธิที่จะทำได้แต่เพียงผู้เดียวโดยการสร้างความผูกขาดหรือเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่ง เพื่อให้ตนเองและพวกพ้องได้รับสิทธิประโยชน์โดยตรง และไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะไม่ต้องขออนุมัติอีก ตามวิสัยและพฤติการณ์ของคดีนี้จึงเห็นว่าผู้เกี่ยวข้องมีเจตนาร่วมกันฝ่าฝืนกฎหมายประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 อย่างชัดเจน ตั้งแต่ผู้เสนอโครงการ ผู้อนุมัติโครงการ ผู้ให้ความเห็นชอบโครงการ หรือผู้ร่วมลงนามในสัญญาต่างๆ ตลอดทั้งผู้มีหน้าที่ในการสั่งการ ควบคุม กำกับ ดูแล รับผิดชอบโครงการดังกล่าว ต้องรับผิดชอบในผลการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

................................................................................................................





ปล. ชาวพุทธต้องมีจิตใจหนักแน่น พิจารณาว่า อะไรต้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

บทสัมภาษณ์
อ. เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ราชบัณฑิต ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนา และสามเณรเปรียญเก้าประโยครูปแรกของรัชกาลปัจจุบัน

กล่าวถึงวัดพระธรรมกายว่า จากการติดตามข้อมูลต่างๆ มานานหลายปีพบว่าวัดพระธรรมกายมีประเด็นที่น่าสงสัยอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการอวดด้างว่าตนเป็นผู้วิเศษ บรรลุธรรมชั้นสูงมีการสร้างภาพให้เห็นว่าเป็นผู้สำคัญผู้วิเศษ พูดง่ายๆ ว่าพยายามจะเป็นพระพุทธเจ้า

ถึงขนาดครั้งหนึ่งเคยสั่งประติมากรปั้นพระพุทธรูป แต่พอปั้นไปอย่างไรก็ไม่ถูกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณพระพักตร์ จนประติมากรถามว่าจะต้องปั้นอย่างไร พระธัมมชโย เจ้าอาวาสก็ชี้ที่หน้าตัวเองแล้วบอกว่าให้ปั้นตามนี้ กระทั่งต่อมาเกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์จนมีข่าวออกมาว่า มีคนบุกเข้าไปทุบพระพุทธรูปัดงกล่าว และทางธรรมกายก็ออกมาบอกว่าไม่เป็นไร จะไม่มีการจองเวร


ราชบัณฑิตกล่าวว่า ในประเด็นที่สร้างความลึกลับเข้าพบยากนี้เอง ที่เป็นข้ออ้างว่าใครจะเข้าพบพระธัมมชโย ต้องเป็นผู้ที่มีเพียงพอ ต้องเป็นผู้ที่เลือกแล้วซึ่งความจริงก็คือต้องร่ำรวยนั่นคือภาพที่พระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสเป็นผู้สร้างขึ้น พยายามจะสร้างความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องความลึกลับนี้พบข้อมูลว่าทุกต้นเดือนทางวัดจะมีพิธีถวายข้าวพระพุทธเจ้า โดยจะประชุมสานุศิษย์แล้วบอกว่า หากทำบุญกับเจ้าอาวาสจะได้บุญมากกว่า เพราะข้าวที่ถวายผ่านเจ้าอาวาสจะนำขึ้นไปบนสรวงสวรรค์เพื่อถวายกับพระพุทธเจ้าโดยตรง


"ที่ลึกลับที่สุดอีกเรื่องคือจะมีการเลือกผู้ศรัทธาที่มีฐานะร่ำรวยไปขึ้นดอย แล้วทำการล้างสมองว่าเป็นผู้มีบารมี ไม่ต้องนั่งสมาธิสามารถเข้าถึงธรรมกายได้ด้วยการ 'อัดธรรมกาย'นั่นก็คือการทำสมาธิกึ่งสะกดจิต หรือที่น่าจะเรียกว่าเป็น 'นิมิตจัดสรร' ด้วยวิธีการเรียกเข้าไปในห้องทีละคนแล้วให้นั่งสมาธิ มีการพูดให้ฟังเรื่อยๆ จะเห็นนิมิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ที่จริงแล้วจะมีการบอกเอาไว้ก่อนว่า ถ้าถามว่าเห็นไหมให้บอกว่าเห็น คนที่เข้าไปอัดธรรมกายก็จะรู้สึกตัวว่าเห็น
ซึ่งที่สุดแล้วก็คือจะหาคนบริจาคเงินนั่นเอง" นายเสฐียรพงษ์ กล่าว


ราชบัณฑิตกล่าวต่อไปว่า สิ่งที่อ้างว่าเป็นธรรมกายสายหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ความจริงก็คือสมถะกรรมฐาน เป็น 1 ใน 40 วิธีของการเพ่งกสิณ ซึ่งไม่สามารถบรรลุนิพพานได้ เพียงแต่ได้ญาณ เป็นบาทฐานของการวิปัสสนา แต่วัดพระธรรมกายพยายามโปรโมตให้เห็นว่าเป็นทางสู่นิพพาน ลูกศิษย์ที่พยายามทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการสร้างลัทธิขึ้นมา เพราะไม่ใช่หลักศาสนาเลย

"ขอยืนยันว่าพระพุทธศาสนามิใช่ลัทธิ ใครกำลังเอาพระพุทธศาสนาไปเป็นลัทธิกำลังทำบาปแก่พระพุทธศาสนา สำหรับลักษณะของลัทธิ คือ

1. สร้างความลึกลับขึ้นมา เช่น มีความสำเร็จขึ้นสูงสุด เป็นเรื่องลับเฉพาะถ่ายทอดให้เฉพาะบุคคลไม่ทั่วไปแก่คนทั้งปวงเหมือนสำนัก เส้าหลิน ถ่ายทอด "วิทยายุทธ์" ลับเฉพาะให้ศิษย์โปรดบางคนเท่านั้น

2. เน้นความขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นหลัก มีวิธีชักจูงคนมาให้เลื่อมใสบนพื้นฐานของศรัทธาต่อเจ้าสำนักและศรัทธาที่ว่าก็เป็นศรัทธาแบบความเชื่อฝังหัว หรือความเชื่อสุดตัวโดยไม่มีบทบาทของปัญญาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย" นายเสฐียรพงษ์กล่าว

นายเสฐียรพงษ์ กล่าวถึงวิธีการบอกบุญของวัดพระธรรมกายด้วยว่า แนวคิดของธรรมกายคือ บุญเป็นสินค้าที่ขายได้ สะท้อนภาพว่าเจ้าอาวาสเป็นนักการตลาด ดังจะเห็นได้ว่ามีโครงการบวชธรรมทายาท ที่จะประกาศหาคนมาเป็นเจ้าภาพงานบวชมีคนสนใจมาก แต่น่าสังเกตว่าช่วงหลังๆ มีการจัดโครงการถี่ขึ้น อาจเป็นเพราะรายได้ตกก็ได้

อีกประเด็นคือการปลูกต้นกัลปพฤกษ์ 1 แสนต้นโดยรับบริจาคต้นละ 3 หมื่นบาทแลกกับการจารึกชื่อไว้ที่ต้นไม้ ชาวบ้านที่อยากได้บุญก็บริจาค จุดที่น่าสังเกตก็คือโครงการนี้เป็นโปรเจ็กต์ที่ไม่มีวันสิ้นสุดและตรวจสอบไม่ได้ เพราะใครจะมาคอยนั่งหาชื่อตัวเองบนต้นไม่ เท่ากับเป็นการหากินกับความโง่ของประชาชน

"วิธีการของธรรมกายถึงขนาดว่าเมื่อมีคนถามเรื่องการทำบุญว่าหากทำบุญ 1 แสนบาท จะได้บุญเท่าไหร่ทางวัดบอกว่าบริจาคมากได้บุญมาก คนนั้นเลยไปกู้เงินมาอีก 1 แสน เพื่อนำมาทำบุญเพื่อต้องการได้บุญแบบ ดับเบิ้ล ซึ่งไม่ใช่หลักพระพุทธศาสนา การทำบุญคือต้องไม่สร้างความเดือนร้อน แต่นี่กลายเป็นพุทธพาณิชย์ เป็นกระสือดูดเงินไปซะแล้ว"
ราชบัณฑิตกล่าวในที่สุด

---------------------------
หนังสือพิมพ์ ข่าวสด
วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2541
ขึ้น 13 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล

http://b2b2.tripod.com/fnews/fnews19981201.txt

Cr. ร่วมต่อต้านวัดพระธรรมกายหยุดวัตถุนิยมเพื่อความคงเดิมแห่งพระศาสนา

............................................................................................................................




การใช้หนี้ไอเอ็มเอฟตอนนี้ รัฐบาลจะสามารถทำให้ประเทศหมดพันธกรณีหลาย ๆ อย่าง

ถึงแม้ว่าเราจะไม่ต้องไปขอกู้เพิ่ม ต้องเขียนจดหมายแสดงเจตจำนง แต่ว่าสิ่งที่แสดงเจตจำนงไว้ต้องปฏิบัติตาม และเมื่อวันนี้เราชำระหนี้หมด สิ่งเหล่านั้นเราไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม และเราเลือกในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด โดยยืนบนลำแข้งของเรามากที่สุด ที่เราไปตกลงกันไว้ว่า เราจะขึ้น vat จาก 7% เป็น 10% เรายกเลิกครับ รัฐบาลนี้จะดำรง vat ไว้ที่ 7% จะไม่ขึ้นไป 10% เด็ดขาด เพราะฉะนั้นตรงนี้เราสามารถยกเลิกได้โดยไม่มีพันธกรณีใด ๆ ที่ต้องวิตก ถ้าไม่เช่นนั้นเราต้องขอผัดผ่อนไปเรื่อย ๆ เพราะเรายังมีภาระหนี้อยู่ แต่ตอนนี้เราไม่ต้องแล้ว

เรื่องต่อไป คือเรื่องกฎหมาย 11 ฉบับที่เราห่วงใยกัน รัฐบาลได้เชิญผู้ที่ห่วงใยในเรื่องนี้มาพูดคุยกัน ปรึกษากัน และในที่สุดเราสรุปว่า จะมีการแก้ไขในบางฉบับ ดังต่อไปนี้

1. กฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจ ก่อนนี้ในกติกาเราต้องขายรัฐวิสาหกิจเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ แต่วันนี้ไม่ใช่ครับ เราจะกระจายหุ้นรัฐวิสาหกิจในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายการลงทุน เพื่อให้เกิดการบริหารงานอย่างมืออาชีพ และเพื่อให้เกิดการตรวจสอบได้ทุกระบบ ซึ่งตรวจสอบจากระบบของตลาดทุนและตรวจสอบด้วยระบบของราชการ //////////////อ่านได้ตามลิงค์นี

http://library.uru.ac.th/webdb/images/sp31jul46.htm

........................................................................................................................




สลิ่ม กำลังโวยวายว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ซื้อรถเมลล์ NGV ราคาประมาณ 3-4 ล้านแพงโคตร.....

แล้วสมัย ปชป. ชงรถเมลล์ 16 ล้านนี่โคตรถูกเลยนะ!

......................................................................................................................


ฝาก share ประโยคเด็ดของ 'มาร์กาเรต แทตเชอร์' สำหรับ 'มิตรเฟสบุ๊ค' ทุกท่าน:

"ถ้าคุณมุ่งแต่จะให้คนอื่นถูกใจคุณ คุณก็พร้อมที่จะยอมตามได้ทุกเรื่อง...และคุณก็จะบรรลุอะไรไม่ได้เลย!"

("...if you just set out to be liked, you would be prepared to compromise on anything...And you would achieve nothing!")

---

คนเราทุกวันนี้ มองไปทางไหน ก็เจอแต่ปุ่ม "ถูกใจ" (like) แต่ความหนักแน่นกล้าหาญที่แท้จริงของตัวเราเองต่างหากหรือไม่ ที่คลำหายากขึ้นไปทุกที.

................................................................................................................................


ทฤษฎี

ลุงวินทร์ครับ ทฤษฎีของไอสไตน์ค้นพบนั้นถูกต้องรึเปล่าครับ ถ้าถูกต้องไม่รู้ทำไมในบทเรียนเรายังเรียนที่เป็นทฤษฎีของนิวตันอยู่เลยครับ

...laborpp

ตอบ...

เวลาเราใช้คำว่า ทฤษฎี หมายถึงแนวคิดที่ใครคนหนึ่งสร้างขึ้นมา ตราบที่ยังไม่มีใครล้มล้างมันลงด้วยหลักฐานที่ดีกว่า มันก็ยังคงอยู่

ส่วนที่หลายทฤษฎียังคงตำแหน่ง 'ทฤษฎี' ไม่เลื่อนเป็นกฎหรือตำแหน่งถาวรกว่านั้น ก็เพราะยังไม่มีวิธีการพิสูจน์ว่าทฤษฎีนั้นถูกต้องอย่างปราศจากข้อสงสัย

ยกตัวอย่างเช่น งานของไอน์สไตน์พิสูจน์ยากมาก เช่นพิสูจน์ว่าที่ว่างกับเวลาเชื่อมกันโดยปราศจากข้อสงสัย หรือไม่มีอะไรเร็วกว่าแสง หากวันหนึ่งมีคนพิสูจน์ว่าบางอย่างไปเร็วกว่าแสง ทฤษฎีของเขาก็อาจล้มลงได้ ซึ่งเร็วๆ นี้ก็มีการประกาศว่าพบอนุภาคบางตัวไปเร็วกว่าแสง

แต่ถึงทฤษฎีหนึ่งจะล้ม ก็อาจไม่ล้มทั้งหมด เช่นงานของนิวตัน บางส่วนไอน์สไตน์พิสูจน์ว่าไม่จริง แต่หลายส่วนยังใช้การได้อย่างดีเยี่ยมอยู่

คุยกับวินทร์, 16 พฤศจิกายน 2554

...................................................................................................................................




เรื่องจริงปนเรื่องแต่ง (1)

สวัสดีค่ะ อาวินทร์ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่หนูโพสต์ถามคุณอา รบกวนช่วยให้คำตอบด้วยนะคะ หนูเพิ่งอ่านหนังสือ ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85 จบ เมื่อช่วงหัวค่ำ

เมื่ออ่านภาคผนวกแล้วก็พบว่า คุณอาหลอกหนูไ้ด้สำเร็จไปหลายเรื่องเลยละค่ะ ก็เลยอยากจะถามคุณอาว่า อามีวิธีแยกแยะข่าวที่เป็นเรื่องจริง กับ เรื่องแต่ง อย่างไรคะ

หนูรู้สึกว่าข่าวสารมากมายรอบตัวตอนนี้ เชื่อถือได้ยากเหลือเกิน (ตอนนี้เริ่มเป็นคนเชื่อคนยากขึ้นบ้างแล้วค่ะ พยายามฟังหูไว้หู) มีเยอะเลยในอินเตอร์เน็ตที่หนูคิดว่าเป็นการสร้างความแตกแยกด้วยความจริงผสมกับเรื่องแต่งอย่างที่คุณอาบอก แต่ก็ไม่มั่นใจนัก มันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้?

ขอบคุณล่วงหน้านะคะ :)
พฤหัสบดี

ตอบ...

คำถามง่าย แต่ตอบยากมาก...การแยกแยะจริงออกจากหลอก แม้แต่ปัญญาชนที่มีประสบการณ์ก็ไม่ง่ายนัก หลักการคร่าวๆ ของผมคือ...

1.จับสาระหลักของเรื่องให้อยู่ ทุกครั้งที่อ่านหรือฟัง ให้ถามเสมอว่า อะไรคือสาระหลักหรือข่าวหลักของเรื่องที่เสนอ

2.ให้ตรวจสอบ (verify) ข่าวเสมอ ดูจากแหล่งข่าวที่เป็นขั้วตรงข้ามกัน และหากมีแหล่งข่าวจากต่างประเทศประกอบด้วยยิ่งดี

3.เนื้อหาอะไรที่หวือหวาหรือดีเกินไป มีโอกาสที่จะไม่จริง

4.คำพูดของอาจารย์ นักวิชาการ ศาตราจารย์ หรือคนที่สังคมเชื่อถือให้หาร 2 เสมอ หากเป็นความเห็นของนักการเมืองไทยให้หาร 100

คุยกับวินทร์, 28 ตุลาคม 2554
http://www.winbookclub.com/takedetail.php?quizid=802

.......................................................................................................................

....................................................................................................................




มัวเมา

นานาสาระธรรมจาก Instagram สวนโมกข์กรุงเทพ
http://instagram.com/suanmokkh_bkk/

.................................................................................................................................


"...ในยุคที่ห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดของโลกที่เรียกว่า อินเทอร์เน็ต อยู่ห่างจากเราแค่ปลายนิ้ว เราทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้มากกว่าคนยุคก่อนนับล้านเท่า แต่แปลกที่ผู้คนไม่ได้รักการเรียนรู้มากกว่าเดิม..."

วินทร์ เลียววาริณ

...................................................................................................................................





















































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น