วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

07/04/2556





บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า อย่าดูถูกประชาชนว่าโง่และความจำสั้น


...................................................................................................................




อีกแง่มุมเพื่อความเข้าใจ โครงการ 2 ล้านล้าน

ผมขอเล่าเศรษฐกิจประเทศเปรียบเทียบกับธุรกิจให้ฟัง ตอนสมัยผมทำธุรกิจ เวลาจะกู้หนี้ยืมสิน เขาจะดูสัดส่วนของหนี้ต่อทุนเพื่อรักษาไว้ไม่ให้เกิน 2 หรือมากสุด 2.5 เท่าต่อ 1 เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจะแข็งแรง ส่วนเศรษฐกิจประเทศนั้นเขาจะรักษาสัดส่วนของหนี้ต่อ GDP ของประเทศไม่ให้เกิน 50% ถือว่าดีเยี่ยม ไม่เกิน 60% ถือว่ายังดีอยู่ แต่ประเทศที่มีฐานรายได้ทางภาษีใหญ่ๆเขายอมให้สูงกว่านี้ เช่น ญี่ปุ่น มีหนี้เกือบ 200% ต่อ GDP แต่ตัวเลขของสัดส่วนย่อมเปลี่ยนไปถ้า GDP หรือเศรษฐกิจประเทศโตขึ้น เหมือนบริษัท ถ้าบริษัทมีรายได้มากขึ้น มีกำไรสะสมมากขึ้น สัดส่วนของหนี้ต่อทุน(ส่วนของผู้ถือหุ้น) ก็จะลดลง เพราะมีกำไรสะสมมาเพิ่มเช่นกันครับ

การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล คือการลงทุนให้เศรษฐกิจของประเทศโตขึ้นทั้งทางตรงทางอ้อม

ทางตรงคือเงินที่ลงทุนและไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทางอ้อมคือโครงสร้างพื้นฐานนั้นไปลดค่าใช้จ่ายทางการขนส่ง ลดการใช้พลังงาน ลดความสึกหรอของถนนที่มีอยู่เดิม ไปเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านความสะดวกในการสัญจร การเกิดกิจกรรมการค้าการขายมากขึ้น ที่ดินราคาดีขึ้นตามความเจริญที่เข้าถึง ความเชื่อมั่นที่ต่างประเทศนำเงินเข้ามาลงทุน การแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรกับค่าเครื่องจักร ค่าก่อสร้าง

ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าหนี้จะพุ่งข้างเดียวเพราะรายได้ก็พุ่งด้วย สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จึงจะไม่สูงอย่างที่วิตก และก็ไม่ต้องรอว่าจะต้องใช้หนี้อีก 50 ปีจะหมด ดูตัวอย่างหนี้ IMF ที่เราใช้ได้เร็วกว่ากำหนด ทั้งนี้อยู่ที่ ใครสร้างเศรษฐกิจเป็น กับใครเป็นแต่ใช้จ่ายอย่างเดียว วิธีมองจึงต่างกันไปครับ


....................................................................................................................




นักปรัชญาการเมืองแต่โบราณ
ขอร้องให้ทุกคนเป็นสัตว์การเมือง (Political animal)
คือ มีหน้าที่สนใจการเมือง ร่วมกันจัดสังคม
ให้อยู่กันอย่างสงบสุข โดยไม่ต้องใช้อาชญา

แต่คนสมัยนี้ ทำได้มากเกินไป
ขนาดที่เรียกว่า การเมืองขึ้นสมอง
แล้วใช้การเมืองนั้นเองเป็นเครื่องมือกอบโกย
หรือฟาดฟันผู้อื่น ครอบงำผู้อื่น
เพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดีย

ดังนั้น แทนที่การเมือง จะตั้งอยู่ในฐานะ เป็นเรื่องศีลธรรม
ก็กลายเป็นเรื่องอุปัททวะจัญไรในโลกไปเสีย

เมื่อกล่าวถึงปรัชญาทางศีลธรรม การเมืองก็คือหน้าที่ของมนุษย์
ที่เขาจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้อง
ตามกฎของธรรมชาติ อันเฉียบขาด
เพื่อผลคือ การอยู่กันเป็นผาสุก โดยไม่ต้องใช้อาชญา

แต่เมื่อไม่มีการคำนึงถึงศีลธรรมกันเสียแล้ว
การเมืองก็กลายเป็นเรื่องสกปรก
สำหรับหลอกลวงกันอย่างไม่มีขอบเขต
จนกระทั่งโลกนี้กลายเป็นโลกแห่งการหลอกลวงไปเสีย
มีแต่สัตว์การเมืองที่เป็นสัตว์เอาเสียจริง ๆ กล่าวคือ
บูชาเรื่อง กิน-กาม-เกียรติ แทนสันติสุข

พุทธทาสภิกขุ

๒๐ ปีละสังขารพุทธทาสภิกขุ

นานาสาระธรรมจาก Instagram สวนโมกข์กรุงเทพ
http://instagram.com/suanmokkh_bkk/


................................................................................................................




หลุมดำ...

-1-

'หิ่งห้อย' ทุกตัวบนท้องฟ้ามีอายุขัยของมัน ช้าหรือเร็ว ดาวทุกดวงต้องตายไปในวันหนึ่ง

ความตายของดวงดาวเกิดขึ้นได้สองแบบ ดาวฤกษ์ขนาดกลางเช่นดวงอาทิตย์ของเรา ซึ่งจัดว่ามีมวลไม่มากนัก จะตายแบบช้าๆ เมื่อเชื้อเพลิงในร่างร่อยหรอจนหมดสิ้นเชื้อไฟ หลังจาก 'ความตาย' ซากดาวจะขยายตัวขึ้นจากขนาดดั้งเดิมหลายร้อยเท่า กลายเป็นสีแดงสุก เรียกว่า ดาวยักษ์แดง ในกรณีของดวงอาทิตย์ของเรา มันจะขยายขนาดกลืนกินดาวพุธ ดาวพระศุกร์ และอาจสัมผัสผิวโลก!

ส่วนดาวฤกษ์ที่มีมวลสูง (หรือมวลใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ของเราหลายเท่า) จะตายด้วยการระเบิดตัวเองอย่างรุนแรง เรียกว่า ซูเปอร์โนวา จนเหลือซากดาวขนาดเล็กนิดเดียว มวลดาวที่ตายจะอัดแน่นจนกระทั่งแรงโน้มถ่วงของซากดาวเข้มข้นมหาศาล หลังจากนั้นตัวตนของมันจะเปลี่ยนสภาพเป็นหนึ่งในสองทางเลือก หนึ่งคือ ดาวนิวตรอนขนาดจิ๋ว อีกหนึ่งคือ หลุมดำ

แรงโน้มถ่วงอันรุนแรงทำให้ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวเข็มหมุดอาจมีน้ำหนักถึงล้านตัน พูดง่ายๆ คือ หากใครคนหนึ่งไปยืนบนดาวนั้น ร่างจะแหลกสลายในเสี้ยวของเสี้ยววินาทีด้วยแรงโน้มถ่วงที่ดึงทุกอย่างเข้าหาศูนย์กลาง

แต่พลังทำลายของนิวตรอนยังเทียบไม่ได้กับหลุมดำ

สมมุติว่าคุณอัดดวงอาทิตย์ของเราให้เหลือรัศมีสามกิโลเมตร นั่นคือลดขนาดลงสี่ล้านเท่าของขนาดเดิมของมัน มันจะกลายเป็นหลุมดำ

ความจริงหลุมดำไม่ใช่ 'หลุม' หากเป็นพื้นที่ที่แรงดึงดูดในตัวมันเองสูงมาก ผลก็คือพื้นที่โดยรอบบริเวณจะบิดเบี้ยว ไม่มีอะไรหนีพ้นแรงดูดนี้ไปได้ แม้แต่แสงสว่าง มันจึงกลายเป็นพื้นที่ที่มืดมนชั่วนาตาปี เป็นที่มาของนาม 'หลุมดำ'

หลุมดำมีแรงดูดทุกอย่างใกล้ตัวมัน ตั้งแต่ดาวเคราะห์ใหญ่น้อย ไปจนถึงดาวฤกษ์ดวงอื่นๆ

-2-

ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติผ่านยุคมืดมานับครั้งไม่ถ้วน บางยุคมืดเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ บ้างเพราะอวิชชา ความหลงผิด บางครั้งเพราะผู้นำที่บ้าคลั่ง

เป็นพฤติกรรมปกติของมนุษย์ที่ชอบเดินตามผู้นำ แต่งกายตามดาราภาพยนตร์ ใช้ชีวิตเลียนแบบนักร้องดัง เดินตามผู้นำที่มีภาพลักษณ์สวยงาม ทั้งที่ 'ดวงดาว' ซึ่งเป็นชนชั้นชี้นำสังคมเหล่านี้ มีทั้งแบบนำทางสังคมไปสู่สวนสวยและทางดิ่งลงเหว

เราทุกคนมีแสงสว่างในตัวเอง แต่ปัญญาของเราอาจริบหรี่ลงเมื่ออยู่ใกล้หลุมดำ หากไม่ระวังตัว แสงสว่างแห่งปัญญาก็จะถูกดูดหายไปอย่างง่ายดาย

ในโลกที่นิยมตัดสินคนกันที่เปลือกนอก เราต้องแยกแยะให้ออกระหว่างความไร้ปัญญากับปัญญา ความเสื่อมทรามกับจริยธรรม ผู้นำกับรัฐบุรุษ เปลือกกับแก่น

สัจธรรมของโลกแสดงชัดว่า คนที่ยิ่งมีอำนาจสรรเสริญก็ยิ่งอยากได้อำนาจสรรเสริญ กลายเป็นดวงอาทิตย์ที่ขยาย 'มวล' ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่มวลนั้นเป็นเพียงลาภยศสรรเสริญจอมปลอมที่ปะทับโดยบริวารรอบตัว

แรงดึงดูดของอวิชชานั้นร้ายยิ่งนัก โลภะ โมหะ โทสะ สามารถดูดเอาความถูกต้องไปได้หมด จนไม่สามารถแยกแยะความชั่วดีออกจากกันได้ ในที่สุดก็ดูดแม้กระทั่งตัวเองเปลี่ยนสภาพเป็น 'หลุมดำ' และหันไปดูดสังคมรอบตัวต่อไป มวลแห่งอวิชชายิ่งหนาทึบ โอกาสที่จะกลืนกินตัวเองเป็นหลุมดำยิ่งสูง

'ดวงดาว' ที่ชี้นำสังคมทั้งหลายควรเข้าใจสัจธรรมโลกว่า ลาภยศสรรเสริญไม่เคยยั่งยืน สิ่งที่เหลือหลังจากความตายของแต่ละคนคือ ความจดจำของผู้คนว่า ผู้นำคนนั้นทำอะไรไว้ เช่นที่โลกจดจำได้แต่ด้านมืดของฮิตเลอร์ และด้านสวยงามของ มหาตมะ คานธี

ใครต้องการให้ตัวเองเป็นที่จดจำในรูปของดาวยักษ์แดงหรือหลุมดำ ก็แล้วแต่คนนั้น เพราะเมื่อระวังรักษาขนาดมวลแห่งปัญญาของตัวเองให้ดี โอกาสที่จะกลายเป็น 'หลุมดำ' ก็ยากยิ่ง

วินทร์ เลียววาริณ
4 มีนาคม 2549
www.winbookclub.com

*พิมพ์รวมเล่มใน ความฝันโง่ๆ

**A scene from the film shows a black hole siphoning matter from a nearby star/Image courtesy Red Vision/C4 Studios/Pioneer Productions.


..................................................................................................................




ควักดวงตานางสิบสอง เป็นฉากสยองขวัญที่สุดในบรรดานิทานทั้งหลายที่เคยอ่าน (แต่ผมอ่านหนังสือนิทานไม่มากนัก)
นางสิบสองเป็นลูกสาวเศรษฐี ต่อมาเศรษฐีล้มละลายกลายเป็นยาจกยากจน ไม่มีทรัพย์สินข้าวปลาจะเลี้ยงลูก เลยเอาไปปล่อยป่าทิ้งไว้ตามยถากรรม
พระรถสิทธิ์รับนางสิบสองเป็นมเหสี แต่หลงมารยานางยักษ์แปลงที่แกล้งป่วยแล้วอ้อนวอนให้พระรถสิทธิ์สั่งควักดวงตานางสิบสองมาประสมยารักษาตัว
นางสิบเอ็ดคนไม่มีลูก แต่คนที่สิบสองมีลูกชายที่ปิดบังซ่อนเร้นไว้ ครั้นโตขึ้นได้นามว่ารถเสน แล้วได้พบนางเมรี จนต้องพรากจากกันตอนท้าย
นิทานนางสิบสองเป็นที่รู้จักแพร่หลายในความทรงจำของลาวชาวบ้านว่า พระรถ เมรี มีวรรณกรรมยุคอยุธยาหลายลักษณะ เช่น กาพย์ขับไม้เรื่องรถเสน, บทละครเรื่องพระรถ, ฯลฯ
เหตุที่ยกเรื่องควักดวงตานางสิบสอง เพราะจินตนาการขณะนอนลืมตาบ้างหลับตาบ้างบนเตียงผ่าตัดน้อยในโรงพยาบาล และหมอธรรมนูญ สุรชาติกำธรกุล กำลังทำอะไรสักอย่างให้ตาต้อกระจกทั้งสองข้างของผมมองเห็นดีขึ้น โดยทำวันละข้าง
“ทำแล้วดี มึงรีบไปทำเถอะ” คุณขรรค์ชัย บุนปาน สั่งให้ผมรีบไปหาหมอแก้ไขตาเป็นต้อ “กูทำแล้วมองใสเห็นถึงไหนต่อไหนไปดาวพระอังคารโน่น”
วันที่สาม หมอธรรมนูญทำพิธีเปิดตาทั้งสองข้างที่มีฝาครอบไว้ไม่ให้โดนฝุ่นผงและอื่นๆ ทำให้ผมมองเห็นสีแสงสดใสสุกสว่างกว่าแต่ก่อน ราวกับพระนิพนธ์ น.ม.ส. วรรคหนึ่งว่า “ผ่องประภัสพลอยหาวพราวเวหา
“สีที่ผมมองเห็นมันสดมากใสมาก ไม่เหมือนก่อนทำ” ผมค่อยๆถามหมอธรรมนูญในห้องตรวจของจักษุแพทย์อย่างงงๆ “อยากรู้ว่าเป็นสีธรรมชาติจริงๆ หรือเป็นสีประดิษฐ์ของเลนส์วิทยาศาสตร์ที่หมอใส่แทนเข้าไป”
“สีธรรมชาติทั้งหมด” หมอบอก
“แสดงว่าหลายสิบปีที่ผ่านมา ผมมองสีทุกสีผิดเพี้ยนจากธรรมชาติ เพราะอำนาจของตาต้อ” ผมรำพึงออกมาเองดังๆเรื่องมองสีที่ไม่ใช่การเมือง แล้วตบท้ายว่า “เวรกรรมละซี่กูเอ๋ย หลงผิดมานานมาก”
เจ๊งหมดเลย เพราะแต่ก่อนเคยตรวจปรู๊ฟสีปกหนังสือต่างๆก่อนพิมพ์จริง แล้วผมมักทักท้วงถกเถียงเรื่องสีที่ดีไซน์ออกมาโดยโยนความผิดให้คนอื่นตลอดว่าดูสีผิดเพี้ยน ไม่คลาสสิค ไม่งาม
แต่แท้จริงแล้วพวกเขาไม่มีใครผิดเพี้ยนเลย เพิ่งรู้ว่าคนผิดคนเพี้ยนสีนี่กูเอง ขอโทษโว้ย


.....................................................................................................................


Supapong Wanitpongpan @Konlam Boring : หาข้อมูลก่อนแชร์ด้วย

.........................................................................................................................


วีรพัฒน์ มองการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา


http://www.youtube.com/watch?v=koevs8PtvYU&feature=youtu.be


นี่เป็นอีกคนที่ผมชอบหลักการของเขา
นอกเหนือจาก รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์


.........................................................................................................................


กล้วยแขก - คุณอนุชัย ศรีจรูญพู่ทอง


http://www.youtube.com/watch?v=OiTifRODAKw


โกง วลีที่ใช้กันเกลื่อน...

......................................................................................................................


......................................................................................................................




ทุกคน...กราบ


Mati Tajaroensuk น่าจะจัด วันรำลึกนะครับ
......................................................................................................................







































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น