วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

25/04/2556



นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์
"ธนูเลือกดินแดน"

สงครามแก่งแย่งดินแดนที่ดำเนินมาหลายสิบปียังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ห้าขุนพลที่แตกคอกันเองออกมาตั้งกองทัพเล็กๆก่อสงครามมากมายหลายสมรภูมิ ทั้งห้าต่างรบพุ่งกันโดยลืมไปว่าพวกเขาเคยเป็นคนในดินแดนเดียวกัน

แม้ทหารแต่ละฝ่ายจะล้มตายไปมากมาย แต่ก็ยังไม่ปรากฏร่องรอยว่าใครจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ มีแต่ความสูญเสียเท่านั้นที่เป็นร่องรอยอันชัดเจนที่สุด

ในที่สุด ห้าขุนพลก็นัดกันเพื่อเจรจาสงบศึก

“แผ่นดินนี้กว้างใหญ่ไพศาลเหลือคณา” ขุนพลคนแรกพูดขึ้น “เราจะรบราฆ่าฟันเพื่อแก่งแย่งไปใย ถึงต่อให้เราแบ่งดินแดนของตัวเองเพื่อไปปกครอง ดินแดนของแต่ละคนก็กว้างใหญ่เกินกว่าที่เราจะดูแลทั่วถึง”

ขุนพลอีกสี่คนมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าน้อยๆเห็นด้วย การสู้รบอันเนิ่นนานที่ผ่านมาสร้างความเหนื่อยล้าให้กับพวกเขาและเหล่าทหาร

“ถ้าทุกคนเห็นด้วย ข้าจะขอเสนอให้พวกเราแบ่งดินแดนกัน เราจะไม่รบราฆ่าฟันกันอีก” ขุนพลคนที่หนึ่งเสนอ “ท่านขุนพลทั้งหลาย พวกเราจงมายิงธนูคนละหนึ่งดอกไปยังดินแดนที่ต้องการกันเถิด ธนูของผู้ใดปักลงตรงที่ใด ก็หมายถึงสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะครอบครองดินแดนแห่งนั้น”

เสียงพึมพำอย่างพึงใจของเหล่าทหารดังขึ้นเบาๆ

ขุนพลคนที่สองไม่พูดพล่ามทำเพลง เขาคว้าธนูออกมาแล้วก็น้าวศรยิงไปที่ภูเขาลูกที่อยู่ใกล้ที่สุด ทันทีที่ลูกธนูปักลงตรงยอดเขา เขาก็ประกาศออกมา “ภูเขาลูกนั้นคือดินแดนของข้า ข้าจะสร้างเมืองบนภูเขา” เสียงเหล่าทหารของเขาตะโกนรับเสียงประกาศของเขา

ขุนพลคนที่สามเห็นดังนั้นก็หยิบธนูยิงออกมาบ้าง และเช่นกันเมื่อลูกธนูของเขาปักลงที่ริมแม่น้ำ เขาก็ประกาศออกมาด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กัน“แผ่นดินของข้าอยู่ที่ริมแม่น้ำนั้น สิ่งใดก็ตามที่อยู่ที่นั่น ข้าจะเป็นเจ้าของมันทั้งหมด” เสียงของเขาดังกังวานและตามต่อด้วยเสียงตะโกนดีใจของทหารของเขา

ขุนพลคนที่สี่ไม่รอช้า เขายิงธนูออกไปที่ที่ราบระหว่างภูเขากับแม่น้ำ “ดินแดนของข้าอยู่ที่นั่น ขอให้ใครอย่ามาบุกรุกดินแดนของข้า ข้าและพวกของข้าจะรบจนตัวตาย” เสียงทหารตะโกนร้องรับอย่างฮึกเหิม

ระหว่างที่เหล่าทหารกำลังส่งเสียงอื้ออึงวิพากษ์วิจารณ์ดินแดนของตัวเอง ขุนพลคนที่ห้าก็กำลังหันรีหันขวางเหมือนว่ากำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะยิงไปทางไหนดี ขุนพลคนที่หนึ่งจึงถือโอกาสนั้นหยิบธนูขึ้นมา

ทุกคนหยุดส่งเสียงแล้วลุ้นกันว่าเขาจะเล็งไปที่ใด

เขาส่ายธนูไปมา แล้วก็หยุดอยู่ที่ทิศทางที่จะยิงไปที่ทะเล แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ หันธนูกลับมาเล็งที่พื้นดินที่เขายืนอยู่ แล้วเขาก็ปล่อยลูกธนูของเขาพุ่งลงปักใกล้ๆกับเท้าของเขา

ทุกคนแปลกใจในการตัดสินใจเลือกดินแดนของขุนพลคนที่หนึ่ง เพราะสถานที่ที่ทุกคนยืนอยู่นี้เป็นแค่สมรภูมิข้างสันเขาเล็กๆ แล้วถ้ามันเล็กขนาดนี้มันจะสร้างเมืองอะไรได้

“ผืนดินตรงนี้เป็นของข้า” เสียงของเขาดังก้องไปทั่ว “ดังนั้นใครก็ตามที่ตอนนี้ยืนอยู่บนผืนดินตรงนี้ จึงหมายความว่าพวกเขาเป็นคนของข้า เป็นข้าทาสบริวารของข้า นั่นหมายความว่าสมบัติที่พวกเขามีทั้งหมดซึ่งรวมไปถึงผืนดินที่เขาครอบครอบจึงต้องเป็นของข้าด้วย” ขาดคำของเขา เหล่าทหารของขุนพลคนที่หนึ่งก็ชักดาบออกมาอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันไว้ แล้วทุกคนก็ตวัดดาบจ่อไปที่คอหอยของทหารของขุนพลคนอื่นๆ

ระหว่างที่ทุกคนกำลังตกใจในเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ขุนพลคนที่ห้าจึงหยิบธนูขึ้นมา “ช้าก่อนท่านนักรบทั้งหลาย ข้ายังไม่ได้ใช้สิทธิ์ยิงธนูเพื่อเลือกดินแดนเลย”

พูดจบ เขาก็ยิงธนูเข้าปักกลางอกของขุนพลคนที่หนึ่ง และแล้วสงครามก็ดำเนินต่อไป
..........................................................................................

.....................................................................................................................


"เอาจริงๆ ผมพูดนานแล้วนะว่า "ความสามารถในการแยกแยะว่าอะไรจริงไม่จริง" แม่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำคัญที่สุดด้วยซ้ำในยุคนี้

คือคุณอยู่ในยุคที่ข้อมูลแม่งไหลบ่ามาเยอะสัสหมา ไม่มีทักษะนี้ชีวิตคุณจะชิบหายเหี้ยๆ

ป.ล. คือผมไม่คิดว่าคนที่เน้น "ความสามารถในการแยกแยะสิ่งผิดชอบชั่วดี" ทั้งหลายแม่งจะเป็นเหยื่อของการหลอกลวงในนามของความดีนะ คือมันแยกเป็นแต่อะไร ดี/เลว แต่แยก จริง/เท็จ ไม่เป็น"

มิตรสหายท่านหนึ่ง

.....................................................................................................................



Supapong Wanitpongpan Status ของ :จ่าพิชิต ขจัดพาลชน 
ฮิตเลอร์ไม่ชนะการเลือกตั้ง แต่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีนะครัฟ แหม่ (เรื่องจริงนะ ลองอ่านในประวัติศาสตร์ดู)

...............................................................................................................




การวางแผนที่ดี ก่อนจะทำการใดๆ ย่อมส่งผลให้การนั้นๆสำเร็จได้ด้วยดี
 
.............................................................................................................


พ่อขาโจรนี่มันเป็นยังไงหรอคะพ่อ เด็กหญิงไร้เดียงสาเอ่ยปากถามพ่อด้วยความสงสัยจากเบาะข้างคนขับตามประสาเด็กขณะที่นั่งรถกำลังเดินทางกลับบ้าน พ่อก็พยามอธิบายให้ลูกสาวเข้าใจง่ายๆว่าโจรมีลักษณะเป็นเช่นไร

หนึ่งเลยลูกโจรเนี่ย ชอบปล้นหรือขโมยเอาทรัพย์สินเงินทองของมีค่าจากเราไป ไม่ว่าจะขู่กรรโชกหรือจี้ปล้น โดยใช้กำลังหรือคำข่มขู่

สองโจรเนี่ย ชอบเล่นเราทีเผลอตอนที่เราไม่ทันตั้งตัวหรือตอนที่เราไม่ทันได้ระมัดระวังตัวบางทีอาจจะซุ่มอยู่มุมตึก พุ่มไม้ หรือแอบอยู่ รอให้เราเดินเข้าไปใกล้ๆค่อยลงมือ ปล้นเรา

สามสำคัญเลยโจรเนี่ย ชอบปิดหน้าปิดตาทำให้เราไม่รู็ว่ามันเป็นใครจำมันไม่ค่อยได้ ไม่รู้จะไปเอาเรื่องกับใคร

หลักใหญ่ๆก็น่าจะมีแค่นี้แหละลูกเข้าใจไหมค่ะ

เข้าใจคะคุณพ่อ ว่าแต่นั้นหรือเปล่าคะโจร พร้อมกับยกมือชี้ไปทางตำรวจที่ใส่แว่นตาดำใส่หมวกจราจรสวมหน้ากากอานามัยมิดชืด ยืนรอกดักซุ่มอยู่หลังป้ายหาเสียงและเสาไฟฟ้าเพื่อจับหมวกกันน๊อคและรถบรรทุกที่ผ่านไปมา
ฺัByอนันตกาล

...........................................................................................................




ชาวพุทธต้องกล้าพูดความจริง

ชาวพุทธเราต้องเป็นคนใจกล้า ความขลาด...ไม่กล้าพูดความจริงนั้น มิใช่วิสัยของลูกตถาคตผู้รู้ความจริง พระองค์ประกาศความจริงอยู่ตลอดพระชนมายุของพระองค์ โดยเฉพาะนักบวชในพระพุทธศาสนา ควรทำตนให้เป็นนักบวชที่แท้สักหน่อยอย่าทำตนเป็นตัวเสฉวน อันตัวเสฉวนนั้นคือปูชนิดหนึ่งเกิดที่ริมทะเลน้ำเค็ม มันชอบกินหอยเป็นอาหาร ถ้ามันจับหอยได้แล้วมันกินเลย พอกินหมดแล้วก็อาศัยเปลือกหอยนั้นเป็นเรือนอยู่ คลานปะปนไปกับหอยอีก พอหอยเผลอก็จับกินเสียอีก ตัวเสฉวนไม่ใช่หอย แต่มันอาศัยอยู่ในเรือนร่างของหอยเพื่อทำลายหอยต่อไป

ภิกษุเราที่อาศัยผ้าเหลืองของพระพุทธองค์ แต่มิได้ทำกิจของพระพุทธศาสนา ก็มีสภาพประดุจตัวเสฉวน ฉันนั้นพวกพระประเภทตัวเสฉวนนั้นก็เป็นพระประเภททำลายพระศาสนา เขาอาศันชื่อเสียงของพระรัตนตรัยไปทำพิธีปลุกเสกอะไรต่างๆนานา ทำคนทั้งหลายให้หลงผิดเข้าใจผิด หารู้ไม่ว่าตนกำลังทรยศต่อพระพุทธธรรมอยู่แล้ว

ขอให้พวกเราทั้งหลาย...ได้เลิกกระทำการอันน่าบัดสีนั้นเสียเถิด แต่จงช่วยกันบำรุงพระพุทธศาสนาไปให้ถูกทางต่อไปจงช่วยกันประกาศพระพุทธศาสนาของแท้ของพระพุทธเจ้า ให้ชาวโลกได้เข้าใจกันเถิด บัดนี้พุทธศักราชของเราได้ ๒๕๐๒ ปีแล้ว เมื่อปี ๒๕๐๐ เราได้ทำการฉลองกันเป็นการใหญ่ ทำกันแต่เปลือกผิวเผินเท่านั้นผลได้แก่พระศาสนามีเพียงเล็กน้อย ขอให้เราจงมาร่วมใจกันฉลองใหม่ด้วยการตั้งต้นชีวิตกันใหม่ เป็นชีวิตที่เดินตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง นี่เป็นคำเชิญชวนด้วยความปรารถนาดีต่อพี่น้องทั้งหลาย

มีบางคนกล้ากล่าวค้านว่า การที่ตนทำพิธีรีตองเช่นนั้นก็เพื่อประโยชน์ของคนที่ยังหลงยังเข้าใจผิดอยู่ จะอธิบายให้เขาทราบความจริงก็เกรงว่าเขาจะไม่เข้าใจ จึงปล่อยไว้อย่างนั้นอีกประการหนึ่งเขาคิดว่า พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่สูงเกินที่คนเหล่านั้นจักเข้าใจก็เลยไม่อธิบายกันให้เข้าใจ เขามาขอให้ทำพิธีอะไรก็ทำไปเท่านั้น

การกระทำอย่างนี้เป็นการเหมาะหรือไม่ ขอให้เรานึกถึงเด็กนักเรียนบ้างเถิด อันธรรมดาของเด็กนั้นในชั้นก็ยังไม่รู้อะไรเลยครูจึงพยายามสอนให้รู้ให้เข้าใจไปโดยลำดับ จนผ่านชั้นต่างๆได้ ตามหลักสูตรที่ทางการได้วางไว้ ถ้าหากครูจะมาคิดเสียว่ายากแก่เขาแล้วไม่พยายามสอน เด็กนั้นจะก้าวหน้าไปได้อย่างไรเล่าในเรื่องการศึกษาศาสนาก็เหมือนกัน ถ้าเรานึกว่าเขาไม่เข้าใจแล้วไม่พยายามสอนเขา เขาจะก้าวหน้าในการศาสนาได้อย่างไร ขอให้ลองคิดดูสักหน่อยเถิด ท่านจะมองเห็นเอง

ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง เช่น คนๆหนึ่งมาหาพระและบอกว่า ตนเคราะห์ร้าย...ขอรดน้ำมนต์สักหน่อย พระก็รดให้โดยมิได้ไต่ถามว่าเคราะห์ร้ายเรื่องอะไร ไม่ได้แนะแนวทางแก้ทุกข์ให้แก่เขา การทำพิธีรดน้ำมนต์ช่วยกำลังใจได้เพียงนิดเดียวเท่านั้นแต่ถ้าสนทนาให้เขาเข้าใจเหตุผลเขาคงฉลาดขึ้น และเลิกละจากการกระทำความทุกข์ใส่ตนก็ได้

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปปาฐกถาที่นครสวรรค์ พอพูดจบก็มีคนมาหาและขอให้เป่ากระหม่อมให้หน่อย ข้าพเจ้าจึงตอบแก่เขาว่าเป่าให้ชั่วโมงครึ่งก็ควรจะพอแล้ว ปฏิบัติตามคำสอนนั่นแหละคือพรอันประเสริฐ และจะช่วยตัวเขาได้ต่อไป เขาจึงถอยกลับออกไป ...น่าสงสารคนประเภทนี้แท้ๆ!!

หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ
ปฏิวัติความงมงาย : เลิกเชื่อไร้เหตุผล พึ่งตนและพึ่งธรรม (หน้าที่ ๒๐-๒๑)

.......................................................................................................

................................................................................................................


Igat ore tok jadi berito, sangkut kain jadi berito besa
(การควบคุมตัวไม่เป็นข่าว การแขวนผ้าเป็นข่าวใหญ่)

ท่านลองถามชาวบ้านมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า คุณคิดอย่างไรกับการแขวนป้ายผ้าที่มีข้อความเป็นภาษามลายูที่ใช้ตัวอักษรรูมี สำหรับชาวบ้าน เหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา และไม่ใช่เรื่องที่กระทบชีวิตของพวกเขา เป็นไปได้ว่า ชาวบ้านอาจไม่รู้สึกอะไรเลย แต่สำหรับสื่อมวลชนไทย นี่คือเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งเพราะ เข้าใจผิดเองว่าป้ายผ้าเหล่านี้มีข้อความภาษามลายูว่า “ต้านกระบวนการสันติภาพ” ฉะนั้น นี่คือข่าวที่ขายได้ ผมขอแนะนำให้สื่อมวลชนทำรายงานข่าวตามข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ใช้จินตนาการหรือการตีความเกินเหตุ สื่อภาษาอังกฤษก็ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะสื่อเหล่านี้มีผู้อ่านจากประเทศที่ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาประจำชาติ ได้แก่ มาเลเซีย อิินโดนีเซีย บรูไน และสิงคโปร์ ถ้านักข่าวสื่อภาษาอังกฤษเขียนรายงานข่าวตามความเข้าใจผิดหรือการตีความเอง ผู้อ่านเหล่านี้จะรู้ได้ทันทีและสรุปว่า รายงานชิ้นนั้นไม่มีุคุณภาพ ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วฝ่ายสื่อมวลชนไทยก็ต้องทำการเตียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนโดยให้ทุกสำนักข่าวมีนักข่าวที่สามารถเข้าใจภาษาประเทศเพื่อนบ้านของอาเซียน โดยเฉพาะภาษามลายู (ไม่ใช่ภาษาบาฮาซา) ซึ่งเป็นภาษาที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนอย่างน้อยสำนักและคน

แม้ว่าข่าวการแขวนผ้านั้นดังขนาดไหนก็ตาม สำหรับชาวบ้านในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องใช้ชีวิตภายใต้กฎหมายพิเศษสามฉบับ (กฎอัยการศึก, พ.ร.ก. กรณีฉุกเฉิน และพ.ร.บ. ความมั่นคง) มีเหตุการณ์อีกเหตุการหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันที่กระทบจิตใจมากกว่าการแขวนป้ายผ้าห นั่นคือการควบคุมตัวของครูสาวตาดีกา (โรงเรียนสอนศาสนาซึ่งใช้ภาษามลายูเป็นหลัก) การควบคุมตัวนั้นเกิดขึ้นในขณะที่ครูคนนั้นเข้าดำิเินินกรรมค่ายฤดูร้อนของโรงเรียน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงควบคัมตัวครูดังกล่าวโดยให้สาเหตุว่า มีคนร้ายหนีเข้าในบริเวณของค่าย (รายละเอียด ขอดูเพจในลิงค์นี้http://www.deepsouthwatch.org/node/4167)

การควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่สามจังหวัดมักจะเกิดขึ้นโดยไม่มีหมายจับ เพราะตามกฎอัยการศึก ไม่ใช่พ.ร.ก. กรณีฉุกเฉนฯ ซึ่งต้องมีหมายจับในการควบคุมตัวตามกำหนด ผมเคยถามคนที่เคยถูกควบคุมตัวหลายคนว่า ในขณะที่คุณถูกควบคุมตัวมีหมายจับไหม ทุกคนตอบว่า ไม่มี ในกรณีเช่นนี้ มายจับตามพ.ร.ก. จะออกภายในการควบคุมตัว 7 วันตามกำหนดของกฎอัยการศึก และการควบคุมตัวก็ต่ออายุอีก 30 วันตามพ.ร.ก.

สำหรับชาวบ้าน หนึ่งในสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิตที่สุดคือการควบคุมตัว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมตัวของตัวเองหรือสมาชิกครอบครัวหรือมิตรสหาย เพราะเสรีภาพจะถูกจำกัดเป็นเวลา37 วัน อาจมีการซ้อมทรมานในช่วงการสอบสวนด้วย นอกจากนี้การควบคุมตัวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของคนที่ถูกควบคัมตัวต่อไป เพราะสังคมภายนอกก็จะมองว่า คนที่เคยถูกควบคุมตัวนั้นเป็น “แนวร่วม” ทั้งๆ ที่ไม่มีส่วนรวมใดๆ ในการก่อความไม่สงบ ตามข้อมูลจากศูนย์ทนายความมุสลิม 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ของคดีความมั่นคงถูกยกฟ้อง ซึ่งหมายความว่า การควบคุมตัวส่วนใหญ่เป็นการจับคนผิด

การควบคุมตัวเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชาวบ้าน แต่แทบไม่มีสื่อกระแสหลักที่รายงานเกี่ยวกับการควบคุมตัวครูสาวตาดีกาครั้งนี้ ทั้งๆ ที่มันเป็นเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจของคนในพื้นที่อย่างรุนแรง โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่มีสถานะเดียวกันกับครูสาวตาดีกาที่ถูกควบคุมตัว ด้วยเหตุนี้ บรรดานักศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดและภูมิภาคอื่นๆ กว่า 500 คน รวมตัวกันเรียกร้องความเป็นธรรม กว่าจะเหตุการณ์การควบคุมตัวครูสาวคนนั้นเป็นเหตุการณ์ที่รู้จักกัน ต้องมีนักศึกษาที่จัดการประท้วงใหญ่ บริเวณมัสยิดกลางยะลา เพราะที่เป็นข่าวนั้นไม่ใช่การควบคุมตัว แต่เป็นการประท้วง

โดยส่วนตัว ในฐานะเป็นคนที่มาจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพการแสดงออกความคิด ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมการแสดงความคิดเห็นต้องเป็นข่าวใหญ่ แต่การควบคุมตัวไม่เป็นข่าว

ในสายตาของชาวบ้้านและบรรดานักศึกษาที่เรียกร้องความเป็นธรรม เหตุการณ์การควบคุมตัวครูสาวตาดีกาเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงซึ่งเกิดขึ้นประจำในพื้นที่สามจังหวัด แต่เหตุการณ์เหล่านี้แทบจะไม่มีการรายงานข่าว

กระบวนการสันติภาพเป็นกระบวนการเพื่อสร้างความยุติธรรม สื่อมวลชนก็สามารถสวมบทบาทที่สำคัญได้เนื่องจากการติดตามอย่างใกล้ชิดและรายงานข่าวอย่างต่อเนื่อง สามารถเป็น deterrent (สิ่งขัดขวางไม่ให้บ่างสิ่งบางอย่างไม่เกิดขึ้น) ของการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม และการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาชายแดนภาคใต้ แต่จนถึงบัดนี้ สื่อมวลชนรายใหญ่ของไทยส่วนใหญ่ยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่จะเป็น deterrent ที่จริงแล้ว สิ่งที่สื่อมวลชนรายใหญ่นิยมรายงานคือการกระทำของขบวนการปลดปล่อยปาตานี หรือฝ่ายที่สื่อมวลชนยังเรียกว่า “โจรใต้” นั่นเอง เช่น การวางระเบิด การยิง การเผาโรงเรียน รวมไปถึงการแขวนผ้า ซึ่งเป็นชิ้นขาวที่ขายได้ แต่การใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ส่วนใหญ่ไม่เคยเป็นข่าว

ตราบใดที่สื่อมวลชนมีการรายงานข่าวข้างเดียวเช่นนี้ ถึงเมื่อไรก็ชาวบ้านจะไม่ไว้ใจสื่อมวลชน และความไม่ไว้ใจนั้นจะทำให้นักข่าวยิ่งประสบความลำบากในการหาข่าว เพราะชาวบ้านไม่น่าจะพูดความเป็นจริงและให้ความรวมมืออย่างดีแก่นักข่าว อย่าเอาแต่ไล่ข่าวที่น่าจับตา (มี news value) เท่านั้น แต่ผมขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนเป็นกระบอกเสียงของประชาชน สิ่งที่สังคมเราต้องการคือนักข่าวมืออาชีพที่มีใจรักความยุติธรรม ไม่ใช่คนขายข่าว

.................................................................................................................




» วิ ช า ชี วิ ต 1 0 1 : ตอน...วันเกิดปีที่ 3,500,000,000

หลักฐานฟอสซิลบอกเราว่า...ชีวิตแรกอุบัติขึ้นในโลกประมาณสามพันห้าร้อยล้านปีก่อน เริ่มต้นเป็นชีวิตแบบเรียบง่าย แล้วทวีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

เรารู้ว่าทุกชีวิตทุกสายพันธุ์บนโลกมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน ใช้โครงสร้างพื้นฐานเหมือนกัน แล้วแตกสาขาแฟรนไชส์ออกไปอย่างหลากหลายจำนวนนับไม่ถ้วน

ในช่วงเวลายาวนานนี้สายพันธุ์ราว 99 เปอร์เซ็นต์ที่เคยเกิดมาบนโลกสูญไปหมดแล้ว แต่ชีวิตไม่เคยตาย! มันสืบทอดเปลี่ยนรูปมาตลอด มันคือทุกชีวิตในวันนี้!

ใช่! ทุกชีวิตบนโลกในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ปลา ช้าง หนู ควาย ไส้เดือน แมลงสาบ ต้นไม้ แบคทีเรีย ฯลฯ เดินทางมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน เปลี่ยนรูปร่างโครงสร้างภายนอก เปลี่ยน ‘ภพชาติ’ นับครั้งไม่ถ้วน สายหนึ่งกลายมาเป็นตัวเราในวันนี้

เรามิได้ถือกำเนิดเป็นมนุษย์เหมือนบะหมี่สำเร็จรูปจากโรงงาน เราเปลี่ยนแปลงมานานสามพันห้าร้อยล้านปีจนเป็นมนุษย์ในวันนี้ เราทุกคนมาจากชีวิตแรก

ดังนั้นการบอกว่ามนุษย์ทุกคนมีอายุสามพันห้าร้อยล้านปีจึงไม่ใช่เรื่องตลก


◌◌◌◌◌◌◌◌


ชีวิตเป็นการไหลของสายธารโมเลกุลต่อเนื่องมาตั้งแต่วันแรกของมัน เราไม่เคยตาย เราเกิดมาตั้งแต่วันแรกของชีวิตบนโลก เราคือชีวิตแรกบนโลกในอวตารใหม่!

เราคือผลรวมของวิวัฒนาการของชีวิตแรกเริ่มนั้น เช่นเดียวกับปลา ช้าง หนู ควาย ไส้เดือน แมลงสาบ ต้นไม้ แบคทีเรีย ฯลฯ ที่อยู่บนโลกขณะนี้

เมื่อถึง ‘วันตาย’ ของเราในฐานะมนุษย์ เราก็ยังไม่ตายอย่างแท้จริง เพราะสายธารชีวิตของเรายังคงดำเนินต่อไป อาจนานเท่าอายุของจักรวาล

เรามีตัวตนของปลา ช้าง หนู ควาย ไส้เดือน แมลงสาบ ต้นไม้ แบคทีเรีย ฯลฯ ในตัวเรา เราก็คือพวกมัน พวกมันก็คือเรา ทุกชีวิตมีสายสัมพันธ์อย่างแยกจากกันไม่ได้

ดังนั้นเวลาใครด่าเรา “ไอ้ควาย” ก็สมควรยิ้มรับอย่างภาคภูมิใจ : )


◌◌◌◌◌◌◌◌


เราทุกชีวิตผ่านโลกนี้มาด้วยกัน เปลี่ยนเปลือกนอกของชีวิตไปเรื่อยๆ จากสัตว์เซลล์เดียวเป็นหลายเซลล์ เป็นระบบชีวิตแบบต่างๆ แม้เราทั้งหมดเป็นคนละอวตาร แต่เป็นตัวตนเดียวกัน


อลัน บีน นักบินอวกาศนาซา ผู้เหยียบดวงจันทร์ในโครงการอพอลโล 12 เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 1969 กล่าวหลังจากกลับมาจากดวงจันทร์ว่า เขารักโลกมากขึ้น

“ตั้งแต่กลับจากดวงจันทร์ ผมไม่เคยบ่นเรื่องดินฟ้าอากาศเลยสักครั้ง ผมดีใจที่มีดินฟ้าอากาศ ผมไม่เคยบ่นเรื่องการจราจร ผมดีใจที่มีผู้คนรอบตัว อย่างหนึ่งที่ผมทำเมื่อกลับบ้านก็คือไปศูนย์การค้า ขลุกแถวนั้น กินไอติม มองดูคนเดินไปมา

และคิดว่า ‘เราโชคดีแค่ไหนที่อยู่ที่นี่ ทำไมคนชอบบ่นเรื่องโลก?’ เราอยู่ในสวนอีเดน!”

นักบินอวกาศคนอื่นๆ ซึ่งเดินทางท่องอวกาศบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การมองเห็นความเวิ้งว้างภายนอกโลกทำให้รักโลกมากขึ้น เกิด ‘บรรลุธรรม’ ว่ามนุษย์กับจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน


◌◌◌◌◌◌◌◌


เราเป็นสิ่งเดียวกับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ โมเลกุลที่ประกอบกันเป็นตัวเราก็คือโมเลกุลที่เคยเป็นดวงดาวมาก่อน ธุลีดาวเหล่านี้ประกอบกันเป็นโครงสร้างชีวิต เราเป็นตัวตนเดียวกับจักรวาล เราคือสรรพสิ่ง เราคือจักรวาล

ดังที่ นีล เดอกราส ไทสัน นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน เคยกล่าวว่า...

“เราทั้งหมดเกี่ยวข้องกันทางชีววิทยา เกี่ยวข้องกับโลกทางเคมี เกี่ยวข้องกับจักรวาลทางอะตอม นั่นเป็นเรื่องที่เท่มาก! มันทำให้ผมยิ้มได้...”

ในเมื่อทุกชีวิตบนโลกมีวันเกิดเดียวกัน เราจึงสมควรร้องเพลง “Happy birthday to life.” มากกว่า “Happy birthday to you.”

การฉลองวันเกิดของชีวิตทำให้เราเข้าใจและรักสรรพสิ่งมากขึ้น มันทำให้เรามองเห็นคุณค่าของชีวิตอื่นๆ มีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกมากขึ้น

และเมื่อใดที่เราเข้าใจความข้อนี้ เราก็ขยับตัวเข้าไปใกล้สันติภาพแห่งอุดมคติอีกขั้นหนึ่ง และมันยิ่งใหญ่กว่าแค่สันติภาพของมนุษยชาติ

นั่นเป็นเรื่องที่เท่มาก มันทำให้เรายิ้มได้!


◌◌◌◌◌◌◌◌


● คมคำคนคม ●

Life can only be understood backwards; but it must be lived forwards.

ชีวิตเป็นสิ่งที่เข้าใจได้โดยมองย้อนหลังเท่านั้น แต่ต้องใช้โดยไปข้างหน้า

#Soren Kierkegaard (1813 - 1855)


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : วินทร์ เลียววาริณ | บทความ "วันเกิดปีที่ 3,500,000,000"

..................................................................................................




ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวของคุณเอง จงกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วไปให้ถึง

..........................................................................................................




ข้าวเหนียวมะม่วง

............................................................................................................




พี่มาร์คชนะเลิศ เฮ้ .... เห็นยังพี่มาร์คเราผลงานเด่นสุดยอด เกินใคร///ติ่งพี่มาร์ค
ล้อเล่นนะครับ ... เอาจริงๆ ผมว่าที่น่าด่าสุดแม่งก็ไอ้คนสั่งซื้อนั้นแหละครับ ... นายกฯนี่ไม่เท่าไหร่ คุณนึกดูดิ ... แม่งพึ่งรัฐประหารมาล้มรัฐบาลมาหมาด ๆ ... ใหญ่สุดในประเทศ ... หมาไหนจะกล้าขัดทหารว่ะ ... แถมพี่แกแม่งยังซื้อด้วย "วิธีพิเศษ" อีกต่างหาก (มึงจะรีบไปไหนว่ะ เค้าวางระเบิดกันมาตั้งนานแล้ว มึงก็ทยอยซื้อไปล็อตนึงแล้วยังเสือกใช้วิธีพิเศษอีก)

รูปจาก http://www.thairath.co.th/content/pol/340945

.......................................................................................................


ผมผิดหวังเหี้ย ๆ เลยครับ แม่ง หนังสือพิมพ์ผู้จัดการไม่ว่าอะไร...
นี่แมคโคร ขายหุ้นให้ CPALL แสนล้าน ไม่เสียภาษี นะโว๊ย ... (เยอะกว่าตอนขายชินคอร์ปอีก)
ทำไมไม่ด่าว่าเลี่ยงภาษี ชั่ว เลว โกงประเทศวะ ผิดหวังฉิบหายเลย กร๊าากกกกก

........................................................................................................




ใครจะเถียงเนยคะ /@หมูอ้วน

.............................................................................................................


"อลงกรณ์" กับ "ประชาธิปัตย์"




ขณะนี้มีข่าวร้อนแรงเกี่ยวกับบ้านเราอยู่หลายข่าว เป็นต้นว่า ราคาทองคำร่วงอย่างน่าใจหาย ข่าวเรื่องศาลโลกกำลังพิจารณาคดีเขาพระวิหาร และข่าวประธานคณะที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ออกมาตำหนินายอลงกรณ์ พลบุตร แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาเสนอการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์อย่างเปิดเผยต่อสาธารณชน

ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ออกมาตำหนิว่า การวิพากษ์วิจารณ์พรรคไม่ควรทำอย่างเปิดเผย ควรทำในพรรค ก็แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ในทรรศนะของประธานที่ปรึกษาพรรคที่เคยเป็นหัวหน้าพรรคมาก่อนยังมีทรรศนะแบบเดิมๆ กล่าวคือพรรคประชาธิปัตย์เป็นของแกนนำหรือกรรมการ หรือกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้พรรคเป็นของสมาชิก 3 ล้านคน หรือผู้สนับสนุนอีก 8 ล้านคน หรือของประชาชนทั้งประเทศทั้งที่เป็นสมาชิก ผู้สนับสนุนและประชาชนทั่วไป

สำหรับคนทั่วไปแล้ว ถือว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นของเราด้วย เพราะพรรคเอาเงินภาษีอากรของประชาชนไปใช้ ประชาชนทั่วไปจึงควรมีสิทธิได้รับรู้ความคิดเห็นของแกนนำและกรรมการพรรคแต่ละคนด้วยว่าใครเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปพรรค เมื่อถึงคราวหย่อนบัตร ประชาชนทั้งที่เคยสนับสนุนและไม่เคยสนับสนุนจะได้ตัดสินใจถูก ไม่ใช่เป็นพรรคปิดลับ รู้กันแต่แกนนำพรรคแต่ละคนว่ามีเหตุผล มีความคิดอย่างไร ใครมีอำนาจครอบงำความคิดพรรคและผู้ที่ครอบงำนั่นมีความคิดเห็นอย่างไร ไม่ใช่เป็นพรรคปิด รู้กันแต่ในชมรม "นกแก้วนกขุนทอง" ที่หัดพูดหัดจำตามที่ผู้เลี้ยงนกสอนให้พูด

เรื่องที่สองก็คือ ต้องปฏิรูปความคิดจากการเป็นพรรคปิดมาเป็นพรรคเปิดต่อประชาชน ต่อสาธารณชน จะได้มีโอกาสฟังเสียงประชาชน ปฏิรูปความคิด ทัศนคติและการวิเคราะห์การเมืองและสังคมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มีข้อมูล หรือชาวฝรั่งเขาเรียกว่าวิเคราะห์อย่างภาวะวิสัย "objective" ไม่ใช่วิเคราะห์อย่างอัตวิสัย หรือ "Subjective" เลิกคิดเรื่องที่ว่า เงินซื้อการเมืองได้ทุกอย่าง คนไทยส่วนใหญ่ถูกมอมเมาด้วยเงินและนโยบายประชานิยม เพราะขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็ทำอย่างเดียวกัน ทำไมไม่ได้ผล เลือกตั้งทั่วไปเมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น

เมื่อ ส.ส.พรรคตรงกันข้ามออกมาสนับ

สนุนการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ก็ให้โฆษกพรรคออกมาบริภาษพรรคเพื่อไทยว่าไม่สนใจทำงานของตัว แต่มาสนใจเรื่อง "ภายใน" พรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคตัวเองวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ต้องรอสั่งซ้ายสั่งขวาทางสไกป์จากต่างประเทศ

การโต้ตอบแบบนี้ไม่มีประโยชน์ ไม่สร้างสรรค์ ไม่ได้สื่ออะไรถึงประชาชนเลย

น่ารำคาญ

ประการต่อไปคือ "จุดยืน" ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยได้รับการสนับสนุนอย่างมาก เพราะมีจุดยืนต่อต้าน "เผด็จการทหาร" แม้ว่าเมื่อทหารออกมาจริงๆ จะหายตัวไปหมดก็ตาม แต่พอทหารให้รัฐธรรมนูญก็ออกมาต่อต้านรัฐธรรมนูญและต่อต้านทหาร ซึ่งได้ใจประชาชนและขบวนการประชาธิปไตย

แต่เมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา พรรคกลับร่วมไม้ร่วมมือกับพันธมิตรสร้างกระแสนำทางให้ทหารทำการปฏิวัติรัฐประหารเสียเอง

กระทำการหลายๆ อย่างตรงข้ามกับขบวนการประชาธิปไตย เช่น ประณามเสียงส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดว่าเป็นเสียงไม่มีคุณภาพ เป็นเสียงที่ซื้อได้ ไม่มีคุณภาพเท่ากับเสียงคนกรุงเทพฯ เรียกร้องให้พระราชทานนายกรัฐมนตรีโดยใช้มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ จนได้สมญานามว่า "มาร์ค ม.7" เมื่อมีการยุบสภา ก็บิดเบือนหลักวิชา ถามว่าสภาผู้แทนราษฎรมีความผิดอะไรจึงยุบสภา ครั้งพอตนมาเป็นนายกรัฐมนตรีมีคนมาเดินขบวนจำนวนหลายแสนเรียกร้องให้ยุบสภา กลับไม่ใช้การยุบสภาให้ประชาชนตัดสินโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ แต่ใช้วิธี "ขอพื้นที่คืน" กับ "กระชับพื้นที่" ด้วยกำลังทหาร มีคนตายเกือบ 100 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน จนเป็นคดีอยู่ในศาลไทยและอาจจะต้องขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

การตัดสินใจคว่ำบาตร การเลือกตั้งทั่วไปหลังการยุบสภา ไม่ส่งตัวแทนพรรคลงสมัครเลือกตั้ง โดยหวังให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะโดยไม่มีเหตุอันควร เหมือนที่เคยคว่ำบาตรการเลือกตั้งปี 2495 เมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม นำเอารัฐธรรมนูญฉบับปี 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ที่มีบทบัญญัติให้มี ส.ส.ประเภทสองมีจำนวนเท่ากับ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะถ้าพรรคมนังคศิลาของจอมพล ป. ได้ ส.ส.จากการเลือกตั้งอีกเพียงเสียงเดียวก็ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภา

ผู้แทนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ฝ่ายค้านไม่มีทางเป็นรัฐบาลได้เลย

การคัดค้าน ขัดขวาง ถ่วงเวลาการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่มีรากฐานมาจากคณะรัฐประหาร คมช.เป็นการแสดงจุดยืนขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างตรงไปตรงมา ต่างกับเมื่อก่อนที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่เคยเรียกรัฐธรรมนูญที่มีรากฐานมาจากรัฐประหารว่าเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับฟันปลอม" และได้รับเสียงสนับสนุนจากคนในกรุงเทพฯ อย่างมากจนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516

การต่อสู้ขัดขวางการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสำหรับประชาชนที่ร่วมการชุมนุมเป็นจำนวนมาก โดยอ้างว่าจะเป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ให้ต้องได้รับโทษ เมื่อมีการเสนอกฎหมายไม่ครอบคลุม พ.ต.ท.ทักษิณและแกนนำทั้งสองฝ่าย จะนิรโทษกรรมประชาชนคนชั้นล่างที่ถูกข้อหา "ผู้ก่อการร้าย" ศาลไม่ให้ประกันตัว แต่กรณียึดสนามบินยึดสถานที่ราชการ ศาลกลับให้ประกันตัว คนยากจน คนชั้นล่าง ก็ต้องอาศัยสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ก็คัดค้านขัดขวางหน่วงเหนี่ยวเท่ากับยืนอยู่กับคนชั้นสูง ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าคนชั้นล่าง เคยแหย่ถามพรรคพวกที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์คำตอบก็คือ ต้องรักษาส่วนแบ่งของตลาดเอาไว้ มิฉะนั้นจะไม่เหลืออะไรเลย

ถ้าทัศนคติเป็นอย่างนี้ก็คงจะเป็นอย่างนี้ต่อไป พรรคพวกที่อยู่เพื่อไทยเคยบอกว่าจะไม่รุกหัวหน้าพรรคและประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์จนอยู่ไม่ได้ เพราะถ้าทั้ง 2 ท่านนี้ยังอยู่ พรรคเพื่อไทยสบาย มีเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ชนะ คดีความต่างๆ จึงไม่ต้องรีบเร่ง ไปเรื่อยๆ หัวหน้าพรรคปัจจุบันหมดวาระแล้วถ้าได้รับเลือกให้อยู่ต่อก็ดี ฟังวิธีคิดของพรรค

เพื่อไทยแล้วก็ "เศร้าใจ" เหมือนกัน



มีร้านตัดผมที่ใช้บริการมาเกือบ 30 ปีแล้วอยู่หน้าซอยอินทามระ 33 ชื่อร้าน "ชายบาร์เบอร์" คุยกันเมื่อ 5-6 ปีก่อนว่า การเมืองไทยในที่สุดจะเป็นอย่างไร ใครจะชนะ ช่างตัดผมยิ้มแล้วตอบว่า "ขบวนการประชาชน

ถ้าจุดติดแล้วไม่เคยไม่ชนะ เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น" เพราะจำนวนมีมากกว่าและนับวันจะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายตรงกันข้ามจะเล็กลงเรื่อยๆ ไม่เชื่อท่านคอยดูก็แล้วกัน ประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศต่างๆ ในโลกเป็นอย่างนั้น ฟังคำวิเคราะห์ของช่างตัดผมแล้วสะดุ้ง เพราะพูดได้คมกว่าผู้นำพรรคการเมืองหลายๆ คน ในหลายๆ พรรค

จุดยืนในเรื่องนโยบายต่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยนึกว่าคนไทยที่ทำมาหากินอยู่ในบริเวณพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือมีญาติพี่น้องอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเหมือนกัน การไปตั้งแง่กับพม่า ลาว กัมพูชา แล้วพยายามไปผูกมิตรกับมหาอำนาจอย่างอเมริกา อังกฤษ ยุโรป อาจจะมีคนไทยที่มีสิทธิออกเสียงอยู่บ้างแต่ก็ไม่มาก ไม่คุ้มกับเสียงของคนไทยในบริเวณชายแดน เสียงเชียร์จากประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านอย่านึกว่าไม่สำคัญ เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่รู้เท่านั้นเอง เพราะไม่เคยเดินเข้าไปในเขมร ลาว พม่า หรือไทยสิบสองปันนา ถ้าเดินเข้าไปคุยกับแม่ค้าตลาดสดตอนเช้าก็จะได้ความรู้สึกว่าเขาสนใจการเมืองไทยมาก เวลามีการอภิปรายในสภาไทย ประชาชนเพื่อนบ้านทั้ง พม่า ลาว กัมพูชา ฟังภาษาไทยออก เพราะเขาดูละครทีวีไทยทุกวัน ฟังการอภิปรายในสภาไทย วิพากษ์วิจารณ์พรรครัฐบาลพรรคฝ่ายค้านอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผยกว่าคนไทยเสียอีก ซึ่งสะท้อนความคิดเห็นของคนไทยตามแนวชายแดนได้ดี

สิ่งเหล่านี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยนำมาวิเคราะห์วิจัยเพื่อปฏิรูปพรรค เอาแต่เชื่ออย่างเดิมๆ รักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ พรรคตรงกันข้ามชนะเพราะมีเงินมากกว่า พรรคเรามีเงินน้อยกว่า คนอีสาน คนเหนือซื้อเสียงได้ มีอะไรพูดกันในพรรคอย่าให้ "คนนอก" ได้ยิน

"คนนอก" หมายถึงใครกันแน่


หน้า 6,มติชนรายวัน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2556 

........................................................................................................


ตอบโจทย์ ปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ 24 04 56


http://www.youtube.com/watch?v=8cynybkBXAs&feature=share
.......................................................................................................

................................................................................................




ชั้นหนังสือล่องหน http://www.iurban.in.th/design/invisible-shelf/

.............................................................................................................




อัจฉริยภาพทางการเงิน ...

เมื่อวานหลังจากโพสตัวอย่างของนิทานการเงินให้หลายๆท่านได้ลองอ่านกัน มีบางท่านสอบถามหลังไมค์มาว่า

"มันไม่ยากเกินไปเหรอ"
"เด็กจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร"
"มันเร็วเกินไปไหมที่จะเรียนเรื่องพวกนี้"

เรื่องยากเกินไปนั้น ผมเคยทดลองแล้วครับ เพราะผมเคยจัดแคมป์ MONEY GENIUS สอนเด็กๆ ชั้น ป.4 ร่วม 100 ชีวิต เรื่องเกี่ยวกับการเงินทุกอย่างตั้งแต่ เงินเฟ้อ การออม ดอกเบี้ยทบต้น รวมไปถึงการลงทุนในหุ้น และธุรกิจ ฯลฯ

ก่อนเปิดคอร์ส ... ทีมงานซีเอ็ดบางคนก็บอกว่า ไม่ไหวหรอก มันยากไป เด็กที่ไหนจะอดทนเรียนกับสิ่งเหล่านี้

แต่ด้วยเกมที่ผมออกแบบให้เล่น ... ผลที่ออกมาทำให้ทีมงานต้องอ้าปากค้าง เพราะเด็กทำได้ พวกเขาคำนวณดอกเบี้ยทบต้นที่ผู้ใหญ่บางคนยังไม่เคยเข้าใจได้สบาย

พวกเขาเลือกลงทุนในหุ้นได้จากสิ่งที่เขารู้จักใกล้ตัว (วิธีนี้กูรูหุ้นอย่างปีเตอร์ ลินซ์ก็ใช้) อะไรที่ไม่รู้จักเขาก็ไม่เลือก ไม่ลงทุน

พวกเขาได้เรียนรู้โทษของการใช้บัตรเครดิตเกินตัว และร้องกันระงมห้องทุกครั้งที่ครบเดือนแล้วต้องผ่อนหนี้บัตรเครดิต

พวกเขารู้ว่า รถยนต์ และบ้าน แท้จริงแล้วเป็น "หนี้สิน" ไม่ใช่ "ทรัพย์สิน" อย่างที่พอแม่เขาเชื่อ

ที่ผมชอบที่สุด ก็คือ บทสรุปหลังจากจบแคมป์ เด็กๆตอบได้น่ารัก น่าเอ็นดู จนผู้ใหญ่หลายคนต้องอมยิ้ม

"เงินเฟ้อทำให้เราออมของเราหายไป" (ภาษาเด็กๆนิดนึง)
"หนี้จนทำให้เรายิ่งจน"
"การลงทุนที่ยาวนานทำให้เราได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้น"
"คนเราใช้จ่ายต้องหัดคิดถึงวันข้างหน้า"
"การลงทุนมีความเสี่ยง ผลการลงทุนอาจไม่เป็นไปตามที่เราคาดได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีแผนการที่ดีพอ"
ฯลฯ

ได้ยินแบบนี้แล้วเราควรจะรอให้เค้าเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วค่อยสอนเรื่องเงินมั๊ยครับ

ทั้งหมดเป็นการเรียนรู้จาก "ความผิดพลาด" ของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงเรียนไม่อยากให้เกิด ทั้งๆที่มันคือกระบวนการเรียนรู้ในโลกแห่งความเป็นจริง

สนใจ --> คิด --> ทดลองทำ --> ผิดพลาด --> เรียนรู้ที่จะแก้ไข --> ทดลองทำใหม่ ...

ผมเชื่อเสมอว่าเด็กๆของเราเกิดมาพร้อมกับ "อัจฉริยภาพทางการเงิน" แต่อัจฉริยภาพดังกล่าว พร้อมถูกบดบัง ด้วยทั้งจากวิธีคิดทางการเงินที่ไม่ถูกต้องของพ่อแม่ส่วนหนึ่ง และสังคมรอบตัวอีกส่วนหนึ่ง

ถ้าไม่สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีไว้ อัจฉริยภาพนี้จะหายไปเมื่อเขาโตขึ้น กลายเป็นคนที่ไม่มีเหตุมีผลในการใช้จ่าย และประสบปัญหาทางการเงินในชีวิตวันข้างหน้า

เชื่อผมเถอะครับว่าเด็กๆของเราเรียนรู้ได้

มาช่วยกันสร้างเด็กไทยให้มีความฉลาดทางการเงินกันนะครั

......................................................................................................


การอ้างว่า 'ประชาชน' ข่มขู่คุกคามศาล หากจะอ้างเพื่อดำเนินคดีหรือข่มเตือนประชาชน ก็ต้องอ้างในบริบทประชาธิปไตย ในมาตรฐานเดียวกันกับผู้มีอำนาจทั้งหลาย หากเกษตรกรมาชุมนุมต่อว่ารัฐมนตรีที่หน้ากระทรวง ยกกระจาดเทสินค้าได้ฉันใด ประชาชนคนทั่วไปก็ควรยกป้ายวิจารณ์ 'ศาล' ได้พอกันฉันนั้น เรื่องการหมิ่นศาล นำมาใช้เฉพาะเพื่อคุ้มครองกระบวนการทำงานของศาล เช่น บอกว่าศาลรับสินบน แต่ไม่ใช่คุ้มครองความรู้สึกของศาล เช่น บอกว่าศาลตัดสินคดีไม่เป็นธรรม สองเรื่องนี้ มันคนละเรื่องกัน.

---
ผมชวนคุยเรื่อง ศาลรัฐธรรมนูญ คืนนี้ 22.30 น. ทางช่อง 11 NBT ครับ.

......................................................................................................
























..............................................................................................................






















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น