วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

22/04/2556
































































นำมาให้เห็นกันชัดๆครับว่าคำแถลงการณ์ร่วมทำขึ้นเพื่อปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกม. โดยมีสาระดังนี้ครับ
1. ปี 2550 ก่อนรัฐบาลสมัครเข้าบริหารประเทศ กัมพูชาเขายื่นขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยแผนที่ที่ยื่นประกอบนั้น ผนวกเอาทั้งตัวปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนของไทยเข้าไปด้วย แผนที่นี้เรียกว่า Schema Directeur pour la Zonage de Preah Vihear รัฐบาลสมัครจึงต้องเจรจาให้เขาตัดพื้นที่ทับซ้อนออกไป และห้ามไม่ไห้เขมรนำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก
2. ท่านเห็นไหมครับว่าไทยสนับสนุนให้เขาขึ้นเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น โดยมีการกำหนดขอบเขตของตัวปราสาทตามแผนผังชัดเจน อุปมาอุปมัยเหมือนขีดเส้นรอบศาลพระภูมิแล้วขึ้นทะเบียน (ข้อ 1)
3. ห้ามกัมพูชาเอาพื้นที่ทับซ้อนทางทิศเหนือและทิศตะวันตกของตัวปราสาทไปขึ้นทะเบียน (ข้อ2)
4. กัมพูชาต้องยื่นแผนผังตัวปราสาทแสดงขอบเขตให้ชัดเจน แทนแผนที่ Schema Directeur pour la Zonage de Preah Vihear ที่ผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อนและที่ได้ยื่นไว้แต่แรกในปี 2550 (ข้อ 3)
5. ในระหว่างที่การทำหลักเขตแดนระหว่างสองประเทศยังไม่เสร็จ ก็ร่วมจัดทำแผนบริหารและจัดการร่วมในพื้นที่ทับซ้อนไปพลางก่อน (ข้อ 4) เพราะจะได้ประโยชน์ทั้งคู่และไม่ต้องรบกัน
6. การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกจะไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของไทยและกัมพูชาในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) (ข้อ 5) ชัดเจนไหมครับว่ามันไม่กระทบสิทธิไทย และการเจรจาตาม MOU 43 ก็ดำเนินการได้และมีผลเหนือกว่าการขึ้นทะเบียนมรดกโลก
7. แผนผังที่กัมพูชาต้องทำขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่แผนที่ครับ เป็นเพียงแผนผังที่กำหนดขอบเขตตัวปราสาท อุปมาอุปมัยเหมือนขีดเส้นรอบศาลพระภูมิ และไม่รวมสนามหญ้าเข้ามาด้วย ดังนั้นกัมพูชาเขาขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทที่เป็นหินเท่านั้นครับ ไม่รวมพื้นที่ทับซ้อน กรุณาดูแผนผัง REVISED GRAPHIC PLAN OF THE PROPERTY ซึ่งเป็นแผนผังตัวปราสาทที่ขึ้นทะเบียนในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ 32 เดือน กรกฎาคม 2551 ท่านใดที่กล่าวหาว่าผมไปเซ็นรับรองแผนที่ 1 ต่อ 200,000 จึงเป็นเท็จทั้งสิ้นครับ และไม่มีทางที่กัมพูชาจะใช้แผนผังนี้เป็นแผนที่มาหักล้างไทยได้ ท่านทูตวีระชัยก็ย้ำประเด็นนี้ว่ากัมพูชาขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทที่อยู่ในวงรั้วลวดหนามที่ไทยขีดวงตามมติ ครม. 10 กค 2505 ผมเชื่อท่านฑูตมากกว่าทนายเขมรครับ
8. ผมย้ำอีกครั้งว่าทีมกฎหมายที่สู้คดีในศาลโลกเขาเห็นว่าคำแถลงการณ์ร่วมเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทยครับ แต่น่าเสียดายที่มันเป็นโมฆะไปแล้วตามคำสั่งศาลปกครอง มันไม่มีผลผูกพันไปแล้ว ของดีกลายเป็นของเสีย ทนายเขมรก็บอกว่ามันโมฆะไปแล้ว แล้วเขมรจะอ้างได้อย่างไรครับ และความจริงเขาไม่ได้ใช้อ้างอะไรเลย เพียงแต่พูดถีงการสนับสนุนของรัฐบาลสมัครในการขึ้นทะเบียนตัวปราสาทเท่านั้นครับ

/


...................................................................................................................




รักกันไว้เถิด~ ปาระเบิดข้ามแดนไทย~ จะโดนชาติไหนๆ~ ก็ตายด้วยกัน

..........................................................................................................

.......................................................................................................

http://pantip.com/topic/30396707

Chevron เผยปี 2010 ผลิตก๊าซธรรมชาติในไทยได้เป็นอันดับ 2 ของโลก...แล้วไง???

กระทู้ข่าว
คือไอ้มุก "ข้อมูลครึ่งเสี้ยว" ของแก๊งทวงคืน ปตท นี่ก็ยังหน้าด้านใช้กันอยู่ไม่สร่างซานะครับ...แหม่

ผมไปทะเลาะกับเพจ "ทวงคืนพลังงานไทย" และ "Thai Energy Get Back" มานิดหน่อยลองดูข้อมูลที่มันนำเสนอตามภาพนะครับ

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=519380898119455&set=a.213360575388157.54801.100001426476823&type=1&ref=notif&notif_t=notify_me&theater
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=517427244983493&set=a.485146284878256.109052.485143231545228&type=1&theater

ไงบ้างครับเห็นพาดหัวข่าว "ไทยรัฐสไตล์" ของมันแล้วตื่นเต้นไหมครับ ผมก็เลยขอเข้าไปดูสักหน่อยว่าปริมาณมันมหาศาลแค่ไหน เพราะผมไม่หลงกลมันที่ชอบเอาแต่ "อันดับ" มาหากินให้เราเข้าใจผิดคิดว่าประเทศเรานี่มีทรัพยากรปิโตรเลียมมากมายเหลือคณานับ ผมก็เข้าไปตามลิ้งค์ที่มันให้มา http://issuu.com/srun/docs/chevron2010

แล้วก็ตามไปดู "ปริมาณที่มันปกปิดไว้ไม่นำเสนอให้เราดู" ได้ข้อมูลตามภาพครับ


แล้วผมก็เข้าไปในหน่วยงานของไทยเรา เอาข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน http://www.eppo.go.th/info/3ng_stat.htm
เริ่มที่ปริมาณที่เราผลิตได้ทั้งหมดจากผู้รับสัมปทานทุกราย


ต่อด้วยปริมาณที่เราใช้ครับ


เอาล่ะข้อมูลครบถ้วนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ทุกท่านผมเอาข้อมูลทั้งหมดมาไว้ในตารางเดียวกันนะครับ


ไงบ้างครับ "Chevron ผลิตก๊าซธรรมชาติในไทยได้เป็นอันดับ 2 ของโลก - ที่เราใช้" และ "ที่เราผลิตได้ - ที่เราใช้" ให้ผลลัพธ์ที่ "ติดลบแดงเถือกต่อเนื่องกันทุกปี"

ยังงีใครคิดว่า เรา ประเทศไทย ซาอุดิอาระเบียแห่งตะวันออกไกล มีทรัพยากรทางปิโตรเลียมเหลือเฟืออยู่ไหมครับ?

เลิกเชื่อข้อมูลครึ่งเสี้ยวที่รายงานแต่อันดับ ไม่บอกปริมาณที่ผลิตได้ เปรียบเทียบกับ ปริมาณการใช้ กันเสียทีเถิดครับ พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย อย่ามัวให้เขาหลอกอยู่เลยครับ  บ้านเมืองเรามันมีปัญหาแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ให้ร้ายป้ายสีกันมากพอแล้ว อย่าหลงเอาตัวเองเข้าไปเป็นเหยื่อในกระบวนการนี้กันอีกเลย

.................................................................................................................


"ทูตวีรชัย" แถลง เขมร "ปลอมแผนที๋" ชัดเจน - ยัน "นพดล"ไม่ทำเสียดินแดน - ชม "มิรอง"เหมาะสมกับงาน



วันนี้ (22 เม.ย.) ที่กระทรวงการต่างประเทศ คณะทำงานต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งประกอบด้วย นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ หัวหน้าคณะทำงาน และทีมทนายความชาวต่างชาติ ซึ่งประกอบด้วย ศาสตราจารย์ โดนัลด์ เอ็ม แม็คเรย์ ศาสตราจารย์ เจมส์ ควอร์ฟฟอร์ด ศาสตราจารย์อแลงต์ แปลเล่ต์ และนางสาวอลินา มิรอง ร่วมแถลงข่าวถึงถ้อยแถลงต่อศาลโลกเรื่องปราสาทพระวิหาร โดยนายวีรชัย กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และยืนยันว่าตนเองไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่มีทีมงานทั้งฝ่ายกฏหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายความมั่นคง และคณะรัฐบาล ให้การสนับสนุน รวมไปถึงนักวิชาการและสื่อมวลชนที่แสดงข้อคิดเห็นต่างๆ

นายวีรชัย กล่าวถึง วิธีการทำงานของคณะฯ ว่า ให้ทุกคนเขียนถ้อยแถลงของตนเอง และให้เวียนกันแก้ไขถ้อยแถลง จากนั้นจึงส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ฝ่ายความมั่นคง และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจสอบและแก้ไข
นอกจากนี้ นายวีรชัย ยังกล่าวยืนยันด้วยว่าสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระองค์ทรงเป็นนักโบราณคดีอย่างแท้จริง และการในต่อสู้ครั้งนี้ตนได้ชี้แจงให้สาธารณชนทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยหลังจากนายวีรชัยได้กล่าวแถลงการณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วได้เปิดให้สื่อมวลซักถามเกี่ยวกับรายละเอียดในการต่อสู้คดีครั้งนี้ แต่ทั้งนี้เมื่อสื่อมวลชน ถามถึงผลการตัดสินของศาลโลก นายวีรชัยกล่าวว่า ไม่อยากแสดงความเห็นเพราะเป็นการทำงานของศาลโลก แต่ยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชายังคงเป็นไปในแนวทางบวก

เมื่อถามว่า ทำไมจึงฉุกใจว่ามีการปลอมแปลงแผนที่ นายวีรชัย กล่าวว่า ไม่ต้องฉุกใจอะไร เพราะเปิดหลักฐานมาก็เห็นชัดๆ ว่าฝ่ายกัมพูชาปลอมแปลงแผนที่

ส่วนกระแสที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า แถลงการณ์ร่วมสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก หรือ เอ็มโอยู ปี 2551 ที่ทำในสมัยนพดล ปัทมะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งทางฝั่งกัมพูชายกมาเป็นหลักฐานซึ่งส่งผลเสียและเป็นการขายชาตินั้น นายวีรชัย กล่าวว่า ฝั่งกัมพูชาได้ยกเรื่องนี้มาเป็นข้อต่อสู้ในศาลโลก ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงในถ้อยแถลงกลับไปแล้วว่า แถลงการร่วมของคุณนพดลที่ให้กัมพูชาทะเบียนปราสาทพระวิหารให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท เป็นไปตามเส้นเขตแดนตามมติคณะรัฐมนตรี ปี 2505 ไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรแต่อย่างใด

จากนั้น ผู้สื่อข่าว ได้สอบถาม นางสาวเอลินา มิรอง ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่หนึ่งในทีมกฎหมาย ว่าหาหลักฐานเรื่องแผนที่ได้อย่างไร ซึ่งนางสาวมิรอง กล่าวว่า เบื้องต้นได้ปรึกษากับคุณวีรชัย และใช้แผนที่ซึ่งศาลทำไว้ และหาหลักฐานจากแหล่งอื่น เช่น จากหอจดหมายของกรมสนธิสัญญา เพื่อเปรียบเทียบข้อแตกต่างกัน

และเมื่อถามนางสาวมิรอง ต่อไปว่า ทำไมถึงเลือกเธอมาทำงานนี้ นางสาวมิรอง กล่าวอย่างถ่อมตัวว่า คงเป็นเพราะไม่มีคนอื่นมาทำงานนี้แล้ว ซึ่งนายวีรชัย กล่าวเสริมว่า ที่เลือกนางสาวมิรองมาทำงานนี้เพราะเห็นว่าเธอมีความพร้อม

ส่วนบทบาทของทีมทนายต่อจากนี้ นายวีรชัย กล่าวว่าจะทำการเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนไทยให้พร้อมรับคำตัดสินของศาลโลกได้ทันทีเมื่อคำตัดสินออกมา ส่วนที่ศาลให้ส่งการตีความคำว่า "พื้นที่บริเวณปราสาท" ของฝ่ายไทยนั้น ยังไม่ขอให้ข้อมูลตอนนี้เพราะจะมีผลกับรูปคดี

เมื่อการแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศได้มอบดอกไม้แสดงความขอบคุณให้กับคณะทีมกฎหมายของไทย

........................................................................................................

มหากาพย์เขาพระวิหาร #8


ที่มาของการที่ข้าราชการ ก.ต่างประเทศ ไปยอมรับแผนที่ 1:200,000 กับกัมพูชาเป็นครั้งแรกใน MOU 2543 ตัดจากรายงานที่แสนอในวุฒิสภา โดย ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม

"..ก่อนหน้าที่ผู้เขียนได้ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าว ผู้เขียนได้มีโอกาสประชุมหลายครั้งร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศหลายคนเกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหาร และ MOU 2543 เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศดังกล่าวทั้งหมดไม่เคยเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าวในการประชุมครั้งใดๆ เลย 

แต่หลังที่ผู้เขียนได้ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ผู้เขียนได้มีโอกาสประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งประชุมร่วมกับประธานกรรมการและกรรมการของ JBC (ฝ่ายไทย) หลายครั้ง โดยผู้เขียนได้สอบถามว่าทำไมกระทรวงการต่างประเทศจึงดำเนินการทำ MOU 2543 โดยไปยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสฝ่ายเดียว ว่าเป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งนายวศิน ธีรเวชญาณ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศซึ่งเป็นประธานของ JBC (ฝ่ายไทย) ในขณะนั้น และนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัครราชทูตไทยประจำสหราชอาณาจักรกัมพูชาซึ่งเป็นกรรมาธิการของ JBC (ฝ่ายไทย) ให้เหตุผลว่า

เนื่องจากประเทศกัมพูชาเป็นผู้เสนอให้มีการระบุแผนที่ดังกล่าวใน MOU 2543 ด้วย หากประเทศไทยไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวก็จะทำให้ไม่สามารถตกลงจัดทำ MOU 2543 ได้ นอกจากนี้บุคคลดังกล่าวทั้งหมดยังยืนยันด้วยว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ดังกล่าว มีผลบังคับใช้ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหาร ทั้งๆ ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมิได้มีคำพิพากษาดังกล่าวตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาก็ยืนยันมาตลอดเช่นกันว่า แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ดังกล่าวเป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนและมีผลบังคับใช้ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหาร รวมทั้งเส้นเขตแดนระหว่างไทยกัมพูชาเป็นไปตามแผนที่ดังกล่าว "

นอกจากนั้น
กัมพูชาไม่มีทางที่จะถือว่า MOU 2543 ข้อ 1 (ค) ไม่ได้หมายที่แผนที่ 1 : 200,000 ระวางดงรัก ตามมาร์คอย่างเด็ดขาด !!

เพราะมันขัดรัฐธรรมนูญกัมพูชาครับ !!!

รัฐธรรมนูญกัมพูชา Constitution of the Kingdom of Cambodia ฉบับปีค.ศ. 1993 หรือพ.ศ. 2536 ซึ่งสหประชาติเข้ามาช่วยร่าง บัญญัติไว้ในมาตรา 2 หรือ Article 2 ว่า...

"The territorial integrity of the Kingdom of Cambodia, shall absolutely not to be violated within its borders as defined in the 1/100,000 scale map made between the year 1933 - 1953 and internationally recognized between the years 1963 - 1969."

และรัฐธรรมนูญกัมพูชาก็กำหนดไว้เด็ดขาดว่าการทำสัญญาใด ๆ กับต่างประเทศจะขัดกับหลักการนี้ไม่ได้ ถ้าขัด ให้ถือว่าสัญญานั้นไม่มีผลบังคับใช้

ความในมาตรา 55 หรือ Article 55 บัญญัติไว้ดังนี้...

"Any treaty and agreement incompatible with the independence, sovereignty, territorial integrity, neutrality and national unity of the Kingdom of Cambodia shall be annulled."

ทีนี้มาดูว่าไอ้เจ้าแผนที่ 1 : 100,000 ที่ระบุไว้ในมาตรา 2 มันคืออะไร ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยมค้นคว้าหาข้อมูลจนพบเอกสาร "Notes on the Cambodia - Vietnam boundary maps and the delimitation 1985/2005 Treaties." ฉบับลงวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2005 ซึ่งเป็นเอกสารที่ระบุแผนที่ทุกประเภทที่กัมพูชาใช้อยู่ มีระบุในข้อ 3 ว่า...

"The Cambodia - Thailand boundary (1 : 200,000 scale) maps were "made" in 1907, based on the 1904 - 1907 Treaty ; however, the 1 : 200,000 maps were re-examined, re-verified, converted into a larger scale (1 : 100,000) and re-published in the early 1950s."

เป็นการบ่งบอกว่า แผนที่ 1 : 100,000 ในมาตรา 2 รัฐธรรมนูญกัมพูชา ค.ศ. 1993 ก็คือแผนที่ 1 : 200,000 จัดทำใหม่นั่นเอง

ดังนั้น กัมพูชาไม่มีทางที่จะทำสัญญาหรือทำข้อตกลงกับประเทศใดให้เขตแดนของเขาผิดเพี้ยนไปจากแผนที่ 1 : 200,000 ได้เลย ถ้าทำ ก็ไม่มีผลบังคับใช้ เพราะนี่เป็นบทบังคับเด็ดขาดของรัฐธรรมนูญประเทศเขา

เพราะฉะนั้น....

1. เขาจึงยอมทำ MOU 2543 กับประเทศไทย เพราะมันยอมรับบรรจุแผนที่ 1 : 200,000 ไว้ในข้อ 1 (ค) หลักการนี้มาทำซ้ำอีกครั้งใน TOR 2546, กรอบเจรจา 28 ตุลาคม 2551 เขาเชื่อและเข้าใจอย่างนี้ ไม่มีทางจะเชื่อและเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้ ไม่ว่ามาร์คของเราจะเชื่อและเข้าใจอย่างไร

2. ในการเจรจาตามกรอบ JBC เขาไม่มีทางจะถอยจากหลักการแผนที่ 1 : 200,000 ได้ เพราะเป็นบทบังคับ

MOU 2543 และการเจรจาตามกรอบ JBC จึงไม่สามารถจะทำให้ไทยได้ประโยชน์ ไม่ว่าตรงจุด 4.6 ตารางกิโลเมตร หรือจุดไหน หากว่าไทยยึดถือแตกต่างออกไปจากแผนที่ 1 : 200,000
  
MOU 2543 เมื่อเกิดขึ้นในปี 2543 กัมพูชาก็ครอบครองแผ่นดินไทยอยู่แล้วหลายจุด ทั้งที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร และที่บ้านหนองจาน มันก็เลยทำให้เขาได้ครอบครองต่อเนื่อง เราจะไปทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะขัดข้อ 5 และข้อ 8 มิหนำซ้ำนับแต่ลงนามมา ไทยเคารพข้อ 5 และข้อ 8 มากกว่าเขา แต่เขาไม่เคารพ คงเดินหน้าเข้ามาอย่างแยบยลทุกรูปแบบ ไม่เพียงแค่ชุมชน ตลาด แต่ยังรวมถึงวัดอีกต่างหาก 


และถึงแม้จะได้มีความพยายามอธิบายว่า เขตแดนที่จะใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 นั้นไม่รวมระวางดงรัก ซึ่งหมายถึงพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารด้วย เพราะถือว่าแผนที่ดังกล่าวเฉพาะระวางดงรักไม่ใช่ผลงานการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส


แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นเช่นนั้น  เพราะพฤติกรรมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะไปยึดแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 เป็นหลักสำคัญมากกว่าสันปันน้ำเกิดขึ้นรวมถึงระวางดงรัก และพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารด้วยดังนี้     


1. หลังไทยกับกัมพูชาได้ลงนามใน MOU 2543 กัมพูชาได้ประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวในระวางดงรัก บริเวณเขาพระวิหารโดยทันที


2. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ดำเนินการประชุมเพื่อสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกในบริเวณเขาพระวิหาร ในช่วงปลายปี พ.ศ.2551 – ต้นปี พ.ศ. 2553 ทั้งๆที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นบริเวณที่สยามกับฝรั่งเศสได้สำรวจและปักปันเสร็จสิ้นไปเมื่อ 103 ปีที่แล้ว โดยใช้สันปันน้ำและขอบหน้าผาที่มีความชัดเจนตามธรรมชาติเป็นเส้นเขตแดนถาวร  แต่กลับที่จะเดินหน้าสำรวจเพื่อจัดทำหลักเขตแดนในบริเวณดังกล่าว  


ดังนั้นการประชุมเพื่อตกลงสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนซ้ำในบริเวณดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการหาสันปันน้ำใหม่ หรือจะจัดทำหลักเขตแดนใหม่ จึงย่อมเท่ากับว่าฝ่ายไทยได้สละหลักสันปันน้ำและขอบหน้าผาซึ่งเคยใช้เป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติที่ได้สำรวจและปักปันเสร็จสิ้นไปโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนผสมสยามกับฝรั่งเศสเมื่อ 103 ปีที่แล้ว ให้มาตกลงกันใหม่ระหว่างไทยกับกัมพูชา   ซึ่งย่อมทำให้นานาชาติเข้าใจว่า การที่สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนย่อมหมายถึงว่าเขตแดนดังกล่าวมีความไม่ชัดเจนจึงต้องมีความโน้มเอียงเชื่อไปว่าไทยกำลังไปยึดเส้นเขตแดนใหม่ตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวแทน


3. นบันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 3 - 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ได้ปรากฏคำปราศรัยเปิดประชุมของนายวาร์ คิม ฮอง รัฐมนตรีอาวุโสรับผิดชอบด้านชายแดน ในฐานะประธานเจบีซีฝ่ายกัมพูชา ความตอนหนึ่งว่า: 


“ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2551 การละเมิดมาตรา 5 ของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา (MOU) พ.ศ. 2543 โดยทหารไทย ในพื้นที่ดงรักโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณปราสาทพระวิหาร ปราสาทตาเมือน ปราสาทตากราเบ็ย ฯลฯ ได้ก่อให้เกิดสถานการณ์ใหม่ที่ประเด็นยังคงค้างอยู่ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกัมพูชายังยึดมั่นที่จะอดกลั่นที่สุดเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีและฉันมิตร”


คำปราศรัยดังกล่าวเป็นการกล่าวให้ร้ายประเทศไทย มีนัยยะว่าประเทศไทยเป็นฝ่ายรุกล้ำอธิปไตยของกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ทั้งๆที่ดินแดนดังกล่าวเป็นดินแดนไทย และประธาน เจบีซีฝ่ายไทยก็หาได้มีการโต้แย้งคำปราศรัยดังกล่าวไม่


4. กัมพูชาได้ยื่นเอกสารแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000  ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32  และคณะกรรมการมรดกโลกได้มีมติขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2551  และกัมพูชายังได้ยื่นเอกสารต่อองค์การยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลกว่าตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม  พ.ศ. 2551 ฝ่ายทหารไทยได้ใช้กำลังรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว จนทำให้องค์การยูเนสโกได้ให้เงินสนับสนุนกัมพูชาซ่อมสร้างตลาดกัมพูชาในดินแดนไทยจำนวนเงิน 50,000 เหรียญสหรัฐ เพราะเข้าใจว่าไทยได้รุกรานกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 โดยที่ฝ่ายไทยก็ไม่ได้ทักท้วงอีกเช่นกัน ดังปรากฏตามรายงานในคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 33 เมื่อปี พ.ศ. 2552  



กัมพูชาได้ยื่นแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ต่อองค์การยูเนสโก เพื่อร้องเรียนว่าบริเวณเขาพระวิหาร ทหารไทย รุกล้ำอธิปไตยกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ทั้งๆที่อยู่ในดินแดนไทย และองค์การยูเนสโกก็ได้ให้เงินสนับสนุนซ่อมสร้างตลาดกัมพูชาจำนวน 50,000 เหรียญสหรัฐ ในดินแดนไทยประเทศไทยเพราะข้อหาว่าไทยรุกรานกัมพูชา โดยฝ่ายไทยไม่ได้โต้แย้งใดๆ


ดังนั้นการที่รัฐบาลตัดสินใจใช้ MOU 2543 มาเป็นเครื่องมือเพื่ออธิบายต่อคณะกรรมการมรดกโลก และองค์การยูเนสโก ว่าการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนยังไม่แล้วเสร็จ จึงย่อมมีความหมายในสายตานานาชาติว่า การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนที่ยังไม่แล้วเสร็จนั้น เป็นการไม่แล้วเสร็จในการจัดทำหลักเขตแดนทางบกตามเส้นเขตแดนที่กำหนดไว้ในแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000


5. เอกสารของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เรื่อง ปัญหาเขตแดนไทย-ลาว เมื่อปี พ.ศ. 2547 ได้แสดงข้อความที่แสดงถึงวิธีคิดของกระทรวงการต่างประเทศซึ่งต้องทำงานอยู่ในคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกตาม เอ็มโอยู 2543 โดระบุเนื้อหาที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งหากยังคงเอ็มโอยู 2543 อยู่กล่าวคือ

ประการแรก เอกสารฉบับนี้ระบุว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนชุดที่ 1 ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามสนธิสัญญา ปี ค.ศ. 1904 และยังระบุด้วยว่าแผนที่ฉบับนี้ก็ยังบังคับใช้อยู่ใน “ระวางดงรัก” ด้วย 


ประการที่สอง  เอกสารดังกล่าวยังระบุกรณีปัญหาสันปันน้ำในภูมิประเทศจริงไม่สอดคล้องกับแผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนฯมาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 โดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศให้ความเห็นถึงวิธีคิดไว้ว่า:


“ในการแก้ปัญหาในกลุ่มนี้ ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นแตกต่างกัน โดยฝ่ายไทยมีความเห็นว่า เส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนฯ ซึ่งขัดแย้งกับสันปันน้ำธรรมชาติซึ่งเป็นเส้นเขตแดนที่กำหนดไว้ตามสนธิสัญญาฯนั้น ต้องถือเส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่เป็นสำคัญ เนื่องจากสนธิสัญญาซึ่งจัดทำก่อนแผนที่ระบุเพียงหลักการของการกำหนดเส้นเขตแดนไว้ แต่รายละเอียดของเส้นเขตแดน ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกำหนดไว้ในแผนที่ซึ่งจัดทำขึ้นมาภายหลังของสนธิสัญญา ตามหลักกฎหมายต้องถือว่าเจตนาล่าสุดของทั้งสองฝ่ายลบล้างเจตนาแรกที่ขัดแย้งกัน  นอกจากนั้น คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหารได้วินิจฉัยว่าแผนที่มีฐานเหนือกว่าสัญญา”


6. มีการเจรจาเพื่อให้ทหารไทยและกัมพูชาถอยออกจากพื้นที่พิพาท ทั้งๆที่เป็นดินแดนไทยหลังแนวขอบหน้าผา ย่อมแสดงว่าฝ่ายไทยไม่ได้ถือว่าดินแดนไทยอยู่หลังแนวขอบหน้าผาอย่างเคร่งครัด แต่กลับถือเป็นพื้นที่พิพาทตาม MOU 2543


จากข้อมูลทั้งหมด 
ลองพิจารณาดูนะครับ ว่า MOU 43 เป็นอย่างไร 

และในเมื่อการปักปันทางบกเป็น MOU 43 ก็เกิดการปักปันทางทะเล เป็น MOU 44 ขึ้นมา

.............................................................................................................



รู้ไปทำไมว่า มดเป็นตัวอย่างหนึ่งของการทำงานเป็นทีมที่ดีที่สุด เช่น การช่วยดึงกันและกันข้ามพ้นอุปสรรค

ทั้งนี้ ในทำนองเดียวกันกับที่เฮนรี่ ฟอร์ด นักอุตสาหกรรมชาวสหรัฐ ผู้ก่อตั้งบริษัทฟอร์ด มอร์เตอร์ส เคยกล่าวไว้ว่า "มาด้วยกันคือการเริ่มต้น อยู่ร่วมกันคือความก้าวหน้า และทำงานร่วมกันเป็นทีมคือความสำเร็จ"

...............................................................................................................


ชำแหละวาทกรรม "ฮิตเลอร์มาจากการเลือกตั้ง"


http://www.youtube.com/watch?v=eBZAHxu1NOs&feature=youtu.be
..............................................................................................................




.+*+. นิ ท า น ข อ ง พ่ อ .+*+.

กาลหนึ่งนานมาแล้ว นานเท่าไหร่ไม่รู้ พ่อมักจะเริ่มต้นเรื่องอย่างนี้ทุกครั้ง
มีเจ้าหญิงอยู่องค์หนึ่ง เจ้าหญิงคนนี้เป็นคนขยัน ทำอาหารเก่ง ชอบทำงานบ้านเสมอ ๆ
เจ้าหญิงของพ่อมักจะเป็นคนที่ขยันเสมอ ๆ ...
เจ้าหญิงได้พบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในสวนดอกไม้ข้าง ๆ ปราสาท
ในขณะที่เจ้าหญิงกำลังเก็บดอกไม้

ผมพิมพ์มาถึงตรงนี้ ก็ต้องกด Delete ลบข้อความนั้นทิ้งเสียหมด
หลังจากที่ผมนั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วมั้ง
แต่งานเขียนของผมก็ยังอยู่เหมือนเดิม
ไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนไปสักอย่าง
ทั้ง ๆ ที่ผมจะต้องส่งต้นฉบับในวันพรุ่งนี้แล้ว
แย่จริง ๆ สมาธิหายไปไหนหมดนะ
บรรยากาศ ภาพความหลังในวัยเด็กหายไปไหนหมดนะ

- - นี่ผมคิดผิดหรือเปล่าหนอ? - -

ที่รับงานเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับพ่อมา
ก็เพราะคำว่า พ่อ นี่แหละที่ทำให้ผมเขียนไม่ออก
ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะพ่อไม่เคยอยู่ในความทรงจำของพ่อ
หรือเป็นฮีโร่เยี่ยงอย่างพ่อคนอื่น ๆ จนบางครั้งผมมีความรู้สึกราวกับว่า
พ่อกับผมเป็นคนแปลกหน้าที่ต่างวัยและบังเอิญมาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน
พ่อยังเป็นคนทำลายครอบครัว ทำลายความรักที่แม่มีต่อพ่ออย่างหมดสิ้น
จนแม่ทนไม่ไหวต้องหย่าร้างกันไปในที่สุด และพ่อยังจะทำลายความฝันของผมอีก

ผมอยากเรียนหนังสือ ผมชอบงานเขียนหนังสือ
ผมบอกกับพ่อในวันที่พ่อบอกให้ผมเลิกเรียนหนังสือ
และออกมาช่วยกันทำงานที่โรงกลึงของตนเอง..
แกจะเรียนไปทำไมนักหนา กิจการของพ่อก็มี
แล้วนายความฝันบ้า ๆ บอ ๆ ของแกอีก
ผมทิ้งมันไม่ได้ ผมทิ้งความฝันของผมไม่ได้หรอกพ่อ ผมเถียง
แต่แกต้องทิ้งมัน แกต้องมาช่วยฉันทำงาน พ่อขึ้นเสียงตอบกลับมา
พ่อ มันหมดสมัยที่พ่อจะบังคับลูกแล้วนะ
“แต่ฉันจะบังคับแก” พ่อยืนคำขาด
พรุ่งนี้แกต้องไปลาออก

ผมเกลียดพ่อ ผมเกลียดความคิดโง่ ๆ ของพ่อ
เกลียดการกระทำของพ่อ
ที่วัน ๆ มัวแต่นั่งทำงานงก ๆ พ่อไม่เคยสนใจผม
พ่อไม่เคยถามผมสักคำว่าผมต้องการอะไร เอ๊ะอะอะไรพ่อก็บังคับผม ผมเกลียดพ่อ


ฝ่ามืออันหนักอึ่งของพ่อกระทบลงบนใบหน้าแก้มข้างขวาของผมอย่างจัง
แกออกไปแกออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้นะ แกไม่ใช่ลูกฉัน

ดูแลตัวเองดี ๆ นะ ผมหันมาบอกน้องชายที่ยืนอยู่ห่าง ๆ
ก่อนที่ผมจะก้าวเดินออกจากบ้านหลังนั้นมา
ด้วยความเครียดแค้นที่สุมรุมอยู่ในหัว
นับจากวันนั้นมา ผมเลือกใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าหลังหนึ่งตามลำพัง
ยังดีที่มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีเกือบหมื่น ซึ่งมันก็พอจะเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้บ้าง
แต่ผมก็ยังเฝ้าหางานทำอยู่หลายที่
แต่มาตกอยู่กับการเป็นนักแสดงสมทบ
หรือที่ใคร ๆ เรียกกันติดปากว่า “ตัวประกอบ” เพื่อแลกกับเงินเพียงไม่กี่ร้อย
แต่ผมก็ยังไม่ละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนหรอก
ผมเฝ้าฝึกฝีมืองานเขียนจนคิดว่าดีพอถึงได้ลองส่งไปลงยังนิตยสารฉบับหนึ่ง
จนในที่สุดก็ได้รับการตีพิมพ์
ผมเริ่มมีความสุขกับการเขียนหนังสือมากขึ้น
เมื่อความฝันของผมเป็นจริง
หนังสือเล่มแรกในชีวิตของผมพิมพ์เสร็จเป็นรูปเล่มเรียบร้อยแล้ว
ผมรับหนังสือจากพี่ใหม่มา เปิดออกดูทีละหน้า ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะมีโอกาสแบบนี้จริง ๆ
นี่มันสุดยอดความฝันของผมเลยครับพี่ ขอบคุณมากครับ

เอ้า!นี่หนังสือของนัทเก้าเล่ม พี่ให้นัทเอาไว้แจกเพื่อน ๆ
ถ้าไม่พอยังไงก็เข้ามาเอาใหม่ล่ะกัน พี่ใหม่หยิบห่อกระดาษยื่นให้ผม และนี่เช็คเงินสดค่าเรื่อง
ขอบคุณมากครับ พี่ใหม่


ผมรับเช็คค่าความคิด ค่าน้ำหมึกของผมมาถือไว้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
แต่ที่แน่ ๆ มันเต็มเปี่ยมจนล้นไปด้วยความภาคภูมิ
มาถึงตอนนี้ผมมั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน
ผมอยากให้พ่อรู้เหลือเกินว่าในที่สุดผมก็ทำความฝันของผมได้สำเร็จ
ผมละภาพความหลังเก่า ๆ
ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยการไปเดินเล่นที่ท่าน้
สายน้ำแห่งเจ้าพระยายังคงไหลเวียนไม่ขาดสาย
ประกายแสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำระยิบระยับ
เรือลำน้อย เรือลำใหญ่แล่นว่ายอย่างเช่นเคย
ที่ตรงนี้ล่ะที่ทำให้ผมมีความสุข รู้สึกสบายอกสบายใจทุกครั้ง
และมักจะได้คำตอบหรือแนวพล็อตเรื่องอยู่เสมอ ๆ
วันนี้ผมก็หวังไว้เช่นนั้นเหมือนกัน
เสียงเรียกเครื่องเพจเจอร์ทำลายความเงียบนั้นลง
พ่อถูกรถชน พี่รีบมาด่วนนะ ผมกดข้อความจากน้องชายอ่านซ้ำไปมา
ใจหนึ่งลังเลจะไปดีหรือไม่ดี แต่ขาน่ะสิรีบก้าวออกไปก่อนโดยไม่รอคำตอบ
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ ผมถามน้องชายเมื่อไปถึงโรงพยาบาล
ก็พ่อน่ะสิ ทำหนังสือหล่นกลางถนน เลยหยุดเก็บ ก็เลย
น้องชายพูดเสียงสั่นเครือ
แค่หนังสือเนี๊ยนะ เอามาแลกกับชีวิต พ่อนี่บ้าหรือเปล่า
ผมยังวายหยุดว่าพ่อ

ถ้าไม่ใช่หนังสือของพี่ พ่อก็คงไม่เก็บหรอก
คำพูดของน้องชายทำเอาผมอึ้งไปพูดไม่ออก
หนังสือของผม
เพราะหนังสือของผมเหรอ
พอพ่อรู้ว่า หนังสือของพี่วางแผง พ่อก็รีบไปซื้อทันที
พ่อบอกว่า…ไม่ซื้อไม่ได้… นี่ผลงานของลูก นี่ความฝันของลูก
และพ่อยังบอกอีกว่าพ่อจะซื้อหนังสือของพี่ทุกเล่ม
มาถึงตรงนี้หยาดน้ำตาก็เริ่มไหลเอ่อรื้นอยู่เต็มขอบตา
พี่รู้ไหมพ่อคิดถึงพี่มากแค่ไหน พ่อคิดถึงพี่เสมอนะ
พ่ออยากให้พี่กลับมาอยู่ด้ว
พ่อยังบอกอีกว่า พ่อจะไม่บังคับอะไรลูก ๆ อีกแล้ว
ชีวิตเป็นลูกพ่ออยากให้ลูกเลือกเดินเอง
แต่พ่อจะคอยอยู่ข้างหลังคอยเป็นกำลังใจให้ในยามที่ลูกเหนื่อยลูกท้อ
พ่อยังบอกอีกว่าพ่อเชื่อว่าลูกสามารถทำความฝันของตนเองเป็นจริงขึ้นได้อย่างมั่นคง
คำพูดของน้องชายทำเอาน้ำตาที่เต็มไหลอาบแก้มเมื่อครู่ไหลอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัว

ผมไม่เคยรู้สึกดีกับพ่อมาก่อนอย่างนี้
ผมไม่เคยรู้สึกรักพ่อมาก่อนเท่าครั้งนี้
ถึงเวลานี้ผมได้แต่นั่งรอเวลาที่ผมจะโผเข้าสวมกอดร่างของพ่ออีกครั้ง
จะนานแค่ไหนไม่รู้
จะนานกี่ชั่วโมงไม่รู้
กว่าที่ประตูห้องฉุกเฉินนั่นจะเปิดออก
แล้วผมจะกลับเข้าบ้านหลังนั้นอีกครั้ง กลับเข้าไปสู่อ้อมแขนของพ่ออีกครั้ง
และครั้งนี้มันคงทำให้ผมเขียนเรื่องสั้นได้ทันส่งต้นฉบับวันพรุ่งนี้แน่นอน


ผมตั้งชื่อเรื่องรอไว้ก่อนแล้วว่า ‘นิทานของพ่อ’
พ่อคนเดียวที่สอนให้ผมรู้จักตัวเอง ให้ผมเข้มแข็ง
ให้ยืนหยัดได้ด้วยความฝัน สองแขนสองขาของตัวเอง
ผมอยากบอกว่า ผมรัก รักมาก อย่างที่ไม่เคยรักมาก่อน
และผมก็รักพ่อไม่น้อยกว่าที่รักแม่หรอก

..........................................................................................................




จงอย่าพัฒนาตัวเองด้วยการกดคนอื่นให้ต่ำลง แต่จงพัฒนาตัวเองและช่วยเหลือผู้อื่นด้วย

...................................................................................................................




อ่านดีดี แล้วจะรู้ว่าอิฐสองก้อนในตัวเรา ว่ามันเป็นยังไงคะ




มีพระอยู่องค์หนึ่งท่านอยู่ที่วัดแร้นแค้นมากๆๆ

ท่านต้องสร้างวัดเอง จึงเริ่มก่อกำแพง

ทั้งๆๆที่ท่านมะเคยทำเลยในชีวิต

การก่อกำแพงที่คุณมองว่า แค่เอาอิฐวางเอาปูนใส่นั้น

แท้จริงแล้ว มันยากนะ เพราะว่าจะทำยังไงให้มันตรง

เท่ากันหมด พอพระท่านก่อกำแพงเสด ท่านเห๊นว่า

ตรงกลางของกำแพง มีอิฐอยู่ 2 ก้อนที่มันมะตรง

มันนูนออกมาจากอิฐก้อนอื่น ครั้นจะรื้อก้อมะได้

เพราะค่าใช้จ่ายมันแพง ทุกครั้งที่ญาติโยมมาที่วัด

อาตมาจะรู้สึกอับอาย มากเวลามีคนจ้องไปที่อิฐสองก้อนนั้น

จนกระทั่งวันนึง มีผู้ชายแก่คนนึงมาที่วัด แล้วมองไป

ที่กำแพงอันนี้ ชายแก่พูดว่า..กำแพงนี้สวยด

อาตมาถามเค้าด้วยความตกใจว่า ลืมใส่แว่นมาเปล่า

คุณไม่เห๊นหรอว่ามันมีอิฐสองก้อนที่วางไม่ดีจนกำแพงนี้

ดูไม่ดี คำพูดที่ชายแก่ตอบอาตมามานั้น ได้เปลี่ยนแปลง

ทัศนคติทั้งหมดของอาตมาชายแก่บอกว่า...ใช่

ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้น แต่ผมก้อเห๊นด้วย

ว่ามีอิฐอีก 998 ก้อนก่อไว้ได้อย่างสวยงาม เปนระเบียบ

อาตมาถึงกับอึ้งทีเดียว นับเปนครั้งแรกในรอบหลายๆๆป

ที่อาตมามองเห๊นอิฐก้อนอ ื่นๆบนกำแพงนอกเหนือจาก

สองก้อนที่เปนปัญหา ตาของอาตมามืดบอดต่อสิ่งอื่นทั้งหมด

เดวนี้เมื่ออาตมามองเห็นอิฐดีๆๆแล้ว

กำแพงนี้สำหรับอาตมาก้อไม่น่าเกลียดอีกต่อไป

คนเราซักกี่คนที่ตัดสัมพันธ์กะเพื่อน พี่ น้อง

เพียงเพราะเขาเพ่งมองแต่..อิฐที่ไม่ดีสองก้อนนั้น

ที่อยู่ในตัวคนอื่น ทั้งๆๆที่ในความเปนจริง มีทั้งอิฐที่ดี

และอิฐที่ดีจนไม่มีที่ติ เพียงแต่เรามองไม่เห๊นมันเท่านั้น

แทนที่จะเหนสิ่งดีๆๆที่มีอยู่ สายตาของเรากลับเพ่งมอง

จดจ่อเฉพาะสิ่งที่ผิดพลาด มันน่าเศร้าจริงๆ ที่หลายครั้ง

หลายหนเราได้ลงมือทำลาย กำแพงที่ดีลงไปจริงๆๆ

ที่มาttp://www.numwan.com/fw/view.asp?GID=60

............................................................................................................





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น