.....................................................................................................................
.....................................................................................................................
Supapong Wanitpongpan Status ของ :จ่าพิชิต ขจัดพาลชน
ฮิตเลอร์ไม่ชนะการเลือกตั้ง แต่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีนะครัฟ แหม่ (เรื่องจริงนะ ลองอ่านในประวัติศาสตร์ดู)
ฮิตเลอร์ไม่ชนะการเลือกตั้ง แต่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีนะครัฟ แหม่ (เรื่องจริงนะ ลองอ่านในประวัติศาสตร์ดู)
...............................................................................................................
การวางแผนที่ดี ก่อนจะทำการใดๆ ย่อมส่งผลให้การนั้นๆสำเร็จ
.............................................................................................................
...........................................................................................................
ชาวพุทธต้องกล้าพูดความจริง
ชาวพุทธเราต้องเป็นคนใจกล้า ความขลาด...ไม่กล้าพูดความจ ริงนั้น มิใช่วิสัยของลูกตถาคตผู้รู ้ความจริง พระองค์ประกาศความจริงอยู่ต ลอดพระชนมายุของพระองค์ โดยเฉพาะนักบวชในพระพุทธศาส นา ควรทำตนให้เป็นนักบวชที่แท้ สักหน่อยอย่าทำตนเป็นตัวเสฉ วน อันตัวเสฉวนนั้นคือปูชนิดหน ึ่งเกิดที่ริมทะเลน้ำเค็ม มันชอบกินหอยเป็นอาหาร ถ้ามันจับหอยได้แล้วมันกินเ ลย พอกินหมดแล้วก็อาศัยเปลือกห อยนั้นเป็นเรือนอยู่ คลานปะปนไปกับหอยอีก พอหอยเผลอก็จับกินเสียอีก ตัวเสฉวนไม่ใช่หอย แต่มันอาศัยอยู่ในเรือนร่าง ของหอยเพื่อทำลายหอยต่อไป
ภิกษุเราที่อาศัยผ้าเหลืองข องพระพุทธองค์ แต่มิได้ทำกิจของพระพุทธศาส นา ก็มีสภาพประดุจตัวเสฉวน ฉันนั้นพวกพระประเภทตัวเสฉว นนั้นก็เป็นพระประเภททำลายพ ระศาสนา เขาอาศันชื่อเสียงของพระรัต นตรัยไปทำพิธีปลุกเสกอะไรต่ างๆนานา ทำคนทั้งหลายให้หลงผิดเข้าใ จผิด หารู้ไม่ว่าตนกำลังทรยศต่อพ ระพุทธธรรมอยู่แล้ว
ขอให้พวกเราทั้งหลาย...ได้เ ลิกกระทำการอันน่าบัดสีนั้น เสียเถิด แต่จงช่วยกันบำรุงพระพุทธศา สนาไปให้ถูกทางต่อไปจงช่วยก ันประกาศพระพุทธศาสนาของแท้ ของพระพุทธเจ้า ให้ชาวโลกได้เข้าใจกันเถิด บัดนี้พุทธศักราชของเราได้ ๒๕๐๒ ปีแล้ว เมื่อปี ๒๕๐๐ เราได้ทำการฉลองกันเป็นการใ หญ่ ทำกันแต่เปลือกผิวเผินเท่าน ั้นผลได้แก่พระศาสนามีเพียง เล็กน้อย ขอให้เราจงมาร่วมใจกันฉลองใ หม่ด้วยการตั้งต้นชีวิตกันใ หม่ เป็นชีวิตที่เดินตามรอยพระบ าทของพระพุทธองค์อย่างแท้จร ิง นี่เป็นคำเชิญชวนด้วยความปร ารถนาดีต่อพี่น้องทั้งหลาย
มีบางคนกล้ากล่าวค้านว่า การที่ตนทำพิธีรีตองเช่นนั้ นก็เพื่อประโยชน์ของคนที่ยั งหลงยังเข้าใจผิดอยู่ จะอธิบายให้เขาทราบความจริง ก็เกรงว่าเขาจะไม่เข้าใจ จึงปล่อยไว้อย่างนั้นอีกประ การหนึ่งเขาคิดว่า พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่สูง เกินที่คนเหล่านั้นจักเข้าใ จก็เลยไม่อธิบายกันให้เข้าใ จ เขามาขอให้ทำพิธีอะไรก็ทำไป เท่านั้น
การกระทำอย่างนี้เป็นการเหม าะหรือไม่ ขอให้เรานึกถึงเด็กนักเรียน บ้างเถิด อันธรรมดาของเด็กนั้นในชั้น ก็ยังไม่รู้อะไรเลยครูจึงพย ายามสอนให้รู้ให้เข้าใจไปโด ยลำดับ จนผ่านชั้นต่างๆได้ ตามหลักสูตรที่ทางการได้วาง ไว้ ถ้าหากครูจะมาคิดเสียว่ายาก แก่เขาแล้วไม่พยายามสอน เด็กนั้นจะก้าวหน้าไปได้อย่ างไรเล่าในเรื่องการศึกษาศา สนาก็เหมือนกัน ถ้าเรานึกว่าเขาไม่เข้าใจแล ้วไม่พยายามสอนเขา เขาจะก้าวหน้าในการศาสนาได้ อย่างไร ขอให้ลองคิดดูสักหน่อยเถิด ท่านจะมองเห็นเอง
ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง เช่น คนๆหนึ่งมาหาพระและบอกว่า ตนเคราะห์ร้าย...ขอรดน้ำมนต ์สักหน่อย พระก็รดให้โดยมิได้ไต่ถามว่ าเคราะห์ร้ายเรื่องอะไร ไม่ได้แนะแนวทางแก้ทุกข์ให้ แก่เขา การทำพิธีรดน้ำมนต์ช่วยกำลั งใจได้เพียงนิดเดียวเท่านั้ นแต่ถ้าสนทนาให้เขาเข้าใจเห ตุผลเขาคงฉลาดขึ้น และเลิกละจากการกระทำความทุ กข์ใส่ตนก็ได้
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปปาฐกถา ที่นครสวรรค์ พอพูดจบก็มีคนมาหาและขอให้เ ป่ากระหม่อมให้หน่อย ข้าพเจ้าจึงตอบแก่เขาว่าเป่ าให้ชั่วโมงครึ่งก็ควรจะพอแ ล้ว ปฏิบัติตามคำสอนนั่นแหละคือ พรอันประเสริฐ และจะช่วยตัวเขาได้ต่อไป เขาจึงถอยกลับออกไป ...น่าสงสารคนประเภทนี้แท้ๆ !!
หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ
ปฏิวัติความงมงาย : เลิกเชื่อไร้เหตุผล พึ่งตนและพึ่งธรรม (หน้าที่ ๒๐-๒๑)
ชาวพุทธเราต้องเป็นคนใจกล้า
ภิกษุเราที่อาศัยผ้าเหลืองข
ขอให้พวกเราทั้งหลาย...ได้เ
มีบางคนกล้ากล่าวค้านว่า การที่ตนทำพิธีรีตองเช่นนั้
การกระทำอย่างนี้เป็นการเหม
ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปปาฐกถา
หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ
ปฏิวัติความงมงาย : เลิกเชื่อไร้เหตุผล พึ่งตนและพึ่งธรรม (หน้าที่ ๒๐-๒๑)
.......................................................................................................
................................................................................................................
.................................................................................................................
» วิ ช า ชี วิ ต 1 0 1 : ตอน...วันเกิดปีที่ 3,500,000,000
หลักฐานฟอสซิลบอกเราว่า...ช ีวิตแรกอุบัติขึ้นในโลกประม าณสามพันห้าร้อยล้านปีก่อน เริ่มต้นเป็นชีวิตแบบเรียบง ่าย แล้วทวีความซับซ้อนมากขึ้นเ รื่อยๆ
เรารู้ว่าทุกชีวิตทุกสายพัน ธุ์บนโลกมาจากต้นกำเนิดเดีย วกัน ใช้โครงสร้างพื้นฐานเหมือนก ัน แล้วแตกสาขาแฟรนไชส์ออกไปอย ่างหลากหลายจำนวนนับไม่ถ้วน
ในช่วงเวลายาวนานนี้สายพันธ ุ์ราว 99 เปอร์เซ็นต์ที่เคยเกิดมาบนโ ลกสูญไปหมดแล้ว แต่ชีวิตไม่เคยตาย! มันสืบทอดเปลี่ยนรูปมาตลอด มันคือทุกชีวิตในวันนี้!
ใช่! ทุกชีวิตบนโลกในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ปลา ช้าง หนู ควาย ไส้เดือน แมลงสาบ ต้นไม้ แบคทีเรีย ฯลฯ เดินทางมาจากต้นกำเนิดเดียว กัน เปลี่ยนรูปร่างโครงสร้างภาย นอก เปลี่ยน ‘ภพชาติ’ นับครั้งไม่ถ้วน สายหนึ่งกลายมาเป็นตัวเราใน วันนี้
เรามิได้ถือกำเนิดเป็นมนุษย ์เหมือนบะหมี่สำเร็จรูปจากโ รงงาน เราเปลี่ยนแปลงมานานสามพันห ้าร้อยล้านปีจนเป็นมนุษย์ใน วันนี้ เราทุกคนมาจากชีวิตแรก
ดังนั้นการบอกว่ามนุษย์ทุกค นมีอายุสามพันห้าร้อยล้านปี จึงไม่ใช่เรื่องตลก
◌◌◌◌◌◌◌◌
ชีวิตเป็นการไหลของสายธารโม เลกุลต่อเนื่องมาตั้งแต่วัน แรกของมัน เราไม่เคยตาย เราเกิดมาตั้งแต่วันแรกของช ีวิตบนโลก เราคือชีวิตแรกบนโลกในอวตาร ใหม่!
เราคือผลรวมของวิวัฒนาการขอ งชีวิตแรกเริ่มนั้น เช่นเดียวกับปลา ช้าง หนู ควาย ไส้เดือน แมลงสาบ ต้นไม้ แบคทีเรีย ฯลฯ ที่อยู่บนโลกขณะนี้
เมื่อถึง ‘วันตาย’ ของเราในฐานะมนุษย์ เราก็ยังไม่ตายอย่างแท้จริง เพราะสายธารชีวิตของเรายังค งดำเนินต่อไป อาจนานเท่าอายุของจักรวาล
เรามีตัวตนของปลา ช้าง หนู ควาย ไส้เดือน แมลงสาบ ต้นไม้ แบคทีเรีย ฯลฯ ในตัวเรา เราก็คือพวกมัน พวกมันก็คือเรา ทุกชีวิตมีสายสัมพันธ์อย่าง แยกจากกันไม่ได้
ดังนั้นเวลาใครด่าเรา “ไอ้ควาย” ก็สมควรยิ้มรับอย่างภาคภูมิ ใจ : )
◌◌◌◌◌◌◌◌
เราทุกชีวิตผ่านโลกนี้มาด้ว ยกัน เปลี่ยนเปลือกนอกของชีวิตไป เรื่อยๆ จากสัตว์เซลล์เดียวเป็นหลาย เซลล์ เป็นระบบชีวิตแบบต่างๆ แม้เราทั้งหมดเป็นคนละอวตาร แต่เป็นตัวตนเดียวกัน
อลัน บีน นักบินอวกาศนาซา ผู้เหยียบดวงจันทร์ในโครงกา รอพอลโล 12 เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 1969 กล่าวหลังจากกลับมาจากดวงจั นทร์ว่า เขารักโลกมากขึ้น
“ตั้งแต่กลับจากดวงจันทร์ ผมไม่เคยบ่นเรื่องดินฟ้าอาก าศเลยสักครั้ง ผมดีใจที่มีดินฟ้าอากาศ ผมไม่เคยบ่นเรื่องการจราจร ผมดีใจที่มีผู้คนรอบตัว อย่างหนึ่งที่ผมทำเมื่อกลับ บ้านก็คือไปศูนย์การค้า ขลุกแถวนั้น กินไอติม มองดูคนเดินไปมา
และคิดว่า ‘เราโชคดีแค่ไหนที่อยู่ที่น ี่ ทำไมคนชอบบ่นเรื่องโลก?’ เราอยู่ในสวนอีเดน!”
นักบินอวกาศคนอื่นๆ ซึ่งเดินทางท่องอวกาศบอกเป็ นเสียงเดียวกันว่า การมองเห็นความเวิ้งว้างภาย นอกโลกทำให้รักโลกมากขึ้น เกิด ‘บรรลุธรรม’ ว่ามนุษย์กับจักรวาลเป็นหนึ ่งเดียวกัน
◌◌◌◌◌◌◌◌
เราเป็นสิ่งเดียวกับบางสิ่ง ที่ยิ่งใหญ่ โมเลกุลที่ประกอบกันเป็นตัว เราก็คือโมเลกุลที่เคยเป็นด วงดาวมาก่อน ธุลีดาวเหล่านี้ประกอบกันเป ็นโครงสร้างชีวิต เราเป็นตัวตนเดียวกับจักรวา ล เราคือสรรพสิ่ง เราคือจักรวาล
ดังที่ นีล เดอกราส ไทสัน นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวอเม ริกัน เคยกล่าวว่า...
“เราทั้งหมดเกี่ยวข้องกันทา งชีววิทยา เกี่ยวข้องกับโลกทางเคมี เกี่ยวข้องกับจักรวาลทางอะต อม นั่นเป็นเรื่องที่เท่มาก! มันทำให้ผมยิ้มได้...”
ในเมื่อทุกชีวิตบนโลกมีวันเ กิดเดียวกัน เราจึงสมควรร้องเพลง “Happy birthday to life.” มากกว่า “Happy birthday to you.”
การฉลองวันเกิดของชีวิตทำให ้เราเข้าใจและรักสรรพสิ่งมา กขึ้น มันทำให้เรามองเห็นคุณค่าขอ งชีวิตอื่นๆ มีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกมาก ขึ้น
และเมื่อใดที่เราเข้าใจความ ข้อนี้ เราก็ขยับตัวเข้าไปใกล้สันต ิภาพแห่งอุดมคติอีกขั้นหนึ่ ง และมันยิ่งใหญ่กว่าแค่สันติ ภาพของมนุษยชาติ
นั่นเป็นเรื่องที่เท่มาก มันทำให้เรายิ้มได้!
◌◌◌◌◌◌◌◌
● คมคำคนคม ●
Life can only be understood backwards; but it must be lived forwards.
ชีวิตเป็นสิ่งที่เข้าใจได้โ ดยมองย้อนหลังเท่านั้น แต่ต้องใช้โดยไปข้างหน้า
#Soren Kierkegaard (1813 - 1855)
◌◌◌◌◌◌◌◌
Credit : วินทร์ เลียววาริณ | บทความ "วันเกิดปีที่ 3,500,000,000"
หลักฐานฟอสซิลบอกเราว่า...ช
เรารู้ว่าทุกชีวิตทุกสายพัน
ในช่วงเวลายาวนานนี้สายพันธ
ใช่! ทุกชีวิตบนโลกในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ปลา ช้าง หนู ควาย ไส้เดือน แมลงสาบ ต้นไม้ แบคทีเรีย ฯลฯ เดินทางมาจากต้นกำเนิดเดียว
เรามิได้ถือกำเนิดเป็นมนุษย
ดังนั้นการบอกว่ามนุษย์ทุกค
◌◌◌◌◌◌◌◌
ชีวิตเป็นการไหลของสายธารโม
เราคือผลรวมของวิวัฒนาการขอ
เมื่อถึง ‘วันตาย’ ของเราในฐานะมนุษย์ เราก็ยังไม่ตายอย่างแท้จริง
เรามีตัวตนของปลา ช้าง หนู ควาย ไส้เดือน แมลงสาบ ต้นไม้ แบคทีเรีย ฯลฯ ในตัวเรา เราก็คือพวกมัน พวกมันก็คือเรา ทุกชีวิตมีสายสัมพันธ์อย่าง
ดังนั้นเวลาใครด่าเรา “ไอ้ควาย” ก็สมควรยิ้มรับอย่างภาคภูมิ
◌◌◌◌◌◌◌◌
เราทุกชีวิตผ่านโลกนี้มาด้ว
อลัน บีน นักบินอวกาศนาซา ผู้เหยียบดวงจันทร์ในโครงกา
“ตั้งแต่กลับจากดวงจันทร์ ผมไม่เคยบ่นเรื่องดินฟ้าอาก
และคิดว่า ‘เราโชคดีแค่ไหนที่อยู่ที่น
นักบินอวกาศคนอื่นๆ ซึ่งเดินทางท่องอวกาศบอกเป็
◌◌◌◌◌◌◌◌
เราเป็นสิ่งเดียวกับบางสิ่ง
ดังที่ นีล เดอกราส ไทสัน นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวอเม
“เราทั้งหมดเกี่ยวข้องกันทา
ในเมื่อทุกชีวิตบนโลกมีวันเ
การฉลองวันเกิดของชีวิตทำให
และเมื่อใดที่เราเข้าใจความ
นั่นเป็นเรื่องที่เท่มาก มันทำให้เรายิ้มได้!
◌◌◌◌◌◌◌◌
● คมคำคนคม ●
Life can only be understood backwards; but it must be lived forwards.
ชีวิตเป็นสิ่งที่เข้าใจได้โ
#Soren Kierkegaard (1813 - 1855)
◌◌◌◌◌◌◌◌
Credit : วินทร์ เลียววาริณ | บทความ "วันเกิดปีที่ 3,500,000,000"
..................................................................................................
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวของค
..........................................................................................................
ข้าวเหนียวมะม่วง
............................................................................................................
พี่มาร์คชนะเลิศ เฮ้ .... เห็นยังพี่มาร์คเราผลงานเด่
ล้อเล่นนะครับ ... เอาจริงๆ ผมว่าที่น่าด่าสุดแม่งก็ไอ้
รูปจาก http://www.thairath.co.th/
.......................................................................................................
........................................................................................................
ใครจะเถียงเนยคะ /@หมูอ้วน
.............................................................................................................
"อลงกรณ์" กับ "ประชาธิปัตย์"
![]() |
ขณะนี้มีข่าวร้อนแรงเกี่ยวกับบ้านเราอยู่หลายข่าว เป็นต้นว่า ราคาทองคำร่วงอย่างน่าใจหาย ข่าวเรื่องศาลโลกกำลังพิจารณาคดีเขาพระวิหาร และข่าวประธานคณะที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ออกมาตำหนินายอลงกรณ์ พลบุตร แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาเสนอการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์อย่างเปิดเผยต่อสาธารณชน
ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ออกมาตำหนิว่า การวิพากษ์วิจารณ์พรรคไม่ควรทำอย่างเปิดเผย ควรทำในพรรค ก็แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ในทรรศนะของประธานที่ปรึกษาพรรคที่เคยเป็นหัวหน้าพรรคมาก่อนยังมีทรรศนะแบบเดิมๆ กล่าวคือพรรคประชาธิปัตย์เป็นของแกนนำหรือกรรมการ หรือกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้พรรคเป็นของสมาชิก 3 ล้านคน หรือผู้สนับสนุนอีก 8 ล้านคน หรือของประชาชนทั้งประเทศทั้งที่เป็นสมาชิก ผู้สนับสนุนและประชาชนทั่วไป
สำหรับคนทั่วไปแล้ว ถือว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นของเราด้วย เพราะพรรคเอาเงินภาษีอากรของประชาชนไปใช้ ประชาชนทั่วไปจึงควรมีสิทธิได้รับรู้ความคิดเห็นของแกนนำและกรรมการพรรคแต่ละคนด้วยว่าใครเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปพรรค เมื่อถึงคราวหย่อนบัตร ประชาชนทั้งที่เคยสนับสนุนและไม่เคยสนับสนุนจะได้ตัดสินใจถูก ไม่ใช่เป็นพรรคปิดลับ รู้กันแต่แกนนำพรรคแต่ละคนว่ามีเหตุผล มีความคิดอย่างไร ใครมีอำนาจครอบงำความคิดพรรคและผู้ที่ครอบงำนั่นมีความคิดเห็นอย่างไร ไม่ใช่เป็นพรรคปิด รู้กันแต่ในชมรม "นกแก้วนกขุนทอง" ที่หัดพูดหัดจำตามที่ผู้เลี้ยงนกสอนให้พูด
เรื่องที่สองก็คือ ต้องปฏิรูปความคิดจากการเป็นพรรคปิดมาเป็นพรรคเปิดต่อประชาชน ต่อสาธารณชน จะได้มีโอกาสฟังเสียงประชาชน ปฏิรูปความคิด ทัศนคติและการวิเคราะห์การเมืองและสังคมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มีข้อมูล หรือชาวฝรั่งเขาเรียกว่าวิเคราะห์อย่างภาวะวิสัย "objective" ไม่ใช่วิเคราะห์อย่างอัตวิสัย หรือ "Subjective" เลิกคิดเรื่องที่ว่า เงินซื้อการเมืองได้ทุกอย่าง คนไทยส่วนใหญ่ถูกมอมเมาด้วยเงินและนโยบายประชานิยม เพราะขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็ทำอย่างเดียวกัน ทำไมไม่ได้ผล เลือกตั้งทั่วไปเมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น
เมื่อ ส.ส.พรรคตรงกันข้ามออกมาสนับ
สนุนการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ก็ให้โฆษกพรรคออกมาบริภาษพรรคเพื่อไทยว่าไม่สนใจทำงานของตัว แต่มาสนใจเรื่อง "ภายใน" พรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคตัวเองวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ต้องรอสั่งซ้ายสั่งขวาทางสไกป์จากต่างประเทศ
การโต้ตอบแบบนี้ไม่มีประโยชน์ ไม่สร้างสรรค์ ไม่ได้สื่ออะไรถึงประชาชนเลย
น่ารำคาญ
ประการต่อไปคือ "จุดยืน" ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยได้รับการสนับสนุนอย่างมาก เพราะมีจุดยืนต่อต้าน "เผด็จการทหาร" แม้ว่าเมื่อทหารออกมาจริงๆ จะหายตัวไปหมดก็ตาม แต่พอทหารให้รัฐธรรมนูญก็ออกมาต่อต้านรัฐธรรมนูญและต่อต้านทหาร ซึ่งได้ใจประชาชนและขบวนการประชาธิปไตย
แต่เมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา พรรคกลับร่วมไม้ร่วมมือกับพันธมิตรสร้างกระแสนำทางให้ทหารทำการปฏิวัติรัฐประหารเสียเอง
กระทำการหลายๆ อย่างตรงข้ามกับขบวนการประชาธิปไตย เช่น ประณามเสียงส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดว่าเป็นเสียงไม่มีคุณภาพ เป็นเสียงที่ซื้อได้ ไม่มีคุณภาพเท่ากับเสียงคนกรุงเทพฯ เรียกร้องให้พระราชทานนายกรัฐมนตรีโดยใช้มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ จนได้สมญานามว่า "มาร์ค ม.7" เมื่อมีการยุบสภา ก็บิดเบือนหลักวิชา ถามว่าสภาผู้แทนราษฎรมีความผิดอะไรจึงยุบสภา ครั้งพอตนมาเป็นนายกรัฐมนตรีมีคนมาเดินขบวนจำนวนหลายแสนเรียกร้องให้ยุบสภา กลับไม่ใช้การยุบสภาให้ประชาชนตัดสินโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ แต่ใช้วิธี "ขอพื้นที่คืน" กับ "กระชับพื้นที่" ด้วยกำลังทหาร มีคนตายเกือบ 100 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน จนเป็นคดีอยู่ในศาลไทยและอาจจะต้องขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
การตัดสินใจคว่ำบาตร การเลือกตั้งทั่วไปหลังการยุบสภา ไม่ส่งตัวแทนพรรคลงสมัครเลือกตั้ง โดยหวังให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะโดยไม่มีเหตุอันควร เหมือนที่เคยคว่ำบาตรการเลือกตั้งปี 2495 เมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม นำเอารัฐธรรมนูญฉบับปี 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ที่มีบทบัญญัติให้มี ส.ส.ประเภทสองมีจำนวนเท่ากับ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะถ้าพรรคมนังคศิลาของจอมพล ป. ได้ ส.ส.จากการเลือกตั้งอีกเพียงเสียงเดียวก็ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภา
ผู้แทนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ฝ่ายค้านไม่มีทางเป็นรัฐบาลได้เลย
การคัดค้าน ขัดขวาง ถ่วงเวลาการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่มีรากฐานมาจากคณะรัฐประหาร คมช.เป็นการแสดงจุดยืนขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างตรงไปตรงมา ต่างกับเมื่อก่อนที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่เคยเรียกรัฐธรรมนูญที่มีรากฐานมาจากรัฐประหารว่าเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับฟันปลอม" และได้รับเสียงสนับสนุนจากคนในกรุงเทพฯ อย่างมากจนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516
การต่อสู้ขัดขวางการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสำหรับประชาชนที่ร่วมการชุมนุมเป็นจำนวนมาก โดยอ้างว่าจะเป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ให้ต้องได้รับโทษ เมื่อมีการเสนอกฎหมายไม่ครอบคลุม พ.ต.ท.ทักษิณและแกนนำทั้งสองฝ่าย จะนิรโทษกรรมประชาชนคนชั้นล่างที่ถูกข้อหา "ผู้ก่อการร้าย" ศาลไม่ให้ประกันตัว แต่กรณียึดสนามบินยึดสถานที่ราชการ ศาลกลับให้ประกันตัว คนยากจน คนชั้นล่าง ก็ต้องอาศัยสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ก็คัดค้านขัดขวางหน่วงเหนี่ยวเท่ากับยืนอยู่กับคนชั้นสูง ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าคนชั้นล่าง เคยแหย่ถามพรรคพวกที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์คำตอบก็คือ ต้องรักษาส่วนแบ่งของตลาดเอาไว้ มิฉะนั้นจะไม่เหลืออะไรเลย
ถ้าทัศนคติเป็นอย่างนี้ก็คงจะเป็นอย่างนี้ต่อไป พรรคพวกที่อยู่เพื่อไทยเคยบอกว่าจะไม่รุกหัวหน้าพรรคและประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์จนอยู่ไม่ได้ เพราะถ้าทั้ง 2 ท่านนี้ยังอยู่ พรรคเพื่อไทยสบาย มีเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ชนะ คดีความต่างๆ จึงไม่ต้องรีบเร่ง ไปเรื่อยๆ หัวหน้าพรรคปัจจุบันหมดวาระแล้วถ้าได้รับเลือกให้อยู่ต่อก็ดี ฟังวิธีคิดของพรรค
เพื่อไทยแล้วก็ "เศร้าใจ" เหมือนกัน
มีร้านตัดผมที่ใช้บริการมาเกือบ 30 ปีแล้วอยู่หน้าซอยอินทามระ 33 ชื่อร้าน "ชายบาร์เบอร์" คุยกันเมื่อ 5-6 ปีก่อนว่า การเมืองไทยในที่สุดจะเป็นอย่างไร ใครจะชนะ ช่างตัดผมยิ้มแล้วตอบว่า "ขบวนการประชาชน
ถ้าจุดติดแล้วไม่เคยไม่ชนะ เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น" เพราะจำนวนมีมากกว่าและนับวันจะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายตรงกันข้ามจะเล็กลงเรื่อยๆ ไม่เชื่อท่านคอยดูก็แล้วกัน ประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศต่างๆ ในโลกเป็นอย่างนั้น ฟังคำวิเคราะห์ของช่างตัดผมแล้วสะดุ้ง เพราะพูดได้คมกว่าผู้นำพรรคการเมืองหลายๆ คน ในหลายๆ พรรค
จุดยืนในเรื่องนโยบายต่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยนึกว่าคนไทยที่ทำมาหากินอยู่ในบริเวณพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือมีญาติพี่น้องอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเหมือนกัน การไปตั้งแง่กับพม่า ลาว กัมพูชา แล้วพยายามไปผูกมิตรกับมหาอำนาจอย่างอเมริกา อังกฤษ ยุโรป อาจจะมีคนไทยที่มีสิทธิออกเสียงอยู่บ้างแต่ก็ไม่มาก ไม่คุ้มกับเสียงของคนไทยในบริเวณชายแดน เสียงเชียร์จากประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านอย่านึกว่าไม่สำคัญ เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่รู้เท่านั้นเอง เพราะไม่เคยเดินเข้าไปในเขมร ลาว พม่า หรือไทยสิบสองปันนา ถ้าเดินเข้าไปคุยกับแม่ค้าตลาดสดตอนเช้าก็จะได้ความรู้สึกว่าเขาสนใจการเมืองไทยมาก เวลามีการอภิปรายในสภาไทย ประชาชนเพื่อนบ้านทั้ง พม่า ลาว กัมพูชา ฟังภาษาไทยออก เพราะเขาดูละครทีวีไทยทุกวัน ฟังการอภิปรายในสภาไทย วิพากษ์วิจารณ์พรรครัฐบาลพรรคฝ่ายค้านอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผยกว่าคนไทยเสียอีก ซึ่งสะท้อนความคิดเห็นของคนไทยตามแนวชายแดนได้ดี
สิ่งเหล่านี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยนำมาวิเคราะห์วิจัยเพื่อปฏิรูปพรรค เอาแต่เชื่ออย่างเดิมๆ รักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ พรรคตรงกันข้ามชนะเพราะมีเงินมากกว่า พรรคเรามีเงินน้อยกว่า คนอีสาน คนเหนือซื้อเสียงได้ มีอะไรพูดกันในพรรคอย่าให้ "คนนอก" ได้ยิน
"คนนอก" หมายถึงใครกันแน่
ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ออกมาตำหนิว่า การวิพากษ์วิจารณ์พรรคไม่ควรทำอย่างเปิดเผย ควรทำในพรรค ก็แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ในทรรศนะของประธานที่ปรึกษาพรรคที่เคยเป็นหัวหน้าพรรคมาก่อนยังมีทรรศนะแบบเดิมๆ กล่าวคือพรรคประชาธิปัตย์เป็นของแกนนำหรือกรรมการ หรือกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้พรรคเป็นของสมาชิก 3 ล้านคน หรือผู้สนับสนุนอีก 8 ล้านคน หรือของประชาชนทั้งประเทศทั้งที่เป็นสมาชิก ผู้สนับสนุนและประชาชนทั่วไป
สำหรับคนทั่วไปแล้ว ถือว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นของเราด้วย เพราะพรรคเอาเงินภาษีอากรของประชาชนไปใช้ ประชาชนทั่วไปจึงควรมีสิทธิได้รับรู้ความคิดเห็นของแกนนำและกรรมการพรรคแต่ละคนด้วยว่าใครเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปพรรค เมื่อถึงคราวหย่อนบัตร ประชาชนทั้งที่เคยสนับสนุนและไม่เคยสนับสนุนจะได้ตัดสินใจถูก ไม่ใช่เป็นพรรคปิดลับ รู้กันแต่แกนนำพรรคแต่ละคนว่ามีเหตุผล มีความคิดอย่างไร ใครมีอำนาจครอบงำความคิดพรรคและผู้ที่ครอบงำนั่นมีความคิดเห็นอย่างไร ไม่ใช่เป็นพรรคปิด รู้กันแต่ในชมรม "นกแก้วนกขุนทอง" ที่หัดพูดหัดจำตามที่ผู้เลี้ยงนกสอนให้พูด
เรื่องที่สองก็คือ ต้องปฏิรูปความคิดจากการเป็นพรรคปิดมาเป็นพรรคเปิดต่อประชาชน ต่อสาธารณชน จะได้มีโอกาสฟังเสียงประชาชน ปฏิรูปความคิด ทัศนคติและการวิเคราะห์การเมืองและสังคมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มีข้อมูล หรือชาวฝรั่งเขาเรียกว่าวิเคราะห์อย่างภาวะวิสัย "objective" ไม่ใช่วิเคราะห์อย่างอัตวิสัย หรือ "Subjective" เลิกคิดเรื่องที่ว่า เงินซื้อการเมืองได้ทุกอย่าง คนไทยส่วนใหญ่ถูกมอมเมาด้วยเงินและนโยบายประชานิยม เพราะขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็ทำอย่างเดียวกัน ทำไมไม่ได้ผล เลือกตั้งทั่วไปเมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น
เมื่อ ส.ส.พรรคตรงกันข้ามออกมาสนับ
สนุนการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ก็ให้โฆษกพรรคออกมาบริภาษพรรคเพื่อไทยว่าไม่สนใจทำงานของตัว แต่มาสนใจเรื่อง "ภายใน" พรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคตัวเองวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ต้องรอสั่งซ้ายสั่งขวาทางสไกป์จากต่างประเทศ
การโต้ตอบแบบนี้ไม่มีประโยชน์ ไม่สร้างสรรค์ ไม่ได้สื่ออะไรถึงประชาชนเลย
น่ารำคาญ
ประการต่อไปคือ "จุดยืน" ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยได้รับการสนับสนุนอย่างมาก เพราะมีจุดยืนต่อต้าน "เผด็จการทหาร" แม้ว่าเมื่อทหารออกมาจริงๆ จะหายตัวไปหมดก็ตาม แต่พอทหารให้รัฐธรรมนูญก็ออกมาต่อต้านรัฐธรรมนูญและต่อต้านทหาร ซึ่งได้ใจประชาชนและขบวนการประชาธิปไตย
แต่เมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา พรรคกลับร่วมไม้ร่วมมือกับพันธมิตรสร้างกระแสนำทางให้ทหารทำการปฏิวัติรัฐประหารเสียเอง
กระทำการหลายๆ อย่างตรงข้ามกับขบวนการประชาธิปไตย เช่น ประณามเสียงส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดว่าเป็นเสียงไม่มีคุณภาพ เป็นเสียงที่ซื้อได้ ไม่มีคุณภาพเท่ากับเสียงคนกรุงเทพฯ เรียกร้องให้พระราชทานนายกรัฐมนตรีโดยใช้มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ จนได้สมญานามว่า "มาร์ค ม.7" เมื่อมีการยุบสภา ก็บิดเบือนหลักวิชา ถามว่าสภาผู้แทนราษฎรมีความผิดอะไรจึงยุบสภา ครั้งพอตนมาเป็นนายกรัฐมนตรีมีคนมาเดินขบวนจำนวนหลายแสนเรียกร้องให้ยุบสภา กลับไม่ใช้การยุบสภาให้ประชาชนตัดสินโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ แต่ใช้วิธี "ขอพื้นที่คืน" กับ "กระชับพื้นที่" ด้วยกำลังทหาร มีคนตายเกือบ 100 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน จนเป็นคดีอยู่ในศาลไทยและอาจจะต้องขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
การตัดสินใจคว่ำบาตร การเลือกตั้งทั่วไปหลังการยุบสภา ไม่ส่งตัวแทนพรรคลงสมัครเลือกตั้ง โดยหวังให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะโดยไม่มีเหตุอันควร เหมือนที่เคยคว่ำบาตรการเลือกตั้งปี 2495 เมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม นำเอารัฐธรรมนูญฉบับปี 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ที่มีบทบัญญัติให้มี ส.ส.ประเภทสองมีจำนวนเท่ากับ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะถ้าพรรคมนังคศิลาของจอมพล ป. ได้ ส.ส.จากการเลือกตั้งอีกเพียงเสียงเดียวก็ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภา
ผู้แทนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ฝ่ายค้านไม่มีทางเป็นรัฐบาลได้เลย
การคัดค้าน ขัดขวาง ถ่วงเวลาการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่มีรากฐานมาจากคณะรัฐประหาร คมช.เป็นการแสดงจุดยืนขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างตรงไปตรงมา ต่างกับเมื่อก่อนที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่เคยเรียกรัฐธรรมนูญที่มีรากฐานมาจากรัฐประหารว่าเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับฟันปลอม" และได้รับเสียงสนับสนุนจากคนในกรุงเทพฯ อย่างมากจนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516
การต่อสู้ขัดขวางการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสำหรับประชาชนที่ร่วมการชุมนุมเป็นจำนวนมาก โดยอ้างว่าจะเป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ให้ต้องได้รับโทษ เมื่อมีการเสนอกฎหมายไม่ครอบคลุม พ.ต.ท.ทักษิณและแกนนำทั้งสองฝ่าย จะนิรโทษกรรมประชาชนคนชั้นล่างที่ถูกข้อหา "ผู้ก่อการร้าย" ศาลไม่ให้ประกันตัว แต่กรณียึดสนามบินยึดสถานที่ราชการ ศาลกลับให้ประกันตัว คนยากจน คนชั้นล่าง ก็ต้องอาศัยสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ก็คัดค้านขัดขวางหน่วงเหนี่ยวเท่ากับยืนอยู่กับคนชั้นสูง ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าคนชั้นล่าง เคยแหย่ถามพรรคพวกที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์คำตอบก็คือ ต้องรักษาส่วนแบ่งของตลาดเอาไว้ มิฉะนั้นจะไม่เหลืออะไรเลย
ถ้าทัศนคติเป็นอย่างนี้ก็คงจะเป็นอย่างนี้ต่อไป พรรคพวกที่อยู่เพื่อไทยเคยบอกว่าจะไม่รุกหัวหน้าพรรคและประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์จนอยู่ไม่ได้ เพราะถ้าทั้ง 2 ท่านนี้ยังอยู่ พรรคเพื่อไทยสบาย มีเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ชนะ คดีความต่างๆ จึงไม่ต้องรีบเร่ง ไปเรื่อยๆ หัวหน้าพรรคปัจจุบันหมดวาระแล้วถ้าได้รับเลือกให้อยู่ต่อก็ดี ฟังวิธีคิดของพรรค
เพื่อไทยแล้วก็ "เศร้าใจ" เหมือนกัน
มีร้านตัดผมที่ใช้บริการมาเกือบ 30 ปีแล้วอยู่หน้าซอยอินทามระ 33 ชื่อร้าน "ชายบาร์เบอร์" คุยกันเมื่อ 5-6 ปีก่อนว่า การเมืองไทยในที่สุดจะเป็นอย่างไร ใครจะชนะ ช่างตัดผมยิ้มแล้วตอบว่า "ขบวนการประชาชน
ถ้าจุดติดแล้วไม่เคยไม่ชนะ เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น" เพราะจำนวนมีมากกว่าและนับวันจะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายตรงกันข้ามจะเล็กลงเรื่อยๆ ไม่เชื่อท่านคอยดูก็แล้วกัน ประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศต่างๆ ในโลกเป็นอย่างนั้น ฟังคำวิเคราะห์ของช่างตัดผมแล้วสะดุ้ง เพราะพูดได้คมกว่าผู้นำพรรคการเมืองหลายๆ คน ในหลายๆ พรรค
จุดยืนในเรื่องนโยบายต่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยนึกว่าคนไทยที่ทำมาหากินอยู่ในบริเวณพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือมีญาติพี่น้องอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเหมือนกัน การไปตั้งแง่กับพม่า ลาว กัมพูชา แล้วพยายามไปผูกมิตรกับมหาอำนาจอย่างอเมริกา อังกฤษ ยุโรป อาจจะมีคนไทยที่มีสิทธิออกเสียงอยู่บ้างแต่ก็ไม่มาก ไม่คุ้มกับเสียงของคนไทยในบริเวณชายแดน เสียงเชียร์จากประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านอย่านึกว่าไม่สำคัญ เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่รู้เท่านั้นเอง เพราะไม่เคยเดินเข้าไปในเขมร ลาว พม่า หรือไทยสิบสองปันนา ถ้าเดินเข้าไปคุยกับแม่ค้าตลาดสดตอนเช้าก็จะได้ความรู้สึกว่าเขาสนใจการเมืองไทยมาก เวลามีการอภิปรายในสภาไทย ประชาชนเพื่อนบ้านทั้ง พม่า ลาว กัมพูชา ฟังภาษาไทยออก เพราะเขาดูละครทีวีไทยทุกวัน ฟังการอภิปรายในสภาไทย วิพากษ์วิจารณ์พรรครัฐบาลพรรคฝ่ายค้านอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผยกว่าคนไทยเสียอีก ซึ่งสะท้อนความคิดเห็นของคนไทยตามแนวชายแดนได้ดี
สิ่งเหล่านี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยนำมาวิเคราะห์วิจัยเพื่อปฏิรูปพรรค เอาแต่เชื่ออย่างเดิมๆ รักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ พรรคตรงกันข้ามชนะเพราะมีเงินมากกว่า พรรคเรามีเงินน้อยกว่า คนอีสาน คนเหนือซื้อเสียงได้ มีอะไรพูดกันในพรรคอย่าให้ "คนนอก" ได้ยิน
"คนนอก" หมายถึงใครกันแน่
หน้า 6,มติชนรายวัน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2556
........................................................................................................
http://www.youtube.com/watch?v=8cynybkBXAs&feature=share
.......................................................................................................
................................................................................................
ชั้นหนังสือล่องหน http://www.iurban.in.th/
.............................................................................................................
อัจฉริยภาพทางการเงิน ...
เมื่อวานหลังจากโพสตัวอย่าง ของนิทานการเงินให้หลายๆท่า นได้ลองอ่านกัน มีบางท่านสอบถามหลังไมค์มาว ่า
"มันไม่ยากเกินไปเหรอ"
"เด็กจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ไ ด้อย่างไร"
"มันเร็วเกินไปไหมที่จะเรีย นเรื่องพวกนี้"
เรื่องยากเกินไปนั้น ผมเคยทดลองแล้วครับ เพราะผมเคยจัดแคมป์ MONEY GENIUS สอนเด็กๆ ชั้น ป.4 ร่วม 100 ชีวิต เรื่องเกี่ยวกับการเงินทุกอ ย่างตั้งแต่ เงินเฟ้อ การออม ดอกเบี้ยทบต้น รวมไปถึงการลงทุนในหุ้น และธุรกิจ ฯลฯ
ก่อนเปิดคอร์ส ... ทีมงานซีเอ็ดบางคนก็บอกว่า ไม่ไหวหรอก มันยากไป เด็กที่ไหนจะอดทนเรียนกับสิ ่งเหล่านี้
แต่ด้วยเกมที่ผมออกแบบให้เล ่น ... ผลที่ออกมาทำให้ทีมงานต้องอ ้าปากค้าง เพราะเด็กทำได้ พวกเขาคำนวณดอกเบี้ยทบต้นที ่ผู้ใหญ่บางคนยังไม่เคยเข้า ใจได้สบาย
พวกเขาเลือกลงทุนในหุ้นได้จ ากสิ่งที่เขารู้จักใกล้ตัว (วิธีนี้กูรูหุ้นอย่างปีเตอ ร์ ลินซ์ก็ใช้) อะไรที่ไม่รู้จักเขาก็ไม่เล ือก ไม่ลงทุน
พวกเขาได้เรียนรู้โทษของการ ใช้บัตรเครดิตเกินตัว และร้องกันระงมห้องทุกครั้ง ที่ครบเดือนแล้วต้องผ่อนหนี ้บัตรเครดิต
พวกเขารู้ว่า รถยนต์ และบ้าน แท้จริงแล้วเป็น "หนี้สิน" ไม่ใช่ "ทรัพย์สิน" อย่างที่พอแม่เขาเชื่อ
ที่ผมชอบที่สุด ก็คือ บทสรุปหลังจากจบแคมป์ เด็กๆตอบได้น่ารัก น่าเอ็นดู จนผู้ใหญ่หลายคนต้องอมยิ้ม
"เงินเฟ้อทำให้เราออมของเรา หายไป" (ภาษาเด็กๆนิดนึง)
"หนี้จนทำให้เรายิ่งจน"
"การลงทุนที่ยาวนานทำให้เรา ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้ น"
"คนเราใช้จ่ายต้องหัดคิดถึง วันข้างหน้า"
"การลงทุนมีความเสี่ยง ผลการลงทุนอาจไม่เป็นไปตามท ี่เราคาดได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีแผนการท ี่ดีพอ"
ฯลฯ
ได้ยินแบบนี้แล้วเราควรจะรอ ให้เค้าเรียนจบมหาวิทยาลัยแ ล้วค่อยสอนเรื่องเงินมั๊ยคร ับ
ทั้งหมดเป็นการเรียนรู้จาก "ความผิดพลาด" ของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงเรียนไม่ อยากให้เกิด ทั้งๆที่มันคือกระบวนการเรี ยนรู้ในโลกแห่งความเป็นจริง
สนใจ --> คิด --> ทดลองทำ --> ผิดพลาด --> เรียนรู้ที่จะแก้ไข --> ทดลองทำใหม่ ...
ผมเชื่อเสมอว่าเด็กๆของเราเ กิดมาพร้อมกับ "อัจฉริยภาพทางการเงิน" แต่อัจฉริยภาพดังกล่าว พร้อมถูกบดบัง ด้วยทั้งจากวิธีคิดทางการเง ินที่ไม่ถูกต้องของพ่อแม่ส่ วนหนึ่ง และสังคมรอบตัวอีกส่วนหนึ่ง
ถ้าไม่สร้างภูมิคุ้มกันที่ด ีไว้ อัจฉริยภาพนี้จะหายไปเมื่อเ ขาโตขึ้น กลายเป็นคนที่ไม่มีเหตุมีผล ในการใช้จ่าย และประสบปัญหาทางการเงินในช ีวิตวันข้างหน้า
เชื่อผมเถอะครับว่าเด็กๆของ เราเรียนรู้ได้
มาช่วยกันสร้างเด็กไทยให้มี ความฉลาดทางการเงินกันนะครั บ
เมื่อวานหลังจากโพสตัวอย่าง
"มันไม่ยากเกินไปเหรอ"
"เด็กจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ไ
"มันเร็วเกินไปไหมที่จะเรีย
เรื่องยากเกินไปนั้น ผมเคยทดลองแล้วครับ เพราะผมเคยจัดแคมป์ MONEY GENIUS สอนเด็กๆ ชั้น ป.4 ร่วม 100 ชีวิต เรื่องเกี่ยวกับการเงินทุกอ
ก่อนเปิดคอร์ส ... ทีมงานซีเอ็ดบางคนก็บอกว่า ไม่ไหวหรอก มันยากไป เด็กที่ไหนจะอดทนเรียนกับสิ
แต่ด้วยเกมที่ผมออกแบบให้เล
พวกเขาเลือกลงทุนในหุ้นได้จ
พวกเขาได้เรียนรู้โทษของการ
พวกเขารู้ว่า รถยนต์ และบ้าน แท้จริงแล้วเป็น "หนี้สิน" ไม่ใช่ "ทรัพย์สิน" อย่างที่พอแม่เขาเชื่อ
ที่ผมชอบที่สุด ก็คือ บทสรุปหลังจากจบแคมป์ เด็กๆตอบได้น่ารัก น่าเอ็นดู จนผู้ใหญ่หลายคนต้องอมยิ้ม
"เงินเฟ้อทำให้เราออมของเรา
"หนี้จนทำให้เรายิ่งจน"
"การลงทุนที่ยาวนานทำให้เรา
"คนเราใช้จ่ายต้องหัดคิดถึง
"การลงทุนมีความเสี่ยง ผลการลงทุนอาจไม่เป็นไปตามท
ฯลฯ
ได้ยินแบบนี้แล้วเราควรจะรอ
ทั้งหมดเป็นการเรียนรู้จาก "ความผิดพลาด" ของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงเรียนไม่
สนใจ --> คิด --> ทดลองทำ --> ผิดพลาด --> เรียนรู้ที่จะแก้ไข --> ทดลองทำใหม่ ...
ผมเชื่อเสมอว่าเด็กๆของเราเ
ถ้าไม่สร้างภูมิคุ้มกันที่ด
เชื่อผมเถอะครับว่าเด็กๆของ
มาช่วยกันสร้างเด็กไทยให้มี
......................................................................................................
......................................................................................................
..............................................................................................................




















ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น